"อิสลามเรียกร้องให้มีการมองโลกในแง่ดีและความไว้วางใจกัน"
อิสลามได้สร้างรากฐานไว้ในบรรดาผู้ศรัทธา
ด้วยการทำให้หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยศรัทธา
ด้วยประการฉะนี้ ศาสนาของเราจึงนำผู้ถือศาสนา
ไปสู่ความสุขสบายและความมั่นคง
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวว่า
ท่านศาสดา ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมผู้มีเกียรตินั้น
มีความเชื่อใจคนอื่นมากเสียจนพวกตีสองหน้าพากันวิพากย์วิจารณ์ท่าน
อิสลามสั่งให้มุสลิมไว้วางใจกันและกันและให้คิดเอาว่าผู้อื่นมีเจตนาดี
เพราะฉะนั้น อิสลามจึงไม่อนุญาตให้ผู้ใดถือว่าการกระทำของมุสลิม
เป็นไปในทางชั่วช้าเลวทรามโดยไม่มีหลักฐานพยานที่เหมาะสม
ต่อการคิดไปเช่นนั้น
ท่านศาสดา ซอลลอลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“จงคาดหมายสิ่งที่ดีจากพี่น้องของท่าน นอกจากว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
ซึ่งทำให้ท่านคิดไปเป็นอย่างอื่น และจงอย่าคิดว่าถ้อยคำของเขาเลวทราม
ในเมืื่อยังมีทางที่มันจะเป็นถ้อยคำที่ดีได้” (ญามิ อัส-สะอาดาต,เล่ม2,หน้า28)
เมื่อคนเราไว้วางใจซึ่งกันและกันก็ย่อมเพิ่มความรักที่มีต่อกันและกันให้มากขึ้น
และนำเอาความกลมเกลียวกันมาสู่ชีวิตของเขา
บรรดาท่านผู้นำของมุสลิมได้แสดงให้เห็นความสำคัญของการไว้ใจกัน
ไว้หลายประการด้วยกัน
ท่านอิม่ามอลี(อ.)ได้กล่่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า
“เขาผู้ที่ไว้วางใจผู้อื่นย่อมได้รับความรักจากผู้อื่น”
(ฆุรอร อัล-ฮิกัม)
ดร.มัรดินก็ได้กล่าวว่า
“เมื่อคุณสร้างมิตรภาพกับใคร จงพยายามมองแต่ส่วนดีของเขา
แล้วก็จงพยายามสะสมลักษณะดีๆที่คุณพบในตัวเขาไว้ในความสำนึกของคุณ
ถ้าคุณสามารถจำคำแนะนำนี้ไว้ในใจได้ คุณก็จะมีชีวิตที่ดีและน่าพอใจ
และจะได้พบว่าทุกคนก็ต่างเอาด้านดีและด้านที่มีเมตตาของเขา
มาแสดงให้คุณเห็นและจะพยายามเอาชนะใจของคุณให้เป็นมิตรกับเขา”
(พิโรซี ฟีกรฺ-ภาษาเปอร์เซีย)
เป็นไปได้ด้วยว่าการดูโลกในแง่ดีและความไว้วางใจย่อมมีผลต่อความคิด
และการกระทำของผู้ที่ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด
สรุปได้ว่า ความไว้วางใจและการดูโลกในแง่ดีนั้นก่อให้เกิดรากฐาน
สำหรับการพ้นทุกข์ของบุคคลเช่นกัน
ครั้งหนึ่งท่านอิม่ามอลี(อ.)ได้กล่าวว่า
“ความไว้วางใจย่อมช่วยชีวิตเขาผู้หมกมุ่นอยู่ในความบาป”
ดร.เดล คาร์เนกีก็เล่าว่า
“เมื่อเร็วๆนี้ผมได้พบผู้จัดการสัมปทานภัตตาคารผู้หนึ่ง
กลุ่มภัตตาคารกลุ่มนี้มีชื่อว่า “งานที่ทรงเกียรติ” ในภัตตาคารเหล่านี้
ซึ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อปี1885 พนักงานไม่เคยส่งใบเก็บเงินแก่ลูกค้าเลย
แต่ลูกค้าจะสั่งสิ่งที่เขาต้องการกิน พอกินเสร็จแล้วเขาก็จะคำนวณเงิน
และเอาไปจ่ายให้คนเก็บเงินโดยไม่มีปัญหาใดๆเลย
ผมพูดกับผู้จัดการคนนั้นว่า “คุณคงมีผู้ตรวจตราอยู่ลับๆซีนะ?
คุณจะไว้ใจลูกค้าทุกคนน่ะไม่ได้หรอก” เขาก็ตอบว่า
“เปล่าเลย เราไม่ได้คอยดูลูกค้าของเราลับๆหรอกครับ
แต่เราก็ยังรู้ว่าวิธีของเรานั้นเหมาะสมดี มิฉะนั้นแล้วเราคงไม่เจริญก้าวหน้า
ได้หรอกในระหว่่างห้าสิบปีหลังนี้”
ลูกค้าของภัตตาคารนี้รู้สึกว่าเขาได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติ
ทฤษฎีนี้มาจากความคิดที่ว่าทั้งคนจน คนรวย หัวขโมยและขอทาน
ต่างก็ล้วนพยายามกระทำดีในเมื่อมีผู้คาดหมายว่าเขาจะต้องทำดี”
มร.หลุยส์ นักจิตวิทยาสังคมผู้หนึ่งกล่าวว่า
“ถ้าท่านคบกับคนนิสัยไม่ดี จิตใจไม่มั่นคงและกำลังพยายามนำเขา
ไปสู่ความดีและความมั่นคง ก็จงพยายามทำให้เขารู้สึกว่าท่านไว้ใจเขา
จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับคนที่มีเกียรติและน่านับถือ
ท่านจะพบว่าเขาจะพยายามรักษาความไว้วางใจที่คุณมีต่อเขาไว้
เป็นผลให้เขาพยายามทำตัวให้สมกับความไว้วางใจของคุณ
เพื่อพิสูจน์ว่าเขามีค่าเช่นนั้น”
(จากหนังสือ วิธีการเอาชนะใจเพื่อน)
ดร.กิลเบต โรเบน เขียนไว้ว่า
“จงไว้ใจเด็กๆเถิด ผมหมายความว่า จงปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนกับว่า
เขาไม่เคยทำอะไรผิดเลย หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ จงลบอดีตของเขาเสีย
และให้อภัยแก่การกระทำของเขา จงพยายามมอบหมายหน้าที่สำคัญๆ
ให้แก่คนที่ประพฤติตัวไม่ดี คนเหล่านั้นก็จะมีความประพฤติดีขึ้น
พร้อมกับงานใหม่ๆทุกอย่างที่ท่านมอบให้เขาทำ
ท่านจะเห็นว่าเขามีคุณสมบัติดีขึ้นเพื่อให้เหมาะกับงานที่ท่านมอบให้
การจำกัดอุปสรรคที่มีอยู่ในการแก้ไขผู้ใดให้ดีขึ้นนั้น
อาจทำได้ด้วยการกระทำดีและไว้ใจผู้นั้น
จากนี้เราอาจกล่าวได้ว่าการกระทำที่ไม่พึงปรารถนาส่วนมากนั้น
เป็นแค่เพียงปฏิกริยาที่มีมาเพื่อจะเติมช่องว่างในชีวิตของส่วนบุคคลให้เต็มเท่านั้น”
เซอร์ยาลบินท์ มักจะแนะให้ไว้ใจมอบเงินไว้แก่เด็กๆที่มีนิสัยขี้ขโมย
และให้งานซึ่งเหมาะสมกับความสามารถของคนที่เกียจคร้านทำ
ความไว้วางใจทำให้คนเรามีความสบายใจ
ท่านอิม่ามอลี(อ.)ได้กล่าวไว้ว่า
“ความไว้วางใจคือการปลอบโยนจิตใจและทำให้ความศรัทธามั่นคงขึ้น”
(ฆุรอร อัล-ฮิกัม,หน้า376)
ดร.มัรดินกล่าวว่า
“ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ชีวิตดูงดงามในสายตาของเราหรือลดความทุกข์ของเรา
ให้น้อยลงและปูทางความสำเร็จได้ดีเหมือนการมองโลกในแง่ดีและความไว้วางใจ
เพราะฉะนั้น จงระวังความคิดที่เป็นภัยเช่นเดียวกับที่ท่านระวังโรคร้าย
และผลอันเต็มไปด้วยอันตรายของมัน
จงเปิดใจให้แก่ความคิดในทางที่ดี แล้วท่านจะเห็นว่าท่านสามารถช่วยตัวเอง
จากความคิดร้ายที่มีอยู่ได้ง่ายเพียงไร”
(พิโรซี ฟิกรฺ)
เป็นความจำเป็นที่มุสลิมจะต้องปฏิบัติดีต่อกันและกันในวิธีที่จะไม่ทำให้เกิด
ความประสงค์ร้ายขึ้นในสังคมของเขา
ในเรื่องนี้ท่านอิม่ามอลี(อ.)มักแนะนำให้มุสลิมคิดในทางที่ดีในเรื่องของกันและกัน
และมิให้กระทำในแบบที่จะทำให้ผู้อื่นไม่ไว้ใจเรา
ท่านยังได้แนะนำด้วยว่า เราควรจะหลีกเลี่ยงเสียจากความระแวงสงสัยกัน
ท่านได้กล่าวว่า
“เขาผู้ซึ่งมีความหวังในตัวท่านได้ให้ความไว้วางใจของเขาแก่ท่าน
เพราะฉะนั้น อย่าทำให้เขาผิดหวังเลย”
(ฆุรอร อัล-ฮิกัม,หน้า680)
ท่านอิม่ามอลี(อ.)ได้กล่าวถึงจุดที่คนเราจะใช้ตัดสินการให้เหตุผล
แก่การคิดถึงผู้อื่นไว้ดังนี้
“ความคาดหวังของคนเราคือตาชั่งสำหรับเหตุผลของเขา
และความประพฤติของเขาคือประจักษ์พยานที่ซื่อสัตย์ที่สุด
ในเรื่องความจริงแท้ของเขา”
(ฆุรอร อัล-ฮิกัม,หน้า474)
เนื่องจากว่าคนที่มีความคาดหมายในทางไม่ดีต่อผู้อื่นนั้น
ขาดความสามารถที่จะหาเหตุผลได้ตามหลักตรรกวิทยา
ท่านอิม่ามอลี(อ.)จึงถือว่า การไม่คิดไปในทางร้ายของมุสลิม
คือสัญญาณแห่งพลังทางจิตวิญญาณของเขา ท่านได้กล่าวว่า
“ผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมคิดในทางร้ายต่อพี่น้องของเขาย่อมเป็นผู้มีเหตุผลที่ดี
และหัวใจของเขาจะสงบสุข”
(ฆุรอร อัล-ฮิกัม,หน้า676)
ซามูเอล สไมล์กล่าวว่า
“ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าผู้มีนิสัยและจิตใจที่เข้มแข็งย่อมมีความสุข
และมีความหวังในชีวิต เขามองดูทุกคนและทุกสิ่งด้วยความไว้วางใจและสบายใจ
คนฉลาดแลเห็นดวงอาทิตย์อันแจ่มใสอยู่เหนือเมฆทุกก้อนไป
และย่อมรู้ว่าเบื้องหลังความทุกข์ทรมานทุกอย่างนั้นย่อมมีความสุข
ที่เขาใฝ่ฝันถึงอยู่ คนเหล่านี้ย่อมได้พบพลังใหม่ทุกครั้งเมื่อเขาได้รับ
ความเดือดร้อนด้วยปัญหาใหม่ๆ และพบความหวังอยู่ในความเศร้าโศก
หมดหวังทุกอันไป ผู้ที่มีนิสัยเช่นนั้นย่อมมีความสุขที่แท้จริง
และนับว่าเป็นคนโชคดี
แสงแห่งความสุขจะเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขา
และเราจะเห็นว่าเขายิ้มแย้มอยู่เสมอ ดวงใจของคนชนิดนี้จะส่องประกายแวววาว
เหมือนดวงดาวและเขาจะมองดูทุกสิ่งด้วยดวงตาที่มีความเข้าใจ
และด้วยสีสันที่ปรารถนา”
ท่านอิม่ามซอดิก(อ.)ถือว่าการคาดหมายในสิ่งดีนั้นเป็นสิทธิ์อย่างหนึ่ง
ที่มุสลิมพึงมีต่อกันและกัน
“ในบรรดาสิทธิที่ผู้มีศรัทธาผู้หนึ่งมีต่อผู้มีศรัทธาอีกผู้หนึ่งนั้นก็คือ
การไม่ระแวงสงสัยเขา”
(อุซูล อัล-กาฟี,เล่ม1,หน้า394)
อันที่จริงนั้นสิ่งที่สามารถทำให้คนเรามีการมองโลกในแง่ดี
และมีความไว้วางใจได้มากที่สุดก็คือความศรัทธานั่นเอง
ถ้าหากว่าประชาชาติทั้งมวลเป็นชนชาติเดียวกับผู้ที่มีศรัทธาในอัลลอฮฺ
ในศาสดาของพระองค์และในวันพิพากษาครั้งสุดท้ายแล้วไซร้
ก็จะเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะไว้ใจซึ่งกันและกัน
การขาดศรัทธาในหมู่ผู้คนก็คือสาเหตุที่ทำให้มีความระแวงแพร่หลายอยู่ในสังคม
ผู้มีศรัทธาซึ่งหัวใจของเขามีความสุขด้วยความเชื่อมั่นและไว้วางพระทัย
ในอัลลอฮฺย่อมสามารถพึ่งพิงอาศัยพลังอันไม่มีจำกัดนั้นได้
เมื่อเขาได้รับความเดือดร้อนจากความอ่อนแอของเขา
เขาจะหาที่พึ่งในอัลลอฮฺในระหว่างที่เขาตกระกำลำบาก
สิ่งนี้จะฝึกฝนดวงวิญญาณของเขาและมีผลกระทบต่อศีลธรรมของเขาอย่างลึกซึ้ง
อยู่ๆก็ให้นึกถึงหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา...
เลยนึกได้ว่า เคยเอามาลงไว้ที่นี่แล้ว...
ใครจะรู้ว่า...ปัจจุบันนี้ ความไว้วางใจหาได้ยากยิ่งกว่า
อะไรทั้งหมดที่มีในโลกนี้เสียอีก...
...ที่ได้ฟังได้เรียนมาคงไม่ผิด ที่หากว่าเมื่อไหร่
ที่ความไว้วางใจไม่มีเสียแล้ว ความวุ่นวายก็จะติดตามมา...
...วันนี้ได้คุยปรับทุกข์กับพ่อ จนได้ข้อคิดบางอย่างกลับมา
เมื่อได้ใคร่ครวญสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต...
...ครั้งหนึ่งพ่อเคยถามว่า ทำไมเรียนจบแล้วไม่อยู่ทำงานต่อ
ที่ญี่ปุ่น...
...ตอนนั้นตอบพ่อไปว่า...คนที่นั่นไม่มีเสน่ห์พอ
ที่จะดึงดูดใจให้อยู่ต่อน่ะพ่อ...อยู่กับคนที่เคยไม่ไว้ใจเรา
อยู่กับสังคมที่มีแต่คนไม่ไว้ใจกันและกัน มันเหนื่อยๆ
และอึดอัด...จนอยู่แล้วไม่มีความสุข...
...คำถามต่อมาจากคนอื่นๆอีกว่า ทำไมไม่มีฟงมีแฟน
เป็นคนญี่ปุ่นกลับมาบ้างหรือ อย่าบอกนะว่าไปอยู่มาหลายปี
แล้วไม่มีปิ๊งใครบ้าง...
...ข้าน้อยยิ้มแล้วตอบไปแบบตรงๆไม่อ้อมค้อมเลยว่า..
ไม่มี...เพราะคนญี่ปุ่นไม่อาจทำให้รักได้...
ไม่ใช่ไม่อยากรักเขา แต่รักไม่ได้ ไม่รู้ทำไม...
...วันนี้ได้บอกกับพ่อไปว่า...หนูรู้แล้วนะพ่อ
ว่าทำไมเมื่อก่อนถึงรักคนญี่ปุ่นไม่ได้...
ไม่ใช่เพราะหนูเป็นคนใจแข็ง รักยากอะไรหรอกค่ะ
พ่อก็รู้ว่าถ้าใครดีกับหนู หนูรักหมด...
แต่ก็เพิ่งมารู้สึกแปลกๆว่าทำไมหนูถึงไม่รักคนญี่ปุ่น
คนที่นั่นก็ดูน่ารักจะตาย แต่ทำไมหนูถึงรู้สึกเฉยๆ
ไม่เกลียด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ...
วันนี้หนูเข้าใจตัวเองมากขึ้นแล้วล่ะพ่อ...
เพราะเมื่อถอยออกมา มันทำให้หนูเห็นอะไร
ในมุมกว้างขึ้น...
เพราะว่า...ความรักมันจะเกิดขึ้นไม่ได้
หากไม่มีความไว้วางใจต่อกัน...คนญี่ปุ่นไม่เคยไว้ใจเรา
เขาไม่เคยให้ความไว้วางใจเรา...เขาระแวงเรา เขากลัวเรา
เขาไม่พูดตรงๆหรอกว่าไม่ไว้ใจเรา แต่การกระทำทุกอย่าง
ของเขามันทำให้เรารู้สึกว่า เขาไม่ไว้ใจเรา...
ไม่เชื่อใจเรา...เขาจึงไม่กล้าเปิดใจ...
แล้วเราจะรักเขาได้อย่างไร มันยากมากเลยกับการจะรัก
คนที่เขาไม่เคยให้ความไว้วางใจเรา...
ทั้งๆที่เราจริงใจกับเขา...ไม่เคยคิดร้ายกับเขา...
ไม่เคยต้องการอะไรจากเขามากมาย นอกจากความจริงใจ
ในการคบหากันก็เท่านั้น...
วันนี้เลยไม่ค่อยแปลกใจกับตัวเอง
ที่ไม่ได้รู้สึกรักใคร่คนญี่ปุ่นนัก
เพราะรู้สึกได้ว่า...เขาทำให้เรารักเขาไม่ได้...
เขาไม่มีเสน่ห์พอให้เรารักได้...
ก็เลยไม่รู้ว่า คนที่ไม่ไว้ใจคนอื่น เขารักคนอื่นได้ยังไง
และถ้ารัก...รักจริงๆหรือเปล่า...
เพราะที่ผ่านมาเหมือนทุกอย่างที่ทำๆกัน
มันคือหน้าที่ที่ต้องทำ พอหมดหน้าที่ ก็จบ...
และก็จบลงจริงๆ...สายใยสายสัมพันธ์มันน้อยมากค่ะ...
เพราะการทำอะไรเพราะมันคือหน้าที่
กับการทำอะไรที่ทำด้วยใจนั้น
ผลลัพธ์ของมันย่อมไม่เหมือนกัน
ซึ่งเมื่อนำกลับมาเทียบดู
มันช่างแตกต่างกับความรู้สึกที่เรามีต่อเพื่อนคนไทย
และเพื่อนสมัยมัธยม เพราะเขาเหล่านั้นเรารัก
และผูกพันกัน จริงใจต่อกันและกัน จากกันก็ยังคิดถึงกัน...
“เขาผู้ที่ไว้วางใจผู้อื่นย่อมได้รับความรักจากผู้อื่น”
ย่อมเป็นอมตะวาจา...
เพราะข้าน้อยเชื่อแล้วว่า...ต้นรักจะไม่งอกงาม
บนผืนดินที่ปราศจากความไว้วางใจ...
เมื่อใดที่ท่านถูกทำให้รู้สึกเหมือนเขาไม่ไว้ใจ
ท่านก็จะเข้าใจว่า มันยากที่เราจะรักเขาคนนั้นได้....
และมันยากที่รักจะเกิดบนสภาพที่ไร้ความไว้วางใจ...
เพราะการไม่ไว้ใจกัน ก็เท่ากับการไม่ให้เกียรติกัน...
และปกติคนที่มองโลกในแง่ลบ ก็มักจะไม่ค่อย
ไว้ใจใคร...
และเหนือสิ่งอื่นใด...
พ่อบอกว่า...
"คนที่ไม่น่าไว้วางใจที่สุด ก็คือ คนที่ไม่เคยไว้วางใจใคร..."
ถ้าท่านคิดว่า...การไม่ไว้วางใจกัน มันเป็นเรื่องธรรมดา
ขอให้ท่านเชื่อเถอะว่า...นั่นแหล่ะคือภัยมืด
ที่กำลังรุกรานสังคมเราอย่างเงียบๆ...มันมาแบบไม่มีเสียง
แต่อานุภาพของมัน สามารถทำลายความสงบมั่นคง
ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว....
เพราะที่ข้าน้อยเจอ...ธุรกิจปัจจุบัน
หากเราเข้าไปที่ไหนสักแห่ง ไม่ว่าจะร้านค้า
หรือสถานบริการ ทุกที่จะมีกล้องวงจรปิด...
ที่ทำงานก็มีกล้องวงจรปิด ไม่ว่าเราจะใช้คอมฯทำอะไร
ก็จะมีคนคอยจับตา แอบดูการทำงานของเราอยู่...
ไม่ว่าจะเดินไปไหน ก็มีคนคอยสอดส่องสายตาจับผิดเราอยู่
ทุกๆครั้งที่เข้าที่ทำงาน...
มันทำให้รู้สึกเหมือนเดินเข้าไปในคุกที่ปราศจากลูกกรง
แต่มันกักขังเรา ไม่ให้เรามีอิสรภาพ
ไม่ให้เราขยับเขยื้อนไปไหนได้...
เราเหมือนอะไรสักอย่างที่เมื่อเข้าไปในนั้นแล้ว
ก็ต้องทำตามทุกอย่างที่ระบบที่นั่นสั่งให้ทำ...
กฎที่เขาออกมาบังคับเรา ไม่ได้ช่วยให้เรามีอิสรภาพ
ไม่ได้ออกมาเพื่อตัวเรา แต่ออกกฎเหล่านั้นมาเพื่อตัวเขา
โดยล้วน...เราไม่ได้ประโยชน์อะไรจากกฎเหล่านั้นเลย
ต่างจากกฎของอัลลอฮฺ พระองค์สร้างกฎให้เราทำ
สั่งห้ามเรา ทุกอย่างนั้นล้วนเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเราทั้งนั้น
เมื่อมองไปรอบๆ ทำให้นึกถึงอัลลอฮฺ
แล้วก็ต้อง อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...
กฎของพระองค์ช่างออกแบบมาเพื่อตัวเราโดยเฉพาะเลย
มันเป็นกฎที่ก่อให้เกิดสิ่งดีๆและเป็นประโยชน์ต่อเราทั้งนั้น
หาได้เป็นกฎเพื่อตัวพระองค์เองไม่...
มันช่างแตกต่างจากกฎที่มนุษย์วางไว้ให้เราทำตามเหลือเกิน
ใครๆชอบว่าข้าน้อยชอบฉีกกฎ แหวกกฎ
แต่เขาก็บอกว่า ทำไมข้าน้อยจึงยังมั่นคงกับศาสนา
ที่มีกฎมากมายที่ทำตามได้ยาก
ไม่เห็นจะแหกกฎศาสนาบ้าง
แต่กลับมาฉีกกฎ แหกกฎชาวบ้าน ไม่ชอบเดินตามกรอบ
ที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน...
ชอบแหวก ชอบพังกำแพงออกไปแบบนี้ตลอด...
วันนี้ก็ได้ฉีกกฎเขาไปสองข้อใหญ่ๆ
และเขาก็ต้องยอมรับในเหตุผลของเรา...
ในเมื่อมันไม่ได้อำนวยประโยชน์ให้แก่ใคร
จะสร้างกฎนั่นมาทำไม...ข้าน้อยก็ถามเขาไปตรงๆแบบนั้น...
แบบเจ็บสุดช้ำ...ไม่ไหวจะทนน่ะค่ะกับกฎแบบนั้น...
มันไม่ชอบธรรม เลยรับไม่ได้สุดๆ...
และบอกเขาไปว่า...
เราก็มีจรรยาบรรณต่อหน้าที่การงานของเรา
เชื่อเราบ้างเถอะ ไว้ใจเราบ้างเถอะ...
เพราะหากเราทำอะไรอย่างที่ท่านคิดหวาดกลัวไปนั้น
ก็เท่ากับเรากำลังฆ่าตัวตายชัดๆ เราไม่ทำแบบนั้นหรอก
เราไม่เอาประวัติเสียๆมาแปะบนหน้าผากเราหรอกค่ะ
อนาคตเรายังมีให้คิดถึง ให้คาดหวัง เราไม่มาทำอะไร
ที่ดูเป็นการทำลายตัวเองแบบนั้นแน่ๆ...
เราก็คนหนึ่งที่อยากทำดี...อยากให้คนอื่นมองว่าดี...
อยากได้รับความไว้วางใจจากคนอื่น...
ไม่ใช่ความหวาดระแวง สงสัย...
ก่อนไปนอน...อยากฝากเนื้อเพลงนี้เอาไว้นิดนึงนะคะ
แม้จะเป็นเนื้อเพลง แต่เชื่อว่ามันไม่ได้ไร้สาระเลย...
"ออกเดินจากบ้านสู่เมืองฟ้า สู่เมืองเทวาเมืองบางกอก
เดินทางเดียวดายจากบ้านนอก มาเล่ามาเรียนมาศึกษา
เจอะคนทั้งแบบนี้แบบนั้น เจอะทั้งแมงวันทั้งจิ้งจอก
เจอะทั้งคนดีคนกลับกลอก คนหวังปอกลอกมีมากมาย
ต้ังใจร่ำเรียนทุกค่ำเช้า ถึงหนักถึงเบาไม่ร้องบอก
อยู่ไปวันๆเหมือนมีปลอก ลากคอให้เดินตามทาง...
ชี้ให้ฉันเดินไปทางไหน จะเร่งรีบไปตามคุณบอก
หัวใจเฉื่อยชาแบกช้ำชอก แตกหักยับเยินป่นปี้
ชี้ให้ฉันเขียน ฉันรีบเขียน ชี้ให้ฉันเรียน ให้ฉันสอบ
แข่งขันกันไปหลายรอบ เหมือนเลือกเอาม้าพันธฺุ์ดี
ทำเพื่อหนทางที่วาดหวัง รีดเข็นพลังพุ่งพวยออก
ก็ตามประสาคนจนตรอก หวังงานทำเงินเลี้ยงครอบครัว
จวบจนฉันจบการศึกษา รับใบปริญญาที่ฉันชอบ
สุขใจแค่ไหนไม่ต้องบอก ยิ้มพลางเดินพลางสบายดี
รีบเดินย่ำต๊อกหางาน ความสดชื่นบานที่เคยมี
เริ่มหดเริ่มหายขึ้นทุกที ไม่มีไม่มี ไม่มีงาน
รับคนสิบห้าคนทำงาน เด็กฝากเด็กท่านเอาหนึ่งโหล
ที่เหลือหมื่นพันร้องไห้โฮ ระบบทางแก้ไม่มี...
หลายที่หลายแห่งคนทำงาน เช้าชามเย็นชามสองขั้นปี
แต่คนขยันทำงานดี ไม่มี ไม่มี ไม่มองมา...
อย่างนี้เมื่อไหร่บ้านเมืองไทย เจริญก้าวไปทัดเทียมทัน
นานาประเทศตามคำขวัญ ที่เขียนเอาไว้สวยดี
อุตส่าห์ร่ำเรียนมาแทบตาย แต่ผลสุดท้ายต้องตกงาน
หมดเงินหมดแรงอยู่ตั้งนาน วิมานมาพังไร้ชิ้นดี...
แม่จ๋าลูกกลับมาแนบเนา กลับสู่บ้านเราด้วยช้ำชอก
ทุ่มเทกายใจให้บ้านนอก...หลังถูกจับขังหลายปี...
แม่จ๋าลูกกลับมาแนบเนา กลับสู่บ้านเราด้วยช้ำชอก
ทุ่มเทกายใจให้บ้านนอก
...หลังถูกจับขังหลายปี..."
ลูกกรงที่ขังเราอยู่ บางครั้ง เราก็มองด้วยตาไม่เห็น
วันนี้...การได้กลับมาอ่านบทความเหล่านี้อีกครั้ง
มันทำให้เราได้คิดในสิ่งที่เคยลืมคิดไป...
และทำให้คิดอะไรได้ขึ้นมาอีกครั้ง...
พรุ่งนี้ยังไม่สาย ที่จะเริ่มฉีกยิ้ม เอาใหม่อีกครั้งค่ะ....
^______________^
ขุด
วัสลามค่ะ