ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 9 สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ หรือสูเราะฮฺ บะรออะฮฺ  (อ่าน 10561 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราฮฺ อัตเตาบะฮฺ (التوبة - การสารภาพผิด) หรือ อัลบะรออะฮฺ (البراءة  - การปลีกออก, การโมฆะสัญญา)

เป็นสูเราะฮฺ มะดะนียะฮฺ มี 129 อายะฮฺ

ความหมายโดยสรุป (http://www.alquran-thai.com/ShowSurah.asp)
    ซูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺ หรือ บะรออะฮฺ ซูเราะฮฺนี้มีสองชื่อด้วยกันคือ “ซูเราะฮฺอัต-เตาบะฮฺ” และ “ซูเราะฮฺบะรออะฮฺ” ด้วยเหตุนี้ อัล-กุรอานบางเล่มระบุว่า “อัต-เตาบะฮฺ” และบางเล่มระบุว่า “บะรออะฮฺ” และซูเราะฮฺนี้เป็นซูเราะฮฺมะดะนียะฮฺ มี 129 อายะฮฺ และเป็นซูเราะฮฺเดียวที่มิได้เริ่มด้วยบิสมิลลาฮฺฯ ทั้งนี้เนื่องจากบิสมิลลาฮฺฯ มิได้ถูกประทานลงมาพร้อมกับซูเราะฮฺนี้ ดั่งซูเราะฮฺอื่น ๆ บางทรรศนะของนักปราชญ์ระบุว่าที่มิได้เริ่มด้วยบิสมิลลาฮฺฯ นั้นเพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ ซูเราะฮฺ “อัล-อัมฟาล” และที่แยกออกมาเป็นอีกซูเราะฮฺหนึ่ง ต่างหากนั้นเพราะมีเนื้อหาสำคัญ อนึ่งส่วนใหญ่ของซูเราะฮฺถูกประทานลงมาหลังจากสงครามตะบูกซึ่งเป็นสงครามสุดท้ายในชีวิตของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ส่วนในตอนต้นของซูเราะฮฺนี้ ถูกประทานลงมาในปีที่ 9 แห่ง ฮ.ศ. หลังจากที่ได้พิชิตนครมักกะฮ์แล้วท่านนบีได้ส่งซัยยิดินาอะลีไปในฤดูกาลฮัจญ์ เพื่อนำโองการส่วนนั้นไปประกาศให้บรรดามุชริกีนได้ทราบโดยทั่วกันในระหว่างการทำฮัจญ์


----------------------------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)


---------------------------------------------------------------------------

สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 1 - 2


คำอ่าน
1. บะรอ...อะตุม..มินัลลอฮิ วะเราะสูลิฮี..อิลัลละซีนะ อาฮัดตุม..มินัลมุชริกีน
2. ฟะสีหูฟิลอัรฺฎิ อัรฺบะอะตะอัชฮุริว..วะอฺละมู..อัน..นะกุม ฆ็อยรุ มุอฺญิซิลลาฮิ วะอัน..นัลลอฮะ มุคซิลกาฟิรีน


คำแปล R1.
1. Freedom from (all) obligations (is declared) from Allฟh and his Messenger to those of the Mushrikun (polytheists, pagans, idolaters, disbelievers in the Oneness of Allah), with whom you made a treaty.
2. So travel freely (O Mushrikun - see V.2:105) for four months (as you will) throughout the land, but know that you cannot escape (from the punishment of) Allah, and Allah will disgrace the disbelievers.


คำแปล R2.
1. (ความดังต่อไปนี้)เป็นการ(ประกาศ)พ้นพันธะจากอัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ต่อบรรดาผู้ทำสัญญา(สงบศึก)กับพวกเขา พวกเขาคือพวกที่ตั้งภาคี (เมื่อทำสัญญาแล้วพวกเขาก็ละเมิดสัญญา อัเลาะฮฺจึงสั่งโมฆะสัญญาด้วยโองการนี้จนถึงโองการที่ 32)
2. ดังนั้น (โอ้ชาวมุชริกทั้งหลาย) พวกเจ้าจงสัญจรไปเถิดในแผ่นดิน(ทุกส่วนโดยปลอดภัย) ในช่วงเวลาสี่เดือน (คือ เซาวาล, ซุลกออีดะฮฺ, ซุลฮิจยะฮฺและมุฮัรฺร็อม) และจงทราบเถิดว่า อันที่จริงพวกเจ้าหาใช่จะยังความอ่อนแอแก่อัลเลาะฮฺ (จนหระองค์ไม่สามารถลงโทษพวกเจ้า)ได้ไม่ และแน่แท้อัลเลาะฮฺทรงยังความอัปยศแก่บรรดาผู้เนรคุณทั้งมวล


คำแปล R3.
1. นี่เป็นการประกาศ การพ้นพันธะ(จากข้อผูกมัดทั้งหลาย) โดยอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีที่สูเจ้าได้ทำสัญญาไว้
2. “ดังนั้น สูเจ้ามีอิสระที่สัญจรไปในแผ่นดินเป็นเวลา 4 เดือน แต่สูเจ้าจะต้องรู้ว่าสูเจ้าไม่อาจที่จะลบล้างเจตนารมณ์ของอัลลอฮฺได้ และอัลลอฮฺจะทำให้ผู้ปฏิเสธสัจธรรมตกต่ำ”


คำแปล R4.
1. (นี้คือประกาศ) การพ้นข้อผูกพันใด ๆ จากอัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ แด่บรรดาผู้สักการะเจว็ด (มุชริกีน) ที่พวกเจ้าได้ทำสัญญาไว้
2.  ดังนั้นพวกท่านจงท่องเที่ยวไปในแผ่นดินสี่เดือนและพึงรู้เถิดว่า แท้จริงพวกท่านนั้นมิใช่ผู้ที่จะทำให้อัลลอฮฺหมดความสามารถก็หาไม่ และแท้จริงอัลลอฮฺจะทรงให้ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายอัปยศ


คำแปล R5.
๑. นับแต่โองการที่ ๑ จนถึงโองการที่ลงเนื้อความในประโยคสุดท้ายว่า “ถึงแม้พวกมุชริกจะชิงชังก็ตามเถิด” นี้คือประกาศตัดพันธะจากอัลเลาะห์และมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์ต่อบรรดาชนฝ่ายมุชริกที่พวกเจ้ามีสัญญาสงบศึกไว้ต่อกัน โดยไม่มีกำหนด หรือมีแต่ต่ำกว่า ๔ เดือน แต่พวกมุชริกกลับละเมิดข้อสัญญาตลอดมา ดังโองการซึ่งจะกล่าวต่อไปนี้
๒. ปวงมุสลิมทั้งหลายพึงประกาศเถิดว่า โอ้ปวงมุชริกพวกเจ้าจงจรไปเถิดโดยความปลอดภัย ในสี่เดือน ณ หน้าแผ่นดินนับแต่เดือนเชาวาล ซุลก็อิดะห์ ซุลฮิจยะห์และมุฮัรร็อม แต่แต่นั้นแล้วพวกเจ้า (พวกมุชริก) จะไม่ได้รับความปลอดภัยอีก ทั้งพวกนี้พึงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริง พวกเจ้านั้น ใช่จะรอดพ้นการลงโทษจากอัลเลาะห์ไปได้ก็หาไม่ และจงรู้ไว้อีกเถิดว่า อัลเลาะห์นั้นทรงให้ความต่ำช้าแก่พวกกาฟิรทั้งในภาคภพนี้ด้วยการถูกสังหาร และในภาคภพหน้าด้วยการให้เข้าสู่ขุมนรก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 29, 2012, 06:26 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 3 - 4


คำอ่าน
3. วะอะซานุม..มินัลลอฮิ วะเราะสูลิฮี..อิลัน..นาสิ เยามัลหัจญิลอักบะริ อัน..นัลลอฮะบะรี...อุม..มินัลมุชริกีนะ วะเราะสูลุฮฺ ฟะอิน..ตุบตุม ฟะฮุวะค็อยรุลละกุม วะอิน..ตะวัลลัยตุม ฟะอฺละมู..อัน..นะกุม ฆ็อยรุ มุอฺญิซิลลาฮฺ วะบัชชิริลละซีนะกะฟะรู บิอะซาบินอะลีม
4. อิลลัลละซีนะอาฮัดตุม..มินัลมุชริกีนะ ษุม..มะลัมยัน..กุศูกุมชัยเอา..วะลัมยุซอฮิรู อะลัยกุมอะหะดัน..ฟะอะติม..มู..อิลัยฮิม อะฮฺดะฮุม อิลามุดดะติฮิม อิน..นัลลอฮะยุหิบบุลมุตตะกีน


คำแปล R1.
3. And a declaration from Allah and His messenger to mankind on the greatest day (the 10th of Dhul-Hijjah - the 12th month of Islamic calendar) that Allah is free from (all) obligations to the Mushrikun (See V.2:105) and so is His messenger. so if you (Mushrikun) repent, it is better for you, but if you turn away, then know that you cannot escape (from the punishment of) Allah. and give tidings (O Muhammad) of a painful torment to those who disbelieve.
4. Except those of the Mushrikun with whom you have a treaty, and who have not subsequently failed you in aught, nor have supported anyone against you. so fulfill their treaty to them to the end of their term. surely Allah loves Al- Mattaqun (the pious - see V.2:2).


คำแปล R2.
3. และ(นี้)เป็นคำประกาศจากอัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ยังมวลมนุษย์ทั้งหลายในวันบำเพ็ญฮัจย์ครั้งยิ่งใหญ่ กล่าวคือ อัลเลาะฮฺทรงพ้นพันธะจากบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย และศาสนทูตของพระองค์(ก็พ้นพันธะด้วยเช่นเดียวกัน)แต่ถ้าพวกเจ้า(ชาวมุชริกีน)สารภาพผิด แน่นอนการนั้นก็เป็นผลดีสำหรับพวกเจ้าเอง แต่ถ้าพวกเจ้าผินออก(คัดค้าน) พวกเจ้าก็พึงทราบไว้เถิดว่า พวกเจ้านั้นไม่อาจยังความอ่อนแอแก่อัลเลาะฮฺได้เลย(ในการที่พระองค์จะทรงลงโทษพวกเจ้า)และเจ้าจงแจ้งให้พวกเนรคุณทราบถึงการลงโทษอันทรมานยิ่งเถิด
4. ยกเว้นบรรดาพวกตั้งภาคีผู้ทำสัญญากับพวกเจ้า หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ละเมิดสัญญาต่อพวกเจ้าแต่ประการใด และพวกเขามิได้สนับสนุนผู้หนึ่งผู้ใด(ทำการรุกราน)แก่พวกเจ้า ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงทำตามสัญญาของพวกนั้นโดยครบถ้วนจนถึงกำหนดเวลา(ตามระบุในสัญญา)ของพวกเขา แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรักบรรดาผู้ยำเกรง


คำแปล R3.
3. นี่เป็นการประกาศจากอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์สำหรับประชาชนทั้งมวลในวันแห่งการฮัจญ์อันยิ่งใหญ่ว่า อัลลอฮฺทรงพ้นจากพันธสัญญาที่ได้ทำไว้กับพวกมุชริก และรอซูลของพระองค์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้าหากสูเจ้าสำนึกผิด มันก็เป็นการดีกว่าสำหรับสูเจ้า แต่ถ้าหากสูเจ้าหันออกไป สูเจ้าก็จงรู้ไว้เถิดว่าสูเจ้าไม่สามารถที่จะลบล้างเจตนารมณ์ของอัลลอฮฺได้ โอ้นบี จงแจ้งข่าวถึงการลงโทษอันเจ็บปวดแก่บรรดาผู้ปฏิเสธ
4. ยกเว้นบรรดาพวกมุชริกที่สูเจ้าทำสัญญาด้วย และผู้ที่ไม่ได้ละเมิดสัญญาแต่ประการใด และผู้ที่มิได้สนับสนุนผู้ใดให้ต่อต้านสูเจ้า ดังนั้น สูเจ้าจงปฏิบัติตามสัญญากับคนเหล่านั้นจนครบกำหนด เพราะอัลลอฮฺทรงรับผู้ทรงคุณธรรม


คำแปล R4.
3. และเป็นประกาศจากอัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ แด่ประชาชนทั้งหลายในวันฮัจญอันใหญ่ยิ่งว่าแท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงพ้นข้อผูกพันจากมุชริกทั้งหลาย และรอซูลของพระองค์ก็พ้นข้อผูกพันนั้นด้วย และหากพวกเจ้าสำนึกผิด และกลับตัวมันก็เป็นสิ่งดีแก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้าผินหลังให้ก็พึงรู้เถิดว่า แท้จริงพวกเจ้านั้นมิใช่ผู้ที่จะทำให้อัลลอฮฺหมดความสามารถได้ และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นเถิดด้วยการลงโทษอันเจ็บแสบ
4. นอกจากบรรดาผู้สักการะเจว็ด (มุชริกีน) ที่พวกเจ้าได้ทำสัญญาไว้ แล้วพวกเขามิได้ผิดสัญญาแก่พวกเจ้าแต่อย่างใด และมิได้สนับสนุนผู้ใดต่อต้านพวกเจ้า ดังนั้นจะให้ครบถ้วนแก่พวกเขาซึ่งสัญญาของพวกเขาจนถึงกำหนดเวลาของพวกเขาเถิดแท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงชอบผู้ที่ยำเกรงทั้งหลาย

 
คำแปล R5.
๓. อันประกาศตัดพันธะจากอัลเลาะห์และมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์นั้นมีไปยังปวงชนใชริกในวันมหาพิธีฮัจย์ตกในวันที่ ๑๐ แห่งเดือนซุลฮิจยะฮฺ ว่าแท้จริงที่อัลเลาะห์ทรงตัดพันธะจากพวกมุชริก ก็เพราะพวกมุชริกได้ละเมิดซึ่งข้อสัญญา ๓ ประการ คือ ๑. สัญญาไม่มีกำหนด ๒. สัญญามีกำหนดหย่อนกว่า ๔ เดือน และ๓. สัญญามีกำหนดเกินกว่า ๔ เดือน และว่าเหตุที่มุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์ตัดพันธะจากพวกมุชริกอีกด้วยนั้น ก็เพราะในปีที่ ๙ อันเป็นปีที่บท(ซูเราะห์)นี้ถูกประทานลงมา พระศาสดามุฮำมัดได้แต่งตั้งให้อลีบุตรฏอลิบไปประกาศที่ทุ่งมินาในวันที่ ๑๐แห่งเดือนซุลฮิจยะห์ อบีบุตรฏอลิบประกาศโองการของอัลเลาะห์ ๔๐ โองการแห่งซูเราะห์นี้ และประกาศโองการเหล่านี้อีกในปีถัดไปว่า นับแต่ปีนี้เป็นต้นไป ห้ามคนกาฟิรประกอบพิธีฮัจย์ และห้ามเวียนรอบ(ฏอว๊าฟ)ไบตุลเลาะห์ในสภาพเปลือยกาย แต่พวกกาฟิรฝ่าฝืนคำประกาศนั้น ซ้ำยังประกาศว่าพวกเขาจะไม่เวียนรอบใบตุลเลาะห์ในชุดเสื้อผ้าที่เราเคยทรยศต่ออัลเลาะห์ในชุดนั้นหรอก โอ้ปวงชนกาฟิร แม้นว่าพวกเจ้ากลับใจ เลิกจากความไม่ศรัทธาได้แล้วการกลับใจเลิกของพวกเจ้านั่นแหละ จะดียิ่งสำหรับพวกเจ้า ดีกว่าที่พวกเจ้าจะคงความไม่ศรัทธาที่พวกเจ้าคาดคะเนว่ามันคือความดี แต่ถ้าพวกเจ้าเหออกจากความศรัทธาแล้วไซร้ก็ให้พวกเจ้ารู้ไว้เถิดว่า แท้จริงพวกเจ้านั้นหารอดพ้นไปจากการลงโทษของอัลเลาะห์ได้ไม่ โอ้ มุฮำมัด เจ้าจงประกาศถึงโทษทัณฑ์อันเจ็บแสบในภาคภพนี้ ด้วยการถูกฆ่าและถูกจับเป็นเชลย และในภาคภพหน้าด้วยเพลิงจากขุมนรกแก่บรรดาชนกาฟิรเถิด
๔. ยกเว้นบรรดาชนมุชริกพวกหนึ่งจากวงศ์ฎ่อมีเราะห์สืบมาจากพวกกินานะห์ที่พวกเจ้ามีสัญญาไว้ต่อพวกนั้นชั่วระยะหนึ่ง แล้วระยะเวลาแห่งสัญญาของพวกนั้นยังคงเหลืออยู่อีกเก้าเดือน ต่อมาพวกนั้นก็มิได้ละเมิดสัญญาต่อพวกเจ้าแต่ประการใด ในข้อบังคับแห่งสัญญานั้น ทั้งยังมิได้ช่วยเหลืออุปการะพวกกาฟิรคนใดที่เป็นฝ่ายอื่น สู้รบพวกเจ้าอีกด้วย ดังนั้นพวกเจ้าจงให้บริบูรณ์ซึ่งสัญญาต่อพวกมุชริกเหล่านั้นจนสิ้นกำหนดแห่งสัญญานั้นเถิด แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงโปรดต่อบรรดาผู้ยำเกรง


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 5 - 6


คำอ่าน
5. ฟะอิซัน..สะละค็อลอัชฮุรุลหุรุมุ ฟักตุลุลมุชริกีนะ หัยษุวะญัดตุมูฮุม วะคุซูฮุม วะหฺชุรูฮุม วักอุดู ละฮุม กุลละ มัรฺศ็อด ฟะอิน..ตาบู วะอะกอมุศเศาะลาตะ วะอาตุซซะกาตะ ฟะค็อลลูสะบีละฮุม อิน..นัลลอฮะเฆาะฟูรุรฺเราะหีม
6. วะอินอะหะดุม..มินัลมุชริกีนัสตะญาเราะกะ ฟะอะญิรฺฮุ หัตตา ยัสมะอะกะลามัลลอฮิ ษุม..มะ อับลิฆฮุ มะอ์มะนะฮฺ ซาลิกะ บิอัน..นะฮุม ก็อวมุลลายะอฺละมูน


คำแปล R1.
5. Then when the sacred months (the 1st, 7th, 11th, and 12th months of the Islamic calendar) have passed, then kill the Mushrikun (See V.2:105) wherever you find them, and capture them and besiege them, and prepare for them each and every ambush. But if they repent and perform As-Salat (Iqamat-as-Salat), and give Zakat, then leave their way free. Verily, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.
6. And if anyone of the Mushrikun (polytheists, idolaters, pagans, disbelievers in the Oneness of Allah) seeks your protection then grant him protection, so that he may hear the word of Allah (the Qur'an), and then escort him to where he can be secure, that is because they are men who know not.


คำแปล R2.
5. ครั้นเมื่อเดือนต้องห้าม(ทั้งสี่)ได้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกเจ้าก็จงสังหารพวกตั้งภาคี(ที่เป็นคู่ศึก)เถิด ไม่ว่าพวกเจ้าจะพบพวกเขา ณ ที่ใดก็ตาม พวกเจ้าจงจับตัวพวกเขา พวกเจ้าจงโอบล้อมพวกเขา และพวกเจ้าจงนั่งคอยพวกเขา ณ ทุก ๆ จุด (ที่คาดว่าพวกเขาจะผ่านไปมา) แต่ถ้าพวกเขาสารภาพผิด และดำรงการละหมาดอีกทั้งบริจาคซากาต พวกเจ้าก็จงปล่อยทางของพวกเขา(ให้เขาผ่านไปด้วยความปลอดภัยและเป็นอิสระ) แท้จริง อัลเลาะฮฺทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
6. และหากมีพวกตั้งภาคีคนใด ขอความอารักขาต่อเจ้า ดังนั้นจงให้การอารักขาแก่เขาเถิด จนกว่าเขาจะได้ยินพระคำแห่งอัลเลาะฮฺ หลังจากนั้นเจ้าจงส่งตัวเขาให้ไปพัก ณ สถานที่อันปลอดภัยสำหรับเขา ด้วยเหตุว่าพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ไม่รู้


คำแปล R3.
5. ดังนั้น เมื่อเดือนที่ถูกทำให้เป็นที่ต้องห้ามสำหรับการต่อสู้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว จงฆ่าพวกมุชริกทุกที่ที่สูเจ้าพบ และจงจับพวกเขาและล้อมพวกเขาและนั่งคอยดักซุ่มพวกเขา แต่ถ้าพวกเขาสำนึกผิดและดำรงนมาซและจ่ายซะกาต ดังนั้นจงปล่อยพวกเขาให้ไปตามทางของพวกเขา เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
6. และถ้าพวกมุชริกคนใดขอความคุ้มครองจากเจ้า ดังนั้น จงให้ความคุ้มครองแก่เขา เพื่อที่เขาจะได้ยินวจนะของอัลลอฮฺ แล้วจงนำเขาไปสู่ที่ปลอดภัย ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะคนเหล่านี้ไม่รู้จักสัจธรรม


คำแปล R4.
5. ครั้นเมื่อบรรดาเดือนต้องห้ามเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ก็จงประหัตประหารมุชริกเหล่านั้น ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงจับพวกเขาและจงล้อมพวกเขา และจงนั่งสอดส่องพวกเขาทุกจุดที่สอดส่อง แต่ถ้าพวกเขาสำนึกผิดกลับตัว และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาต แล้วไซร้ ก็จงปล่อยพวกเขาไป แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
6. และหากว่ามีคนใดในหมู่มุชริกได้ขอให้เจ้าคุ้มครอง ก็จงคุ้มครองเขาเถิด จนกว่าเขาจะได้ยินดำรัสของอัลลอฮฺ แล้วจงส่งเขายังที่ปลอดภัยของเขา นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ไม่รู้


คำแปล R5.
๕. ครั้นเมื่อเดือนห้ามทั้ง ๔ เดือนที่กล่าวได้ผ่านพ้นไปแล้ว ก็ให้พวกเจ้าเข่นฆ่าพวกมุชริกได้ไม่ว่าที่ใดที่พวกเจ้าพบเจอพวกมุชริกเหล่านั้น จะในหรือนอกเขตอนุญาตแห่งนครมักกะห์ก็ได้ ทั้งให้พวกเจ้าจับเอาตัวพวกมุชริกเหล่านั้นเป็นเชลย แล้วจงกักตัวพวกเหล่านั้นไว้ในที่คุมขังที่ป้อมปราการก็ได้ และที่มั่นใด ๆ ก็ได้ จนกว่าจะยอมถูกฆ่าหรือจนกว่าจะยินดีเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม และว่าพวกเจ้าจงนั่งยามระวังพวกเหล่านั้นที่จะออกทุกทิศทางของทวารเมืองมักกะห์ มาดแม้นว่าพวกเหล่านั้นกลับใจเลิกจากความไม่ศรัทธาได้ แล้วหันมาสู่ศรัทธาดำรงการละหมาดและจำหน่ายซะกาตให้แก่ผู้มีสิทธิ์ได้รับ แล้วไซร้ พวกเจ้าจงปลดปล่อยให้ไปตามหนทางของพวกเหล่านั้นเถิดอย่าได้ขัดขวางพวกเหล่านั้น แท้จริง อัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์อภัยยิ่งแก่ผู้ที่กลับใจมาศรัทธา ทรงปรารียิ่งต่อพวกนั้น
๖. และโอ้มุฮำมัด ถ้ามีคนใดคนหนึ่งคนใดจากพวกมุชริกผู้ละเมิดสัญญา ซึ่งเจ้าถูกพระองค์ทรงบัญชาใช้ให้ออกห่างร้องขอความปลอดภัยจากการถูกเข่นฆ่าต่อเจ้าเพื่อพวกเขาจะได้สดับฟังซึ่งพระคัมภีร์อัล-กุรอาน เจ้าจงให้มุชริกผู้นั้นได้ความปลอดภัยเถิดจนกระทั่งเขาได้สดับพระคำดำรัสแห่งอัลเลาะห์คือ อัล-กุรอาน ครั้นแล้ว เจ้าจงส่งผู้นั้นไปสู่สถานปลอดภัย(บ้านเรือน)แห่งพรรคพวกของเขาเถิดแม้ผู้นั้นจะไม่ศรัทธาก็ตาม เพื่อว่าพวกนั้นจะได้พินิจพิเคราะห์ถึงกิจของพระองค์ว่า บุญกุศลนั้นย่อมได้แก่เขาหากเขามีศรัทธา และโทษทัณฑ์ย่อมจะตกแก่เขาหากเขาคงไว้ซึ่งความไม่ศรัทธา การที่ทรงบัญชาให้ความปลอดภัยและปล่อยพวกนั้นกลับสู่บ้านช่องของพวกเขานั้น ทั้งนี้ก็เพราะพวกนั้นเป็นปวงชนผู้ไม่รู้ศาสนาของอัลเลาะห์ เท่าที่มีกำหนดให้พวกเหล่านั้นได้สดับฟังซึ่งพระคัมภีร์อัล-กุรอานนั้นก็หมายจะให้พวกเหล่านั้นได้รู้ถึงบุญกุศลอันจะได้รับหากพวกเหล่านั้นได้ศรัทธาและได้รู้สึกหวั่นเกรงในโทษทัณฑ์อันจะได้รับ หากพวกนั้นมิได้ศรัทธา


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 7 - 10


คำอ่าน
7. กัยฟะยะกูนุ ลิลมุชริกีนะ อะฮฺดุน อิน..ดัลลอฮิ วะอิน..ดะเราะสูลิฮี..อิลลัลละซีนะอาฮัดตุมอิน..ดัลมัสญิดิลหะรอม ฟะมัสตะกอมูละกุม ฟัสตะกีมูละฮุม อิน..นัลลอฮะยุหิบบุลมุตตะกีน
8. กัยฟะ วะอี..ยัซฮะรูอะลัยกุม ลายัรกุบูฟีกุม อิลเลา..วะลาซิม..มะฮฺ ยุรฺฎูนะกุม..บิอัฟวาฮิฮิม วะตะอ์บากุลูบุฮุม วะอักษะรุฮุมฟาสิกูน
9. อิชตะร็อวบิอายาติลลาฮิ ษะมะนัน..เกาะลีลัน..ฟะศ็อดดูอันสะบีลิฮฺ อิน..นะฮุมสา..อะมากานูยะอฺมะลูน
10. ลายัรฺกุบูนะ ฟีมุอ์มินิน อิลเลา..วะลาซิม..มะฮฺ วะอุลา...อิกะฮุมุลมุอฺตะดูน


คำแปล R1.
7. How can there be a covenant with Allah and with His messenger for the Mushrikun (polytheists, idolaters, pagans, disbelievers in the Oneness of Allah) except those with whom you made a covenant near Al-Masjid-al-Haram (at Makkah)? So long, as they are true to you, stand you true to them. Verily, Allah loves Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2).
8. How (can there be such a covenant with them) that when you are overpowered by them, they regard not the ties, either of kinship or of covenant with you? With (good words from) their mouths they please you, but their hearts are averse to you, and most of them are Fasiqun (rebellious, disobedient to Allah).
9. They have purchased with the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) of Allah a little gain, and they hindered men from his way; evil indeed is that which they used to do.
10. With regard to a believer, they respect not the ties, either of kinship or of covenant! It is they who are the transgressors.


คำแปล R2.
7. จะรับรองได้อย่างไรว่า สำหรับบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายนั้นมีสัญญา(ที่ไว้วางใจได้ว่าจะไม่บิดพลิ้ว)กับอัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์? นอกจากบรรดาที่พวกเจ้าได้ทำสัญญา ณ ที่มัสยิดอัลหะรอม(ในวันทำศึกหุดัยบียะฮฺ ซึ่งทำสัญญาสงบศึกไว้สิบปี) ดังนั้น ตราบใดที่พวกเขาเที่ยงตรงต่อพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงเที่ยงตรงต่อพวกเขาเถิด เพราะแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรักบรรดาผู้ยำเกรง
8. (จะรักษาสัญญากับพวกกาฟิรได้)อย่างไร ก็ในเมื่อพวกเขาได้เปรียบพวกเจ้า พวกเขาก็หาได้รักษาความสัมพันธ์ทางเครือญาติและสนธิสัญญาในหมู่พวกเจ้าไม่ พวกเขาแสร้งใยดีต่อพวกเจ้าด้วยปากของพวกเขาแต่หัวใจของพวกเขาขัดขืน และส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้บิดพลิ้ว
9. พวกเขาได้นำเอาโครงการต่าง ๆ แห่งอัลเลาะห์มาแลกเปลี่ยนกับ(ผลประโยชน์ที่มี)ราคาเพียงเล็กน้อย แล้วพวกเขาก็ขัดขวางจากแนวทาง(ศาสนา)ของพระองค์ แท้จริงพวกเขานั้น สิ่งที่พวกเขากระทำล้วนเลวร้าย(ทั้งสิ้น)
10. พวกเขามิได้รักษาความสัมพันธ์ทางเครือญาติและทางสนธิสัญญาเลย และพวกเหล่านั้นเป็นผู้ละเมิดโดยแท้จริง


คำแปล R3.
7. เป็นไปได้อย่างไรที่สัญญากับพวกมุชริกเหล่านี้จะเป็นที่ได้รับการปฏิบัติตามเหมือนกับที่ได้รับการปฏิบัติตามโดยอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์? ยกเว้นบรรดาผู้ที่สูเจ้าได้ทำสัญญากันที่มัสญิดหะรอม ดังนั้น ตราบใดที่พวกเขายังคงซื่อตรงต่อสูเจ้า สูเจ้าก็จงซื่อตรงต่อเขา เพราะอัลลอฮฺทรงรักผู้สำรวมตนต่อความชั่ว
8. แต่สัญญาจะได้รับการเคารพได้อย่างไรเพราะถ้าหากพวกเขามีอำนาจเหนือสูเจ้าพวกเขาก็จะไม่เคารพสายสัมพันธ์แห่งเครือญาติกับสูเจ้า และจะไม่ให้เกียรติแก่เงื่อนไขของสัญญา พวกเขาพยายามจะประจบสูเจ้าด้วยปากของพวกเขาในขณะที่หัวใจของพวกเขานั้นตรงกันข้ามกับปากของพวกเขา เพราะส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้ทำความชั่ว
9. พวกเขาแลกเปลี่ยนอายะฮฺของอัลลอฮิด้วยผลประโยชน์ทางโลกเล็ก ๆ น้อย ๆ และขัดขวางคนอื่นจากหนทางของพระองค์ แท้จริงชั่วช้าแท้ ๆ ที่พวกเขากระทำ
10. พวกเขาไม่รักษาสายสัมพันธ์ของเครือญาติในเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ศรัทธา และไม่รักษาเงื่อนไขของสัญญา และพวกเหล่านี้เป็นผู้ที่ละเมิดเสมอ


คำแปล R4.
7. จะเป็นไปได้อย่างไรแก่มุชริกีนที่จะมีสัญญาใด ๆ ณ ที่อัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ได้ นอกจากบรรดาผู้ที่พวกเจ้าได้ทำสัญญาไว้ที่ อัล-มัสญิดิลฮะรอมเท่านั้น ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาเที่ยงธรรมต่อพวกเจ้า ก็จงเที่ยงธรรมต่อพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงชอบบรรดาผู้ที่มีความยำเกรง
8.จะมีสัญญาใดอย่างไรเล่า ? และหากพวกเขามีชัยชนะเหนือพวกเจ้า พวกเขาก็ไม่คำนึงถึงเครือญาติ และพันธะสัญญาใด ๆ ในหมู่พวกเจ้า พวกเขาทำให้พวกเจ้าพึงพอใจด้วยลมปากของพวกเขาเท่านั้น โดยที่หัวใจของพวกเขาปฏิเสธ และส่วนมากของพวกเขานั้นเป็นผู้ละเมิด
9. พวกเขาได้เอาบรรดาโองการของอัลลอฮฺแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย แล้วก็ขัดขวางผู้คน ให้ออกจากทางของอัลลอฮฺ แท้จริงพวกเขานั้น สิ่งที่พวกเขาทำอยู่ช่างชั่วช้าจริง ๆ
10. พวกเขาจะไม่คำนึงถึงเครือญาติและพันธะสัญญาในผู้ศรัทธาคนหนึ่งคนใด และชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ละเมิด


คำแปล R5.
๗. อันสัญญาจากการตัดสินฝ่ายอัลเลาะห์และจากฝ่ายมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์นั้นจะเกิดผลแก่พวกมุชริกที่มิได้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์และพระศาสนทูตมุฮำมัด ซึ่งพวกเหล่านี้เป็นผูละเมิดสัญญาดังกล่าวก็หาไม่ เว้นไว้แต่บรรดาชนมุชริกพวกหนึ่งจากวงศ์ฎ่อมีเราะห์สืบมาจากพวกกาฟิรอาหรับที่พวกเจ้ามีสัญญาสงบศึกไว้ ณ มัสยิด อัล-หะรอมในวันทำศึกหุไดบียะห์ไว้ ๑๐ ปี ซึ่งยังเหลืออีก ๙ ปีเท่านั้น ไม่ว่าอะไร ๆ ที่พวกเหล่านั้นถือเที่ยงตรงต่อข้อสัญญาที่รับจากพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงเที่ยงธรรมต่อการรักษาสัญญาอันมีขึ้นแก่พวกเหล่านั้นเถิด แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงโปรดต่อผู้ยำเกรงโดยการรักษาสัญญาไว้ ครั้นแล้วพระนบีมุฮำมัดก็ได้ปฏิบัติตามข้อสัญญาอย่างเที่ยงธรรมเรื่อยมาจนกระทั่งพวกมุชริกฎ่อมีเราะห์เข้าไปให้ความช่วยเหลือพวกบนูบักร์ในการทำศึกกับเผ่าคุซาอะห์
๘. การที่มทีสัญญาอะไรต่อพวกมุชริกฎ่อมีเราะห์นั้นไม่ต้องอีกแล้ว เพราะถ้าพวกมุชริกเหล่านั้นเป้นต่อพวกเจ้า พวกเหล่านั้นจะไม่ไว้หน้าใครในหมู่พวกเจ้าว่าเป็นสายเลือดของพวกนั้นเลยแม้กระทั่งข้อสัญญา โดยพวกเหล่านั้นมีแต่จะทวีความเดือดร้อนให้รุนแรงขึ้นแก่พวกเจ้าจนสุดความสามารถ พวกเหล่านั้นจะทำเป็นใยดีต่อพวกเจ้าแต่ปาก ด้วยการเอ่ยคำเจรจาไพเราะเท่านั้น แต่หัวใจของพวกเหล่านั้นยังดื้อรั้นต่อการยอมถือตามข้อสัญญาอยู่ และพวกกาฟิรเหล่านั้น ส่วนมากเป้นพวกที่บิดพลิ้วต่อข้อสัญญา
๙. พวกเหล่านั้นได้เอาโองการต่าง ๆ แห่งอัล-กุรอานของอัลเลาะห์ไปแลกกับค่างวดเพียงเล็กน้อยแห่งภพนี้ กล่าวคือพวกเหล่านั้นต่างก็งดเว้นจากการเจริญตามคำบัญชาจากพระคัมภีร์อัล-กุรอาน เพราะอารมณ์แห่งกิเลสซึ่งมีขึ้นเพราะอบูซุฟยานได้จัดการเลี้ยงอาหารแก่พวกเหล่านั้นครั้งหนึ่ง อันเป้นผลให้พวกเหล่านั้นยอมเสียสัตย์สัญญาได้ ทั้งยังได้ต่อต้านปวงชนมิให้เจริญตามหนทางแห่งศาสนาของพระองค์อีกด้วย แท้จริงพวกเหล่านี้ที่ได้ปฏิบัติการต่อต้านมิให้ปวงชนเจริญตามศาสนาของอัลเลาะห์กันอยู่นั้น เลวร้ายนัก
๑๐. พวกเหล่านั้นหาได้ไว้หน้าผู้ศรัทธาคนใดเป็นสายเลือดไม่ แม้กระทั่งข้อสัญญาก็มิได้รักษาไว้เป้นสัจจะ มีแต่จะก่อความเดือดร้อนให้หนักข้อขึ้นจนสุดกำลังความสามารถแล้วพวกเหล่านั้นแหละคือพวกล่วงละเมิดซึ่งขอบเขต


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 11 - 13


คำอ่าน
11. ฟะอิน..ตาบู วะอะกอมุศเศาะลาตะ วะอาตะวุซซะกาตะ ฟะอิควานุกุม ฟิดดีน วะนุฟัศศิลุลอายาติ ลิก็อวมียะอฺละมูน
12. วะอิน..นะกะษู..อัยมานะฮุม..มิม..บะอฺดิอะฮฺดิฮิม วะเฏาะอะนูฟีดีนิกุม ฟะกอติลู..อะอิม..มะตัลกุฟริ อิน..นะฮุมลา..อัยมานะละฮุม ละอัลละฮุมยัน..ตะฮูน
13. อะลาตุกอติลูนะ ก็อวมัน..นะกะษู..อัยมานะฮุม วะฮัม..มูบิอิครอญิรฺเราะสูลิ วะฮุม..บะดะอูกุม เอาวะละมัรฺเราะฮฺ อะตัคเชานะฮุม ฟัลลอฮุอะหักกุ อัน..ตัคเชาฮุ อิน..กุน..ตุม..มุอ์มินีน


คำแปล R1.
11. But if they repent, perform As-Salat (Iqamat-as-Salat) and give Zakat, then they are your brethren in religion. (in this way) we explain the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) in detail for a people who know.
12. But if they violate their oaths after their covenant, and attack your religion with disapproval and criticism then fight (you) the leaders of disbelief (chiefs of Quraish - pagans of Makkah) - for surely their oaths are nothing to them - so that they may stop (evil actions).
13. Will you not fight a people who have violated their oaths (pagans of Makkah) and intended to expel the Messenger, while they did attack you first? Do you fear them? Allah has more right that you should fear him, if you are believers.


คำแปล R2.
11. ดังนั้นหากพวกเขาสารภาพผิดและพวกเขาดำรงการละหมาด และบริจาคทานซะกาต ที่จริงพวกเขาก็เป็นพี่น้องกับพวกเจ้าในศาสนา(ซึ่งจะทำการรบต่อกันมิได้)และเราทำการแจกแจงบรรดาโองการต่าง ๆ แก่กลุ่มชนที่รับรู้
12. และหากพวกเขาทำลายสัญญาของพวกเขา ภายหลังจากสัญญาของพวกเขา(ที่กระทำต่อพวกเจ้า) และพวกเขาได้ประณามศาสนาของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงทำศึกกับบรรดาหัวหน้าแห่งความเนรคุณเถิด เพราะแท้จริงพวกเขานั้นหาได้มีคำสาบาน(ที่จริงใจ)สำหรับพวกเขาไม่ ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะได้ยับยั้ง(การกระทำอันเลวทรามของพวกเขา)
13. พวกเจ้าจะไม่ทำศึกกับกลุ่มชนที่ทำลายสัญญาของพวกเขา และพวกเขาคิดที่จะขับไล่ศาสนทูตกระนั้นหรือ ? ทั้ง ๆ ที่พวกเขาได้เริ่มโจมตีพวกเจ้ามาแต่แรกเริ่มแล้ว หรือพวกเจ้ากลัวพวกเขา? อันที่จริง อัลเลาะฮฺ ทรงสิทธิยิ่งนักที่พวกเจ้าจะกลัวพระองค์ ทั้งนี้หากพวกเจ้ามีศรัทธาโดยแท้จริง


คำแปล R3.
11. แต่ถ้าพวกเขาสำนึกผิดและดำรงนมาซและจ่ายซะกาต พวกเขาก็เป็นพี่น้องร่วมศาสนากับสูเจ้า ดังนั้นเราได้ทำให้อายะฮฺทั้งหลายของเราเป็นที่ง่ายดายแก่บรรดาผู้ที่พยายามจะเข้าใจ
12. แต่ถ้าหากพวกเขาหักล้างคำสาบานของพวกเขา หลังจากได้ทำสัญญาแล้ว และพวกเขาถากถางศาสนาของสูเจ้า ดังนั้นสูเจ้าก็จงต่อสู้กับบรรดาหัวหน้าแห่งการปฏิเสธ เพราะคำสาบานของพวกเขานั้น ไม่อาจจะเชื่อถือได้ บางทีดาบเท่านั้นที่อาจจะยับยั้งพวกเขาได้
13. สูเจ้าจะไม่ต่อสู้กับคนที่ทำลายคำสาบานของพวกเขา และขับไล่รอซูลและเริ่มรุกรานสูเจ้าก่อนกระนั้นหรือ? สูเจ้ากลัวพวกเขากระนั้นหรือ? ถ้าสูเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง แน่นอนอัลลอฮฺทรงมีสิทธิเหนือกว่าที่สูเจ้าจะเกรงกลัวพระองค์


คำแปล R4.
11. แล้วหากพวกเขาสำนึกผิดกลับตัว และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาตแล้วไซร้ก็เป็นพี่น้องของพวกเจ้าในศาสนา และเราจะแจกแจงบรรดาโองการไว้แก่กลุ่มชนที่รู้
12. และถ้าหากพวกเขาทำลายคำมั่นสัญญาของพวกเขา หลังจากที่พวกเขาได้ทำสัญญาไว้ และใส่ร้ายในศาสนาของพวกเจ้าแล้วไซร้ ก็จงต่อสู้บรรดาผู้นำแห่งการปฏิเสธศรัทธาเถิด แท้จริงพวกเขานั้นหาได้มีคำมั่นสัญญาใด ๆ แก่พวกเขาไม่เพื่อว่าพวกเขาจะหยุดยั้ง
13. พวกเจ้าจะไม่ต่อสู้กระนั้นหรือ ซึ่งกลุ่มชนที่ทำลายคำมั่นสัญญาของพวกเขา และมุ่งขับไล่รอซูลให้ออกไป ทั้ง ๆ ที่พวกเขาได้เริ่มปฏิบัติแก่พวกเจ้าก่อนเป็นครั้งแรก พวกเจ้ากลัวพวกเขากระนั้นหรือ ? อัลลอฮฺต่างหากเล่า คือผู้ที่สมควรแก่การที่พวกเจ้าจะกลัวหากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา


คำแปล R5.
๑๑. แม้นพวกเหล่านั้นกลับใจเลิกจากความไม่ศรัทธา หันกลับมามีศรัทธา ได้ดำรงละหมาดห้าเวลา และจำหน่ายส่วนหนึ่งจากทรัพย์เป็นซะกาตให้แก่บรรดาผู้ทรงสิทธิ์ ๘ จำพวกแล้ว พวกเจ้าจงถือว่า พวกเหล่านั้นเป็นวงศ์ญาติร่วมศาสนากับพวกเจ้า ทั้งเรา(อัลเลาะห์) ก็ชี้แจงอยู่แล้วซึ่งโองการต่าง ๆ แห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอานของเรา แก่ปวงชนผู้ได้ตระหนัก ไตร่ตรอง รับรู้
๑๒. แล้วถ้าหากว่าพวกเหล่านั้นเสียสัตย์ในข้อผูกพันต่อภายหลังที่พวกตนมีสัญญาไว้ ทั้งยังประณามหยามเหยียดศาสนาของพวกเจ้าแล้ว ก็ให้พวกเจ้าทำศึกกับบรรดาผู้นำของกาฟิรเสีย เพราะพวกเหล่านั้นหามีข้อผูกพันในสัญญาประการใดไม่ เพื่อว่าพวกเหล่านั้นจะได้ระงับยับยั้งความไร้ศรัทธา
๑๓. พวกเจ้าพึงเร่งรีบและเคลื่อนทัพไปทำศึกกับปวงชนฝ่ายกาฟิรผู้เสียสัตย์ในข้อผูกพันแห่งสัญญาและใฝ่ใจที่จะรุกไล่พระศาสนทูตมุฮำมัดออกจากนครมักกะห์เถิด ในคราวที่พวกนั้นกำลังประชุมหารือกันที่สมาคมอัลนัด-วะห์ (สมาคมนี้ ท่านผู้หนึ่งชื่อว่ากุซอยย์ เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น ปัจจุบันถูกผนวกเข้าไว้ ณ มัสยิด อัล-หะรอม คือ มะกอมหะนะฟีย์เดี๋ยวนี้) เพื่อจะจัดการกับตัวมุฮำมัดอย่างใดอย่างหนึ่งในสามนัย คือ หนึ่งฆ่า สองกักขัง และสามเนรเทศ มติในที่ประชุมครั้งนั้นตกลงให้ถือนัยที่สาม คือเนรเทศพระศาสดามุฮำมัดออกนอกประเทศ แต่พวกเหล่านั้นหาได้เนรเทศพระนบีมุฮำมัดได้ไม่ พระศาสนทูตมุฮำมัดเองต่างหากที่เลือกเอาวิธีอพยพลี้ภัยจากนครมักกะห์สู่นครมดีนะห์ โดยพระปรารถนาของอัลเลาะห์ และกาฟิรเผ่ากุรอยช์เหล่านั้นได้ประเดิมเริ่มลงมือทำศึกก่อนพวกเจ้าเป็นครั้งแรก กล่าวคือฝ่ายกาฟิรเผ่ากุรอยช์มีพวกบนูบักร์เป็นพันธมิตรกับคุซาอะห์ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับพวกเจ้า จึงเป็นการสมควรที่พวกเจ้าเร่งออกทำศึกกับพวกกาฟิรเหล่านั้นเพราะเหตุ ๓ ประการ อันได้แก่ การเสียสัตย์สัญญา การจะเนรเทศพระศาสดามุฮำมัด และการจะกักขังพระศาสนทูต พวกเจ้าไม่ต้องกลัวพวกเหล่านั้นหรอก อัลเลาะห์ต่างหากเล่าที่ควรอย่างยิ่งในอันที่พวกเจ้าจะเกรงกลัวพระองค์ ในการที่พวกเจ้าจะงดเว้นออกทำศึกกับพวกเหล่านั้น หากว่าพวกเจ้าเป็นพวกศรัทธาที่แท้จริง


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 14 - 16


คำอ่าน
14. กอติลูฮุม ยุอัซซิบฮุมุลลอฮุ บิอัยดีกุม วะยุคซิฮิม วะยัน..ศุรฺกุมอะลัยฮิม วะยัชฟิศุดูเราะก็อวมิม..มุอ์มินีน
15. วะยุซฮิบฆ็อยเซาะ กุลูบอฮิม วะยะตูบุลลอฮุอะลามัย..ยะชา...อ์ วัลลอฮุอะลีมุนหะกีม
16. อันหะสิบตุมอัน..ตุตเราะกู วะลัม..มายะอฺละมิลลาฮุลละซีนะ ญาฮะดูมิน..กุม วะลัมยัตตะคิซู มิน..ดูนิลลาฮิ วะลาเราะสูลิฮี วะลัลมุอ์มินีนะ วะลีญะฮฺ วัลลอฮุเคาะบีรุม..บิมาตะอฺมะลูน


คำแปล R1.
14. Fight against them so that Allah will punish them by your hands and disgrace them and give you victory over them and heal the breasts of a believing people,
15. And remove the anger of their (believers') hearts. Allah accepts the repentance of whom He wills. Allah is All-Knowing, All-Wise.
16. Do you think that you shall be left alone while Allah has not yet tested those among you who have striven hard and fought and have not taken Walijah  (Batanah - helpers, advisors and consultants from disbelievers, pagans, etc.) giving openly to them their secrets] besides Allah and His messenger, and the believers. Allah is Well-Acquainted with what you do.


คำแปล R2.
14. เจ้าทั้งหลายจงทำศึกกับพวกนั้นเถิด แน่นอนอัลเลาะฮฺจะทรงลงโทษพวกเขาด้วยมือของพวกเจ้าและพระองค์จะทำให้พวกเขาอัปยศและทรงช่วยเหลือพวกเจ้าให้มีชัยชนะเหนือพวกเขา และพระองค์ทรงบำบัด(ความทุกข์ตรมใน)หัวอกของกลุ่มชนที่มีศรัทธา
15. และพระองค์จะทรงขจัดความเคียดแค้นในหัวใจของพวกเขา(ที่ตั้งตนเป็นศัตรู)และอัลเลาะฮฺทรงรับการสารภาพผิดแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่งอีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง
16. หรือพวกเจ้าทั้งหลายคิดว่าพวกเจ้าถูก(อัลเลาะฮฺ)ทอดทิ้ง? ในขณะที่อัลเลาะฮฺยังไม่ได้จำแนกให้รู้ชัดลงไปแก่บรรดาผู้ทำการต่อสู้ในกลุ่มพวกเจ้า และพวกเขามิได้ยึดเอา(ผู้หนึ่งผู้ใด)นอกเหนือจากอัลเลาะฮฺและศาสนทูต และบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายขึ้นมาเป็นพันธมิตร และอัลเลาะฮฺทรงตระหนักในสิ่งที่พวกเจ้าประพฤติ


คำแปล R3.
14. จงต่อสู้พวกเขา อัลลอฮฺจะทรงลงโทษพวกเขาด้วยมือของสูเจ้าและจะนำความอัปยศมาให้พวกเขาและจะทรงช่วยเหลือสูเจ้าต่อต้านพวกเขาและจะทำให้หัวใจของบรรดาผู้ศรัทธาพ้นทุกข์
15. และพระองค์จะทรงขจัดความโกรธของหัวใจของพวกเขาและจะทรงแสดงหนทางไปสู่การกลับตัวแก่บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ
16. สูเจ้าคิดหรือว่าสูเจ้าจะถูกปล่อยไว้ (โดยไม่ถูกทดสอบ) ? จงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮฺยังไม่ทรงเห็นว่าสูเจ้าคนใดใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุด (ในหนทางของพระองค์) และไม่ได้เอาผู้อื่นนอกจากอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์และบรรดาผู้ศรัทธามาเป็นสหายและอัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงสิ่งที่สูเจ้ากระทำ


คำแปล R4.
14. พวกเจ้าจงต่อสู้พวกเขาเถิด อัลลอฮฺ จะได้ทรงลงโทษพวกเขาด้วยมือของพวกเจ้า และจะได้ทรงหยามพวกเขา และจะได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าให้ได้รับชัยชนะเหนือพวกเขา และจะได้ทรงบำบัดหัวอกของกลุ่มชนที่ศรัทธาทั้งหลาย
15. และจะได้ทรงให้หมดไปซึ่งความกริ้วโกรธแห่งหัวใจของพวกเขา และอัลลอฮฺนั้นจะทรงอภัยโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺ คือผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
16. หรือพวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะถูกปล่อยไว้โดยที่อัลลอฮฺยังมิได้ทรงรู้ บรรดาผู้ที่ต่อสู้ในหมู่พวกเจ้า และมิได้ยึดถือเพื่อนสนิทอื่นจากอัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ และอื่นจากผู้ศรัทธาทั้งหลาย และอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้อย่างละเอียดในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ


คำแปล R5.
๑๔. พวกเจ้าจงทำศึกกับพวกกาฟิรเหล่านั้นเถิด อัลเลาะห์นั้นจะทรงลงทัณฑ์ฆ่าพวกเหล่านั้นด้วยฝีมือของพวกเจ้าเอง ทั้งพระองค์จะทรงให้พวกเหล่านั้นตกต่ำด้วยการถูกจับเป็นเชลยและอยู่ใต้อิทธิพลพระองค์ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าให้มีชัยเหนือพวกเหล่านั้น และพระองค์จะทรงผ่อนคลายความเดือดร้อนวุ่นวายจากหัวอกของปวงชนพวกคุซาอะห์ผู้ศรัทธาให้พ้นจากพฤติการณ์อันได้รับจากพวกกาฟิรอีกด้วย
๑๕. แล้วพระองค์จะทรงเปลื้องความเศร้าหมองในจิตใจของพวกคุซาอะห์เหล่านั้น และอีกอัลเลาะห์จะทรงรับซึ่งคำสารภาพผิดที่หันกลับมาสู่ศาสนาอิสลาม ตามที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์ มีอบูซุฟยานเป็นอาทิ และว่าอัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์รู้ยิ่งซึ่งการกระทำทั้งหลายทั้งปวงของบรรดาผู้เป็นข้าแห่งอัลเลาะห์ ทรงประณีตโดยเด็ดขาดยิ่งในกิจสร้างสรรค์ทั้งปวงของพระองค์
๑๖. โอ้พวกมุอ์มิน ไม่สมควรพวกเจ้านึกคิดว่าพวกเจ้าจะถูกอัลเลาะห์ทรงงดเว้นโดยที่อัลเลาะห์นั้นยังไม่รู้เลยว่าในหมู่พวกเจ้ามีการแบ่งแยกออกเป็นสามพวก
   พวกที่หนึ่งคือผู้ที่ทำศึกด้วยบริสุทธิ์ใจพร้อมกับไม่ยึดเอาผู้(กาฟิร) ที่หาใช่อัลเลาะห์ไม่ หาใช่พระศาสนทูตของพระองค์ไม่ และหาใช่บรรดาศรัทธาชนไม่มาเป็นสหาย พวกนี้พระองค์ทรงโปรดด้วยบัญชาให้ทำศึกสงครามเพื่อได้รับบุญกุศลอย่างใหญ่หลวง
   พวกที่สองคือพวกทำศึกด้วยความไม่สมัครใจพร้อมกับคบพวกกาฟิรไว้เป็นสหาย พวกนี้พระองค์ทรงงดเว้นด้วยไม่บังคับให้ทำสงคราม พวกนี้ไม่ได้รับซึ่งบุญกุศล
   พวกที่สามคือพวกที่ไม่สมัครทำสงคราม พวกนี้เหมือนพวกที่สอง ทรงงดเว้นและไม่ได้รับบุญกุศลเหมือนพวกที่สอง และโดยพระองค์ทรงรู้ว่า แท้จริงพวกเจ้านั้นแยกกันเป็นสามพวก การนึกคิดของพวกเจ้าที่ว่าพระองค์ทรงงดเว้นพวกเจ้าแล้วนั้นย่อมไม่สมควรสำหรับพวกที่หนึ่ง แต่สมควรสำหรับพวกที่สองและที่สาม ด้วยอัลเลาะห์นั้นทรงรู้เท่าทันในพฤติการณ์ที่พวกเจ้ากระทำอยู่ แล้วพระองค์จะทรงตอบสนองตามพฤติการณ์นั้นของพวกเจ้าด้วย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 17 - 20


คำอ่าน
17. มากานะลิลมุชริกีนะอัย..ยะอฺมุรูมะสาญิดัลลอฮิ ชาฮิดีนะอะลา..อัน..ฟุสิฮิม..บิลกุฟริ อุลา...อิกะหะบิฏ็อต อะอฺมาลุฮุม วะฟิน..นาริฮุมคอลิดูน
18. อิน..นะมายะอ์มุรุมะสาญิดัลลอฮิ มันอามะนะบิลลาฮิ วัลเอยมิลอาคิริ วะอะกอมัศเศาะลาตะ วะอาตัซซะกาตะ วะลัมยัคชะอิลลัลลอฮะ ฟะอะสา..อุลา...อิกะ อัย..ยะกูนู มินัลมุฮฺตะดีน
19. อะญะอัลตุมสิกอยะตัลหา..จญิ วะอิมาเราะตัลมัสญิดิลหะรอมิ กะมันอามะนะบิลลาฮิ วัลเยามิลอาคิริ วะญาฮะดะฟีสะบีลิลลาฮฺ ลายัสตะวูนะอิน..ดัลลอฮฺ วัลลอฮุลายะฮฺดิลก็อวมัซซอลิมีน
20. อัลละซีนะอามะนูวะฮาญะรู วะญาฮะดูฟีสะบีลิลลาฮิ บิอัมวาลิฮิม วะอัน..ฟุสิฮิม อะอฺละมุดะเราะญะตัน อิน..ดัลลอฮฺ วะอุลา...อิกะฮุมุลฟา...อิซูน


คำแปล R1.
17. It is not for the Mushrikun (polytheists, idolaters, pagans, disbelievers in the Oneness of Allah), to maintain the Mosques of Allah (i.e. to pray and worship Allah therein, to look after their cleanliness and their building, etc.), while they witness against their own selves of disbelief. The works of such are in vain and in Fire shall they abide.
18. The Mosques of Allah shall be maintained only by those who believe in Allah and the Last Day; perform As-Salat (Iqamat-as-Salat), and give Zakat and fear none but Allah. It is they who are expected to be on true guidance.
19. Do you consider the providing of drinking water to the pilgrims and the maintenance of Al-Masjid-al-Haram (at Makkah) as equal to the worth of those who believe in Allah and the Last Day, and strive hard and fight in the Cause of Allah? They are not equal before Allah. And Allah guides not those people who are the Zalimun (polytheists and wrong-doers).
20. Those who believed (in the Oneness of Allah - Islamic Monotheism) and emigrated and strove hard and fought in Allah's Cause with their wealth and their lives are far higher in degree with Allah. They are the successful.


คำแปล R2.
17. ไม่มีเลยที่พวกตั้งภาคีทั้งหลาย จะทำการพัฒนาบรรดามัสยิดของอัลเลาะฮฺ เมื่อพวกเขายังยืนยันต่อตนเองในความเนรคุณ พวกเหล่านั้นบรรดาผลงานของพวกเขาได้มลายสูญสิ้นไปแล้ว และพวกเขาต้องเข้าประจำอยู่ในนรกชั่วนิจนิรันดร
18. อันที่จริงที่จะทำการพัฒนาบรรดามัสยิดแห่งอัลเลาะฮฺ ก็มีเพียงผู้ที่ศรัทธาในอัลเลาะฮฺและวันสุดท้าย อีกทั้งดำรงการละหมาด บริจาคซะกาต และพวกเขาไม่กลัว(ผู้ใดทั้งสิ้น)นอกจากอัลเลาะฮฺ ดังนั้นหวังได้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้หนึ่งในกลุ่มชนที่ได้รับการชี้นำ
19. หรือพวกเจ้าจะถือเอา(เพียง)การบริการน้ำแก่ผู้บำเพ็ญฮัจย์และการส่งเสริมมัสยิดอัลหะรอมเหมือนกับผู้ที่ศรัทธาในอัลเลาะฮฺและวันสุดท้าย และเขาได้ต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะฮฺ แน่นอนพวกเขานั้นย่อมไม่เท่าเทียมกัน ณ อัลเลาะฮฺ และอัลเลาะฮฺไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนที่ฉ้อฉล
20. บรรดาผู้ศรัทธาและอพยพอีกทั้งต่อสู้ในวิถีทางของอัลเลาะฮฺทั้งด้วยทรัพย์สินและชีวิตของพวกเขา ย่อมมีฐานันดรอันยิ่งใหญ่ ณ อัลเลาะฮฺ และพวกเหล่านั้น เป็นผู้ประสบชัยชนะโดยแท้จริง


คำแปล R3.
17. พวกมุชริกไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะมาเป็นผู้ดูแลรักษามัสญิดทั้งหลายของอัลลอฮฺ ในขณะที่พวกเขายังยืนยันต่อตัวของพวกเขาเองในการปฏิเสธ ความจริงแล้ว การงานของพวกเขาทั้งหมดนั้นสูญเปล่า และพวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนรก
18. ผู้ที่คู่ควรแก่การเป็นผู้ดูแลบ้านของอัลลอฮฺก็คือผู้ที่ศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้ายและดำรงนมาซและจ่ายซะกาตและไม่กลัวผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ เพราะคนเหล่านี้เท่านั้นที่จะปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง
19. สูเจ้าถือว่า เพียงแค่การให้น้ำดื่มแก่ผู้ทำฮัจญ์และการดูแลมัสญิดหะรอมเท่าเทียมกับการงานของผู้ที่ศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้ายและดิ้นรนต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮิกระนั้นหรือ? สิ่งเหล่านี้ไม่เท่ากันในสายตาของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺไม่ทรงแสดงทางนำแก่หมู่ชนผู้อธรรม
20. บรรดาผู้ศรัทธาและอพยพและดิ้นรนต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺด้วยทรัพย์สินและชีวิตของพวกเขานั้นจะมีฐานะที่สูงส่งที่สุดในทัศนะของอัลลอฮฺ และพวกเขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง


คำแปล R4.
17. ไม่บังควรแก่มุชริกทั้งหลายที่จะบูรณะบรรดามัสยิดของอัลลอฮฺ ในฐานะที่พวกเขายืนยันแก่ตัวของพวกเขาเองแล้ว ซึ่งการปฏิเสธศรัทธา ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล และในนรกนั้นพวกเขาจะอยู่ตลอดกาล
18. แท้จริงที่จะบูรณะบรรดามัสยิดของอัลลอฮฺนั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลก และได้ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาต และเขามิได้ยำเกรงนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น ดังนั้นจึงหวังได้ว่า ชนเหล่านี้แหละจะเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้รับคำแนะนำ
19. พวกเจ้าได้ถือเอาการให้น้ำดื่มแก่ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ และการบูรณะมัสยิดอัล-ฮะรอมดั่งผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลก และต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺกระนั้นหรือ ? เขาเหล่านั้นย่อมไม่เท่าเทียมกัน ณ ที่อัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่เป็นผู้อธรรม
20. บรรดาผู้ที่ศรัทธา และอพยพและต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺทั้งด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขาและชีวิตของพวกเขานั้นย่อมเป็นผู้มีระดับชั้นยิ่งใหญ่กว่า ณ ที่อัลลอฮฺ และชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้มีชัยชนะ


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ มีอยู่ว่า มีชนกลุ่มหนึ่งจากชนชั้นผู้นำอาหรับเผ่ากุรอยช์ถูกจับเป็นเชลยศึกในครั้งทำศึกที่สมรภูมิบัดร์ อัล-อับบ๊าซ (บุตรอับดุลมุฏฏอลิบ) ซึ่งเป็นลูกเรียงพี่เรียงน้องกับพระศาสดามุฮำมัดก็เป็นคนหนึ่งในกลุ่มชนที่ว่านั้น ครั้นได้มีชนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นพระสหายของพระศาสดามุฮำมัดเผชิญหน้ากับชนกลุ่มนี้ ชนกลุ่มนั้นพูดจาตำหนิปวงชนเหล่านั้นว่าเป็นพวกมุชริก(ผู้ถือภาคี) ฝ่ายอลี บุตรฏอลิบก็เอ่ยตำหนิอัลอับบ๊าซเหตุที่ไปทำศึกกับพระนบีฯ และตัดสัมพันธ์ทางญาติกับพระนบีฯ อัล-อับบ๊าซตอบว่า ทำไมเล่าพวกท่านจึงได้กล่าวถึงความชั่วของเรา ไม่กล่าวถึงความดีของเราเลย อัล-อับบ๊าซถูกถามว่า แล้วท่านมัอะไรดีล่ะ? อัล-อับบ๊าซตอบว่า เรามีความดีเด่นกว่าพวกท่านมากนัก ก็พวกเราสร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่มัสยิดอัล-หะรอมและเป็นผู้รับใช้ดูแลวิหารอัล-กะอ์บะห์ไงเล่า ทั้งเรายังได้บริการแจกจ่ายน้ำแก่พวกประกอบพิธีฮัจย์ ยิ่งกว่านั้นเรายังได้ไถ่ตัวพวกเชลยศึก จึงมีโองการประทานลงมาว่า
๑๗. มิได้เลยพวกที่ถือภาคี(มุชริก) จะส่งเสริมบรรดามัสยิดแห่งอัลเลาะห์ด้วยการเข้าไปหรือนั่งอยู่ ทั้งที่ตนเองก็รู้อยู่ว่าตนนั้นมิได้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ถ้ากาฟิรคนใดเข้าสู่มัสยิดโดยมิได้รับอนุญาตจากมุสลิมเสียก่อน ย่อมถือว่าต้องถูกประจานให้อับอาย แต่ในกรณีมีกิจธุระที่กาฟิรจะต้องเข้าสู่มัสยิดและโดยได้รับอนุญาตจากมุสลิมแล้ว ก็ไม่กระไร จึงตราเป็นกฎไว้ว่าที่จะอนุญาตให้คนกาฟิรเข้าสู่มัสยิดได้นั้น จะต้องได้รับอนุมัติและมีกิจธุระ แล้วพวกกาฟิรเหล่านั้นแหละ กิจปฏิบัติต่าง ๆ ที่ดีงามของพวกเขาย่อมสูญสลายหาบุญกุศลมิได้ เนื่องจากขาดสภาพความเป็นมุสลิม และพวกเหล่านั้นย่อมอยู่ดำรงถาวรในขุมนรกตลอดกาล โดยไม่มีวันได้รับการปลดปล่อยและไม่ตาย
๑๘. ย่อมจะส่งเสริมบรรดามัสยิดแห่งอัลเลาะห์ได้ไม่ว่าจะเป็นมัสยิดอัล-หะรอม หรือมัสยิดอื่นใด จะโดยสร้างใหม่ บูรณะ ตกแต่ง ตามไฟให้แสงสว่าง รักษาความสะอาดหรือปูลาดด้วยผ้าก็ดี หรือเข้าปฏิบัติละหมาด ๕ เวลาเป็นประจำ หรืองดการเจรจาเรื่องโลกธรรมในมัสยิดก็ดี ต่าง ๆ นี้เฉพาะผู้ที่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์และต่อวันปรภพและผู้ดำรงละหมาดและผู้จำหน่ายทรัพย์ส่วนหนึ่งเป็นซะกาต โดยไม่หวั่นเกรงผู้ใดนอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น ทั้งนี้เป็นที่หวังว่าพวกเหล่านั้นจักเป็นส่วนหนึ่งจากพวกได้รับหนทางนำสู่วิถีอันเที่ยงตรง คือศาสนาอิสลาม
๑๙. โอ้อัล-อับบ๊าซกับบรรดาผู้เป็นกาฟิรไม่สมควรที่พวกเจ้าจะถือว่าผู้ที่เพียงแต่บริการน้ำแก่บรรดาผู้ทำฮัจย์และผู้ส่งเสริมมัสยิดอัล-หะรอมนั้นเหมือนกับผู้ที่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์และวันปรภพ และผู้ที่ทำศึกสงครามในวิถีแห่งศาสนาของอัลเลาะห์ พวกเหล่านั้นทั้งสองฝ่ายหาได้มีเกียรติเท่าเทียมกันไม่ตามทัศนะการตัดสินของอัลเลาะห์ ส่วนอัลเลาะห์นั้นมิได้ทรงชี้หนทางนำที่เที่ยงตรงแก่พวกกาฟิรเลย
๒๐. บรรดาชนผู้ศรัทธา ผู้ที่พลัดถิ่นจากนครมักกะห์สู่นครมดีนะห์ และที่ได้ทำศึกในวิถีทางแห่งศาสนาของอัลเลาะห์ ด้วยทรัพย์สินของพวกตนและร่างกายของพวกตนนั้น พวกเหล่านั้นย่อมได้ตำแหน่งใกล้ชิดอัลเลาะห์ยิ่งกว่าพวกกาฟิรที่จัดเลี้ยงน้ำผู้ทำฮัจย์และผู้ทำนุบำรุงมัสยิดอัล-หะรอม และยิ่งใหญ่กว่าพวกมุอ์มินที่ไม่มีคุณสมบัติ ๓ อย่างคือ เป็นผู้ศรัทธา ผู้อพยพลี้ภัยและที่ทำศึกสงคราม พวกเหล่านั้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสามประการดังกล่าวคือพวกที่มีชัยด้วยความดี


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 21 - 22


คำอ่าน
21. ยุบัชชิรุฮุม ร็อบบุฮุม..บิเราะหฺมะติม..มินฮุ วะริฎวานิว..ญัน..นาติลละฮุมฟีฮานะอีมุม..มุกีม
22. คอลิดีนะ ฟีฮา..อะบะดา อิน..นัลลอฮะอิน..ดะฮู..อัจญรุนอะซีม


คำแปล R1.
21. Their Lord gives them glad tidings of a Mercy from him, and that He is pleased (with them), and of Gardens (Paradise) for them wherein are everlasting delights.
22. They will dwell therein forever. Verily, with Allah is a great reward.


คำแปล R2.
21. องค์อภิบาลของพวกเขาทรงยังความปีติแก่พวกเขาด้วย(การประทาน)ความเมตตาจากพระองค์ ความพึงพระทัยและบรรดาสวรรค์ให้แก่พวกเขา ซึ่งในนั้นมีสิ่งอำนวยสุขอันจีรัง
22. พวกเขาเข้าประจำอยู่ในนั้นโดยนิรันดร์ แท้จริงอัลเลาะฮฺ ณ ที่พระองค์นั้นมีรางวัลอันยิ่งใหญ่นัก

 
คำแปล R3.
21. พระผู้อภิบาลของพวกเขาทรงแจ้งข่าวดีแก่พวกเขาถึงความเมตตาจากพระองค์และความปีติยินดีของพระองค์และสวนสวรรค์ซึ่งในนั้นคือความโปรดปรานอันจีรังสำหรับพวกเขา
22. ภายในนั้นพวกเขาจะได้พำนักอยู่กาลนาน แน่นอน อัลลอฮฺทรงมีรางวัลอันมากมายที่จะตอบแทนความดี


คำแปล R4.
21. พระเจ้าของพวกเขาทรงแจ้งข่าวดีแก่พวกเขาด้วยความกรุณาเมตตาจากพระองค์ และด้วยความปีติยินดี และบรรดาสวนสวรรค์ด้วย ซึ่งในสวนสวรรค์เหล่านั้น พวกเขาจะได้รับสิ่งอำนวยความสุขอันจีรังยั่งยืน
22. โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาล แท้จริงอัลลอฮฺนั้น ณ ที่พระองค์มีรางวัลอันยิ่งใหญ่


คำแปล R5.
๒๑. องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเหล่านั้นทรงให้พวกเหล่านั้นได้ชื่นชมอยู่กับความโปรดปรานีจากพระองค์ ตลอดทั้งความยินดีและสรวงสวรรค์ ซึ่งภายในนั้นพวกเขาย่อมได้รับความผาสุกยั่งยืน
๒๒. โดยพวกเหล่านั้นสถิตถาวรอยู่ ณ ที่สรวงสวรรค์แห่งนั้นชั่วนิรันดร์ เพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงมีบุญกุศลเป็นผลสนองที่ใหญ่หลวงเตรียมอยู่แล้วที่พระองค์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 23 - 24


คำอ่าน
23. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลาตัตตะคิซู..อาบา...อะกุม วะอิควานะกุม เอาลิยา...อะ อินิสตะหับบุลกุฟเราะ อะลัลอีมาน วะมัย..ยะตะวัลละฮุม..มิน..กุม ฟะอุลา..อิกะฮุมุซซอลิมูน
24. กุลอิน..กานะอาบา...อุกุม วะอับนา...อุกุม วะอิควานุกุม วะอัซวาญุกุม วะอะชีเราะตุกุม..วะอัมวาลุ นิกตะร็อฟตุมูฮา วะติญาเราะตุน..ตัคเชานะกะสาดะฮา วะมะสากินะตัรฺฎ็อวนะฮา..อะหับบะอิลัยกุม..มินัลลอฮฺ วะเราะสูลิฮี วะญิฮาดิน..ฟีสะบีลิฮี ฟะตะร็อบบะศู หัตตายะอ์ติยัลลอฮุบิอัมริฮฺ วัลลอฮุลายะฮฺดิลก็อวมัลฟาสิกีน


คำแปล R1.
23. O you who believe! Take not for Auliya' (supporters and helpers) your fathers and your brothers if they prefer disbelief to belief. And whoever of you does so, then he is one of the Zalimun (wrong-doers, etc.).
24. Say: if your fathers, your sons, your brothers, your wives, your kindred, the wealth that you have gained, the commerce in which you fear a decline, and the dwellings in which you delight are dearer to you than Allah and His messenger, and striving hard and fighting in his Cause , then wait until Allah brings about his decision (torment). And Allah guides not the people who are Al-Fasiqun (the rebellious, disobedient to Allah).


คำแปล R2.
23. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! เจ้าทั้งหลายจงอย่ายึดเอาบรรพบุรุษและบรรดาเครือญาติของพวกเจ้าเป็นผู้คุ้มครอง ทั้งนี้หากพวกนั้นรักที่จะเนรคุณมากกว่าการศรัทธา และผู้ใดจากพวกเจ้ายึดพวกนั้นมาเป็นผู้คุ้มครอง แน่นอนพวกเขาเป็นผู้ฉ้อฉลโดยแท้จริง
23. จงประกาศเถิด หากบรรพบุรุษของพวกเจ้า, ลูก ๆ ของพวกเจ้า, พี่น้องของพวกเจ้า, คู่ครองของพวกเจ้า, วงศ์ญาติของพวกเจ้า, ทรัพย์สินของที่เจ้าได้ขวนขวายไว้, การค้าขายที่พวกเจ้ากลัวจะล่มจม และบรรดาที่อยู่อาศัยที่พวกเจ้าพึงพอใจมัน ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่พวกเจ้ารักมันยิ่งกว่าอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์และยิ่งกว่าการสู้ศึกในทางของพระองค์ ดังนั้นพวกเจ้าก็จงรอไปก่อนเถิด จนกว่าอัลเลาะห์จะส่งการงาน (การลงโทษ) ของพระองค์มา (ประสบแก่พวกเจ้า) และอัลลอฮิย่อมไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนที่บิดพริ้วแน่นอน


คำแปล R3.
23. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่าเอาพ่อและพี่น้องของสูเจ้าเป็นพันธมิตรถ้าพวกเขารักการปฏิเสธมากกว่าการศรัทธา เพราะผู้ใดก็ตามในหมู่สูเจ้าเอาพวกเขามาเป็นพันธมิตร แน่นอนพวกเขาจะเป็นผู้สร้างความอธรรม
24. โอ้ นบี จงบอกพวกเขาเถิดว่า “ถ้าพ่อ ๆ และลูก ๆ ของสูเจ้า และพี่น้องอขงสูเจ้าและภรรยาของสูเจ้าและญาติสนิทของสูเจ้าและทรัพย์สินที่สูเจ้าหามาได้และการค้าที่สูเจ้าเกรงกลัวว่ามันจะซบเซาและบ้านที่สูเจ้าพึงใจ หากสิ่งเหล่านี้เป็นที่รักของสูเจ้ายิ่งกว่าอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์และการต่อสู้ในหนทางของพระองค์แล้วละก็ จงคอยจนกว่าอัลลอฮฺจะนำการตัดสินของพระองค์มายังสูเจ้า เพราะอัลลอฮิไม่ทรงนำทางหมู่ชนที่ทำความชั่ว


คำแปล R4.
23. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ถือเอาบิดาของพวกเจ้า และพี่น้องของพวกเจ้าเป็นมิตร หากพวกเขาชอบการปฏิเสธศรัทธาเหนือการอีมาน และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าให้พวกเขาเป็นมิตรแล้ว ชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้อธรรม
24. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า หากบรรดาบิดาของพวกเจ้า และบรรดาลูก ๆ ของพวกเจ้า และบรรดาพี่น้องของพวกเจ้า และบรรดาคู่ครองของพวกเจ้า และบรรดาญาติของพวกเจ้า และบรรดาทรัพย์สมบัติที่พวกเจ้าแสวงหาไว้ และสินค้าที่พวกเจ้ากลัวว่าจะจำหน่ายมันไม่ออก และบรรดาที่อยู่อาศัยที่พวกเจ้าพึงพอใจมันนั้น เป็นที่รักใคร่แก่พวกเจ้ายิ่งกว่าอัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ และการต่อสู้ในทางของพระองค์แล้วไซร้ ก็จงรอคอยกันเถิดจนกว่าอัลลอฮฺ จะทรงนำมาซึ่งกำลังของพระองค์ และอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงนำทางแก่กลุ่มชนที่ละเมิด


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้
ได้มีบุคคลที่ไม่ยอมละทิ้งถิ่นฐานอพยพจากนครมักกะห์ไปยังนครมดีนะห์ เพราะมัวพะวงห่วงครอบครัว วงศ์ญาติ ปศุสัตว์ และสินค้าของพวกตน จึงมีโองการประทานลงมาว่า

๒๓. โอ้บรรดาชนผู้ศรัทธา พวกเจ้าอย่าได้ถือเอาบรรพบุรุษของพวกเจ้าและบรรดาวงศ์ญาติของพวกเจ้าเป็นที่รักใคร่เลย หากว่าพวกเหล่านั้นรวมทั้งบรรพบุรุษและวงศ์ญาติของพวกเจ้าเห็นชอบจะเลือกถือความไร้ศรัทธาเหนือกว่าความศรัทธา แล้วถ้าผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเป็นมิตรรักใคร่กับพวกบรรพบุรุษและวงศ์ญาติเหล่านั้น พวกเขานั่นแหละคือพวกที่คดโกงตัวเองด้วยการขัดพระบัญชาของอัลเลาะห์ และเลือกเอาความไร้ศรัทธา
๒๔. โอ้ มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิดแก่บรรดาปวงชนผู้ศรัทธาว่า ถ้าแม้บรรพบุรุษของพวกเจ้า บรรดาลูกหลานของพวกเจ้า วงศ์ญาติของพวกเจ้า เหล่าภรรยาของพวกเจ้า พรรคพวกของพวกเจ้า ตลอดทั้งทรัพย์สินที่พวกเจ้าหามาได้ และสินค้าที่พวกเจ้ากลัวจำหน่ายยาก ทั้งเคหสถานที่พวกเจ้าชื่นชมซึ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นที่โปรดปรานสำหรับพวกเจ้ายิ่งกว่าอัลเลาะห์ ยิ่งกว่ามุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์ และยิ่งกว่าการทำศึกในวิถีทางศาสนาของพระองค์ โดยพวกเจ้าไม่ยอมออกไปทำศึกเพราะห่วงสิ่งทั้ง ๘ อย่างนั้นแล้วไซร้ ก็ให้พวกเจ้าคอยเถิดจนกว่าอัลเลาะห์จะทรงนำมาซึ่งโทษจากพระองค์ ฝ่ายอัลเลาะห์นั้นไม่ทรงชี้หนทางนำอันเที่ยงตรงแก่พวกละเมิดเลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 25 - 27


คำอ่าน
25. ละก็อดนะเศาะเราะกุมุลลอฮุ ฟีมะวาฏินะ กะษีเราะติว..วะเยามะหุนัยนิน อิซอะอฺญะบัตกุม กัษเราะนุกุม ฟะลัมตุฆนิอัน..กุมชัยเอา..วะฎอก็อดอะลัยกุมุลอัรฺฎุ บิมาเราะหุบัต ษุม..มะวัลลัยตุม..มุดบิรีน
26. ษุม..มะอัน..ซะลัลลอฮุ สะกีนะตะฮูอะลาเราะสูลิฮี วะอะลัลมุอ์มินีนะ วะอัน..ซะละญุนูดัล ลัมตะร็อวฮา วะอัซซะบัลละซีนะกะฟะรู วะซาลิกะญะซา...อุลกาฟิรีน
27. ษุม..มะยะตูบุลลอฮุ มิม..บะอฺดิซาลิกะ อะลามัย..ยะชา...อ์ วัลลอฮุเฆาะฟูรุรฺเราะหีม


คำแปล R1.
25. Truly Allah has given you victory on many battle fields, and on the day of Hunain (battle) when you rejoiced at your great number but it availed you naught and the earth, vast as it is, was straitened for you, then you turned back in flight.
26. Then Allah did send down his Sakinah (calmness, tranquility and reassurance, etc.) on the messenger (Muhammad), and on the believers, and sent down forces (angels) which you saw not, and punished the disbelievers. Such is the recompense of disbelievers.
27. Then after that Allah will accept the repentance of whom He will. And Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.


คำแปล R2.
25.ที่จริงแล้วอัลเลาะฮฺทรงให้การช่วยเหลือพวกเจ้าในถิ่นฐาน(สนามรบ)อันมากหลาย(ให้ได้ชัยชนะในการรบ)แต่ในวัน(ทำศึก)หุนัยน์(อยู่ระหว่างมักกะฮฺกับฏออิฟ)ขณะที่พวกเจ้ารู้สึกลำพองต่อจำนวนอันมากมายของพวกเจ้า แต่แล้วก็ไม่สามารถป้องกันพวกเจ้าได้สักสิ่งเดียว (เพราะกองท้พมุสลิมถูกโจมตีและล่าถอยในที่สุด) และแผ่นดินก็คับแคบแก่พวกเจ้าทั้ง ๆ ที่มันเคยกว้างขวาง หลังจากนั้น พวกเจ้าก็ถอยหลังหนี(แตกทัพ)
26. หลังจากนั้นอัลลอฮิได้ทรงประทานความสงบมั่นของพระองค์แก่ศาสนทูตของพระองค์และแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งมวล และทรงส่งลงมาซึ่งบรรดากองทัพ(มลาอิกะฮฺ)ที่พวกเจ้ามองไม่เห็น และพระองค์ทรงลงโทษแก่บรรดาผู้เนรคุณ และมันเป็นการตอบสนองแก่บรรดาผู้เนรคุณทั้งปวง
27. หลังจากนั้น อัลเลาะฮฺทรงรับการสารภาพผิดภายหลังจากนั้น จากบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง


คำแปล R3.
25. อัลลอฮฺได้ทรงช่วยเหลือสูเจ้ามาหลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ (เมื่อเร็ว ๆ นี้สูเจ้าก็ได้เห็นชัยชนะจากความช่วยเหลือของพระองค์) ในวันแห่งสงครามหุนัยน์ สูเจ้ากระหยิ่มในจำนวนคนของสูเจ้าที่มากกว่า แต่มันก็ช่วยอะรสูเจ้าไม่ได้เลย แม้แผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลก็กลับกลายเป็นแคบไปสำหรับสูเจ้า แล้วสูเจ้าก็หันกลับเป็นผู้ถอยหนี
26. แล้วอัลลอฮฺได้ส่งความสงบสุขลงมายังรอซูลของพระองค์และยังบรรดาผู้ศรัทธา และได้ทรงประทานไพร่พลที่สูเจ้ามองไม่เห็น(มาช่วยสูเจ้า) และทรงลงโทษบรรดาผู้ปฏิเสธสัจธรรม เพราะนี่คือการตอบแทนที่ผู้ปฏิเสธสมควรจะได้รับ
27. แล้ว (สูเจ้าก็ได้เห็นว่า) หลังจากการลงโทษเช่นนั้น อัลลอฮิก็ได้ทรงทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์สำนึกผิด และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R4.
25. “แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าแล้วในสนามรบอันมากมาย และในวันแห่งสงครามฮุนัยน์ด้วย ขณะที่การมีจำนวนมากของพวกเจ้าทำให้พวกเจ้าพึงใจ แล้วมันก็มิได้อำนวยประโยชน์แก่พวกเจ้าแต่อย่างใด และแผ่นดินก็แคบแก่พวกเจ้าทั้ง ๆ ที่มันกว้างอยู่ แล้วพวกเจ้าก็หันหลังหนี
26. และอัลลอฮฺก็ได้ทรงประทานลงมาซึ่งความสงบใจจากพระองค์แก่รอซูลของพระองค์และแก่บรรดาผู้ศรัทธาเหล่านั้น และได้ทรงให้ไพร่พลลงมา ซึ่งพวกเจ้าไม่เห็นพวกเขา และได้ทรงลงโทษบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นและนั่นคือการตอบแทนแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
27. และพระองค์ก็ทรงอภัยโทษหลังจากนั้นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตา


คำแปล R5.
๒๕. ขอให้สัตย์ปฏิญาณไว้ด้วยว่าแท้จริงอัลเลาะห์ได้ทรงช่วยพวกเจ้าในหลายท้องถิ่นที่ทำศึกสงคราม เช่น การทำศึกที่บัดร์ สงครามของพวกก็รีเฏาะห์และสงครามของพวกนะดีร และโดยเฉพาะพวกเจ้าจงระลึกในวันทำสงครามที่หุไนน์(คือที่ราบระหว่างนครมักกะห์กับฏออิฟ) ซึ่งพวกเจ้าทำศึกกับพวกหะวาซิน ณ เดือนเชาวาล ปีที่ ๘ วันซึ่งความมัมากมายของพวกเจ้ายังความฉงนแก่พวกเจ้าพวกเจ้ากล่าวว่าพวกเรามีรี้พลมากถึงหนึ่งหมื่นสองพันคน จะพ่ายแพ้พวกท่านฝ่ายกาฟิรเพียงสี่พันคนมิได้ แต่ความมีมากมายของพวกเจ้านั้นมันก็ไม่เพียงพอที่จะคุ้มกันพวกเจ้าเลยแม้สักน้อย แผ่นดินเล่าก็แคบลงแก่พวกเจ้าทั้งที่มันเคยกว้างพอทั้งพวกเจ้าจะไม่พบเจอที่ใดซึ่วสงบปลอดภัยเลย เพราะความหวาดกลัวอย่างรุนแรงเกิดมีขึ้นกับพวกเจ้า ครั้นแล้วพวกเจ้าต่างถอยหลังหนีซึ่งเป็นการยอมแพ้ ปล่อยให้พระศาสดามุฮำมัดนั่งอยู่บนหลังลาขาวของท่านแต่เพียงบคนเดียวโดยมี อัล-อับบ๊าซเท่านั้นอยู่ร่วมกับพระศาสดามุฮำมัด แล้วอัล-อับบ๊าซเป็นผู้จูงบังเหียน ถึงกระนั้นก็มีอบูซุฟยานคอยคุมอานที่มุฮำมัดนั่งอยู่
๒๖. ต่อมาอัลเลาะห์ได้ทรงมอบความสงบสุขของพระองค์ลงยังมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์และแก่พวกศรัทธาเมื่ออัล-อับบ๊าซได้รับอนุญาตจากพระศาสนทูตมุฮำมัดให้ประกาศเรียกบรรดาผู้ศรัทธาที่หันหนีจากพระศาสดามุฮำมัดไป พวกเหล่านั้นก็กลับมาสู่พระศาสดามุฮำมัดอีก แล้วเข้าร่วมทำศึกสงครามต่อไป พระองค์จึงได้ส่งเหล่าทหารมลาอิกะห์ ซึ่งพวกเจ้ามองไม่เห็นลงมา ทั้งยังทรงลงโทษบรรดาผู้เป็นกาฟิรด้วยการฆ่าและจับไว้เป็นเชลยอีกด้วย ก็การฆ่าและการจับเป็นเชลยนั้นแหละเป็นผลตอบแทนแก่พวกกาฟิร
๒๗. แล้วหลังจากที่ทรงลงโทษพวกกาฟินนั้นพระองค์ก็ทรงรับรองซึ่งคำสารภาพผิดผู้ที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์โดยการมาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม อัลเลาะห์ทรงเป็นองค์อภัยยิ่งต่อพวกศรัทธาทรงโปรดปรานียิ่งต่อพวกเหล่านั้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 28 - 29


คำอ่าน
28. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู..อิน..นะมัลมุชริกูนะ นะญะสุน..ฟะลายักเราะบุลมัสญิดัลหะรอมะ บะอฺดะอามิฮิมฮาซา วะอินคิฟตุมอัยละตัน..ฟะเสาฟะยุฆนีกุมุลลอฮุ มิน..ฟัฎลิฮี..อิน..ชา...อ์ อิน..นัลลอฮะอะลีมุนหะกีม
29. กอติลุลละซีนะลายุอ์มินูนะบิลลาฮิ วะลาบิลเยามิลอาคิริ วะลายุหัรฺมูนะมายุหัรฺเราะมัลลอฮุ วะเราะสูลุฮู วะลายะดีนูนะ ดีนัลหักกิ มินัลละซีนะอูตุลกิตาบะ หัตตายุอฺฏุลญิซยะตะ อัย..ยะดิว..วะฮุมศอฆิรูน


คำแปล R1.
28. O you who believe (in Allah's Oneness and in His Messenger (Muhammad)! Verily, the Mushrikun (polytheists, pagans, idolaters, disbelievers in the Oneness of Allฟh, and รn the message of Muhammad) are Najasun (impure) . So let them not come near Al-Masjid-al-Haram (at Makkah) after this year, and if you fear poverty, Allah will enrich you if He will, out of his Bounty. surely, Allah is All-Knowing, All-Wise.
29. Fight against those who (1) believe not in Allah, (2) nor in the Last Day, (3) nor forbid that which has been forbidden by Allah and His Messenger (4) and those who acknowledge not the Religion of Truth (i.e. Islam) among the people of the Scripture (Jews and Christians), until they pay the Jizyah with willing submission, and feel themselves subdued.


คำแปล R2.
28. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! อันที่จริง(ความเชื่อถือของ)บรรดาผู้ตั้งภาคีนั้นเป็นสิ่งโสมม ดังนั้นพวกเขาจงอย่าเข้าใกล้มัสยิดอัลฮะรอม หลังจากปีนี้ของพวกเขา (คือปีที่ 9 แห่งฮิจเราะฮฺ) เป็นต้นไป และหากพวกเจ้ากลัวความยากไร้(จะประสบแก่พวกเจ้า เนื่องจากไม่ได้ทำการค้ากับพวกนั้น) แน่นอนอัลเลาะฮฺจะทรงทำให้พวกเจ้ามั่งคั่ง ด้วยความโปรดปรานของพระองค์ (โดยไม่ต้องอาศัยการค้าขายกับพวกนั้น) หากพระองค์ทรงประสงค์ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง
29. พวกเจ้าจงทำการรบเถิดกับบรรดาผู้ไม่ศรัทธากับอัลเลาะฮฺ และไม่ศรัทธากับวันสุดท้าย และพวกเขามิได้ยึดเอาสิ่งที่อัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์บัญญัติห้ามมาเป็นข้อห้าม และพวกเขามิได้นับถือศาสนาที่เที่ยงแท้ พวกเขาได้แก่บรรดาผู้ที่ได้ถูกประทานคัมภีร์(มาก่อน) จนกว่าพวกเขาจะมอบค่ารัชชูปการจากมือ(เป็นประจำทุกปี) และพวกเขายอมตน (อยู่ภายใต้ตัวบทกฎหมายทุกประการ)


คำแปล R3.
28. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกมุชริกนั้นสกปรก ดังนั้นจงอย่าให้พวกเจ้าเข้าใกล้มัสญิดหะรอม หลังจากปีนี้ของพวกเขา(ปีแห่งการทำฮัจญ์) ถ้าหากสูเจ้ากลัวความยากจน อัลลอฮฺจะทรงทำให้สูเจ้ามั่งคั่งจากความโปรดปรานของพระองค์ เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ผู้ทรงปรีชาญาณ
29. จงต่อสู้บรรดา(ชาวคัมภีร์)ผู้ไม่ศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้าย ผู้ที่ไม่ทำให้สิ่งที่อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ได้ทรงห้ามไว้เป็นที่ต้องห้าม และไม่ปฏิบัติตามแนวทางอันถูกต้อง (จนต่อสู้กับเขา)จนกระทั่งพวกเขาจ่ายญิซยะฮฺด้วยมือของพวกเขาและยอมเป็นผู้อยู่ใต้ปกครอง

 
คำแปล R4.
28. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย แท้จริงบรรดามุชริกนั้นโสมม ดังนั้นพวกเขาจงอย่าเข้าใกล้อัล-มัสยิดิลฮะรอม หลังจากปีของพวกเขานี้ และหากพวกเจ้ากลัวความยากจนอัลลอฮฺก็จะทรงให้พวกเจ้ามั่งมี จากความกรุณาของพระองค์ หากพระองค์ทรงประสงค์แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
29. พวกเจ้าจงต่อสู้บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อวันปรโลก และไม่งดเว้นสิ่งที่อัลลอฮฺและรอซูลห้ามไว้ และไม่ปฏิบัติตามศาสนาแห่งความสัจจะ อันได้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ จนกว่าพวกเขาจะจ่ายอัล-ญิซยะฮฺจากมือของพวกเขาเอง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ต่ำต้อย


คำแปล R5.
๒๘. โอ้บรรดาชนผู้ศรัทธา โดยเฉพาะพวกมุชริกนั้นหัวใจเขาเหล่านั้นย่อมโสมมหาความบริสุทธิ์ผ่องแผ้วมิได้ ทั้งนี้พวกเหล่านั้นกลั้วอยู่กับการถือภาคี ฉะนั้นจึงไม่ให้พวกมุชริกเหล่านั้นย่างใกล้อาณาเขตมัสยิดอัล-หะรอมแห่งนครมักกะห์ภายหลังปีนี้อันเป็นปีที่ ๙ แห่งฮิจเราะห์ศักราช (นับแต่พระศาสดามุฮำมัดอพยพจากนครมึกกะห์สู่นครมดีนะห์) ส่วนมัสยิดจากมัสยิดอัลหะรอม ก็ห้ามพวกกาฟิรเข้าเช่นกัน เว้นแต่จะต้องอนุญาตโดยฝ่ายมุสลิมให้เข้าไปทำกิจธุระอันไม่ขัดต่อศาสนาและถ้าพวกเจ้าเกรงว่าจะตกยากเพราะขาดสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างพวกเหล่านั้นกับพวกเจ้าแล้วไซร้ในภายหน้าอัลเลาะห์จะทรงให้พวกเจ้าร่ำรวยด้วยความอำนวยของพระองค์ หากว่าพระองค์ทรงมุ่งประสงค์แท้จริงนั้น พระองค์ทรงให้ความร่ำรวยแก่พวกนั้นด้วยความมีชัยในการสงครามและได้รับค่ารัชชูปการจากพวกยะฮูดีบ้าง และจากพวกนัซรอนีบ้าง ฝ่ายอัลเลาะห์นั้นทรงรู้ยิ่งในกิจทั้งปวงของพวกนั้นทรงประณีตยิ่งในการสร้างสรรค์ทั้งปวงของพระองค์
   เมื่อผ่านลุล่วงจากดำรัสเกี่ยวกับเรื่องราวของชาวอาหรับมุชริก นับแต่โองการที่ ๑ ถึง ๒๘ แห่งซูเราะห์นี้แล้ว พระองค์จึงได้ดำรัสถึงผู้ทรงคัมภีร์ทั้งฝ่ายยะฮูดีและนัซรอนี ดังโองการว่า
๒๙. โอ้ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงทำศึกเถิดกับบรรดาชนผู้ได้รับพระคัมภีร์ทั้งฝ่ายยะฮูดี และนัซรอนี ซึ่งมิได้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์และต่อวันปรภพ ทั้งพวกนั้นยังได้ถือว่า สิ่งที่อัลเลาะห์และมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์ตราห้าม มีสุรา เป็นต้น นั้นไม่เป็นบาป และไม่ได้นับถือศาสนาอันเที่ยงแท้ จนกว่าพวกเหล่านั้นทั้งสองฝ่าย จะจ่ายค่ารัชชูปการกับมือเองเป็นประจำปี โดยพวกเหล่านั้นยอมสยบอยู่ใต้อิทธิพล และยอมเคารพคำใช้และห้ามแห่งศาสนาอิสลาม

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 30 - 33


คำอ่าน
30. วะกอละติลยะฮูดุ อุซัยรุนิบนุลลอฮิ วะกอละติน..นะศอร็อลละติลมะสีหุบนุลลอฮฺ ซาลิกะก็อวลุฮุม..บิอัฟวาฮิฮิม ยุฎอฮิอูนะ ก็อวลัลละซีนะกะฟะรูมิน..ก็อบลุ กอตะละฮุมุลลอฮุ อัน..นายุอ์ฟะกูน
31. อิตตะเคาะซู..อะหฺบาเราะฮุม วะรุฮฺบานะฮุม อัรฺบาบัม..มิน..ดูนิลลาฮิ วัลมะสีหับนะมัรฺยัม วะมา..อุมิรู..อิลลาลิยะอฺบุดู..อิลาเหา..วาหิดา ลาอิลาฮะอิลลาฮู สุบหานะฮู อัม..มายุชริกูน
32. ยุรัดูนะ อัย..ยุฏฟิอู นูร็อลลอฮิบิอัฟวาฮิฮิม วะยะอ์บัลลอฮุ อิลลา..อัยยุติม..มะนูเราะฮู วะเลากะริฮัลกาฟิรูน
33. ฮุวัลละซี..อัรฺสะละเราะสูละฮู บิลฮุดาวะดีนิลหักกิ ลิยุซฮิเราะฮูอะลัดดีนิกุลลิฮี วะเลากะริฮัลมุชริกูน


คำแปล R1.
30. And the Jews say: 'Uzair (Ezra) is the son of Allah, and the Christians say: Messiah is the son of Allah. That is a saying from their mouths. They imitate the saying of the disbelievers of old. Allah's Curse be on them, how they are deluded away from the truth!
31. They (Jews and Christians) took their rabbis and their monks to be their lords besides Allah (by obeying them in things which they made lawful or unlawful according to their own desires without being ordered by Allah), and (they also took as their Lord) Messiah, son of Maryam (Mary), while they (Jews and Christians) were commanded [in the Taurat (Torah) and the Injeel (Gospel)] to worship none but one Ilah (God - Allah) La ilaha illa Huwa (none has the right to be worshipped but He) . Praise and glory be to him, (far above is He) from having the partners they associate (with Him)."
32. They (the disbelievers, the Jews and the Christians) want to extinguish Allah's light (with which Muhammad has been sent - Islamic Monotheism) with their mouths, but Allah will not allow except that his light should be perfected even though the Kafirun (disbelievers) hate (it).
33. It is He who has sent his Messenger (Muhammad) with guidance and the Religion of Truth (Islam), to make it superior over all religions even though theMushrikun (polytheists, pagans, idolaters, disbelievers in the Oneness of Allah) hate (it).

 
คำแปล R2.
30. และพวกยะฮูดี(ยิว)กล่าวว่า “อุซัยร์นั้นเป็นบุตรของอัลเลาะฮฺ” ส่วนพวกนะซอรอ(คริสต์)กล่าวว่า “อัลมะซีห์(นบีอีซา)เป็นบุตรของอัลเลาะฮฺ” นั้นเป็นคำพูดจากปากของพวกเขาคล้ายคลึงกับคำพูดของบรรดาผู้เนรคุณเมื่อยุคก่อน ๆ ซึ่งอัลเลาะฮฺได้ทรงทำลายล้างพวกเขาไปแล้ว ไฉนหนอพวกเขาจึงถูกบิดผัน(ออกจากการศรัทธา)?
31. พวกเหล่านั้นได้ยึดเอานักปราชญ์(พวกยิว)และนักบวช(พวกคริสต์)ของพวกเขา (เคารพยกย่องเหมือน)เป็นพระเจ้านอกเหนือจากอัลเลาะฮฺ (และพวกเขาได้ยึดเอา)อัลมะซีห์(นบีอีซา)บุตรแห่งมัรยัม (เป็นพระเจ้าด้วยเช่นกัน) ทั้ง ๆ ที่พวกเขามิได้ถูกบัญชามา(ให้ทำการนมัสการผู้ใดทั้งสิ้น)นอกจากเพื่อพวกเขาทำการนมัสการพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์(คืออัลเลาะฮฺ) พระองค์ทรงบริสุทธิ์ยิ่งนักเกินกว่าที่พวกเขาได้ตั้งภาคีไว้
32. พวกเขาปรารถนาที่จะดับรัศมี(ศาสนา)แห่งอัลเลาะฮฺ ด้วยปากของพวกเขา แต่อัเลาะฮฺทรงขัดขวางไว้(มิให้ความปรารถนาของพวกเขาสัมฤทธิ์ผลได้) นอกจากพระองค์จะทำให้รัศมีของพระองค์เต็มเปี่ยมให้จงได้ และมาดแม้นเหล่าพวกเนรคุณจะรังเกียจก็ตาม
33. พระองค์เป็นผู้ส่งศาสนทูตของพระองค์พร้อมด้วยสิ่งชี้นำ และศาสนาแห่งสัจธรรม(มาสู่ชาวโลก) ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงเชิดชูมันให้เหนือศาสนาทั้งปวงและมาดแม้นเหล่ามวลชนผู้ตั้งภาคีจะรังเกียจก็ตาม


คำแปล R3.
30. พวกยิวกล่าวว่า “อุซัยร์เป็นบุตรของอัลลอฮฺ” และพวกคริสเตียนก็กล่าวว่า “มะซีฮฺเป็นบุตรของอัลลอฮฺ” นั่นเป็นการกล่าวอ้างที่ไร้หลักฐานจากปากของพวกเขา ซึ่งเป็นการกล่าวตามผู้ปฏิเสธก่อนหน้านี้ ขออัลลอฮฺทรงลงโทษพวกเขา พวกเขาถูกทำให้เขวไปทางอื่นได้อย่างไร
31. พวกเขาได้เอาผู้คงแก่เรียนและนักบวชของพวกเขาเป็นพระเจ้านอกไปจากอัลลอฮฺ และยึดเอามะซีฮฺบุตรของมัรยัมเป็นพระเจ้าด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาถูกบัญชามิให้เคารพภักดีสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก พระองค์ทรงบริสุทธิ์และปลอดพ้นจากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีเทียบเทียมพระองค์
32. พวกเขาปรารถนาที่จะดับแสงสว่างของอัลลอฮฺด้วยปากของพวกเขา แต่อัลลอฮฺมิทรงยินยอม พระองค์มีแต่จะทำให้แสงสว่างของพระองค์สมบูรณ์ถึงแม้ว่าบรรดาผู้ปฏิเสธจะชิงชังก็ตาม
33. พระองค์คือผู้ทรงส่งรอซูลของพระองค์มาพร้อมกับทางนำและแนวทางที่ถูกต้องเพื่อที่พระองค์จะได้ทรงทำให้หนทางนั้นมีชัยเหนือแนวทางอื่น ๆ ทั้งหมด ถึงแม้ว่าพวกมุชริกจะชิงชังก็ตาม


คำแปล R4.
30.  และชาวยิวได้กล่าวว่า อุซัยร์เป็นบุตรของอัลลอฮฺ และชาวคริสต์ได้กล่าวว่า อัล-มะซีห์เป็นบุตรของอัลลอฮฺ นั่นคือถ้อยคำที่พวกเขากล่าวขึ้นด้วยปากของพวกเขาเอง ซึ่งคล้ายกับถ้อยคำของบรรดาผู้ที่ได้ปฏิเสธการศรัทธามาก่อน ขออัลลอฮฺทรงละอ์นัตพวกเขาด้วยเถิด พวกเขาถูกหันเหไปได้อย่างไร?
31. พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาทหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺ และยึดเอาอัล-มะซีห์บุตรของมัรยัมเป็นพระเจ้าด้วย ทั้ง ๆ ที่พวกเขามิได้ถูกใช้นอกจากเพื่อเคารพสักการะผู้ที่สมควรได้รับการเคารพสักการะแต่เพียงองค์เดียว ซึ่งไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาให้มีภาคีขึ้น
32. พวกเขาต้องการเพื่อจะดับแสงสว่างของอัลลอฮฺด้วยปากของพวกเขาและอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงยินยอม นอกจากจะทรงให้แสงสว่างของพระองค์สมบูรณ์เท่านั้น และแม้ว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะชิงชังก็ตาม
33. พระองค์นั้นคือผู้ที่ได้ส่งรอซูลของพระองค์มาพร้อมด้วยคำแนะนำ และศาสนาแห่งสัจจะ เพื่อที่จะทรงให้ศาสนาแห่งสัจจะนั้นประจักษ์เหนือศาสนาทุกศาสนา และแม้ว่าบรรดามุชริกจะชิงชังก็ตาม


คำแปล R5.
๓๐. และพวกยะฮูดีกล่าวว่าพระศาสดาอุไซร์คือบุตรของอัลเลาะห์ ส่วนพวกนะซอรอก็ว่าพระศาสดา มหามงคลอีซาเป็นบุตรของอัลเลาะห์เช่นกัน นี้คือถ้อยคำของทั้งสองพวกนั้นที่พูดจาพล่อยไปตามปากหามีหลักฐานไม่ โดยที่พวกทั้งสองนั้น พูดเป็นทำนองเดียวกับถ้อยคำที่ไร้หลักฐานของบรรพบุรุษผู้เป็นกาฟิรเมื่อก่อนโน้น อัลเลาะห์จึงได้ทรงหักเมตตาจิตจากพวกเหล่านั้นทั้งฝ่ายยะฮูดีและนะซอรอให้ห่างจากความโปรดปรานีของพระองค์เสียเลย แปลกนักหนาที่พวกทั้งสองนั้นเหห่างจากสิ่งจริงแท้ ทั้งที่หลักฐานก็มีอยู่แล้ว
๓๑. พวกเหล่านั้น ทั้งยะฮูดีและนะซอรอได้ยึดถือพวกนักปราชญ์(ฝ่ายยะฮูด) นักวินัยธรรม(ฝ่ายนะซอรอ) และอีซาพระมหามงคลบุตรมัรยำเป็นพระเจ้า หาใช่อัลเลาะห์ไม่กล่าวคือพวกยะฮูดีถือเอาพวกนักปราชญ์ของตนเป็นพระเจ้าเฉพาะในส่วนที่ข้อบัญญัติขัดกับข้อบัญญัติของอัลเลาะห์เท่านั้น ส่วนพวกนะซอรอถือเอานักวินัยธรรมเป็นพระเจ้าของตนเฉพาะในส่วนที่ข้อบัญญัติขัดกับข้อบัญญัติของอัลเลาะห์เท่านั้น ทั้งยังได้ถือเอาพระศาสดาอีซาเป็นพระเจ้าด้วยการยอมน้อมสักการะและเคารพบูชาอีกโสดหนึ่งด้วยแต่ทว่าในพระคัมภีร์เตารอตและพระคัมภีร์อินยีลแล้วทั้งสองพวกนั้นถูกบัญชาใช้ให้สักการะเฉพาะอัลเลาะห์ผู้เป็นพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีพระเจ้าใดที่จักได้รับความเคารพสักการะเลยเว้นแต่พระองค์อัลเลาะห์เท่านั้นฉันขอแสดงถึงพระบริสุทธิคุณแห่งพระองค์ไว้ว่า พระองค์ทรงพิสุทธิ์สะอาดปราศพ้นจากใด ๆ ที่พวกเหล่านั้นถือเป็นภาคีเท่าเทียมพระองค์
๓๒. พวกเหล่านั้นที่เป็นกาฟิรหมายจะดับรัศมีอันได้แก่ข้อบัญญัติใช้และห้ามตลอดทั้งหลักฐานแสดงเอกภาพของอัลเลาะห์ให้สิ้นลงด้วยถ้อยคำของพวกตนในเรื่องนี้ แต่อัลเลาะห์ก็มิได้ทรงมุ่งประสงค์ใดนอกจากจะทรงให้พระศาสดาของพระองค์รุ่งเรืองโดยบริบูรณ์ด้วยคำว่า “ไม่มีพระเจ้าใดจักได้รับความเคารพสักการะเลย เว้นแต่อัลเลาะห์เท่านั้น” แม้ว่าพวกกาฟิรจักเกลียดชังความรุ่งเรืองแห่งพระศาสนาของพระองค์ก็ตามเถิด
๓๓. พระองค์คือพระผู้ทรงตั้งมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์เป็นทูตมาพร้อมกับพระคัมภีร์อัลกุรอานซึ่งเป็นวิถีทางนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรง และศาสนา(อิสลาม) อันเที่ยงแท้ด้วย เพื่อจะเชิดชูให้เด่นชัดเหนือศาสนาทั้งปวงที่ขัดแย้งกับศาสนาของพระองค์ แม้ว่าพวกมุชริกจักเกลียดชังการเชิดชูศาสนาอิสลามให้สูงเด่นขึ้นก็ตามเถิด พระองค์ย่อมจะเชิดชูศาสนาอิสลามให้สูงเด่นอยู่เสมอไป


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 34 - 35


คำอ่าน
34. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู..อิน..นะ กะษีร็อม..มินัลอะหฺบาริ วัรฺรุฮฺบานิ ละยะอ์กุลูนะอัมวาลัน..นาสิ บิลบาฏิลิ วะยะศุดดูนะอัน..สะบีลิลลาฮฺ วัลละซีนะยักนิซูนัซซะฮะบะ วัลฟิฏเฏาะตะ วะลายุน..ฟิกูนะฮา ฟีสะบีลิลลาฮิ วะบัชชิรฺฮุม..บิอะซาบินอะลีม
35. เยามะยุหฺมา อะลัยฮา ฟีนาริญะฮัน..นะมะ ฟะตุกวาบิฮา ญิบาฮุฮุม วะญุนูบุฮุม วะซุฮูรุฮุม ฮาซามากะนัซตุม ลิอัน..ฟุสิกุม ฟะซูกูมากุน..ตุมตักนิซูน


คำแปล R1.
34. O you who believe! Verily, there are many of the (Jewish) rabbis and the (Christian) monks who devour the wealth of mankind in falsehood, and hinder (them) from the Way of Allah (i.e. Allah's Religion of Islamic Monotheism). And those who hoard up gold and silver [Al-Kanz: the money, the Zakat of which has not been paid], and spend it not in the Way of Allah, -announce unto them a painful torment.
35. On the Day when that (Al-Kanz: money, gold and silver, etc., the Zakat of which has not been paid) will be heated in the Fire of Hell and with it will be branded their foreheads, their flanks, and their backs, (and it will be said unto them):-"This is the treasure which you hoarded for yourselves. Now taste of what you used to hoard."


คำแปล R2.
34. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! แท้จริงจำนวนมากของพวกนักปราชญ์(ชาวยิว)และนักบวช(ชาวคริสต์)บริโภคทรัพย์สินของมวลมนุษย์โดยผิดทำนองคลองธรรมและพวกเขาขัดขวาง(ผู้คน)จากแนวทางของอัลเลาะฮฺ และบรรดาผู้สะสมทองและเงิน และไม่ใช้จ่ายมันไปในแนวทางของอัลเลาะฮฺ ดังนั้น เจ้าจงแจ้งข่าวให้พวกเขาทราบถึงการลงโทษอันทรมานเถิด
35. ในวันซึ่งมันจะถูกนำไปเผาในนรกยะฮันนัม แล้วนำมันมานาบหน้าผากของเขาและสีข้างของเขาและหลังของเขา (เพื่อลงโทษฐานที่ไม่ยอมใช้จ่ายในทางอัลเลาะฮฺ และมีผู้กล่าวแก่เขาว่า) นี้คือสิ่งที่พวกเจ้าได้สะสมไว้เพื่อตัวของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรส(แห่งการลงโทษเพราะ)สิ่งที่พวกเจ้าได้เคยสะสมไว้เถิด

(ข้อความที่ขีดเส้นใต้คือข้อความที่เพิ่มเติมเข้าไปในต้นฉบับ เนื่องจากต้นฉบับพิมพ์ตกไป)

คำแปล R3.
34. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย แท้จริงแล้ว ผู้คงแก่เรียนและนักบวชส่วนใหญ่ของชาวคัมภีร์ได้กินทรัพย์สินของผู้คนโดยวิธีการที่ชั่วร้ายและขัดขวางผู้คนจากหนทางของอัลลอฮฺ ดังนั้นจงแจ้งข่าวการลงโทษอันเจ็บปวดและบรรดาผู้สะสมทองคำและเงินและไม่ใช้จ่ายมันในหนทางของอัลลอฮฺ
35. วันหนึ่งจะมาถึงเมื่อทองและเงินนั้นจะถูกเผาในไฟนรกและพร้อมกันนั้นหน้าผากของเขา ร่างกายของเขาและหลังของเขาจะถูกนาบโดยสิ่งนั้น (โดยกล่าวว่า) “นี่คือทรัพย์สมบัติที่สูเจ้าได้สะสมไว้เพื่อตัวสูเจ้าเอง ทีนี้ก็จงลิ้มรสความชั่วของทรัพย์สินที่สูเจ้าได้สะสมไว้เถิด”


คำแปล R4.
34. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! แท้จริงจำนวนมากมายจากบรรดานักปราชญ์ และบาดหลวงนั้นกินทรัพย์ของประชาชนโดยไม่ชอบและขัดขวาง(ผู้คน) ให้ออกจากทางของอัลลอฮฺและบรรดาผู้ที่สะสมทองและเงิน และไม่จ่ายมันในทางของอัลลอฮฺนั้น จงแจ้งข่าวดีแก่พวกเขาเถิด ด้วยการลงโทษอันเจ็บปวด
35. วันที่มันจะถูกเผาไฟนรกแห่งญะฮันนัม แล้วหน้าผากของพวกเขา และสีข้างของพวกเขา และหลังของพวกเขาจะถูกนาบด้วยมัน นี้แหละคือสิ่งที่พวกเจ้าได้สะสมไว้ เพื่อตัวของพวกเจ้าเอง ดังนั้นจงลิ้มรสสิ่งที่พวกเจ้าสะสมไว้เถิด


คำแปล R5.
๓๔. โอ้บรรดาชนผู้ศรัทธา แท้จริงส่วนใหญ่จากพวกนักปราชญ์ของฝ่ายยะฮูดีและนักวินัยธรรมของฝ่ายนะซอรอนั้นได้กินสมบัติของปวงชนโดยทุจริต เช่น รับสินบนในการชำระข้อพิพาท ทั้งพวกเหล่านั้นยังได้ขัดขวางปวงมนุษย์ให้ห่างเสียซึ่งวิถีทางศาสนาของอัลเลาะห์ และบรรดาชนที่เป็นยะฮูดีก็ดี ที่เป็นพวกนะซอรอก็ดี และที่เป็นมุอ์มินก็ดีซึ่งออมทรัพย์สมบัติ มีทองและเงินเป็นต้นเก็บไว้ ไม่ใช้จ่ายมันในวิถี ทางศาสนาของอัลเลาะห์โดยให้เป็นทรัพย์ซะกาตบ้าง เป็นทางกุศลตามใจสมัครบ้าง โอ้มุฮำมัด จงแจ้งแก่พวกเหล่านั้นถึงโทษอันเจ็บแสบเถิด
๓๕. พวกตระหนี่นั้นจะถูกลงโทษในวันที่ทรัพย์นั้น(เงินทองของพวกเขา) ถูกเผาในขุมนรกยะฮันนำ แล้วหน้าของพวกนั้นสีข้างทั้งซ้ายและขวาและหลังของพวกนั้นจะถูกนาบด้วยทรัพย์ที่ถูกเผาในนรกนั้น จนผิวหนังแผ่กว้างออกไปขนาดเอาเงินทองทั้งหมดมาวางเรียงเต็มพอดี และพวกเหล่านั้นจะถูกสมน้ำหน้าว่า นี้แหละทรัพย์สมบัติที่เจ้าเก็บออมไว้ เพื่อเอาประโยชน์ส่วนตัว ฉะนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสแห่งผลตอบแทนกรรมที่พวกเจ้าเก็บออมทรัพย์สมบัติกันไว้เถิด


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 36 - 37


คำอ่าน
36. อิน..นะ อิดดะตัชชุฮูริ อิน..ดัลฮิษนาอะชะเราะ ชะฮฺร็อน..ฟีกิตาบิลลาฮฺ เยามะเคาะละก็อสสะมาวาติวัลอัรฺเฎาะ มินฮา อัรฺบะอะตุน หุรุม ซาลิกัดดีนุลก็อยยิม ฟะลาตัซลิมู ฟีฮิน..นะ อัน..ฟุสะกุม วะกอติลุลมุชริกีนะ กา...ฟฟะตัน..กะมายุกอติลูนะกุม กา...ฟฟะฮฺ วะอฺละมู อัน..นัลลอฮะมะอัลมุตตะกีน
37. อิน..นะมัน..นะสี...อุ ซิยาดะตุน..ฟิลกุฟริ ยุฎ็อลลุบอฮิลละซีนะกะฟะรู ยุหิลลูนะฮู อาเมา..วะยุหัรฺริมูนะฮู อามัลลิยุวาฏิอู อิดดะตะ มาหัรฺเราะมัลลอฮุ ฟะยุหิลลูมาหัรฺเราะมัลลอฮฺ ซุยยินะละฮุม สู...อุอะอฺมาลิฮิม วัลลอฮุลายะฮฺดิลก็อวมัลกาฟิรีน


คำแปล R1.
36. Verily, the number of months with Allah is twelve months (in a year), so was it ordained by Allah on the day when He created the heavens and the earth; of them four are sacred, (i.e. the 1st, the 7th, the 11th and the 12th months of the Islamic calendar). That is the right religion, so wrong not yourselves therein, and fight against the Mushrikun (polytheists, pagans, idolaters, disbelievers In the Oneness of Allah) collectively , as they fight against you collectively. But know that Allah is with those who are Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2).
37. The postponing (of a sacred month) is indeed an addition to disbelief: Thereby the disbelievers are led astray, for they make it lawful one year and forbid it another year in order to adjust the number of months forbidden by Allah, and make such forbidden ones lawful. The evil of their deeds seems pleasing to them. And Allah guides not the people, who disbelieve.


คำแปล R2.
36. แท้จริงจำนวนเดือน ณ อัลเลาะฮฺนั้นมีสิบสองเดือน ตามนัยแห่งบทบันทึกของอัลเลาะฮฺ ในวันที่พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ซึ่งจากจำนวนนั้นมีอยู่สี่เดือนที่ต้องห้าม(คือซุลกออิดะฮฺ ซุลหิจญะฮฺ มุหัรรอมและรอญับ)นั้น คือศาสนาอันมั่นคง ดังนั้นเจ้าทั้งหลายอย่าอธรรในเดือนเหล่านั้นต่อตัวของพวกเจ้าเอง และพวกเจ้าจงทำศึกกับพวกตั้งภาคีโดยทั่วไปประดุจดังพวกเขาทำศึกกับพวกเจ้าโดยทั่วไป(เช่นเดียวกัน)และพวกเจ้าพึงทราบไว้เถิดว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ยำเกรงทั้งมวล
37. อันที่จริงการขอเลื่อน(ระยะเวลาต้องห้ามไปไว้ในเดือนซอฟัรฺ ตามความเชื่อของพวกมุชริกีน)นั้น เป็นการเพิ่มพูนการเนรคุณมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้หลงผิดเพราะสิ่งนั้นแก่บรรดาผู้เนรคุณทั้งหลาย พวกเขาถือเอามันเป็นที่อนุมัติในบางปี(สลับกัน) เพื่อพวกเขาจะได้นับให้สอดคล้องกับภาวะที่อัลเลาะฮฺได้ทรงบัญญัติห้ามไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงขอเป็นสิ่งอนุมัติในสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงบัญญัติห้ามไว้ ความเลวร้ายแห่งการงานของพวกเขาได้ถูกประดับแก่พวกเขา(ให้เห็นดีเห็นงาม) และอัลเลาะฮฺไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนที่เนรคุณอย่างแน่นอน


คำแปล R3.
36. ความจริงแล้วจำนวนเดือนที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้นั้นมีสิบสองเดือนตั้งแต่เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน และในจำนวนนี้มีสี่เดือนที่เป็นเดือนต้องห้าม นี่คือหลักการนับที่ถูกต้อง ดังนั้นจงอย่าอธรรมต่อตัวของสูเจ้าเองโดยการละเมิดเดือนเหล่านี้ และจงต่อสู้พวกมุชริกร่วมกันเช่นเดียวกับที่เขาต่อสู้พวกสูเจ้าร่วมกีนทั้งหมด และจงรู้เถิดว่า อัลลอฮฺทรงอยู่กับผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า
37. แท้จริงนะซีย์มิใช่อื่นใดนอกไปจากอีกตัวอย่างหนึ่งของการปฏิเสธที่บรรดาผู้ปฏิเสธไดถูกทำให้หลงผิด ในปีหนึ่งพวกเขาทำให้บางเดือนเป็นที่อนุมัติและในอีกปีหนึ่งพวกเขาได้ทำให้เดือนเดียวกันนั้นเป็นเดือนต้องห้าม ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้ทำให้เดือนที่อัลลอฮิได้ทรงได้กำหนดไว้ให้เป็นเดือนต้องห้าสมเป็นเดือนอนุมัติ การทำชั่วของพวกเขาได้ถูกทำให้ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา เพราะอัลลอฮิไม่ทรงนำทางบรรดาปฏิเสธสัจธรรม


คำแปล R4.
36. แท้จริงจำนวนเดือน ณ อัลลอฮฺนั้นมีสิบสองเดือน ในคัมภีร์ของอัลลอฮฺตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินจากเดือนเหล่านั้นมีสี่เดือน ซึ่งเป็นเดือนที่ต้องห้าม นั่นคือบัญญัติอันเที่ยงตรง ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าอธรรมแก่ตัวของพวกเจ้าเองในเดือนเหล่านั้นและจงต่อสู้บรรดามุชริกทั้งหมด เช่นเดียวกับที่พวกเขากำลังต่อสู้พวกเจ้าทั้งหมด และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่ยำเกรง
37. แท้จริงการเลื่อนเดือนที่ต้องห้ามให้ล่าช้าไปนั้นเป็นการเพิ่มในการปฏิเสธศรัทธายิ่งขึ้นโดยที่ผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นถูกทำให้หลงผิดไป เนื่องด้วยการเลื่อนเดือนต้องห้ามนั้น พวกเขาได้ให้มันเป็นที่อนุมัติปีหนึ่ง และให้มันเป็นที่ต้องห้ามปีหนึ่งเพื่อพวกเขาจะให้พ้องกับจำนวนเดือนที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามไว้ (มิเช่นนั้นแล้ว) พวกเขาก็จะทำให้เป็นที่อนุมัติสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้เป็นที่ต้องห้ามไปโดยที่ความชั่วแห่งบรรดาการงานของพวกเขาได้ถูกประดับประดาให้สวยงามแก่พวกเขาและอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงนำทางแก่กลุ่มชนที่ปฏิเสธศรัทธา


คำแปล R5.
๓๖. แท้จริงจำนวนเดือนทั้งสิ้นในรอบหนึ่งปีตามนัยของอัลเลาะห์ที่ได้ทรงตัดสินไว้ มิใช่การประดิษฐ์คิดขึ้นเองของมนุษย์นั้นสิบสองเดือน มี มุฮัรร็อม ซ่อฟัร ร่อบีอุลเอาวัล ร่อบีอุลอาคิร ยุมาดิลอูลา ยุมาดิลอาคิเราะห์ ร่อยับ ชะอ์บาน รอมดอน เชาวาล ซุลก็อิดะห์ ซุลฮิจยะห์ ทั้ง ๑๒ เดือนนี้มีกำหนดไว้ตามสารบบที่บันทึกอยู่ในแผ่นทะเบียนเดิม (เลาหุลมะห์ฟูค) ของอัลเลาะห์ และมีกำหนดไว้แล้วในวันที่พระองค์ได้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและพิภพ ซึ่งจากจำนวน ๑๒ เดือนนี้มีอยู่สี่เดือนที่เป็นเลิศมาแต่สมัยก่อนโน้น จนลุถึงสมัยของพระศาสดามุฮำมัดนี้ แปลว่ากรรมดีทั้งมวล การประพฤติปฏิบัติตามคำบัญชาใช้ และระงับการอันทรงห้ามภายใน ๔ เดือนนี้ ย่อมได้รับผลบุญทวี ในทางตรงข้ามหากเป็ยการชั่วก็ได้รับโทษทัณฑ์ทวีขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งสี่เดือนนี้ได้แก่ ซุลก็อิดะห์ ซุลฮิจยะห์ มุฮัรร็อมและร่อยับ
   ในจำนวนเดือนทั้ง ๑๒ นี้นับได้เป็นหนึ่งปีทางจันทรคติ ซุ่งคำนวณตามวิถีโคจรของดวงจันทร์ ระบบทางจันทรคตินี้เป็นของชาวอาหรับซึ่งพวกมุอ์มินใช้กำหนดเวลาถือศีลอด และการทำพิธีฮัจย์ตลอดทั้งเทศกาลและกิจอื่น ๆ มีจำนวนเท่ากับ ๓๕๕ วัน ส่วนทางสุริยคตินั้นถือการหมุนครบหนึ่งรอบของดวงอาทิตย์มีจำนวน ๓๖๕ ๑/๔ วันจะเห็นว่าปีทางจันทรคติมีจำนวนน้อยกว่าปีทางสุริยคติประมาณ ๑๐ วันด้วยเหตุอันนี้เองจึงทำให้การถือศีลอด การประกอบพิธีฮัจย์และอื่น ๆ ตกอยู่ในฤดูกาลที่ต่างกัน บางทีตกฤดูหนาว บางทีตกฤดูร้อนเป็นต้น การที่ถือว่าเป็นการผิดกฎและเป็นบาปในอันที่จะทำศึกภายใน ๔ เดือน นี้แหละเป็นศาสนาที่ยืนยง ฉะนั้นพวกเจ้าอย่าได้คิดคดแก่ตัวเองในกาลเวลาของทั้ง ๔ เดือนนั้นด้วยการทำศึกสงครามเลย เพราะเหตุว่าการกระทำชั่วเลวภายใน ๔ เดือนนั้นเป็นบาปอันใหญ่หลวง และให้พวกเจ้าสังหารพวกมุชริกได้แล้วโดยตลอดทุกเดือนและทุกแห่งหนเหมือนดังที่พวกมุชริกเหล่านั้นได้สังหารพวกเจ้าตลอดมาทุกเดือนและทุกแห่งหน แล้วพวกเจ้าพึงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงให้ความช่วยเหลืออยู่ฝ่ายพวกยำเกรง
๓๗. แท้จริงการขอเลื่อนภาวะห้ามในเดือนมุฮัรร็อมไปไว้ในเดือนซ่อฟัรนั้น รังแต่จะเพิ่มไร้ศรัทธาต่อข้อบัญญัติของอัลเลาะห์ให้มากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เพราะพวกกาฟิรเหล่านั้นไม่ยอมเชื่อคำตัดสินของอัลเลาะห์ที่ว่า “การขอเลื่อนภาวะห้ามในเดือนมุฮัรร็อมไปไว้ในเดือนซ่อฟัรนั้นเป็นการไร้ศรัทธา” เช่น กาฟิร อนารยชน (ยาหิลียะห์) ได้เคยกระทำกันมาแล้ว กล่าวคือ ข้อบัญญัตของอัลเลาะห์ ใน ๔ เดือนห้าม มีดังนี้
(๑) การห้ามทำกรรมชั่วในสี่เดือนนั้นต้องคงที่อยู่กับสี่เดือนตามกำหนดไว้ จะเลื่อนไปไว้ในเดือนถัดไปไม่ได้ทุก ๆ ปี
(๒) ชื่อของทั้งสี่เดือนห้าม ต้องมีกล่าวครบอยู่เสมอไปทุก ๆ ปี
(๓) จำนวนชื่อของเดือน ๔ ชื่อ ต้องมีครบในทุกปี ห้ามลดจำนวนให้น้อยลง ด้วยการเอาซ่อฟัรมาแทนมุหัรร็อมในทุก ๆ ปี
(๔) จำนวนของเดือนห้ามจะต้องคงที่อยู่กับทุกเดือนที่กำหนดไว้ในทุก ๆ ปี
   เมื่อพวกกาฟิรไม่เชื่อข้อ (๑) เช่นพวกนั้นเลื่อนภาวะห้ามจากเดือนมุฮัรร็อมไปอยู่ในเดือนซ่อฟัรก็ต้องถือว่าพวกกาฟิรไม่เชื่อถือข้อ (๑) ข้อ (๒) และข้อ (๔) แต่ยังคงเชื่ออยู่เฉพาะข้อ (๓) เท่านั้น คือมีภาวะห้ามครบ ๔ แต่ไม่ประจำอยู่กับเดือนที่กำหนดไว้ พระองค์จึงตรัสอยู่ในโองการต่อไปนี้ว่า
พระองค์จะทรงยังความงมงายในศาสนาอิสลามให้แก่บรรดาชนกาฟิรซึ่งถือว่าเลื่อนภาวะห้ามของเดือนมุฮัรร็อมไปอยู่ในเดือนซ่อฟัร ลดจำนวนชื่อของเดือนห้ามเสียหนึ่งชื่อคือมุฮัรร็อม และลดการนับมุฮัรร็อมไปนับเดือนซ่อฟัรเป็นเดือนแรกได้ในบางปี และพวกนั้นตราว่าเป็นบาปที่จะเลื่อนภาวะห้ามในเดือนมุฮัรร็อมไปไว้ในเดือนซ่อฟัร ห้ามลดจำนวนชื่อของเดือนห้ามให้เหลือเพียงสาม และห้ามเลื่อนการนับเดือนมุฮัรร็อมไปนับเดือนซ่อฟัรเป็นเดือนแรกในบางปี ทั้งนี้เพื่อพวกนั้นจะให้ตรงตามจำนวนห้ามที่อัลเลาะห์ได้ทรงตราห้ามไว้ในทั้งสี่เดือน แต่ภาวะห้ามจะตกอยู่ในเดือนใด ๆ ก็ได้ เช่น ห้ามในเดือนมุฮัรร็อมตกอยู่ในเดือนซ่อฟัร
   คงได้ความว่าพวกกาฟิรเชื่อในข้อบัญญัติของอัลเลาะห์เพียงข้อเดียว แต่อีกสามข้อไม่ยอมเชื่อ
และเพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะถือว่าเป็นที่อนุญาตให้เลื่อนภาวะห้ามของเดือนมุฮัรร็อมไปไว้ในเดือนซ่อฟัร ให้ลดจำนวนชื่อของเดือนห้ามเสีย ๑ เดือนคือเดือนมุฮัรร็อม และให้เลื่อนการนับมุฮัรร็อมไปนับเดือนซ่อฟัรเป็นเดือนแรก และการอื่น ๆ ที่อัลเลาะห์ทรงตราห้ามไว้ กิจปฏิบัติอันเลวของพวกนั้นก็ถูกไชตอนให้พวกเขาเห็นเป็นความงดงามตามที่พวกเขาคิดเดาเอาว่า ความชั่วนั้นเป็นความดีงาม ฝ่ายอัลเลาะห์เล่า จะไม่ทรงแนะนำหนทางเที่ยงธรรมแก่ปวงชนกาฟิรเลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 38 - 40


คำอ่าน
38. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู มาละกุมอิซากีละ ละกุมุน..ฟิรู ฟีสะบีลิลลาฮิษษาก็อลตุม อิลัลอัรฺฎฺ อะเราะฎีตุม..บิลหะยาติดดุนยามินัลอาคิเราะฮฺ ฟะมามะตาอุลหะยาติดดุนยาฟิลอาคิเราะติ อิลลาเกาะลีล
39. อิลลาตัน..ฟิรู ยุอัซซิบกุม อะซาบันอะลีมา วะยัสตับดิล ก็อวมันฆ็อยเราะกุม วะลาตะฎุรรูฮุชัยอา วัลลอฮุอะลากุลลิชัยอิน..เกาะดีรฺ
40. อิลลาตัน..ศุรูฮุ ฟะก็อดนะเศาะเราะฮุลลอฮุ อิซอัคเราะญะฮุลละซีนะกะฟะรู ษานิยัษนัยนิ อิซฮุมาฟิลฆอริ อิซยะกูลุลิศอหิบิฮี ลาตะหฺซัน อิน..นัลลอฮะ มะอะนา ฟะอัน..ซะลัลลอฮุ สะกีนะตะฮู อะลัยฮิ วะอัยยะดะฮูบิญุนูดิลลัมตะร็อวฮา วะญะอะละ กะลิมะตัลละซีนะ กะฟะรุสสุฟลา วะกะลิมะตุลลอฮิ ฮิยัลอุลยา วัลลอฮุอะซีซุนหะกีม


คำแปล R1.
38. O you who believe! What is the matter with you, that when you are asked to march forth in the Cause of Allah (i.e. Jihad) you cling heavily to the earth? Are you pleased with the life of this world rather than the Hereafter? But little is the enjoyment of the life of this world as compared with the Hereafter.
39. If you march not forth, He will punish you with a painful torment and will replace you by another people, and you cannot harm Him at all, and Allah is able to do all things.
40. If you help him (Muhammad) not (it does not matter), for Allah did indeed help him when the disbelievers drove him out, the second of two, when they (Muhammad and Abu Bakr ) were in the cave, and he () said to his companion (Abu Bakr ): "Be not sad (or afraid), surely Allah is with us." Then Allah sent down his Sakinah (calmness, tranquility, peace, etc.) upon him, and strengthened him with forces (angels) which you saw not, and made the word of those who disbelieved the lowermost, while it was the word of Allah that became the uppermost, and Allah is All-Mighty, All-Wise.


คำแปล R2.
38. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! มีข้อขัดข้องอันใดสำหรับพวกเจ้าบ้างหรือ? เมื่อมีผู้กล่าวกับพวกเจ้าว่า “จงออก(ทำศึก)ในทางของอัลเลาะฮฺเถิด” พวกเจ้า(บางกลุ่ม)กลับทำตัวหนักยังแผ่นดิน(ไม่ยอมออกไปสู่สมรภูมิ) พวกเจ้าจะพึงพอใจกับชีวิตทางโลกนี้มากกว่าโลกหน้ากระนั้นหรือ? อันที่จริงแล้ว ความภิรมย์แห่งชีวิตทางโลก(ใอเทียบกับความภิรมย์แห่งชีวิต)ในโลกหน้านั้น ไม่มี(มากมาย)เลย นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
39. หากแม้นพวกเจ้าไม่ออกไป(สู่สมรภูมิ) พระองค์ก็จะทรงลงโทษแก่พวกเจ้าอย่างสาหัสยิ่งนัก และพระองค์จะทรงทดแทน(พวกเจ้าด้วย)กลุ่มชน อื่นจากพวกเจ้า และพวกเจ้าไม่อาจทำอันตรายแก่พระองค์ได้สักประการเดียว และอัลเลาะฮฺทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
40. หากแม้นพวกเจ้าไม่ช่วยเขา(มุฮำมัด)แน่นอน อัลเลาะฮฺก็จะช่วยเหลือเขา เมื่อบรรดาพวกเนรคุณได้ขับไล่เขาออก(จากบ้านเมือง) มีเพียงคนที่สองจากจำนวนสองคน(คือ นบีมุฮำมัด และ อะบูบะกัร) เมื่อทั้งสองอยู่ในถ้ำ (ที่หลบภัยจากพวกศัตรูที่ตามมาหมายสังหาร) เมื่อเขา(มุฮำมัด) กล่าวกับเพื่อน(หลบภัย)ของเขา(คืออะบูบะกัร)ว่า “ท่านอย่าเศร้าโศก เพราะแท้จริงอัลเลาะฮฺอยู่ร่วมกับเรา” ดังนั้นอัลเลาะฮฺ จึงประทานความสงบมั่นคงของพระองค์แก่เขา (จนคลายความโศกเศร้าและความกลัว) และพระองค์ทรงเสริมกำลังของเขาด้วยบรรดาไพร่พล(มลาอิกะฮฺเป็นจำนวนมาก) ซึ่งพวกเจ้ามองพวกนั้นไม่เห็น และพระองค์ทรงบันดาลให้ถ้อยคำของพวกเนรคุณตกต่ำที่สุด (ต้องประสบความพ่ายแพ้อย่างอัปยศอดสู) และพระคำแห่งอัลเลาะฮฺย่อมสูงส่งเสมอ และอัลเลาะฮฺทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง


คำแปล R3.
38. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา สูเจ้ามีข้อแก้ตัวอันใดเมื่อสูเจ้าได้ถูกบอกให้ออกไปในหนทางของอัลลอฮฺ แต่สูเจ้ากลับติดอยู่กับแผ่นดิน ? สูเจ้าพึงใจชีวิตของโลกนี้มากกว่าชีวิตของโลกหน้ากระนั้นหรือ ? หากเป็นเช่นนั้นสูเจ้าก็จงรู้ไว้เถิดว่าสิ่งดี ๆ ทั้งหมดแห่งชีวิตโลกนี้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านั้นในปรโลก
39. ถ้าสูเจ้าไม่ออกไปพระองค์จะทรงลงโทษสูเจ้าอย่างเจ็บปวดและจะทรงนำพวกอื่นมาเปลี่ยนแทนสูเจ้าและสูเจ้าจะไม่อาจยังความเสียหายใด ๆ แก่พระองค์ได้ เพราะอัลลอฮิทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง
40. ถ้าสูเจ้าไม่ช่วยเหลือนบีของสูเจ้า (ก็ไม่ป็นไร) อัลลอฮฺได้ทรงช่วยเหลือเขามาก่อนแล้ว เมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธได้ขับไล่เขาให้ออกไปจากบ้านของเขา และเขาก็เป็นคนที่สองในจำนวนสองคนเมื่อเขาทั้งสองอยู่ในถ้ำ เมื่อเขากล่าวแก่สหายของเขาว่า “จงอย่าเศร้าโศก อัลลอฮฺทรงอยู่กับเรา” แล้วอัลลอฮฺก็ได้ทรงประทานความสงบให้แก่เขาและได้ช่วยเขาด้วยพลังที่สูเจ้ามองไม่เห็นและทรงทำให้ถ้อยคำของบรรดาผู้ปฏิเสธตกต่ำลงและถ้อยคำของอัลลอฮินั้นสูงส่งเสมอ เพราะอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R4.
38. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย มีอะไรเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ ? เมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเจ้าว่า จงออกไปต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺเถิด พวกเจ้าก็แนบหนักอยู่กับพื้นดิน พวกเจ้าพึงพอใจต่อชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ แทนปรโลกกระนั้นหรือ? สิ่งอำนวยความสุขแห่งชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้นั้น ในปรโลกแล้ว ไม่มีอะไรนอกจากสิ่งเล็กน้อยเท่านั้น
39. ถ้าหากพวกเจ้าไม่ออกไป พระองค์ก็จะทรงลงโทษพวกเจ้าอย่างเจ็บปวด และจะทรงให้พวกหนึ่งอื่นจากพวกเจ้ามาแทน และพวกเจ้าไม่สามารถจะยังความเดือดร้อนให้แก่พระองค์ได้แต่อย่างใด และอัลลอฮฺนั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
40. ถ้าหากพวกจ้าไม่ช่วยเขาก็แท้จริงนั้นอัลลอฮฺได้ทรงช่วยเขามาแล้ว ขณะที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้ขับไล่เขาออกไปโดยที่เขาเป็นคนที่สองในสองคน ขณะที่ทั้งสองอยู่ในถ้ำนั้น คือขณะที่เขาได้กล่าวแก่สหายของเขาว่า ท่านอย่าเสียใจ แท้จริงอัลลอฮฺทรงอยู่กับเรา แล้วอัลลอฮฺก็ทรงประทานลงมาแก่เขา ซึ่งความสงบใจจากพระองค์ และได้ทรงสนับสนุนเขาด้วยบรรดาไพร่พล ซึ่งพวกเจ้าไม่เห็นพวกเขา และได้ทรงให้ถ้อยคำของผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาอยู่ในระดับต่ำสุดและพจนารถของอัลลอฮฺนั้น คือพจนารถที่สูงสุด และอัลลอฮฺคือ ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ มีว่า ในการครั้งหนึ่งพระศาสดามุฮำมัดได้ประกาศเกณฑ์ปวงชนให้ออกไปทำศึกสงครามตะบู๊ก (เมืองหนึ่งตั้งอยู่ในเส้นทางสัญจรไปมาระหว่างเมืองดิมิสก์(ดามัสกัส)นครหลวงซีเรียกับนครมดีนะห์ โดยที่พวกนั้นอยู่ในภาวะขากน้ำลำบากแก่การประกอบอาชีพถึงขนาดอินทผลัมเม็ดเดียวต้องกินกันสองคน และภาวะอากาศร้อนระอุถึงขนาดพวกนั้นจำต้องดื่มน้ำปัสสาวะ จึงยากเหลือล้นที่จะยอมออกทำศึกสงครามตามประกาศ โองการจากอัเลาะหฺจึงมีว่า
๓๘. โอบรรดาชนผู้ศรัทธาข้าจักประณามพวกเจ้าว่า มีอะไรเป็นอุปสรรคขัดข้องขึ้นแก่พวกเจ้าอีกเล่า ? ถึงได้มัวชักช้าที่จะออกสู่สมรภูมิ ในเมื่อพวกเจ้าถูกพระศาสดามุฮำมัดพวกเจ้าจงออกไปทำศึกในวิถีทางของอัลเลาะห์เถิด พวกเจ้าก็ชักช้าและหลบเลี่ยงการทำศึกและไม่รีบเร่งไปรอพักยังสมรภูมิ ม่สมควรเลยที่พวกเจ้าจะยินดีต่อชีวิตแห่งภพนี้และประโยชน์สุขแห่งภพนี้แทนประโยชน์สุขแห่งภพหน้า ก็ประโยชน์สุขแห่งชีวิตในภพนี้ เมื่อเปรียบกับประโยชน์สุขแห่งชีวิตในภพหน้าแล้วมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเลวยิ่ง ทั้งนี้เพราะว่าประโยชน์สุขแห่งชีวิตในภพนี้ต่ำค่า มันย่อมมีได้ทั้งสูญเสีย ตลอดจนได้รับภัยอันตรายและสิ้นเปลืองหมดไปได้ในที่สุดอย่างไม่มีข้อสงสัย แต่ประโยชน์สุขแห่งภพหน้าย่อมเป็นที่ยกย่อง บริสุทธิ์สะอาด หาความเสื่อมเสียและสูญหายมิได้และมีอยู่เป็นนิจนิรันดร จึงเอาเนื้อความได้แน่นอนว่า เมื่อเทียบกันแล้วประโยชน์สุขแห่งภพนี้น้อยค่าและเลวกว่าประโยชน์สุขแห่งภพหน้ามากมายนัก
๓๙. หากว่าพวกเจ้าไม่ออกทำศึกร่วมกับพระศาสดามุฮำมัดแล้วพระองค์ก็จะทรงลงโทษพวกเจ้าอย่างเจ็บแสบ ทั้งพระองค์จะทรงล้างชาติพันธุ์ของพวกเจ้าให้สูญลงและจะทรงให้ปวงชนอื่นจากพวกเจ้ามีขึ้นแทนพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะทำร้ายเขา(พระศาสดามุฮำมัด) ไมได้เลยแม้สักนิดเดียวด้วยวิธีการไม่ช่วยเหลือเขา(มุฮำมัด) แต่จะมีอัลเลาะห์ทรงเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือศาสนาของพระองค์อยู่ แหละว่าอัลเลาะห์นั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เท่าที่ได้ทรงช่วยเหลือพระศาสดามุฮำมัดและศาสนาของพระองค์นั้นก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งอานุภาพของพระองค์ประการหนึ่ง
๔๐. อัลเลาะห์ได้ทรงประกาศแก่บรรดาชนผู้รีรอต่อการออกทำศึกสงครามที่ตะบู๊กว่า ถ้าแม้นพวกเจ้าไม่ช่วยเหลือเขา (มฮำมัด) อัลเลาะห์จะทรงให้ความช่วยเหลือพระศาสนทูตของพระองค์ ทรงให้ความศักดิ์สิทธิ์แก่ศาสนาของพระองค์ ตลอดทั้งทรงเชิดชูพระคำดำรัสของพระองค์ให้สูงเด่นขึ้น ไม่ว่าพวกเหล่านั้นจะช่วยเหลือพระศาสดามุฮำมัดหรือไม่ก็ตาม พระองค์ก็ได้ทรงช่วยเหลือมุฮำมัดพระศาสดาของพระองค์แน่นอน ในเมื่อฝ่ายมุสลิมมีจำนวนพลเพียงเล็กน้อย และฝ่ายข้าศึกศัตรูนั้นมีมากมาย และอะไรเสียอีกในวันนี้พระศาสดามุฮำมัดมีพลพรรคและอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย โองการประกาศดังนี้ว่า หากพวกเจ้าไม่ช่วยเหลือเขา(พระศาสดามุฮำมัด) โดยการออกไปทำศึกที่สมรภูมิตะบู๊กร่วมกับมุฮำมัดแล้วไซร้ อัลเลาะห์จะทรงช่วยเหลือเขา(มุฮำมัด) แน่นอน ในตอนที่บรรดาผู้เป็นกาฟิรกระทำให้เขา(มุฮำมัด) จำต้องตัดสินใจออกไปจากนครมักกะห์ภายใต้ความมุ่งหมายที่ประชุมกัน ณ สมาคมอัลนัดวะห์ ๓ ประการ มีฆ่า กักขัง และเนรเทศออกนอกประเทศ โดยมีอบูบักร์เป็นผู้ติดตามไปด้วยเพียงสองต่อสอง พระองค์จะทรงให้ความช่วยเหลือมุฮำมัดทุกโอกาสที่แม้จะมีความคับขันสักเพียงใดในตอนที่ทั้งสอง(มุฮัมมัดกับอบูบักร์) นั้นได้เข้าไปนั่งซังอยู่ในถ้ำแห่งภูเขาซูร(ใกล้กับนครมักกะห์)และทรงช่วยในตอนที่เขา(มุฮำมัด) กล่าวแก่พระสหายของเขาชื่ออบูบักร์ขณะที่เหลือบสายตาเห็นฝ่าเท้าของพวกมุชริกว่า ถ้าพวกมุชริกเหล่านั้นคนใดก้มมองดูเท้าของตนแล้วย่อมจะเห็นเราทั้งสองได้เป็นแน่ และกล่าวว่า ท่านอย่าได้เศร้าใจเลยนะ เพราะอัลเลาะห์ทรงให้ความช่วยเหลือ อยู่กับฝ่ายเราแล้ว ทั้งอัลเลาะห์ยังได้ทรงมอบความสงบสุขจากพระองค์ลงมายังเขา(พระศาสดามุฮำมัด) ทรงสนับสนุนเขา(มุฮำมัด) ให้กล้าแข็งขึ้นด้วยเหล่าทหารมลาอิกะห์ ซึ่งพวกเจ้ามองไม่เห็นลงมาทั้งในถ้ำแห่งภูเขาซูร เพื่อให้ความอารักขาและเพื่อเบนสายตาพวกกาฟิรมิให้แลเห็นมุฮำมัดได้ และพระองค์ก็ทรงให้คำประกาศชักชวนของบรรดาชรกาฟิรให้เข้าสู่ความเป็นผู้ถือภาคีต่ำลง ส่วนพระดำรัสของอัลเลาะห์ที่ทรงประกาศเชิญชวนเข้าสู่เอกภาพของพระองค์นั้นสูงขึ้นและมีชัย ฝ่ายอัลเลาะห์นั้นทรงอิทธิฤทธิ์โดยเด็ดขาดยิ่ง ทรงประณีตยิ่งในกิจทั้งปวงของพระองค์


 

GoogleTagged