กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว:
สารบัญถามตอบปัญหาศาสนา
ฟอรั่ม
หน้าแรก
ค้นหา
ปฏิทิน
Contact
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
GoogleTagged
กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
»
เสวนาเชิงวิชาการ
»
อัลกุรอาน
(ผู้ดูแล:
นูรุ้ลอิสลาม
,
Bangmud
) »
อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า: [
1
]
2
3
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส (อ่าน 6738 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
เมื่อ:
พ.ค. 02, 2012, 05:39 AM »
0
Tweet
คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ ยูนุส (ชื่อนะบียฺ - يونس) R4.
เป็นสูเราะฮฺ มักกียะฮฺ มี 109 อายะฮฺ
ความหมายโดยสรุปของซูเราะฮฺยูนุส
ซูเราะฮฺยูนุสเป็นซูเราะฮฺมักกียะฮฺ ที่ให้ความสนใจต่อหลักการศาสนา คือการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ ศรัทธาต่อบรรดารอซูล และศรัทธาต่อการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน เป็นซูเราะฮฺที่มีจุดเด่นในรูปแบบที่มีการชี้แนะไปสู่การศรัทธาต่ออัลกุรอานอัลกะรีม ซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มสุดท้ายที่ถูกประทานลงมา และเป็นสิ่งปาฏิหาริย์ ยั่งยืน คงอยู่ชั่วกาลนาน
ในตอนต้นของสูเราะฮฺได้กล่าวถึงเรื่องของสาสน์และรอซูล และได้ชีแจงอีกว่านี่คือแนวทางของอัลลอฮฺ ทั้งในตอนแรกและตอนสุดท้าย ไม่มีประชาชาติใดที่อุบัติขึ้นมานอกจากว่าอัลลอฮฺจะต้องส่งรอซูลมาเพื่อชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ดังนั้นจึงไม่บังควรที่พวกมุชริกีนจะเคลือบแคลงสงสัย ในการส่งรอซูลคนสุดท้ายมายังพวกเขา เป็นการประหลาดแก่มนุษย์หรือที่เราจะได้ให้วะฮียฺแก่ชายคนหนึ่งจากพวกเขาให้เตือนสำทับมนุษย์ ในอันดับต่อมา บรรดาโองการต่าง ๆ ได้ชี้แจงถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเป็นพระเจ้าและการเป็นบ่าว (อัลอุลูฮียะฮฺ และ อัลอุบูดียะฮฺ) และพื้นฐานแห่งความสัมพันธ์ระหว่างพระผู้สร้างกับผู้ถูกสร้าง และยังได้แนะนำมนุษย์ให้รู้จักพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงของพวกเขา ซึ่งเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พวกเขาจะเคารพอิบาดะฮฺพระองค์แต่เพียงองค์เดียว ยอมมอบกายถวายชีวิตแด่พระองค์ พระองค์เท่านั้นเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ประทานปัจจัยชีวิต เป็นผู้ทรงให้เป็น ทรงให้ตาย เป็นผู้ทรงจัดเตรียมและทรงปรีชาญาณ ทุกสิ่งนอกจากพระองค์ย่อมสูญสลาย แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านคืออัลลอฮฺผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในเวลา 6 วัน
ซูเราะฮฺได้กล่าวถึงท่าทีของพวกมุชริกีนที่มีต่อสาสน์และอัลกุรอาน และว่าอัลกุรอานนี้คือปาฏิหาริย์ที่ยั่งยืน ที่ยืนยันถึงความสัจจะของท่านนะบีผู้ไม่รู้หนังสือ(อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็น) และยังคงเป็นหลักฐานยืนยันถึงความเป็นเอกะ เป็นปาฏิหาริย์ ด้วยการทายมุชริกีนให้นำคำประพัน์มาสักบทหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน พวกเขาก็หมดความสามารถทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นเจ้าแห่งโวหารและสำนวนทางด้านภาษาศษสตร์ หรือพวกเขากล่าวว่า เขา(มุฮัมมัด)ปั่นแต่งขึ้น จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น และจงเรียกร้องเชิญชวนผู้ที่พวกท่านสามารถนำมาได้นอกจากอัลลอฮฺ หากพวกท่านเป็นผู้สัจจริง
ซูเราะฮฺได้แนะนำมนุษย์ให้รู้จักคุณลักษณะของพระเจ้าที่แท้จริง ด้วยการกล่าวถึงสัญลักษณ์แห่งอานุภาพและความเอ็นดูเมตตาของพระองค์ที่บ่งชี้ถึงการจัดเตรียม ความปรีชาญาณของพระเจ้าแห่งสากลโลก และสิ่งที่อยู่ในจักรวาลที่เรามองเห็นถึงร่องรอยแห่งอานุภาพอันเด่นชัด ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ถึงความยิ่งใหญ่ ความปรีชาญาณและอานุภาพของอัลลอฮฺตะอาลา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่มาจากชั้นฟ้าและแผ่นดินแก่พวกท่าน หรือใครเป็นเจ้าของการได้ยินและการมอง ที่กล่าวมานี้เป็นปัญหาสำคัญที่ซุเราะฮฺกล่าวถึงและให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการศรัทธา และการให้ความเป็นเอกภาพแด่อัลลอฮฺตะอาลา ซึ่งซูเราะฮฺได้นำมากล่าวถึงพร้อมด้วยหลักฐานทางด้านโสตประสาทและสติปัญญา
ซูเราะฮฺยังได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของนะบีบางท่าน เช่น เรื่องของนะบีนูหฺกับประชาชาติของท่าน เรื่องของนะบีมูซากับฟิรฺเอาน์(ฟาโรห์) ผู้เกรี้ยวกราด และเรื่องของนะบียูนุสซึ่งชื่อของท่านเป็นชื่อของซูเราะฮฺนี้ เรื่องราวประวัติความเป็นมาที่ปรากฏในซูเราะฮฺ นี้เป็นการชี้แนวทางของอัลลอฮฺในการบริหารกิจการต่าง ๆ เช่น การลงโทษผู้อธรรม และการให้การสนับสนุนช่วยเหลือแก่ผู้ศรัทธา
ซูเราะฮฺได้จบลงด้วยการใช้ให้ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมยึดมั่นต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺ และอดทนต่อการต่อต้านและการทำร้ายในการเผยแพร่สัจธรรม และเจ้าจงปฏิบัติตามที่ถูกวะฮียฺแก่เจ้า และจงอดทนจนกว่าอัลลอฮฺจะทรงตัดสิน และพระองค์ทรงเป็นผู้ตัดสินที่ดียิ่ง
----------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
R1.
The Noble Qur’an
(Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2.
อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย
โดย มัรวาน สะมะอุน
R3.
ตัฟฮีมุลกุรฺอาน
(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4.
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย
ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5.
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย
(โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #1 เมื่อ:
พ.ค. 03, 2012, 06:36 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 1 - 3
คำอ่าน
1. อะลิฟ ลาม รอ ติลกะอายาตุลกิตาบิลหะกีม
2. อะกานะลิน..นาสิ อะญะบัน อันเอาหัยนา..อิลาเราะญุลิม..มินฮุม อัน อัน..ซิริน..นาสะ วะบัชชิริลละซีนะอามะนู..อัน..นะละฮุม เกาะดะมะศิดกิน อิน..ดะร็อบบิฮิม กอลัลกาฟิรูนะ อิน..นะ ฮาซาละสาหิรุม..มุบีน
3. อิน..นะร็อบบะกุมุลลอฮุลละซี เคาะละก็อสสะมาวาติวัลอัรฺเฎาะ ฟีสิตตะติอัยยามิน..ษุม..มัสตะวาอะลัลอัรฺชิ ยุดับบิรุลอัมรฺ มามิน..ชะฟีอิน อิลลามิม..บะอฺดิอิซนิฮี ซาลิกุมุลลอฮุร็อบบุกุม ฟะอฺบุดูฮฺ อะฟะลาตะซักกะรูน
คำแปลR1.
1. Alif-Lam-Ra. [These letters are one of the miracles of the Qur'an, and none but Allah (alone) knows their meanings]. These are the Verses of the Book (the Qur'an) Al-Hakim [showing lawful and unlawful things, explaining Allah's (divine) laws for mankind, leading them to eternal happiness by ordering them to follow the true Islamic Monotheism, - worshipping none but Allah alone - that will guide them to Paradise and save them from Hell].
2. Is it wonder for mankind that we have sent Our inspiration to a man from among themselves (i.e. Prophet Muhammad) (saying): "Warn mankind (of the coming torment in Hell), and give good news to those who believe (in the Oneness of Allah and in his Prophet Muhammad) that they shall have with their Lord the rewards of their good deeds?" (But) the disbelievers say: "This is indeed an evident sorcerer (i.e. Prophet Muhammad and the Qur'an)!
3. Surely, your Lord is Allah who created the heavens and the earth in six days and then Istawa (rose over) the Throne (really in a manner that suits His Majesty), disposing the affair of all things. No intercessor (can plead with him) except after His leave. That is Allah, your Lord; so worship Him (alone). Then, will you not remember?
คำแปล R2.
1. อลิฟ ลาม รอ นี้เป็นโองการแห่งคัมภีร์(อัลกุรอาน)อันเยี่ยมด้วยวิทยญาณ
2. บังควรหรือสำหรับมนุษย์ที่จะฉงนที่เราได้ดลโองการแก่บุรุษหนึ่ง(คือนบีมุฮำมัด)ซึ่งเป็นผู้หนึ่งจากพวกของเขาเอง(โดยมีคำบัญชาแก่เขาว่า) “เจ้าจงตักเตือนมวลมนุษย์เถิด และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายว่า แท้จริงพวกเขานั้น มีสิ่งเตรียมล่วงหน้าอันจริงแท้ ณ องค์อภิบาลของพวกเขา (เนื่องเพราะความประพฤติอันดีงามของพวกเขาเอง) บรรดาพวกทรยศกล่าวว่า “แท้จริง(มุฮำมัด)นี้เป็นเพียงมายากรอันชัดแจ้งเท่านั้น”
3. แท้จริงองค์อภิบาลของเจ้าทั้งหลายคือ อัลเลาะฮฺผู้ทรงบันดาลฟากฟ้าและแผ่นดินในหกวาระ หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงใช้อำนาจเหนือบัลลังก์ ทรงจัดบริหารกิจการ(ต่าง ๆ )ไม่มีผู้ใดจะให้การสงเคราะห์(แก่ผู้อื่นได้) นอกจากภายหลังจากการอนุมัติของพระองค์ นั้นคืออัลเล่ะฮฺผู้ทรงอภิบาลพวกเจ้า ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงนมัสการพระองค์เถิด แล้วไฉนพวกเจ้าจึงไม่ระลึกถึง
คำแปล R3.
1. อะลีฟ ลาม รอ เหล่านี้คืออายะฮฺแห่งคัมภีร์ที่เต็มไปด้วยวิทปัญญาและความรู้
2. มันเป็นเรื่องแปลกต่อผู้คนกระนั้นหรือที่เราได้ดลใจให้คนผู้หนึ่งในหมู่พวกเขาให้ตักเตือนและแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่าพวกเขาจะมีเกียรติและความสำเร็จที่แท้จริงกับพระผู้อภิบาลของพวกเขา
(สิ่งนี้หรือที่)
ได้ทำให้พวกปฏิเสธกล่าวว่า “คนผู้นี้เป็นนักเวทย์มนตร์อย่างแน่นอน
3. แท้จริงแล้วพระผู้อภิบาลของสูเจ้าก็คืออัลลอฮฺผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินใน 6 วัน แล้วพระองค์ก็ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์แห่งอาณาจักรของพระองค์และทรงบริหารกิจการแห่งจักรวาล ไม่มีผู้ใดที่จะขอไถ่โทษแทนใครกับพระองค์ได้เว้นแต่หลังจากที่พระองค์ทรงอนุมัติ นั่นคืออัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลของสูเจ้า ดังนั้น จงเคารพภักดีพระองค์ แล้วสูเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ?
คำแปล R4.
1. อะลิฟ ลาม รอ เหล่านี้คือบรรดาโองการ แห่งคัมภีร์ที่ชัดแจ้ง
2. เป็นการประหลาดแก่มนุษย์หรือ ที่เราได้ให้วะฮีย์แก่ชายคนหนึ่งจากพวกเขา ให้เตือนสำทับมนุษย์ และแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่าแท้จริงสำหรับพวกเขานั้น จะได้รับตำแหน่งอันสูง ณ ที่พระเจ้าของพวกเขาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า “แท้จริงนี่คือนักมายากลอย่างแน่นอน”
3. แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านคืออัลลอฮฺผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในเวลา 6 วันแล้วพระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์ ทรงบริหารกิจการ ไม่มีผู้ให้ความช่วยเหลือคนใด เว้นแต่ต้องได้รับอนุมัติจากพระองค์ นั่นคืออัลลอฮฺพระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านจงเคารพภักดีต่อพระองค์เถิด พวกท่านมิได้ใคร่ครวญกันดอกหรือ?
คำแปล R5.
๑. อลิฟ ลาม รอ อัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรู้ความหมายของพระองค์ในถ้อยคำนี้ บรรดาโองการต่าง ๆ ที่มีกล่าวอยู่ในบทยูนุซ
นี้ คือโองการ
ส่วนหนึ่ง
แห่งพระคัมภีร์
อัล-กุรอาน
อันประณีต
ชัดแจ้ง
๒.
ไม่เป็นการสมควรเลยที่ปวงชน
ชาวมักกะห์
จะมีความฉงนในการที่เรา
(อัลเลาะห์)
ได้แต่งตั้งบุรุษหนึ่งจากชน
ชาวมักกะห์
เหล่านั้น
เป็นพระศาสนทูตโดยเราสั่งว่า โอ้มุฮำมัด
เจ้าจงเตือนมวลชน
กาฟิรให้กลัวโทษทัณฑ์
และจงยังความปลาบปลื้มแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า พวกเขาย่อมได้รับส่วนแบ่งแห่งบุญกุศลที่
พวกเขา
ได้กระทำไว้ในอดีตจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขา พวกกาฟิรกล่าวว่า
แท้จริงพระคัมภีร์อัลกุรอานที่มีคำขู่และมีความปลาบปลื้มอยู่ด้วย
นี้คือวิทยากลแน่ชัดทีเดียว
๓.
แน่แท้องค์อภิบาลแห่งพวกเจ้านั้นคืออัลเลาะห์ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า
ทั้งเจ็ด
และแผ่นดิน
เสร็จเรียบร้อย
ในเวลา
เพียง
หกวัน
แห่งวันในพิภพนี้ แต่ถ้าพระองค์ทรงมุ่งหมาย พระองค์จะสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินให้แล้วเสร็จในพริบตาเดียวก็ได้ การที่พระองค์ทรงเปลี่ยนพระประสงค์จากการสร้างโดยฉับพลันมาเป็นการสร้างเสร็จภายในหกวันนั้นก็เพื่อต้องการสอนให้เหล่าข้าของพระองค์กระทำการใดด้วยความประณีตบรรจง และกระทำโดยช้าพอประมาณ
ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงเถลิงอำนาจปกครอง ณ อัรช์
คือฟ้าชั้นเก้า
พระองค์ทรงจัดระบบงาน
แห่งอาณาจักร บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน ตลอดทั้งอัล-อัรช์ และสิ่งที่จะมีขึ้นใหม่ทีละสิ่งทีละอย่างตามกำหนดหมาย ให้อยู่ในแบบแผนที่สมบูรณ์ที่สุด
ย่อมไม่ผู้ช่วยเหลือ
จะช่วยผู้ใดให้รอดจาขุมนรกได้
เลย เว้นแต่โดยพระอนุญาตของพระองค์
องค์ผู้ทรงสร้างและผู้จัดระบบ
นี้แหละ คืออัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ฉะนั้นพวกเจ้าจงแสดงเอกภาพของพระองค์เถิด พวกเจ้าลืมเลือนไปแล้ว
พวกเจ้ามิได้ตรึกตรองรอก
หรือ
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #2 เมื่อ:
พ.ค. 04, 2012, 06:33 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 4 - 5
คำอ่าน
4. อิลัยฮิมัรฺญิอุกุมญะมีอา วะอฺดัลลอฮิหักกอ อิน..นะฮูยับดะอุลค็อลเกาะ ษุม..มะยุอีดุฮู ลิยัจญซิยัลละซีนะอามะนู วะอะมิลุศศอลิหาติ บิลกิซฏิ วัลละซีนะกะฟะรู ละฮุมชัรอบุม..มินหะมีมิว..วะอะซาบุนอะลีมุม..บิมากานูยักฟุรูน
5. ฮุวัลละซี ญะอะละชชัมสะฎิยา...เอา..วัลเกาะมะเราะนูร็อว..วะก็อดดะเราะฮูมะนาซิละ ลิตะอฺละมูอะดะดัสสินีนะ วัลหิสาบ มาเคาะละก็อลลอฮุ ซาลิกะอิลลาบิลหักกฺ ยุฟัศศิลุลอายาติ ลิก็อวมี..ยะอฺละมูน
คำแปลR1.
4. To Him is the return of all of you. The Promise of Allah is true. It is He who begins the creation and then will repeat it, that He may reward with justice those who believed (in the Oneness of Allah - Islamic Monotheism) and did deeds of righteousness. But those who disbelieved will have a drink of boiling fluids and painful torment because they used to disbelieve.
5. It is He who made the sun a shining thing and the moon as a light and measured out its (their) stages, that you might know the number of years and the reckoning. Allah did not create this but in truth. He explains the
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) in detail for people who have knowledge.
คำแปล R2.
4. มายังพระองค์เท่านั้น ที่คืนกลับของพวกเจ้าทั้งมวล เป็นสัญญาอันจริงแท้ แท้จริงพระองค์ทรงเริ่มต้นบันดาลสิ่งบันดาล(ทั้งหลาย) หลังจากนั้นทรงให้เขาย้อนกลับ(มามีชีวิตอีกภายหลังจากตายไปแล้ว) เพื่อพระองค์ทรงตอบสนองแก่บรรดาผู้ศรัทธาและประพฤติแต่ความดีงามโดยความเที่ยงธรรม และบรรดาผู้ทรยศนั้นพวกเขาจะมีเครื่องดื่มที่มาจากน้ำอันเดือดพล่าน และการลงโทษอันสาหัสยิ่งเพราะเหตุที่พวกเขาได้ทรยศ
5. พระองค์เป็นผู้ทรงบันดาล ให้ดวงตะวันมีประกายสว่างไสว และดวงเดือนเป็นรัศมี และทรงกำหนดมันไว้หลายตำแหน่ง(ตามระบบโคจรของมัน) เพื่อพวกเจ้าจะได้ทราบจำนวนปี และการคำนวณ อัลเลาะฮฺมิทรงบันดาลสิ่งนั้น(ขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย) นอกจากโดยความสัจจริง (อันยังประโยชน์มหาศาล) พระองค์ทรงจำแนกบรรดาสัญลักษณ์ต่าง ๆ (ของพระองค์) เพื่อกลุ่มชนที่มีความรู้
คำแปล R3.
4. ยังพระองค์ที่สูเจ้าจะต้องคืนกลับ นี่คือสัญญาที่แท้จริงและแน่นอนของอัลลอฮฺ แท้จริงแล้วพระองค์ทรงเริ่มต้นการสร้างสรรค์ แล้วพระองค์ทรงให้มันเกิดขึ้นมาอีก เพื่อที่ว่าพระองค์จะได้ทรงตอบแทนอย่างยุติธรรมแก่บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดี สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น พวกเขาจะได้ดื่มน้ำที่ร้อนจัด และได้รับการลงโทษอันเจ็บปวดสำหรับการปฏิเสธสัจธรรมของพวกเขา
5. พระองค์คือผู้ทรงให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า และดวงจันทร์มีแสงนวล และได้ทรงกำหนดระยะการโคจรของมันอย่างเที่ยงตรงเพื่อที่สูเจ้าจะได้คำนวณปีและวันจากมัน อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
(เพียงเพื่อความสนุกสนาน)
แต่เพื่อเป้าหมายแห่งความจริง พระองค์ได้ทรงทำให้สัญญาณของพระองค์เป็นที่แจ้งชัดสำหรับผู้คนที่มีความรู้
คำแปล R4.
4. ยังพระองค์เท่านั้นคือทางกลับของพวกท่านทั้งหลาย สัญญาของอัลลอฮฺนั้นเป็นจริงเสมอแท้จริงพระองค์นั้นทรงเริ่มการสร้าง แล้วพระองค์ก็ทรงให้มันบังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทรงตอบแทนบรรดาผู้ศรัทธา และผู้ประกอบความดี โดยเที่ยงธรรม ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น พวกเขาจะได้รับเครื่องดื่มที่ร้อนจัด และการลงโทษอันเจ็บแสบ เพราะพวกเขาปฏิเสธ ไม่ยอมศรัทธา
5. พระองค์ทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้าและดวงจันทร์มีแสงนวล และทรงกำหนดให้มันมีทางโคจร เพื่อพวกท่านจะได้รู้จำนวนปีและการคำนวณ อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้น เว้นแต่ด้วยความจริง พระองค์ทรงจำแนกสัญญาณต่าง ๆ สำหรับหมู่ชนที่มีความรู้
คำแปล R5.
๔.
ที่มุ่งหวังของพวกเจ้าทั้งสิ้นนั้น ไปยังพระองค์ตามข้อสัญญาของอัลเลาะห์
ที่ได้ทรงสัญญาไว้กับพวกเจ้า
โดยแท้จริง แน่แท้พระองค์ทรงเริ่มสร้างสรรค์
จากความไม่มี
ให้มีขึ้น
ครั้นเมื่อตาย
แล้วก็ทรงให้มันกลับฟื้นขึ้น เพื่อพระองค์จะตอบแทน
บุญกุศล
แก่บรรดาผู้ศรัทธาและที่ประพฤติชอบด้วยความเป็นธรรม ฝ่ายบรรดาผู้เป็นกาฟิรนั้นเล่า พวกเขาย่อมได้ดื่มน้ำที่แสนร้อนและได้รับโทษทรมานอันเจ็บแสบ ฐานที่พวกเขานั้นไร้ศรัทธา
๕.
พระ
องค์อัลเลาะห์
ผู้ทรงสร้างดวงอาทิตย์ให้มีแสงกล้าและ
ทรงสร้าง
ดวงจันทร์ให้เป็นแสงรัศมีทั้งยังได้ทรงกำหนดมันมีตำแหน่งโคจร
๒๘ ตำแหน่งใน ๒๘ คืน ซึ่งอีก ๒ คืนที่ไม่สามารถแลเห็นดวงจันทร์ได้ รวม ๓๐ คืนเป็นหนึ่งเดือน และในกรณีไม่สามารถแลเห็นดวงจันทร์อยู่ ๑ คืน ย่อมจะรวมได้ ๒๙ คืนเป็น๑ เดือน
เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ถึงจำนวนปีและการคำนวณ
เวลาด้วยเกณฑ์ที่กล่าวนั้น
อัลเลาะห์ไม่ได้ทรงสร้างมันเหล่านี้
ทั้ง ๓ อย่าง คือดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และตำแหน่งทั้ง ๒๘ นั้น
ขึ้นทำไม นอกจากเพื่อความเป็นจริง
อันมีคุณประโยชน์ ไม่มีส่วนไร้ประโยชน์เลย
ซึ่งพระองค์ชี้แจงบรรดาโองการนี้ไว้สำหรับปวงชนที่ตรึกตรอง
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #3 เมื่อ:
พ.ค. 07, 2012, 06:18 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 6 - 8
คำอ่าน
6. อิน..นะฟีค็อลกิสสะมาวาติ วัลอัรฺฎิ ละอายาติลลิก็อวมี..ยัตตะกูน
7. อิน..นัลละซีนะลายัรฺญูนะลิกอ..อะนา วะเราะฎูหะยาติดดุนยาวัฏมะอัน..นูบิฮา วัลละซีนะฮุม อันอายาตินาฆอฟิลูน
8. อุลา...อิกะมะอ์วาฮุมุน..นารุ บิมากานูยักสิบูน
คำแปลR1.
6. Verily, in the alternation of the night and the day and in all that Allah has created in the heavens and the earth are
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) for those people who keep their duty to Allah, and fear Him much.
7. Verily, those who hope not for their meeting with us, but are pleased and satisfied with the life of the present world, and those who are heedless of Our [Ayat] (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.),
8. Those, their abode will be the Fire, because of what they used to earn.
คำแปล R2.
6. แท้จริงในการสับเปลี่ยนของกลางคืนและกลางวัน และสิ่งที่อัลเลาะฮฺได้บันดาลไว้ในชั้นฟ้าและแผ่นดินล้วนเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ สำหรับกลุ่มชนที่มีความยำเกรง (จะได้ใช้พิจารณาเพื่อยอมรับในเอกานุภาพและเดชานุภาพของพระองค์
7. แท้จริงบรรดาผู้ไม่มุ่งหวังที่จะพบกับเรา(อัลเลาะฮฺ)และพวกเขามีความพึงพอใจในชีวิตทางโลกนี้ และพวกเขาสงบมั่นอยู่กับมัน และบรรดาผู้ละเลยต่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ (ที่แสดงถึงเอกานุภาพและเดชานุภาพ)ของเรา
8. อันพวกเหล่านั้น ที่อยู่ของพวกเขา คือ นรก เนื่องเพราะสิ่งที่พวกเขาได้เคยพากเพียรไว้
คำแปล R3.
6. แท้จริงแล้ว ในการสับเปลี่ยนหมุนเวียนของกลางคืนและกลางวันและในทุกสิ่งที่อัลลอฮิได้ทรงสร้างขึ้นในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้น แน่นอนมีสัญญาณสำหรับบรรดาผู้ที่ตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยง
(การหันเหออกไปจากสัจธรรม)
7. แท้จริงบรรดาผู้ที่ไม่หวังว่าจะพบเราและพอใจกับชีวิตแห่งโลกนี้และยินดีกับมันและไม่ใส่ใจต่อสัญญาณของเรานั้น
8. คนเหล่านี้ ที่พักบั้นปลายของพวกเขาคือไฟนรก ซึ่งเป็นผลมาจากความชั่วที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้
(เพราะความเชื่อและการประพฤติผิด ๆ)
คำแปล R4.
6. แท้จริงการสับเปลี่ยนของกลางคืนและกลางวัน และที่อัลลอฮฺทรงสร้างในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้น แน่นอนเป็นสัญญาณแก่กลุ่มชนที่มีความยำเกรง
7. แท้จริงบรรดาผู้ที่ไม่หวังจะพบเรา และพวกเราพอใจต่อชีวิตในโลกดุนยา และพวกเขาดีใจต่อมัน และบรรดาผู้ละเลยต่อสัญญาณต่าง ๆ ของเรา
8. ชนเหล่านั้น ที่พำนักของพวกเขาคือนรกเนื่องด้วยพวกเขาขวนขวายเอาไว้
คำแปล R5.
๖.
แท้จริงการสับเปลี่ยนกันของกลางคืนและกลางวันก็ดี
การเพิ่มขึ้นและลดลงของระยะเวลาแห่งกลางคืนและกลางวันก็ดี
และสิ่งต่าง ๆ
อันมีมลาอิกะห์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวและอื่น ๆ
ที่อัลเลาะห์ได้ทรงสร้างไว้ ณ ฟากฟ้า
ทั้งเจ็ด
และแผ่นดิน
เช่น สัตว์ทั้งปวง ภูเขา ทะเล แม่น้ำลำธาร ต้นไม้และอื่น ๆ
ก็ดี
สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น
เป็นสัญญาณ
แสดงถึงพลานุภาพของพระองค์
สำหรับปวงชนผู้ยำเกรง
แล้วพวกเหล่านั้นจักได้มีศรัทธาต่อพระองค์
๗.
แท้จริงบรรดาผู้ไม่มุ่งหวังต่อการไปเผชิญกับเรา
(อัลเลาะห์) ด้วยการเกิดใหม่ในภาคภพหน้า เพราะความไม่ศรัทธา
และพวกนั้นมีความยินดีต่อชีวิตในภพนี้
แทนความเป็นอยู่ในภาคภพหน้า เนื่องจากพวกนั้นปฏิเสธเรื่องความเป็นอยู่ในภพหน้า
ทั้งพวกนั้นยังรักมั่นที่จะอยู่สงบสุข ณ ภาคภพรี้ก็ดี และบรรดาที่ลืมเลือน
ต่อการพินิจพิจารณา
บรรดาหลักฐาน
อันชี้ถึงเอกภาพ
ของเรา
(อัลเลาะห์)
ก็ดี
๘.
พวกเหล่านั้น ที่พำนักอาศัยของพวกเขาคือขุมนรก ทั้งนี้เพราะ
ความไร้ศรัทธาและความชั่วช้า
ซึ่งพวกเหล่านั้นได้อุตส่าห์กระทำไว้
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #4 เมื่อ:
พ.ค. 08, 2012, 06:09 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 9 - 10
คำอ่าน
9. อิน..นัลละซีนะอามะนูวะอะมิลุศศอลิหาติ ยะฮฺดีฮิมร็อบบุฮุม..บิอีมานิฮิม ตัจญรีมิน..ตะหิติฮิมุลอันฮารุ ฟีญัน..นาติน..นะอีม
10. ดะอฺวาฮุมฟีฮาสุบหานะกัลป์ลอฮุม..มะวะตะหียะตุฮุมฟีฮาสะลาม วาอาคิรุดะอฺวาฮุม อะนิลหัมดุลิลลาฮิ ร็อบบิลอาละมีน
คำแปลR1.
9. Verily, those who believe [in the Oneness of Allah along with the six articles of Faith, i.e. to believe in Allah, his angels, his Books, his Messengers, Day of Resurrection, and Al-Qadar (Divine Preordainments) - Islamic Monotheism], and do deeds of righteousness, their Lord will guide them through their Faith; under them will flow rivers in the Gardens of delight (Paradise).
10. Their way of request therein will be Subhanaka Allahumma (Glory to you, O Allah!) and Salam (peace, safe from each and every evil) will be their greetings therein (Paradise)! And the close of their request will be: Al-Hamdu Lillahi Rabbil-'Alamin [all the praises and thanks are to Allah, the Lord of 'Alamin (mankind, jinns and all that exists)].
คำแปล R2.
9. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และประพฤติแต่ความดีงามนั้น องค์อภิบาลของพวกเขาจะชี้นำพวกเขา ด้วยเหตุแห่ง (การมี) ศรัทธาของพวกเขา (สู่ภาวะอีนร่มเย็นเป็นสุขซึ่ง) มีธารน้ำต่าง ๆ ไหลอยู่ ณ เบื้องใต้ของพวกเขา ในสวรรค์อันบรมสุข
10. คำวอนของพวกเขาในนั้นคือ “พระองค์ทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก! โอ้อัลเลาะฮฺ!” และคารวะธรรมของพวกเขาในนั้นคือ “(คำประสาท)สันติสุข” และคำวอนสุดท้ายของพวกเขาคือ “การสรรเสริญเป็นของอัลเลาะฮฺผู้ทรงอภิบาลโลกทั้งหลาย”
คำแปล R3.
9. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีนั้น พระผู้อภิบาลของเขาจะทรงนำทางพวกเขา ทั้งนี้เพราะความศรัทธาของพวกเขานั่นเอง และเบื้องล่างของพวกเขานั้นจะมีลำน้ำหลายสายไหลผ่านในสวนสวรรค์อันบรมสุข
10. ในนั้น การวิงวอนของพวกเขาก็คือ “มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ โอ้อัลลอฮฺ” และการทักทายให้ความเคารพของพวกเขาก็คือ “สันติจงมีแด่ท่าน” และสุดท้ายของการแซ่ซ้องของพวกเขาก็คือ “การสรรเสริญทั้งหลายเป็นของอัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก”
คำแปล R4.
9. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ประกอบความดี พระเจ้าของพวกเขาจะทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องให้แก่พวกเขา เนื่องด้วยการศรัทธาของพวกเขา ภายใต้พวกเขามีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านซี่งอยู่ในสวนสวรรค์อันเกษมสำราญ
10. การขอพรของพวกเขาในสวนสวรรค์คือ “มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ท่าน ข้าแต่พระเจ้าของเรา” และคำทักทายของพวกเขาในนั้นคือ “ความสันติสุข” (อัสสะลาม) และสุดท้ายแห่งการขอพรของพวกเขาคือ “การสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ พระเจ้าแห่งสากลโลก”
คำแปล R5.
๙.
แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและที่ได้ปฏิบัติชอบธรรมนั้น องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเหล่านั้นจะทรงชี้แนวธรรมให้พวกเขามีศรัทธาต่อพระองค์ ซึ่งภายใต้พวกนั้นมีธารน้ำไหลผ่านอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นนะอีม
๑๐.
คำอ้อนวอนของพวกเขาเหล่านั้น
ผู้เป็นชาวสวรรค์ ที่ใคร่จะได้สิ่งที่ต้องการ
ณ ที่
(สวรรค์)
นั้น
กล่าวขึ้น
ว่า “มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ ข้าแต่อัลเลาะห์”
แล้วในทันใดอาหารตามคำอ้อนวอนก็มีขึ้นท่ามกลางพวกนั้น
และความเคารพของพวกเหล่านั้น ณ ที่
(สวรรค์)
นั้นคือความศานติ ส่วนถ้อยคำในครั้งสุด
เมื่อเสร็จจากรับประทานอาหารแล้ว
มีว่า “การสรรเสริญเป็นสิทธิแห่งอัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก”
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #5 เมื่อ:
พ.ค. 09, 2012, 06:31 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 11 - 12
คำอ่าน
11. วะเลายุอัจญิลุลลอฮุลิน..นาสิชชัรฺร็อสติอฺญาละฮุม..บิลค็อยริ ละกุฎิยะอิลัยฮิมอะญะลุฮุม ฟะนะซะรุลละซีนะลายัรฺญูนะอิกอ..อะนา ฟีตุฆยานิฮิม ยะอฺมะฮูน
12. วะอิซามัสสัลอิน..สานัฎฎุรฺรุ ดะอานาลิญัม..บิฮี..เอากออิดัน เอากออิมา ฟะลัม..มากะชัฟนา อันฮุ ฎุรฺเราะฮู มัรฺเราะ กะอัลลัมยัดอุนา..อิลาฎุรฺริม..มัสสะฮฺ กะซาลิกะ ซุยยินะลิลมุสริฟีนะ มากานูยะอฺมะลูน
คำแปลR1.
11. And were Allah to hasten for mankind the evil (they invoke for themselves and for their children, etc. while in a state of anger) as He hastens for them the good (they invoke) then they would have been ruined. So we leave those who expect not their Meeting with us, in their trespasses, wandering blindly in distraction. (Tafsir At-Tabari; Vol. 11, Page 91)
12. And when harm touches man, he invokes us, lying down on his side, or sitting or standing. But when we have removed his harm from him, he passes on his way as if he had never invoked us for a harm that touched him! Thus it seems fair to the
Musrifun
that which they used to do.
คำแปล R2.
11. และมาดแม้นว่า อัลเลาะฮฺจะทรงเร่งความเลว(การลงโทษ)ให้ประสบกับมวลมนุษย์ เหมือนเช่นที่พวกเขาเคยเร่งความดี(ความสุข) แน่นอนกำหนดวาระ(แห่งการรับโทษ)ของพวกเขาก็จะถูกลุล่วง(ไปด้วยดี) แล้วเราก็จะทอดทิ้งบรรดาพวก(ทรยศ)ที่ไม่มุ่งหวังจะได้พบกับเรา ให้พวกเขางงงันอยู่กับความหลงผิดของพวกเขาเอง
12. และเมื่ออันตรายได้สัมผัสแก่มนุษย์คนใด แน่นอนเขาก็วิงวอนต่อเรา (เพื่อให้พ้นไปจากอันตรายนั้น) ทั้งในขณะที่เขานอน หรือนั่ง หรือยืน (ในทุกอิริยาบถ) แต่ครั้นเราได้คลี่คลายอันตรายนั้นไปจากเขาแล้ว เขาก็ผ่านไปประหนึ่งเขามิเคยขอต่อเราเพื่อการคลี่คลายอันตรายที่สัมผัสแก่เขาเลย เช่นนั้น! ได้ถูกประดับแก่บรรดาผู้ละเมิดทั้งหลาย ซึ่งสิ่งที่พวกเขาได้เคยประพฤติไว้ (ให้เห็นดีเห็นงามจนเขาไม่อาจจะเลิกจากมันได้)
คำแปล R3.
11. ถ้าหากอัลลอฮฺทรงเร่งจัดการความชั่วแก่มนุษย์เหมือนกับที่พวกเขาเร่งรีบในการขอสิ่งดีแห่งโลกนี้แล้ว วาระที่พวกเขาได้รับอนุญาตก็คงจะสิ้นสุดไปนานก่อนหน้านี้แล้ว
(แต่นี่มิใช่วิธีการของเรา)
เราได้ปล่อยให้พวกที่ไม่มีหวังว่าจะพบเราดั้นด้นไปในการดื้อดึงของพวกเขาอย่างมืดบอด
12.
(ช่างแปลกเสียนี่กระไร)
เมื่อมนุษย์ประสบทุกข์ภัย เขาร้องเรียกหาเรา ไม่ว่าจะยืนหรือนั่งหรือนอน แต่เมื่อเราขจัดทุกข์ภัยออกไปจากเขา เขากลับประพฤติเหมือนกับว่าเขาไม่เคยเรียกร้องหาเราในตอนที่ทุกข์ภัยได้ประสบกับเขา เช่นนั้นเองที่การทำชั่วของบรรดาผู้ฝ่าฝืนได้ถูกทำให้ดูเหมือนเป็นสิ่งดีงามแก่พวกเขา
คำแปล R4.
11. และหากอัลลอฮฺทรงเร่งตอบรับความชั่วของมนุษย์ เช่นเดียวกับการเร่งของพวกเขาเพื่อขอความดีแล้ว แน่นอนความตายของพวกเขาก็คงถูกกำหนดแก่พวกเขา แล้วเราจะปล่อยบรรดาผู้ที่ไม่หวังจะพบเราให้อยู่ในความงงงวย เพราะการดื้อดึงของพวกเขา
12. และเมื่ออันตรายประสบกับมนุษย์ เขาก็จะวิงวอนขอเราในสภาพนอนตะแคง หรือนั่งหรือยืน ครั้นเมื่อเราปลดเปลื้องอันตรายของเขาให้พ้นจากเขาไปแล้ว เขาก็เมินคล้ายกับว่าเขามิได้วิงวอนขอเราให้พ้นจากอันตรายที่ได้ประสบแก่เขา เช่นนั้นแหละ ถูกทำให้สวยงามแก่บรรดาผู้ละเมิดขอบเขตในสิ่งที่พวกเขากระทำ
คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้
คือพวกกาฟิรมุชริกขอให้เกิดมีโทษแก่ตัวพวกเขาเอง บรรดาลูกหลาน ตลอดถึงทรัพย์สินของพวกเขาโดยด่วน ทั้งนี้เป็นการเย้ยหยันและหาว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เนื่องจากพวยกเขาปฏิเสธเรื่องเกี่ยวกับการเกิดใหม่ในวันปรภพ การสอบสวน และการตอบแทนบุญและบาป โองการจากอัลเลาะห์จึงมีมาว่า
๑๑.
ถ้าอัลเลาะห์ทรงให้ปวงชนได้รับภัยพิบัติ
ทั้งในส่วนตัว เหล่าลูกหลานและทรัพย์สินของพวกเขา
โดยเร็วเท่ากับที่พวก
มนุษย์
เหล่านั้นขอได้รับคุณประโยชน์
และความโปรดปรานี
แล้วไซร้ พวกเหล่านั้นจะถูกตัดสินให้ต้องหมดอายุขัยลงได้
แต่อัลเลาะห์ได้ทรงประวิงการไว้
ดังนั้น เรา
(อัลเลาะห์)
จึงปล่อยบรรดาผู้ที่ไม่มุ่งหวังต่อการไปเผชิญกับ
การสอบสวนของเรา(อัลเลาะห์) และที่ปฏิเสธการเกิดใหม่หลังจากการตายลงแล้ว
ให้ตกอยู่ในความงุนงงงสงสัยเสียเลย
๑๒.
และเมื่อปวงชน
กาฟิร
ต้องประสบภัย
มีความป่วยไข้และความยากจน
เขาก็ขอต่อเรา
ให้กำจัดให้พ้นไปจากปวงภัยนั้น ๆ ทุกโอกาส
ไม่ว้าจะกำลังนอน หรือนั่งอยู่ หรือยืนอยู่ ครั้นเมื่อเรา
(อัลเลาะห์)
ได้ขจัดภัยอันตราย
ดังกล่าว
พ้นจากเขาแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมเชื่ออยู่ดังเดิม เหมือนว่าเขามิเคยขอต่อเราให้ขจัดภัยที่ประสบมานั้นให้พ้นไป ทำนอง
เดียวกับการขอให้ภัยอันตรายนั้นพ้นไปจากเขา ถูกแลเห็นเป็นความงดงาม
นี้เอง กิจ
อันชั่วช้า
ที่พวกนั้นปฏิบัติไว้จึงถูกให้แลเห็นเป็นความงดงามสำหรับพวกมุชริกไปด้วย
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #6 เมื่อ:
พ.ค. 10, 2012, 06:47 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 13 - 15
คำอ่าน
13. วะละก็ดอะฮฺลักนัลกุรูนะ มิน..ก็อบลิกุม ลัม..มาเซาะละมู วะญา..อัตฮุมรุสุลุฮุม..ฐิลบัยยินาติ วะมากานูลิยุอ์มินู กะซาลิกะนัจญซิลก็อวมัลมุจญริมีน
14. ษุม..มะญะอัลนากุม เคาะลา..อิฟะฟิลอัรฺฎิ มิม..บะอฺฎิฮิม ลินัน..ซุเราะ กัยฟะตะอฺมะลูน
15. วะอิซาตุตลาอะลัยฮิม อายาตุนาบัยยินาติน..กอลัลละซีนะลายัรฺญูนะ ลิกอ..อะนะอ์ติ บิกุรฺอานิน ฆ็อยริฮาซา..เอาบัดิลฮุ กุลมายะกูนุลี..อัน..นุบัดดิละฮู มิน..ติลกอ...อินัฟสี อินอัตตะบิอุอิลลามายูหา..อิลัยยะ อิน..นี..อะคอฟุ อินอะศ็อยตุ ร็อบบีอะซาบะ เยามินอะซีม
คำแปลR1.
13. And indeed, we destroyed generations before you, when they did wrong while their Messengers came to them with clear proofs, but they were not such as to believe! Thus do we requite the people who are
Mujrimun
(disbelievers, polytheists, sinners, criminals, etc.).
14. Then we made you follow after them, generations after generations in the land that we might see how you would work!
15. And when Our clear Verses are recited unto them, those who hope not for their meeting with us, say: bring us a Qur'an other than this, or change it. "Say (O Muhammad): "It is not for me to change it on my own accord; I only follow that which is revealed unto me. Verily, I fear if I were to disobey my Lord, the torment of the great Day (i.e. the Day of Resurrection)."
คำแปล R2.
13. แท้จริงเราได้ทำลายล้างประชาชาติยุคก่อน ๆ จากพวกเจ้ามาหลายประชาชาติแล้วเมื่อพวกเขาประกอบการทุจริต และบรรดาศาสนทูตของพวกเขาได้นำหลักฐานต่าง ๆ อันแจ้งชัดมาสู่พวกเขา แต่พวกเขาก็หาได้ศรัทธาไม่ เช่นนั้น! เราตอบแทนแก่กลุ่มชนที่ประกอบการบาปทั้งมวล
14. หลังจากนั้น เราได้สถาปนาพวกเจ้าทั้งหลาย ให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจปกครองในแผ่นดิน ภายหลังจากพวกเหล่านั้น(ได้ถูกทำลายล้างไปแล้ว) เพื่อเราจะได้พิจารณาว่า พวกเจ้าทั้งหลายทำอย่างไรบ้าง (ในการปกครองแผ่นดิน)
15. และเมื่อมีการแถลงบรรดาโองการอันชัดแจ้งของเราแก่พวกเขา บรรดาพวก(ทรยศ)ที่ไม่มุ่งหวังจะได้พบกับเรา(เพราะเขาคัดค้านเรื่องฟื้นจากความตายในโลกหน้า) จะพากันกล่าวว่า “ท่านจงนำกุรอานอื่นจากนี้มาซิ! หรือมิฉะนั้นท่านก็จงเปลี่ยนแปลงมันเถิด!” จงประกาศเถิด (มุฮำมัด) “ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ เพียงจากตัวของฉัน(โดยพลการ)ฉันจะไม่ตามนอกจากที่ถูกดลมายังฉันเท่านั้น” แท้จริงฉันกลัวว่าหากฉันฝืนคำบัญชาแห่งองค์อภิบาลของฉัน (ฉันจะต้องประสบ)การลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่
คำแปล R3.
13.
(โอ้มนุษย์ทั้งหลาย)
เราได้ทำลายหมู่ชนที่มีพลังอำนาจมากมายมาแล้วก่อนหน้าสูเจ้า เมื่อพวกเขาได้ฝ่าฝืนเพราะรอซูลของพวกเขาได้มายังพวกเขาแล้วพร้อมด้วยสัญญาณอันชัดแจ้ง แต่พวกเขาไม่คิดจะศรัทธา นี่คือวิธีการที่เราตอบแทนหมู่ชนผู้ทำความผิด
14. หลังจากนั้นเราก็ได้แต่งตั้งสูเจ้าขึ้นมาแทนพวกเขาในแผ่นดิน ทั้งนี้เพื่อที่เราจะทดสอบดูว่าสูเจ้าประพฤติตัวเช่นใด
15. และเมื่ออายะฮฺอันชัดแจ้งของเราได้ถูกอ่านแก่พวกเขา บรรดาผู้ที่ไม่หวังจะพบเราก็กล่าวว่า “จงนำเอากุรอานอันอื่นมาแทน หรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงมันเสีย”
(โอ้ มุฮัมมัด)
จงบอกพวกเขาเถิดว่า “ไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่จะมาเปลี่ยนแปลงกุรอานตามความพอใจของบฉัน ฉันเพียงแต่ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ถูกวะฮีย์แก่ฉัน แท้จริงแล้ว ถ้าฉันไม่เชื่อฟังพระผู้อภิบาลของฉัน ฉันกลัวต่อการลงโทษแห่งวันอันน่าสะพรึงกลัว”
คำแปล R4.
13. และโดยแน่นอน เราได้ทำลายประชาชาติจากศตวรรษก่อนพวกท่านไปแล้ว เมื่อผู้เขาเป็นผู้อธรรม และบรรดารอซูลของพวกเขาได้มายังพวกเขา พร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง แล้วพวกเขาก็ไม่ศรัทธา เช่นนั้นแหละ เราได้ตอบแทนแก่หมู่ชนที่เป็นอาชญากร
14. แล้วเราก็ได้แต่งตั้งพวกท่านให้เป็นตัวแทนในแผ่นดิน หลังจากพวกเขาเหล่านั้น เพื่อเราจะดูว่าพวกท่านจะปฏิบัติอย่างไร
15. และเมื่อบรรดาโองการอันชัดแจ้งของเราถูกอ่านแก่พวกเขา บรรดาผู้ไม่หวังที่จะพบเราก็กล่าวว่า “ท่านจงนำกุรฺอานอื่นจากนี้มาให้เราหรือเปลี่ยนแปลงเสีย” จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “ไม่บังควรแก่ฉันที่จะเปลี่ยนแปลงโดยพละการจากตัวฉัน ฉันจะไม่ปฏิบัติตาม เว้นแต่สิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่ฉันเท่านั้น แท้จริงฉันกลัวว่า หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉันแล้ว จะได้รับการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่”
คำแปล R5.
๑๓.
และ
โอ้ปวงชนชาวนครมักกะห์ เราให้สัตย์ปฏิญาณ
ว่า แท้จริงเรา
(อัลเลาะห์)
ได้ทำลายประชากรก่อนจากพวกเจ้ามาแล้ว เมื่อประชากรเหล่านั้นกระทำบาป
โดยการเคารพบูชาผู้ที่นอกจากเรา
ทั้งที่ เหล่าศาสนทูตก็ได้มายังพวกนั้นแล้วพร้อมหลักฐาน
ที่แสดงความสัจจริงของพระศาสนทูตเหล่านั้น
แต่ว่า
ปวงประชากร
เหล่านั่นหาได้ศรัทธา
ต่อพระศาสนทูตของพวกเขา
ไม่ เรา
(อัลเลาะห์)
จึงได้ตอบสนองแก่ปวงชนกาฟิรให้เป็นเช่น
เดียวกับที่เรา(อัลเลาะห์)ได้ทำลายปวงประชากรทั้งหลาย
นั้นด้วย
๑๔.
แล้วเรา
(อัลเลาะห์)
ได้ให้พวกเจ้ามีขึ้นมาแทน ณ หน้าแผ่นดิน ถัดจากพวกเหล่านั้น
ถูกทำลายล้างชาติพันธุ์ไปแล้วเพราะความไม่ศรัทธาต่อเหล่าพระศาสนทูตของพวกเขา
เพื่อเราจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะปฏิบัติกันอย่างไร
โดยที่เราย่อมรู้อยู่แต่ดั้งเดิมว่า พวกเจ้า(ชาวมักกะห์)นั้นมิได้พิจารณาถึงปวงประชากรยุคก่อน ๆ ไว้เป็นคติเลย พวกเจ้าจึงไม่เชื่อมุฮำมัดพระศาสนทูตของพวกเจ้า แต่เราก็ยังประวิงพวกเจ้าเพื่อการรอลงอาญา ซึ่งจะเร็วหรือช้าเพียงใดสุดแต่ความมุ่งหมายของเรา
๑๕.
และเมื่อบรรดาโองการต่าง ๆ
แห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอาน
อันชัดแจ้งของเราได้ถูกอ่านขึ้นแก่พวกเหล่านั้น
(ชาวมักกะห์)
บรรดาผู้ไม่มุ่งหวังการเผชิญกับเรา
และไม่หวาดหวั่นต่อการเกิดใหม่หลังจากตายแล้ว
กล่าวว่า
โอ้มุฮำมัด
เจ้าจงนำเอาอัล-กุรอานที่ไม่ใช่เล่มนี้
ซึ่งไม่มีเนื้อความตำหนิเทวรูปของพวกเรา
หรือจงเปลี่ยนมันเสียซิ
นำโองการส่วนแห่งความโปรดปรานีมาแทนโองการส่วนที่แสดงความกริ้ว และส่วนที่ไม่เป็นบาปมาแทนส่วนที่เป็นบาป การขอร้องต่อพระศาสดามุฮำมัดเช่นนี้ เป็นการหมิ่นประมาทพระคัมภีร์อัล-กุรอาน และเพื่อที่พวกเหล่านั้นจะได้หาว่า พระศาสดามุฮำมัด ซล. เป็นคนเท็จที่อ้างว่า อัล-กุรอานมาแต่อัลเลาะห์ โอ้มุฮำมัด
เจ้าจงกล่าว
แก่ปวงชนชาวมักกะห์
เถิดว่า ไม่สมควรเลยที่ฉัน
(มุฮำมัด)
จะเปลี่ยนแปลงพระคัมภีร์
อัล-กุรอาน
นั้นเป็นการส่วนตัว ฉันจะไม่ทำตามใด ๆ นอกจากฉันจะได้รับดลกระแสโองการมาเท่านั้น แท้จริงฉันนี้เกรงกลัวการลงทัณฑ์อันใหญ่หลวง
ในวันปรภพ
หากว่าฉันทรยศองค์พระผู้อภิบาลของฉันเสียแล้ว
ด้วยการเปลี่ยนแปลงพระคัมภีร์อัล-กุรอานตามที่ว่านั้น
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #7 เมื่อ:
พ.ค. 11, 2012, 06:24 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 16 - 18
คำอ่าน
16. กุลเลาชา...อัลลอฮุ มาตะเลาตุฮู อะลัยกุม วะลา..อัดรอกุม..บิฮฺ ฟะก็อดละบิษตุ ฟีกุมอุมุร็อม..มิน..ก็อบลิฮฺ อะฟะลาตะอฺกิลูน
17. ฟะมันอัซละมุมิม..มะนิฟตะรอ อะลัลลอฮิกะซิบัน เอากัซซะบะบิอายาติฮฺ อิน..นะฮูลายุฟลิหุลมุจญริมูน
18. วะยะอฺบุดูนะ มิน..ดูนิลลาฮิ มาลายะฎุรฺรุฮุม วะลายัน..ฟะอุฮุม วะยะกูลูนะฮา..อุลา...อิ ชุฟะอาอุนา อิน..ดัลลอฮฺ กุลอะตุนับบิอูนัลลอฮะ บิมาลายะอฺละมุฟิสสะมาวาติวะลาฟิลอัรฺฎิ สุบหานะฮุวะตะอาลาอัม..มายุชริกูน
คำแปลR1.
16. Say (O Muhammad): "If Allah had so willed, I should not have recited it to you nor would He have made it known to you. Verily, I have stayed amongst you a life time before this. Have you then no sense?"
17. So who does more wrong than he who forges a lie against Allah or denies his
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.)? surely, the
Mujrimun
(criminals, sinners, disbelievers and polytheists) will never be successful!
18. And they worship besides Allah things that hurt them not, nor profit them, and they say: "These are our intercessors with Allah." say: "Do you inform Allah of that which He knows not in the heavens and on the earth?" Glorified and exalted be He above all that which they associate as partners with him!
คำแปล R2.
16. จงประกาศเถิด “มาดแม้นอัลเลาะฮฺทรงประสงค์(มิให้ฉันแถลงกุรอาน) แน่นอนฉันก็ไม่แถลงสิ่งนี้แก่พวกท่านหรอก และพระองค์ย่อมไม่ให้พวกท่านได้รับรู้ในสิ่งนี้เป็นแน่ เพราะว่าฉันได้อยู่ร่วมในกลุ่มพวกท่าน ในชีวิตช่วงก่อนหน้านั้น (โดยพวกท่านก็ทราบดีว่าฉันเนคนมีนิสัยซื่อสัตย์ไม่เคยพูดปด) แล้วทำไมพวกท่านไม่ใช้ปัญญาตรองดู
17. แล้วจะมีผู้ใดอีกเล่าที่จะฉ้อฉลยิ่งไปกว่าบุคคลที่เสกสรรความเท็จแก่อัลเลาะฮฺ หรือกล่าวหาบรรดาโองการของพระองค์เป็นความเท็จ แท้จริงบรรดาทุรชนทั้งหลายย่อมไม่ประสบผลสำเร็จเป็นแน่
18. และพวกเขาทำการนมัสการนอกเหนือจากอัลเลาะฮฺแก่สิ่งที่ไม่ให้โทษและไม่ให้คุณแก่พวกเขาเลย และพวกเขากล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้! เป็นผู้สงเคราะห์พวกเรา ณ อัลเลาะฮฺ!” จงประกาศเถิด! “พวกท่านทั้งหลายจะแจ้งให้อัลเลาะฮฺรู้ในสิ่งที่พระองค์ไม่รับรู้ (ว่าจะมีบรรดาพระเจ้าอื่น ๆ)ในฟากฟ้าและไม่มีในแผ่นดินกระนั้นหรือ ? พระองค์ทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก! และทรงสูงส่งเกินกว่าสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี
คำแปล R3.
16. จงกล่าวเถิดว่า “หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ ฉันคงไม่อ่านกุรอานนี้ให้พวกท่านฟัง และก็คงไม่บอกสิ่งใดแก่พวกท่าน
(เกี่ยวกับการมีอยู่ของมัน)
ฉันได้อยู่ในหมู่พวกท่านมาชั่วอายุหนึ่งแล้วก่อนที่จะมีวะฮีย์ พวกท่านไม่ได้ใช้สติปัญญาดอกหรือ ?
17. ดังนั้นผู้ใดเล่าที่จะเป็นคนบาปที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าคนที่กุเรื่องเท็จขึ้นมาแล้วโยนความเท็จนั้นไปให้อัลลอฮิ หรือกล่าวหาว่าอายะฮฺทั้งหลายของพระองค์เป็นเท็จ ? แท้จริงแล้ว ผู้ทำความผิดนั้นไม่อาจที่จะได้รับความสำเร็จ
(ที่แท้จริง)
”
18. คนเหล่านี้สักการบูชาสิ่งอื่นนอกไปจากอัลลอฮฺที่ไม่สามารถจะให้โทษและให้คุณแก่พวกเขา และพวกเขากล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้คือผู้ไถ่แทนพวกเราต่ออัลลอฮฺ”
(มุฮัมมัด)
จงบอกพวกเขาเถิดว่า “พวกท่านคิดที่จะบอกให้อัลลอฮฺรู้ถึงสิ่งที่พวกท่านคิดว่าพระองค์มิทรงรู้ ในชั้นฟ้าทั้งหลายและในแผ่นดินกระนั้นหรือ ? พระองค์นั้นทรงมหาบริสุทธิ์และสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีกับพระองค์
คำแปล R4.
16. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) “หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ ฉันจะไม่อ่านอัลกุรอานแก่พวกท่าน และพระองค์จะไม่ให้พวกท่านได้รู้อัลกุรอานนั้น แน่นอนฉันได้มีอายุอยู่ในหมู่พวกท่านมาก่อนนั้น พวกท่านไม่ใช้สติปัญญาคิดบ้างหรือ?”
17. ดังนั้น ผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งกว่าผุ้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ หรือผู้ปฏิเสธต่อบรรดาโองการของพระองค์ แท้จริงบรรดาผู้ทำผิดนั้นย่อมไม่บรรลุความสำเร็จ
18. และพวกเขาจะเคารพภักดีสิ่งอื่นไปจากอัลลอฮฺ ที่มิได้ให้โทษแก่พวกเขา และมิได้ให้ประโยชน์แก่พวกเขา และพวกเขาจะกล่าวว่า “เหล่านี้คือผู้ช่วยเหลือเรา ณ ที่อัลลอฮฺ” จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) “พวกท่านจะแจ้งข่าวแก่อัลลอฮฺด้วยสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงรู้ ในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดินกระนั้นหรือ? พระองค์ทรงมหาบริสุทธิ์และทรงสูงส่ง เหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีขึ้น”
คำแปล R5.
๑๖. โอ้มุฮำมัด
จงกล่าวเถิด
แก่ปวงกาฟิรชาวมักกะห์
ว่าหากอัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์แล้วไซร้ ฉันจะไม่อ่านพระคัมภีร์
อัล-กุรอาน
นั้นแก่พวกท่านเลย ทั้งพระองค์จะไม่ทรงบอกพวกท่านให้รู้ด้วยพระคัมภีร์
อัล-กุรอาน
นั้นเลยว่า ตลอดชีวิตในช่วง
๔๐ ปี
ก่อนจาก
พระคัมภีร์อัล-กุรอานจะถูกประทานลงมา
นี้ ฉันเคยได้อยู่กับพวกท่านด้วย พวกท่านลืมไปเสียแล้วหรือ ?
พวกท่านจึงไม่เข้าใจเลยว่า อัล-กุรอานนั้นไม่ได้มาจากฉัน มาจากอัลเลาะห์
๑๗.
ไม่มีผู้ใดคดโกงยิ่งไปกว่า
ปวงชนชาวมักกะห์
ผู้ป้ายเท็จยังอัลเลาะห์
โดยการเคารพบูชาเทวรูปเป็นคู่ภาคีกับพระองค์
หรือ
ยิ่งกว่าผู้
ที่หาว่าบรรดาโองการ
แห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอาน
ของพระองค์เป็นเท็จ แน่นอน พวกถือภาคี
(มุชริก)
ย่อมไม่มีชัย
ได้เข้าสู่สวรรค์
เลย
๑๘.
และพวกเหล่านั้น
ที่เป็นชนชาวมักกะห์
ยังเคารพบูชาผู้ที่นอกจากอัลเลาะห์
อันได้แก่เทวรูป
ซึ่งมัน
(เทวรูป)
ไม่อาจทำร้ายพวกดเหล่านั้นได้
ในเมื่อพวกเหล่านั้นมิได้เคารพบูชามัน
และไม่อาจทำคุณแก่พวกเหล่านั้นได้
เมื่อพวกเหล่านั้นเคารพบูชามัน
แล้วพวกเหล่านั้นยังกล่าวว่ามัน
(เทวรูป)
เหล่านั้นเป็นผู้อนุเคราะห์พวกเราได้โดย
การช่วยขอต่อ
อัลเลาะห์
ให้พวกเราพ้นจากความทุกข์โศกในภาคภพนี้ และพ้นจากการเข้าสู่ขุมนรกในภาคภพหน้า โอ้มุฮำมัด
จงกล่าว
ตัดปัญหาแก่ปวงชนชาวมักกะห์
เถิดว่า พวกท่านไม่ควรจะไปแจ้งให้อัลเลาะห์ทราบถึงเรื่อง
การช่วยเหลือของเทวรูป
ซึ่งพระองค์ก็ทรงรู้ว่า เรื่องอย่างนี้หาได้มีอยู่ในบรรดาชั้นฟ้า
ทั้งเจ็ด
และในพิภพไม่
เพราะถ้าพระองค์ทรงมีคู่ภาคี พระองค์ย่อมต้องรู้แล้วจะทรงแจ้งไว้ในพระคัมภีร์อัล-กุรอานด้วย แต่พระองค์กลับปฏิเสธเรื่องของคู่ภาคีไว้ในพระคัมภีร์อัลกุรอานอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะไม่มีสิ่งใดในบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินที่เป็นคู่ภาคีเลย ฉันขอแสดงว่า
มหาบริสุทธิคุณแห่งพระองค์
แห่งคุณลักษณะและพระนามของพระองค์
และองค์ทรงเลอเลิศยิ่งเหนือเหล่า
เทวรูปบรรดา
ที่พวกเหล่านั้น
(ชาวมักกะห์)
ตั้งเป็นภาคีขึ้น
เทียบเคียงเสมอพระองค์ในด้านให้ความเคารพบูชา
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #8 เมื่อ:
พ.ค. 14, 2012, 07:58 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 19 - 21
คำอ่าน
19. วะมากานัน..นาสุ อิลลา..อุม..มะเตา..วาหิดะตัน..ฟัคตะละฟู วะเลาลากะลิมะตุน..สะบะก็อต มิรฺร็อบบิกะ ละกุฎิยะบัยนะฮุม ฟีมาฟีฮิ ยัคตะลิฟูน
20. วะยะกูลูนะเลาลา..อุน..วิละอะลัยฮิอายะตุม..มิรฺร็อบบิฮฺ ฟะกุล อิน..นะมาลฆ็อยบุลิลลาฮิ ฟัน..ตะซิรู อิน..นีมะอะกุม..มินัลมุน..ตะซิรีน
21. วะอิซา อะซักนัน..นาสะ เราะหฺมะตัม..มิมบะอฺด็อรฺรอ...อะ มัสสัตฮุม อิซาละฮุม..มักรุน..ฟีอายาตินา กุลิลลาฮุ อัสเราะอุมักรอ อิน..นะ รุสุละนา ยักตุบูนะ มาตัมกุรูน
คำแปลR1.
19. Mankind were but one community (i.e. on one Religion - Islamic Monotheism), then they differed (later), and had not it been for a word that went forth before from your Lord, it would have been settled between them regarding what they differed .
20. And they say: "How is it that not a sign is sent down on him from his Lord?" say: "The unseen belongs to Allah alone, so wait you, verily I am with you among those who wait (for Allah's Judgment)."
21. And when we let mankind taste of Mercy after some adversity has afflicted them, behold! They take to plotting against Our
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.)! say: "Allโh is more Swift In planning!" Certainly, Our Messengers (angels) record all of that which you plot.
คำแปล R2.
19. และมนุษย์นั้นหาใช่อื่นใดไม่ นอกจากเป็นประชาชาติ(ที่มีหลักยึดมั่นเป็นอย่าง)เดียวกัน แล้วต่อมาพวกเขาก็เกิดกรณีพิพาทกันเอง (เพราะตามกิเลสตัณหาและมารร้าย) และมาดแม้นไม่มีประกาศิตได้ล่วงพ้นมาก่อนจากองค์อภิบาลของเจ้า (ว่าจะลงโทษพวกเขาในวันชาติหน้า)แล้วไซร้ แน่นอนที่สุดก็จะต้องถูกจัดการให้ลุล่วงไประหว่างพวกเขา(เสียแต่ในโลกนี้) ในสิ่งที่พวกเขาพิพาทกันนั้นเอง
20. และพวกเขากล่าวว่า “ไฉนเล่าจึงไม่มีสัญลักษณ์สักประการหนึ่ง(ที่เป็นปาฏิหาริย์) ถูกประทานมาให้เขา(มุฮำมัด) จากองค์อภิบาลของเขา” เจ้าจงตอบว่า “อันที่จริงความเร้นลับนั้นเป็นของอัลเลาะฮฺ ดังนั้นพวกท่านจงรอคอยไปเถิด แท้จริงตัวฉันก็เป็นหนึ่งจากพวกที่รอคอยร่วมกับพวกท่านนั่นเอง
21. และเมื่อเราให้มนุษย์ได้ลิ้มรสความเมตตา ภายหลังจากอันตรายที่ได้สัมผัสกับพวกเขา(ผ่านพ้นไปแล้ว) พลันพวกเขาก็มีเล่ห์กลในโองการต่าง ๆ ของเรา จงประกาศเถิด! อัลเลาะฮฺทรงวางแผนได้ฉับไวยิ่งนัก แท้จริงบรรดา(มลาอิกะฮฺผู้เป็น)ทูตของเราทำการบันทึกสิ่งที่พวกเจ้าวางแผนไว้
คำแปล R3.
19. และตั้งแต่เริ่มต้น มนุษย์ทั้งหลายนั้นเป็นประชาชาติเดียวกัน แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ประดิษฐ์ความเชื่อและแนวทางต่าง ๆ ขึ้นมา และถ้าหากพระผู้อภิบาลของเจ้า มิได้ทรงมีบัญชาไว้ก่อน สิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน ก็คงจะถูกตัดสินไปแล้วอย่างแน่นอน
20. และสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวว่า “ทำไมถึงไม่มีสัญญาณหนึ่งจากระผู้อภิบาลของเขาส่งมายังนบีนี้?” จงบอกพวกเขาเถิดว่า “สิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นนั้น เป็นของอัลลอฮฺทั้งหมดแต่เพียงพระองค์เดียว ดังนั้นจงคอยมันเถิด ฉันเองก็จะคอยอยู่กับพวกท่านด้วยเช่นกัน”
21.
(นี่คือสิ่งที่มนุษย์ปฏิบัติ)
เมื่อเราได้แสดงความเมตตาแก่มนุษย์หลังจากที่พวกเขาต้องประสบทุกข์ภัยได้ไม่เท่าไหร่ พวกเขาก็เริ่มมีแผนกับสัญญาณทั้งหลายของเรา จงกล่าวแพวกเขาเถิดว่า “อัลลอฮฺทรงฉับไวในแผนของพระองค์มากกว่าพวกท่าน แท้จริงแล้ว มลาอิกะฮฺของเรานั้น กำลังบันทึกแผนการของพวกท่าน”
คำแปล R4.
19. และมนุษย์นั้นไม่ใช่อื่นใด นอกจากเป็นประชาชาติเดียวกัน และพวกเขาก็แตกแยกกัน และหากมิใช่ลิขิตได้บันทึกไว้ที่พระเจ้าของพวกเจ้าแล้วแน่นอนก็คงถูกตัดสินระหว่างพวกเขา ในเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกัน
20. และพวกเขากล่าวว่า “ทำไมอภินิหารจากพระเจ้าของเขา จึงไม่ถูกประทานมาให้เขา” จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) “แท้จริงสิ่งเร้นลับนั้นเป็นของอัลลอฮฺ พวกท่านจงคอยดูเถิด แท้จริงฉันนั้นอยู่กับพวกท่านในหมู่ผู้คอยดู”
21. และเมื่อเราให้มนุษย์ลิ้มรสความเมตตาหลังจากภยันตรายได้ประสบแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาก็มีอุบายต่อโองการต่าง ๆ ของเรา จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “อัลลอฮฺทรงรวดเร็วยิ่งในการแก้อุบาย” แท้จริงบรรดามะลาอิกะฮ์ของเรา จะบันทึกสิ่งที่พวกท่านกำลังทำอุบายอยู่
คำแปล R5.
๑๙.
แหละว่ามนุษย์นั้นจะเป็นเพียงประชากรเดียวกัน
ในทางนับถือศาสนาอิสลาม
เท่านั้น
นับแต่สมัยของพระศาสดาอาดำจนถึงสมัยพระศาสดานูห์ ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันถึงสิบศตวรรษ
แล้ว
ถัดจากนั้นมา
พวก
มนุษย์
เหล่านั้นก็แตกแยกกันเอง
โดยปวงชนที่นับถือศาสนาอิสลามก็มี และที่ปฏิเสธศาสนาอิสลามก็มี
และถ้าพระคำ
ดำรัสตัดสิน
จากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้ามิได้มีอยู่ก่อนแล้ว
ว่า “จะทรงประวิงเวลาเพื่อการรอลงอาญาไว้ในภาคภพหน้า” มนุษย์
เหล่านั้นก็จะถูก
อัลเลาะห์ทรง
ตัดสินในเรื่อง
นับถือศาสนา
ที่ขัดแย้งกัน
ณ ภาคภพนี้
เสียเลยทีเดียว
กล่าวคือพวกกาฟิรก็จะถูกตัดสินลงทัณฑ์ในภาคภพนี้ แต่ความจริงปรากฏว่าพวกกาฟิรซึ่งปฏิเสธศาสนาอิสลามได้รับการรอลงอาญาไปจนถึงภพหน้า จึงแสดงว่าพระดำรัสตัดสินขององค์พระผู้อภิบาลดังที่กล่าวข้างต้นมีอยู่ก่อนแล้ว
๒๐.
แล้ว
ชาวมักกะห์
เหล่านั้นกล่าวว่า จงให้มีสักสัญญาณหนึ่งเถิด จากองค์พระผู้อภิบาลของเขา
(มุฮำมัด)
ถูกประทานลงยังเขา
(มุฮำมัด)เพื่อชี้ว่าเขาเป็นพระศาสนทูตเหมือนดังได้เคยมีสัญญาณชี้ถึงความเป็นพระศาสนทูตขององค์พระศาสดาทั้งปวงในยุคก่อนจากพระศาสดามุฮัมมัด ซล. เช่นว่า อูฐตัวเมียผลุดออกมาจากเนื้อหินภูเขา เป็นสัญญาณแสดงถึงความเป็นพระศาสนทูตของศาสดาซอลิห์ และไม้เท้าโยนลงไปกลายเป็นงูเป็นสัญญาณแสดงความเป็นพระศาสดาของมูซา เป็นต้น โอ้มุฮำมัด
จงกล่าว
แก่ชนชาวมักกะห์
เถิดว่า แท้จริงความลี้ลับ
ที่บรรดาข้าทั้งปวงของพระองค์จะสัมผัสรับรู้ความเป็นไปของมันไม่ได้
นั้นมีเฉพาะที่อัลเลาะห์เท่านั้น
ดังนั้นสัญญาณที่แสดงถึงความเป็นพระศาสนทูตของพระศาสนทูต จึงนับว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งกิจอันลี้ลับของพระองค์เช่นกัน ซึ่งมันจะมีขึ้นโดยผู้ใดมิได้ นอกจากอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียว ส่วนตัวฉันมีหน้าที่เพียงแต่เผยแพร่ศาสนาของพระองค์ไปให้ทั่วถึงเท่านั้น หากพวกท่านไม่เชื่อบรรดาโองการแห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอาน ที่ฉันได้นำมาเผยแพร่เป็นสัญญาณแล้ว
พวกท่านก็จงรอคอย
การลงโทษในวันปรภพ
กันไปเถิด
แท้จริงทั้งฉันและพวกท่านต่างก็เป็น
ส่วนหนึ่งของ
ผู้รอคอย
เวลาแห่งการลงโทษที่พระองค์ทรงกระทำแก่พวกท่านเพราะพวกท่านกล้าปฏิเสธบรรดาโองการดังกล่าว ซ้ำร้ายยังได้ท้าวทวงบรรดาโองการอื่นจากที่ฉันนำมาเสียอีก ฉะนั้นไม่สมควรที่ท่านจะเรียกร้องอื่น ๆ ที่นอกจากโองการแห่งอัล-กุรอานมาเป็นสัญญาณอีกเลย
๒๑.
ครั้นเมื่อเรา
(อัลเลาะห์)
ให้ปวงชน
ชาวนครมักกะห์
ได้รู้รสแห่งความปรานี
จากเรา อันได้แก่ น้ำฝนและพืชผลอันอุดมไพบูลย์
หลังจากเกิดอัตคัต
อย่างหนัก
ซึ่งประสบกับพวกนั้น พวกนั้นกลับมีเล่ห์กับบรรดาโองการของเรา
ด้วยการสบประมาทและหาว่าบรรดาโองการของเราเป็นเท็จเสีย
เลยทันที
โอ้มุฮำมัด
จงกล่าว
แก่พวกเหล่านั้น
เถิดว่า อัลเลาะห์นั้นทรงฉับไวต่อการซ้อนกลอุบายยิ่งนัก แท้จริงบรรดา
มลาอิกะห์
เจ้าหน้าที่ของเรา
ที่คอยดูแลรักษาความดีและความชั่ว
ก็ได้บันทึกเรื่องที่พวกท่านกระทำ
เล่ห์กลดังกล่าว
อยู่แล้ว
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #9 เมื่อ:
พ.ค. 15, 2012, 06:48 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 22 - 23
คำอ่าน
22. ฮุวัลละซี ยุสัยยิรุกุม ฟิลบัรฺริ วัลบะหฺริ หัตตา..อิซากุน..ตุมฟิลฟุลกฺ วะญะร็อยนะบิฮิม..บิรีหิน..ฏ็อยยิบะติว.วะฟะริหูบิฮาญา...อัตฮารีหุนอาศิฟู..วะญา...อะฮุมุลเมาญุ มิน..กุลลิมะกานิว..วะซ็อน..นุ..อัน..นะฮุม อุหีเฏาะบิฮิม ดะอะวุลลอฮะ มุคลิศีนะละฮุดดีน ละอินอัน..ญัยตะนา มินฮาซิฮี ละนะกูนัน..นะมินัชชากิรีน
23. ฟะลัม..มา..อัน..ญาฮุม อิซาฮุมยับฆูนะ ฟิลอัรฎิ บิฆ็อยริลหักกฺ ยา..อัยยุฮัน..นาสุ อิน..นะมา บัฆยุกุม อะลา..อัน..ฟุสิกุม มะตาอัลหะยาติดดุนยา ษุม..มะอิลัยนามัรฺญิอุกุม ฟะนุนับบิอุกุม..บิมากุน..ตุมตะอฺมะลูน
คำแปลR1.
22. He it is who enables You to travel through land and sea, till when you are in the ships and they sail with them with a favourable wind, and they are glad therein, then comes a stormy wind and the waves come to them from all sides, and they think that they are encircled therein, they invoke Allah, making their faith pure for Him alone, saying: "If You (Allah) deliver us from this, we shall truly be of the grateful."
23. But when He delivered them, behold! They rebel (disobey Allah) in the earth wrongfully. O mankind! Your rebellion (disobedience to Allah) is only against your own selves, - a brief enjoyment of this worldly life, then (in the end) unto us is your return, and we shall inform you that which you used to do.
คำแปล R2.
22. พระองค์เป็นผู้ทรงบันดาลให้พวกเจ้าได้ท่องไปในภาคพื้นแผ่นดินและภาคพื้นทะเลจนกระทั่งเมื่อพวกเขา(อาศัย)ในเรือและมันนำเขาวิ่งไป(ในทะเล)ด้วยลมที่ดี และพวกเขามีความสุขอยู่กับมัน ก็มีลมพายุหนักกระหน่ำมายังมัน(เรือ) และเกิดคลื่นมหึมาถาโถมเข้าประทะพวกเขาจากทุก ๆ ด้าน และพวกเขาคิดว่า พวกเขานั้นถูกโอบล้อม (ด้วยภยันตรายดังกล่าว จนไม่มีทางรอดเป็นแน่) (ณ บัดนั้นเอง) พวกเขาก็วอนขอต่ออัลเลาะฮฺ โดยความภักดีอันบริสุทธิ์ต่อพระองค์ว่า “ขอสาบาน หากพระองค์บันดาลความปลอดภัยแก่พวกเรา(ให้พ้นไป)จาก(อันตราย)นี้ แน่นอนที่สุด เราก็เป็นผู้หนึ่งในกลุ่มชนที่กตัญญูอย่างเที่ยงแท้”
23. ครั้นต่อมาเมื่อเราบันดาลความปลอดภัยแก่พวกเขา พลันพวกเขาก็ปฏิบัติการละเมิดในแผ่นดินโดยไม่ชอบธรรม โอ้มนุษย์ทั้งหลาย! อันที่จริงความละเมิดของพวกเจ้าทั้งหลายนั้น(ย่อมเป็นผลร้าย) เหนือตัวของพวกเจ้าเอง (พวกเจ้าจะมีความสุขชั่วคราวกับ)ความภิรมย์ในชีวิตทางโลกนี้ แล้วหลังจากนั้นที่กลับคืนของพวกเจ้าก็คือ(กลับคืน)มายังเรา แล้วเราจะแจ้งให้พวกเจ้า(ได้ทราบถึงผลตอบแทน)ในสิ่งที่พวกเจ้าเคยประพฤติไว้
คำแปล R3.
22. พระองค์คือผู้ทรงทำให้สูเจ้าสัญจรไปได้บนหน้าแผ่นดินและในทะเล ดังนั้นสูเจ้าจึงด้แล่นไปในเรือด้วยความเบิกบานกับสายลมโชย แล้วทันใดนั้น สายลมแรงก็เริ่มกระหน่ำใส่บรรดาผู้โดยสารพร้อมกับคลื่นสาดซัดในทุกด้านจนพวกเขาคิดว่าพวกเขาถูกล้อมด้วยพายุคลื่นลมนี้เสียแล้ว พวกเขาจึงวิงวอนต่ออัลลอฮฺด้วยความศรัทธาที่จริงใจ โดยกล่าวว่า “ถ้าหากพระองค์ทรงช่วยเราให้รอกพ้นจากภัยพิบัตินี้ เราจะเป็นบ่าวผู้กตัญญูของพระองค์”
23. แต่เมื่อพระองค์ได้ทรงช่วยพวกเขาพวกเขาก็กลับดื้อดึงฝ่าฝืนในแผ่นดินต่อสัจธรรม มนุษยืเอ๋ย แท้จริงแล้วการดื้อดึงฝ่าฝืนล้วนแต่ให้โทษแก่สูเจ้าเท่านั้น
(สูเจ้าอาจจะสนุกสนานกับ)
สิ่งรื่นเริงชั่วคราวแห่งโลกนี้ หลังจากนั้นสูเจ้าจะต้องกลับมายังเรา แล้วเราจะแจ้งให้สูเจ้ารู้ในสิ่งที่สูเจ้าได้ทำเอาไว้
คำแปล R4.
22. พระองค์ผู้ทรงให้พวกท่านเดินทางโดยทางบกและทางทะเล จนกระทั่งเมื่อพวกท่านอยู่ในเรือและมันได้นำพวกเขาแล่นไปด้วยลมที่ดี และพวกเขาดีใจกับมัน ทันใดนั้นลงพายุได้พัดกระหน่ำและคลื่นซัดเข้ามายังพวกเขา จากทุกด้าน และพวกเขาคิดว่า แท้จริงพวกเขาถูกล้อมด้วยสิ่งเหล่านี้พวกเขาจึงวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ว่า “หากพระองค์ทรงให้พวกเราพ้นจากภยันตรายนี้ โดยแน่นอนยิ่ง พวกเราจะอยู่ในหมู่ผู้กตัญญูทั้งหลาย
23. ครั้นเมื่อเพื่อพระองค์ทรงให้พวกเขารอดมาแล้วพวกเขาก็ทำความเสียหายในแผ่นดิน โดยปราศจากความเป็นธรรม โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงการทำความเสียหายของพวกเจ้านั้น มันเป็นอันตรายต่อตัวของพวกเจ้าเอง เป็นความเพลิดเพลินของชีวิตในโลกนี้เท่านั้น แล้วในที่สุดพวกเจ้าก็จะกลับไปหาเรา แล้วเราจะแจ้งข่าวให้พวกเจ้าทราบถึงสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้
คำแปล R5.
๒๒.
พระองค์
อัลเลาะห์
คือผู้ทรงให้พวกเจ้าเดินทางไปได้ทั้งภาคบกและท้องทะเลแม้ที่สุดเมื่อพวกเจ้าอยู่ในลำเรือ มันจะนำพวกเจ้าแล่นไปด้วยกระแสลมเรียบ พวกเจ้าก็ดีใจกัน ได้มีลมพายุพัดมาปะทะทั้งคลื่นจากรอบด้านก็ซัดมาที่พวกเจ้า พวกเจ้าคาดคิดว่า พวกตนต้องตกอยู่ในห้วงแห่งภัย จึงต่างวิงวอนต่ออัลเลาะห์โดยบริสุทธิ์ใจในพระองค์ว่า หากพระองค์ได้โปรดกรุณา
ช่วยเหลือ
ให้บรรดาข้าพระองค์ได้พ้นจากการ
จลาจลอลหม่าน
เช่นนี้แล้วไซร้ พวกข้าพระองค์จะเป็น
ส่วนหนึ่งแห่ง
ผู้ถือเอกภาพ
ในพระองค์
แน่นอน
๒๓.
ครั้นเมื่อพระองค์ให้พวกเหล่านั้นพ้นภัย
แห่งความโกลาหลอลหม่าน
แล้ว พวกเหล่านั้นกลับละเมิด กระทำการโดยมิชอบ ณ หน้าแผ่นดิน
ด้วยการถือเอาเทวรูปมาเป็นคู่ภาคีเทียบเทียมพระองค์
โอ้ปวงชน
การฟิรมักกะห์
แท้จริงบาป
ฐานละเมิด
ของพวกเจ้านั้นตกแก่พวกเจ้าเอง
เพราะการละเมิดนั้นมันเป็นการบันเทิงแห่งชีวิตภพนี้
ครั้นแล้วที่มุ่งของพวกเจ้า
หลังจากตายลง
ก็คือการกลับไปสู่
การสอบสวนของ
เรา และเรา
(อัลเลาะห์)
จะแจ้งให้พวกเจ้าทราบถึงพฤติการณ์ที่พวกเจ้าปฏิบัติกันไว้
เราจะตอบแทนพวกเจ้าให้ได้รับผลแห่งอดีตกรรม
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #10 เมื่อ:
พ.ค. 16, 2012, 06:43 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 24 - 25
คำอ่าน
24. อิน..นะมามะษะลุลหะยาติดดุนยา กะมา..อิน อัน..ซัลนาฮุ มินัสสะมา...อิ ฟัคตะละเฏาะบิฮีนะบาตุลอัรฺฎิ มิม..มายะอ์กุลุน..นาสุ วัลอันอาม หัตตา..อิซา..อะเคาะซะติลอัรฺฎุ ซุครุฟะฮา วัซซัยยันัต วะซ็อน..นะอะฮฺลุฮา..อัน..นะฮุมกอดิรูนะอะลัยฮา อะตาฮา..อัมรุนา ลัยลัน เอานะฮาร็อน..ฟะญะอัลนาฮา หะศีดัน..กะอัลลัมตัฆนะ บิลอัมสฺ กะซาลิกะนุฟัศศิลุลอายาติ ลิก็อวมี..ยะตะฟักกะรูน
25. วัลลอฮุยัดอู..อิลาดาริสสะลาม วะยะฮฺดีมัย..ยะชา...อุอิลาศิรอฏิม..มุสตะกีม
คำแปลR1.
24. Verily the likeness of (this) worldly life is as the water (rain) which we send down from the sky, so by it arises the intermingled produce of the earth of which men and cattle eat until when the earth is clad with its adornments and is beautified, and its people think that they have all the powers of disposal over it, Our command reaches it by night or by day and we make it like a clean-mown harvest, as if it had not flourished yesterday! Thus do we explain the
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, laws, etc.) in detail for the people who reflect.
25. Allah calls to the home of peace (i.e. Paradise, by accepting Allah's Religion of Islamic Monotheism and by doing righteous good deeds and abstaining from polytheism and evil deeds) and guides whom He wills to a Straight Path.
คำแปล R2.
24. อันที่จริง ข้อเปรียบเทียบแห่งชีวิตทางโลกนี้ประดุจดังน้ำ(ฝน)ที่เราได้หลั่งมันมาจากฟากฟ้า แล้วก็ได้คละเคล้ากับมันโดยพืชแห่งแผ่นดิน จากสิ่งที่มนุษย์และสัตว์ใช้รับประทาน จนกระทั่งเมื่อแผ่นดินได้รับเอาความสวยงามของมันไว้(ด้วยพืชอันเขียวชอุ่ม) และมันได้รับการประดับประดา(ด้วยผลผลิตและดอกไม้อันอุดทสมบูรณ์)และชาวแผ่นดินก็มีความมั่นใจว่า พวกเขามีอำนาจเหนือมัน(ที่จะตักตวงผลประโยชน์จากผลิตผลดังกล่าวและสร้างมั่งคั่งแก่ตัวเองอย่างล้นพ้น) ในทันใดนั้นเอง การงาน(เภทภัยจากการลงโทษ)ของเราก็ได้มาสู่แผ่นดิน(อันอุดมสมบูรณ์)นั้น ในเวลากลางคืนหรือกลางวัน(ก็ตาม) แล้วเราก็ดลบันดาลให้มัน(ถูกทำลายผลผลิตและความอุดมสมบูรณ์จนหมดสิ้น เหลืออยู่ในสภาพพื้นที่)ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้วประหนึ่งว่ามันไม่มีอะไรมาก่อนเมื่อวันวานเลย เช่นนั้น! เราแจกแจงบรรดาสัญลักษณ์ต่าง ๆ แก่กลุ่มชนที่ตริตรอง
25. และอัลเลาะฮฺทรงเรียกร้องสู่นครแห่งสันติภาพ และทรงชี้นำแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ สู่หนทางอันเที่ยงตรง
คำแปล R3.
24. ชีวิตแห่งโลกนี้
(ที่ทำให้สูเจ้าหลงใหลมันจนไม่ใส่ใจสัญญาณของเรานั้น)
อาจเปรียบได้กับผลผลิตของแผ่นดินที่เราได้ส่งน้ำลงมาจากฟากฟ้าและพืชผลงอกเงยออกมาให้มนุษย์และสัตว์ได้กินอย่างเหลือเฟือจนกระทั่งเมื่อแผ่นดินงามสะพรั่งและพืชผลของมันได้ถูกเก็บเกี่ยวและเจ้าของของมันคิดว่าเขาสามารถที่จะนำมันมาใช้ประโยชน์ได้ แต่แล้วคำบัญชาของเราได้มาอย่างฉับพลันในตอนกลางคืนหรือกลางวันนั้น และเราได้ทำลายมันจนเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นที่นั่นเมื่อวันก่อน ในทำนองนี้เองที่เราได้แสดงสัญญาณของเราให้เห็นอย่างชัดแจ้งเพื่อการพิจารณาของหมู่ชนผู้ใคร่ครวญ
25.
(สูเจ้ากำลังถูกชีวิตชั่วคราวนี้ล่อลวง)
และอัลลอฮฺทรงเรียกร้องสูเจ้ายังนิวาสถานแห่งความสันติ
(ทางนำนั้นอยู่ในอำนาจของพระองค์)
และพระองค์ทรงนำทางผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์สู่แนวทางที่เที่ยงตรง
คำแปล R4.
24. แท้จริง อุปมาชีวิตในโลกนี้ ดั่งน้ำฝนที่เราได้หลั่งมันลงมาจากฟากฟ้า พืชของแผ่นดินได้คละเคล้ากับน้ำนั้น บางส่วนของมนุษยฺและปศุสัตว์ใช้กินเป็นอาหาร จนกระทั่งเมื่อแผ่นดินได้เริ่มปรากฏความงดงามของมัน และถูกประดับด้วยพืชผลอย่างสวยงาม เจ้าของของมันก็คิดว่าแท้จริงพวกเขามีอำนาจเหนือมัน คำบัญชาของเราได้มายังมันในเวลากลางคืนหรือเวลากลางวัน แล้วเราได้ทำให้มันถูกเก็บเกี่ยว เสมือนกับว่าไม่มีการหว่านมาแต่วันวาน เช่นนั้นแหละ เราได้จำแนกโองการต่าง ๆ แก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ
25. และอัลลอฮฺทรงเรียกร้องไปสู่สถานที่แห่งศานติ และทรงชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่ทางที่เที่ยงธรรม
คำแปล R5.
๒๔.
แท้จริงข้ออุปมาของชีวิตแห่งภพนี้ประดุจน้ำ
ฝน
ที่เรา
(อัลเลาะห์)
ได้หลั่งมันลงมาจากฟากฟ้าแล้วพืชผลที่แผ่นดิน ทั้งในส่วนที่มนุษย์
กินได้ เช่นข้าวสาลี เป็นต้น
และ
ในส่วนที่
สัตว์ทั้งหลายกินได้
เช่น จำพวกหญ้าเป็นต้น
ย่อมจะชุ่มชื้นด้วยน้ำ
ฝน
นั้น จนกระทั่งเมื่อแผ่นดินเกิดงดงามขึ้นด้วยพืชพันธุ์
เหล่านั้น
และถูกประดับประดาให้สวยสด
ด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์
แล้วชาวแผ่นดินก็คาดคิดว่า พวกเขานั้นเป็นผู้ควรที่จะได้มาซึ่งพืชผล
จากแผ่นดิน
นั้น ภัยพิบัติจากเรา
(อัลเลาะห์)
จึงมีลงมา
ยังพืชพันธุ์นั้น
บางทีในตอนกลางคืนหรือไม่ก็ตอนกลางวัน แล้วเรา
(อัลเลาะห์)
ก็ได้ให้พืชพันธุ์
เหล่านั้นเหมือนกับ
ถูกเก็บเกี่ยวไปจนเกลี้ยง ประหนึ่งว่ามัน
(พืชพันธุ์)
ไม่มีอยู่แต่ก่อน
สภาพแห่งแผ่นดินที่กล่าวอยู่ตาม
ทำนองเช่นนี้แหละ เรา
(อัลเลาะห์)
จึงได้แจ้งบรรดาโองการ
แห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอานให้เป็นคติตักเตือน
ไว้สำหรับปวงชนผู้มีการไตร่ตรอง
๒๕.
และว่าอัลเลาะห์นั้นทรงเรียกให้ไปสู่
สรวงสวรรค์อันเป็น
สถานปลอดภัย
ด้วยการชี้ชวนให้หันสู่ศรัทธา
และทรงชี้แนวธรรมแก่ผู้ซึ่งพระองค์ทรงมุ่งประสงค์ให้ได้สู่หนทางอันเที่ยงตรง
คือศาสนาอิสลาม
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #11 เมื่อ:
พ.ค. 17, 2012, 06:03 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 26 - 27
คำอ่าน
26. ลิลละซีนะอะหฺสะนุลหุสนา วะซิยาดะฮฺ วะลายัรฺฮะกุ วุญูฮะฮุม เกาะตะรู..วะลาซิลละฮฺ อุลา...อิกะอัศหาบุลญันนะฮฺ ฮุมฟีฮาคอลิดูน
27. วัลละซีนะกะสะบุสสัยยิอาติ ญะซา...อุสัยยิอะติม..บิมิษลิฮา วะตัรฺฮะกุฮุมซิลละฮฺ มาละฮุม..มินัลลอฮิมินอาศิม กะอัน..นะมา..อุฆชิยัต วุญูฮุฮุมกิเฏาะอัม..มินัลลัยลิมุซลิมา อุลา...อิกะอัศหาบุน..นาริฮุมฟีฮาคอลิดูน
คำแปลR1.
26. For those who have done good is the best (reward, i.e. Paradise) and even more (i.e. having the honour of glancing at the Countenance of Allah) neither darkness nor dust nor any humiliating disgrace shall cover their faces. They are the dwellers of Paradise, they will abide therein forever.
27. And those who have earned evil deeds, the recompense of an evil deed is the like thereof, and humiliating disgrace will cover them (their faces). No defender will they have from Allah. Their faces will be covered, as it were, with pieces from the darkness of night. They are dwellers of the Fire, they will abide therein forever.
คำแปล R2.
26. สำหรับมวลชนที่ประพฤติดีทั้งหลายจะได้รับความดีงามและความเพิ่มพูน(เป็นเครื่องตอบแทน) ความหมองคล้ำและความอัปยศมิได้เคลือบใบหน้าของพวกเขาเลย พวกเหล่านั้นเป็นชาวสวรรค์ ซึ่งพวกเข้าเข้าประจำอยู่ในนั้นโดบนิรันดร
27. และบรรดาผู้พากเพียรแต่ความชั่วย่อมได้รับการตอบแทนความชั่วโดยเท่าเทียมกัน(มทิถูกเพิ่มเติมให่เกินเลยไปจากที่กระทำ) และความอัปยศจะเคลือบใบหน้าของพวกเขาไว้ พวกเขาไม่มีผู้ใดคุ้มครอง(ให้พ้น)จาก(การลงโทษของ)อัลเลาะฮฺได้เลย ใบหน้าของพวกเขาคล้ายกับถูกปกคลุมไว้ด้วยช่วงเวลาแห่งรัตติกาลอันมืดอนธการ พวกเหล่านั้นเป็นชาวนรก พวกเขาเข้าประจำอยู่ในนั้นชั่วนิจนิรันดร
คำแปล R3.
26. บรรดาผู้ทำความดีนั้นจะได้รับความดีตอบแทน และมากกว่าความดีที่พวกเขาได้ทำไว้เสียอีก ใบหน้าของพวกเขาจะไม่เศร้าหมองและหมดหวัง พวกเขาเหล่านั้นแหละคือชาวสวรรค์ที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้น
27. และบรรดาผู้สะสมความชั่วไว้ก็จะได้รับการตอบแทนความชั่วที่พวกเขาสะสมไว้ พวกเขาจะมีแต่ความอัปยศและจะไม่มีใครคุ้มครองพวกเขาจากอัลลอฮฺ ใบหน้าของพวกเขาจะถูกปกคลุมด้วยความเศร้าหมอง จนดูเหมือนกับว่าความมืดของงรัตติกาลได้ปกคลุมใบหน้าของพวกเขาไว้ พวกเขาเหล่านี้แหละคือชาวนรก พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้น
คำแปล R4.
26. สำหรับบรรดาผู้กระทำความดี จะได้รับความดี และได้เพิ่มขึ้นอีก ความหมองคล้ำและความต่ำต้อยจะไม่ปกคลุมใบหน้าของพวกเขา ชนเหล่านี้คือชาวสวรรค์ พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
27. และบรรดาผู้ขวนขวายทำความชั่ว การตอบแทนความชั่วด้วยความชั่วเช่นเดียวกัน ความต่ำต้อยจะปกคลุมพวกเขา ไม่มีผู้คุ้มกันพวกเขาให้พ้นจากอัลลอฮฺได้ เสมือนว่าใบหน้าของพวกเขาถูกคลุมไว้ด้วยส่วนหนึ่งของกลางคืนอันมืดทึบ ชนเหล่านี้คือชาวนรก พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
คำแปล R5.
๒๖.
สำหรับผู้ปฏิบัติการดีงาม
พร้อมมีศรัทธา
นั้นย่อมได้รับสรวงสวรรค์และยิ่งกว่านั้น
ยังได้ทอดทัศนาเห็นองค์แห่งพระองค์
และใบหน้าของพวกนั้น ย่อมไม่มีสีหมองคล้ำและความโศกสลดเคลือบแฝงเลย พวกเหล่านั้นแหละ คือชาวสวรรค์ที่พวกเขาสถิตอยู่ ณ ที่นั้นโดยถาวร
โดยไม่ถูกขับออกและไม่ตาย
๒๗. โปรดทราบไว้ด้วยว่า เมื่อเสร็จจากที่อัลเลาะห์ได้ทรงสาธยายถึงสถานที่ของบรรดาผู้ประกอบความดีงามและผลตอบแทนที่พวกเขาพึงได้รับแล้ว พระองค์ทรงสาธยายถึงพวกที่ประกอบกรรมชั่วเลว กล่าวคือ
บรรดาผู้ประพฤติ
การนอกศรัทธา(อัลกุฟร์)และความ
ชั่วช้าเลวทราม ผลตอบแทนแห่งกรรมชั่วนั้นย่อมได้รับเพียงเท่าตัว
ความมุ่งหมายของคำเตือนนี้เพื่อแยกให้เห็นความแตกต่างระหว่างดีกับชั่วว่า การดีทั้งปวงนั้น ผู้ประพฤติจะได้รับผลบุญตอบแทนทวีขึ้นจากหนึ่งเท่าจนถึงสิบเท่า ถึงร้อยเท่า แม้ที่สุดจนเหลือคณนา ฝ่ายผู้ประพฤติกรรมชั่วย่อมจะได้รับผลตอบแทนความชั่วนั้นเพียงเท่าตัว ด้วยความเป็นธรรมจากอัลเลาะห์ มหาบริสุทธิคุณ และทรงเลอเลิศยิ่งโดยตรัสว่า และโทษตอบแทนแก่ผู้ที่อุตส่าห์ทำชั่วคือการถือภาคีนั้น ย่อมได้รับเท่าตัว ไม่ยิ่งและไม่หย่อนกว่าที่ได้กระทำไว้
แต่
มีราศีแห่ง
ความเศร้าหมองเคลือบแฝง
ใบหน้าของ
พวกเหล่านั้นอยู่ ไม่มีผู้ใดเป็นผู้ปกป้องโทษทัณฑ์จากพระองค์สำหรับพวกเหล่านั้นเลย จะดูคล้ำคล้ายกับส่วนของกลางคืนที่มืดทึบ พวกเหล่านั้นแหละ คือชาวนรกที่พวกเขาสถิตอยู่ ณ ที่นั้นโดยถาวร
มิได้รับการปลอดปล่อยและไม่ตาย
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #12 เมื่อ:
พ.ค. 18, 2012, 06:53 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 28 - 30
คำอ่าน
28. วะเยามะนะหฺชุรุฮุทญะมีอัน..ษุม..มะนะกูลุลิลละซีนะอัชเราะกู มะกานะกุม อัน..ตุมงะชุเราะกา...อุกุม ฟะซัยยัลนาบัยนะฮุม วะกอละชุเราะกา...อุฮุม..มากุนตุมอียานาตะอฺบุดูน
29. ฟะกะฟาบิลลาฮิ ชะฮีดัม..บัยนะนา วะบัยนะกุม อิน..กุน..นา อันอิบาดะติกุม ละฆอฟิลีน
30. ฮุนาลิกะตับลู กุลลุนัฟสิม..มา..อัสละฟัต วะรุดดู..อิลัลลอฮิ เมาลาฮุมุลหักกิ วะฎ็อลละฮันฮุม..มากานูยัฟตะรูน
คำแปลR1.
28. And the Day whereon we shall gather them all together, then We shall say to those who did set partners in worship with Us: "Stop at your place! You and your partners (whom you had worshipped in the worldly life)." Then we shall separate them, and their (Allah's so-called) partners shall say: "It was not us that you used to worship."
29. "So sufficient is Allah for a witness between us and you, that we indeed knew nothing of your worship of Us."
30. There! Every person will know (exactly) what (all) he had earned before, and they will be brought back to Allah, their rightful Lord (Maula), and their invented false deities will vanish from them.
คำแปล R2.
28. และ(จงระลึกเถิด)ในวัน(ชาติหน้า)ซึ่งเราจะรวมพวกเขาทั้งหมด(ในจุดรวมเดียวกัน) หลังจากนั้นเราจะประกาศกับบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายว่า “พวกเจ้าและบรรดาภาคีของพวกเจ้า(ที่อุปโลกน์ขึ้นนั้น)จงประจำอยู่กับที่ของพวกเจ้า(คือนรก ไม่ต้องออกไปไหน) จากนั้น เราก็จัดการแยกระหว่างพวกเขา(ออกจากกัน) และบรรดาภาคีของพวกเขาก็กล่าว(เอาตัวรอด)ว่า “พวกท่านทั้งหลายมิเคยทำการกราบไหว้พวกเราเลย (พวกท่านกราบไหว้กิเลสตันหาของพวกท่านต่างหาก)”
29. ดังนั้น เพียงอัลลอฮิก็พอแล้วที่ทรงเป็นสักขีพยานระหว่างเรากับพวกท่านว่า “ที่จริงนั้นเราไม่รู้เรื่องเลยในการนมัสการของพวกท่าน(ที่กระทำต่อเรา)”
30. ณ บัดนั้น! ทุก ๆ ชีวิตจะได้สำนึกในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำล่วงพ้นมา และพวกเขาถูกคืนกลับสู่อัลเลาะฮฺ ผู้ทรงคุ้มครองพวกเขาโดยเที่ยงแท้ และสิ่งที่เขาได้เคยอุปโลกน์ขึ้นนั้นได้หลบหายไปจากพวกเขาแล้ว
คำแปล R3.
28. ในวันที่เราจะรวบรวมพวกเขาทั้งหมดไว้(ในศาลของเรา)นั้น เราจะกล่าวแก่บรรดาผู้ตั้งภาคีว่า “สูเจ้าจงอยู่ที่นั่นทั้งสูเจ้าเองและพวกที่สูเจ้าตั้งขึ้นมาเป็นหุ้นส่วนกับเราด้วย” แล้วเราจะขจัดสภาพความแปลกหน้าในระหว่างพวกเขาออกไป และพวกหุ้นส่วนที่พวกเขาตั้งขึ้นเป็นพระเจ้าเทียบเทียมกับเราจะกล่าวว่า “พวกเจ้ามิได้เคารพสักการะพวกเราแต่อย่างใด”
29. ดังนั้น อัลลอฮฺย่อมเพียงพอแล้วสำหรับการเป็นพยานระหว่างเราและระหว่างพวกท่านและ (ถึงแม้ว่าพวกท่านเคารพบูชาเรา) เราก็ไม่รู้เรื่องการเคารพภักดีของพวกท่านเลย”
30. ในเวลานั้น ทุกคนจะได้ลิ้มรสในสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้ และพวกเขาทั้งหมดจะถูกนำกลับไปยังอัลลอฮฺ พระเจ้าที่แท้จริงของพวกเขา และสิ่งโกหกทั้งหลายที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมานั้นจะเตลิดไปจากพวกเขา
คำแปล R4.
28. และวันที่เราชุมนุมพวกเขาทั้งหมด แล้วเราจะกล่าวแก่บรรดาผู้ตั้งภาคีว่า “จงอยู่ ณ สถานที่ของพวกเจ้า พวกเจ้าและบรรดาภาคีของพวกเจ้า” แล้วเราได้แยกพวกเขาออกจากกัน และบรรดาภาคีของพวกเขากล่าวว่า “ไม่ควรเลยที่พวกท่านจะเคารพสักการะต่อเรา !”
29. “ดังนั้น จึงพอเพียงแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นพยาน ระกว่างเรากับพวกท่าน แน่นอนเรา (บรรดาภาคี) ไม่รู้เลยในการเคารพสักการะของพวกท่านต่อเรา”
30. ขณะนั้นทุกชีวิตจะถูกสอบถึงสิ่งที่กระทำไว้ก่อน และพวกเขาจะถูกนำกลับไปยังอัลลอฮฺพระเจ้าที่แท้จริงของพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นมาจะหนีไปจากพวกเขา
คำแปล R5.
๒๘.
และ
โอ้มุฮำมัด จงกล่าวเตือนประชาชนของเจ้าให้กลัวไว้ด้วยเถิดถึง
วันที่เรา
(อัลเลาะห์)
ได้รวบรวมพวกนั้นทั้งหมดไว้แล้ว ต่อแต่นั้นเราจึงกล่าวแก่บรรดาผู้ถือภาคี
(มุชริก)
ว่า ทั้งพวกเจ้าและเหล่าเทวรูปของพวกเจ้าจงอยู่กับที่
อย่าแยกย้ายไปไหน
เราจะจำแนกออกระหว่างพวกเหล่านั้น
และพวกผู้ศรัทธา
ฝ่ายเทวรูปของพวกนั้นกล่าว
อ้างแก่พวกมุชริกว่า
ก็พวกท่านหาได้เคาระบูชาเราด้วยความจริงใจไม่
พวกท่านเคารพบูชากิเลสและมาร(ไชตอน)ของพวกท่านซึ่งมันมีแต่จะล่อลวงให้พวกท่านหลงต่างหากเล่า เพราะมันจะบัญชาใช้พวกท่านให้เป็นผู้ถือภาคี(มุชริก)
๒๙. แล้วเหล่าเทวรูปอ้างต่อไปว่า
เป็นการเพียงพออยู่แล้วที่มีอัลเลาะห์ทรงเป็นองค์พยานระหว่างพวกเราและพวกท่าน แท้จริงพวกเรามิได้รู้ถึงความเคารพบูชาของพวกท่าน
ต่อพวกเรา
เลย
ทั้งพวกเราเองยินดีจะรับความเคารพบูชาจากพวกท่านก็หาไม่
๓๐.
เมื่อถึงวันนั้นแหละ แต่ละชีวิตก็จะได้ประจักษ์ผลแห่งกรรมต่าง ๆ ที่กระทำผ่านมาแล้ว
โดยเขาจะอ่านรายการจากสารบบบันทึกผลกรรมทีละบันทัด
และ
แต่ละชีวิต
ต่างจะถูกคืนไปสู่
การตัดสินของ
อัลเลาะห์ องค์อารักขา องค์แห่งความเที่ยงธรรมของพวกนั้น แล้วเหล่า
เทวรูป
ที่พวกนั้นปลอมขึ้น
เคียงอัลเลาะห์ที่จะให้พวกเขารอดพ้นจากขุมนรก
ก็หายลับไปจากพวกนั้นเลย
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #13 เมื่อ:
พ.ค. 19, 2012, 03:58 PM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 31 - 33
คำอ่าน
31. กุลมัย..ยัรฺซุกุกุม..มินัสสะมา...อิ วัลอัรฺฎิ อัม..มัย..ยัมลิกุสสัมอะ วัลอับศอเราะ วะมัย..ยุคริญุลหัยยะ มินัลมัยยิติ วะยุคริญุลมัยยิตะ มินังหัยยิ วะมัย..ยุดับบิรุลอัมเราะ ฟะสะยะกูลูนัลลอฮฺ ฟะกุลอะฟะลาตัตตะกูน
32. ฟะยาลิกุมุลลอฮุ ร็อบบุกุมุลหักกฺ ฟะมาซาบะอฺดัลหักกิ อิลำฌาะลาล ฟะอัน..นาตุศเราะฟูน
33. กะซาลิกะหักก็อตกะลิมะตุร็อบบิกะ อะลัลละซีนะฟะสะกู..อัน..นะฮุมลายุอ์มินูน
คำแปลR1.
31. Say (O MuhammadSal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam): "Who provides for you from the sky and from the earth? Or who owns hearing and sight? And who brings out the living from the dead and brings out the dead from the living? And who disposes the affairs?" they will say: "Allah." say: "Will you not then be afraid of Allah's punishment (for setting up rivals in worship with Allah)?"
32. Such is Allah, your Lord In truth. So after the truth, what else can there be, save error? How then are you turned away?
33. Thus is the word of your Lord justified against those who rebel (disobey Allah) that they will not believe (in the Oneness of Allah and in Muhammad as the Messenger of Allah).
คำแปล R2.
31. จงประกาศเถิด ! “ใครเล่าที่ทรงประทานโชคผลแก่พวกท่านจากฟากฟ้าและแผ่นดิน ? หรือใครเล่าที่ทรงอำนาจในการได้ยินและการมองเห็น และใครเล่าที่ทำให้สิ่งมีชีวิตออกมาจากสิ่งไร้ชีวิต และทรงทำให้สิ่งไร้ชีวิตออกมาจากสิ่งมีชีวิต และใครเล่าทรงบริหารการงานต่าง ?” และพวกเขาก็จะพากันกล่าว (ตอบเป็นเสียงเดียวกัน)ว่า “อัลเลาะฮฺ !” ดังนั้นเจ้าจงประกาศเถิดว่า “แล้วไฉนเล่าพวกท่านจึงไม่ยำเกรง ?”
32. แท้จริง (ผู้ทรงคุณลักษณะเช่น)นั้น คือ อัลเลาะฮฺ องค์อภิบาลของพวกท่านผู้ทรงสัจจะ ที่จริงแล้วไม่มีสิ่งใดอีกแล้วหลังจากสัจจะ นอกจากความหลงผิดเท่านั้น แล้วไฉนพวกท่านจึงถูกผัน(ออกจากสัจจะนั้น)?
33. เช่นนั้น! ประกาศิตแห่งองค์อภิบาลของเจ้า ย่อมปรากฏจริงแก่บรรดาผู้ฝ่าฝืนเพราะพวกเขาไม่ศรัทธา
คำแปล R3.
31. จงถามพวกเขาว่า “ผู้ใดประทานปัจจัยยังชีพให้แก่พวกท่านจากฟากฟ้าและแผ่นดิน ? ผู้ใดมีอำนาจเหนือการได้ยินและการมองเห็น ? ผู้ใดที่นำชีวิตออกมาจากความตายและนำความตายออกมาจากชีวิต ? ผู้ใดที่บริหารระบบจักรวาล ? พวกเขาจะกล่าวว่า “อัลลอฮฺ” ดังนั้นจงกล่าวเถิดว่า “และพวกท่านยังไม่ละเว้นจากความชั่ว(ต่อต้านสัจธรรม) อีกกระนั้นหรือ ?”
32. อัลลอฮฺองค์เดียวกันนี้แหละที่เป็นผู้อภิบาลที่แท้จริงของสูเจ้า และอะไรเล่าที่ยังคงเหลืออยู่หลังจากสัจธรรมนอกจากความเท็จ ? แล้วไฉนเล่าสูเจ้าจึงได้ถูกทำให้หันกลับไป ?
33. (โอ้ นบี) ในทำนองนี้แหละที่วจนะของพระผู้อภิบาลของเจ้าเป็นจริงเกี่ยวกับผู้ทำชั่วว่าพวกเขาไม่ศรัทธา
คำแปล R4.
31. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) “ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่มาจากฟากฟ้า และแผ่นดินแด่พวกท่าน หรือใครเป็นเจ้าของการได้ยินและการมอง และใครเป็นผู้ให้มีชีวิตหลังจากการตายและเป็นผู้ให้ตายหลังจากมีชีวิตมา และใครเป็นผู้บริหารกิจการ” แล้วพวกเขาจะกล่าวกันว่า “อัลลอฮฺ” ดังนั้นจงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) “พวกท่านไม่ยำเกรงหรือ?”
32. นั่นแหละอัลลอฮฺ พระเจ้าที่แท้จริงของพวกท่าน ฉะนั้นหลังจากความจริงแล้วจะมีอะไรอีกเล่า นอกจากความหลงผิดเท่านั้น แล้วทำไมเล่าพวกท่านจึงถูกให้หันเหออกไปอีก?
33. เช่นนั้นแหละ ลิขิตของพระเจ้าของเจ้าย่อมเป็นจริงแก่บรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนว่า แน่แท้พวกเขาจะไม่ศรัทธา
คำแปล R5.
๓๑. โอ้มุฮำมัด
จงถาม
ปวงชนมุชริก
เถิดว่า ใครหรือเป็นผู้ที่ให้ลาภผลจากฟากฟ้า
เช่นน้ำฝน
และจากแผ่นดิน
เช่นพืชพันธุ์ธัญญาหาร
แก่พวกท่าน หรือว่าใครเป็นผู้สร้างประสาทหูและ
สร้าง
การแลเห็น ใครเป็นผู้ให้เกิดชีวิต
เช่นมนุษย์เกิด
จาก
อสุจิ
ที่มีสภาพตายอยู่
และให้นกเกิดแต่ฟองไข่เป็นต้น
ใครเป็นผู้ให้
อสุจิ
ที่มีสภาพตายเกิดแต่
มนุษย์
ที่ยังเป็น
และให้ฟองไข่ออกจากนกเป็นต้น
แล้วใครเป็นผู้จัดระบบงาน
ให้โลกมีความเป็นไปโดยถูกกระบวนการและเรียบร้อย แต่แล้ว
พวก
มุชริก
เหล่านั้นจะเอ่ยตอบว่า “อัลเลาะห์”
โอ้มุฮำมัด
จงกล่าว
แก่พวกมุชริกเพื่อเตือนให้กลัวไว้ด้วย
เถิดว่า พวกท่านไม่กลัว
การลงโทษจากอัลเลาะห์
หรือ
ที่พวกท่านถือว่าอัลเลาะห์มีเทวรูปเป็นภาคี ซึ่งมันมิได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สิ่งทั้งห้าประการที่กล่าวถึงนั้นเลย พวกท่านจะได้ศรัทธาต่อพระองค์
๓๒. องค์ทรงยิ่งในการปฏิบัติการทั้งห้าประการที่ระบุในโองการที่ ๓๑ บทเดียวกัน
นั่นแหละคืออัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้าผู้ทรงภาวะมีจริง ส่วนที่นอกจากการเคารพบูชาอัลเลาะห์แล้วเป็นความหลงผิดทั้งนั้น
นั่นคือการกราบไหว้เทวรูป
ไฉนเล่าพวกเจ้าจึงผินหนี
ออกจากศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ทั้งที่ก็มีหลักฐานยืนยันพร้อมอยู่แล้ว
๓๓.
การ
ที่พวกมุชริกเหห่างออกจากศรัทธาต่ออัลเลาะห์
เช่นนี้เอง พระคำดำรัสแห่งองค์พระผู้อภิบาลของเจ้าที่ว่า “พวกมุชริกเหล่านั้นหาได้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ไม่” จึงประจักษ์จริงขึ้นแล้วแก่เหล่าชนผู้ถือภาคี
(มุชริก)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
«
ตอบกลับ #14 เมื่อ:
พ.ค. 20, 2012, 05:49 AM »
0
สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 34 - 36
คำอ่าน
34. กุลฮัลมิน..ชุเราะกา...อิกุม..มัย..ยับดะอุลค็อลเกาะ ษุม..มะยุอีดุฮฺ กุลิลลาฮุยับดะอุลค็อลเกาะ ษุม..มะยุอีดุฮู ฟะอัน..นาตุอ์ฟะกูน
35. กุลฮัลมิน..ชุเราะกา...อิกุม..มัย..ยะฮฺดี..อิลัลหักกฺ กุลิลลาฮุยะฮฺดีลิลหักกฺ อะฟะมัย..ยะฮฺดี..อิลัลหักกุ อัย..ยุตตะบะอะ อัม..มัลลายะฮิดี..อิลลา..อัย..ยุฮฺดา ฟะมาละกุมกัยฟะตะหฺกุมูน
36. วะมายัตตะบิอุ อักษะรุฮุม อิลลาซ็อน..นา อิน..นัซซ็อน..นะ ลายุฆนี มินัลหักกิชัยอา อิน..นัลลอฮะอะลีมุม..บิมายัฟอะลูน
คำแปลR1.
34. Say: "Is there of your (Allah's so-called) partners one that originates the creation and then repeats it?" say: "Allah originates the creation and then He repeats it. Then how are you deluded away (from the truth)?"
35. Say: "Is there of your (Allah's so-called) partners one that guides to the truth?" say: "It is Allah who guides to the truth. Is then he, who gives guidance to the truth, more worthy to be followed, or he who finds not guidance (himself) unless he is guided? Then, what is the matter with you? How judge you?"
36. And most of them follow nothing but conjecture. Certainly, conjecture can be of no avail against the truth. Surely, Allah is All-Aware of what they do.
คำแปล R2.
34. จงประกาศเถิด ! “ยังจะมีอีกหรือ จากบรรดาภาคีของพวกท่าน(ที่ได้อุปโลกน์ขึ้นนั้น) ผู้ที่สามารถให้กำเนิดแรกแก่มวลสิ่งบันดาล แล้วสามารถให้สิ่งนั้นย้อนกลับ(มีสภาพเดิมอีก ภายหลังได้สลายไปแล้ว)” จงประกาศเถิด !”อัลเลาะฮฺทรงให้กำเนิดแรกแก่มวลสิ่งบันดาล หลังจากนั้นทรงย้อนกลับแก่สิ่งนั้น(สู่สภาพเดิมอีก)แล้วไฉนพวกท่านจึงถูกหันเห(จากพระองค์ไปกราบไหว้สิ่งอื่น ๆ )”
35. จงประกาศเถิด ! “มีไหมจากบรรดาภาคีของพวกท่าน ผู้ที่สามารถชี้นำไปสู่สัจธรรม” จงประกาศเถิด ! “อัลเลาะฮฺทรงชี้นำสู่สัจธรรม” แล้วผู้ทรงชี้นำสู่สัจธรรมจะทรงสิทธิ์ยิ่งต่อการประพฤติตาม(คำบัญชา)กระนั้นหรือ ? หรือว่าผู้ที่ไม่ชี้นำอะไรเลยนอกจากเขาจะถูกชี้นำ (แต่เพียงอย่างเดียว สิ่งนั้นคือวัตถุบูชาทั้งหลาย ทึ่ทรงสิทธิ์แก่การถูกประพฤติตาม) แล้วพวกท่านมี (ข้อแก้ตัว)หรือ? ว่า พวกท่านตัดสินใจอย่างไร (ที่ยอมรับในสิ่งที่ผิด และไม่กินในปัญญาเช่นนั้น)
36. และพวกเขาส่วนมากมิได้ประพฤติตาม(สิ่งใด ๆ เลย)นอกจากตามความคาดหมาย(ของตนเอง(เท่านั้น) แท้จริงการคาดหมาย(เอาเอง)นั้น ย่อมไม่หักล้างความจริงแท้ได้สักกรณีเดียว แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเขากระทำ
คำแปล R3.
34. จงถามพวกเขาว่า “มีหุ้นส่วนคนไหนที่สูเจ้าตั้งขึ้นมาควบคู่กับอัลลอฮฺเป็นผู้เริ่มแรกในการสร้างสรรค์แล้วนำมันกลับมาอีก ?” จงกล่าวเถิดว่า “อัลลอฮฺต่างหากที่เป็นผู้ทรงเริ่มสร้างสรรค์ตั้งแต่แรกและทรงนำมันกลับมาอีก แล้วไฉนพวกท่านยังถูหันไปยังหนทางแห่งการชิริกอีกเล่า ?”
35. จงถามพวกเขาเถิดว่า “ในหมู่หุ้นส่วนที่พวกท่านตั้งขึ้นเทียบเคียงกับอัลลอฮฺนั้น มีผู้ใดที่นำทางไปสู่สัจธรรม ?” จงกล่าวเถิด “อัลลอฮฺเท่านั้นที่นำทางสู่สัจธรรม” แล้วจงบอกพวกเขาด้วยว่า “ผู้ใดที่สมควรจะได้รับการปฏิบัติตามผู้ที่นำทางไปสู่สัจธรรมหรือผู้ที่ไม่สามารรถจะนำทางได้เว้นเสียแต่ว่าตัวเองจะถูกชี้ทางให้ ? แล้วพวกท่านเป็นอะไรไปจึงได้ตัดสินกันอย่างผิด ๆ?”
36. ความจริงแล้วส่วนมากของพวกเขามิได้ปฏิบัติตามสิ่งใดนอกจากการเดา ในขณะที่การเดานั้นไม่สามารถที่จะบรรลุถึงความต้องการของความรู้ที่แท้จริงได้เลย แท้จริงแล้วอัลลอฮิทรงรู้ดีถึงสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำ
คำแปล R4.
34. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) “มีใครบ้างในหมู่ภาคีของพวกท่าน ที่เป็นผู้เริ่มแรกในการให้บังเกิดอีก?” จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)”อัลลอฮฺทรงเริ่มแรกในการให้บังเกิด แล้วทรงให้มันบังเกิดอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นทำไมพวกท่านจึงหันเหออกจากความจริงไป (สู่ความเท็จ) เล่า?”
35. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) “มีใครบ้างในหมู่ภาคีของพวกท่าน เป็นผู้ชี้แนะทางสู่สัจธรรม?” จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) “อัลลอฮฺทรงชี้แนะทางสู่สัจธรรม ดังนั้นผู้ที่ชี้แนะทางสู่สัจธรรมสมควรกว่าที่จะได้รับการปฏิบัติตาม (อิบาดะฮฺ) หรือว่าผู้ที่ไม่อาจจะชี้แนะผู้อื่นได้ เว้นแต่จะถูกชี้แนะ ทำไมพวกท่านจึงตัดสินใจเช่นนั้น?”
36. และส่วนใหญ่ของพวกเขามิได้ปฏิบัติตามสิ่งใด นอกจากการนึกคิด แท้จริงการนึกคิดนั้นไม่อาจจะแทนความจริงได้แต่อย่างใด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ
คำแปล R5.
๓๔. โอ้มุฮำมัด
จงกล่าว
แก่เหล่าชนมุชริก
เถิดว่า จากเหล่าเทวรูปของพวกท่านนั้นจะมีบ้างไหมสักหนึ่งที่มันจะริเริ่มสิ่งทั้งปวงให้มีขึ้นได้
จากเมื่อแรกยังไม่เคยมี
แล้วให้สลายคืนไป
โอ้มุฮำมัด
จงกล่าว
แก่พวกเหล่านั้น
เถิด อัลเลาะห์ต่างหากเล่าที่ทรงริเริ่มให้มีสิ่งทั้งปวงขึ้นได้
จากเมื่อแรกยังไม่เคยมี
แล้วก็ทรงเอามันคืนไปได้ ไฉนเล่าพวกท่านจึงถูกผละ
ออกห่างจากความภักดีต่ออัลเลาะห์ทั้งที่มีหลักฐานยืนยันพร้อมอยู่
๓๕. โอ้มุฮำมัด
จงกล่าว
แก่ปวงชนมุชริก
เถิดว่า จากเหล่าเทวรูปของพวกท่านนั้นจะมีบ้างไหมสักหนึ่งที่มันชี้แนวทางให้
มวลมนุษย์
ไปสู่ความจริง
ด้วยหลักฐานยืนยัน และช่วยให้มวลมนุษย์อยู่ในการพิจารณาและไตร่ตรอง ? โอ้มุฮำมัด
จงกล่าว
ตอบพวกเขา
เถิด อัลเลาะห์ต่างหากเล่าที่ทรงชี้แนวธรรมให้
มวลมนุษยชาติ
ไปสู่ความจริง
อัลเลาะห์
ผู้ชี้หนทางให้
มนุษยชาติ
เข้าสู่ความจริงนั้น ควรยิ่งที่จะถูกตามหรือว่าเหล่า
เทวรูป
ที่ไม่สามารถชี้แนวธรรมได้นอกจากมันจะถูกชี้แนวธรรมให้ควรยิ่งจะเป็นผู้ถูกตาม
แน่นอนอัลเลาะห์ต่างหากเล่าที่ควรยิ่งจะเป็นผู้ถูกตาม ส่วนเทวรูปนั้นหาสมควรไม่ที่จะถูกตาม
แล้วจะเกิดประโยชน์อันใดแก่พวกเจ้าบ้าง
ที่จะยึดถือเทวรูป ซึ่งแม้แต่จะชี้แนวธรรมแก่ตัวมันเองก็มิได้
ไม่สมควรเลยที่พวกเจ้าจะตัดสิน
ให้ตามเทวรูปซึ่งไม่ควรตาม
๓๖.
พวก
มุชริก
เหล่านั้นส่วนมาก เพียงแต่เจริญตาม
เหล่าเทวรูป
โดยการคาดคะเน
อย่างไร้หลักฐาน เท่าที่ตามอยู่นั้นก็เป็นเพียงตามแนวของปู่ ย่า ตา ยาย
เท่านั้นเอง แท้จริงการคาดคะเน ไม่อาจจะหักล้างความจริง
ที่ต้องการความแน่ใจด้วยหลักฐานจากอัลกุรอาน
ได้เลย โดยแน่แท้อัลเลาะฮฺทรงรู้ยิ่งถึงพฤติการณ์
ทั้งปวง
ที่พวกมุชริกเหล่านั้นกระทำกันไว้
แล้วพระองค์ก็จะทรงตอบแทนให้พวกเขานั้นได้รับผลกรรมตามที่ปฏิบัตินั้นด้วย
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
พิมพ์
หน้า: [
1
]
2
3
ขึ้นบน
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
»
เสวนาเชิงวิชาการ
»
อัลกุรอาน
(ผู้ดูแล:
นูรุ้ลอิสลาม
,
Bangmud
) »
อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 10 สูเราะฮฺ ยูนุส
GoogleTagged
dgi
นิล
49478099
สรุป
ของ
incumbent
ใคร
48293060
49967636
ยาซีน
บทอ่
ที่
1355534169
com
65397613
c2e
ayat
ตัฟซีร
you
แปลว่า