ผู้เขียน หัวข้อ: ประชาชาติที่ถูกทำลาย  (อ่าน 33196 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #90 เมื่อ: พ.ย. 04, 2009, 08:00 AM »
0




บทเรียนจากประวัติศาสตร์จากอัลกุรอ่านว่าด้วยจุดจบชาวปอมเปอี (Pompeii)

ตัดตอนและเรียบเรียงจากบางส่วนของหนังสือแปลเรื่อง ประชาชาติที่ถูกทำลาย- Perished Nation โดย ฮารูน ยะฮยา

ทำไมต้องศึกษาประวัติศาสตร์

นี่ คือส่วนหนึ่งจากเรื่องราวของประชาชาติต่างๆที่เราได้บอกเล่าเรื่องราวของพวก เขาแก่เจ้า ส่วนหนึ่งพวกเขายังคงอยู่ และอีกส่วนหนึ่งก็สูญสลายไปแล้ว และเราไม่ได้อธรรมต่อพวกเขา แต่ทว่าพวกเขาอธรรมต่อพวกเขาเอง และพระเจ้าที่พวกเขาวอนขออื่นจากอัลลอฮฺ นั้น จะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่พวกเขาเลย เมื่อพระบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามาถึง และพระเจ้าเหล่านั้นมิได้เพิ่มพูนอันใดแก่พวกเขานอกจากความพินาศ (ซูเราะฮฺ ฮูด: 100- 101)

การบรรยายถึงประชาชาติก่อนๆมีระบุไว้ในอัลกุรอานเป็น สัดส่วนที่มากสุด ซึ่งแน่นอนอย่างยิ่งในประเด็นนี้จึงจำเป็นที่เรานำมาขบคิด พิจารณาใคร่ครวญ เห็นได้ชัดว่าหลักๆแล้วประชาชาติเหล่านี้ปฏิเสธบรรดาศาสนทูตที่พระผู้เป็น เจ้าได้ประทานลงมายังหมู่ชนของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นหมู่ชนเหล่านั้นยังแสดงความเป็นปรปักษ์ต่อเหล่าบรรดาศาสนทูตอีก ด้วย เนื่องจากความอหังการ์ของพวกเขาจึงกล้าท้าทายต่ออำนาจของอัลลอฮฺ พระองค์จึงทำลายล้างหมู่ชนเหล่านี้ให้หมดไปจากหน้าแผ่นดิน

อัลกุรอานได้บอกให้เรารู้ว่าทุกๆกรณีที่ความหายนะกำลังจะประสบแก่หมู่ชนใด หมู่ชนหนึ่ง หมู่ชนนั้นจะได้รับคำเตือนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้คนในหมู่ชนนั้นได้สำนึก ตัวอย่างเช่น สิทธิหลังจากโองการที่ว่าด้วยการทำลายล้างแก่ยิวกลุ่มหนึ่งที่ทำการต่อต้าน อัลลอฮฺ ซึ่งมีระบุไว้ในอัลกุรอานว่า “ดังนั้น เราได้ทำให้จุดจบของพวกเขา เป็นการเตือนแก่บรรดาผู้คนในเวลานั้น และแก่คนรุ่นหลัง และเป็นข้อตักเตือน สำหรับผู้ที่สำรวมตนจากความชั่ว (ซูเราะฮฺ อัลบากอเราะฮ:66)”



ทะเลสาบแห่งลูฏ

บทความนี้ เราได้ฉายภาพสังคมในยุคโบราณที่ถูกทำลายลงไปเนื่องจากพวกเขาทำการท้าทายต่อ อำนาจของอัลลอฮฺ จุดประสงค์ของเราก็เพื่อชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้นั้น เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนทุกยุคสมัย เพื่อให้พวกเขาได้ตระหนักถึงคำเตือนจากพระผู้เป็นเจ้า

เหตุผลประการ ถัดมาเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำลายล้างเหล่านั้นได้รับการบันทึกไว้ในอัล กุรอานอย่างชัดแจ้ง แสดงให้เห็นว่าอัลกุรอานนั้นสัจจริงตลอดกาล อีกทั้งเป็นคัมภีร์ที่ได้รับการรักษาไม่ให้มีการปลอมปน เปลี่ยนแปลง หรือการแก้ไขใดๆ

ในคัมภีร์อัลกุรอานได้รับรองไว้ว่าโองการต่างๆของพระองค์นั้นจะได้รับการ รักษาและเป็นความจริงตลอดกาล สัญญาณต่างๆจะเริ่มปรากฏมาให้มนุษย์ได้เห็น “และจงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงให้พวกเจ้าเห็นสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ แล้วพวกเจ้าก็จะรู้จักกัน และพระเจ้าของเจ้ามิได้เป็นผู้ทรงเพิกเฉย ต่อสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ” (ซูเราะฮฺ อัลนัมลุ์-93)

อีกทั้งเพื่อเป็นการให้ได้รู้และจำแนกพวกเขาเหล่านั้นว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ยึดถือแนวทางใดมาใช้ในการดำเนินชีวิต
แทบ ทุกมหันตภัยที่ทำลายล้างหมู่ชนต่างๆจะมีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่อัลกุรอาน ได้ “ระบุไว้” และ “ได้จำแนกไว้” เนื่องจากการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีในยุคสมัยใหม่

ในการศึกษานี้ เราได้ทำการเชื่อมโยงกับอีกบางหมู่ชนที่ได้อยู่ในกรณีศึกษาเดียวกันตามที่ ระบุไว้ในอัลกุรอานถึงการทำลายล้างหมู่ชนนั้นๆในลักษณะเดียวกัน (จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกล่าวถึงบางสังคม ชุมชน ที่เชื่อมโยงกันกับเหตุการณ์ในอัลกุรอาน

แต่อัลกุรอานไม่ได้กล่าวถึงสังคมหรือชุมชนนั้นๆโดยตรง หนังสือเล่มนี้จะครอบคลุมในสังคมดังกล่าวเช่นกัน อัลกุรอานไม่ได้ระบุเวลาและสถานที่อย่างเจาะจงเฉพาะให้แก่หมู่ชนนั้นๆ แต่อัลกุรอานได้กล่าวถึงพฤติกรรมของหมู่ชนนั้นๆที่แสดงออกถึงการปฏิเสธและ ตั้งตนเป็นศัตรูต่อพระผู้เป็นเจ้าและศาสนทูตของพระองค์ มหันตภัยต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นการทำลายล้างประชาชาติเหล่านี้จากหน้าแผ่นดิน

ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องนำคำตักเตือนดังกล่าวมาขยายผลถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับหมู่ชนต่างๆ)
จุด ประสงค์หลักของเราเพื่อฉายภาพที่อัลกุรอานได้นำเสนอสัจธรรมเกี่ยวกับหมู่ชน เหล่านั้นโดยผ่านการคิดใคร่ครวญจนเกิดการค้นพบ และดังนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าศาสนาของอัลลอฮฺ นั้นเป็นสัจธรรมแก่มนุษย์ทุกคนทั้งที่เป็นผู้ศรัทธาและปฏิเสธศรัทธา


จุดจบชาวปอมเปอี (Pompeii) ที่คล้ายกับประชาชาติลูฏ


อารยธรรมอันรุ่งเรืองของเมืองปอมเปอีก่อนภัยพิบัติ

  อัลกุรอานบอกให้เรารู้ว่าคำดำรัสในอัลกุรอานนั้นเป็นจริงอยู่เสมอไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายของอัลลอฮฺ ได้ ดังอายะฮที่ว่า
และ พวกเขาได้สาบานต่ออัลลอฮฺ ด้วยการสาบานอย่างแข็งขันว่า หากมีผู้ตักเตือนมายังพวกเขา แน่นอนพวกเขาก็จะเป็นประชาชาติหนึ่งที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องยิ่ง (กว่าประชาชาติอื่นๆ) ครั้นเมื่อได้มีผู้ตักเตือนมายังพวกเขา มันมิได้เพิ่มสิ่งใดแก่พวกเขานอกจากการเตลิดหนี *

ด้วยการหยิ่งยะ โสในแผ่นดิน และการวางแผนชั่ว แต่แผนชั่วนั้นจะไม่ห้อมล้อมผู้ใด นอกจากเจ้าของของมันเท่านั้น พวกเขาจะคอยอะไรอีกเล่า นอกจากแนวทางของบรรพชน ดังนั้น เจ้าจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงในแนวทางของอัลลอฮฺ และเจ้าจะไม่พบการบิดเบือนในแนวทางของอัลลอฮฺ แต่ประการใด * (ซูเราะฮฺ อัลฟาฏิร 42-43)

แน่นอนที่สุดว่า “ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ การบิดเบือนใดๆ ในแนวทางหรือกฎหมายของอัลลอฮฺ”

ไม่ว่าใครก็ตามที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกฎหมายของพระองค์และทำการต่อต้าน พระองค์ แน่นอนอย่างยิ่งพวกเขาต้องได้รับจุดจบเช่นเดียวกัน ชาวปอมเปอีก็เช่นกัน พวกเขาเป็นตัวแทนของความเสื่อมของอาณาจักรโรมัน พวกเขาลุ่มหลงในการสมสู่แบบวิปริต จุดจบของชาวปอมเปอีจึงมีลักษณะคล้ายกับประชาชนของลูฏ


มหันตภัยภูเขาไฟฟิสยูเฟียส (Vesuvius)ระเบิดแก่ชาวปอมเปอี


สภาพผู้คนที่ถูกฝังใต้ลาวา



สภาพชาวเมืองโดนลาวาครอกในลักษณะร่วมเพศ

  ภูเขาไฟฟิสยูเฟียสเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอิตาลี ในเมืองเนพลัส (Naples) เป็นภูเขาไฟที่สงบมากว่าสองพันปี คำว่า ฟิสยูเฟียสมีความหมายว่า “ภูเขาแห่งคำตักเตือน” ซึ่งสมเหตุสมผลแล้วที่กล่าวเช่นนั้น มหันตภัยที่ประสบกับชาวโซดอมและโกโมรอฮ (Sodom and Gomorrah) มีความคล้ายคลึงกับมหันตภัยที่ทำลายชาวปอมเปอี

ทางขวาของแนวภูเขาไฟฟิสยูเฟียสนั้นเป็นที่ตั้งของเมืองเนพลัส และทางตะวันออกของภูเขาไฟเป็นที่ตั้งของเมืองปอมเปอี

เมื่อภูเขาไฟระเบิดลาวาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลไหลท่วมบริเวณโดยรอบ เหตุการณ์การระเบิดของภูเขาไฟฟิสยูเฟียสเกิดขึ้นเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา ไหลท่วมคร่าชีวิตชาวเมืองดังกล่าว มหันตภัยครั้งนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนชาวเมืองไม่ทันตั้งตัว

ผู้ คนในเมืองดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติในขณะที่เกิดลาวาไหลท่วมโดยที่ไม่ทัน รู้ตัว ทำให้เราสามารถเห็นวิถีชีวิตการเป็นอยู่ของพวกเขาเมื่อสมัยสองพันปีก่อนที่ อยู่ภายใต้การห่อหุ้มของลาวาราวกับว่าพวกเขาได้รับการแช่แข็งไว้ในสภาพดัง กล่าว

การศึกษาสภาพสังคมของชาวปอมเปอีที่ถูกฝังไว้ใต้ลาวาที่ แข็งตัวนั้นจะเห็นว่ามันเต็มไปด้วยสารัตถะ จากบันทึกทางประวัติศาสตร์แสดงให้เราทราบว่า เมืองดังกล่าวเป็นศูนย์กลางของความบันเทิงเริงรมย์และความวิตถาร เมืองดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในนามเมืองแห่งโสเภณี ซึ่งมีซ่องจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วเมืองอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายเพศชายตาม ขนาดจริงจะถูกแขวนไว้ที่ประตูของซ่องโสเภณี วัฒนธรรมของชาวปอมเปอีมีพื้นฐานความเชื่อแบบ มิเธอิก (Mithraic) อวัยวะเพศและการร่วมประเวณีจะไม่มีการปิดบังแต่เป็นเรื่องเปิดเผย ธรรมดาทั่วไป
แต่ทว่าลาวาแห่งภูเขาไฟฟิสยูเฟียสได้ไหลท่วมไปทั้งเมืองทำให้เมืองทั้งเมือง ถูกลบออกไปจากแผนที่โลกโดยใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ประเด็นที่น่าสนใจอย่างมากในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือไม่มีผู้ใดหลบหนีพ้น จากลาวาของภูเขาไฟฟิสยูเฟียสได้แม้เพียงคนเดียว ราวกับว่าพวกเขาไม่ทันได้สังเกตความหายนะที่กำลังจะมาประสบเลย

มีบางครอบครัวกำลังนั่งรับประทานอาหารถูกลาวาครอกกลายเป็นสุสานหินในบัดดล สุสานหินจำนวนมากที่ค้นพบมีลักษณะการร่วมเพศของร่างสองร่างเป็นเพศเดียวกัน อีกทั้งมีคู่ของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงจำนวนหนึ่งอยู่ในลักษณะร่วมเพศกัน อีกด้วย ศพมนุษย์ปอมเปอีที่ถูกทำให้เป็นหินด้วยลาวาภูเขาไฟเหล่านี้มีสภาพสมบูรณ์มาก
ใบหน้าของศพบางศพแสดงออกว่าเขารู้สึกงงงวงและตกใจอย่างมาก
ประเด็นที่ยาก จะเข้าใจต่อหายนะของชาวปอมเปอีในครั้งนี้ก็คือ ทำไมคนเป็นพันๆคนจึงรอให้เกิดมหันตภัยถึงแก่ชีวิตโดยไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ต่อสิ่งผิดปกติใดๆก่อนเลย
ประเด็นการหายสาบสูญไปของชาวปอมเปอีคล้ายกันกับที่ได้นำเสนอไว้ในอัลกุรอาน เกี่ยวกับการทำลายล้างเพราะอัลกุรอานได้ชี้เฉพาะลงไปด้วยการใช้คำว่า “การทำล้างอย่างทันทีทันใด” ต่อการเกิดขึ้นของมหันตภัยดังกล่าว ตัวอย่างเช่น ในอัลกุรอานได้อธิบายไว้ในซูเราะฮฺยาซีนถึงการตายของ “ชาวเมือง” หมดสิ้นภายในครั้งเดียว ปรากฎการณ์ดังกล่าวได้บอกไว้ในอายะฮต่อมา ดังนี้

มันไม่ใช่อื่นใดเลย นอกจากเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียว แล้วเมื่อนั้นพวกเขาก็ดับเงียบ
ในอายะฮที่31 ซูเราะฮฺ อัลเกาะมัร ได้กล่าวเรื่องดังกล่าวไว้อีกครั้งถึง “การทำลายล้างอย่างทันทีทันใด” ในการทำลายล้างชาวษะมูต
แท้จริง เราได้ส่งเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียวลงบนพวกเขา แล้วพวกเขากลายเป็นเช่นเศษไม้แห้ง

การตายของชาวปอเปอีเป็นการตายแบบทันทีทันใดเช่นเดียวกันกับที่อัลกุรอานได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้
ทั้ง หมดที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่า สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่ชาวปอมเป อีในอดีตได้ประสบแม้แต่น้อย หมู่บ้านของชาวเนบลัสได้กลายเป็นสถานบันเทิงอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ได้นำบทเรียนที่ชาวปอมเปอีในอดีตได้ประสบ

บนเกาะแคปรี (Capri) ได้กลายเป็นสวรรค์ของชาวรักร่วมเพศ อันเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวที่เลื่องชื่อ ไม่เพียงแต่เกาะแคปรีและประเทศอิตาลีเพียงเท่านั้น แต่ทว่าเกือบทั้งโลกกลับให้การยอมรับการเสื่อมโทรมทางศีลธรรมเช่นนี้

อีกทั้งผู้คนต่างไม่ยอมนำบทเรียนจากประชาชาติโบราณมาคิดใคร่ครวญ
และ เสียงกัมปนาทได้คร่าบรรดาผู้อธรรม แล้วพวกเขาได้กลายเป็นผู้นอนพังพาบตายในบ้านของพวกเขา ประหนึ่งว่า พวกเขามิได้เคยอยู่ในนั้นมาก่อน

พึงทราบเถิด! แท้จริงษะมูตนั้นปฏิเสธศรัทธาพระเจ้าของพวกเขา พึงทางเถิด! จงห่างไกลจากความเมตตาเถิดสำหรับษะมูต (ซูเราะฮฺ ฮูด: 67-68)


http://www.oknation.net/blog/saki/2007/10/02/entry-1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 04, 2009, 08:35 AM โดย راجيس »

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #91 เมื่อ: พ.ย. 04, 2009, 10:34 AM »
0
 salam
เรื่องราวของชนยุคโบราณที่นำเสนอในอัลกุรฺอานนั้น น่าสนใจศึกษามาก เพราะ "ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย" ถ้ามนุษยชาติยังไม่รู้สำนึก
เรื่องการระเบิดของภูเขาไฟวิสซุเวียสนั้นมีบันทึกในประวัติศาสตร์ชัดเจน มีการค้นพบทางโบราณคดีที่เป็นหลักฐานสนับสนุน เข้าใจว่าไม่ได้ปรากฏในอัลกุรฺอาน
แต่สาเหตุมาจากเรื่องเดียวกัน คือ ความผิดในลักษณะรักร่วมเพศชาย ซึ่งแพร่หลายอยู่ในยุคปัจจุบัน คนสมัยนี้ไม่กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกันบ้างหรือไร
เมื่อยังเล็กมาก ๆ จำได้ว่ามีหนังสองเรื่องที่บรรยายถึงเหตุการณ์ที่เมืองปอมเปอีและเมืองสะดูม (สร้างตามแนว อิสรออีลียะฮฺ)
ชื่อเรื่อง โซดอมและกอมโมร่า กับเรื่อง ถล่มปอมเปอี เนื้อเรื่อง้ป็นอย่างไรนั้น เลือนไปหมดแล้ว
ขอบคุณผู้นำเสนอที่ทำให้พวกเราได้เกิดความตระหนัก และเพิ่มพูนตักวา ยำเกรงการลงโทษของอัลลอฮฺ
ใครที่มีลูกหลานแสดงอาการไม่ปกติทางเพศให้เห็น เป็นผู้ชายตุ้งติ้ง เขียนคิ้วทาปาก ต้องตักเตือน ช่วยกันดูแลสังคมมุสลิมของเรานะครับ
หมายเหตุ: 1. เมือง Naples นี่ใช่เมือง เนเปิลส์ ที่ตั้งสโมสรสรฟุตบอล นาโปลี ของอิตาลี หรือเปล่าครับ
              2. ยังมีเรื่องราวของประชาชาติที่ถูกทำลาย และกล่าวไว้ในอัลกุรฺอานอีกหลายเรื่อง เช่น ชาวคันคู อาด และษะมูต ใครมีข้อมูลช่วยนำเสนออีกครับ
                 ถ้าผมจัดระเบียบตู้หนังสือที่บ้านเสร็จ อาจร่วมนำเสนอด้วย

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #92 เมื่อ: พ.ย. 04, 2009, 09:12 PM »
0
 salam

ญะซากัลลอฮุคอยรอน

อ่านไปก็เอนไป เอนไปเอนมา มารู้สึกตัวอีกทีเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแระ
(เพราะเผลอหลับไป) ตื่นมาอ่่านต่อจนจบแล้วค่ะ hehe

ชอบประวัติศาสตร์สุดๆค่ะ...โดยเฉพาะเรื่องพีระมิด อันน่าพิศวง...
และอะไรอีกมายที่ชวนให้ค้นหา บางทีอ่านกันไม่หลับไม่นอนค่ะ
ต้องรอให้เผลอหลับไปเองโน่นแหล่ะค่ะ....เหอๆๆ...

แต่ยังสงสัยเรื่อง เมืองทองอะไรสักอย่างที่นักโบราณคดีกำลังควานหาอยู่
ที่บอกว่ามีขุมทรัพย์สุดจะคำนวณได้อยู่ในท้องทะเลทราย...
อันนี้หาข้อมูลเชิงลึกไม่ได้สักที...มีก็แค่หางอึ่ง...อยากรู้เช่นกันค่ะว่า
เมืองทองใต้ท้องทะเลทรายที่ว่าจะอยู่ ณ หนใดของโลก...

อีกอันนึงก็เรื่องเรือของท่่านนบีนุฮฺ อาลัยอิสลาม
หรือที่ชาวยิวและคริสต์เรียกวว่าเรือของโนอา...อันนี้พวกนักโบราณคดี
และนักปีนเขาก็ควานหาอยู่เช่นกันค่ะ...
(เคยอ่านเจอ ขอไปควานหาในคลังข้อมูล
และหากดูแล้วเหมาะสมแก่การนำเสนอ จะขอร่วมแจมด้วยคนนะคะ) ;D

ปล.อ่านประวัติท่านนบีนุฮฺ อาลัยอิสลามแล้วประทับใจ...
สัตว์ทั้งหลายต่างก็รักท่าน...
เพราะท่านได้ช่วยชีวิตสัตว์เอาไว้มากมาย และ ฯลฯ

 cool2:

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ AUZULODEEN

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 625
  • เพศ: ชาย
  • ทุกๆชีวิตต้องได้ลิ้มรสแห่งความตาย
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #93 เมื่อ: ม.ค. 15, 2010, 12:05 PM »
0
 salam
ขอบคุณสำหรับความรู้
แท้จริงเราเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และเราจะต้องกลับคืนไปสู่พระองค์

ออฟไลน์ binti

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 261
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #94 เมื่อ: ม.ค. 28, 2010, 02:04 PM »
0
ญาซากัลลอฮุค็อนร็อน 

ขอบคุณสำหรับความรู้  คำตักเตือน  ข้อคิดดีๆ 

ที่พี่น้องช่วยกันนำเสนอค่ะ
อัสตัฆฟิรุลลอฮัลอะซีม

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #95 เมื่อ: ก.พ. 19, 2010, 09:14 PM »
0
 salam

ขออนุญาตนำเสนอต่อจาก « ตอบ #80 เมื่อ: ก.ย. 03, 07, 11:09 pm » โดยใช้เอกสารอ้างอิงดังนี้
1. เรื่องราวของบรรดานบี (Stories of The Prophets) อิมาม อิบนุกะซีรฺ (เขียน) บรรจง บินกาซัน(แปล)
2. เรื่องเล่ากุรอาน เล่ม 2 ซะอ์ ยูซุฟ อะบูอะซีซ (เขียน) อับดุลลอฮ์ โต๊ะมิ(แปล)
3.  ประชาชาติที่ถูกทำลาย บัสเราะ (เรียบเรียง)

ซึ่ง คุณ นัซซอเราะฮฺ ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า


 
อ้างถึง
หลังจากที่เทวทูตทั้งสองเสร็จสิ้นการบอกข่าวดีแก่นบีอิบรอฮีมแล้ว
พวกเขาก็ออกเดินทางไปหานบีลูฏ...



โปรดติดตามต่อไป...

โปรดติดตามต่อได้ ณ บัดนี้

มะลาอิกะฮฺทั้งสาม(1)ได้มุ่งหน้าสู่เมืองโซดอม(สะดูม) พวกเขามาถึงกำแพงเมืองในตอนเย็น คนแรกที่มองเห็นมะลาอิกะฮฺในร่างมนุษย์ทั้งสามก็คือลูกสาวของนบีลูฏที่กำลังตักน้ำอยู่ข้างแม่น้ำ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นคนทั้งสาม เธอต้องตกตะลึงเพราะไม่เคยเห็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาดีอย่างนี้มาก่อนบนโลก
   หนึ่งในชายทั้งสามได้ถามเธอว่า “สาวน้อย มีที่พักสักแห่งไหม?”
   ด้วยการรู้นิสัยใจคอของคนในเมือง เธอได้ตอบว่า “จงอยู่ที่นี่ก่อนและจงอย่าเข้าเมืองจนกว่าฉันจะบอกให้พ่อของฉันได้รู้และกลับมา” หลังจากนั้น เธอก็ทิ้งเหยือกน้ำไว้และรีบวิ่งกลับบ้านทันที
   “พ่อ” เธอตะโกนเสียงดัง “มีชายหนุ่มสามคนต้องการพบพ่อที่ประตูเมือง ฉันไม่เคยเห็นหน้าของพวกเขามาก่อนเลย”
   ด้วยความรู้สึกวิตก นบีลูฏรีบวิ่งไปยังผู้มาเยือน เขาได้ถามคนเหล่านั้นว่ามาจากไหนและจะไปไหน
   พวกเขาไม่ตอบคำถามของนบีลูฏ แต่กลับถามว่าเขาจะต้อนรับพวกเขาได้ไหม นบีลูฏได้เริ่มพูดกับพวกเขาและพยายามเน้นให้พวกเขาได้รู้ถึงลักษณะนิสัยของผู้คนของเขา นบีลูฏรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เขาต้องการที่จะทำให้แขกของเขาเชื่อในสิ่งที่เขาพูดว่าอย่าได้เข้าไปค้างคืนที่นั่น โดยไม่ได้รบเร้าคนเหล่านั้น แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการที่จะให้การต้อนรับแขกแปลหน้าด้วยความอบอุ่นตามที่ควรจะต้องให้แก่ผู้มาเยือน แต่ความพยายามของเขาก็ไม่สามารถทำให้แขกของเขาเข้าใจถึงสถานการณ์อันน่ากลัวได้ ในที่สุด เขาก็ขอร้องให้แขกของเขาคอยจนกระทั่งถึงเวลากลางคืนเสียก่อน เพราะจะได้ไม่มีใครเห็นพวกเขา
   เมื่อถึงเวลากลางคืน นบีลูฏก็นำแขกของเขาไปยังบ้านของเขา ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ตาม เมื่อภรรยาของนบีลูฏเห็นคนเหล่านั้น นางก็แอบออกจากบ้านอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครสังเกตเห็น นางรีบไปหาคนของนางอย่างรวดเร็วพร้อมกับบอกข่าวเรื่องของผู้แปลกหน้า ไม่นานนัก ข่าวก็แพร่ออกไปเหมือนกับไฟไหม้ป่า ผู้คนได้รีบมายังบ้านของนบีลูฏด้วยความตื่นเต้น นบีลูฏประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ผู้คนรู้ถึงเรื่องแขกของเขาและแปลกใจว่าใครเป็นคนที่บอกคนเหล่านั้น ในที่สุด เมื่อเขาไม่เห็นภรรยาของเขาอยู่ในบ้าน เขาก็รู้ชัดขึ้นมาทันทีและมันทำให้เขารู้สึกเศร้าใจมากยิ่งขึ้น
   เมื่อนบีลูฏเห็นฝูงชนเข้ามาใกล้บ้านของเขา เขาได้ปิดประตู แต่ผู้คนก็ยังทุบประตูอยู่ เขาได้อ้อนวอนผู้คนให้ปล่อยผู้มาเยือนไว้ตามลำพังและให้เกรงกลัวการลงโทษของอัลลอฮฺ เขาบอกผู้คนเหล่านั้นให้กลับไปเสพสุขกับภรรยาของพวกเขา เพราะนั่นเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงอนุมัติ
   ผู้คนของนบีลูฏได้คอยอยู่จนกระทั่งเขาพูดจบ แต่เมื่อเขาพูดจบแล้ว ผู้คนทั้งหลายก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ด้วยความมัวเมาในตัณหาจนตาบอด พวกเขาพังประตูเข้ามา นบีลูฏรู้สึกโกรธมาก แต่เขาก็ไม่มีกำลังที่จะไปต่อต้านคนที่รุนแรงเหล่านี้ เขาไม่สามารถป้องกันการล่วงละเมิดต่อแขก แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดขอร้องฝูงชนต่อไป
   ในช่วงเวลาอันน่ากลัวนั้น เขาอยากที่จะมีพลังผลักผู้คนออกไปจากแขกของเขา เมื่อแขกของนบีลูฏเห็นว่าเขาช่วยตัวเองไม่ได้ พวกเขาจึงกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวลหรือตกใจ ลูฏ เพราะเราคือมะลาอิกะฮฺ และคนเหล่านี้จะทำร้ายท่านไม่ได้”
   เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คนก็ตกใจกลัวและหนีออกไปจากบ้านของนบีลูฏ พร้อมกับตำขู่อาฆาต มะลาอิกะฮฺได้เตือนให้นบีลูฏออกจากบ้านของเขาก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นและให้นำคนในครอบครัวของเขาทั้งหมดไปด้วยยกเว้นภรรยาของเขา
   อัลลอฮฺได้ออกคำสั่งมาแล้วว่า เมืองโซดอมจะต้องถูกทำลาย ดังนั้น แผ่นดินไหวจึงเกิดขึ้น ทำให้เมืองโซดอมต้องสั่นสะเทือนเหมือนกับมีอำนาจอันทรงพลังยกเมืองทั้งเมืองขึ้นและโยนมันลงมาอย่างแรงในคราวเดียว หลังจากนั้น พายุหินก็ตกลงมาบนเมือง ทุกคนและทุกสิ่งได้ถูกทำลายรวมทั้งภรรยาของนบีลูฏด้วย
   อัลลอฮฺได้ทรงเล่าเรื่องนี้ให้เราได้ทราบว่า(อัลหิจญริ 15 : 61 – 77)



61. ครั้นเมื่อพวกทูตได้มายังบริวารของลูฏ


62. เขา (บริวารของลูฏ) กล่าวว่า “แท้จริงพวกท่านเป็นกลุ่มชนที่ไม่คุ้นหน้า”(ฉันไม่รู้จักพวกท่าน และท่านต้องการอะไร ?)

 
63. พวกเขากล่าวว่า “แต่ว่าเรามาหาท่าน (ลูฏ) ด้วยเรื่องที่พวกเขาสงสัยกันอยู่(การลงโทษที่ได้มีการสัญญากันไว้)


64. “และเรามาหาท่านด้วยเรื่องจริง( เพื่อยืนยันถึงการลงโทษ) และแท้จริงเราเป็นผู้ซื่อสัตย์อย่างแน่นอน


65. “ดังนั้น ท่านจงเดินทางไปกับครอบครัวของท่าน ในช่วงเวลากลางคืน และจงตามหลังพวกเขา และอย่าให้ผู้ใดในหมู่พวกท่านเหลียวหลัง(เพื่อที่จะไม่ได้เห็นการลงโทษที่น่ากลัว ที่จะประสบแก่พรรคพวกของเขา)และจงเดินต่อไปตามที่พวกท่าน ถูกบัญชา”(เดินต่อไปยังประเทศชาม)


66. และเราได้แจ้งแก่เขาถึงเรื่องนั้นว่า คนสุดท้ายของพวกเหล่านี้จะถูกตัดขาดในยามเช้า(คือจะตายด่าวดิ้นอย่างถอนรากถอนโคน ไม่เหลือสักคน)


67. และชาวเมือง(ชาวเมืองซะดูม ซึ่งเป็นชนชาติของลูฏ) ได้มาหาอย่างดีใจ(โดยคิดว่าแขกเหล่านั้นเป็นมนุษย์เหมือนพวกตน และหวังที่จะทำลามก)


68. เขา (ลูฎ) กล่าวว่า “แท้จริง เขาเหล่านั้นคือแขกของฉัน ดังนั้น พวกท่านอย่าทำให้ฉันอัปยศ


69. “และจงยำเกรงอัลลอฮ์ และอย่าทำให้ฉันได้รับความละอาย”


70. พวกเขากล่าวว่า “และเรามิได้ห้ามท่านเกี่ยวกับการต้อนรับแขกดอกหรือ?”(อัรรอซีย์กล่าวว่า ความหมายคือ เราได้ห้ามท่านมิให้พูดกับใครดอกหรือ เมื่อเราต้องการจะทำลามก)


71. ลูฏกล่าวว่า “เขาเหล่านี้คือลูกสาวของฉันหากพวกท่านจำเป็นต้องกระทำ?”(หากมีความต้องการก็แต่งงานกับพวกเธอ)


72. ขอสาบานด้วยชีวิตของเจ้า(อัลลอฮ์ทรงสาบานด้วยชีวิตของมุฮัมมัด อันเป็นการยกย่องให้เกียรติแก่ท่าน) แน่นอนแท้จริงพวกเขาอยู่ในการมึนเมาหลงทาง


73. ดังนั้น เสียงกัมปนาทได้คร่าพวกเขาเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น


74. แล้วเราได้พลิกกลับส่วนบนของมันเป็นส่วนล่าง(คือพลิกแผ่นดิน) และได้ให้หินจากนรกหล่นลงมาทับพวกเขา


75. แท้จริงในการนั้น แน่นอนเป็นสัญญาณแก่บรรดาผู้พินิจพิเคราะห์


76. และแท้จริง มัน(สถานที่นั้น)ยังคงเป็นเส้นทางที่พักอาศัยอย่างแน่นอน


77. แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่บรรดามุอ์มิน

และได้ทรงดำรัสอีกว่า(อัชชุอะรออ์ 26 : 170 - 175)


170. ดังนั้นเราได้ช่วยเขา และบริวารของเขาทั้งหมดให้รอดพ้น


171. นอกจากหญิงแก่คนหนึ่ง(หมายถึงภรรยาของเขา) ซึ่งนางอยู่ในหมู่ผู้ถูกทำลาย
 

172. แล้วเราได้ทำลายพวกคนอื่น


173. และได้ให้ห่าฝนตกลงมาบนพวกเขา(คือเป็นก้อนหินตกลงมาเหมือนกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก)ดังนั้นฝนของบรรดาผู้ถูกตักเตือนมันชั่วร้ายเสียนี่กระไร!


174. แท้จริงในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณหนึ่งอย่างแน่นอน แต่ส่วนมากของพวกเขาไม่เป็นผู้ศรัทธา


175. และแท้จริงพระเจ้าของสูเจ้านั้นแน่นอนพระองค์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

และทรงดำรัสอีกว่า(ฮูด 82-83)


82. ดังนั้น เมื่อพระบัญชาของเราได้มาถึง(เมื่อเวลาการลงโทษของเรามาถึง) เราได้ทำให้ข้างบนของมันเป็นข้างล่าง(เราได้พลิกหมู่บ้านให้ข้างบนกลับไปอยู่ข้างล่าง) และเราได้ ให้ก้อนหินแกร่งหล่นพรูลงมา(เราได้ส่งก้อนหินแข็งแกร่งลุกเป็นไฟ ประโยคนี้ใช้คำเปรียบเทียบเหมือนกับฝนตกลงมา)


  83. ถูกตราเครื่องหมายไว้ ณ ที่พระเจ้าของท่าน และมัน(คือหมู่บ้านที่ถูก ทำลายนี้ไม่ไกลไปจากพวกท่าน (พวกกุฟฟารกุเรช) เพราะพวกเขาได้เดินทางผ่านไปมาอยู่เสมอ พวกเขาไม่ตรึกตรองดูบ้างดอกหรือ? นักตัฟซีรกล่าวว่า สถานที่นั้นได้กลายเป็นทะเลที่มีน้ำเค็มจัดเป็นที่รู้จักกันว่า  Dead Sea ซึ่งอยู่ในประเทศจอร์แดนปัจจุบันนี้) ไม่ไกลไปจากบรรดาผู้อธรรม

    ผุ้คนของนบีลูฏได้ถูกทำลายไปหมดสิ้นแล้ว เมืองและชื่อของพวกเขาได้ถูกลบออกไปจากแผ่นดิน และพวกเขาถูกทำให้สูญสิ้นไปจากความทรงจำ
    หลังจากนั้น นบีลูฏได้ไปหานบีอิบรอฮีม และเมื่อเขาได้เล่าเรื่องราวของคนของเขาให้ นบีอิบรอฮีมฟัง เขาก็แปลกใจที่รู้ว่า นบีอิบรอฮีมรู้เรื่องนี้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม นบีลูฏก็ยังคงเชิญชวนผู้คนไปสู่อัลลอฮฺเหมือนกับนบีอิบรอฮีมผู้อดทน ผู้ที่หันไปหาอัลลอฮฺด้วยการขออภัย และทั้งสองยังคงยึดมั่นในภารกิจของพวกเขาต่อไป


(1) เริ่มต้นเรื่องว่ามะลาอิกะฮฺ 2 ท่าน แต่จากเอกสารอ้างอิงหลายเล่มว่ามีมะลาอิกะฮฺมาพบท่านนะบียฺลูฏ 3 ท่าน

(ยังมีต่อ)
 .
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 19, 2010, 09:48 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #96 เมื่อ: ก.พ. 20, 2010, 10:22 AM »
0
 salam

สถานที่แห่งข้อเตือนใจ
    อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ทรงมีพระประสงค์และเป็นวิทยปัญญาข้อเตือนใจให้ชนรุ่นหลังไปตรึกตรองโดยทิ้งร่องรอยหลักฐานในอดีตของยุคนบีลูฏ สถานที่แห่งนี้เรียกว่า “บะหฺรุลมัยยิต”(بحرالميت) ทะเลมรณะ หรือ Dead sea เดิมทีอยู่ในเขตแดนของเมืองชาม ปัจจุบันอยู่ในประเทศจอร์แดนเพื่อเป็นข้อเตือนใจแก่คนปัจจุบันและเป็นภาพฟ้องประจานเรื่องราวในอดีต ดังที่พระองค์ดำรัสว่า


40. และแน่นอน พวกเขาได้ผ่านมายังหมู่บ้านซึ่งถูกทำลายโดยก้อนหินจากฟากฟ้า แล้วพวกเขาไม่เห็นมันดอกหรือ(พวกกุเรซได้เดินทางผ่านบ่อยครั้ง ในการค้าขายของพวกเขาไปยังเมืองชาม คือผ่านไปยังหมู่บ้านที่ถูกทำลายโดยก้อนหินจากฟากฟ้า คือหมู่บ้าน(ซะดูม) ซึ่งเป็นหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่งของชนชาติลูฏ)? เปล่าหรอก! พวกเขาไม่หวังที่จะกลับคืนชีพอีกต่างหาก (อัลฟุรฺกอน 25:40)

เกี่ยวกับทะเลมรณะนี้ ได้มีกล่าวบ้างแล้วในบางกระทู้ ขอนำข้อมูลมาเสนออีกครั้งหนึ่ง
(http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B8%B5)
ทะเลเดดซี หรือ ทะเลมรณะ (อังกฤษ: Dead Sea; อาหรับ: البَحْر المَيّت‎, อัลบะฮฺรุลมัยยิต,ฮีบรู:ยัม ฮาเมลาห์ (ทะเลเกลือ)) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเข้มข้นของเกลือสูงมาก อยู่ระหว่างเขตจอร์แดนและอิสราเอล ระดับน้ำอยู่ต่ำที่สุดในบรรดาทะเลทั้งหลาย กล่าวคือต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางลง ไปอีกประมาณ 400 เมตร ตอนเหนือเป็นของจอร์แดน ตอนใต้แบ่งเป็นของจอร์แดนและอิสราเอล แต่หลังสงครามอาหรับอิสราเอล กองทัพอิสราเอลยังคงครอบครอบพื้นที่ฝั่งตะวันตกทั้งหมดอยู่
ทะเลเดดซีอยู่ระหว่างเทือกเขายูเดียที่ด้านเหนือ และที่ราบสูงทรานสจอร์แดนที่ด้านตะวันออก แม่น้ำจอร์แดนจะไหลจากทางเหนือมายังทะเลเดดซีนี้ ซึ่งมีความยาว 80 กิโลเมตร และมีความกว้างถึง 18 กิโลเมตร ส่วนพื้นที่นั้น 1,020 ตารางกิโลเมตร แหลมอัลลิซาน (แปลว่า ลิ้น) แบ่งทะเลสาบด้านตะวันออกเป็นสองส่วน ตอนเหนือใหญ่กว่า ล้อมรอบพื้นที่ 3/4 ของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนความลึกนั้นประมาณ 400 เมตร แอ่งตอนเหนือนั้นเล็ก และตื้น (ลึกประมาณ 3 เมตร) ในสมัยที่เขียนคัมภีร์ไบเบิล จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 พื้นที่บริเวณตอนเหนือเท่านั้นที่มีผู้อยู่อาศัย และระดับน้ำต่ำกว่าในปัจจุบัน 35 เมตร
ทะเลเดดซีอยู่ในเขตทะเลทราย น้ำเค็ม ฝนตกก็น้อย และไม่สม่ำเสมอ ปีหนึ่งราว 65 มิลลิเมตร
เหตุที่เรียกว่าเดดซีเพราะทะเลสาบนี้ไม่มีทางออกสู่ทะเลแห่งอื่นเลย มีเพียงแม่น้ำจอร์แดนที่ไหลลงสู่ทะเลเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปน้ำในทะเลนี้ระเหยขึ้นทำให้เกลือในทะเลสาบเดดซีตกค้างอยู่ใน บริเวณเดิมน้ำในทะเลสาบเดดซีจึงมีความเค็มมากกว่าน้ำทะเลปกติถึง6เท่า ด้วยเหตุที่น้ำมีความเค็มมากขนาดนี้ทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จึงเรียก ทะเลสาบนี้ว่าทะเลสาบเดดซี มีความหมายว่าทะเลสาบมรณะ



หาดเกลือ (ไม่ใช่หาดทราย)ของทะเลมรณะ ยามอาทิตย์อัสดง
 


แสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นของเกลือบริสุทธิ์ที่มากกว่าทะเลทั่วไป 6 เท่า
จนทำให้สามารถลอยตัวอยู่ในน้ำทะเลมรณะนี้ได้


การเดินทางท่องเที่ยวทะเลมรณะหรือแหล่งอื่นที่ทำให้ได้รับรู้ถึงการลงโทษ เพื่อพิจารณาบั้นปลายของผู้ที่ดื้อดึงต่อคำสั่งของอัลลอฮฺ ถือเป็นสิ่งที่ควรกระทำประการหนึ่ง ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า



137. แน่นอนได้ผ่านพ้นมาแล้วก่อนพวกเจ้า ซึ่งแนวทางต่างๆ (คือแนวทางของอัลลอฮ์ที่ทรงปฏิบัติแก่ประชาชาติในอดีต กล่าวคือผู้ใดดื้อดึงและฝ่าฝืนบัญญัติของพระองค์หรือคำสั่งของเราะสูลแน่นอน ความพินาศก็ย่อมประสบแก่พวกเขา) ดังนั้นพวกเจ้าจงท่องเที่ยวไปในแผ่นดิน แล้วจงดูว่าบั้นปลายของบรรดาผู้ปฏิเสธเป็นอย่างไร?        อาละอิมรอน 3:137

อิบนิกะซีรกล่าวว่า : อัลลอฮฺได้ทรงทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นทะเลสาบที่ไร้ประโยชน์ น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ก็ไร้ประโยชน์และสิ่งที่อยู่รอบข้างก็ไร้ประโยชน์ รวมถึงไร้สิ่งมีชีวิตด้วย อัลลอฮฺได้ทรงให้คงสภาพเช่นนี้ไว้ เพื่อเป็นข้อเตือนใจแก่คนรุ่นหลังที่ปฏิเสธต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์และปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม มีโฆษณาอย่างนี้ทางอินเตอร์เนต จริงหรือไม่ วัลลอฮุอะอฺลัม


ทะเลเดดซี ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า โคลนที่นี่เป็นโคลนที่ดีที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลกสำหรับความงาม มีโคลนพอกหน้าดีที่สุดในโลกอยู่ 3 แห่ง คือ โคลนทะเลเดดซีจากอิสราเอลและจอร์แดน โคลนภูเขาไฟจากโรมาเนีย และโคลนบ่อน้ำพุร้อนจากภูโคลนในประเทศไทย โคลนเดดซีจัดเป็นโคลนธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความสวยความงามอย่างแท้จริง เพราะเป็นโคลนจากทะเลน้ำเค็ม ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากหิมะละลายบนเทือกเขาสูงในประเทศซีเรียและจอร์แดนพาเอาดิน โคลนบริสุทธิ์จากเทือกเขาไหลลงมารวมกันที่ทะเลเดดซีนี้นับพันๆปี แร่ธาตุเหล่านี้อาทิ โซเดียม โปแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเนียม โบไมด์ เหล็ก เป็นแร่ธาตุซึ่งมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดใบหน้าได้อย่างล้ำลึก สรรพคุณของโคลนที่นี่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเมื่อนำมาพอกหน้าพอกตัวแล้ว เนื้อโคลนที่ละเอียดและมีอนุภาคเล็กมากสามารถแทรกซึมผ่านผิวหนังเพื่อดูดจับ เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกฝังลึกต่างๆ เช่นคราบไขมัน คราบควันบุหรี่ เครื่องสำอาง ให้หลุดออกมากับเนื้อโคลน ทำให้ผิวหน้าสะอาดอย่างแท้จริง สิ่งสกปรกอุดตันตามรูขุมขนถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น กระบวนการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่จะไม่ถูกปิดกั้นจากสิ่งสกปรกฝังลึกหรือเซลล์ ที่ตายแล้ว ดังนั้นร่างกายจะสร้างเซลล์ใหม่เร็วขึ้นใบหน้าจึงดูสดใส ผิวพรรณช่วยทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึกถึงรูขุนขน สามารถขจัดสิ่งสกปรกต่างๆที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้าออกได้อย่างหมดจด รูขุมขนสะอาดไม่อุดตัน ช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้เป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่เป็นสิวอยู่แล้วจะช่วยให้สิวแห้งและหลุดออกไวขึ้น โดยไม่ทิ้งแผลเป็นไว้บนผิวหน้า ทั้งยังรักษาสมดุลของผิว กระชับรูขุมขนให้แลดูเล็กลง คืนความอ่อนเยาว์และเปล่งปลั่งสดใสให้กับผิว

โคลนพอกหน้าเดดซี (Dead Sea Mineral)
มี แร่ธาตุกว่า 40 ชนิด ที่มีประโยชน์ในการฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรงขึ้นจากภายใน ได้แก่ แมกนีเซียม โปรแตสเซียม แคงเซียม โบรไมด์ เป็นต้น อันมีคุณสมบัติในการบำบัดและรักษาโรคผิวหนังต่างๆ ลดอาการอักเสบของผิว กระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิต เสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ ปรับสีผิวให้เนียนใส ทำให้ผิวรู้สึกสดชื่นมีสุขภาพดี และด้วยความเข้มข้นของแร่ธาตุต่างๆที่มีอยู่ในน้ำแร่เดดซี จึงช่วยให้ผิวมีความอิ่มเอิบ ทั้งยังป้องกันการสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงผิว นอกจากนี้น้ำแร่เดดซียังมีส่วนประกอบของน้ำมันตามธรรมชาติที่จะเป็นฟิล์ม ป้องกันผิวไม่ให้ถูกทำลายจากมลภาวะต่างๆและปกป้องผิวจาการสูญเสียความชุ่ม ชื้นและช่วยต่อต้านการร่วงโรยของผิว ผิวของคุณจึงแลดูสดใส อ่อนเยาว์ (http://www.pantipmarket.com/items/8853589)


ยังมีต่อ.....อีกนิด..............นุง คอยหน่อยละกัน

วัสสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 20, 2010, 10:24 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #97 เมื่อ: ก.พ. 20, 2010, 11:37 AM »
0
 salam

ต่อจากคราวที่แล้วนะครับ

หุกุม ข้อชี้ขาดเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเหมือนกลุ่มชนลูฏ


   อิสลามถือว่าผู้ร่วมสังวาสทางทวารหนักหรือรักร่วมเพศเป็นโทษใหญ่จะได้รับการลงโทษทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ
   อิบนุก็อยยิมกล่าวว่า : อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ยังไม่เคยลงโทษ(บะลา)ครั้งยิ่งใหญ่แก่กลุ่มชนหนึ่งกลุ่มคนใดจากมวลมนุษยชาติในยุคก่อนรุนแรงกว่าที่ลงโทษกลุ่มลูฏเลย รวมการลงโทษหลากหลายชนิดอยู่ในครั้งเดียวกัน ธรณีสูบ พลิกแผ่นดิน ห่าฝนหินที่ลุกเป็นไฟตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างรุนแรง เป็นการลงโทษที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในมวลมนุษยชาติ ความหายนะครั้งใหญ่นี้ ซึ่งก่อนที่แผ่นดินจะพลิกตัว เหล่าบรรดามะลาอิกะฮฺต่างกระจัดกระจายออกจากพื้นที่ บ้างขั้นไปบนฟากฟ้า บ้างออกนอกพื้นที่ อันเนื่องมาจากกลัวโดนลูกหลงจากการลงโทษในครั้งนี้  จนเกือบที่ภูเขาจะเคลื่อนตัวหนีด้วย
   มีรายงานจากมุฮัมมัด อิบนิ อัลมุงกะดีรฺว่า : แท้จริงท่านคอลิด อิบนิ อัลวะลีด ได้ส่งสารถึงท่านอะบูบักร อัศศิดดีกว่า : เขาได้พบชายคนหนึ่งอยู่ท้ายเมืองมะดีนะฮฺ กำลังแต่งงานกับชายที่เลียนแบบผู้หญิง(คือแต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน) เมื่อท่านอะบูบักรทราบเช่นนั้นจึงได้เรียกเหล่าเศาะหาบะฮฺเข้ามาประชุมกัน หนึ่งในบรรดาเศาะหาบะฮฺนั้นก็มีท่านอะลียฺ อิบนิอะลีฏอลิบ โดยที่ท่านอะลียฺ มีความเห็นว่า : นี่คืออาชญากรรมชนิดหนึ่งซึ่งไม่เคยมีประชาชาติหนึ่งประชาชาติใดเคยปฏิบัติมาก่อน เว้นแต่ประชาชาติเดียวเท่านั้น คือกลุ่มชนลูฏ อัลลอฮฺทรงลงโทษพวกเขามาแล้วดังที่พวกท่านทราบกันดี ดังนั้นฉันขอออกความเห็นว่า จัดการลงโทษเชาโดยการเผาไฟ และบรรดาเศาะหาบะฮฺก็ลงมติความเห็นร่วมกันดังที่ท่านอะลียฺกล่าวมา (บันทึกโดย อิบนิอะบิดดุนยาและอัลบัยฮะกียฺ)
บางรายงานเล่าว่า :  ให้ลงโทษด้วยการขว้างและก็เผา
   อะบูอับดุลลอฮฺ อิบนิ อัลหัจญาจย์ได้กล่าวว่า บทลงโทษของผู้ที่ร่วมสังวาสทางทวารหนัก(รักร่วมเพศ)ถือว่าเป็นอาญาเหมือนกับการทำซินา คือ เฆี่ยน 100 ทีสำหรับผู้ที่ยังไม่ผ่านการแต่งงาน ส่วนผู้ที่ผ่านการแต่งงานแล้วให้ขว้างด้วยก้อนหินจนตาย มีผู้กล่าวว่า บทลงโทษของผู้ที่ร่วมสังวาสทางทวารหนักให้จับโยนมาจากที่สูง แล้วก็ขว้างด้วยก้อนหินจนตายเหมือนกับที่อัลลอฮฺ เคยลงโทษกลุ่มชนลูฏ

   บรรดาเจ้าของสุนัน ได้บันทึกหะดีษจากอิบนิอับบาสว่า ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

 

“ใครก็ตามที่ท่านทั้งหลายพบว่าเขาได้ประพฤติเช่นเดียวกับพวกลูฏ(1) ให้ท่านทั้งหลายจงสังหารทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ(2)”

(1) การประพฤติของพวกลูฏ คือ การที่ผู้ชายร่วมสังวาสกับผู้ชายทางทวารหนัก
(2) ตามหะดีษนี้ใช้ให้สังหารคนทั้งสองด้วยการโยนร่างลงมาจากที่สูงหรือด้วยการรื้ออาคารให้ถล่มทับร่างคนทั้งสอง อิมามมาลิกและอะหฺมัดได้กล่าวว่า ให้ขว้างผู้ประพฤติเช่นนั้นโดยไม่คำนึงว่าจะเคยผ่านการแต่งงานแล้วหรือไม่ อิมามชาฟิอียฺได้กล่าวว่า : ผู้กระทำให้ใช้ข้อกำหนด(หุกุม)เช่นเดียวกับผู้ละเมิดประเวณี ส่วนผู้ถูกกระทำให้เฆี่ยน 100 ครั้งและเนรเทศหนึ่งปี โดยไม่คำนึงว่าเคยผ่านการแต่งงานแล้วหรือไม่ และไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือหญิงก็ตาม
(จาก หะดีษซอเฮี๊ยะฮ์ อรุณ บุญชม แปลจาก อัตตาจฯ เล่ม 3 หน้า 378)
[/size]

   การลิวาฏนั้น ไม่มีบทลงโทษ(หัดดฺ)ที่กำหนดไว้จากอัลลอฮฺ ผู้ปกครองในประเทศอิสลามจึงสามารถที่กำหนดบทลงโทษได้ โดยที่ไม่เกินเลยจากบทลงโทษสำหรับโทษรุนแรงอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม มีข้อกำหนดจากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมว่า “ลายุอัซซะบู บิอะซาบิลลาฮฺ” อย่าลงโทษด้วยการลงโทษของอัลลอฮฺ นั่นคือ การลงโทษด้วยไฟ  วัลลอฮุอะอฺลัม

จบตอนประชาชาติของลูฏและเมืองที่ถูกพลิกแผ่นดิน
วัสสลาม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 20, 2010, 11:39 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #98 เมื่อ: ก.พ. 20, 2010, 11:53 AM »
0

สาระล้วนๆ

คงไม่มีใครพาออกทะเลนะ

ทะเลมรณะ ซะด้วย  hihi: hihi:

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #99 เมื่อ: ก.พ. 20, 2010, 05:01 PM »
0
อยากให้ซานามานาบัลกิสแมวน้อยเขาประเดิมพาออกทะเลหรือ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ mad2536

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 3
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #100 เมื่อ: เม.ย. 16, 2010, 12:33 AM »
0
 salam
กลุ่มชนอ๊าด

อ๊าดมีมีร่างกายใหญ่โต มีความแข้งแกร่ง และปรากฏหลังชนชาติของนัวะห์
กลุ่มชนอ๊าดอาศัยในตำบลอัลอะห์ก๊อฟ ซึ่งตั้งอยู่ที่แคว้น อัรรุบอุลคอลีและ อัฎรอเมาต์
เมื่องที่มีชื่อเสียงของอ๊าดคือ อิรอม
เมืิ่่ออ๊าดหันไปเคารพบูชาเจว็ดอัลลอฮจึงแต่งตั้งนบีฮู้ดเป็นศาสดาเพื่อนำทางพวกเขาสู่ทางที่ถูกต้อง และเชิญชวนพวกเคารพภักดีต่ออัลลอฮ.องค์เดียวแต่พวกอ๊าดปฏิเสธ พร้อมเย่อหยิ่งต่อนบีฮู้ด ท่านจึงเตือนให้รำลึกถึงภัยพิบัติที่ชนของนัวะได้รับพวกอ๊าดยังดื้อดึงอัลลอฮจึงลงโทษอ๊าดดังปรากฏในซูเราะฮฺ อัลหากเกาะฮฺ 6/8

6. ส่วนพวกอ๊าด ถูกทำลายด้วยลมพายุที่หนาวเหน็บ และเสียงดังก้อง

7. พระองค์ทรงให้ภัยนั้นเกิดขึ้นแก่พวกเขา เจ็ดคืนกับแปดวันต่อเนื่องกัน แล้วเจ้าจะเห็นหมู่ชนนั้นนอนตายอยู่เช่นนั้นประหนึ่งต้นอินทผลัมที่กลางล้มระเนระนาด


8. แล้วเจ้าเห็นอะไรบ้างหลงเหลือสำหรับพวกเขา

ลมพายุที่เย็นยะเยือกได้พัดทรายมาด้วยอย่างต่อเนืองเจ็ดคืนแปดวันปลิดชีพอ๊าดเกือบทั้งหมด นอกจากนบีฮู้ดและผู้ศรัทธาต่อท่านอัลลอฮ.ประทานความปลอดภัยให้แก่พวกเขา


ถ้ามีเวลาจะมาเล่าเรื่องของสะมู้ดต่อนะคร้าฟ
ท่านผู้อ่านทุกครับผมอยากไห้ท่านรำลึกถึงภัยพิบัติของชนรุ่นก่อน และละหมาดไห้ครบและอ่านอัลกรุอ่านด้วยนะคับ

ออฟไลน์ falook

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 25
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • My Twitter
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #101 เมื่อ: เม.ย. 21, 2010, 02:02 PM »
0
อัสลามมุอลัยกุม...

ดีใจจริงๆที่เจอบอร์ดนี้ หาบอร์ดและเว็บที่มีประวัติสาสตร์อิสลามให้อ่านเยอะๆมานานแล้ว แต่เจอค่อนข้างน้อย
มาเจอที่นี้ ถูกใจมากมาย  myGreat:

สงสัยต้องตามอ่านตั้งแต่กระทู้แรกกันเลย  :o

แวะมาทักทาย.. และฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ  ;D

วัสลาม...

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #102 เมื่อ: เม.ย. 21, 2010, 02:09 PM »
0
^
^
^
พวกเราดีใจ ที่ท่านดีใจ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #103 เมื่อ: เม.ย. 21, 2010, 03:15 PM »
0
พี่น้องเราที่ช่วยกันโพสข้อมูลก็ได้บุญไปเต็มๆ อินชาอัลลอฮฺ




ออฟไลน์ falook

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 25
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • My Twitter
Re: ประชาชาติที่ถูกทำลาย
« ตอบกลับ #104 เมื่อ: เม.ย. 21, 2010, 04:21 PM »
0
ญะซากัลลอฮ์..

ขอบคุณสำหรับการต้อนรับจากบอร์ดนี้  ;D

และขอบคุณสำหรับข้อมูล และความรู้มากมาย จากพี่น้องทั้งหลาย ที่มาช่วยกันให้ข้อมูลแบบเต็มอิ่มแบบนี้  mycool:

ขออัลเลาห์ทรงตอบแทนความดี.. อินชาอัลลอฮ์

อ่านจบไป หนึ่งกระทู้ ใช้เวลา 2 ชม. แหน่ะ แฮะๆ  :laugh:



.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.


เคยอ่านเจอเรื่องของชาวสะบะห์ ที่อยู่ในเยเมน ในปัจจุบัน
เป็นชนชาติที่ถูกทำลายจาก การทำให้เขื่อนพัง และน้ำในเขื่อนไหลท่วม จนเมืองทั้งเมืองพังพินาศไป
แต่มีข้อมูลน้อย รู้สึกเหมือนจะเป็นยุคที่ มีราชินี เป็นกษัตริย์ หรือยังไงไม่แน่ใจ
ไม่รู้ว่า เพื่อนๆ พอมีข้อมูลมั้ย แบ่งปันให้อ่านกันบ้างนะ
จะคอยติดตามอย่างใจจดจ่อเลย...  smile:




 

GoogleTagged