ผู้เขียน หัวข้อ: อ อารีฟีน แสงวิมาน vs อ อาลีคาน ปาทาน (วิดีโอ ฉบับแก้ขัด)  (อ่าน 28222 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ abubuk

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 20
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 :salam:บังMUFTEE   

สุดยอดจริงๆครับมาเวปนี้คราใด ได้รับรู้อะไรหลายๆอย่างจากผู้รู้จริงครับขออัลเลาห์ตอบแทนครับบังMUftee ที่ให้ความรู้กับเรา


 loveit:กดไลค์ให้เลยครับอิๆๆ

ปล.ทราบว่ามาว่า ผลจาก อ.ฮารีฟีนดีเบสกับอ.อาลีคาน ที่ผ่านมา ทำให้กองเชียร์วาฮาบีที่แอบเชียร์ อ.อาลีคาน ตามทีวีบางช่องที่เป็นวะฮาบีและเวปต่างๆเดือดร้อนและจ๋อย ถอยไม่เป็นขบวนเลยครับ แถมทีวีช่องดังกล่าวออกมาแก้ต่างให้อ.อาลีคานอีกต่างหาก อย่างที่บังMufteeนำเสนอนั้นแหล่ะครับ  hehe

แถมบางเวปที่เป็นวะฮาบี เตรียมวิภาษ การบรรยายของ อจ.รอฟิกชมเผ่าในหัวข้อ เปิดเปงซุนนะจอมปลอม ในวันนั้นด้วยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 09, 2012, 12:13 PM โดย abubuk »

ออฟไลน์ ingyas

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 8
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
ขออัลเลาะฮ์ทรงชี้ทางนำที่เที่ยงตรงให้กับเราด้วยเถิด อามีน (บังฟีนสุดยอด)
....ทำไงดีครับสืบเนื่องจากทีวีของพวกเขามี 4ช่อง ทำให้พีน้องเรามากมายสับสนไร้จุดยืน
อยากให้ผู้รู้..ผู้ที่มีอำนาจร่วมช่วยกันหาวิธีเเก้ด่วนครับ sad:

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด



รอดูก็แล้วกันว่าเมื่อไร  ได้ข่าวว่า อ ชารีฟ วงเสงี่ยม และ นาย อามีน ลอนา

เข้าน่วมรับฟังด้วย  ไม่รู้ว่าจะมีการนำไปตีแผ่กันในรายการของเขาหรือป่าวน่า  ผ่าน ทีวี มุสลิม


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=jNh-dO7GREM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=jNh-dO7GREM</a>




จากคลิปด้านบน ในช่วงเวลาที่ 32.17 ..

อ.ชารีฟ กล่าวว่า .. ตามหลักอะฮฺลิสสุนะฮฺฯ สะลัฟที่เข้าใจกันอย่างถูกต้องนั้น เรายืนยันว่า อัลลอฮฺทรงเห็น แต่เราก็ไม่มานั่งบอกว่าอัลลอฮฺมีลูกตาหรอ ??  มีตาดำ มีตาขาวหรอ ?? หรือว่าอัลลอฮฺได้ยินหรือไม่ ?? เราก็ไม่ได้ไปนั่งเจ๊าะแจ๊ะว่าอัลลอฮฺมีหูหรอ ??  อัลลอฮฺมีแก้วหูหรอ ??  เราเชื่อไปเลยว่าอัลลอฮฺเห็นก็คือ อัลลอฮฺเห็น อัลลอฮฺได้ยินก็คือ อัลลอฮฺได้ยิน แต่ว่าไม่เหมือนมนุษย์ก็แล้วกัน ..

แล้วอามีน ลอนา ก็กล่าวเพิ่มเติมจากคำพูดของ อ.ชารีฟ ว่า คนพวกนี้ชอบไปเจ๊าะแจ๊ะ ชอบไปยุ่งในรายละเอียดของอัลลอฮฺ ถ้าพูดแรงๆ เค้าเรียกว่า “ไปเสือก” ในรายละเอียดของอัลลอฮฺ



ชี้แจง

ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า .. การที่อามีน ลอนา ใช้คำพูดไปตำหนิคนอื่นว่า “เสือก” .. นี่นะหรือ คือ มารยาทของคนที่อ้างตัวเองว่าตามอัล-กุรอานและตามสุนนะฮฺ  ถึงแม้ว่าจะมีผู้ที่มีความเห็นไม่ตรงกับความเห็นของตนเอง แต่เราก็ไม่ควรไปด่าเขาว่า “เสือก”


ดังมีหะดีษที่รายงานมาจากท่านอะบีฮุร็อยเราะฮฺ(ร.ด.) ว่า ..

عن أبي هريرة -رضي الله عنه- قال: قال رسول الله -صلى الله عليه وسلم-: من كان يؤمن بالله واليوم الآخر فليقل خيرا أو ليصمت

“จากท่านอะบีฮุร็อยเราะฮฺ(ร.ด.) เล่าว่า ท่านรสูล(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันกิยามะฮฺ ดังนั้น จงพูดแต่สิ่งที่ดีๆ หรือไม่ก็จงเงียบเสีย” (บันทึกโดย บุคอรีย์และมุสลิม)


และท่านรสูล(ซ.ล.) ยังได้กล่าวไว้อีกว่า ..

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏لَيْسَ الْمُؤْمِنُ ‏ ‏بِالطَّعَّانِ ‏ ‏وَلَا اللَّعَّانِ وَلَا ‏ ‏الْفَاحِشِ ‏ ‏وَلَا الْبَذِيءِ

“ผู้ศรัทธานั้น  ต้องไม่เป็นผู้ที่ชอบตำหนิคนอื่น และต้องไม่เป็นผู้ที่ชอบสาปแช่งผู้อื่น  และต้องไม่เป็นผู้ที่ชอบด่าทอผู้อื่นอย่างน่าเกลียด  และต้องไม่เป็นผู้ที่พูดหรือมีนิสัยที่หยาบคาย" บันทึกโดยท่านติรมีซีย์  หะดีษหะซัน


ดังนั้น การที่อามีน ลอนา ไปด่าผู้อื่นว่า “เสือก” ถือว่าเป็นผู้ที่ไร้มารยาทในทางวิชาการอย่างสิ้นเชิง และการที่อามีน ลอนา กล่าวว่า คนพวกนี้ชอบไปเจ๊าะแจ๊ะ ชอบไปยุ่งในรายละเอียดของอัลลอฮฺ เป็นคนที่ “เสือก” นั่นเท่ากับว่า อามีน ลอนา ได้ทำการด่าทอเศาะหาบะฮฺและบรรดาปวงปราชญ์อิสลามอย่างน่าเกลียดมาก ซึ่งปวงปราชญ์เหล่านี้เป็นผู้ที่พยายามศึกษาและตีความรายละเอียดในเรื่องคุณลักษณะของอัลลอฮฺ ตะอาลา เพื่อนำมายืนยันในความบริสุทธิ์ของพระองค์จากคุณลักษณะต่างๆ ที่เหมือนกับมัคลูก .. เรามาดูว่า ปราชญ์ที่โดนอามีน ลอนา ด่าว่า “เสือก” เพราะไปยุ่งเรื่องของอัลลอฮฺ  เขาคือใครกันบ้าง ??


1. ท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ ได้ทำการอธิบายโองการที่ว่า ..

واصنع الفلك بأعيننا ووحينا

“และเจ้าจงสร้างเรือด้วยดวงตาของเราและคำบัญชาของเรา” (ซูเราะฮฺ ฮูด : 37)

จากอายะฮฺนี้ ท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ ได้ทำการตีความ ตรงคำว่า “ด้วยดวงตาของเรา” ในอายะฮฺนี้เอาไว้ว่า ..

والمراد : بحراستنا لك وحفظنا لك

คำว่า “ด้วยดวงตาของเรา” ตรงนี้หมายถึง “ด้วยการดูแลของเราแก่เจ้าและด้วยการปกปักษ์รักษาของเราแก่เจ้า”

ดู ตำรา فتح القدير   โดย ท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ เล่มที่ 2  หน้าที่ 694


2. ท่านอิมาม อัฏ-ฏอบะรีย์ ได้ทำการอธิบายโองการที่ว่า ..

يوم يكشف عن ساق

“วันที่หน้าแข้ง(ของพระองค์)จะถูกเลิกขึ้น” (ซูเราะฮฺ อัล-เกาะลัม : 42)

จากอายะฮฺนี้ ท่านอิมาม อัฎ-เฏาะบะรีย์ ได้ทำการตีความ อายะฮฺนี้เอาไว้ว่า ..

قال جماعة من الصحابة والتابعين من أهل التأويل : يبدو عن أمر شديد،

บรรดาปวงปราชญ์จากเหล่าเศาะหาบะฮฺและตาบิอีนจากบรรดานักตีความ ได้ให้ความหมายว่า “(ในวันกิยามะฮฺนั้น)จะปรากฏขึ้นซึ่งความรุนแรงอันน่าสะพึงกลัว”

ดู ตำรา  تفسير الطبري โดย ท่านอิมาม อิบนุ ญะรีร อัฏ-เฏาะบะรีย์ เล่มที่ 29  หน้าที่ 38


3. ท่านอิมาม อัล-บะเฆาะวีย์ ก็ได้ทำการถ่ายทอดทัศนะข้างต้นของท่านอิบนุ อับบาส และทัศนะนี้ของท่านสะอีด บิน ญุบัยรฺ เอาไว้ในตำราของท่านเช่นกัน ว่า..

การให้ความหมายว่า "(ในวันกิยามะฮฺนั้น)จะปรากฏขึ้นซึ่งความรุนแรงอันน่าสะพึงกลัว" นี่เป็นทัศนะของเศาะหาบะฮฺอย่างท่านอิบนุ อับบาส และตาบิอีนอย่างท่านสะอีด บิน ญุบัยรฺ”

ดู ตำรา تفسير البغوي  โดย ท่านอิมาม อัล-บะเฆาะวีย์  เล่มที่ 4  หน้าที่ 381


4. ท่านอิมาม ท่านอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ได้ทำการอธิบายโองการที่ว่า ..

تَبَارَكَ ٱلَّذِي بِيَدِهِ ٱلْمُلْكُ

“ความจำเริญสุขจงมีแด่พระผู้ซึ่งอำนาจอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์”  (ซูเราะฮฺ อัล-มุลกฺ : 1)

และท่านอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ได้อธิบายอายะฮฺนี้เอาไว้ว่า ..

  بيده الملك : عبارة عن تحقيق الملك، وذلك أن اليد في عرف الآدميين هي آلة تملك فهي مستعارة لذلك، و(الملك) على الإطلاق هو الذي لا يبيد ولا يختل منه شيء، وذلك هو ملك الله تعالى، والمراد في هذه الآية : ملك الملوك، فهي بمنزلة قوله تعالى (قل اللهم مالك الملك 

คำว่า “บิยะดิฮิลมุลกฺ” เป็นสำนวนจากการให้การรองรับคำว่า “สิทธิในการปกครอง”  เพราะแท้จริงคำว่า “มือ” ในประเพณีการใช้กันของมนุษย์นั้น หมายถึง เครื่องมือ(ที่แสดงถึง)การมีสิทธิอำนาจในการครอบครอง (เช่น เมืองนี้ตกอยู่ในกำมือของพวกเรา เป็นต้น) ดังนั้น ตรงนี้จึงเป็นเสมือนกับการเปรียบเปรยอุปมาอุปมัยนั่นเอง และคำว่า “อัล-มุลกฺ” โดยทั่วไปแล้ว หมายถึง ผู้ที่ไม่สูญสลาย และผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงใดๆ และนี่คือ สิทธิแห่งการปกครองของอัลลอฮฺ ตะอาลา และความหมายในอายะฮฺนี้ คือ ผู้มีสิทธิในการปกครองเหนือผู้ปกครองอื่นๆ ทั้งหลาย ซึ่งนี่คือ ตำแหน่งอันสูงส่งของอัลลอฮฺ ตะอาลา ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า ..

قل اللهم مالك الملك

“จงกล่าวเถิด โอ้อัลลอฮฺ ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งการปกครองทั้งปวง” (ซูเราะฮฺ อาละ อิมรอน : 26)

ดู ตำรา المحرر الوجيز โดย ท่านอิบนุ อะฏียะฮฺ เล่มที่ 15  หน้าที่ 2-3


สรุป

เราจะเห็นได้ว่า ส่วนหนึ่งในการตีความจากอายะฮฺต่างๆ ข้างต้นนั้น บรรดานักปราชญ์อิสลามต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นจากบรรดาเศาะหาบะฮฺหรือบรรดาตาบิอีนหรือปราชญ์ในยุคหลัง พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่พยายามศึกษาและตีความในรายละเอียดของอัลลอฮฺ ตะอาลา ทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้อัลลอฮฺ ตะอาลา นั้นทรงบริสุทธ์จากการไปมีคุณลักษณะที่เหมือนกับมัคลูก และการตีความของพวกเขานั้นก็เพื่อให้สมกับเกียรติและฐานะอันยิ่งใหญ่และสูงส่งของอัลลอฮฺ ตะอาลา

แต่ไฉนเลย การพยายามตีความเพื่อให้ความบริสุทธิ์กับอัลลอฮฺ ตะอาลา ของเศาะหาบะฮฺอย่างท่านอิบนุ อับบาส ,ของตาบิอีนอย่างท่านสะอีด บิน ญุบัยรฺ ,ของปราชญ์สะลัฟอย่างท่านอิมามอัฏ-เฏาะบะรีย์ ,ของท่านอิมามอัล-บะเฆาะวีย์ ,ของท่านอิมามอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ และของท่านอิมามอัช-เชากานีย์ .. ทำไมปวงปราชญ์เหล่านี้ ถึงได้กลายเป็น “คนที่เสือก” ตามทัศนะของอามีน ลอนา ... วัลอียาซุบิลลาฮฺ !!


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 10, 2012, 09:31 PM โดย Muftee »
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ zaleek

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 5
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
عن ابن عباس  رضي الله عنهما  قال : قال رسول الله  صلى الله عليه وسلم   من سب أصحابي لعنه الله والملائكة والناس أجمعون

จากท่านอิบนิอับบ้าส ร่อดิยั้ลลอฮูอันฮุมา กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอฮิ์ ซ็อลลั้ลลอฮุอ้าลัยฮิว่าซั้ลลัม กล่าวว่า บุคคลใดใครก็ตามที่ด่าทออัครสาวกของฉัน อัลลอฮิ์ต้าอาลาทรงสาปเเช่งเขา มาลาอิกะห์เเละผู้คนทั้งหลายก็สาปเเช่งเขา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 11, 2012, 07:27 AM โดย zaleek »

ออฟไลน์ gitt

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 1
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อยากให้พวกท่านพึงรู้และทราบไว้ด้วยว่า กลุ่มชนที่ปกป้องและญิฮาจกันอยู่ในโลกอิสลามทุกวันนี้คือกลุ่มที่พวกท่านกำลังเกลียดชัง  ที่พวกท่านเรียกกลุ่มชนที่ทำตามนบีและกรุอ่านว่า วะฮาบี ไปดูนะครับว่าซาอุดิ้ละหมาดเหมือนท่านไหม แล้ว เค้ายอมรับหลักการของพวกท่านไหม ไม่ต้องมาพูดกันให้มากมายหรอก ลิทธิของท่านท่านต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ท่านสอนด้วยแล้วกัน

ออฟไลน์ abubuk

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 20
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อ้างถึง
อยากให้พวกท่านพึงรู้และทราบไว้ด้วยว่า กลุ่มชนที่ปกป้องและญิฮาจกันอยู่ในโลกอิสลามทุกวันนี้คือกลุ่มที่พวกท่านกำลังเกลียดชัง  ที่พวกท่านเรียกกลุ่มชนที่ทำตามนบีและกรุอ่านว่า วะฮาบี ไปดูนะครับว่าซาอุดิ้ละหมาดเหมือนท่านไหม แล้ว เค้ายอมรับหลักการของพวกท่านไหม ไม่ต้องมาพูดกันให้มากมายหรอก ลิทธิของท่านท่านต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ท่านสอนด้วยแล้วกัน

     mycryสาบานซิ   ว่ามีแต่วะฮาบีกลุ่มของท่านกลุ่มเดียวที่ปกป้องอิสลาม...ผมเองไม่รู้ว่าท่านเป็นกลุ่มไหนแต่ที่แน่ๆวาฮาบีมีหลายกลุ่ม 

ฉนั้นท่านอย่าอ้างเรื่องของชารีอัตเช่นเรื่องของการละหมาดอย่างเดียวซิ กลุ่มญามะอะอื่นๆที่พวกคุณฮุกมว่าทำบิดอะ กลุ่มดาวะตับลีค พวกเขาปกป้องอิสลามและเผยแพร่อัลอิสลามมีผลงานมากมายกว่ากลุ่มวาฮาบีของท่านด้วยซ้ำ  กลุ่มซูฟี ตอรีกัต  กลุ่มอะลิสซุนนะวัญญามะอะ 4มัสหับซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ในโลกกลุ่มชีอะบางกลุ่ม  เขาก็ปกป้องอัลอิสลามเหมือนกัน ไม่ใช่มีแต่เฉพาะวาฮาบีที่คุณเข้าใจหรอกนะ



คืออย่างนี้คับกรุณาทำความเข้าใจเสียใหม่ด้วยนะครับ

อุลามะเขาแบ่งกลุ่มวะฮาบีย์นั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม :

1. กลุ่มวะฮาบียะฮ์ที่มั๊วะตะดิละฮ์  หมายถึงกลุ่มวะฮาบีย์ที่เป็นกลาง  ไม่กล่าวหาฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์แบบเหมารวมว่าเป็นกลุ่มที่บิดอะฮ์เบี่ยงเบน  ซึ่งวะฮาบีย์กลุ่มนี้ถือว่าอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์โดยความหมายรวม โปรดดูกระทู้ ตัวอย่างของจุดยืนนี้ จากกลุ่มที่หนึ่ง

2. กลุ่มวะฮาบียะฮ์ฆุลาฮ์  หมายถึงกลุ่มวะฮาบีย์สุดโต่ง  ซึ่งกลุ่มนี้จะทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อทุกแนวทางที่ไม่เหมือนกับตน  เช่น  ฮุกุ่มแนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์และแนวทางอื่น ๆ ที่ต่างจากแนวทางของตนเองว่าเป็นพวกบิดอะฮ์เบี่ยงเบน  ซึ่งวะฮาบีย์กลุ่มนี้จะพรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์โดยมีหลักการที่ตัชบีห์(พรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์คล้ายกลับมัคโลค) และมีหลักการตัจญ์ซีม(พรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์โดยเป็นรูปร่าง)  แน่นอนพวกเขาที่มีคุณลักษณะเช่นนี้ถือว่าเป็นกลุ่มบิดอะฮ์เบี่ยงเบนไม่ใช่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ โปรดดูกระทู้ ตัวอย่างที่1 , ตัวอย่างที่2 จากกลุ่มที่สองนี้

ดังนั้นแนวทางใดที่ฮุกุ่มตัดสินอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ว่าบิดอะฮ์  ผู้นั้นย่อมอยู่ในแนวทางบิดอะฮ์ , ผู้ใดฮุกุ่มพวกเขากลุ่มหลง  ผู้นั้นคือผู้ที่ลุ่มหลง , และผู้ใดที่ฮุกุ่มพวกเขากาเฟร  ผู้นั้นย่อมเป็นกาเฟรกลับไปหาตัวเขา  ตามคำฟัตวาของนักปราชญ์ผู้มีคุณธรรมดังต่อไปนี้

ท่านอิมาม อะบุลมุซ็อฟฟัร  อัลอิสฟิรอยีนีย์  ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า  "และท่านจะทราบว่า  ทุกคนที่ยอมรับด้วยกับหลักการของศาสนานี้ที่เราได้พรรณามันไว้จากหลักศรัทธาของกลุ่มที่ปลอดภัย(คือกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์) เขาย่อมอยู่บนสัจธรรมและอยู่บนหนทางที่เที่ยงตรง  ดังนั้นผู้ใดที่ฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อเขา(ผู้อยู่แนวทางดังกล่าว)  ผู้นั้นย่อมเป็นคนบิดอะฮ์ , และผู้ใดฮุกุ่มเขาว่าลุ่มหลง  ผู้นั้นย่อมเป็นคนลุ่มหลง , และผู้ใดฮุกุ่มเขาเป็นกาเฟร  ผู้นั้นย่อมเป็นคนกาเฟรด้วย"  หนังสืออัตตับซีร ฟิดดีน หน้า 111 ของท่านอิมามอัลอัสฟิรอยีนีย์

ท่าน อิมาม อิบนุ รุชดฺ อัลมาลิกีย์ (ผู้เป็นปู่) (รอฮิมะฮุลลอฮ์) ที่ได้รับฉายานามว่า ชัยค์อัลมัซฮับ (ปรมาจารย์แห่งมัซฮับมาลิกีย์) ฟัตวาว่า "ปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์เหล่านั้น ที่ท่านได้กล่าวชื่อพวกเขามา เป็นส่วนหนึ่งจากนักปราชญ์ที่เป็นแกนนำของนักปราชญ์แห่งความดีงามและอยู่ในทางนำ  และเป็นบรรดาบุคคลที่จำเป็นต้องดำเนินตามพวกเขา  เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ยืนหยัดช่วยเหลือหลักชาริอะฮ์(บทบัญญัติแห่งอิสลาม) และทำลายสิ่งคลุมเครือต่าง ๆ ของพวกเบี่ยงเบนและลุ่มหลง  พวกเขาได้ทำให้ประเด็นปัญหาต่าง ๆ มีความคลี่คลายและชัดเจน  พวกเขายังอธิบายถึงสิ่งที่จำเป็นต้องยอมรับจากบรรดาหลักการศรัทธา  ดังนั้น  ด้วยการรอบรู้ถึงบรรดาหลักพื้นฐาน(อุซูล)ของศาสนา จึงทำให้พวกเขาเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง  เนื่องจากพวกเขารู้ดียิ่งเกี่ยวกับอัลเลาะฮ์  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่วายิบสำหรับพระองค์  สิ่งที่อนุญาติต่อพระองค์ และสิ่งที่(มุสตะฮีล)เป็นไปไม่ได้จากพระองค์  เพราะประเด็นนิติบัญญัติข้อปลีกย่อยจะไม่สามารถรู้ได้นอกจากต้องรู้หลักอุ ศูล(หลักศรัทธา)เสียก่อน   เพราะฉะนั้น  จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงความประเสริฐและยอมรับถึงสถานะความเป็นแกนนำ ของพวกเขา  ฉะนั้น  พวกเขาย่อมเป็นจุดมุ่งหมายของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่ว่า  "ความรู้นี้  ได้แบกรับจากทุก ๆ ผู้สืบทอด(ต่อ ๆ กันมา)  โดยบรรดาผู้ทรงคุณธรรม  ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด  , (ปฏิเสธ)การประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่อธรรม และจากการตีความของบรรดาบุคคลโง่เขลา"  ดังนั้น จะไม่มีการเชื่อว่าพวกเขา(อัลอะชาอิเราะฮ์)ได้อยู่บนความลุ่มหลงและความโง่เขลา นอกจากผู้ที่เขลาเบาปัญญาหรือผู้ที่อุตริกรรมอีกทั้งเบี่ยงเบนออกจากสัจจะธรรมเท่านั้น  และคนหนึ่งจะไม่ประณามอัลอะชาอิเราะฮ์และพาดพิงกล่าวหาไปยังพวกเขาด้วยกับสิ่งที่ไม่พวกเขาไม่ได้ยึดถืออยู่  นอกจาก(คนกล่าวหานั้น)เขาคือคนชั่ว  แท้จริงอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่า ทรงตรัสว่า "บรรดาบุคคลที่สร้างความเดือนร้อนแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธา หญิง  ด้วยกับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้พากเพียรไว้  แน่นอน พวกเขาย่อมแบกรับความมุสาและบาปอันชัดแจ้ง" ฟะตาวา อิบนุ รุชด์ เล่ม 2 หน้า 802  ตีพิมพ์ ดารุลฆ่อร่อบิลอิสลามีย์ เบรุต ฮ.ศ. 1407

ท่านชัยคุลิสลาม อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ ตอบฟัตวาความว่า "บรรดาปวงปราชญ์(อัลอะชาอิเราะฮ์)เหล่านั้น  มิได้เป็นเฉกเช่นที่ผู้ที่แหวกแนวทาง  ออกนอกหลักศาสนา  คาดเดา  ลุ่มหลง  เลยเถิด  โง่เขลา  และเอนเอียงออกจากสัจธรรมเลย  ยิ่งกว่านั้น  พวกเขาเป็นนักปราชญ์แห่งศาสนา  เป็นนักปราชญ์มุสลิมีนที่ยิ่งใหญ่  ดังนั้น  จึงจำเป็นต้องเจริญรอยตาม  เนื่องจากพวกเขาได้ยืนหยัดช่วยเหลือชะรีอะฮ์ (อิสลาม) และแจกแจงบรรดาข้อสงสัยต่าง ๆ  และทำการโต้ตอบความคลุมเครือจากพวกที่เบี่ยงเบน  และทำการชี้แจงสิ่งที่จำเป็นของหลักความเชื่อ(เอี๊ยะติก๊อต)และหลักการต่าง ๆ ของศาสนา  เนื่องจากพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับอัลเลาะฮ์  ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับพระองค์  สิ่งที่มุสตะฮีล(เป็นไปไม่ได้)ต่อพระองค์  และสิ่งที่อนุญาตในสิทธิของพระองค์  และจะไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้นอกจากรู้จักถึงหลักศรัทธาพื้นฐานเสีย ก่อน  และจำเป็นต้องยอมรับถึงความประเสริฐของบรรดานักปราชญ์ที่ถูกกล่าวมาข้างต้น และนักปราชญ์ก่อนหน้าพวกเขาด้วย  และพวกเขาก็คือกลุ่มเป้าหมายจากคำกล่าวของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า "ความรู้นี้  ได้แบกรับจากทุก ๆ ผู้สืบทอด(ต่อ ๆ กันมา)  โดยบรรดาผู้ทรงคุณธรรม  ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด  , การประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่อธรรม และจากการตีความของบรรดาบุคคลโง่เขลา"  ดังนั้นจะไม่กล่าวหาว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ลุ่มหลงนอกจากผู้ที่โฉดเขลาหรือผู้ทำบิดอะฮ์ ที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรม  ดังนั้น  จึงจำเป็นให้คนไม่รู้ได้ประจักษ์ถึงพวกเขา  คนชั่วต้องถูกลงโทษ  ผู้บิดอะฮ์ที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรมที่กระทำมักง่ายด้วยบิดอะฮ์ต้องถูกใช้ให้ เตาบะฮ์" อัลฟะตาวา อัลฮะดีษียะฮ์ อัลกุบรอ หน้า 227  ตีพิมพ์ เอี๊ยะห์อุษตุร๊อษ เบรุต 

ท่านชัยค์  อะบุล  หะซัน  อัลนัดวีย์  ได้กล่าวถึงแนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์  ความว่า  "ทั่วทุกมุมโลกอิสลาม  ต้องน้อมรับให้กับวิชาความรู้และและความสำเร็จของปวงปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์...และด้วยความประเสริฐของพวกเขาเหล่านั้น  ทำให้แกนนำเชิงแนวคิดแห่งโลกอิสลามมีการขับเคลื่อน  และสามารถชี้นำกลุ่มมั๊วะตะซิละฮ์ให้กลับไปสู่แนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์"  หนังสือ ริญาลุล ฟิกร์วัดดะอฺวะฮ์ ฟีลอิสลาม หน้า 137 ของท่านอะบุลฮะซัน อัลนัดวีย์

ดังนั้น  ผมจึงอยากให้คุณ gitt  ช่วยแสดงจุดยืนว่าเป็นวะฮาบีย์กลุ่มไหนจากทั้ง2กลุ่มที่อุลามะเขาแบ่งเอาไว้ด้วยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 11, 2012, 12:34 PM โดย abubuk »

ออฟไลน์ multi

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 413
  • Respect: +7
    • ดูรายละเอียด
น่าจะไกล้ 73 กลุ่ม แล้วน่ะ   

ออฟไลน์ sunny

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 59
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
แล้วคนที่ให้ความหมายอย่างนี้ล่ะครับ

http://islamic-dialectic.blogspot.com/2011/01/1-3-1145-1261-29-logical-critic.html

วอนท่านผู้รู้ช่วยชี้แจงหน่อยครับ

ออฟไลน์ abu-khulus

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 76
  • Respect: -3
    • ดูรายละเอียด
#Invalid YouTube Link#

 :salam:
เห็นเขาออกมาโต้แล้วนะ ช่วยชี้แจงด้วยครับ โดยเฉพาะคำพูดของอิหม่ามอัตติรมีซี เห็นคนกลุ่มนี้ชอบยกมา เพื่อยืนยันว่าสลัฟนั้นเขายืนยันความหมายของซีฟัตมุตาชาบิฮาตด้วย

ญะซากัลลอฮุค็อยร็อน


ออฟไลน์ abu-khulus

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 76
  • Respect: -3
    • ดูรายละเอียด
ขอมาอัฟครับ โพสต์ VDO ไม่ได้ เข้าไปดูที่ลิงค์นี้ครับ http://www.youtube.com/watch?v=IR6A0wNBJgU

ออฟไลน์ abubuk

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 20
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
จาก บังMUfftee

จากคลิปด้านบน ช่วงเวลาที่ 49.20 ... อามีน ลอนา ได้ยกอายะฮฺ อัล-กุรอาน พร้อมกับแปลว่า ..

تَبَارَكَ ٱلَّذِي بِيَدِهِ ٱلْمُلْكُ

“ความจำเริญสุขจงมีแด่พระผู้ซึ่งอำนาจอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์”  (ซูเราะฮฺ อัล-มุลกฺ : 1)

แล้วอามีน ลอนา ก็กล่าวต่อว่า .. คำว่า “الملك (อัล-มุลกฺ)” แปลว่า “อำนาจ” .. โดย อามีน ลอนา ได้ยึดคำแปลที่มาจากอัล-กุรอานเล่มแดงของวะฮาบีย์มาแปลให้คนทั่วไปฟัง แล้วพูดต่อไปว่า คำว่า “الملك (อัล-มุลกฺ)” แปลว่า “อำนาจ” แล้วคำว่า “بيده (บิยะดิฮิ)” ก็แปลว่า “พระหัตถ์หรือมือของพระองค์”

แล้วอามีน ลอนา ก็พูดต่อไปในเชิงตำหนิว่า .. แล้วถ้าแปลคำว่า بيده ให้มีความหมายว่า “อำนาจ” ละอาจารย์ชารีฟ (อ.ชารีฟ ก็ช่วยพูดตำหนิในการให้ความหมายว่า “อำนาจ” โดย อ.ชารีฟ บอกว่า “นี่เป็นการแปลตามพวกที่ผิดเพี้ยน”) แล้วอามีน ลอนา ก็แปลอายะฮฺนี้ไปตามความไม่รู้ของตนเองว่า “ความจำเริญจงมีแด่อัลลอฮฺผู้ซึ่งอำนาจอยู่ในอำนาจ” แล้วอามีน ลอนา กับ อ.ชารีฟ ก็ตำหนิว่า การไปแปลคำว่า "بيده" ให้มีความหมายว่า “อำนาจ” นั้น แปลแบบนี้ มันเป็นการแปลของผู้ที่ผิดเพี้ยน มันแปลไม่ได้ 



ชี้แจง

ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า .. การที่ อามีน ลอนา  แปลอายะฮฺนี้แบบใส่ร้ายคนอื่นว่า “ความจำเริญจงมีแด่อัลลอฮฺผู้ซึ่งอำนาจอยู่ในอำนาจ” นั้น ผมก็ยอมรับว่า นี่เป็นการแปลของพวกที่ผิดเพี้ยนจริงๆ และคนที่ผิดเพี้ยนจริงๆ ก็คือ อามีน ลอนา นั่นเอง .. เพราะนี่คือ คำแปลของอามีน ลอนา ที่แปลทึกทักเอาเอง  ซึ่งไม่เคยมีปราชญ์คนใดเขาแปลในแบบที่อามีน ลอนา กล่าวอ้างเอาไว้เลย แต่นี่เป็นการแปลแบบเพี้ยนๆ ของอามีน ลอนา แค่คนเดียวเท่านั้น การแปลของอามีน ลอนา ในลักษณะนี้ ถือว่าเป็นการใส่ร้ายต่อปราชญ์อิสลามอย่างชัดเจน ดังนั้น เรามาดูว่าอามีน ลอนา ได้ใส่ร้ายต่อปราชญ์อิสลามเอาไว้ว่าอย่างไร ??


คำว่า “الملك (อัล-มุลกฺ)” ตรงนี้ปราชญ์อิสลามผู้ทรงความรู้ ไม่ได้ให้ความหมายว่า “อำนาจ” ตามที่อามีน ลอนา ได้พูดเอาไว้ตามความไม่รู้ของเขา และคำว่า “بيده (บิยะดิฮิ)” ตรงนี้ ปราชญ์อิสลามผู้ทรงความรู้ ก็ไม่ได้ให้ความหมายว่า “พระหัตถ์ของพระองค์” ตามที่อามีน ลอนา อ้างมาเลยแม้แต่นิดเดียว


ท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ ซึ่งเป็นปราชญ์อิสลามที่ได้รับการยอมรับท่านหนึ่งในโลกอิสลาม ท่านได้อธิบายอายะฮฺที่ว่า ..

تَبَارَكَ ٱلَّذِي بِيَدِهِ ٱلْمُلْكُ

โดยท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ ได้อธิบายอายะฮฺนี้ว่า ..

واليد مجاز عن القدرة والإستيلاء والملك هو ملك السموات والأرض في الدنيا والآخرة

และคำว่า “พระหัตถ์” ตรงนี้เป็นการอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบจาก คำว่า “อำนาจและการครอบครอง” และคำว่า “อัล-มุลกฺ” นั้นหมายถึง “อัลลอฮฺนั้นคือ ผู้ทรงสิทธิในการปกครองบรรดาชั้นฟ้าและหน้าแผ่นดินทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ”

ดู ตำรา فتح القدير  โดย ท่านอิมาม อัช-เชากานีย์ เล่มที่ 5  หน้าที่ 367


และท่านอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ได้อธิบายอายะฮฺนี้เอาไว้ว่า ..

  بيده الملك : عبارة عن تحقيق الملك، وذلك أن اليد في عرف الآدميين هي آلة تملك فهي مستعارة لذلك، و(الملك) على الإطلاق هو الذي لا يبيد ولا يختل منه شيء، وذلك هو ملك الله تعالى، والمراد في هذه الآية : ملك الملوك، فهي بمنزلة قوله تعالى (قل اللهم مالك الملك

คำว่า “บิยะดิฮิลมุลกฺ” เป็นสำนวนจากการให้การรองรับคำว่า “สิทธิในการปกครอง”  เพราะแท้จริงคำว่า “มือ” ในประเพณีการใช้กันของมนุษย์นั้น หมายถึง "เครื่องมือ(ที่แสดงถึง)การมีสิทธิอำนาจในการครอบครอง" (เช่น เมืองนี้ตกอยู่ในกำมือของพวกเรา เป็นต้น) ดังนั้น ตรงนี้จึงเป็นเสมือนกับการเปรียบเปรยอุปมาอุปมัยนั่นเอง และคำว่า “อัล-มุลกฺ” โดยทั่วไปแล้ว หมายถึง ผู้ที่ไม่สูญสลาย และผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงใดๆ และนี่คือ สิทธิแห่งการปกครองของอัลลอฮฺ ตะอาลา และความหมายในอายะฮฺนี้ คือ ผู้มีสิทธิในการปกครองเหนือผู้ปกครองอื่นๆ ทั้งหลาย ซึ่งนี่คือ ตำแหน่งอันสูงส่งของอัลลอฮฺ ตะอาลา ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า ..

قل اللهم مالك الملك

“จงกล่าวเถิด โอ้อัลลอฮฺ ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งการปกครองทั้งปวง” (ซูเราะฮฺ อาละ อิมรอน : 26)

ดู ตำรา المحرر الوجيز โดย ท่านอิบนุ อะฏียะฮฺ เล่มที่ 15  หน้าที่ 2-3


ดังนั้น อายะฮฺข้างต้นนี้จึงต้องให้ความหมายว่า ..

تَبَارَكَ ٱلَّذِي بِيَدِهِ ٱلْمُلْكُ

“ความจำเริญสุขจงมีแด่พระผู้ซึ่งสิทธิแห่งปกครองนั้น อยู่ในอำนาจของพระองค์”  (ซูเราะฮฺ อัล-มุลกฺ : 1)


ดังนั้น มนุษย์ทุกคนนั้น ไม่มีใครที่มีอำนาจหรือกรรมสิทธ์ในการปกครองสิ่งใดๆ เลย นอกจากว่าทั้งหมดนั้น จะเป็นสิทธิแห่งอำนาจของอัลลอฮฺ ตะอาลา ว่าจะมอบอำนาจหรือมอบสิทธิการปกครองในเรื่องนั้นๆ ให้แก่ผู้ใด หรือว่าพระองค์จะถอนคืนซึ่งสิทธิอำนาจในการปกครองจากผู้ใดก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อำนาจของอัลลอฮฺ ตะอาลา ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเคาะลีฟะฮฺ หรือกษัตริย์ หรือสุลตอน หรือผู้ปกครองใดๆ ก็ตาม ไม่มีผู้ใดที่มีอำนาจหรือมีสิทธิในการปกครองอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด นอกจากอัลลอฮฺ ตะอาลา เท่านั้นที่เพรียบพร้อมและสมบูรณ์แบบที่สุด


สรุป

1. จากอายะฮฺนี้ คำว่า “الملك (อัล-มุลกฺ)” ไม่ได้แปลว่า “อำนาจ” อย่างที่อามีน ลอนา หรือวะฮาบีย์เข้าใจ แต่มันหมายถึง “สิทธิแห่งการปกครอง”

2. คำว่า “بيده (บิยะดิฮิ)” ในอายะฮฺนี้ ต้องทำการตีความให้อยู่ในความหมายว่า “อำนาจหรือการครอบครอง” ซึ่งเป็นไปตามทัศนะของปราชญ์อิสลาม อาทิเช่น ท่านอิมามอัช-เชากานีย์ และท่านอิมามอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ซึ่งได้ทำการตีความเอาไว้ในตำราของท่าน โดยเฉพาะท่านอิมามอิบนุ อะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ท่านถือว่าเป็นปราชญ์ตัฟซีรที่โด่งดังมากท่านหนึ่ง และตำราตัฟซีรของท่านเล่มที่ถูกอ้างอิงเอาไว้ด้านบน ก็ถือเป็นตำราตัฟซีรที่ปราชญ์ให้การยอมรับและชมเชยกันเป็นอย่างมาก

3. จากอายะฮฺนี้ ต้องให้ความหมายว่า “ความจำเริญสุขจงมีแด่พระผู้ซึ่งสิทธิแห่งปกครองนั้น อยู่ในอำนาจของพระองค์”  ไม่ใช่แปลแบบสะเพร่าอย่างที่อามีน ลอนา ได้แปลเอาไว้


ข้อสังเกต หากว่าการตีความคำว่า “พระหัตถ์” ให้มีความหมายว่า “อำนาจ” ในอายะฮฺนี้  เป็นการตีความตามความคิดของพวกที่ผิดเพี้ยนอย่างที่อามีน ลอนา และ อ.ชารีฟ กล่าวอ้างแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่า ท่านอิมามอัช-เชากานีย์ และท่านอิมามอิบนุอะฏียะฮฺ อัล-มาลิกีย์ ก็เป็นพวกที่มีความคิดผิดเพี้ยนไปด้วย และนี่คือ การใส่ร้ายอย่างน่าเกลียดของอามีน ลอนา  และ อ.ชารีฟ ต่อปวงปราชญ์อิสลาม .. วัลอียาซุบิลลาฮฺ !!
             ...........................................................................................
    ขอบคุณครับ คุณabu-klulus ผมได้ดูจากลิงค์แล้วครับและก็มีพี่น้องของเราแก้ต่างไว้แล้วด้วยซึ่งชัดเจนมากครับ

 Oops:แต่จะขอเสริมต่ออีกนิดครับเพราะอ.ทั้ง2 ท่านในทีวี ตามความเข้าใจของตนเองมากกว่าหลักฐานจากฮาดิสและความเข้าใจของสลัฟส่วนมากโดยเฉพาะการพยายามให้ความหมายในเรื่องพระหัสถ์  แปลว่ามือ จริงๆคำว่า يد الله  (ภาษาไทยแปลว่าพระหัตถ์ของอัลเลาะฮ์)  แต่ตามหลักการแล้วซีฟัตของอัลเลาะฮ์นั้นพระองค์ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอานเป็นภาษาอาหรับ  ดังนั้น  ผมจึงขอใช้เรียกคำว่า "ยะดุน" يَدٌ  แล้วกันนะครับ  เพราะอัลเลาะฮ์ทรงเรียกอย่างนี้

คำว่า يد الله  "ยะดุลลอฮ์"  (ยะดุน) นั้น
 
แนวทางที่หนึ่ง : คือ  เชื่อในซีฟัต "ยะดุน"  แต่ขอมอบความหมาย , จุดมุ่งหมายที่แท้จริง และรูปแบบวิธีการไปยังอัลเลาะฮ์ตาอาลา 

แนวทางที่สอง : คือ  เชื่อในซีฟัต "ยะดุน"   แต่ทำการตีความ (ตะวีล)เพื่อให้มีความเข้าใจง่ายโดยสอดคล้องกับหลักภาษาอัลกุรอาน(ภาษาอาหรับ) , ตรงกับหลักของศาสนา(ไม่คัดค้านกับตัวบทที่ชัดเจนเด็ดขาดและแน่นอน) , และสอดคล้องตามหลักของสติปัญญาไปพร้อม ๆ กัน  คือตีความว่า  มันคือ "อำนาจ"  แล้วทำการมอบหมายต่ออัลเลาะฮ์สำทับอีกครั้งหนึ่ง

แนวทางที่สาม : คือ  เชื่อในซีฟัต "ยะดุน"  แต่ทำการอธิบายความหมาย (ตัฟซีร) ของมันให้อยู่ในเชิงภาษาของคำแท้ตามที่มนุษย์เข้าใจกัน  คือหมายถึงซีฟัตของอัลเลาะฮ์ที่เป็นส่วนอวัยวะที่เป็นฝ่ามือที่เป็นส่วนหนึ่งจากตัวตนของพระองค์! ที่เหมาะสมกับเกียรติของพระองค์!??

ทำให้เห็นง่าย ๆ คือ   

เชื่อในซีฟัตยะดุน >-------------------->> แต่มอบหมายกับความหมายและรูปแบบวิธีการ

เชื่อในซีฟัตยะดุน >-------------------->>  แต่ทำการตีความอยู่ในความหมายของอำนาจ

เชื่อในซีฟัตยะดุน  >-------------------->> แต่อธิบายให้อยู่ในความหมายของอวัยวะส่วนของร่างกายที่เป็นฝ่ามือให้กับอัลเลาะฮ์

สรุป : แนวทางที่หนึ่งและสองคือแนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์  ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ  ศรัทธาในความบริสุทธิ์ในซีฟัตอัลเลาะฮ์จากการไปคล้ายและเหมือนกับมัคโลคในทุกรูปแบบ   

ส่วนแนวทางที่สามนั้น  ถึงแม้ว่าพวกเขาปฏิเสธการเหมือนระหว่างมัคโลคกับอัลเลาะฮ์  แต่พวกเขายืนยันความคล้ายคลึง(ตัชบีฮ์)ระหว่างซีฟัตของอัลเลาะฮ์และมัคโลค  กล่าวคือ  มนุษย์มีส่วนอวัยวะที่เป็นฝ่ามืออยู่ที่ร่างกายและอัลเลาะฮ์ก็มีส่วนอวัยวะที่เป็นฝ่ามือที่อยู่ตัวตนของพระองค์!  แต่ไม่เหมือนกับมัคโลค!? ซึ่งเป็นแนวทางของวะฮาบีย์ปัจจุบัน

วัลลอฮุอะลัม
[/color]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 27, 2012, 10:00 AM โดย abubuk »

ออฟไลน์ abubuk

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 20
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
แล้วคนที่ให้ความหมายอย่างนี้ล่ะครับ

http://islamic-dialectic.blogspot.com/2011/01/1-3-1145-1261-29-logical-critic.html

วอนท่านผู้รู้ช่วยชี้แจงหน่อยครับ

ได้อ่านแล้วครับและคิดว่ากลุ่มอัซซบิกูนเข้าใจผิดในเรื่องนี้มากลองทำความเข้าใจลิงค์นี้ครับครับ

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php/topic,5212.msg55784.html#msg55784(วะฮาบีย์เชื่อว่าอัลล๊อฮทรงเตลื่อนย้ายจากที่สูงลงมาที่ต่ำ)
http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php/topic,61.msg401.html#msg401




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 27, 2012, 09:56 AM โดย abubuk »

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด
#Invalid YouTube Link#

 :salam:
เห็นเขาออกมาโต้แล้วนะ ช่วยชี้แจงด้วยครับ โดยเฉพาะคำพูดของอิหม่ามอัตติรมีซี เห็นคนกลุ่มนี้ชอบยกมา เพื่อยืนยันว่าสลัฟนั้นเขายืนยันความหมายของซีฟัตมุตาชาบิฮาตด้วย

ญะซากัลลอฮุค็อยร็อน

คำพูดของท่านอิมามอัตติรมิซีย์ จะได้รับการชี้แจงแน่นอนครับ ไม่ต้องเป็นห่วง  hehe
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
 :salam:

หลังดีเบท  วะฮ์ฮาบีย์ต่างออกมาชี้แจงเรื่องซีฟัตตามทัศนะของตนทางสื่อต่างๆ และทำการวิจารณ์อัลอะชาอิเราะฮ์แบบอธรรม  ซึ่งเป็นฟัรฎูกิฟายะฮ์สำหรับผู้รู้ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ต้องทำการชี้แจงข้อเท็จจริงน่ะครับ  สำหรับผมคิดว่าการชี้แจงเท่าที่จะทำได้  ก็คือ  ต้องชี้แจงผ่านทางสื่อของการทำเป็นหนังสือ

เท่าที่ผมได้ติดตามจากสื่อต่างๆ ของวะฮ์ฮาบีย์ที่ทำการวิจารณ์เกี่ยวกับอัลอะชาอิเราะฮ์  ผมคิดว่าเป็นฟัรฎูกิฟายะฮ์ที่ผมจะต้องทำเป็นหนังสือในการตีแผ่เกี่ยวกับอะกีดะฮ์ของวะฮ์ฮาบีและชี้แจงข้อเท็จจริงของอะกีดะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ครับ  อินชาอัลเลาะฮ์

แต่การทำหนังสือเกี่ยวกับอะกีดะฮ์ของวะฮ์ฮาบีย์อาจจะช้าไปบ้าง เพราะผมยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่จะต้องเขียน พี่น้องช่วยขอดุอาอ์ให้ด้วยนะครับ

วัสลาม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
 :salam:

ในวันดีเบทนั้น  ผมเป็นฝ่ายรับและแก้ต่างมากกว่าเป็นฝ่ายนำเสนอ  เพราะทางฝ่ายท่าน อ.อาลี คาน ปาทาน นำเสนอมาหลายประเด็นเหลือเกิน  จนกระทั่ง  หากผมนำเสนอตีความแผ่อะกีดะฮ์วะฮ์ฮาบี  ก็จะไม่มีเวลาแก้ต่างและชี้แจงข้อเท็จจริง 

ข้อมูลต่างๆ ที่เป็นเอกสารหรือตำราของวะฮ์ฮาบีที่ผมได้นำมากองข้างหน้าในวันดีเบทนั้น  จึงนำมาใช้นำเสนอแค่ 20 เปอร์เซ็นเท่านั้น  ด้วยเหตุนี้  ผมจึงคิดว่าน่าจะนำข้อมูลส่วนที่เหลือ  นำมาทำเป็นหนังสือเพื่อตีแผ่และชี้แจงความเป็นจริงในเรื่องอะกีดะฮ์ต่อไป

พี่น้องช่วยขอดุอาอฺให้ผมทำหนังสือเกี่ยวกับอะกีดะฮ์วะฮ์ฮาบีให้สำเร็จลุล่วงด้วยน่ะครับ

วัสลาม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged