ข้อมูลที่ ดร.อิบรอฮีม ชะมูค นำมาอภิปรายก็คือเรื่อง "ท่านนบี(ซ.ล.)แต่งงานพระนางอาอิชะห์" เขากล่าวว่า "นักประวัติศาสตร์ได้ละเลงปลายปากกาของพวกเขาในเรื่องที่นบี(ซ.ล.)แต่งงงานกับพระนางอาอิชะห์ว่า การแต่งงานนี้เป็นการกระทำทารุณเด็กผู้หญิง และสนองตอบความป่าเถื่อนทางเพศ เป็นความเหลวไหลอย่างชัดเจนที่ผู้ชายอายุมากแต่งงานกับเด็กผู้หญิงที่มีอายุน้อยที่ยังไม่ประสีประสากับความต้องการของผู้ชาย"
และดร.ชะมูต ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า นักค้นคว้าหรือผู้อ่านเรื่องการแต่งงานของท่านนบี(ซ.ล.)กับพระนางอาอิชะห์จำเป็นต้องรู้เรื่องราวต่อไปนี้ด้วย ..
1. หนังสือประวัติศาสตร์ที่ระบุว่าพระนางอาอิชะห์อยู่ในวัยเด็กขณะแต่งงานกับนบี(ซ.ล.)นั้น ต่างก็ได้รายงานถึงเรื่องหนึ่งไว้ด้วยซึ่งนักรายงานทั้งหลายได้รายงานไว้ตรงกันนั่นก็คือ พระนางอาอิชะห์มีคู่หมั้นอยู่ก่อนแล้วก่อนที่ท่านนบี(ซ.ล.)จะสู่ขอพระนาง คู่หมั้นของพระนาง ชื่อ ญุบัยร์ บุตร มุตอิม บุตรอะดีย์ ซึ่งยังคงนับถือศาสนาเดิมอยู่ จนถึงฮิจเราะห์ศักราชที่ 10 มุตอิม ผู้เป็นบิดาได้สู่ขอหมั้นหมายพระนางอาอิชะห์ให้แก่บุตรชายของเขาเองคือ ญุบัยร์ ตั้งแต่เมื่อได ??
เป็นไปไม่ได้ที่มุตอิมจะสู่ขอพระนางอาอิชะห์ให้แก่บุตรของเขาในขณะที่อาบูบักร์ บิดาของพระนางอาอิชะห์และครอบครัวเข้ารับนับถือศานาอิสลามแล้ว โดยที่บุตรชายของเขายังไม่ได้เข้ารับอิสลาม เพราะมีความขัดแย้งกันอยู่อย่างรุนแรงระหว่างพวกผู้ตั้งภาคีกับผู้นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้นที่จะมีโอกาสเป็นไปได้มากก็คือ การสู่ขอหมั้นหมายนี้จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่ท่านนบี(ซ.ล.)จะได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสดา หมายความว่าต้องสู่ขอหมั้นหมายกันก่อนอย่างน้อย 13 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่ท่านนบีพำนักอยู่ที่มักกะห์ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสดาแล้ว
ดังนั้นขณะที่ท่านนบี(ซ.ล.) มีเพศสัมพันธ์กับพระนางอาอิชะห์ในปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 2 ซึ่งขณะนั้นนางก็จะมีอายุเกิน 14 ปีไปแล้วเป็นอย่างน้อยเช่นกัน ที่กล่าวนี้โดยตั้งสมมติฐานว่า มุตอิม บุตร อะดีย์ ได้สู่ขอหมั้นหมายพระนางอาอิชะห์ ให้แก่ ญุบัยร์ บุตรชายของตนในวันที่พระนางอาอิชะห์เกิด ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากยิ่งที่จะมีการสู่ขอหมั้นหมายเด็กผู้หญิงตั้งแต่เกิด
2. เคาละห์ บุตรี ฮะกีม ภรรยาของอุสมาน บุตร มัซอูน ซึ่งรับรู้ถึงความโศกเศร้าของท่านนบี(ซ.ล.) และครุ่นคิดถึงเรื่องของท่านนบี(ซ.ล.) อยู่ตลอดเวลา ภายหลังจากภรรยาคนแรกของท่านคือ พระนางคอดีญะห์เสียชีวิต เคาละห์ได้ไปหาท่านบี(ซ.ล.)เพื่อเสนอให้ท่านแต่งงาน เพื่อท่านจะได้คลายความเศร้าหมอง และเมื่อท่านได้ถามนางว่า โอ้เคาละห์ เธอจะให้แต่งงานกับใคร? นางตอบว่า ถ้าหากท่านต้องการหญิงสาวที่ยังไม่เคยผ่านการแต่งงงานก็แต่งกับงานกับ อาอิชะห์ บุตรี อาบูบักร์ แต่ถ้าหากต้องการหญิงหม้ายก็แต่งกับเซาดะห์ บุตรี ซัมอะห์
การที่เคาละห์เสนอให้ท่านนบี(ซ.ล.)แต่งงานกับเซาดะห์ซึ่งเป็นหญิงหม้าย และอาอิชะห์ซึ่งเป็นหญิงสาว ตามทัศนะของ ดร.ชะมูต นั้น ทำให้เข้าใจได้ว่า ผู้หญิงทั้งสองคนนั้นมีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเป็นภรรยาของท่านเพื่ออุดช่องว่างที่ทำให้ท่านต้องพบกับความเศร้าโศกภายหลังพระนางคอดีญะห์จากไป หมายความว่า ขณะนั้นพระนางอาอิชะห์อยู่ในวัยสมบูรณ์เต็มที่ในสายตาของเคาละห์ ที่รู้ถึงความต้องการของผู้ชายและผู้หญิงเป็นอย่างดี