ผู้เขียน หัวข้อ: อ อารีฟีน แสงวิมาน vs อ อาลีคาน ปาทาน (วิดีโอ ฉบับแก้ขัด)  (อ่าน 28251 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
คุณ Alif Taopalee คุณพูดว่า "ส่วนที่ให้ความหมายไว้คือ อะฮฺลุลหะดิษ ซึ่งท่านอิมามนะวะวีย์ก็ได้อธิบายถึงคุณสมบัติของพวกเขาไว้ ซึ่งถ้ากลุ่มใดที่มีคุณสมบัติเยี่ยงนี้นั้น เขาก็คืออะฮฺลุลหะดิษ เช่นเดียวกันมิใช่ถูกจำกัดไว้เพียงแค่บางกลุ่ม หรือสามกลุ่มเท่านั้น"

ผมขอออกความเห็นสักนิดว่า คุณ Alif Taopalee ยังไม่เข้าใจเรื่องราวในการดีเบทในแน่แท้ คำว่า “อะฮ์ลุลหะดีษ” ในคำอธิบายของอุลามาอฺสะลัฟนั้น เป็นที่เห็นพร้องกันทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว และอิหม่ามอัลบุคอรีย์ก็บอกว่า “พวกคือนักวิชาการ” ซึ่งครอบคลุมถึงอะฮ์ลุลหะดีษและนักปราชญ์ฟิกห์ด้วย เนื่องจากอะฮ์ลุลหะดีษนั้นมีความเข้าใจในตัวบทน้อยกว่านักปราชญ์ฟิกห์...

และอิหม่ามอันนะวาวีย์ก็ได้อธิบายโดยไม่เจาะจงกลุ่ม แต่บอกเพียงแค่คุณลักษณะของนักปราชญ์ที่เคยปกป้องศาสนาจนถึงวันกิยามะฮ์ ซึ่งถือว่าเป็นความยุติธรรมของอิหม่ามอันนะวาวีย์แล้ว เพราะจะไปบอกเจาะจงว่าเป็นอัลอะชาอิเราะฮ์อย่างเดียวนั้น มันก็จะเห็นแก่ตัวไป แต่เมื่ออิหม่ามอันนะวาวีย์ได้บอกถึงลักษณะปราชญ์ที่ปกป้องศาสนา แน่นอนว่าเป็นคุณลักษณะที่ปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์มีทั้งหมด และรวมถึงอิหม่ามอันนะวาวีย์เองด้วย...

ส่วนการที่ อ.อารีฟีน ไม่ได้เจาะจงอัลอะชาอิเราะฮ์ว่าเป็นผู้ปกป้องศาสนาเพียงก ลุ่มเดียวนั้น ถือว่าเป็นธรรมแล้ว เพราะ อ.อาริฟีน เขาบอกว่า มีอัลอะชาอิเราะฮ์ รวมถึงอัลมุตูรีดียะฮ์ และปราชญ์หะนาบิละฮ์ด้วย ซี่งปราชญ์หะนาบิละฮ์ส่วนมากนี้ ก็คืออะฮ์ลุลหะดีษในยุคหลังสะลัฟด้วย แต่เท่าที่ตรวจสอบ จะพบว่าอัลอะชาอิเราะฮ์มีนักปราชญ์หะดีษมากกว่า...?

และกลุ่มอัลอะชาอิเราะฮ์จะไม่เป็นอะฮ์ลุลหะดีษด้วยได้อย่างไร ในเมื่อปราชญ์ที่อธิบายหะดีษสุนันทั้ง 6 นั้นมีปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์กว่า 90 เปอร์เซ็น ยิ่งกว่านั้นปราชญ์อธิบายอัลกุรอาน(ตัฟซีร) เป็นอัลอะชาอิเราะฮ์กว่า 90 เปอร์เซ็นเช่นกัน แล้วกลุ่มวะฮ์ฮาบีจะมาบังอาจได้อย่างไรที่บอกว่า กลุ่มอัลอะชาอิเราะฮ์ไม่ใช่กลุ่มที่มีส่วนปกป้องศาสนาในนัยยะของหะดีษนบีดังกล่าว...?

และสะนัดหะดีษจากปัจจุบันจนถึงยุคสะลัฟนั้น ต้องผ่านสะนัดปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์ด้วยทั้งสิ้น...ผมจึงคิดว่าวะฮ์ฮาบีคนยอมรับในสัจธรรมข้อนี้บ้าง อย่ามัวแต่ตาบอดอคติกับกลุ่มปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์จนลืมสัจธรรมที่อัลลอฮ์ให้มอบให้แก่พวกเขาในการปกป้องศาสนาอัลอิสลาม...!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 06, 2012, 03:34 PM โดย muqorrabeen »

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
คุณ Alif Taopalee คุณพูดว่า “เพราะการอธิบายหะดิษบทนั้น ซึ่งมีหลายรายงานมากในตัวบทแบบคล้ายๆกันนี้ผมยังไม่พบว่าปราชญ์ท่านใด กล่าวระบุให้ความหมายถึงกลุ่ม อะชาอิเราะฮฺ โดยตรง แม้แต่ อิมามนะวะวีย์ รอฮิมะฮุลลอฮฺ เองที่ชะเราะหฺหะดิษนี้ก็ไม่ได้บ่งชี้ตรงๆว่าหมายถึงกลุ่มอะชาอิเราะฮฺ เพราะมันขัดแย้งกับการเป็นมัวะตะซิละฮฺของ ท่านอบูหะซัน เองว่าเราจะเรียกว่าเป็นการต่อเนื่องได้หรือไม่...? เพราะการเป็นมัวะอฺตะซิละฮฺของท่าน ก่อนจะกลับมาเป็นอะฮฺลิสสุนนะฮฺนั้น ถือว่าเป็นการต่อเนื่องหรือไม่....?”

ดังที่ผมได้เคยกล่าวชี้แจงไปแล้วว่า อิหม่ามอันนะวาวีย์ก็ได้อธิบายโดยไม่เจาะจงกลุ่ม แต่บอกเพียงแค่คุณลักษณะของนักปราชญ์ที่เคยปกป้องศาสนาจนถึงวันกิยามะฮ์ ซึ่งถือว่าเป็นความยุติธรรมของอิหม่ามอันนะวาวีย์แล้ว เพราะจะไปบอกเจาะจงว่าเป็นอัลอะชาอิเราะฮ์อย่างเดียวนั้น มันก็จะเห็นแก่ตัวไป แต่เมื่ออิหม่ามอันนะวาวีย์ได้บอกถึงลักษณะปราชญ์ที่ปกป้องศาสนา แน่นอนว่าเป็นคุณลักษณะที่ปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์มีทั้งหมดด้วย และรวมถึงแนวทางของอะมะตูรีดียะฮ์และส่วนมากของหะนาบิละฮ์ด้วย...ซึ่งความดีงามในการปกป้องศาสนานี้ทุกกลุ่มล้วนแต่มีผลงานร่วมกัน...ส่วนอุลามาอฺที่พรรนณาอัลลอฮ์เป็นรูปร่าง(ตัจญฺซีม)และพรรนณาคุณลักษณะของอัลลอฮ์ไปคล้ายคลึงกับมัคโลค(ตัชบีฮ์)นั้นที่หลบๆ ซ่อนๆ เหมือนพวกชีอะฮ์นั้น ไม่ควรได้ชื่อว่าปกป้องศาสนา...

ส่วนการที่ท่านอะบูลหะซัน อัลอัชอะรีย์ เคยเป็นมั๊วะตะซิละฮ์นั้น ก็มิได้หมายความว่ามีการขาดตอนในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์นั้น เพราะเมื่อท่านอะบุลหะซันอายุ 40 ปี ท่านก็เตาบะฮ์จากแนวทางมั๊วะตะซิละฮ์โดยกลับมาเชื่อมกับแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ จนไปถึงท่านนบี(ซ.ล.)จนกระทั่งท่านอะบุลหะซันเสียชีวิต และท่านอะบุลหะซัน อัลอัชอะรีย์เอง ก็เป็นนักปราชญ์จำหะดีษอยู่แล้ว...แต่ถ้าหากท่านอะบุลหะซัน อัลอัชอะรีย์เป็นมั๊วะตะซิละฮ์จนเสียชีวิต นี่แหละเรียกว่าขาดตอน...

ด้วยเหตุนี้ กลุ่มอัลอะชาอิเราะฮ์จึงไม่มีการขาดตอนในทุกยุคสมัยโดยมีสะนัดเชื่อมถึงสะลัฟและเชื่อมถึงท่านนบี(ซ.ล.)...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 06, 2012, 03:35 PM โดย muqorrabeen »

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
คุณ Alif Taopalee กล่าวว่า “ส่วนกรณีแต่ฝากให้คิดว่า 40ปี เกือบครึ่งศตวรรษที่ขาดหายไปกับการเป็นมัวะตะซิละฮฺ เพราะมัวะฮฺตะซิละฮฺต้องก่อตั้งมาก่อนอะชาอิเราะฮฺและการที่ท่านเข้าไปอยู่ในมัวะตะซิละฮฺทั้งๆที่สุนนะฮฺก็ยังมีอยู่เรียกว่าต่อเนื่องแล้วหรือ นี่เป็นข้อสังเกตนะครับ”

อะฮ์ลิสซุนนะฮ์มีอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งในช่วงที่ท่านอะบุลหะซันอยู่ในแนวทางมั๊วะตะซิละฮ์ตาม เพราะอัลอะชาอิเราะฮ์ตามหรือเห็นพร้องกับอะบุลหะซันในช่วงที่อยู่ในแนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์แล้ว ดังนั้นอัลอะชาอิเราะฮ์จึงมีความต่อเนื่องและไม่ขาดตอน ไม่หลบๆ ซ่อนๆ เหมือนกับพวกชีอะฮ์และแนวทางอะกีดะฮ์วะฮ์ฮาบีครับ...

คุณ Alif Taopalee กล่าวว่า “อธิบายแบบโดยรวม กับแบบเฉพาะ เพราะถ้าจะเอาเฉพาะ3กลุ่มแล้วคนอื่นที่มีคุณสมบัติ ตามที่ปราชญ์อธิบายไว้ก็ไม่เข้าพวกโดยทันที เพราะอธิบายเจาะจงไปแล้วว่า สามกลุ่ม”

ผมขอออกความคิดเห็นอย่างนี้น่ะครับ ผมคิดว่าการที่บอกถึง 3 กลุ่มนั้นถือว่าถูกต้องแล้ว เพราะทั้ง 3 กลุ่มเป็นกลุ่มที่ปรากฏและปกป้องอิสลามในทุกยุคสมัยอย่างต่อเนื่องและไม่ขาดตอน...

ส่วนกลุ่มอื่นๆ นั้น แม้จะมีชื่อกลุ่มอยู่แต่ไม่เลื่องลือ ซึ่งหากว่ากลุ่มเล็กดังกล่าวอยู่ในสัจธรรมที่สอดคล้องกับปราชญ์มัซฮับทั้งสี่ข้างต้น คืออัลอะชาอิเราะฮ์(ที่มีส่วนมากจากปราชญ์มัซฮับชาฟิอีย์และมัซฮับมาลิกีย์) มุตูริดียะฮ์(ส่วนมากจากปราชญ์มัซฮับหะนะฟีย์) และแนวทางอะษะรียะฮ์(ปราชญ์ส่วนมากของมัซฮับฮัมบาลีย์) ก็ถือว่าอยู่ในหะดีษดังกล่าวด้วย หากแม้ว่าจะมีบทบาทน้อยก็ตาม...

ดังนั้นการที่ อ.อารีฟีน เองอธิบายจำกัดเพียงแค่สามกลุ่ม อาจจะทำให้วะฮ์ฮาบีหรือคุณ Alif Taopalee คิดว่าวะฮ์ฮาบีน่าจะต้องอยู่ในจำพวกที่หะดีษนบีได้บอกไว้ด้วยหรือต้องยิ่งกว่า ผมขอออกความเห็นอย่างนี้น่ะครับว่า กลุ่มวะฮ์ฮาบีนั้น จะไปรวมอยู่ในกลุ่มทั้ง 3 ไม่ได้หรอก เพราะทั้งสามกลุ่มเขาต่างยอมรับในการเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ซึ่งกันและกัน แต่วะฮ์ฮาบีคิดว่าแนวทางของตนเองเท่านั้นที่เป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อย่างแท้จริงและกล่าวหาแนวทางอื่นบิดอะฮ์ ชิริก และอาจจะถึงขั้นกาเฟร เมื่อวะฮ์ฮาบีมีทัศนะที่เห็นแก่ตัวเช่นนี้ จึงไม่มีลักษณะของความเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์พอที่จะให้กลุ่มอื่นยอมรับ...

วัลลอฮุอะลัมบิศศ่อว้าบ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 06, 2012, 03:37 PM โดย muqorrabeen »

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
อะสัน หมัดอาดัม "มีหะดิษบทใหนมารับรองสามกลุ่มนี้โดยเฉพาะ"

ส่วนคุณ อะสัน หมัดอาดัมครับ หะดีษบทดังกล่าวนั้นมีผลบังคับใช้ยันยันกิยามะฮ์ ซึ่งปราชญ์สะลัฟ ได้อธิบายว่า หมายถึงนักปราชญ์อะฮ์ลุลหะดีษ(อธิบายโดยท่านอะห์มัด) และหมายถึงนักวิชาการ(อธิบายโดยอิหม่ามอัลบุคอรีย์) และอิหม่ามอันนะวาวีย์ก็ได้อธิบายคุณลักษณะของพวกเขาไว้หลายประการ เช่น เป็นนักรบ เป็นนักปราชญ์ฟิกห์ เป็นนักหะดีษ เป็นนักตะเซาวุฟ มีลักษณะกระจายทั่วแผ่นดิน(ไม่หลบๆ ซ่อนๆ เหมือนอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ตามทัศนะของวะฮ์ฮาบี)...

ซึ่งคำอธิบายของสะลัฟและอิหม่ามอันนะวาวีย์นี้ กลุ่มใหนบ้างมีลักษณะตามที่ปราชญ์หะดีษได้อธิบายไว้ ซึ่งแน่นอนว่า คือ 3 กลุ่มนี้เพราะพวกเขายอมรับการเป็นอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ซึ่งกันและกัน มีความแข็งกร้าวต่อพวกกุฟฟารและมีความน้อบน้อมต่อกัน ซึ่งการยอมรับต่อกันเช่นนี้ มิได้อยู่บนความลุ่มหลงแน่นอน...ส่วนกลุ่มอื่นหลังจากยุคสะลัฟนั้น ต้องพิจารณากันไป แต่กลุ่มวะฮ์ฮาบีย์ไม่ได้เข้ามาอยู่ร่วมหรอก เพราะเป็นกลุ่มที่เห็นแก่ตัวคิดว่าตนเองเท่านั้นที่ถูก แบบนี้มีลักษณะบางอย่างของฟิรอูน จึงไม่เหมาะที่จะมาอยู่ร่วมกับทั้งสามกลุ่มนี้ที่ถูกวะฮ์ฮาบีฮุกุ่มหลักการเสียเรียบร้อยไปแล้ว...

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
อะสัน หมัดอาดัม ได้แอบอ้างว่า

“ถ้อยคำของท่านเป็นการกล่าวโดยรวมว่ามุสลิมที่อยู่ในมัซฮับทั้งสี่ อยู่ในแนวทางอะฮลุสสุนนะฮ และไม่ได้ยืนยันว่า อะชาอีเราะฮทุกคนอยู่ในแนวทางอะฮลุสสุนนะฮทั้งหมด โดยเฉพาะอะชาอิเราะยุคหลัง ดังคำยืนยันของอุลามาอฺต่อไปนี้

๒,๑ อับดุลบีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

أهل الأهواء عند مالك وسائر أصحابنا هم أهل الكلام، فكل متكلم فهو من أهل الأهواء والبدع أشعرياً كان أو غير أشعري، ولا تقبل له شهادة في الإسلام أبداً، ويهجر ويؤدب على بدعته "

อะฮลุลอัลอะฮวาอฺ(หมายถึงชาวบิดอะฮ หรือผู้ที่ยึดเอาความเห็นเป็นหลัก) ตามทัศนะมาลิกและบรรดาสหายของเราคน อื่นๆ คือ อะฮลุลกะลาม(นักวิภาษวิทยา) และทุกคนที่เป็นนักกะลาม เขาก็เป็นส่วนหนึ่งจาก อะฮลุลอัลอะฮวาอฺ และบิดอะฮ ไม่ว่าชะเป็นอัชอะรี หรือไม่ใช่อัชอะรีก็ตาม และการเป็นพยานของเขาจะไม่ถูกรับรองในอิสลามตลอดไป” – ดู ญามิอุลบะยานอัลอิลมี เล่ม ๒ หน้า ๑๑๗

จึงเห็นได้ว่า อะชาอีเราะ ที่ยึดเอาปัญญามาก่อนหลักบานในการติความสิฟัตอัลลอฮ ก็มีสิทธิจะเป็นอาชาอีเราะฮปลอมได้เหมือนกัน กลุ่มตะกัลลิมีน (Mutakallimin) หรือ อะฮลุลกะลาม คือกลุ่มนักเทววิทยาที่เน้นการเอาเหตุผลทางปัญญา และทางตรรกวิทยามาอธิบายหลักความเชื่อในอิสลามจนทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนและเบี่ยงเบนจากความถูกต้อง”
…………………..


หากศึกษาการอ้างอิงของคุณอะสัน ที่อ้างอิงคำพูดของท่าน อิบนุอับดิลบัรร์ จากหนังสือ ปรากฏว่าคุณอะสันสับสนและงง เนื่องจากไม่เคยไปเปิดจากตำราโดยตรงของท่าน อิบนุอับดิลบัรร์ เพราะภาษาอาหรับที่คุณอะสันอ้างอิงมานั้น มิใช่เป็นคำพูดของท่านอิบนุอับดิลบัรร์ แต่เป็นคำพูดที่อ้างไปถึง ابن خويزمنداد อิบนุคุวัยซ์ มันดาด ที่อยู่มัซฮับมาลิกีย์ ซึ่งเป็นคำพูดที่วะฮ์ฮาบีนำมาฮุกุ่มปราชญ์มากมายของอัลอะชาอิเราะฮ์อัลมุตูรีดียะฮ์ที่อยู่ในมัซฮับชาฟิอี ปราชญ์หะนะฟี ปราชญ์มะลีกียะฮ์ และฮัมบาลีย์บางส่วน ซึ่งเป็นการอ้างที่อ่อนและฟังไม่ขึ้นโดยทั้งปวง ดังต่อไปนี้

ด้านของสายรายงานที่ได้รายงานถึง อิบนุคุวัยซ์ มันดาด นั้นมีคนที่ไม่รู้ถึงสถานะภาพของเขาว่าเชื่อถือได้หรือไม่?

ในอิบนุอับดุลบัรร์เองนั้น ได้รายงานนำเสนอไว้ดังนี้

أخبرنا إسماعيل بن عبد الرحمن قال حدثنا إبراهيم بن بكر قال سمعت أبا عبدالله محمد بن أحمد بن إسحق بن خويزمنداد المصري المالكي

“ได้เล่าให้เราทราบโดย อิสมาอีล บิน อับดิรเราะห์มาน เขาได้กล่าวว่า ได้บอกเล่าให้เราทราบโดยอิบรอฮีม บิน อะบีบักร เขาได้กล่าวว่า ฉันได้ยิน อะบูอับดิลลาฮ์ มุฮัมมัด บิน อะห์มัด บิน อิสหาก บิน คุวัยซฺ มันดาด อัลมิสรีย์ อัลมาลิกีย์...” หนังสือญามิอฺ บะยาน อัลอิลมิ หน้า 416

ในสายรายงานถึงอิบนุคุวัยซ์ มันดาดนั้น มี “อิบรอฮีม บิน อะบีบักร์” ซึ่งเขามัจญฺโฮล คือไม่เป็นที่รู้จักถึงสถานะของเขาว่าเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นสายรายงานถึงท่านอิบนุ คุวัยซฺ มันดาดนั้น ถึงดออีฟ เชื่อถือไม่ได้

ดังนั้นการที่วะฮ์ฮาบีได้นำคำพูดของ อิบนุคุวัยซฺ มันดาด มาอ้างเพื่อฮุกุ่มอุลามาอฺมาลิกีย์ทั้งหมดที่อยู่แนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์นั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าขบขัน เพราะอุลามาอฺมัซฮับมาลิกีนอย่างอิบนุคุวัยซฺ มันดาดคนเดียว จะมาฮุกุ่มบรรดาอุลามาอฺมัซฮับมาลิกีย์ระดับแนวหน้าได้อย่างไร ซึ่งถือว่าไร้น้ำหนักโดยแท้ และสายรายงานถึงอิบนุคุวัยซฺ มันดาด ก็ดออีฟด้วย

ท่านอิบนุหะญัร อัลอัสก่อลานีย์ ได้กล่าวถึงอิบนุคุวัยซฺ มันดาด ว่า

وعنده شواذ عن مالك واختيارات وتأويلات لم يعرج عليها حذاق المذهب كقوله: إن العبيد لا يدخلون في خطاب الأحرار وإن خبر الواحد مفيد العلم وإنه لا يعتق على الرجل سوى الآباء والأبناء. وقد تكلم فيه ابن الوليد الباجي ولم يكن بالجيد النظر ولا بالقوي في الفقه وكان يزعم أن مذهب مالك أنه لا يشهد جنازة متكلم ولا يجوز شهادتهم ولا مناكحتهم ولا أمانتهم وطعن ابن عبد البر فيه أيضاً وكان في أواخر المائة الرابعة

“ณ ที่ อิบนุคุวัยซ์ มันดาด นั้น มีสิ่งแปลกๆ แหวกแนวที่รายงานจากท่านอิม่ามมาลิก และมีการเลือก(ให้น้ำหนัก)และทำการอธิบายตีความที่เหล่าปราชญ์มัซฮับมาลิกที่ฉลาดปราดเปรื่องไม่ให้ความสนใจ เช่น คำพูดของเขาที่ว่า บรรดาทาสไม่ได้เข้าไปอยู่ในคำบัญชาใช้(ของอัลลอฮ์)เหมือนกับบรรดาอิสระชน และหะดีษที่รายงานไม่เลื่องลือนั้น ให้ผลถึงความรู้ที่มั่นใจ และไม่จำเป็นแก่ชายคนหนึ่ง(ที่เป็นเครือญาติ)จะถูกปล่อยให้เป็นอิสระชนไม่ได้นอกจากพ่อแม่และบรรดาลูกๆ เท่านั้น(โดยส่วนปู่ ย่า แม่ ไม่สามารถปล่อยทาสที่เป็นเครือญาติให้เป็นอิสระชนได้) และท่านอิบนุวะลีด อัลบาญีย์ได้ทำการวิจารณ์ อิบนุคุวัยซ์ มินดาด โดยที่อิบนุคุวัยซ์ มินดาดนั้นมีมุมมองวินิจฉัยที่ไม่ดีและไม่มีน้ำหนักในด้านฟิกห์ และเขาอ้างว่า มัซฮับมาลิกนั้น ไม่มีการไปร่วมญะนาซะฮ์อุลามาอฺกะลาม ไม่อนุญาตให้นำอุลามาอฺกะลามเป็นพยายาน ไม่ทำการนิกะฮ์กับพวกเขา และไม่มอบความไว้เนื้อเชื่อใจกับพวกเขา ซึ่งท่านอิบนุอับดิลบัรร์ ได้ทำการตำหนิอิบนุคุวัยซ์ มินดาด เช่นเดียวกัน และเขาอยู่ในท้ายของศตวรรษที่สี่” หนังสือลิซานุลมีซาน เล่ม 5 หน้า 329

สิ่งที่ได้รับจากคำพูดของท่านอิบนุหะญัร อัลอัสก่อลานีย์ คือ

1 อิบนุคุวัยซ์ มันดาดนั้น มีการแปลกๆ ที่รายงานจากอิม่ามมาลิกมากมาย
2 อิบนุคุวัยซ์ มันดาด นั้น ท่านอิบนุ วะลีด อัลบาญีย์ ได้ให้การวิพากษ์วิจารณ์
3 อิบนุคุวัยซ์ ไม่ชำนาญในด้านของฟิกห์
4 อิบนุคุวัยซ์ มันดาด นั้น เหล่าปราชญ์แห่งมัซฮับมาลิกีย์ไม่ให้การสนใจและเหลียวแล
5 ท่านอิบนุอับดิลบัรร์เอง ก็ให้การตำหนิกับ อิบนุคุวัยซฺ มันดาด

ดังนั้นการที่วะฮ์ฮาบีพยายามเอาคำพูดของอิบนุคุวัยซฺ มันดาด โดยมีสายรายงานที่อ่อนมาฮุกุ่มปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์ที่มากมายทั่วแผ่นดินนั้น จึงเป็นเรื่องที่ตลกขบขันและฟังไม่ขึ้นโดยทั้งปวง

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
ดีคับก๊อบมาลง เพราะว่าในกลุ่มนั้นถ้าไม่มีตอบกระทู้จะหายาก เอามาลงบอร์ดิ จะได้หาง่ายคับ  ขอให้อัลลอฮตอบแทนความดีคับบ

ยินดีครับ  เห็นว่ามีประโยชน์และตรงประเด็นครับ  ก็เลยก็อบมาให้อ่านกัน

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด
หลักฐานต่างๆ ที่คุณ อะซัน หมัดอะดัม ได้ยกมาเพื่อโต้ตอบอะชาอิเราะฮฺนั้น ความจริงแล้วเป็นหลักฐานเดิมๆ ที่เคยโดย อ.อัซฮารีย์(อ.อาริฟีน) แก้ต่างไว้หมดแล้วตอนสมัยที่เคยถกกันในเวปไซด์ต่างๆ ไม่ว่าจะในเวปมรดกหรือในเวปสุนนะฮฺฯ แห่งนี้ก็ตาม แต่คุณ อะซัน หมัดอะดัม แค่เอาของเก่ามาเล่าใหม่ เพื่อให้คนที่ไม่เคยติดตามการโต้ตอบในอดีต หลงเชื่อในความคิดของตนเอง ดังนั้น ไม่ว่าคุณอะสัน หมัดอะดัม จะเอาหลักฐานไหนมาพูด ก็จะมีหลักฐานที่เค้าโต้ไว้หมดแล้วทั้งนั้นครับ
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ Myusuf

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 4
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
อัสลามมุอาลัยกุม

ผมพึ่งได้แวะเข้ามาในเว็บนี้เมื่อไม่นาน เพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และได้ดูวีดีโอในหัวข้อนี้ครบทุกตอนแล้ว
จึงอยากแสดงความคิดเห็นในฐานะมุสลิมธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้มีความรู้มากมายเหมือนหลายๆคนที่พูดคุยในกระทู้นี้
การแสดงความคิดเห็นที่อาจมีข้อผิดพลาดขอได้โปรดให้อภัยและแนะนำนักเตือนด้วยนะครับ

คือผมเห็นว่าหลักศรัทธาในเรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด และเป็นตัวตัดสินหรือทางรอดในอาคีเราะห์
ความอิคลาศเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะนำเราไปสู่สิ่งนี้ได้ เมื่อเราเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจและสิ้นสงสัยแล้วว่าอัลเลาะห์
นั้นคือพระเจ้าเพียงองค์เดียวเป็นผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นผู้มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง
เราตั้งใจขอดุอาให้พระองค์ฮิดายะห์ให้เราเข้าใจในศาสนาของพระองค์ที่ถูกต้อง แล้วก็ตั้งใจศึกษาอย่างจริงใจ
โดยมิต้องสนใจว่าวิชาการนั้นจะมาจากแหล่งใด ผมเชื่อว่าพระองค์จะช่วยให้เราสามารถแยกแยะสัจธรรมเพื่อไปสู่หนทางที่ถูกต้องได้

ผมซึ่งเป็นคนในปัจจุบันเกิดไม่ทันนบี แต่ก็อยากเพียงแค่รู้ว่าในสมัยนบีขณะนั้น ซึ่งท่านเผยแผ่ศาสนาใหม่ให้กับคนอื่นๆ ซึ่งขณะนั้นเป็นกาเฟรทั้งหมด อย่างไร ซึ่งก็จากอัลกุรอานทั้งสิ้น
และท่านได้อธิบายความหมายนั้นๆของอัลกุรอานในเรื่องที่เกี่ยวกับการศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ผ่านซอฮาบะห์อย่างไร

จากความรู้เล็กน้อยที่ผมพอจะมี จุดสำคัญมากครั้งหนึ่งที่จะแยกแยะเหล่าบรรดาผู้ศรัทธาออกจากผู้อื่นนั้นก็คือ
การอิศเราะฮ์เมียะอ์รอจ ซึ่งเชื่อว่าทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วและผมไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียด ซึ่งเหตุการณ์นี้สร้างความหนักใจให้แก่ท่านนบีเป็นอย่างมากต่อสิ่งที่ท่านไปประสบพบมา และถึงกับกล่าวกับท่านยิบรีลทำนองว่าจะให้ฉันไปกล่าวแก่ผู้คนว่าอย่างไรและใครจะเชื่อ ทั้งๆที่อย่าลืมว่าท่านนบีนั้นได้ไปอยู่ต่อหน้าอัลเลาะห์มาแล้ว ทรงรู้จักอัลเลาะห์ดีมากกว่าใครทุกคน
ท่านนบีถูกดูถูกเยาะเย้ยหาว่าเสียสติ และมีคำถามจากพวกปฏิเสธศรัทธามากมาย แต่ในขณะเดียวกันท่านอบูบักรและมุสลิมผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง กลับกล่าวว่าเมื่อเรื่องนี้มาจากมูฮัมมัดและมูฮัมมัดนั้นคือศาสนทูตที่แท้จริงจากอัลเลาะห์พวกเราขอน้อมรับอย่างสุดซึ้งบริสุทธิ์ใจและไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยใดๆทั้งสิ้น

ไม่มีแม้ซักคนเดียวจะซักไซร้ถามท่านนบีนอกเหนือจากที่ท่านนบีได้เล่าเองว่า อัลเลาะห์ลักษณะเป็นอย่างไรต่างจากมนุษย์อย่างไร ทั้งที่ท่านได้พบเห็นกับตาตัวเองมาแล้ว
ท่านนบีสอนการศรัทธาที่ง่ายให้คนทั่วๆไปเข้าใจได้ ละเว้นสิ่งน่าสงสัยซ่อนเร้นซึ่งจะเป็นเชื้อร้ายให้มารร้ายชัยตอนชักนำให้ลุ่มหลงงมงาย และหลงทางในที่สุด

ผมดูวีดีโอแล้วผิดหวังว่าจะได้เจอเนื้อหาสาระในหลักศรัทธาที่ทั้ง 2 ฝ่ายมุ่งนำเสนอเพื่อให้เกิดความเข้าใจ
แก่ประชาชนทั่วไปอย่างแท้จริง

วัลลอหุอะอ์ลัม

วัสลาม

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
ผมดูวีดีโอแล้วผิดหวังว่าจะได้เจอเนื้อหาสาระในหลักศรัทธาที่ทั้ง 2 ฝ่ายมุ่งนำเสนอเพื่อให้เกิดความเข้าใจ
แก่ประชาชนทั่วไปอย่างแท้จริง

แสดงว่าอะกีดะฮ์ของคุณยังอ่อนมากครับ

ออฟไลน์ Andalus

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1131
  • เพศ: ชาย
  • บ่าวผู้ต่ำต้อย
  • Respect: +27
    • ดูรายละเอียด



รอดูก็แล้วกันว่าเมื่อไร  ได้ข่าวว่า อ ชารีฟ วงเสงี่ยม และ นาย อามีน ลอนา

เข้าน่วมรับฟังด้วย  ไม่รู้ว่าจะมีการนำไปตีแผ่กันในรายการของเขาหรือป่าวน่า  ผ่าน ทีวี มุสลิม


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=jNh-dO7GREM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=jNh-dO7GREM</a>
"โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ทรงทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ ขอพระองค์ทรงให้หัวใจของฉันแน่นแฟ้นอยู่บนศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ด้วยเถิด "

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
สองคนนี้  เขาพูดผ่านทางทีวีให้กับคนที่ไม่ได้ดูการดีเบทฟัง  ส่วนพี่น้องมุสลิมที่ได้ชมและได้ดูการดีเบท  แน่นอนว่าคำพูดของสองคนนี้ไร้ความหมาย

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
จงตัดมือขวาของชารีฟ วงศ์เสงี่ยม ในขณะเขากล่าวว่าในช่วงเวลา 1:17:10 อัลลอฮ์จะทรงม้วนจักรวาลด้วยพระหัตถ์ข้างขวาและกำด้วย แล้วชารีฟ วงศ์เสงี่ยมก็ยกมือข้างขวามากำและแบ แล้วอามีน ลอนา ก็แกล้งเป็นทักท้วงเพื่อให้ชารีฟตอบชี้แจง และชะรีฟ ก็อ้างว่า “ท่านนบีทำครับท่านพี่น้อง ท่านนบีน่ะเวลาอ่านอายะฮ์ว่าอัลลอฮ์จะม้วนๆ ท่านนบีกำมืออย่างนี้(แล้วชารีฟก็ทำท่ายกมือขวาแล้วกำไปกำมา) ทำไมผมจะทำไม่ได้”

หนึ่ง ที่ชารีฟ บอกว่าเวลานบีอ่านอายะฮ์ที่ว่าอัลลอฮ์จะม้วนๆ ท่านนบีกำมืออย่างนี้ ถือว่าโกหก เพราะไม่มีหะดีษบทใดระบุว่า เมื่อท่านนบีอ่านอายะฮ์ที่ 67 ซูเราะฮ์ อัซซุมัร แล้วนบีจะกำและแบมือ

สอง ในขณะชาริฟกล่าวว่า อัลลอฮ์จะทรงม้วนจักรวาลด้วยพระหัตถ์ข้างขวาและกำด้วย แล้วชารีฟ วงศ์เสงี่ยมก็ยกมือข้างขวามากำและแบ แล้วบอกว่า “นบีกำและแบมือเมื่อพูดว่าอัลลอฮ์ทรงม้วนจักรวาล”

เท่าที่ผมตรวจสอบหะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ได้มีระบุไว้ในซอฮิห์มุสลิม ด้วยถ้อยคำที่ว่า

يَأْخُذُ اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ سَمَاوَاتِهِ وَأَرَضِيهِ بِيَدَيْهِ فَيَقُولُ أَنَا اللَّهُ وَيَقْبِضُ أَصَابِعَهُ وَيَبْسُطُهَا أَنَا الْمَلِكُ

“อัลเลาะฮ์ทรงจัดการบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดินของพระองค์ด้วยพลังอำนาจของพระองค์ แล้วพระองค์ก็กล่าวว่า ข้าคืออัลลอฮ์ – โดยท่านนบีกำบรรดานิ้วของท่านและแผ่บรรดานิ้ว- ข้าคือกษัตริย์ผู้ปกครอง” รายงานโดยมุสลิม

ความจริงเกี่ยวกับหะดีษนี้คือ การที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กำและแผ่นิ้วของท่านนั้น นั้นเป็นการเปรียบเทียบ แต่มิใช่เป็นการเปรียบเทียบกับการกำและแบอัลลอฮ์ แต่เป็นการเปรียบเทียบกับการถูกบีบตัวและการแผ่(กระจาย)ของบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดิน

ท่านอิหม่ามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวอธิบายว่า

وَقَبْض النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَصَابِعه وَبَسْطهَا تَمْثِيل لِقَبْضِ هَذِهِ الْمَخْلُوقَات وَجَمْعهَا بَعْد بَسْطهَا ، وَحِكَايَة لِلْمَبْسُوطِ وَالْمَقْبُوض ، وَهُوَ السَّمَوَات وَالْأَرْضُونَ

“การกำและแบบรรดานิ้วของท่านนบี(ซ.ล.)นั้น เป็นการยกตัวอย่างให้กับการบีบและรวบบรรดามัคโลคหลังจากที่มันได้แผ่และเป็นการเล่าถึงสิ่งที่ถูกแผ่และถูกบีบ ซึ่งมันก็คือบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดิน” ชัรห์ซอฮิห์มุสลิม

และเป็นที่ทราบกันดีตามแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ว่า การตัชบีฮ์(สร้างความคล้ายคลึง)กับซีฟาตของอัลลอฮ์นั้น เป็นกุฟุร

ท่านอัลลาลิกาอีย์ ได้รายงานว่า

سمعت أبا محمد الحسن بن عثمان بن جابر يقول سمعت أبا نصر أحمد بن يعقوب بن زاذان قال بلغني أن أحمد بن حنبل قرأ عليه رجل: "وما قدروا الله حق قدره والأرض جميعا قبضته يوم القيامة والسموات مطويات بيمينه" قال ثم أومأ بيده فقال له أحمد: قطعها الله قطعها الله قطعها الله. ثم حرد وقام:

“ฉันได้ยิน อะบามุฮัมมัด อัลหะซัน บิน อุษมาน บิน ญาบิร ได้กล่าวว่า ฉันได้ยิน อะบา นัสร์ อะห์มัด บิน ยะอฺกูบ บิน ซาดาน ได้กล่าวว่า ได้ทราบยังฉันว่า แท้จริงได้มีชายคนหนึ่งได้อ่านแก่ท่านอะห์มัด บิน ฮัมบัล(อายะฮ์ที่ 67 ซูเราะฮ์อัซซุมัร)ว่า “และพวกเขาไม่รู้จักอัลลอฮ์อย่างแท้จริงได้หรอก และแผ่นดินทั้งหมดถูกกำไว้(ในอำนาจของพระองค์)ในวันกิยามะฮ์และบรรดาฟากฟ้านั้นจะรวบด้วย(พระหัตถ์ขวา)เดชานุภาพของพระองค์” หลังจากนั้นเขาได้ทำท่าทางด้วยมือของเขา ดังนั้นท่านอะห์มัด จึงกล่าวแก่เขาว่า ขออัลลอฮ์ทรงตัดมือของเขา ขออัลลอฮ์ทรงตัดมือของเขา ขออัลลอฮ์ทรงตัดมือของเขา หลังจากนั้นท่านอะห์มัดก็โกรธและลุกขึ้นยืน” อุศูลุซซุนนะฮ์ 3/432

ดังนั้นการยกมือกำแบในขณะอ่านอายะฮ์ดังกล่าวนั้น เป็นการยกตัวอย่างตัชบีฮ์(แม้ปากจะบอกว่าไม่ได้ตัชบีฮ์ก็ตาม) ซึ่งเป็นสิ่งที่บิดอะฮ์ลุ่มหลง

เพราะอัลลอฮ์ตาอาลาทรงตรัสว่า

فَلَا تَضْرِبُوا لِلَّهِ الْأَمْثَالَ

“ดังนั้นพวกเจ้าอย่ายก(เปรีบเทียบ)ตัวอย่างทั้งหลาย(คล้าย)กับอัลลอฮ์เลย”

อ้างอิงจาก เฟส أهل السـنة و الجـماعة ( ฉบับไม่แอบอ้าง ) http://www.facebook.com/groups/215151975220125/300310320037623/?comment_id=300369913364997&notif_t=like

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
ท่านอบูดาวูด ได้รายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ว่า

مَوْلَى أَبِي هُرَيْرَةَ قَالَ سَمِعْتُ أَبَا هُرَيْرَةَ يَقْرَأُ هَذِهِ الْآيَةَ { إِنَّ اللَّهَ يَأْمُرُكُمْ أَنْ تُؤَدُّوا الْأَمَانَاتِ إِلَى أَهْلِهَا إِلَى قَوْلِهِ تَعَالَى سَمِيعًا بَصِيرًا } رَأَيْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَضَعُ إِبْهَامَهُ عَلَى أُذُنِهِ وَالَّتِي تَلِيهَا عَلَى عَيْنِهِ قَالَ أَبُو هُرَيْرَةَ رَأَيْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقْرَؤُهَا وَيَضَعُ إِصْبَعَيْهِ قَالَ ابْنُ يُونُسَ قَالَ الْمُقْرِئُ يَعْنِي إِنَّ اللَّهَ سَمِيعٌ بَصِيرٌ يَعْنِي أَنَّ لِلَّهِ سَمْعًا وَبَصَرًا قَالَ أَبُو دَاوُد وَهَذَا رَدٌّ عَلَى الْجَهْمِيَّةِ

“ทาสที่ถูกปล่อยเป็นอิสระของท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์อ่านอายะฮ์นี้ “แท้จริงอัลลอฮ์ทรงใช้พวกเจ้าให้มอบคืนบรรดาของฝากแก่เจ้าของของมัน จนถึงคำตรัสของพระองค์ที่ว่า แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น” อันนิซาอฺ 58 ฉันได้เห็นท่านร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.) ได้เอานิ้วโป้งของท่านวางบนหูของท่านและเอานิ้วชี้วางบนตาของท่าน อบูฮุร็อยเราะฮ์กล่าวว่า ฉันเห็นท่านร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.)ได้ทำการอ่านได้ทำการอ่านอายะฮ์กล่าวและเอาสองนิ้วของท่านวาง(ที่ตาและหูของท่าน) ท่านอิบนุยูนุสกล่าวว่า ท่านอัลมุกริอฺกล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์หมายถึงว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ได้ยินยิ่ง เป็นผู้ทรงเห็นยิ่ง ท่านร่อซูลุลลอฮ์หมายถึง สำหรับอัลลอฮ์นั้นทรงได้ยินและทรงเห็น อบูดาวูดกล่าวว่า หะดีษนี้โต้ตอบพวกญะฮ์มียะฮ์(ที่ปฏิเสธซีฟัตของอัลลอฮ์)”...

ความจริงของหะดีษบทนี้ ที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้เอานิ้วโป้งวางไว้ที่หูและเอานิ้วชี้วางไว้ที่ตานั้น มิใช่หมายถึง เป็นการตัชบีฮ์คุณลักษณะการได้ยินของอัลลอฮ์ว่ามองด้วยตาหรือได้ยินด้วยหูเพราะอัลลอฮ์ไม่มีซีฟัตหู แต่ท่านนบี(ซ.ล.)ต้องการบอกว่าอัลลอฮ์ทรงได้ยินและทรงเห็นเท่านั้นเอง

ดังที่ท่านอบูดาวูดได้กล่าวลงท้ายว่า

قَالَ ابْنُ يُونُسَ قَالَ الْمُقْرِئُ يَعْنِي إِنَّ اللَّهَ سَمِيعٌ بَصِيرٌ يَعْنِي أَنَّ لِلَّهِ سَمْعًا وَبَصَرًا

“ท่านอิบนุยูนุสกล่าวว่า ท่านอัลมุกริอฺกล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์หมายถึงว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ได้ยินยิ่ง เป็นผู้ทรงเห็นยิ่ง ท่านร่อซูลุลลอฮ์หมายถึง สำหรับอัลลอฮ์นั้นทรงได้ยินและทรงเห็น” วัลลอฮุอะลัม...

อ้างอิงจาก เฟส أهل السـنة و الجـماعة ( ฉบับไม่แอบอ้าง ) http://www.facebook.com/groups/215151975220125/300477120020943/?notif_t=like

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio
ในกลุ่มนั้น ( أهل السـنة و الجـماعة ( ฉบับไม่แอบอ้าง )) เห็นมีแต่ Sunnah Core เท่านั้นแหละที่โพสอะไรที่มันมีสาระ

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด



รอดูก็แล้วกันว่าเมื่อไร  ได้ข่าวว่า อ ชารีฟ วงเสงี่ยม และ นาย อามีน ลอนา

เข้าน่วมรับฟังด้วย  ไม่รู้ว่าจะมีการนำไปตีแผ่กันในรายการของเขาหรือป่าวน่า  ผ่าน ทีวี มุสลิม


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=jNh-dO7GREM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=jNh-dO7GREM</a>




จากคลิปด้านบน ช่วงเวลาที่ 49.20 ... อามีน ลอนา ได้ยกอายะฮฺ อัล-กุรอาน พร้อมกับแปลว่า ..

تَبَارَكَ ٱلَّذِي بِيَدِهِ ٱلْمُلْكُ

“ความจำเริญสุขจงมีแด่พระผู้ซึ่งอำนาจอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์”  (ซูเราะฮฺ อัล-มุลกฺ : 1)

แล้วอามีน ลอนา ก็กล่าวต่อว่า .. คำว่า “الملك (อัล-มุลกฺ)” แปลว่า “อำนาจ” .. โดย อามีน ลอนา ได้ยึดคำแปลที่มาจากอัล-กุรอานเล่มแดงของวะฮาบีย์มาแปลให้คนทั่วไปฟัง แล้วพูดต่อไปว่า คำว่า “الملك (อัล-มุลกฺ)” แปลว่า “อำนาจ” แล้วคำว่า “بيده (บิยะดิฮิ)” ก็แปลว่า “พระหัตถ์หรือมือของพระองค์”

แล้วอามีน ลอนา ก็พูดต่อไปในเชิงตำหนิว่า .. แล้วถ้าแปลคำว่า بيده ให้มีความหมายว่า “อำนาจ” ละอาจารย์ชารีฟ (อ.ชารีฟ ก็ช่วยพูดตำหนิในการให้ความหมายว่า “อำนาจ” โดย อ.ชารีฟ บอกว่า “นี่เป็นการแปลตามพวกที่ผิดเพี้ยน”) แล้วอามีน ลอนา ก็แปลอายะฮฺนี้ไปตามความไม่รู้ของตนเองว่า “ความจำเริญจงมีแด่อัลลอฮฺผู้ซึ่งอำนาจอยู่ในอำนาจ” แล้วอามีน ลอนา กับ อ.ชารีฟ ก็ตำหนิว่า การไปแปลคำว่า "بيده" ให้มีความหมายว่า “อำนาจ” นั้น แปลแบบนี้ มันเป็นการแปลของผู้ที่ผิดเพี้ยน มันแปลไม่ได้ 



ชี้แจง

ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า .. การที่ อามีน ลอนา  แปลอายะฮฺนี้แบบใส่ร้ายคนอื่นว่า “ความจำเริญจงมีแด่อัลลอฮฺผู้ซึ่งอำนาจอยู่ในอำนาจ” นั้น ผมก็ยอมรับว่า นี่เป็นการแปลของพวกที่ผิดเพี้ยนจริงๆ และคนที่ผิดเพี้ยนจริงๆ ก็คือ อามีน ลอนา นั่นเอง .. เพราะนี่คือ คำแปลของอามีน ลอนา ที่แปลทึกทักเอาเอง  ซึ่งไม่เคยมีปราชญ์คนใดเขาแปลในแบบที่อามีน ลอนา กล่าวอ้างเอาไว้เลย แต่นี่เป็นการแปลแบบเพี้ยนๆ ของอามีน ลอนา แค่คนเดียวเท่านั้น การแปลของอามีน ลอนา ในลักษณะนี้ ถือว่าเป็นการใส่ร้ายต่อปราชญ์อิสลามอย่างชัดเจน ดังนั้น เรามาดูว่าอามีน ลอนา ได้ใส่ร้ายต่อปราชญ์อิสลามเอาไว้ว่าอย่างไร ??


คำว่า “الملك (อัล-มุลกฺ)” ตรงนี้ปราชญ์อิสลามผู้ทรงความรู้ ไม่ได้ให้ความหมายว่า “อำนาจ” ตามที่อามีน ลอนา ได้พูดเอาไว้ตามความไม่รู้ของเขา และคำว่า “بيده (บิยะดิฮิ)” ตรงนี้ ปราชญ์อิสลามผู้ทรงความรู้ ก็ไม่ได้ให้ความหมายว่า “พระหัตถ์ของพระองค์” ตามที่อามีน ลอนา อ้างมาเลยแม้แต่นิดเดียว


ท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ ซึ่งเป็นปราชญ์อิสลามที่ได้รับการยอมรับท่านหนึ่งในโลกอิสลาม ท่านได้อธิบายอายะฮฺที่ว่า ..

تَبَارَكَ ٱلَّذِي بِيَدِهِ ٱلْمُلْكُ

โดยท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ ได้อธิบายอายะฮฺนี้ว่า ..

واليد مجاز عن القدرة والإستيلاء والملك هو ملك السموات والأرض في الدنيا والآخرة

และคำว่า “พระหัตถ์” ตรงนี้เป็นการอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบจาก คำว่า “อำนาจและการครอบครอง” และคำว่า “อัล-มุลกฺ” นั้นหมายถึง “อัลลอฮฺนั้นคือ ผู้ทรงสิทธิในการปกครองบรรดาชั้นฟ้าและหน้าแผ่นดินทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ”

ดู ตำรา فتح القدير  โดย ท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ เล่มที่ 5  หน้าที่ 367


และท่านอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ได้อธิบายอายะฮฺนี้เอาไว้ว่า ..

  بيده الملك : عبارة عن تحقيق الملك، وذلك أن اليد في عرف الآدميين هي آلة تملك فهي مستعارة لذلك، و(الملك) على الإطلاق هو الذي لا يبيد ولا يختل منه شيء، وذلك هو ملك الله تعالى، والمراد في هذه الآية : ملك الملوك، فهي بمنزلة قوله تعالى (قل اللهم مالك الملك

คำว่า “บิยะดิฮิลมุลกฺ” เป็นสำนวนจากการให้การรองรับคำว่า “สิทธิในการปกครอง”  เพราะแท้จริงคำว่า “มือ” ในประเพณีการใช้กันของมนุษย์นั้น หมายถึง "เครื่องมือ(ที่แสดงถึง)การมีสิทธิอำนาจในการครอบครอง" (เช่น เมืองนี้ตกอยู่ในกำมือของพวกเรา เป็นต้น) ดังนั้น ตรงนี้จึงเป็นเสมือนกับการเปรียบเปรยอุปมาอุปมัยนั่นเอง และคำว่า “อัล-มุลกฺ” โดยทั่วไปแล้ว หมายถึง ผู้ที่ไม่สูญสลาย และผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงใดๆ และนี่คือ สิทธิแห่งการปกครองของอัลลอฮฺ ตะอาลา และความหมายในอายะฮฺนี้ คือ ผู้มีสิทธิในการปกครองเหนือผู้ปกครองอื่นๆ ทั้งหลาย ซึ่งนี่คือ ตำแหน่งอันสูงส่งของอัลลอฮฺ ตะอาลา ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า ..

قل اللهم مالك الملك

“จงกล่าวเถิด โอ้อัลลอฮฺ ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งการปกครองทั้งปวง” (ซูเราะฮฺ อาละ อิมรอน : 26)

ดู ตำรา المحرر الوجيز โดย ท่านอิบนุ อะฏียะฮฺ เล่มที่ 15  หน้าที่ 2-3


ดังนั้น อายะฮฺข้างต้นนี้จึงต้องให้ความหมายว่า ..

تَبَارَكَ ٱلَّذِي بِيَدِهِ ٱلْمُلْكُ

“ความจำเริญสุขจงมีแด่พระผู้ซึ่งสิทธิแห่งปกครองนั้น อยู่ในอำนาจของพระองค์”  (ซูเราะฮฺ อัล-มุลกฺ : 1)


ดังนั้น มนุษย์ทุกคนนั้น ไม่มีใครที่มีอำนาจหรือกรรมสิทธ์ในการปกครองสิ่งใดๆ เลย นอกจากว่าทั้งหมดนั้น จะเป็นสิทธิแห่งอำนาจของอัลลอฮฺ ตะอาลา ว่าจะมอบอำนาจหรือมอบสิทธิการปกครองในเรื่องนั้นๆ ให้แก่ผู้ใด หรือว่าพระองค์จะถอนคืนซึ่งสิทธิอำนาจในการปกครองจากผู้ใดก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อำนาจของอัลลอฮฺ ตะอาลา ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเคาะลีฟะฮฺ หรือกษัตริย์ หรือสุลตอน หรือผู้ปกครองใดๆ ก็ตาม ไม่มีผู้ใดที่มีอำนาจหรือมีสิทธิในการปกครองอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด นอกจากอัลลอฮฺ ตะอาลา เท่านั้นที่เพรียบพร้อมและสมบูรณ์แบบที่สุด


สรุป

1. จากอายะฮฺนี้ คำว่า “الملك (อัล-มุลกฺ)” ไม่ได้แปลว่า “อำนาจ” อย่างที่อามีน ลอนา หรือวะฮาบีย์เข้าใจ แต่มันหมายถึง “สิทธิแห่งการปกครอง”

2. คำว่า “بيده (บิยะดิฮิ)” ในอายะฮฺนี้ ต้องทำการตีความให้อยู่ในความหมายว่า “อำนาจหรือการครอบครอง” ซึ่งเป็นไปตามทัศนะของปราชญ์อิสลาม อาทิเช่น ท่านอิมามอัช-เชากานีย์ และท่านอิมามอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ซึ่งได้ทำการตีความเอาไว้ในตำราของท่าน โดยเฉพาะท่านอิมามอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ท่านถือว่าเป็นปราชญ์ตัฟซีรที่โด่งดังมากท่านหนึ่ง และตำราตัฟซีรของท่านเล่มที่ถูกอ้างอิงเอาไว้ด้านบน ก็ถือเป็นตำราตัฟซีรที่ปราชญ์ให้การยอมรับและชมเชยกันเป็นอย่างมาก

3. จากอายะฮฺนี้ ต้องให้ความหมายว่า “ความจำเริญสุขจงมีแด่พระผู้ซึ่งสิทธิแห่งปกครองนั้น อยู่ในอำนาจของพระองค์”  ไม่ใช่แปลแบบสะเพร่าอย่างที่อามีน ลอนา ได้แปลเอาไว้


ข้อสังเกต หากว่าการตีความคำว่า “พระหัตถ์” ให้มีความหมายว่า “อำนาจ” ในอายะฮฺนี้  เป็นการตีความตามความคิดของพวกที่ผิดเพี้ยนอย่างที่อามีน ลอนา และ อ.ชารีฟ กล่าวอ้างแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่า ท่านอิมามอัช-เชากานีย์ และท่านอิมามอิบนุอะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ก็เป็นพวกที่มีความคิดผิดเพี้ยนไปด้วย และนี่คือ การใส่ร้ายอย่างน่าเกลียดของอามีน ลอนา  และ อ.ชารีฟ ต่อปวงปราชญ์อิสลาม .. วัลอียาซุบิลลาฮฺ !!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 11, 2012, 05:15 AM โดย Muftee »
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

 

GoogleTagged