ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบายตอนที่ 8 สูเราะอฮฺ อัล-อันฟาล  (อ่าน 5120 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 45 - 47


คำอ่าน
45. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู..อิซาละกีตุม ฟิอะตัน..ฟัสบุตู วัซกุรุลลอฮะ กะษีร็อล ละอัละกุมตุฟลิหูน
46. วะอะฏีอุลลอฮะ วะเราะสูละฮู วะลาตะนาซะอู ฟะตัฟชะลู วะตัซฮะบะ รีหุกุม วัศบิรู อิน..นัลลอฮะมะอัศศอบิรีน
47. วะลาตะกูนูกัลละซีนะ เคาะเราะญูมินดิยาริฮิม..บะเฏาะร็อว..วะริอา...อัน..นาสิ วะยะศุดดูนะ อัน..สะบีลิลลาฮฺ วัลลอฮุบิมายะอฺมะลูนะมุหีฏ


คำแปล R1.
45. O you who believe! When you meet (an enemy) force, take a firm stand against them and remember the Name of Allah much (both with tongue and mind), so that you may be successful.
46. And obey Allah and his Messenger, and do not dispute (with one another) lest you lose courage and your strength depart, and be patient. Surely, Allah is with those who are As-Sabirin (the patient ones, etc.).
47. And be not like those who come out of their homes boastfully and to be seen of men, and hinder (men) from the Path of Allah. And Allah is Muhitun (encircling and thoroughly comprehending) all that they do.


คำแปล R2.
45. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! เมื่อพวกเจ้าพบข้าศึกกลุ่มหนึ่ง พวกเจ้าก็จงตั้งมั่น(ในการเผชิญกับข้าศึกนั้น) และพวกเจ้าจงระลึกถึงอัลเลาะฮฺให้มากเถิด เพื่อพวกเจ้าจะได้ประสบความสมหวัง
46. และเจ้าทั้งหลายจงภักดีต่ออัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ และพวกเจ้าอย่าโต้แย้งกัน มิฉะนั้นพวกเจ้าจะมีความขลาดกลัว และพลังของพวกเจ้าจะสูญสลาย และพวกเจ้าจงอดทนเถิด แท้จริงอัลเลาะฮฺ ทรงพร้อมกับบรรดาผู้อดทนเสมอ
47. และพวกเจ้าอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ออกจากบ้านของพวกเขา(เพื่อทำศึก)ด้วยความผยองและเพื่ออวดมนุษย์ (ได้แก่กองทัพมักกะฮฺ นำโดยอบูยะฮัล) และพวกเขาขัดขวาง(ผู้คน) จากทางของอัลเลาะฮฺ และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ครอบคลุมถึงสิ่งที่พวกเขาประพฤติไว้(ทุกประการ)


คำแปล R3.
45. โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อสูเจ้าเผชิญกองทัพข้าศึกในการรบ จงยืนหยัดให้มั่นและจงรำลึกถึงอัลลอฮฺให้มากเพื่อสูเจ้าจะได้ประสบความสำเร็จ
46. และจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ และจงอย่าโต้แย้งซึ่งกันและกัน มิเช่นนั้น สูเจ้าจะท้อใจและสูเจ้าจะไม่มีความหมาย (ในสายตาของศัตรู) และจงอดทน แท้จริงอัลลอฮฺทรงอยู่กับผู้ที่อดทน
47. และจงอย่าปฏิบัติตนเหมือนกับบรรดาผู้ที่ออกจากบ้านของพวกเขาอย่างหยิ่งผยองและโอ้อวดเพื่อให้ผู้คนได้เห็น คนพวกนี้ขัดขวางผู้คนจากหนทางของอัลลอฮฺ และอะไรที่พวกเขากระทำนั้นล้วนอยู่ในความรอบรู้ของอัลลอฮฺทั้งสิ้น


คำแปล R4.
45. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! เมื่อพวกเจ้าพบกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็จงยืนหยัดเถิด และจงรำลึกถึงอัลลอฮฺมาก ๆ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
46. และจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าขัดแย้งกัน จะทำให้พวกเจ้าย่อท้อ และทำให้ความเข้มแข็งของพวกเจ้าหมดไป และจงอดทนเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่กับผู้ที่อดทนทั้งหลาย
47. และจงอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ที่ออกจากหมู่บ้านของพวกเขาไป ด้วยความหยิ่งผยอง และโอ้อวดผู้คน และขัดขวาง ให้เขวออกจากทางของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นทรงล้อม สิ่งที่พวกเขากระทำกันอยู่”


คำแปล R5.
๔๕. โอ้บรรดาชนผู้ศรัทธา เมื่อพวกเจ้าเข้าประจัญบานทำศึกกับอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นกาฟิรแล้ว ก็ให้พวกเจ้ายืนหยัดเพื่อการสู้รบพวกกาฟิรนั้นไว้ให้มั่นคงอย่าได้ล่าถอยทั้งพวกเจ้าจงวอนขอความมีชัยต่ออัลเลาะห์ให้มากไว้ เพื่อที่พวกเจ้าจักได้มีชัยด้วยการเข้าสู่สรวงสวรรค์
๔๖. และพวกเจ้าจงน้อมภักดีต่ออัลเลาะห์ และมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์โดยการประพฤติปฏิบัติตามที่ทรงบัญชาใช้ให้ทำการสู้รบและอื่น ๆ จากนั้น พวกเจ้าอย่าได้ขัดแย้งกันในภาระหน้าที่การศึกในระหว่างพวกเจ้าเองเพื่อพวกเจ้าจะได้ไม่ขาดกลัวพวกกาฟิรฝ่ายข้าศึกและเพื่อที่ขวัญของพวกเจ้าอันมีทั้งความแข็งใจ การเอาชัย ความโปรดปรานี ความสงเคราะห์ ตลอดจากลยุทธ์ของพวกเจ้าจะได้ไม่หนีหายไปจากพวกเจ้าทั้งพวกเจ้าจงอดทนต่อการทำศึกสงครามไว้ด้วย แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์ให้ความช่วยเหลือฝ่ายผู้อดทนทั้งหลายและทรงให้ความมีชัยเกิดแก่ผู้อดทนเหล่านั้นด้วย
๔๗. และโอ้ปวงชนมุอ์มินพวกเจ้าอย่าได้เป็นผู้หยิ่งทระนง เพื่อว่าภัยพิบัติทำนองเดียวกับที่มาประสบกับอบุยะฮัลและพรรคพวกจะได้ไม่ประสบกับพวกเจ้าเหมือนดั่งอบุยะฮัลและพรรคพวกผู้ได้ออกไปจากเหย้าเรือนของตนที่นครมักกะห์อย่างโอหังเนรคุณต่อพระกรุณาธิคุณและโอ้อวดปวงชน เพื่อไปสกัดทัพของพวกมุสลิมไว้มิให้ปะทะกับกองทัพอบูซุฟยาน แล้วพวกของอบูยะฮัลก็ไม่ยอมกลับเข้าสู่นครมักกะห์อีกหลังจากกองทัพของอบูซุฟยานหนีพ้นไปจากกองทัพฝ่ายมุสลิมแล้ว กล่าวคือความโอหังเนรคุณในพระมหากรุณาธิคุณของอัลเลาะห์และการโอ้อวดปวงชนนั้น พวกของอบูยะฮัลจะกล่าวว่า พวกเราจะไม่ไกลับเข้านครมักกะห์จนกว่าพวกเราจะได้เสพสุรา ได้เชือดอูฐ และให้คณะนักร้องหญิงมาตีกลองยังความบันเทิงแก่พวกเราที่ตำบลบัดร์ และมีผู้คนมากมายมาเข้าฟังและกล่าวคำชมเชยพวกเราว่าเป็นวีรบุรุษผู้แก้วกล้าและเป็นผู้มีน้ำใจกว้างขวาง นอกจากความโอหังและการโอ้อวดมวลมนุษย์แล้วพวกนั้นยังได้ขัดขวางมวลมนุษย์ให้ละห่างจากวิถีทางแห่งศาสนาของอัลเลาะห์ แหละว่าอัลเลาะห์นั้นทรงความรอบรู้แวดล้อมพฤติการณ์ที่พวกนั้นได้กระทำกัน แล้วในวันปรภพ พระองค์จะทรงตอบสนองผลกรรมตามที่พวกนั้นประพฤติไว้



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 48 - 52


คำอ่าน
48. วะอิซซัยยะนะ ละฮุมุชชัยฏอนุ อะอฺมาละฮุม วะกอละ ลาฆอลิบะละกุมุลเยามะ มินัน..สิ วะอิน..นีญารุลละกุม ฟะลัม..มาตะรอ...อะติลฟิอะตานิ นะกะเศาะ อะลาอะกิบัยฮิ วะกอละ อิน..นีบะรี...อุม..มิน..กุม อิน..นี..อะรอ มาลาตะร็อวนะ อิน..นี..อะคอฟุลลอฮฺ วัลลอฮุชะดีดุลอิกอบ
49. อิซยะกูลุลมุนาฟิกูนะ วัลละซีนะฟีกุลูบิฮิม..มัเราะฎุน ฆ็อรฺเราะฮา..อุลา..อิดีนุฮุม วะมัย..ยะตะวักกัลอะลัลลอฮิ ฟะอิน..นัลลอฮะอะซีซุนหะกีม
50. วะเลาตะรอ..อิซยะตะวัฟฟัลละซีนะกะฟะรุลมะลา...อิกะตุ ยัฎริบูนะวุญูฮะฮุม วะซูกูอะซาบัลหะรีก
51. ซาลิกะบิมาก็อดดะมัต อัยดีกุม วะอัน..นัลลอฮะ ลัยสะบิซ็อลลามิลลิลอะบีด
52. กะดะอ์บิอาลิฟิรฺเอานะ วัลละซีนะมิน..ก็อบลิฮิม กะฟะรูบิอายาติลลาฮิ ฟะอะเคาะซะฮุมุลลอฮุบิซุนูบิฮิม อิน..นัลลอฮะเกาะวียุน..ชะดีดุลอิกอบ


คำแปล R1.
48. And the men on Al-A'raf (the wall) will call unto the men whom they would recognise by their marks, saying: "Of what benefit to you were your great numbers (and hoards of wealth), and your arrogance against Faith?"
49. Are they those, of whom you swore that Allah would never show them Mercy. (Behold! it has been said to them): "Enter Paradise, no fear shall be on you, nor shall you grieve."
50. And the dwellers of the Fire will call to the dwellers of Paradise: "Pour on us some water or anything that Allah has provided you with." they will say: "Both (water and provision) Allah has forbidden to the disbelievers."
51. "Who took their Religion as an amusement and play, and the life of the world deceived them." So this Day we shall forget them as they forgot their Meeting of this Day, and as they used to reject our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.).
52. Certainly, we have brought to them a Book (the Qur'an) which we have explained in detail with knowledge, - a guidance and a Mercy to a people who believe.


คำแปล R2.
48. และ(จงระลึกเถิด)เมื่อมารร้าย(ได้แก่ สะรอเกาะฮฺ บิน มาลิก) ได้เข้ามาประดับประดาแก่พวกเขา(กองทัพอะบูยะฮัล)ในผลงานต่าง ๆ ของพวกเขา (อันผิดพลาด ให้พวกเขาเห็นเป็นกากระทำอันดีงาม) และมันกล่าวว่า “ในวันนี้ ไม่มีผู้ใดจากมวลมนุษย์เอาชนะพวกท่านได้ และแท้จริงฉันจะให้การอารักขาแก่พวกท่านเอง” แต่แล้วเมื่อกองทัพทั้งสอง(ทั้งฝ่ายมุสลิมและฝ่ายกาฟิร)ต่างมองเห็นซึ่งกันและกัน มัน(มารร้าย)ก็ผละหนี และกล่าวว่า “แท้จริง ฉันไม่เกี่ยวข้องกับพวกท่าน แท้จริงฉันมองเห็นสิ่งที่พวกท่านมองไม่เห็น แท้จริงฉันกลัวอัลเลาะฮฺ และอัลเลาะฮฺทรงลงโทษร้ายแรงนัก
49. (จงระลึกเถิด) เมื่อพวกสับปลับและบรรดาผู้มีความป่วยไข้ในหัวใจกล่าวว่า “พวกเหล่านี้(คนมุสลิม)ศาสนาขอกเขาได้ล่อลวงพวกเขาเสียแล้ว(ความคลั่งศาสนาทำให้พวกเขากล้าตอสู้กับพวกเราซึ่งมีจำนวนมากกว่า) และผู้ใดมอบหมาย(ตัวเอง)ต่ออัลเลาะฮฺ แน่นอน อัลเลาะฮฺทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง”
50. และ(จะมีผลลัพท์ประการใด)หากเจ้าเห็นในขณะที่มลาอิกะฮฺทำให้บรรดาผู้เนรคุณทั้งหลายสิ้นชีวิต โดยพวก(มลาอิกะฮฺ)นั้น ตีใบหน้าของพวกเขาและเบื้องหลังของพวกเขา พร้อมกับกล่าวว่า “พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษของนรกอันแผดเผาเถิด”
51. (การลงโทษของนรก)นั้น เป็นเพราะสิ่งที่ได้ประกอบไว้ด้วยมือของพวกเจ้าเอง และแท้จริงอัลเลาะฮฺหาใช่ผู้อธรรมต่อบ่าว(แต่ประการใด ๆ )ไม่
52. (สภาพการของพวกกาฟิรเหล่านั้น)ก็เหมือนก็เหมือนกับสภาพของวงศ์วานฟิรเอาน์ และบรรดาผู้อยู่ในยุคก่อนหน้าพวกเขา คนพวกนั้นได้ปฏิเสธบรรดาโองการแห่งอัลเลาะฮฺ ดังนั้น อัลเลาะฮฺจึงลงโทษพวกนั้น เพราะบาปต่าง ๆ ของพวกนั้น แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงพลานุภาพอีกทั้งทรงลงโทษร้ายแรงนัก


คำแปล R3.
48. จงคิดถึงเมื่อตอนที่มารได้ทำให้การงานที่ชั่วร้ายของพวกเขาเป็นที่ดูดีแก่พวกเขาและได้กล่าวว่า “วันนี้ไม่มีผู้ใดในหมู่มนุษย์ที่สามารถจะเอาชนะพวกท่านเพราะฉันอยู่กับพวกท่าน” แต่เมื่อกองทัพทั้งสองเผชิญหน้ากัน มันกลับหันหนีและกล่าวว่า “ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกท่าน ฉันเห็นในสิ่งที่พวกท่านมองไม่เห็น ความจริงแล้วฉันกลัวอัลลอฮฺ เพราะอัลลอฮิเป็นผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ”
49. ในเวลาเดียวกัน บรรดาผู้สับปลับและบรรดาผู้ที่มีหัวใจเป็นโรคได้กล่าวว่า “ความศรัทธาของพวกเขาได้ทำให้พวกเขาบ้าคลั่ง” ทั้งที่ความจริงแล้วใครก็ตามที่ไว้วางใจในอัลลอฮฺ (จะพบว่า) อัลลอฮิเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
50. และเจ้าก็เห็นได้ว่าเป็นอย่างไรเมื่อมลาอิกะฮฺได้เอาวิญญาณของผู้ปฏิเสธที่ถูกฆ่า มลาอิกะฮฺได้ฟาดลงไปที่หน้าและหลังของพวกเขาและกล่าวว่า “ทีนี้จงลิ้มรสการลงโทษแห่งการเผาไหม้
51. นี่เป็นการตอบแทนสำหรับสิ่งที่มือของสูเจ้าได้ประกอบไว้ก่อนหน้านี้ และอัลลอฮฺมิทรงเป็นผู้อยุติธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์”
52. สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแก่พวกเขาเหมือนกับมันได้เกิดขึ้นแก่คนของฟิรฺเอาน์และผู้คนก่อนหน้าพวกเขา นี่เป็นเพราะพวกเขาได้ปฏิเสธอายะฮฺทั้งหลายของอัลลอฮฺ ดังนั้นอัลลอฮฺจึงได้ทรงลงโทษพวกเขา อันเนื่องมาจากความผิดของพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงพลังและผู้ทรงเข้มงวดในการตอบแทน


คำแปล R4.
48. และจงรำลึกขณะที่ชัยฏอนได้ทำให้สวยงามแก่พวกเขา ซึ่งการงานของพวกเขา และมันได้กล่าวว่า วันนี้ไม่มีผู้ใดในหมู่มนุษย์ชนะพวกท่านได้ และแท้จริงนั้นฉันคือผู้ช่วยเหลือพวกท่านครั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมองเห็นกันแล้ว มันก็กลับส้นเท้าทั้งสองของมันและกล่าวว่าแท้จริงฉันไม่เกี่ยวข้องกับพวกท่าน แท้จริงฉันกำลังเห็นสิ่งที่พวกท่านไม่เห็น แท้จริงฉันกลัวอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ
49. จงรำลึกขณะที่บรรดามุนาฟิกและบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีโรคกล่าวว่า ที่ได้ลวงผู้คนเหล่านี้นั้น คือศาสนาของพวกเขา และผู้ใดมอบหมายแด่อัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงเดชานุภาพผู้ทรงปรีชาญาณ
50. และหากว่าเจ้าเห็นขณะที่มลาอิกะฮ์เอาวิญญาณของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่นั้นพวกเขา จะตีใบหน้าของพวกเขาและหลังของพวกเขา และ(กล่าวว่า) พวกเจ้าจงลิ้มการลงโทษแห่งการเผาไหม้เถิด
51. นั่นก็เนื่องจากสิ่งที่มือของพวกท่านได้ประกอบไว้ก่อน และแท้จริงอัลลอฮฺนั้นมิใช่ผู้อธรรมแก่บ่าวทั้งหลาย
52. เช่นเดียวกับสภาพแห่งวงศ์วานของฟิรอาวน์ และบรรดาผู้ที่ก่อนหน้าพวกเขา ซึ่งพวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮฺแล้วอัลลอฮฺก็ได้ทรงลงโทษพวกเขา เนื่องด้วยบรรดาความผิดของพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงพลังและผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ


คำแปล R5.
๔๘. และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ที่มีต่อเจ้า ในขณะที่ไชตอนได้ให้พวกนั้นที่เป็นพรรคพวกของอบุยะฮัลเห็นการทั้งปวงของตนดีงามโดยมันย้อมใจให้พวกของอบุยะฮัลกล้าเผชิญหน้ากับฝ่ายมุสลิม พรรคพวกของมุฮำมัดในขณะที่พวกนี้คร้ามฝีมือของศุตรูของพวกตนคือ พวกบนูบักร์ตอนจะออกจากเหย้าเรือน ณ นครมักกะห์ แล้วไชตอนได้จำแลงกายมาหาพวกของอบูยะฮัลในรูปของสะรอเกาะห์บุตรมาลิกผู้เป็นคนสำคัญในแคว้นของบนูบักร์มันก็กล่าวแก่พวกของอบูยะฮัลว่า วันนี้ไม่มีมนุษย์คนใดหรอกที่เป็นผู้ชนะพวกเจ้า แน่แท้ข้า(ไชตอน)นี้เป็นตัวสะรอเกาะห์บุตรมาลิกซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่ากินานะห์ ซึ่งเป็นเผ่าของบนูบักร์จะมาเป็นผู้คุ้มครองป้องกันและช่วยเหลือพวกเจ้า ครั้นเมื่อทั้งสองพวกที่เป็นฝ่ายมุสลิมและพรรคพวกของอบูยะฮัลเข้าประจัญหน้ากันแล้วไชตอนก็เห็นเหล่ามลาอิกะห์ยาตราลงจากฟากฟ้า ขณะนั้นมือของไชตอนกำลังจับกุมกันแน่นกับมือของฮาริสบุตรหิชาม แต่แล้วไชตอนก็หนีหายไปเสีย ฝ่ายพรรคพวกของอบูยะฮัลก็กล่าวแก่ไชตอนผู้จำแลงกายในร่างสะรอเกาะห์ ฯ ว่าท่านได้เลิกช่วยเหลือพวกเราในสถานการณ์เช่นนี้เสียแล้ว ซึ่งไม่น่าเลยที่ท่านจะไม่ให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ แล้วมันก็ตอบว่า ข้าปลีกตัวออกจากการเป็นเพื่อนบ้านกับพวกท่านแน่นอนไม่ช่วยเหลือพวกท่านอีกแล้ว ด้วยว่าข้าไชตอนนั้นได้เห็นมีเหล่ามลาอิกะห์จำนวนห้าพันผู้ลงมาจากฟากฟ้าซึ่งพวกท่านมองไม่เห็น ข้ากลัวอัลเลาะห์จะทรงความหายนะแก่ข้า โดยทรงให้มวลมลาอิกะห์มีอำนาจกระทำให้ข้าได้รับความหายนะ ก็อัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์ผู้เข้มงวดยิ่งในการลงทัณฑ์
๔๙. โอ้ มุฮำมัด เจ้าจงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ที่มีต่อเจ้า ในขณะที่พวกตีสองหน้า(มุนาฟิก)ชาวนครมดีนะห์และบรรดาชนมุสลิมชาวมักกะห์ผู้ที่หัวใจของพวกเขาย่อหย่อนในการในการนับถือศาสนาอิสลามกล่าวว่า ศาสนาของพวกมุสลิมเหล่านั้น หลอกลวงพวกมุสลิมเหล่านั้นเอง ทั้งนี้เพราะว่าพวกมุสลิมออกทำศึกที่ทุ่งบัดร์มีจำนวนทหารเพียงเล็กน้อยไปสู้รบกับฝ่ายข้าศึกซึ่งมีจำนวนมากด้วยเข้าใจเอาว่า พวกตนจะได้ชัยชนะเพราะอานุภาพของศาสนา อัลเลาะห์ตรัสตอบคำกล่าวเช่นนั้นของทั้งสองพวกดังกล่าวว่า และถ้าผู้ใดยึดมั่นมอบหมายต่ออัลเลาะห์แล้วไซร้ เขาย่อมได้รับความมีชัยเอาชนะฝ่ายข้าศึกที่มีจำนวนพลมากมายได้ แน่นอนอัลเลาะห์นั้นทรงอิทธิฤทธิ์โดยเด็ดขาดยิ่ง ในภารกิจทั้งปวงของพระองค์ ทรงประณีตยิ่งในการสร้างสรรค์ทั้งปวงของพระองค์
๕๐. และโอ้มุฮำมัด ถ้าเจ้าได้แลเห็นสภาพการณ์ในคราเมื่อมลาอิกะห์จากฟากฟ้าจำนวนห้าพันลงมาปลิดชีวิตพวกของอบูยะฮัลบรรดาที่เป็นผู้ไร้ศรัทธาโดยเหล่ามลาอิกะห็ได้ตีหน้าพวกเหล่านั้นที่พยายามปองร้ายพระศาสดามุฮำมัดและหลังของพวกเหล่านั้นด้วยค้อนเห,กเผาไฟ ในขณะที่พวกนั้นกำลังหันหลังหนี แล้วฝ่ายมลาอิกะห์ก็เอ่ยกล่าวแก่พวกที่ถูกตีเหล่านี้ว่า พวกเจ้าจงลิ้มรสแห่งโทษอันร้อนแรงกันเถิด โอ้มุฮำมัด เจ้าย่อมได้แลเห็นเหตุการณ์อันใหญ่หลวงแน่ทีเดียว
๕๑. การลงโทษทัณฑ์เช่นที่กล่าวข้างต้นนี้แหละคือบาปโทษฐานที่มือของพวก(อบูยะฮัล) เหล่านั้นได้กระทำกันไว้ก่อน แล้ว แหละว่าอัลเลาะห์นั้นจะทรงอยุติธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์ก็หาไม่พระองค์จะไม่ทรงลงโทษผู้ใดที่ไม่มีบาปเลย
๕๒. ย่อมเป็นธรรมเนียมที่พระองค์จะทรงลงโทษพรรคพวกของอบูยะฮัลด้วยเหตุไม่ศรัทธาต่อบรรดาสัญลักษณ์ของอัลเลาะห์เหมือนดั่งธรรมเนียมการลงโทษพรรคพวกของฟิรเอาน์ และปวงชนยุคก่อนจากฟิรเอาน์ บรรดาที่มิได้ศรัทธาต่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของอัลเลาะห์ อัลเลาะห์ก็ทรงเอาโทษพวกเหล่านั้น เพราะบาปของพวกเหล่านั้น แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงพลานุภาพยิ่งเหนือสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์ทรงเข้มงวดยิ่งในการลงทัณฑ์



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 53 - 54


คำอ่าน
53. ซาลิกะบิอัน..นัลลอฮะ ลัมยะกุมุฆ็อยยิร็อน..นิอฺมะตัน อันอะมะฮาอะลาก็อวมิน หัตตายุฆ็อยยิรูมาบิอัน..ฟุสิฮิม วะอันนัลลอฮะ สะมีอุนอะลีม
54. กะดะอ์บิอาลิฟิรฺเอานะ วัลละซีนะมิน..ก็อบลิฮิม กัซซะบูบิอายาติร็อบบิฮิม ฟะอะฮฺลักนาฮุม บิซุนูบิฮิม วะอัฆร็อกนาอาละฟิรฺเอานฺ วะกุลลุน..กานูซอลิมีน


คำแปล R1.
53. That is so because Allah will never change a grace which he has bestowed on a people until they change what is in their own selves. And verily, Allah is All-Hearer, All-Knower.
54. Similar to the behaviour of the people of Fir'aun (Pharaoh), and those before them. They belied the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), of their Lord, so we destroyed them for their sins, and we drowned the people of Fir'aun (Pharaoh) for they were all Zalimun (polytheists and wrong-doers, etc.).


คำแปล R2.
53. (การตอบแทน)นั้นด้วยเหตุว่าอัลเลาะฮฺจะไม่เปลี่ยนแปลงความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานมันแก่กลุ่มชนหนึ่งจนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพการในตัวของพวกเขาเอง และแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงได้ยินอีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
54. (สภาพการของพวกเขา)ประดุจดังสภาพการของวงศ์วานฟิรเอาน์ และบรรดาผู้อยู่ในยุคก่อนหน้าพวกเขา บรรดาพวกเหล่านั้นได้กล่าวหาบรรดาโองการต่าง ๆ ขององค์อภิบาลแห่งพวกเขาว่าเป็นเท็จ ดังนั้นเราจึงทำลายล้างพวกเขาเพราะมวลบาปของพวกเขา และเราได้ให้วงส์วานของฟิรเอาน์จมน้ำตาย และทุก ๆ คนนั้นล้วนเป็นผู้ฉ้อฉลทั้งสิ้น


คำแปล R3.
53. นี่เป็นไปตามวิธีการของอัลลอฮฺที่พระองค์มิทรงเปลี่ยนแปลงความโปรดปรานที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่หมู่ชนใดเว้นเสียแต่พวกเขาเปลี่ยนแปลงแนวทางของพวกเขาเอง และอัลลอฮฺทรงได้ยินทุกสิ่งและทรงรอบรู้ทุกสิ่ง
54. หลักการเดียวกันนี้ก็ได้ถูกใช้กับผู้คนของฟิรฺเอาน์และผู้คนอื่น ๆ ก่อนหน้าพวกเขาเมื่อพวกเขาถือว่าอายะฮฺทั้งหลายของพระผู้อภิบาลของพวกเขาเป็นเท็จ ดังนั้นเราจึงได้ทำลายพวกเขาเพราะความผิดที่พวกเขากระทำ เราได้ทำให้ผู้คนของฟิรฺเอาน์จมน้ำ คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นผู้อธรรม


คำแปล R4.
53. นั่นก็เพราะว่า อัลลอฮฺมิได้ทรงเป็นผู้เปลี่ยนแปลงความกรุณาใด ๆ ที่พระองค์ทรงประทานมันแก่กลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใดจนกว่าพวกเขาจะได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ในตัวของพวกเขาเอง และแท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้
54. เช่นเดียวกับสภาพแห่งวงศ์วานฟิรอาวน์และบรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเขา ซึ่งพวกเขาปฏิเสธบรรดาโองการแห่งพระเจ้าของพวกเขา แล้วเราก็ได้ทำลายพวกเขา เนื่องด้วยความผิดของพวกเขา และเราได้ให้วงศ์วานฟิรอาวน์จมน้ำตาย และทั้งหมดนั้นพวกเขาเป็นผู้อธรรม


คำแปล R5.
๕๓. การลงทัณฑ์พวกกาฟิรทั้งหลาย นี้ใช่ว่าจะเป็นเพราะอัลเลาะห์ทรงเปลี่ยนแปลงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมอบแก่ปวงชนกาฟิรทั้งหลายให้กลับเป็นการลงโทษพวกเหล่านั้นก็หาไม่ พวกกาฟิรนั้นต่างหากเล่าที่เปลี่ยนแปลงพระกรุณาธิคุณของพระองค์อันมีต่อพวกตนด้วยการเนรคุณและไร้ซึ่งความศรัทธา เช่นว่า พวกกาฟิรมักกะห์เปลี่ยนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงให้อาหารแก่พวกเขาด้วยพ้นจากความหิว และที่ทรงให้ความปลอดภัยพ้นจากความหวาดกลัว และที่ทรงแต่งตั้งพระศาสนทูตไปยังพวกนั้นให้กลับกลายเป็นการเนรคุณ เป็นการไร้ศรัทธาและกีดกันในศาสนาของพระองค์และพยายามรังแกพวกมุอ์มิน อันนี้เองพระองค์จึงได้ทรงลงโทษพวกเหล่านั้น แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงได้ยินยิ่ง ซึ่งถ้อยคำของพวกนั้น ทรงรู้ยิ่งในพฤติกรรมของพวกนั้นอีกด้วย
๕๔. เหมือนดั่งธรรมเนียมการลงโทษพรรคพวกของฟิรเอาน์และบรรดาชนกาฟิรยุคก่อนจากพวก(ของฟิรเอาน์)เหล่านั้น ซึ่งหาว่าสัญลักษณ์ต่าง ๆ ขององค์พระผู้อภิบาลของพวกเขาเป็นเท็จ เรา(อัลเลาะห์) ก็ให้พวกกาฟิรเหล่านั้นพินาศลงเพราะบาปของพวกตน ที่ไม่ยอมเชื่อ กล่าวคือปวงประชากรของพระศาสดาฮู๊ดเราก็ได้ลงโทษด้วยให้เกิดมีพายุพัดตายหมด ปวงประชากรของพระศาสดาซอลิห์ถูกลงโทษด้วยความสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวและเกิดเสียงกัมปนาทจากฟากฟ้า ตายหมดสิ้น ยังประชากรของพระศาสดาลู๊ตอีก เรารก็ลงโทษพวกเขาให้ตายลงด้วยฝนหินจากขุมนรก และประชากรของพระศาสดาชุไอบ์นั้น ถูกเราลงโทษตายเพราะความสั่นสะท้านจากแผ่นดินไหว และจากเสียงกัมปนาทจากฟากฟ้า ธรรมเนียมเช่นที่กล่าวข้างต้นนี้ เราจึงได้ให้ชาวกาฟิรมักกะห์ต้องพินาศลงด้วยดาบ และเรายังได้ลงโทษตัวฟิรเอาน์และพรรคพวกของฟิรเอาน์ให้จมน้ำตาย ปวงประชากรทั้งสิ้นนั้นเป็นพวกที่หาว่าศาสนทูตและบรรดาโองการของอัลเลาะห์เป็นเท็จ แล้วทั้งสิ้นนี้เป็นผู้คดโกงตนเองโดยการไม่ยอมศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และโดยหาว่าโองการของพระองค์เป็นเท็จ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 55 - 60


คำอ่าน
55. อิน..นะชัรฺร็อดดะวา...บบิอิน..ดัลลอฮิลละซีนะกะฟะรู ฟะฮุมลายุอ์มินูน
56. อัลละซีนะ อาฮัดตะมินฮุม ษุม..มะยัน..กุฎูนะอะฮฺดะฮุม ฟีกุลลิมัรฺเราะติว..วะฮุมลายัตตะกูน
57. ฟะอิม..มาตัษเกาะฟัน..นะฮุม ฟิลหัรฺบิ ฟะชัรฺริดบิฮิม..มันค็อลฟะฮุม ละอัลละฮุม ยัซซักกะรูน
58. วะอิม..มาตะคอฟัน..นะ มิน..ก็อวมิน คิยานะตัน..ฟัม..บิซอิลัยฮิม อะลาสะวา...อ์ อิน..นัลลอฮะลายุหิบบุล คอ...อินีน
59. วะลายะหฺสะบัน..นัลละซีนะกะฟะรู สะบะกู..อิน..นะฮุมลายุอฺญิซูน
60. วะอะอิดดูละฮุม..มัสตะเฏาะอฺตุม..มิน..กูววะติว..วะมิรฺริบาฏิลค็อยลิ ตุรฺฮิบูนะบิฮี อะดูวัลลอฮิ วะอะดูวะกุม วะอาเคารีนะมินดูนิฮิม ลาตะอฺละมูนะฮุม อัลลอฮุยะอฺละมุฮุม วะมาตุน..ฟิกูมิน..ชัยอิน..ฟีสะบีลิลลาฮิ ยุวัฟฟะอิลัยกุม วะอัน..ตุมลาตุซละมูน

 
คำแปล R1.
55. Verily, the worst of moving (living) creatures before Allah are those who disbelieve , - so they shall not believe.
56. They are those with whom you made a covenant, but they break their covenant every time and they do not fear Allah.
57. So if you gain the mastery over them in war, punish them severely in order to disperse those who are behind them, so that they may learn a lesson.
58. If you (O Muhammad) fear treachery from any people throw back (their covenant) to them (so as to be) on equal terms (that there will be no more covenant between you and them). Certainly Allah likes not the treacherous.
59. And let not those who disbelieve think that they can outstrip (escape from the punishment). Verily, they will never be able to save themselves (from Allah's punishment).
60. And make ready against them all you can of power, including steeds of war (tanks, planes, missiles, artillery, etc.) to threaten the enemy of Allah and your enemy, and others besides whom, you may not know but whom Allah does know. And whatever you shall spend in the Cause of Allah shall be repaid unto you, and you shall not be treated unjustly.


คำแปล R2.
55. แท้จริง สัตว์ที่เลวที่สุด ณ อัลเลาะฮฺ ได้แก่บรรดาผู้ที่เนรคุณ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธา
56. (พวกนั้นเป็น)บรรดาผู้ซึ่งเจ้าได้ทำสัญญาต่อพวกเขา แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ทำลายสัญญาของพวกเขาเสียทุกครั้งและพวกเขาหาได้มีความยำเกรงไม่
57. ดังนั้นเมื่อเจ้าได้เผชิญกับพวกเขา(ชาวยะฮูดี กับ กอรีเฎาะฮฺ) ในการทำศึก เจ้าจงขับไล่ด้วยเหตุ(แห่งการจับตัวและลงโทษ)พวกเหล่านั้นแก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้สำนึก(และไม่กล้าติดตามเนื่องจากความหวาดกลัวที่เห็นพวกแรกถูกจับตัวและถูกลงโทษ)
58. และถ้าเจ้ากลัวว่าจะมีการบิดพลิ้ว(สัญญา)จากคนกลุ่มใด เจ้าก็จงยกเลิก(สัญญานั้น) แก่พวกเขาเพื่อความเสมอภาค แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงรักบรรดาผู้บิดพลิ้วทั้งมวล
59. และบรรดาผู้เนรคุณอย่าได้คิดว่าพวกเขาจะล่วงพ้น(ไปจากอำนาจและการตอบแทนของเรา)เพราะแท้จริงพวกเขาจะไม่สามารถพิชิต(อำนาจของเราได้)
60. และเจ้าทั้งหลายจงเตรียมไว้(เพื่อการรับมือ)กับพวกเขา(ข้าศึก) เท่าที่พวกเจ้ามีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นกำลังรบและการผูกม้า ซึ่งเจ้าทั้งหลายจะนำมันมาขู่ศัตรูของอัลเลาะฮฺ และศัตรูของพวกเจ้าและบรรดาคนอื่น ๆ นอกจากพวกเขาอีก ซึ่งพวกเจ้าไม่รู้จักพวกนั้น แต่อัลเลาะฮฺทรงรู้จักพวกนั้น(เป็นอันดี) และไม่ว่าสิ่งใด ๆ ก็ตามที่เจ้าทั้งหลายใช้จ่ายไปในทางของอัลเลาะฮฺพระองค์ย่อมทดแทนพวกเจ้าอย่างครบถ้วน โดยพวกเจ้าไม่ถูกฉ้อฉลเลย

 
คำแปล R3.
55. แท้จริงสัตว์ที่ชั่วร้ายที่สุดในสายตาของอัลลอฮฺก็คือบรรดาผู้ปฏิเสธสัจธรรม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธา
56. ส่วนบรรดาผู้ที่เจ้าได้ทำสํญญากับพวกเขา แล้วพวกเขาละเมิดสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า และพวกเขาไม่เกรงกลัวอัลลอฮฺ
57. ถ้าหากเจ้าเชิญพวกเขาในการรบ จงทำคนพวกนี้ให้เป็นตัวอย่างที่น่ากลัวสำหรับคนอื่น ๆ ที่จะตามพวกเขามา ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้หวาดกลัวและได้รับบทเรียน
58. และถ้าเจ้าเกรงกลัวการทรยศจากพวกใด ก็จงโยนสัญญาของพวกเขาอย่างเปิดเผยต่อหน้าพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงรักคนทรยศ
59. จงอย่าให้บรรดาผู้ปฏิเสธสัจธรรมกระหยิ่มว่าพวกเขาจะชนะ แท้จริงพวกเขาไม่สามารถข่มเราได้
60. และเพื่อที่จะเผชิญหน้าพวกเขา สูเจ้าจงจัดเตรียมสรรพกำลังและฝึกม้าให้พร้อมอยู่เสมอเท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่งโดยการเตรียมตัวเช่นนี้เองที่สูเจ้าจะข่มขวัญศัตรูของอัลลอฮฺและศัตรูของสูเจ้า และพวกอื่น ๆ นอกจากพวกนี้ซึ่งสูเจ้าไม่รู้ แต่อัลลอฮฺทรงรู้จักพวกเขา และอะไรก็แล้วแต่ที่สูเจ้าใช้จ่ายไปในหนทางของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงตอบแทนให้สูเจ้าโดยครบ และสูเจ้าจะไม่ถูกอยุติธรรมแม้แต่น้อย


คำแปล R4.
55. แท้จริงสัตว์โลกที่ชั่วร้ายยิ่ง ณ อัลลอฮฺนั้นคือบรรดาผู้ที่เนรคุณ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธา
56. คือบรรดาผู้ที่เจ้าได้ทำสัญญาไว้ในหมู่พวกเขาแล้วพวกเขาก็ทำลายสัญญาของพวกเขาในทุกครั้ง โดยที่พวกเขาหาเกรงกลัวไม่
57. ถ้าหากเจ้าจับพวกเขาไว้ได้ในการรบก็จงขับไล่ผู้ที่อยู่ข้างหลังพวกเขา ด้วยการลงโทษพวกเขา (ให้เป็นเยี่ยงอย่าง) เพื่อว่าพวกเขาจะได้สำนึก
58. และถ้าหากเจ้าเกรงว่าจะมีการทุจริตจากพวกหนึ่งพวกใด ก็จงโอน(สัญญา) กลับคืนแก่พวกเขาไปโดยตั้งอยู่บนความเท่าเทียมกัน แท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ทุจริต
59. และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นจงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า พวกเขาได้หนีพ้นไปแล้วแท้จริงพวกเขาไม่ทำให้อัลลอฮฺหมดความสามารถได้
60. และพวกเจ้าจงเตรียมไว้สำหรับ(ป้องกัน)พวกเขา สิ่งที่พวกเจ้าสามารถ อันได้แก่กำลังอย่างหนึ่งอย่างใด และการผูกม้าไว้ โดยที่พวกเจ้าจะทำให้ศัตรูของอัลลอฮฺ และศัตรูของพวกเจ้าหวั่นเกรงด้วยสิ่งนั้น และพวกอื่น ๆ อีก อื่นจากพวกเขา ซึ่งพวกเจ้ายังไม่รู้จักพวกเขา อัลลอฮฺทรงรู้จักพวกเขาดี และสิ่งที่พวกเจ้าบริจาคในทางของอัลลอฮฺนั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม สิ่งนั้นจะถูกตอบแทนแก่พวกเจ้าโดยครบถ้วนโดยที่พวกเจ้าจะไม่ถูกอธรรม


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ก็เพราะพวกก็รีเฎาะห์กลัยสัตย์สัญญา กระแสความเล่าว่า มุฮำมัด พระศาสนทูตของอัลเลาะห์กับยะฮูดีเผ่าก็รีเฎาะห์ได้มีสัตย์สัญญาต่อกันว่า มิให้พวกยะฮูดีเหล่านี้รุกรานและมิให้สนับสนุนพวกกาฟิรที่จะทำศึกกับพระนบีฯ แต่แล้วพวกนี้กลับผิดข้อสัญญาที่มีต่อกัน โดยยื่นมือเข้ามา ให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์แก่เหล่ามุชริกชาวมักกะห์เพื่อการทำศึกสงครามกับพระศาสนทูตมุฮัมมัดและบรรดาสาวกของมุฮัมมัด แล้วต่างก็อ้างว่าพวกเราลืมข้อสัญญาอันไว้ต่อกัน พวกเราผิดพลาดไปแล้ว พระศาสนทูตมุฮำมัดกับพวกนี้จึงทำสัญญาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แม้กระนั้นพวกนี้ก็ยังผิดสัญญาอีกคำรบหนึ่ง ทั้งยังได้สมทบกับฝ่ายกาฟิรในการทำสงครามคอนดัก(สนามเพลาะ) ฝ่ายกะอับ บุตรอัชร็อฟก็ควบม้าไปยังนครมักกะห์ ให้สัตยาบันแก่กาฟิรมักกะห์ว่า ต้องทำศึกกับมุฮำมัดจึงได้มีกระแสโองการลงมาว่า
๕๕. แท้จริงสัตว์ที่ชั่วร้ายยิ่งตามทัศนะการตัดสินของอัลเลาะห์นั้นก็คือบรรดาชนยะฮูดีเผ่าก็รีเฎาะห์ผู้เป็นกาฟิร พวกเหล่านั้นหาได้ศรัทธาไม่
๕๖. พวกนั้นก็คือบรรดาชนยะฮูดีเผ่าก็รีเฎาะห์ผู้ซึ่งเจ้า(มุฮำมัด) ได้ทำสัญญาต่อพวกเขาไว้ว่ามิให้รุกรานเจ้า ทั้งมิให้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือกาฟิรชาวมักกะห์ให้มีกำลังกล้าแข็งเหนือเจ้า แล้วพวกยะฮูดีเหล่านั้นก็ผิดข้อสัญญาของตนเสียทุกครั้ง โดยพวกยะฮูดีเหล่านั้นมิได้ยำเกรงอัลเลาะฮฺในประการที่ทำทุจริตข้อสัญญาเลย
๕๗. โอ้มุฮำมัด ถ้าเจ้าพบกับพวกพวกยะฮูดีก็รีเฎาะห์เหล่านั้นในการทำศึกอีกแล้วไซร้เจ้าจงกระทำให้กาฟิรมักกะห์ผู้ซึ่งอยู่อีกทัพหนึ่งข้างหลังได้ถอยไปด้วยการลงโทษพวกก็รีเฎาะห์เหล่านั้นให้จงหนัก เพื่อพวกกาฟิรมักกะห์จะได้ครั่นคร้ามและกลัวว่าเจ้าจะจัดการลงโทษอันรุนแรงกับพวกมันเหมือนอย่างพวกก็รีเฎาะห์อีก เพื่อว่ากาฟิรมักกะห์พวกนี้จักได้คติด้วยพวกก็รีเฎาะห์
๕๘. และถ้าเจ้า(มุฮำมัด) เกรงจะเกิดทุจริตในข้อสัญญาขึ้นจากกลุ่มชนที่เข้าทำสัญญาไว้ต่อเจ้า ด้วยเห็นลางทุจริตบิดพริ้วโดยแจ้งขัดเหมือนกับเจ้าเหมือนกับลางทุจริตบิดพริ้วที่แจ้งชัดเคยมีขึ้นกับพวกก็รีเฎาะห์และพวกนะดีรมา แล้วเจ้าจงประกาศบอกเลิกสัญญาต่อพวกนั้นเพื่อให้รับรู้เสมอภาคทั้งสองฝ่ายระหว่างเจ้ากับพวกเหล่านั้นเถิด พวกนั้นจะได้ไม่เข้าใจผิด หาว่าเจ้าเป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อน แท้จริงอัลเลาะห์นั้นมิได้ทรงโปรดปรานีต่อบรรดาผู้ทุจริตเลย
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ เกี่ยวกับพวกกาฟิรเผ่ากุร็อยช์ซึ่งหนีรอดมาจากถูกจับเป็นเชลยและถูกจับฆ่าในคราวทำศึกที่สมรภูมิบัดร์ ว่า
๕๙. และโอ้มุฮำมัด เจ้าอย่าได้นึกถึงเลยว่าบรรดาชนกาฟิรที่เป็นพวกของอบูยะฮัลจะทำให้ตัวเองล่วงพ้นจากการลงโทษของอัลเลาะห์ แท้จริงแล้วพวกเหล่านั้นมิอาจจะช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากการลงโทษของเราในภาคภพนี้ด้วยการถูกฆ่าและถูกจับเป็นเชลยไปได้ และบางทีในภาคภพหน้าพวกเหล่านั้นอาจถูกลงโทษด้วยไฟนรกก็ได้
๖๐. แหละว่าพวกเจ้าจงเตรียมกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์และม้าศึกเท่าที่พวกเจ้าสามารถ ไว้รับมือกับพวกเหล่านั้น ซึ่งพวกเจ้าใช้สิ่งที่พวกเจ้าเตรียมไว้นั้นข่มขวัญพวกกาฟิรมักกะห์ผู้เป็นศัตรูของอัลเลาะห์และศัตรูของพวกเจ้า ตลอดจนข่มขวัญพวกอื่นจากพวกนั้น อันมีพวกมุนาฟิกและพวกยะฮูดี ที่พวกเจ้ายังไม่รู้จักระแคะระคายและความกลับกลอกภายในจิตใจของพวกนั้นเลย แต่อัลเลาะห์ซิทรงทราบดีในระแคะระคายและความกลับกลอกของพวกมุนาฟิกเหล่านั้น และไม่ว่าสิ่งใดที่พวกเจ้าได้เสียสละไปในการทำศึกสงครามหรือในวิถีทางอันดีงามของอัลเลาะห์พวกเจ้าจะได้รับตอบแทนบุญกุศลเพราะการเสียสละนั้นโดยบริบูรณ์ โดยที่พวกเจ้าไม่ถูกคดโกงด้วยให้ลดหย่อนซึ่งบุญกุศลเลยแม้สักนิดเดียว


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 61 - 63

 
คำอ่าน
61. วะอิน..ญะนะฮูลิสสัลมิ ฟัจญนะหฺละฮา วะตะวักกัลอะลัลลอฮฺ อิน..นะฮูฮุวัสสะมีอุลอะลีม
62. วะอี..ยุรีดู..อัย..ยัคดะอ(กะ ฟะอิน..นะหัสบะกัลลอฮุ ฮุวัลละซี..อัยยะดะกะ บินัศริฮี วะบิลมุอ์มินีน
63. วะอัลละฟะบัยนะกุลูบิฮิม เลาอัน..ฟักตะ มาฟิลอัรฺฎิ ญะมีอัม..มา..อัลลัฟตะ บัยนะกุลูบิฮิม วะลากิน..นัลลอฮะ อัลละฟะบัยนะฮุม อิน..นะฮูอะซีซุนหะกีม


คำแปล R1.
61. But if they incline to peace, you also incline to it, and (put your) trust in Allah. Verily, He is the All-Hearer, the All-Knower.
62. And if they intend to deceive you, Then verily, Allah is All-Sufficient for you. He it is who has supported you with his help and with the believers.
63. And He has united their (i.e. believers') hearts. If you had spent all that is in the earth, you could not have united their hearts, but Allah has united them. Certainly He is All-Mighty, All-Wise.


คำแปล R2.
61. และหากพวกเขา(ข้าศึก)มีแนวโน้มที่จะประนีประนอม เจ้าก็จงโน้มเอียงไปทางนั้นเถิด(ด้วยการทำสัญญาสงบศึก) และจงมอบหมายต่ออัลเลาะฮฺ เพราะแท้จริงพระองค์ทรงได้ยินอีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
62. และหากพวกเขาปรารถนาที่จะหลอกลวงเจ้า ที่จริงแล้วมีอัลเลาะฮฺ(เพียงองค์เดียว)ก็เป็นการเพียงพอแก่เจ้าแล้ว พระองค์เป็นผู้เสริมกำลังเจ้าด้วยการช่วยเหลือของพระองค์ และด้วย(การช่วยเหลือของ)บรรดาผู้ศรัทธา
63. และพระองค์ทรงสมัครสมานระหว่างหัวใจของพวกเขา มาดแม้นเจ้าจะใช้จ่ายสรรพสิ่งในพื้นพิภพนี้ทั้งหมด เจ้าก็ไม่สามารถสมัครสมานระหว่างหัวใจของพวกเขาได้ และแด่ทว่าอัลเลาะฮฺทรงสมัครสมานระหว่างพวกเขา แท้จริงพระองค์ทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง


คำแปล R3.
61. โอ้ นบี และถ้าพวกศัตรูโอนอ่อนมายังสันติภาพ เจ้าก็จงโอนอ่อนตามไปด้วยและจงวางใจในอัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
62. และถ้าพวกเขาเจตนาที่จะล่อลวงเจ้า อัลลอฮฺก็เพียงพอแล้วสำหรับเจ้า พระองค์คือผู้ทรงทำให้สูเจ้าเข้มแข็งด้วยความช่วยเหลือของพระองค์และโดยทางบรรดาผู้ศรัทธา
63. และพระองค์ได้ทรงสมัครสมานหัวใจของบรรดาผู้ศรัทธา แม้เจ้าจะใช้ความมั่งคั่งทั้งหมดในแผ่นดิน เจ้าก็ไม่สามารถที่จะสมัครสมานหัวใจของพวกเขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R4.
61. และหากพวกเขาโอนอ่อนมาเพื่อการประนีประนอมแล้ว เจ้าก็จงโอนอ่อนตามเพื่อการนั้นด้วย และจงมอบหมายแต่อัลลอฮฺเถิด แท้จริงนั้นพระองค์คือผู้ทรงได้ยินทรงรอบรู้
62. และถ้าหากพวกเขาต้องการที่จะหลอกลวงเจ้า ก็แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นที่พอเพียงแก่เจ้าแล้ว พระองค์คือผู้ที่ได้ทรงสนับสนุนเจ้าด้วยการช่วยเหลือของพระองค์ และด้วยผู้ศรัทธาทั้งหลาย 
63. และได้ทรงให้สนิทสนมระหว่างหัวใจของพวกเขา หากเจ้าได้จ่ายสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมด เจ้าก็ไม่สามารถให้สนิทสนมระหว่างหัวใจของพวกเขาได้ แต่ทว่าอัลลอฮฺนั้นได้ทรงให้สนิทสนมระหว่างพวกเขา และแท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R5.
๖๑. แต่ถ้าพวกนั้น จะโน้มมาสู่สันติภาพโดยทำสัญญาเอาค่ารัชชูปการจากพวกยะฮูดีหรือนัซรอนี เจ้าจงทำสัญญาตามนั้นกับพวกเหล่านั้นเถิด หรือถ้าพวกนั้นจะโน้มมาสู่การทำสัญญาฮัดนะห์(สงบศึก) หรืออมานะห์(ไม่รุกรานกัน) เจ้าจงทำสัญญานั้นกับพวกยะฮูดี นัซรอนีและกาฟิร พวกที่นอกจากพวกนั้นเถิด(โองการส่วนนี้ท่านอับบ๊าสว่าถูกยกเลิกแล้วด้วยโองการที่ 29 แห่งซูเราะห์อัตเตาบะห์ แต่ท่านมุยาฮิดกล่าวว่าใช้ได้เฉพาะพวกยะฮูดีและนัซรอนีเท่านั้น หรือโองการที่ลงไว้เฉาะเผ่าก็รีเฎาะห์ที่ผิดสัญญามาสองครั้งแล้ว) ทั้งเจ้าจงมอบหมายไว้ต่ออัลเลาะห์เถิด แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินยิ่ง ซึ่งถ้อยคำของบ่าวแห่งพระองค์ ทรงรู้ยิ่งในพฤติการณ์ทั้งปวงของบ่าวของพระองค์
๖๒. ถ้าพวก กาฟิรเผ่าก็รีเฎาะห์เหล่านั้นมุ่งจะลวงเจ้าด้วยการเปิดเผยข้อสัญญาสงบศึกแต่ซ่อนไว้ซึ่งการไม่ปฏิบัติตามสัญญาเพื่อจะได้มีโอกาสตระเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ทำศึกกับเจ้า เจ้าจงชะลอศึกไว้ก่อน และอย่าได้เกรงกลัวพวกเหล่านั้นเลย แท้จริงย่อมเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับเจ้า ที่มีอัลเลาะห์อยู่ พระงค์ผู้ทรงให้การสนับสนุนเจ้าโดยการสงเคราะห์ของพระองค์ และโดยมีบรรดาผู้ศรัทธาคณะอุปถมภก(อันซอร)ทั้งเผ่าเอาส์และเผ่าค็อซร็อจเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าอยู่ด้วย
๖๓. ทั้งพระองค์ทรงสมานใจขึ้นระหว่างพวกเหล่านั้นหลังจากที่มีความพยาบาทซ่อนอยู่ในใจมาเป็นเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบปี และโอ้มุฮำมัด ถ้าหากเจ้าจะเสียสละสิ่งทั้งสิ้นในภาคภพนี้ไซร้ เจ้าก็สมานใจพวกนั้นมิได้ แต่ทว่าอัลเลาะห์ทรงสมานใจขึ้นท่ามกลางพวกเหล่านั้นได้ด้วยเดชานุภาพของพระองค์ เพราะแท้จริงพระองค์นั้นทรงอิทธิฤทธิ์โดยเด็ดขาดยิ่งในภารกิจทั้งปวงของพระองค์ ทรงประณีตยิ่งในการสร้างสรรค์ของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดนอกเหนือความประณีตของพระองค์ได้เลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 48 - 52


คำอ่าน
48. วะอิซซัยยะนะ ละฮุมุชชัยฏอนุ อะอฺมาละฮุม วะกอละ ลาฆอลิบะละกุมุลเยามะ มินัน..สิ วะอิน..นีญารุลละกุม ฟะลัม..มาตะรอ...อะติลฟิอะตานิ นะกะเศาะ อะลาอะกิบัยฮิ วะกอละ อิน..นีบะรี...อุม..มิน..กุม อิน..นี..อะรอ มาลาตะร็อวนะ อิน..นี..อะคอฟุลลอฮฺ วัลลอฮุชะดีดุลอิกอบ
49. อิซยะกูลุลมุนาฟิกูนะ วัลละซีนะฟีกุลูบิฮิม..มัเราะฎุน ฆ็อรฺเราะฮา..อุลา..อิดีนุฮุม วะมัย..ยะตะวักกัลอะลัลลอฮิ ฟะอิน..นัลลอฮะอะซีซุนหะกีม
50. วะเลาตะรอ..อิซยะตะวัฟฟัลละซีนะกะฟะรุลมะลา...อิกะตุ ยัฎริบูนะวุญูฮะฮุม วะซูกูอะซาบัลหะรีก
51. ซาลิกะบิมาก็อดดะมัต อัยดีกุม วะอัน..นัลลอฮะ ลัยสะบิซ็อลลามิลลิลอะบีด
52. กะดะอ์บิอาลิฟิรฺเอานะ วัลละซีนะมิน..ก็อบลิฮิม กะฟะรูบิอายาติลลาฮิ ฟะอะเคาะซะฮุมุลลอฮุบิซุนูบิฮิม อิน..นัลลอฮะเกาะวียุน..ชะดีดุลอิกอบ


คำแปล R1.
48. And the men on Al-A'raf (the wall) will call unto the men whom they would recognise by their marks, saying: "Of what benefit to you were your great numbers (and hoards of wealth), and your arrogance against Faith?"
49. Are they those, of whom you swore that Allah would never show them Mercy. (Behold! it has been said to them): "Enter Paradise, no fear shall be on you, nor shall you grieve."
50. And the dwellers of the Fire will call to the dwellers of Paradise: "Pour on us some water or anything that Allah has provided you with." they will say: "Both (water and provision) Allah has forbidden to the disbelievers."
51. "Who took their Religion as an amusement and play, and the life of the world deceived them." So this Day we shall forget them as they forgot their Meeting of this Day, and as they used to reject our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.).
52. Certainly, we have brought to them a Book (the Qur'an) which we have explained in detail with knowledge, - a guidance and a Mercy to a people who believe.


คำแปล R2.
48. และ(จงระลึกเถิด)เมื่อมารร้าย(ได้แก่ สะรอเกาะฮฺ บิน มาลิก) ได้เข้ามาประดับประดาแก่พวกเขา(กองทัพอะบูยะฮัล)ในผลงานต่าง ๆ ของพวกเขา (อันผิดพลาด ให้พวกเขาเห็นเป็นกากระทำอันดีงาม) และมันกล่าวว่า “ในวันนี้ ไม่มีผู้ใดจากมวลมนุษย์เอาชนะพวกท่านได้ และแท้จริงฉันจะให้การอารักขาแก่พวกท่านเอง” แต่แล้วเมื่อกองทัพทั้งสอง(ทั้งฝ่ายมุสลิมและฝ่ายกาฟิร)ต่างมองเห็นซึ่งกันและกัน มัน(มารร้าย)ก็ผละหนี และกล่าวว่า “แท้จริง ฉันไม่เกี่ยวข้องกับพวกท่าน แท้จริงฉันมองเห็นสิ่งที่พวกท่านมองไม่เห็น แท้จริงฉันกลัวอัลเลาะฮฺ และอัลเลาะฮฺทรงลงโทษร้ายแรงนัก
49. (จงระลึกเถิด) เมื่อพวกสับปลับและบรรดาผู้มีความป่วยไข้ในหัวใจกล่าวว่า “พวกเหล่านี้(คนมุสลิม)ศาสนาขอกเขาได้ล่อลวงพวกเขาเสียแล้ว(ความคลั่งศาสนาทำให้พวกเขากล้าตอสู้กับพวกเราซึ่งมีจำนวนมากกว่า) และผู้ใดมอบหมาย(ตัวเอง)ต่ออัลเลาะฮฺ แน่นอน อัลเลาะฮฺทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง”
50. และ(จะมีผลลัพท์ประการใด)หากเจ้าเห็นในขณะที่มลาอิกะฮฺทำให้บรรดาผู้เนรคุณทั้งหลายสิ้นชีวิต โดยพวก(มลาอิกะฮฺ)นั้น ตีใบหน้าของพวกเขาและเบื้องหลังของพวกเขา พร้อมกับกล่าวว่า “พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษของนรกอันแผดเผาเถิด”
51. (การลงโทษของนรก)นั้น เป็นเพราะสิ่งที่ได้ประกอบไว้ด้วยมือของพวกเจ้าเอง และแท้จริงอัลเลาะฮฺหาใช่ผู้อธรรมต่อบ่าว(แต่ประการใด ๆ )ไม่
52. (สภาพการของพวกกาฟิรเหล่านั้น)ก็เหมือนก็เหมือนกับสภาพของวงศ์วานฟิรเอาน์ และบรรดาผู้อยู่ในยุคก่อนหน้าพวกเขา คนพวกนั้นได้ปฏิเสธบรรดาโองการแห่งอัลเลาะฮฺ ดังนั้น อัลเลาะฮฺจึงลงโทษพวกนั้น เพราะบาปต่าง ๆ ของพวกนั้น แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงพลานุภาพอีกทั้งทรงลงโทษร้ายแรงนัก


คำแปล R3.
48. จงคิดถึงเมื่อตอนที่มารได้ทำให้การงานที่ชั่วร้ายของพวกเขาเป็นที่ดูดีแก่พวกเขาและได้กล่าวว่า “วันนี้ไม่มีผู้ใดในหมู่มนุษย์ที่สามารถจะเอาชนะพวกท่านเพราะฉันอยู่กับพวกท่าน” แต่เมื่อกองทัพทั้งสองเผชิญหน้ากัน มันกลับหันหนีและกล่าวว่า “ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกท่าน ฉันเห็นในสิ่งที่พวกท่านมองไม่เห็น ความจริงแล้วฉันกลัวอัลลอฮฺ เพราะอัลลอฮิเป็นผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ”
49. ในเวลาเดียวกัน บรรดาผู้สับปลับและบรรดาผู้ที่มีหัวใจเป็นโรคได้กล่าวว่า “ความศรัทธาของพวกเขาได้ทำให้พวกเขาบ้าคลั่ง” ทั้งที่ความจริงแล้วใครก็ตามที่ไว้วางใจในอัลลอฮฺ (จะพบว่า) อัลลอฮิเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
50. และเจ้าก็เห็นได้ว่าเป็นอย่างไรเมื่อมลาอิกะฮฺได้เอาวิญญาณของผู้ปฏิเสธที่ถูกฆ่า มลาอิกะฮฺได้ฟาดลงไปที่หน้าและหลังของพวกเขาและกล่าวว่า “ทีนี้จงลิ้มรสการลงโทษแห่งการเผาไหม้
51. นี่เป็นการตอบแทนสำหรับสิ่งที่มือของสูเจ้าได้ประกอบไว้ก่อนหน้านี้ และอัลลอฮฺมิทรงเป็นผู้อยุติธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์”
52. สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแก่พวกเขาเหมือนกับมันได้เกิดขึ้นแก่คนของฟิรฺเอาน์และผู้คนก่อนหน้าพวกเขา นี่เป็นเพราะพวกเขาได้ปฏิเสธอายะฮฺทั้งหลายของอัลลอฮฺ ดังนั้นอัลลอฮฺจึงได้ทรงลงโทษพวกเขา อันเนื่องมาจากความผิดของพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงพลังและผู้ทรงเข้มงวดในการตอบแทน


คำแปล R4.
48. และจงรำลึกขณะที่ชัยฏอนได้ทำให้สวยงามแก่พวกเขา ซึ่งการงานของพวกเขา และมันได้กล่าวว่า วันนี้ไม่มีผู้ใดในหมู่มนุษย์ชนะพวกท่านได้ และแท้จริงนั้นฉันคือผู้ช่วยเหลือพวกท่านครั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมองเห็นกันแล้ว มันก็กลับส้นเท้าทั้งสองของมันและกล่าวว่าแท้จริงฉันไม่เกี่ยวข้องกับพวกท่าน แท้จริงฉันกำลังเห็นสิ่งที่พวกท่านไม่เห็น แท้จริงฉันกลัวอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ
49. จงรำลึกขณะที่บรรดามุนาฟิกและบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีโรคกล่าวว่า ที่ได้ลวงผู้คนเหล่านี้นั้น คือศาสนาของพวกเขา และผู้ใดมอบหมายแด่อัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงเดชานุภาพผู้ทรงปรีชาญาณ
50. และหากว่าเจ้าเห็นขณะที่มลาอิกะฮ์เอาวิญญาณของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่นั้นพวกเขา จะตีใบหน้าของพวกเขาและหลังของพวกเขา และ(กล่าวว่า) พวกเจ้าจงลิ้มการลงโทษแห่งการเผาไหม้เถิด
51. นั่นก็เนื่องจากสิ่งที่มือของพวกท่านได้ประกอบไว้ก่อน และแท้จริงอัลลอฮฺนั้นมิใช่ผู้อธรรมแก่บ่าวทั้งหลาย
52. เช่นเดียวกับสภาพแห่งวงศ์วานของฟิรอาวน์ และบรรดาผู้ที่ก่อนหน้าพวกเขา ซึ่งพวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮฺแล้วอัลลอฮฺก็ได้ทรงลงโทษพวกเขา เนื่องด้วยบรรดาความผิดของพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงพลังและผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ


คำแปล R5.
๔๘. และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ที่มีต่อเจ้า ในขณะที่ไชตอนได้ให้พวกนั้นที่เป็นพรรคพวกของอบุยะฮัลเห็นการทั้งปวงของตนดีงามโดยมันย้อมใจให้พวกของอบุยะฮัลกล้าเผชิญหน้ากับฝ่ายมุสลิม พรรคพวกของมุฮำมัดในขณะที่พวกนี้คร้ามฝีมือของศุตรูของพวกตนคือ พวกบนูบักร์ตอนจะออกจากเหย้าเรือน ณ นครมักกะห์ แล้วไชตอนได้จำแลงกายมาหาพวกของอบูยะฮัลในรูปของสะรอเกาะห์บุตรมาลิกผู้เป็นคนสำคัญในแคว้นของบนูบักร์มันก็กล่าวแก่พวกของอบูยะฮัลว่า วันนี้ไม่มีมนุษย์คนใดหรอกที่เป็นผู้ชนะพวกเจ้า แน่แท้ข้า(ไชตอน)นี้เป็นตัวสะรอเกาะห์บุตรมาลิกซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่ากินานะห์ ซึ่งเป็นเผ่าของบนูบักร์จะมาเป็นผู้คุ้มครองป้องกันและช่วยเหลือพวกเจ้า ครั้นเมื่อทั้งสองพวกที่เป็นฝ่ายมุสลิมและพรรคพวกของอบูยะฮัลเข้าประจัญหน้ากันแล้วไชตอนก็เห็นเหล่ามลาอิกะห์ยาตราลงจากฟากฟ้า ขณะนั้นมือของไชตอนกำลังจับกุมกันแน่นกับมือของฮาริสบุตรหิชาม แต่แล้วไชตอนก็หนีหายไปเสีย ฝ่ายพรรคพวกของอบูยะฮัลก็กล่าวแก่ไชตอนผู้จำแลงกายในร่างสะรอเกาะห์ ฯ ว่าท่านได้เลิกช่วยเหลือพวกเราในสถานการณ์เช่นนี้เสียแล้ว ซึ่งไม่น่าเลยที่ท่านจะไม่ให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ แล้วมันก็ตอบว่า ข้าปลีกตัวออกจากการเป็นเพื่อนบ้านกับพวกท่านแน่นอนไม่ช่วยเหลือพวกท่านอีกแล้ว ด้วยว่าข้าไชตอนนั้นได้เห็นมีเหล่ามลาอิกะห์จำนวนห้าพันผู้ลงมาจากฟากฟ้าซึ่งพวกท่านมองไม่เห็น ข้ากลัวอัลเลาะห์จะทรงความหายนะแก่ข้า โดยทรงให้มวลมลาอิกะห์มีอำนาจกระทำให้ข้าได้รับความหายนะ ก็อัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์ผู้เข้มงวดยิ่งในการลงทัณฑ์
๔๙. โอ้ มุฮำมัด เจ้าจงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ที่มีต่อเจ้า ในขณะที่พวกตีสองหน้า(มุนาฟิก)ชาวนครมดีนะห์และบรรดาชนมุสลิมชาวมักกะห์ผู้ที่หัวใจของพวกเขาย่อหย่อนในการในการนับถือศาสนาอิสลามกล่าวว่า ศาสนาของพวกมุสลิมเหล่านั้น หลอกลวงพวกมุสลิมเหล่านั้นเอง ทั้งนี้เพราะว่าพวกมุสลิมออกทำศึกที่ทุ่งบัดร์มีจำนวนทหารเพียงเล็กน้อยไปสู้รบกับฝ่ายข้าศึกซึ่งมีจำนวนมากด้วยเข้าใจเอาว่า พวกตนจะได้ชัยชนะเพราะอานุภาพของศาสนา อัลเลาะห์ตรัสตอบคำกล่าวเช่นนั้นของทั้งสองพวกดังกล่าวว่า และถ้าผู้ใดยึดมั่นมอบหมายต่ออัลเลาะห์แล้วไซร้ เขาย่อมได้รับความมีชัยเอาชนะฝ่ายข้าศึกที่มีจำนวนพลมากมายได้ แน่นอนอัลเลาะห์นั้นทรงอิทธิฤทธิ์โดยเด็ดขาดยิ่ง ในภารกิจทั้งปวงของพระองค์ ทรงประณีตยิ่งในการสร้างสรรค์ทั้งปวงของพระองค์
๕๐. และโอ้มุฮำมัด ถ้าเจ้าได้แลเห็นสภาพการณ์ในคราเมื่อมลาอิกะห์จากฟากฟ้าจำนวนห้าพันลงมาปลิดชีวิตพวกของอบูยะฮัลบรรดาที่เป็นผู้ไร้ศรัทธาโดยเหล่ามลาอิกะห็ได้ตีหน้าพวกเหล่านั้นที่พยายามปองร้ายพระศาสดามุฮำมัดและหลังของพวกเหล่านั้นด้วยค้อนเห,กเผาไฟ ในขณะที่พวกนั้นกำลังหันหลังหนี แล้วฝ่ายมลาอิกะห์ก็เอ่ยกล่าวแก่พวกที่ถูกตีเหล่านี้ว่า พวกเจ้าจงลิ้มรสแห่งโทษอันร้อนแรงกันเถิด โอ้มุฮำมัด เจ้าย่อมได้แลเห็นเหตุการณ์อันใหญ่หลวงแน่ทีเดียว
๕๑. การลงโทษทัณฑ์เช่นที่กล่าวข้างต้นนี้แหละคือบาปโทษฐานที่มือของพวก(อบูยะฮัล) เหล่านั้นได้กระทำกันไว้ก่อน แล้ว แหละว่าอัลเลาะห์นั้นจะทรงอยุติธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์ก็หาไม่พระองค์จะไม่ทรงลงโทษผู้ใดที่ไม่มีบาปเลย
๕๒. ย่อมเป็นธรรมเนียมที่พระองค์จะทรงลงโทษพรรคพวกของอบูยะฮัลด้วยเหตุไม่ศรัทธาต่อบรรดาสัญลักษณ์ของอัลเลาะห์เหมือนดั่งธรรมเนียมการลงโทษพรรคพวกของฟิรเอาน์ และปวงชนยุคก่อนจากฟิรเอาน์ บรรดาที่มิได้ศรัทธาต่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของอัลเลาะห์ อัลเลาะห์ก็ทรงเอาโทษพวกเหล่านั้น เพราะบาปของพวกเหล่านั้น แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงพลานุภาพยิ่งเหนือสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์ทรงเข้มงวดยิ่งในการลงทัณฑ์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 53 - 54


คำอ่าน
53. ซาลิกะบิอัน..นัลลอฮะ ลัมยะกุมุฆ็อยยิร็อน..นิอฺมะตัน อันอะมะฮาอะลาก็อวมิน หัตตายุฆ็อยยิรูมาบิอัน..ฟุสิฮิม วะอันนัลลอฮะ สะมีอุนอะลีม
54. กะดะอ์บิอาลิฟิรฺเอานะ วัลละซีนะมิน..ก็อบลิฮิม กัซซะบูบิอายาติร็อบบิฮิม ฟะอะฮฺลักนาฮุม บิซุนูบิฮิม วะอัฆร็อกนาอาละฟิรฺเอานฺ วะกุลลุน..กานูซอลิมีน


คำแปล R1.
53. That is so because Allah will never change a grace which he has bestowed on a people until they change what is in their own selves. And verily, Allah is All-Hearer, All-Knower.
54. Similar to the behaviour of the people of Fir'aun (Pharaoh), and those before them. They belied the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), of their Lord, so we destroyed them for their sins, and we drowned the people of Fir'aun (Pharaoh) for they were all Zalimun (polytheists and wrong-doers, etc.).


คำแปล R2.
53. (การตอบแทน)นั้นด้วยเหตุว่าอัลเลาะฮฺจะไม่เปลี่ยนแปลงความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานมันแก่กลุ่มชนหนึ่งจนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพการในตัวของพวกเขาเอง และแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงได้ยินอีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
54. (สภาพการของพวกเขา)ประดุจดังสภาพการของวงศ์วานฟิรเอาน์ และบรรดาผู้อยู่ในยุคก่อนหน้าพวกเขา บรรดาพวกเหล่านั้นได้กล่าวหาบรรดาโองการต่าง ๆ ขององค์อภิบาลแห่งพวกเขาว่าเป็นเท็จ ดังนั้นเราจึงทำลายล้างพวกเขาเพราะมวลบาปของพวกเขา และเราได้ให้วงส์วานของฟิรเอาน์จมน้ำตาย และทุก ๆ คนนั้นล้วนเป็นผู้ฉ้อฉลทั้งสิ้น


คำแปล R3.
53. นี่เป็นไปตามวิธีการของอัลลอฮฺที่พระองค์มิทรงเปลี่ยนแปลงความโปรดปรานที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่หมู่ชนใดเว้นเสียแต่พวกเขาเปลี่ยนแปลงแนวทางของพวกเขาเอง และอัลลอฮฺทรงได้ยินทุกสิ่งและทรงรอบรู้ทุกสิ่ง
54. หลักการเดียวกันนี้ก็ได้ถูกใช้กับผู้คนของฟิรฺเอาน์และผู้คนอื่น ๆ ก่อนหน้าพวกเขาเมื่อพวกเขาถือว่าอายะฮฺทั้งหลายของพระผู้อภิบาลของพวกเขาเป็นเท็จ ดังนั้นเราจึงได้ทำลายพวกเขาเพราะความผิดที่พวกเขากระทำ เราได้ทำให้ผู้คนของฟิรฺเอาน์จมน้ำ คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นผู้อธรรม


คำแปล R4.
53. นั่นก็เพราะว่า อัลลอฮฺมิได้ทรงเป็นผู้เปลี่ยนแปลงความกรุณาใด ๆ ที่พระองค์ทรงประทานมันแก่กลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใดจนกว่าพวกเขาจะได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ในตัวของพวกเขาเอง และแท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้
54. เช่นเดียวกับสภาพแห่งวงศ์วานฟิรอาวน์และบรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเขา ซึ่งพวกเขาปฏิเสธบรรดาโองการแห่งพระเจ้าของพวกเขา แล้วเราก็ได้ทำลายพวกเขา เนื่องด้วยความผิดของพวกเขา และเราได้ให้วงศ์วานฟิรอาวน์จมน้ำตาย และทั้งหมดนั้นพวกเขาเป็นผู้อธรรม


คำแปล R5.
๕๓. การลงทัณฑ์พวกกาฟิรทั้งหลาย นี้ใช่ว่าจะเป็นเพราะอัลเลาะห์ทรงเปลี่ยนแปลงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมอบแก่ปวงชนกาฟิรทั้งหลายให้กลับเป็นการลงโทษพวกเหล่านั้นก็หาไม่ พวกกาฟิรนั้นต่างหากเล่าที่เปลี่ยนแปลงพระกรุณาธิคุณของพระองค์อันมีต่อพวกตนด้วยการเนรคุณและไร้ซึ่งความศรัทธา เช่นว่า พวกกาฟิรมักกะห์เปลี่ยนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงให้อาหารแก่พวกเขาด้วยพ้นจากความหิว และที่ทรงให้ความปลอดภัยพ้นจากความหวาดกลัว และที่ทรงแต่งตั้งพระศาสนทูตไปยังพวกนั้นให้กลับกลายเป็นการเนรคุณ เป็นการไร้ศรัทธาและกีดกันในศาสนาของพระองค์และพยายามรังแกพวกมุอ์มิน อันนี้เองพระองค์จึงได้ทรงลงโทษพวกเหล่านั้น แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงได้ยินยิ่ง ซึ่งถ้อยคำของพวกนั้น ทรงรู้ยิ่งในพฤติกรรมของพวกนั้นอีกด้วย
๕๔. เหมือนดั่งธรรมเนียมการลงโทษพรรคพวกของฟิรเอาน์และบรรดาชนกาฟิรยุคก่อนจากพวก(ของฟิรเอาน์)เหล่านั้น ซึ่งหาว่าสัญลักษณ์ต่าง ๆ ขององค์พระผู้อภิบาลของพวกเขาเป็นเท็จ เรา(อัลเลาะห์) ก็ให้พวกกาฟิรเหล่านั้นพินาศลงเพราะบาปของพวกตน ที่ไม่ยอมเชื่อ กล่าวคือปวงประชากรของพระศาสดาฮู๊ดเราก็ได้ลงโทษด้วยให้เกิดมีพายุพัดตายหมด ปวงประชากรของพระศาสดาซอลิห์ถูกลงโทษด้วยความสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวและเกิดเสียงกัมปนาทจากฟากฟ้า ตายหมดสิ้น ยังประชากรของพระศาสดาลู๊ตอีก เรารก็ลงโทษพวกเขาให้ตายลงด้วยฝนหินจากขุมนรก และประชากรของพระศาสดาชุไอบ์นั้น ถูกเราลงโทษตายเพราะความสั่นสะท้านจากแผ่นดินไหว และจากเสียงกัมปนาทจากฟากฟ้า ธรรมเนียมเช่นที่กล่าวข้างต้นนี้ เราจึงได้ให้ชาวกาฟิรมักกะห์ต้องพินาศลงด้วยดาบ และเรายังได้ลงโทษตัวฟิรเอาน์และพรรคพวกของฟิรเอาน์ให้จมน้ำตาย ปวงประชากรทั้งสิ้นนั้นเป็นพวกที่หาว่าศาสนทูตและบรรดาโองการของอัลเลาะห์เป็นเท็จ แล้วทั้งสิ้นนี้เป็นผู้คดโกงตนเองโดยการไม่ยอมศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และโดยหาว่าโองการของพระองค์เป็นเท็จ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 55 - 60


คำอ่าน
55. อิน..นะชัรฺร็อดดะวา...บบิอิน..ดัลลอฮิลละซีนะกะฟะรู ฟะฮุมลายุอ์มินูน
56. อัลละซีนะ อาฮัดตะมินฮุม ษุม..มะยัน..กุฎูนะอะฮฺดะฮุม ฟีกุลลิมัรฺเราะติว..วะฮุมลายัตตะกูน
57. ฟะอิม..มาตัษเกาะฟัน..นะฮุม ฟิลหัรฺบิ ฟะชัรฺริดบิฮิม..มันค็อลฟะฮุม ละอัลละฮุม ยัซซักกะรูน
58. วะอิม..มาตะคอฟัน..นะ มิน..ก็อวมิน คิยานะตัน..ฟัม..บิซอิลัยฮิม อะลาสะวา...อ์ อิน..นัลลอฮะลายุหิบบุล คอ...อินีน
59. วะลายะหฺสะบัน..นัลละซีนะกะฟะรู สะบะกู..อิน..นะฮุมลายุอฺญิซูน
60. วะอะอิดดูละฮุม..มัสตะเฏาะอฺตุม..มิน..กูววะติว..วะมิรฺริบาฏิลค็อยลิ ตุรฺฮิบูนะบิฮี อะดูวัลลอฮิ วะอะดูวะกุม วะอาเคารีนะมินดูนิฮิม ลาตะอฺละมูนะฮุม อัลลอฮุยะอฺละมุฮุม วะมาตุน..ฟิกูมิน..ชัยอิน..ฟีสะบีลิลลาฮิ ยุวัฟฟะอิลัยกุม วะอัน..ตุมลาตุซละมูน

 
คำแปล R1.
55. Verily, the worst of moving (living) creatures before Allah are those who disbelieve , - so they shall not believe.
56. They are those with whom you made a covenant, but they break their covenant every time and they do not fear Allah.
57. So if you gain the mastery over them in war, punish them severely in order to disperse those who are behind them, so that they may learn a lesson.
58. If you (O Muhammad) fear treachery from any people throw back (their covenant) to them (so as to be) on equal terms (that there will be no more covenant between you and them). Certainly Allah likes not the treacherous.
59. And let not those who disbelieve think that they can outstrip (escape from the punishment). Verily, they will never be able to save themselves (from Allah's punishment).
60. And make ready against them all you can of power, including steeds of war (tanks, planes, missiles, artillery, etc.) to threaten the enemy of Allah and your enemy, and others besides whom, you may not know but whom Allah does know. And whatever you shall spend in the Cause of Allah shall be repaid unto you, and you shall not be treated unjustly.


คำแปล R2.
55. แท้จริง สัตว์ที่เลวที่สุด ณ อัลเลาะฮฺ ได้แก่บรรดาผู้ที่เนรคุณ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธา
56. (พวกนั้นเป็น)บรรดาผู้ซึ่งเจ้าได้ทำสัญญาต่อพวกเขา แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ทำลายสัญญาของพวกเขาเสียทุกครั้งและพวกเขาหาได้มีความยำเกรงไม่
57. ดังนั้นเมื่อเจ้าได้เผชิญกับพวกเขา(ชาวยะฮูดี กับ กอรีเฎาะฮฺ) ในการทำศึก เจ้าจงขับไล่ด้วยเหตุ(แห่งการจับตัวและลงโทษ)พวกเหล่านั้นแก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้สำนึก(และไม่กล้าติดตามเนื่องจากความหวาดกลัวที่เห็นพวกแรกถูกจับตัวและถูกลงโทษ)
58. และถ้าเจ้ากลัวว่าจะมีการบิดพลิ้ว(สัญญา)จากคนกลุ่มใด เจ้าก็จงยกเลิก(สัญญานั้น) แก่พวกเขาเพื่อความเสมอภาค แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงรักบรรดาผู้บิดพลิ้วทั้งมวล
59. และบรรดาผู้เนรคุณอย่าได้คิดว่าพวกเขาจะล่วงพ้น(ไปจากอำนาจและการตอบแทนของเรา)เพราะแท้จริงพวกเขาจะไม่สามารถพิชิต(อำนาจของเราได้)
60. และเจ้าทั้งหลายจงเตรียมไว้(เพื่อการรับมือ)กับพวกเขา(ข้าศึก) เท่าที่พวกเจ้ามีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นกำลังรบและการผูกม้า ซึ่งเจ้าทั้งหลายจะนำมันมาขู่ศัตรูของอัลเลาะฮฺ และศัตรูของพวกเจ้าและบรรดาคนอื่น ๆ นอกจากพวกเขาอีก ซึ่งพวกเจ้าไม่รู้จักพวกนั้น แต่อัลเลาะฮฺทรงรู้จักพวกนั้น(เป็นอันดี) และไม่ว่าสิ่งใด ๆ ก็ตามที่เจ้าทั้งหลายใช้จ่ายไปในทางของอัลเลาะฮฺพระองค์ย่อมทดแทนพวกเจ้าอย่างครบถ้วน โดยพวกเจ้าไม่ถูกฉ้อฉลเลย

 
คำแปล R3.
55. แท้จริงสัตว์ที่ชั่วร้ายที่สุดในสายตาของอัลลอฮฺก็คือบรรดาผู้ปฏิเสธสัจธรรม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธา
56. ส่วนบรรดาผู้ที่เจ้าได้ทำสํญญากับพวกเขา แล้วพวกเขาละเมิดสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า และพวกเขาไม่เกรงกลัวอัลลอฮฺ
57. ถ้าหากเจ้าเชิญพวกเขาในการรบ จงทำคนพวกนี้ให้เป็นตัวอย่างที่น่ากลัวสำหรับคนอื่น ๆ ที่จะตามพวกเขามา ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้หวาดกลัวและได้รับบทเรียน
58. และถ้าเจ้าเกรงกลัวการทรยศจากพวกใด ก็จงโยนสัญญาของพวกเขาอย่างเปิดเผยต่อหน้าพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงรักคนทรยศ
59. จงอย่าให้บรรดาผู้ปฏิเสธสัจธรรมกระหยิ่มว่าพวกเขาจะชนะ แท้จริงพวกเขาไม่สามารถข่มเราได้
60. และเพื่อที่จะเผชิญหน้าพวกเขา สูเจ้าจงจัดเตรียมสรรพกำลังและฝึกม้าให้พร้อมอยู่เสมอเท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่งโดยการเตรียมตัวเช่นนี้เองที่สูเจ้าจะข่มขวัญศัตรูของอัลลอฮฺและศัตรูของสูเจ้า และพวกอื่น ๆ นอกจากพวกนี้ซึ่งสูเจ้าไม่รู้ แต่อัลลอฮฺทรงรู้จักพวกเขา และอะไรก็แล้วแต่ที่สูเจ้าใช้จ่ายไปในหนทางของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงตอบแทนให้สูเจ้าโดยครบ และสูเจ้าจะไม่ถูกอยุติธรรมแม้แต่น้อย


คำแปล R4.
55. แท้จริงสัตว์โลกที่ชั่วร้ายยิ่ง ณ อัลลอฮฺนั้นคือบรรดาผู้ที่เนรคุณ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธา
56. คือบรรดาผู้ที่เจ้าได้ทำสัญญาไว้ในหมู่พวกเขาแล้วพวกเขาก็ทำลายสัญญาของพวกเขาในทุกครั้ง โดยที่พวกเขาหาเกรงกลัวไม่
57. ถ้าหากเจ้าจับพวกเขาไว้ได้ในการรบก็จงขับไล่ผู้ที่อยู่ข้างหลังพวกเขา ด้วยการลงโทษพวกเขา (ให้เป็นเยี่ยงอย่าง) เพื่อว่าพวกเขาจะได้สำนึก
58. และถ้าหากเจ้าเกรงว่าจะมีการทุจริตจากพวกหนึ่งพวกใด ก็จงโอน(สัญญา) กลับคืนแก่พวกเขาไปโดยตั้งอยู่บนความเท่าเทียมกัน แท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ทุจริต
59. และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นจงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า พวกเขาได้หนีพ้นไปแล้วแท้จริงพวกเขาไม่ทำให้อัลลอฮฺหมดความสามารถได้
60. และพวกเจ้าจงเตรียมไว้สำหรับ(ป้องกัน)พวกเขา สิ่งที่พวกเจ้าสามารถ อันได้แก่กำลังอย่างหนึ่งอย่างใด และการผูกม้าไว้ โดยที่พวกเจ้าจะทำให้ศัตรูของอัลลอฮฺ และศัตรูของพวกเจ้าหวั่นเกรงด้วยสิ่งนั้น และพวกอื่น ๆ อีก อื่นจากพวกเขา ซึ่งพวกเจ้ายังไม่รู้จักพวกเขา อัลลอฮฺทรงรู้จักพวกเขาดี และสิ่งที่พวกเจ้าบริจาคในทางของอัลลอฮฺนั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม สิ่งนั้นจะถูกตอบแทนแก่พวกเจ้าโดยครบถ้วนโดยที่พวกเจ้าจะไม่ถูกอธรรม


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ก็เพราะพวกก็รีเฎาะห์กลัยสัตย์สัญญา กระแสความเล่าว่า มุฮำมัด พระศาสนทูตของอัลเลาะห์กับยะฮูดีเผ่าก็รีเฎาะห์ได้มีสัตย์สัญญาต่อกันว่า มิให้พวกยะฮูดีเหล่านี้รุกรานและมิให้สนับสนุนพวกกาฟิรที่จะทำศึกกับพระนบีฯ แต่แล้วพวกนี้กลับผิดข้อสัญญาที่มีต่อกัน โดยยื่นมือเข้ามา ให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์แก่เหล่ามุชริกชาวมักกะห์เพื่อการทำศึกสงครามกับพระศาสนทูตมุฮัมมัดและบรรดาสาวกของมุฮัมมัด แล้วต่างก็อ้างว่าพวกเราลืมข้อสัญญาอันไว้ต่อกัน พวกเราผิดพลาดไปแล้ว พระศาสนทูตมุฮำมัดกับพวกนี้จึงทำสัญญาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แม้กระนั้นพวกนี้ก็ยังผิดสัญญาอีกคำรบหนึ่ง ทั้งยังได้สมทบกับฝ่ายกาฟิรในการทำสงครามคอนดัก(สนามเพลาะ) ฝ่ายกะอับ บุตรอัชร็อฟก็ควบม้าไปยังนครมักกะห์ ให้สัตยาบันแก่กาฟิรมักกะห์ว่า ต้องทำศึกกับมุฮำมัดจึงได้มีกระแสโองการลงมาว่า
๕๕. แท้จริงสัตว์ที่ชั่วร้ายยิ่งตามทัศนะการตัดสินของอัลเลาะห์นั้นก็คือบรรดาชนยะฮูดีเผ่าก็รีเฎาะห์ผู้เป็นกาฟิร พวกเหล่านั้นหาได้ศรัทธาไม่
๕๖. พวกนั้นก็คือบรรดาชนยะฮูดีเผ่าก็รีเฎาะห์ผู้ซึ่งเจ้า(มุฮำมัด) ได้ทำสัญญาต่อพวกเขาไว้ว่ามิให้รุกรานเจ้า ทั้งมิให้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือกาฟิรชาวมักกะห์ให้มีกำลังกล้าแข็งเหนือเจ้า แล้วพวกยะฮูดีเหล่านั้นก็ผิดข้อสัญญาของตนเสียทุกครั้ง โดยพวกยะฮูดีเหล่านั้นมิได้ยำเกรงอัลเลาะฮฺในประการที่ทำทุจริตข้อสัญญาเลย
๕๗. โอ้มุฮำมัด ถ้าเจ้าพบกับพวกพวกยะฮูดีก็รีเฎาะห์เหล่านั้นในการทำศึกอีกแล้วไซร้เจ้าจงกระทำให้กาฟิรมักกะห์ผู้ซึ่งอยู่อีกทัพหนึ่งข้างหลังได้ถอยไปด้วยการลงโทษพวกก็รีเฎาะห์เหล่านั้นให้จงหนัก เพื่อพวกกาฟิรมักกะห์จะได้ครั่นคร้ามและกลัวว่าเจ้าจะจัดการลงโทษอันรุนแรงกับพวกมันเหมือนอย่างพวกก็รีเฎาะห์อีก เพื่อว่ากาฟิรมักกะห์พวกนี้จักได้คติด้วยพวกก็รีเฎาะห์
๕๘. และถ้าเจ้า(มุฮำมัด) เกรงจะเกิดทุจริตในข้อสัญญาขึ้นจากกลุ่มชนที่เข้าทำสัญญาไว้ต่อเจ้า ด้วยเห็นลางทุจริตบิดพริ้วโดยแจ้งขัดเหมือนกับเจ้าเหมือนกับลางทุจริตบิดพริ้วที่แจ้งชัดเคยมีขึ้นกับพวกก็รีเฎาะห์และพวกนะดีรมา แล้วเจ้าจงประกาศบอกเลิกสัญญาต่อพวกนั้นเพื่อให้รับรู้เสมอภาคทั้งสองฝ่ายระหว่างเจ้ากับพวกเหล่านั้นเถิด พวกนั้นจะได้ไม่เข้าใจผิด หาว่าเจ้าเป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อน แท้จริงอัลเลาะห์นั้นมิได้ทรงโปรดปรานีต่อบรรดาผู้ทุจริตเลย

มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ เกี่ยวกับพวกกาฟิรเผ่ากุร็อยช์ซึ่งหนีรอดมาจากถูกจับเป็นเชลยและถูกจับฆ่าในคราวทำศึกที่สมรภูมิบัดร์ ว่า
๕๙. และโอ้มุฮำมัด เจ้าอย่าได้นึกถึงเลยว่าบรรดาชนกาฟิรที่เป็นพวกของอบูยะฮัลจะทำให้ตัวเองล่วงพ้นจากการลงโทษของอัลเลาะห์ แท้จริงแล้วพวกเหล่านั้นมิอาจจะช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากการลงโทษของเราในภาคภพนี้ด้วยการถูกฆ่าและถูกจับเป็นเชลยไปได้ และบางทีในภาคภพหน้าพวกเหล่านั้นอาจถูกลงโทษด้วยไฟนรกก็ได้
๖๐. แหละว่าพวกเจ้าจงเตรียมกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์และม้าศึกเท่าที่พวกเจ้าสามารถ ไว้รับมือกับพวกเหล่านั้น ซึ่งพวกเจ้าใช้สิ่งที่พวกเจ้าเตรียมไว้นั้นข่มขวัญพวกกาฟิรมักกะห์ผู้เป็นศัตรูของอัลเลาะห์และศัตรูของพวกเจ้า ตลอดจนข่มขวัญพวกอื่นจากพวกนั้น อันมีพวกมุนาฟิกและพวกยะฮูดี ที่พวกเจ้ายังไม่รู้จักระแคะระคายและความกลับกลอกภายในจิตใจของพวกนั้นเลย แต่อัลเลาะห์ซิทรงทราบดีในระแคะระคายและความกลับกลอกของพวกมุนาฟิกเหล่านั้น และไม่ว่าสิ่งใดที่พวกเจ้าได้เสียสละไปในการทำศึกสงครามหรือในวิถีทางอันดีงามของอัลเลาะห์พวกเจ้าจะได้รับตอบแทนบุญกุศลเพราะการเสียสละนั้นโดยบริบูรณ์ โดยที่พวกเจ้าไม่ถูกคดโกงด้วยให้ลดหย่อนซึ่งบุญกุศลเลยแม้สักนิดเดียว


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 61 - 63

 
คำอ่าน
61. วะอิน..ญะนะฮูลิสสัลมิ ฟัจญนะหฺละฮา วะตะวักกัลอะลัลลอฮฺ อิน..นะฮูฮุวัสสะมีอุลอะลีม
62. วะอี..ยุรีดู..อัย..ยัคดะอ(กะ ฟะอิน..นะหัสบะกัลลอฮุ ฮุวัลละซี..อัยยะดะกะ บินัศริฮี วะบิลมุอ์มินีน
63. วะอัลละฟะบัยนะกุลูบิฮิม เลาอัน..ฟักตะ มาฟิลอัรฺฎิ ญะมีอัม..มา..อัลลัฟตะ บัยนะกุลูบิฮิม วะลากิน..นัลลอฮะ อัลละฟะบัยนะฮุม อิน..นะฮูอะซีซุนหะกีม

คำแปล R1.
61. But if they incline to peace, you also incline to it, and (put your) trust in Allah. Verily, He is the All-Hearer, the All-Knower.
62. And if they intend to deceive you, Then verily, Allah is All-Sufficient for you. He it is who has supported you with his help and with the believers.
63. And He has united their (i.e. believers') hearts. If you had spent all that is in the earth, you could not have united their hearts, but Allah has united them. Certainly He is All-Mighty, All-Wise.


คำแปล R2.
61. และหากพวกเขา(ข้าศึก)มีแนวโน้มที่จะประนีประนอม เจ้าก็จงโน้มเอียงไปทางนั้นเถิด(ด้วยการทำสัญญาสงบศึก) และจงมอบหมายต่ออัลเลาะฮฺ เพราะแท้จริงพระองค์ทรงได้ยินอีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
62. และหากพวกเขาปรารถนาที่จะหลอกลวงเจ้า ที่จริงแล้วมีอัลเลาะฮฺ(เพียงองค์เดียว)ก็เป็นการเพียงพอแก่เจ้าแล้ว พระองค์เป็นผู้เสริมกำลังเจ้าด้วยการช่วยเหลือของพระองค์ และด้วย(การช่วยเหลือของ)บรรดาผู้ศรัทธา
63. และพระองค์ทรงสมัครสมานระหว่างหัวใจของพวกเขา มาดแม้นเจ้าจะใช้จ่ายสรรพสิ่งในพื้นพิภพนี้ทั้งหมด เจ้าก็ไม่สามารถสมัครสมานระหว่างหัวใจของพวกเขาได้ และแด่ทว่าอัลเลาะฮฺทรงสมัครสมานระหว่างพวกเขา แท้จริงพระองค์ทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง


คำแปล R3.
61. โอ้ นบี และถ้าพวกศัตรูโอนอ่อนมายังสันติภาพ เจ้าก็จงโอนอ่อนตามไปด้วยและจงวางใจในอัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
62. และถ้าพวกเขาเจตนาที่จะล่อลวงเจ้า อัลลอฮฺก็เพียงพอแล้วสำหรับเจ้า พระองค์คือผู้ทรงทำให้สูเจ้าเข้มแข็งด้วยความช่วยเหลือของพระองค์และโดยทางบรรดาผู้ศรัทธา
63. และพระองค์ได้ทรงสมัครสมานหัวใจของบรรดาผู้ศรัทธา แม้เจ้าจะใช้ความมั่งคั่งทั้งหมดในแผ่นดิน เจ้าก็ไม่สามารถที่จะสมัครสมานหัวใจของพวกเขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R4.
61. และหากพวกเขาโอนอ่อนมาเพื่อการประนีประนอมแล้ว เจ้าก็จงโอนอ่อนตามเพื่อการนั้นด้วย และจงมอบหมายแต่อัลลอฮฺเถิด แท้จริงนั้นพระองค์คือผู้ทรงได้ยินทรงรอบรู้
62. และถ้าหากพวกเขาต้องการที่จะหลอกลวงเจ้า ก็แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นที่พอเพียงแก่เจ้าแล้ว พระองค์คือผู้ที่ได้ทรงสนับสนุนเจ้าด้วยการช่วยเหลือของพระองค์ และด้วยผู้ศรัทธาทั้งหลาย 
63. และได้ทรงให้สนิทสนมระหว่างหัวใจของพวกเขา หากเจ้าได้จ่ายสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมด เจ้าก็ไม่สามารถให้สนิทสนมระหว่างหัวใจของพวกเขาได้ แต่ทว่าอัลลอฮฺนั้นได้ทรงให้สนิทสนมระหว่างพวกเขา และแท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R5.
๖๑. แต่ถ้าพวกนั้น จะโน้มมาสู่สันติภาพโดยทำสัญญาเอาค่ารัชชูปการจากพวกยะฮูดีหรือนัซรอนี เจ้าจงทำสัญญาตามนั้นกับพวกเหล่านั้นเถิด หรือถ้าพวกนั้นจะโน้มมาสู่การทำสัญญาฮัดนะห์(สงบศึก) หรืออมานะห์(ไม่รุกรานกัน) เจ้าจงทำสัญญานั้นกับพวกยะฮูดี นัซรอนีและกาฟิร พวกที่นอกจากพวกนั้นเถิด(โองการส่วนนี้ท่านอับบ๊าสว่าถูกยกเลิกแล้วด้วยโองการที่ 29 แห่งซูเราะห์อัตเตาบะห์ แต่ท่านมุยาฮิดกล่าวว่าใช้ได้เฉพาะพวกยะฮูดีและนัซรอนีเท่านั้น หรือโองการที่ลงไว้เฉาะเผ่าก็รีเฎาะห์ที่ผิดสัญญามาสองครั้งแล้ว) ทั้งเจ้าจงมอบหมายไว้ต่ออัลเลาะห์เถิด แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินยิ่ง ซึ่งถ้อยคำของบ่าวแห่งพระองค์ ทรงรู้ยิ่งในพฤติการณ์ทั้งปวงของบ่าวของพระองค์
๖๒. ถ้าพวก กาฟิรเผ่าก็รีเฎาะห์เหล่านั้นมุ่งจะลวงเจ้าด้วยการเปิดเผยข้อสัญญาสงบศึกแต่ซ่อนไว้ซึ่งการไม่ปฏิบัติตามสัญญาเพื่อจะได้มีโอกาสตระเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ทำศึกกับเจ้า เจ้าจงชะลอศึกไว้ก่อน และอย่าได้เกรงกลัวพวกเหล่านั้นเลย แท้จริงย่อมเป็นการเพียงพอแล้วสำหรับเจ้า ที่มีอัลเลาะห์อยู่ พระงค์ผู้ทรงให้การสนับสนุนเจ้าโดยการสงเคราะห์ของพระองค์ และโดยมีบรรดาผู้ศรัทธาคณะอุปถมภก(อันซอร)ทั้งเผ่าเอาส์และเผ่าค็อซร็อจเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าอยู่ด้วย
๖๓. ทั้งพระองค์ทรงสมานใจขึ้นระหว่างพวกเหล่านั้นหลังจากที่มีความพยาบาทซ่อนอยู่ในใจมาเป็นเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบปี และโอ้มุฮำมัด ถ้าหากเจ้าจะเสียสละสิ่งทั้งสิ้นในภาคภพนี้ไซร้ เจ้าก็สมานใจพวกนั้นมิได้ แต่ทว่าอัลเลาะห์ทรงสมานใจขึ้นท่ามกลางพวกเหล่านั้นได้ด้วยเดชานุภาพของพระองค์ เพราะแท้จริงพระองค์นั้นทรงอิทธิฤทธิ์โดยเด็ดขาดยิ่งในภารกิจทั้งปวงของพระองค์ ทรงประณีตยิ่งในการสร้างสรรค์ของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดนอกเหนือความประณีตของพระองค์ได้เลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 64 - 66


คำอ่าน
64. ยา..อัยยุฮัน..นะบียุ หัสบุกัลลอฮุ วะมะนิตตะบะอะกะ มินัลมุอ์มินีน
65. ยา..อัยยุฮัน..นะบียุ หัรฺริฎิลมุอ์มินีนะอะลัลกิตาล อียะกุม..มิน..กุม อิชนรูนะ ศอบิรูนะ ยัฆลิบูมิอะตัยนฺ  วะอียะกุม..มิน..กุม มิอะตุย..ยัฆลิบู..อัลฟัม..มินัลละซีนะกะฟะรู บิอัน..นะฮุม ก็อวมุลลายัฟเกาะฮูน
66. อัลอานะ ค็อฟฟะฟัลลอฮุ อัน..กุม วะอะลิมะ อัน..นะฟีกุมเฎาะอฺฟา ฟะอี..ยะกุม..มิน..กุม..มิอะตุน..ศอบิเราะตุย..ยัฆลิบู..อัลฟัยนิ บิอิซนิลลาฮฺ วัลลอฮุมะอัศศอบิรีน


คำแปล R1.
64. O prophet (Muhammad)! Allah is sufficient for you and for the believers who follow you.
65. O prophet (Muhammad)! Urge the believers to fight. If there are twenty steadfast persons amongst you, they will overcome two hundred, and if there be a hundred steadfast persons they will overcome a thousand of those who disbelieve, because they (the disbelievers) are people who do not understand.
66. Now Allah has lightened your (task), for He knows that there is weakness in you. So if there are of you a hundred steadfast persons, they shall overcome two hundred, and if there are a thousand of you, they shall overcome two thousand with the leave of Allah. And Allah is with As-S-birin]/i] (the patient ones, etc.).


คำแปล R2.
64. โอ้ศาสดา! อัลเลาะฮฺ(องค์เดียว)ก็เพียงพอแก่เจ้า และแก่ผู้ที่ตามเจ้าจากบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายแล้ว
65. โอ้ศาสดา!เจ้าจงกำชับบรรดาผู้ศรัทธาให้ทำการรบเถิด ถึงแม้จำนวนคนจากพวกเจ้าจะมีเพียงยี่สิบคนที่อดทนก็ย่อมพิชิตจำนวนสองร้อยได้ และหากแม้นจำนวนคนจากพวกเจ้ามีเพียงหนึ่งร้อยพวกเขาก็สามารถพิชิตจำนวนหนึ่งพันจากบรรดาผู้เนรคุณได้ เพราะว่าพวกเขา(เนรคุณเหล่า)นั้น เป็นกลุ่มชนที่ไม่เข้าใจ(อะไรเลย)
66. ณ บัดนี้ อัลเลาะฮฺทรงผ่อนผันให้พวกเจ้าแล้ว และพระองค์ทรงรู้ดีว่าในหมู่พวกเจ้ามีความอ่อนแอ ดังนั้น ถ้าแม้นในหมู่พวกเจ้ามีคนจำนวนร้อยคนที่อดทนก็สามารถพิชิต(ศัตรูจำนวน)สองร้อยคนได้ และหากในหมู่พวกเจ้ามีจำนวนคนหนึ่งพันคนก็สามารถพิชิต(ศัตรูจำนวน)สองพันคนได้ โดยอนุมัติของอัลเลาะฮฺ และอัลเลาะฮฺทรงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้อดทนทั้งหลาย


คำแปล R3.
64. นบีเอ๋ย อัลลอฮฺนั้นเพียงพอแล้วสำหรับเจ้าและสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาที่ปฏิบัติตามเจ้า
65. นบีเอ๋ย จงปลุกใจบรรดาผู้ศรัทธาให้ต่อสู้ ถ้าหากในหมู่สูเจ้ามีผู้อดทนยี่สิบคน พวกเขาก็จะเอาชนะคนสองร้อยคนได้ และถ้าหากในหมู่สูเจ้ามีคนเช่นนั้นหนึ่งร้อยคน พวกเขาก็จะเอาชนะผู้ปฏิเสธสัจธรรมหนึ่งพันคนได้ เพราะคนพวกนั้นเป็นหมู่คนที่ไม่เข้าใจ
66. ตอนนี้อัลลอฮฺได้ลดภาระของสูเจ้าแล้ว พระองค์ทรงรู้ดีว่าสูเจ้ายังคงอ่อนแออยู่ ดังนั้นในหมู่สูเจ้าถ้ามีผู้อดทนหนึ่งร้อยคน พวกเขาก็จะเอาชนะคนสองร้อยได้ และถ้าหากในหมู่สูเจ้ามีผู้อดทนหนึ่งพันคน พวกเขาก็จะเอาชนะคนสองพันคนได้โดยอนุมัติของอัลลอฮฺ แต่อัลลอฮฺทรงอยู่กับบรรดาผู้ที่อดทนเท่านั้น


คำแปล R4.
64. โอ้ นะบี! อัลลอฮฺนั้นเป็นที่พอเพียงแก่เจ้าและแก่ผู้ที่ปฏิบัติตามเจ้าด้วย อันได้แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
65. โอ้ นะบี! จงปลุกใจผู้ศรัทธาทั้งหลาย ในการสู้รบเถิด หากปรากฏว่าในหมู่พวกเจ้ามียี่สิบคนที่อดทน ก็จะชนะสองร้อยคน และหากปรากฏว่าในหมู่พวกเจ้ามีร้อยคน ก็จะชนะพันคนในหมู่ผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา เพราะพวกเขาเป็นพวกที่ไม่เข้าใจ
66. บัดนี้อัลลอฮฺได้ทรงผ่อนผันแก่พวกเจ้าแล้ว และทรงรู้ว่า แท้จริงในหมู่พวกเจ้านั้นมีความอ่อนแอ ดังนั้นหากในหมู่พวกเจ้ามีร้อยคนที่อดทนก็จะชนะสองร้อยคน และหากในหมู่พวกเจ้ามีพันคนก็จะชนะสองพันคน ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่ร่วมกับผู้อดทนทั้งหลาย


คำแปล R5.
๖๔. โอ้พระศาสดามุฮำมัด เป็นความเพียงพอแล้วสำหรับเจ้าที่มีอัลเลาะห์กับบรรดาชนมุอ์มินผู้เจริญรอยตามเจ้า ปวงชนมุอ์มินที่เอ่ยถึงนี้หมายถึงอุมัร บุตรค๊อฏฏ๊อบ พร้อมด้วยชายมุอ์มินจำนวน ๓๓ กับหญิงอีก ๖ หรือพวกมุอ์มินในสมรภูมิบัดร์ หรือชนชาวมดีนะห์พร้อมกับพวกอพยพลี้ภัย(มุฮสยิรีน)จากนครมักกะห์สู่มดีนะห์
๖๕. โอ้พระศาสดามุฮำมัด เจ้าจงให้บรรดาชนมุอ์มินสนใจทำศึกสงครามกับพวกกาฟิรเถิด แม้ว่าพวกเจ้าที่เป็นมุอ์มินจะมียี่สิบคนที่แกล้วกล้าอดทนก็จะต้องเอาชนะพวกกาฟิรฝ่ายข้าศึกสองร้อยคนให้จงได้ และถึงแม้ว่าพวกเจ้าที่เป็นมุอ์มินจะมีหนึ่งร้อยคนซึ่งแกล้วกล้าสามารถและอดทน ก็จะต้องเอาชนะข้าศึกบรรดาที่เป็นกาฟิรหนึ่งพันคนให้จงได้ และให้พวกเจ้ายืนหยัดทำการต่อสู้กาฟิรเหล่านั้นอย่าล่าถอยเลย ด้วยว่าพวกกาฟิรเหล่านั้นเป็นปวงชนผู้ไม่รู้จักอัลเลาะห์และวันปรภพ พวกเหล่านั้นไม่ยอมเสียสละออกทำการสู้รบโดยไม่มีค่าตอบแทน ทั้งไม่ยอมกระทำตามบัญชาใช้ของอัลเลาะห์และไม่ยอมเชิดชูศาสนาอิสลามให้สูงเด่นขึ้น ตลอดจนไม่เรียกร้องเอาความปราโมทย์จากพระองค์ เหมือนดังพวกมุอ์มินทั้งหลายพึงกระทำกัน โองการนี้ถูกยกเลิกแล้วโดยโองการต่อไปนี้
๖๖. บัดนี้จำนวนมุอ์มินได้ทวีมากขึ้น อัลเลาะห์ได้ทรงผ่อนผันให้พวกเจ้าแล้ว พระองค์ทรงรู้ว่าแท้จริงในหมู่ของเจ้านั้นอ่อนกำลังใจที่จะทำการสู้รบกับพวกกาฟิรสิบต่อสิบ1 และถ้าพวกเจ้าฝ่ายมุอ์มินมีเพียงหนึ่งร้อยคนที่แกล้วกล้าอดทนแล้ว ก็จะต้องเอาชนะกาฟิรฝ่ายข้าศึกสองร้อยคนให้จงได้ แต่ถ้าพวกเจ้าฝ่ายมุอ์มินมีหนึ่งพันที่แกล้วกล้าสามารถและอดทนแล้ว ก็จะต้องเอาชนะกาฟิรฝ่ายข้าศึกสองพันคนได้โดยพระประสงค์ของอัลเลาะห์ ฉะนั้นพวกเจ้าจงยืนหยัดต่อสู้อย่าล่าถอยเลย และว่าอัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์ช่วยเหลืออยู่กับฝ่ายผู้มีความอดทน

1น่าจะเป็นหนึ่งต่อสิบ ตามถ้อยคำในอายะฮฺที่ ๖๕


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 67 - 69


คำอ่าน
67. มากานะลินะบียิน อัย..ยะกูนะละฮู..อัสรอ หัตตายุษคินะฟิลอัรฺฎิ ตุรีดูนะ อะเราะฎ็อดดุรยา วัลลอฮุยุรีดุลอาคิเราะฮฺ วัลลอฮุอะซีซุนหะกีม
68. เลาลากิตาบุม..มินัลลอฮิ สะบะเกาะละมัสสะกุม  ฟีมาอะค็อซตุม อะซาบุนอะซีม
69. ฟะกุลูมิม..มาเฆาะนิมตุม หะลาลัน..ฏ็อยยิบา วัตตะกุลลอฮะ ดิน..นัลลอฮะเฆาะฟูรุรฺเราะหีม


คำแปล R1.
67. It is not for a Prophet that he should have prisoners of war (and free them with ransom) until he had made a great slaughter (among his enemies) in the land. You desire the good of this world (i.e. the money of ransom for freeing the captives), but Allah desires (for you) the Hereafter. And Allah is All-Mighty, All-Wise.
68. Were it not a previous ordainment from Allah, a severe torment would have touched you for what you took.
69. So enjoy what you have gotten of booty in war, lawful and good, and be afraid of Allah. Certainly, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.


คำแปล R2.
67. ไม่มี(ความบังควร)แก่ศาสดาคนใดเลยที่จะมีเชลยไว้ (เพื่อเรียกค่าไถ่ ขณะที่ฝ่ายตนยังอ่อนแออยู่) จนกว่าเขาจะทำการสู้รบจนชนะในแผ่นดิน(ก็ให้จับเชลยไว้ได้) ผลประโยชน์(เพียงเล็กน้อย)ของโลกนี้ แต่อัลเลาะฮฺทรงปรารถนาโลกหน้า และอัลเลาะฮฺทรงอำนาจ อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง
68. มาดแม้นไม่มีบันทึกจากอัลเลาะฮฺได้ล่วงหน้ามาก่อน (เป็นอย่างอื่นแล้วไซร้) แน่นอนที่สุด การลงโทษอันใหญ่หลวงย่อมสัมผัสแก่พวกเจ้า เนื่องในสิ่งที่พวกเจ้าได้ยึดเอา(เป็นค่าไถ่ตัวจากเชลยศึกดังกล่าวนั้น)
69. ดังนั้นพวกเจ้าจงบริโภคเถิด บางอย่างที่พวกเจ้ารับได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อนุมัติ ทั้งเป็นสิ่งที่ดี และจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง


คำแปล R3.
67. มันไม่ใช่เรื่องของนบีที่จะมีเชลยไว้จนกว่าเขาจะได้ทำลายศัตรูลงในแผ่นดิน สูเจ้าปรารถนาสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แห่งโลกนี้ แต่อัลลอฮฺทรงปรารถนา (ให้สูเจ้าได้รับสิ่งดีแห่ง) ปรโลก และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
68. ถ้าหากว่าไม่มีข้อกำหนดที่อัลลอฮิได้ทรงให้ไว้ก่อนหน้านั้นแล้วสูเจ้าก็อาจจะต้องประสบกับการลงโทษอันมหันต์ในสิ่งที่สูเจ้าได้กระทำ
69. ดังนั้นจงกินสิ่งที่สูเจ้าริบได้จากสงคราม เพราะมันเป็นที่อนุมัติและเป็นสิ่งที่สะอาดและจงยำเกรงอัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R4.
67. ไม่บังควรแก่นะบีคนใดที่เขาจะมีเชลยศึกไว้จนกว่าเขาจะได้ประหัตประหารอย่างมากมายเสียก่อนในแผ่นดิน พวกเจ้าต้องการสิ่งเล็กน้อยแห่งโลกนี้ แต่อัลลอฮฺทรงต้องการปรโลกและอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพผู้ทรงปรีชาญาณ
68. หากว่าไม่มีพระกำหนดจากอัลลอฮฺล่วงหน้าอยู่ก่อน แน่นอนการลงโทษอันมหันต์ก็ประสบแก่พวกเจ้าแล้ว เนื่องในสิ่งที่พวกเจ้าเอา
69. ดังนั้น พวกเจ้าจงบริโภคสิ่งอนุมัติที่ดีจากสิ่งที่พวกเจ้าได้มาจากการทำศึก และพึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตา


คำแปล R5.
๖๗. ย่อมไม่เป็นการสมควรเลยที่พระศาสดามุฮำมัดจะมีเชลยไว้เพื่อเรียกเอาค่าไถ่หรือปล่อยตัวกาฟิรเชลยไปโดยมิเอาค่าไถ่ แต่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องประหารเชลยกาฟิรนั้นเสียจนกว่าเขา(มุฮำมัด) จะมีอำนาจ ณ หน้าแผ่นดิน และปวงมุอ์มินมีกำลังกล้าแข็ง อีกทั้งพวกกาฟิรมีกำลังอ่อนแอเสียก่อน จึงเป็นการสมควรที่มุฮำมัดจะเลือกเอาโดยเรียกค่าไถ่จากเชลยหรือโดยปล่อยตัวกาฟิรเชลยไปมิเอาค่าไถ่
   มูลเหตุแห่งการลงโองการข้างต้นนี้คือมีอยู่คราวหนึ่งบรรดามุอ์มินจะเรียกเอาค่าไถ่ตัวจากเชลยในสงครามบัดร์ ทั้งที่ในขณะนั้นพวกมุอ์มินก็ยังมีแสนยานุภาพย่อนอยู่ โอ้ปวงชนมุอ์มิน พวกเจ้ายินดีอยากได้ทรัพย์ค่าไถ่ตัวเชลย ซึ่งนับเป็นของต่ำค่าในภาคภพนี้ แต่อัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์ให้พวกเขาได้บุญกุศลแห่งภพอาคิเราะห์ ด้วยการให้ประหารเชลยเหล่านั้นเสีย ก็อัลเลาะห์นั้นทรงอิทธิฤทธิ์โดยเด็ดขาดญิ่งในภารกิจทั้งปวงของพระองค์ ทรงประณีตยิ่งในการสร้างสรรค์ของพระองค์ โองการส่วนหลังนี้ถูกยกเลิกแล้วโดยโองการที่ ๔ แห่งซุเราะห์มุฮำมัดในส่วนที่ ๒๖ มีความโดยอธิบายว่า “เจ้าจงปล่อยตัวไปโดยจะเรียกค่าไถ่ตัวหรือไม่ก็ได้”
๖๘. แม้นว่าไม่มีการตัดสินที่เป็นบันทึกจากอัลเลาะห์ในแผ่นทะเบียนต้น(เลาหุลมะห์ฟูต) อยู่ก่อนว่า “ไม่เป็นการบาปที่จะบังคับเอาทรัพย์จากพวกกาฟิรและว่าไม่เป็นการบาปที่จะจับเอาพวกกาฟิรมาเป็นเชลย” แล้วไซร้ โทษทัณฑ์อันใหญ่หลวงต้องประสบกับพวกเจ้าแน่นอนทีเดียวในฐานะที่พวกเจ้าขูดรีดค่าไถ่ตัวจากพวกเชลยนั้น แต่ข้อเท็จจริง บาปนั้นหาได้ตกแก่พวกเจ้าไม่ จึงลงเนื้อความได้ว่าการตัดสินของอัลเลาะห์ในแผ่นทะเบียนต้น (เลาหุลมะห์ฟูต) นั้นย่อมไม่บาป
๖๙. จึงให้พวกเจ้าบริโภคทรัพย์เชลยส่วนหนึ่งจากที่พวกเจ้ายึดมาจากพวกกาฟิรด้วยวิธีบังคับ โดยถือว่าเป็นการอนุญาต (หะลาล) และโอชะ ทั้งพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ด้วยประพฤติปฏิบัติตามคำบัญชาใช้ของพระองค์และงดเว้นจากที่ทรงห้ามไว้ในเรื่องทำศึกสงคราม แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์อภัยยิ่งแก่พวกเจ้า ทรงโปรดปรานียิ่งต่อพวกเจ้า


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 70 - 72


คำอ่าน
70. ยา..อัยยุฮัน..นะบียุ กุลลิมัน..ฟี..อัยดีกุม..มินัลอัสรอ..อี..ยะอฺละมิลลาฮุ ฟีกุลูบิกุม ค็อยร็อย..ยุอ์ติกุมค็อยร็อม..มิม..มา..อุคิซะมิน..กุม วะยัฆฟิรฺละกุม วัลลอฮุเฆาะฟูรุรฺเราะหีม
71. วะอี..ยุรีดู คิยานะตะกะ ฟะก็อดคอนุลลอฮะ มินก็อบลุ ฟะอัมกะนะมินฮุม วัลลอฮุอะลีมุนหะกีม
72. อิน..นัลละซีนะอามะนู วะฮาญะรู วะญาฮะดูบิอัมวาลิฮิม วะอัน..ฟุสิฮิม ฟีสะบีลิลลาฮิ วัลละซีนะอาเวา วะนะเศาะรู อุลา...อกะ บะอฺฎุฮุม เอาลิยา...อุบะอฺฎุ วัลละซีนะอามะนู วะลัมยุฮาญิรู มาละกุม..มิว..วะลายะติฮิม..มิน..ชัยอิน หัตตายุฮาญิรู วะอินิสตัน..เศาะรูกุมฟิดดีนิ ฟะอะลัยกุมุน..นัศรุ อิลลาอะลาก็อวมิม..บัยนะกุม วะบัยนะฮุม..มีษาก วัลลอฮุบิมาตะอฺมะลูนะบะศีรฺ


คำแปล R1.
70. O Prophet! Say to the captives that are in Your hands: "If Allah knows any good in your hearts, He will give you something better than what has been taken from you, and He will forgive you, and Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful."
71. But if they intend to betray you (O Muhammad ), they have already betrayed Allah before. So He gave (you) power over them. And Allah is All-Knower, All-Wise.
72. Verily, those who believed, and emigrated and strove hard and fought with their property and their lives in the Cause of Allah as well as those who gave (them) asylum and help, - these are (all) allies to one another. and as to those who believed but did not emigrate (to you O Muhammad), you owe no duty of protection to them until they emigrate , but if they seek your help in religion, it is your duty to help them except against a people with whom You have a treaty of mutual alliance, and Allah is the All-Seer of what you do.


คำแปล R2.
70. โอ้ศาสดา! จงประกาศเถิดแก่บรรดาเชลยที่อยู่ในความควบคุมของพวกเจ้าว่า “หากแม้นอัลเลาะฮฺรู้ถึงความดีงามในหัวใจพวกเจ้าแล้วไซร้(ว่าพวกเจ้ามีความศรัทธาในศาสนาของพระองค์) พระองค์ก็ย่อมประทานความดีงามแก่พวกเจ้า(โดยประทานกุศลเป็นสองเท่า) จากสิ่งที่ถูกเก็บเอาไปจากพวกเจ้า และทรงให้อภัยแก่พวกเจ้า(ในความผิดที่เคยกระทำมาก่อนหน้านั้น)
71. และหากพวกเขาปรารถนาที่จะบิดพลิ้วต่อเจ้า ความจริงแล้วพวกเขาได้บิดพลิ้วต่ออัลเลาะฮฺมาก่อนหน้า และพระองค์ก็ทรงให้(เจ้า)ได้ทำการยึดอำนาจมาจากพวกเขา(ในสมรภูมิบะดัรฺโดยสิ้นเชิง บ้างก็ถูกสังหาร บ้างก็ถูกจับเป็นเชลย) และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง
72. แท้จริงบรรดาผู้มีศรัทธาและได้อพยพ(จากมักกะฮฺ สู่ มะดีนะฮฺ) และพวกเขาได้พลีทรัพย์สินและชีวิตของตนเองในทางของอัลเลาะฮฺ และบรรดาผู้ให้ที่อาศัย(แก่ฝ่ายอพยพ) และให้การช่วยเหลือ(ในด้านต่างๆ อย่างพร้อมมูล) พวกเหล่านั้นบางส่วน(พวกมะดีนะฮฺ) เป็นผู้อุปถัมภ์แก่อีกบางส่วน(พวกอพยพ) และบรรดาผู้ศรัทธาแต่ไม่ได้อพยพ(มาจากมักกะฮฺ)นั้น พวกเจ้าก็ไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้นต่อการอุปถัมภ์พวกเขาสักกรณีเดียวก็ตาม จนกว่าพวกเขาจะอพยพ(มาสู่มะดีนะฮฺ) และหากพวกเขาขอให้พวกเจ้าช่วยเหลือในด้านศาสนา( เช่น ถูกเบียดเบียนและกดขี่เนื่องจากนับถือศาสนาอิสลาม) ก็เป็นหน้าที่ที่พวกเจ้าต้องให้การช่วยเหลือ ยกเว้นแก่กลุ่มชน(กาฟิร)ซึ่งระหว่างพวกเจ้ากับพวกเขามีสัญญา(มิตรภาพ)ต่อกัน(มาก่อน ก็จงให้ฝ่ายมุสลิมที่ถูกเบียดเบียนนั้นอพยพมาเสีย) และอัลเลาะฮฺ ทรงมองเห็นสิ่งที่พวกเจ้าทั้งหลายประพฤติ(ทุกประการ)

 
คำแปล R3.
70. โอ้นบี จงบอกพวกเชลยที่อยู่ในความควบคุมของเจ้าว่า “ถ้าหากอัลลอฮฺทรงรู้ถึงความดีใด ๆ ในหัวใจของพวกท่าน พระองค์จะทรงประทานแก่ท่านซึ่งสิ่งที่ดีกว่าที่ได้เอาจากพวกท่านและจะทรงอภัยให้แก่พวกท่าน และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
71. แต่ถ้าหากเขาคิดที่จะทรยศต่อเจ้า พวกเขาก็ได้แสดงการทรยศต่ออัลลอฮิแล้ว ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้ให้เจ้าครอบครองพวกเขา และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู ผู้ทรงปรีชาญาณ
72. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและได้อพยพออกจากบ้านของเขา และดิ้นรนต่อสู้ด้วยทรัพย์สินและชีวิตของพวกเขาในหนทางของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่ให้ที่พักอาศัยแก่ผู้อพยพและช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้น พวกเขาเป็นผู้คุ้มครองซึ่งกันและกัน ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาแต่ไม่ได้อพยพ (ไปยังแผ่นดินอิสลาม) นั้น สูเจ้าไม่ต้องเกี่ยวข้องใด ๆ ในการคุ้มครองพวกเขา จนกว่าพวกเขาจะอพยพ แต่มันก็ยังเป็นหน้าที่ของสูเจ้าที่จะต้องช่วยเหลือพวกเขาในเรื่องของศาสนา ถ้าหากพวกเขาขอความช่วยเหลือจากสูเจ้า เว้นแต่ต่อหมู่คนที่สูเจ้ามีสัญญากับพวกเขา และอัลลอฮิทรงเห็นตามที่สูเจ้ากระทำ


คำแปล R4.
70. โอ้ นะบี! จงกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ในมือของพวกเจ้าจากบรรดาผู้เป็นเชลยศึกเถิดว่า หากอัลลอฮฺทรงรู้ว่ามีความดีใด ๆ ในหัวใจของพวกท่านแล้ว พระองค์ก็จะทรงประทานให้แก่พวกท่าน ซึ่งสิ่งที่ดียิ่งกว่าสิ่งที่ถูกเอามาจากพวกท่านและจะทรงอภัยโทษแก่พวกท่านด้วย และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษเป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
71. และถ้าหากพวกเขาต้องการจะทุจริตต่อเจ้าก็แท้จริงนั้นพวกเขาได้ทุจริตต่ออัลลอฮฺมาก่อนแล้ว แล้วพระองค์ก็ทรงให้สามารถชนะพวกเขาได้ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
72. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และอพยพและต่อสู้ทั้งด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขา และชีวิตของพวกเขาในทางของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่ให้พักอาศัย และช่วยเหลือนั้น ชนเหล่านี้แหละคือบางส่วนของพวกเขาย่อมเป็นผู้ช่วยเหลืออีกบางส่วน และบรรดาผู้ที่ศรัทธา และมิได้อพยพนั้นก็ไม่เป็นหน้าที่แก่พวกเจ้าแต่อย่างใดในการช่วยเหลือพวกเขา จนกว่าพวกเขาจะอพยพ และถ้าหากเขาขอให้พวกเจ้าช่วยเหลือในเรื่องศาสนา ก็จำเป็นแก่พวกเจ้าซึ่งการช่วยเหลือนั้น นอกจากในการต่อต้านพวกที่ระหว่างพวกเจ้ากับพวกเขามีสัญญากันอยู่ และอัลลอฮฺนั้นทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน”


คำแปล R5.
๗๐. โอ้มุฮำมัด ผู้เป็นพระศาสดาแห่งข้า จงกล่าวเถิดแก่บรรดาเชลยผู้อยู่ใต้อำนาจการปกครองของเจ้าและพรรคพวกเจ้าซึ่งพวกเจ้าเรียกค่าไถ่ตัวจากพวกเหล่านั้นว่าถ้าอัลเลาะห์ทรงรู้ว่าในจิตใจของพวกเจ้า(พวกเชลย) มีส่วนดี คือมีความศรัทธาเชื่อถือ และมีจิตผ่องแผ้วบริสุทธิ์แล้ว พระองค์ก็ทรงให้พวกเจ้าได้ซึ่งความดียิ่งกว่าทรัพย์ค่าไถ่ส่วนที่ถูกเก็บเอาจากพวกเจ้า โดยพระองค์จะทรงให้ทวีเป็นสองเท่าในภาคภพนี้ และจะทรงอำนวยบุญกุศลแก่พวกเจ้าในภพหน้า ทั้งพระองค์จะทรงอภัยโทษแก่พวกเจ้า ด้วยอัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์อภัยยิ่งแก่พวกเจ้า ทรงโปรดปรานียิ่งต่อพวกเจ้า
๗๑. โอ้มุฮำมัด แล้วหากว่าพวกเชลยเหล่านั้นหมายจะทุจริตต่อเจ้าด้วยอุบายว่า “พวกเรานี้ยินดีในศาสนาอิสลาม” พวกนั้นก็ทุจริตต่ออัลเลาะห์มาก่อนจากทำศึกที่บัดร์แล้ว โดยมิได้ศรัทธาต่อพระองค์ พระองค์ทรงให้เจ้า(มุฮำมัด) ยึดครองส่วนหนึ่งจากพวกนั้นไว้ได้ที่สมรภูมิบัดร์ โดยบ้างก็ถูกสังหาร และบ้างก็ถูกจับมาเป็นเชลย ฉะนั้นให้พวกเชลยทั้งหลายสงังวรอยู่เสมอว่า พวกตนจะต้องถูกฆ่าและจะถูกจับเป็นเชลย ถ้าแม้นว่าพวกเชลยเหล่านั้นหวนกลับมาทำศึกกับพระนบีอีก อัลเลาะห์นั้นทรงรู้ยิ่ง ซึ่งถ้อยคำของบรรดาข้าของพระองค์ ทรงประณีตยิ่งในกิจทั้งปวงของพระองค์
๗๒. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา ผู้อพยพลี้ภัยจากนครมักกะห์สู่นครมดีนะห์ก่อนปีที่ ๖ คือปีศึกหุดัยบียะห์ และที่ทำศึกด้วยทรัพย์สินของตนและร่างกายของตนเพื่อวิถีทางแห่งศาสนาของอัลเลาะห์ก็ดี ชาวมดีนะห์คือพวกเอาซ์และพวกค็อซร็อจบรรดาผู้ให้ที่อยู่อาศัยแก่พระศาสดามุฮำมัดและพวกอพยพลี้ภัย(มุฮายิรีน)ที่นครมดีนะห์ และได้ช่วยเกื้อกูล โดยปันสมบัติให้ใช้สอยบ้าง และโดยการเทิดเกียรติพระศาสดามุฮำมัด กับพวกอพยพลี้ภัย แม้พวกของตนจะยากลำบากก็ยอมก็ดี พวกทั้งหมดเหล่านั้นแหละคือผู้มีไมตรีต่อกัน ทั้งในด้านการสงเคราะห์และในด้านการรับมรดกจากกันและกัน ส่วนบรรดาชนชาวนครมักกะห์ผู้ศรัทธาแต่มิได้อพยพลี้ภัยไปสู่นครมดีนะห์ ยังคงมีภูมิลำเนา ณ นครมักกะห์อยู่นั้น ความมีไมตรีแม้สักนิดเดียวที่พวกนั้นมีต่อพวกเจ้า (คือพวกอพยพลี้ภัย พวกเอาซ์และค็อซร็อจ) ก็หามิได้ จึงไม่มีสัมพันธ์ทางการรับมรดกระหว่างพวกเจ้าและพวกนั้น ทั้งไม่มีส่วนของทรัพย์ที่ยึดได้ (ทรัพย์ฆอนีมะห์) ส่วนใดเป็นของพวกนั้นอีกด้วย จนกว่าพวกมักกะห์เหล่านั้นจะได้อพยพลี้ภัย โองการนี้ถูกยกเลิกแล้วโดยส่วนหนึ่งแห่งโองการสุดท้าย (โองการที่ ๗๕) แห่งซูเราะห์นี้ และถ้าพวกนั้น (ชาวมักกะห์ที่มิได้อพยพ) ร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้าในทางศาสนา เพื่อเอาชนะพวกกาฟิรชาวมักกะห์ที่มิได้มีสัญญาไว้กับพระนบีฯ ก็จำเป็นที่พวกเจ้าต้องช่วยเหลือพวกเหล่านั้น ยกเว้นแต่ที่จะช่วยเอาชนะกลุ่มชนกาฟิรชาวมักกะห์ที่พวกเจ้ากับพวกกาฟิรนั้นมีสัญญากันอยู่ มิให้พวกเจ้าให้ความช่วยเหลือ เพื่อธำรงไว้ซึ่งข้อสัญญานั้น ฝ่ายอัลเลาะห์ทรงแลเห็นยิ่งในการกระทำอันใดที่พวกเจ้าปฏิบัติกันอยู่ แล้วพระองค์จะทรงตอบสนองพวกเจ้าตามผลกรรมที่กระทำนั้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 73 - 75


คำอ่าน
73. วัลละซีนะกะฟะรู บะอฺฎุฮุม เอาลิยา...อุบะอฺฎฺ อิลลาตัฟอะลูฮุ ตะกุน..ฟิตนะตุน..ฟิลอัรฺฎิ วะฟะสาดุน..กะบีรฺ
74. วัลละซีนะอามะนู วะฮาญะรู วฑญาฮะดูฟีสะบีลิลลาฮิ วัลละซีนะอาเวา..วะนะเศาะรู..อุลา...อิกะฮุมุลมุอ์มินูนะหักกอ ละฮุม..มัฆฟิเราะตู..วะอัจญรุน..กะรีม
75. วัลละซีนะอามะนูมิม..บะอฺดุ วะฮาญะรู วะญาฮะดู มะอะกุม ฟะอุลา...อิกะมิน..กุม วะอุลุลอัรฺหามิ บะอฺฎุฮุม เอาลาบิบะอฺฎิน ..ฟีกิตาบิลลาฮฺ อิน..นัลลอฮะ บิกุลลิชัยอินอะลีม


คำแปล R1.
73. And those who disbelieve are allies to one another, (and) if you (Muslims of the whole world collectively) do not do so (i.e. become allies, as one united block with one Khalifah - chief Muslim ruler for the whole Muslim world to make victorious Allah's Religion of Islamic Monotheism), there will be Fitnah (wars, battles, polytheism, etc.) and oppression on earth, and a great mischief and corruption (appearance of polytheism).
74. And those who believed, and emigrated and strove hard in the Cause of Allah (Al-Jihad), as well as those who gave (them) asylum and aid; - these are the believers in truth, for them is forgiveness and Rizqun Karim(a generous provision i.e. Paradise).
75. And those who believed afterwards, and emigrated and strove hard along with you, (in the Cause of Allah) they are of you. But kindred by blood are nearer to one another regarding inheritance in the decree ordained by Allah. Verily, Allah is the All-Knower of everything.


คำแปล R2.
73. และบรรดาผู้เนรคุณ ต่างฝ่ายต่างก็เป็นพันธมิตรซึ่งกันและกัน หากว่าพวกเจ้าไม่ทำสิ่งนั้น(คือการอุปถัมภ์ซึ่งกันและกันดังที่กล่าวมา) แน่นอนที่สุดจะต้องเกิดวิกฤติการณ์ และความเสื่อมอันยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเป็นแม่นมั่น
74. และบรรดาผู้ศรัทธาและอพยพและต่อสู้ในหนทางของอัลเลาะฮฺ และบรรดาผู้ให้ที่อยู่อาศัยและให้การช่วยเหลือ(แก่บรรดาผู้อพยพ)นั้น พวกเหล่านั้นเป็นศรัทธาชนโดยเที่ยงแท้ พวกเขาได้รับการให้อภัย และโชคผลอันทรงเกียรติ
75. และบรรดาผู้ศรัทธาในภายหลัง(จากการอพยพ) และได้อพยพและทำการต่อสู้ร่วมกับพวกเจ้า แน่นอนพวกเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของพวกเจ้า และผู้เป็นเครือญาตินั้นมีบางคนที่ทรงสิทธิ์เหนือกว่าอีกบางคน(ในการอุปถัมภ์ ตามบทบัญญัติที่ปรากฏ)ในพระคัมภีร์ของอัลเลาะฮฺ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในทุก ๆ สิ่’


คำแปล R3.
73. ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น พวกเขาต่างเป็นผู้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ถ้าสูเจ้าไม่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเช่นนั้นบ้าง มันก็จะมีความเสียหายและการวุ่นวายอันใหญ่หลวงเกิดขึ้นในแผ่นดิน
74. ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาที่ได้อพยพและดิ้นรนต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮิและบรรดาผู้ที่ให้ที่พักอาศัยแก่ผู้อพยพและช่วยเหลือพวกเขานั้น พวกเขาคือผู้ศรัทธาที่แท้จริง สำหรับพวกเขาคือการอภัยโทษและปัจจัยยังชีพที่ดีที่สุด
75. ส่วนบรรดาผู้ที่ศรัทธาหลังจากนั้นและได้อพยพและได้ร่วมกับสูเจ้าในการดิ้นรนต่อสู้นั้น คนเหล่านี้เป็นพวกของสูเจ้าด้วย แต่ตามคัมภีร์ของอัลลอฮฺความสัมพันธ์ทางสายเลือดของพวกเขานั้นมีสิทธิ์ซึ่งกันและกันมากกว่า แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง


คำแปล R4.
73. และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น บางส่วนของพวกเขาย่อมเป็นผู้ช่วยเหลืออีกบางส่วนหากพวกเจ้าไม่ปฏิบัติในสิ่งนั้นแล้ว ความวุ่นวายและความเสียหายอันใหญ่หลวง ก็จะเกิดขึ้นในแผ่นดิน
74. และบรรดาผู้ที่ศรัทธา และอพยพ และต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺและบรรดาผู้ที่ให้ที่พักอาศัย และช่วยเหลือนั้นชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ศรัทธาโดยแท้จริง ซึ่งพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษ และเครื่องยังชีพอันมากมาย
75. และบรรดาผู้ที่ได้ศรัทธาที่หลังและได้อพยพ และต่อสู้ร่วมกับพวกเจ้านั้น ชนเหล่านี้แหละเป็นส่วนหนึ่งของพวกเจ้า และบรรดาญาตินั้น บางส่วนของพวกเขาเป็นผู้สมควรต่ออีกบางส่วนในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง”


คำแปล R5.
๗๓. แล้วบรรดาชนผู้เป็นกาฟิรนั้นย่อมเป็นผู้มีไมตรีต่อกันในด้านการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และในทางรับมรดก แต่ในทางรับมรดกนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกันระหว่างพวกเจ้ากับพวกกาฟิรเหล่านั้น ถ้าพวกเจ้าฝ่ายมุอ์มิน ไม่ปฏิบัติเป็นอย่างนั้น กล่าวคือไม่สัมพันธ์รักต่อพวกมุอ์มินด้วยกัน และไม่ตัดไมตรีกับพวกกาฟิรแล้วไซร้ ความจลาจลย่อมจะมีขึ้นในแผ่นดินและเกิดความหายนะอันใหญ่หลวงอีกด้วยเป็นแน่ ทั้งนี้เท่ากับเสริมให้ศาสนาของฝ่ายกาฟิรกล้าแข็งขึ้นและศาสนาของฝ่ายมุอ์มินอ่อนลง
๗๔. บรรดาชนผู้ศรัทธา ผู้อพยพลี้ภัย จากนครมักกะห์สู่นครมดีนะห์ ในปีทำศึกหุไดบียะห์ และทำศึกด้วยทรัพย์สินของตนและร่างกายของตนในวิถีทางแห่งศาสนาของอัลเลาะห์ก็ดี ชาวมดีนะห์คือพวกเอาซ์และพวกค็อซร็อจบรรดาที่ให้ที่อยู่อาศัยแก่พระศาสดามุฮำมัด ซล. และพวกอพยพลี้ภัย(มุฮายิรีน)ที่นครมดีนะห์ และได้ช่วยเกื้อกูล โดยแบ่งปันสมบัติให้ใช้สอยบ้าง และโดยการเทิดเกียรติพระศาสดามุฮำมึดกับพวกอพยพลี้ภัยจนแม้ที่สุดพวกตนต้องลำบากก็ดี พวกทั้งหมดเหล่านั้นแหละคือพวกศรัทธาอย่างแท้จริง โดยที่พวกเหล่านั้นย่อมได้รับซึ่งการอภัยและลาภผลอันประเสริฐในสรวงสวรรค์
๗๕. ส่วนบรรดาชนผู้ศรัทธาต่อภายหลังจากปวงชนผู้ศรัทธาและอพยพลี้ภัยรุ่นก่อนผู้อพยพลี้ภัยหลังปีที่ ๖ แห่งปีทำศึกหุไดบียะห์ และได้ทำศึกร่วมกับพวกเจ้านั้น โอ้บรรดาผู้อพยพลี้ภัยรุ่นก่อน พวกเอาซ์และพวกค็อซร็อจเอ๋ย พวกอพยพลี้ภัยรุ่นหลัง เหล่านั้นแหละคือส่วนหนึ่งของพวกเจ้าด้วย ก็พวกญาติสนิทนั้นบ้างก็มีสิทธิได้รับมรดกยิ่งกว่าอีกบางคนในฐานะที่มีศรัทธาเชื่อถือ และในฐานะของการอพยพลี้ภัย ซึ่งการรับมรดกได้ดียิ่งกว่าในฐานะที่เป็นญาติสนิทนี้ มีระบุแล้วตามประกาศแห่งอัลเลาะห์ ณ แผ่นทะเบียนต้น (เลาหุลมะห์ฟูต) ซึ่งแขวนไว้ที่ฟ้าชั้นเก้า แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงรู้ยิ่งในทุกสิ่งทุกอย่าง อันความแยบคายเกี่ยวกับเรื่องของการรับมรดกนี้นับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของความรอบรู้ยิ่งของพระองค์



ดำรัสแห่งอัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่เป็นสัจจะ (صدق الله العظيم)
จบสูเราะฮฺที่ 8 อัล-อันฟาล
والسلام عليكم ورحمة الله وبركاته

 

GoogleTagged