แก่นแท้ของการศรัทธาต่อคุณลักษณะอัรรุบูบียะฮ์ของอัลเลาะฮ์
ชัยค์ ศอลิห์ อัลเฟาซาน อุลามาอฺระดับแนวหน้าของวะฮ์ฮาบียะฮ์ ได้กล่าวว่า
تَوْحِيْدُ الرُّبُوْبِيَّةِ هُوَ إِفْرَادُ اللهِ تَعَالَى بِأَفْعَالِهِ
"เตาฮีด อัรรุบูบียะฮ์ คือ อัลเลาะฮ์ทรงหนึ่งเดียวในบรรดาการกระทำของพระองค์" ซฮลิห์ อัลเฟาซาน, อะกีดะฮ์ อัตเตาหีด, หน้า 13.
หมายถึง ศรัทธาว่าอัลเลาะฮ์เป็นผู้ทรงสรรสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายเพียงพระผู้เดียว พระองค์ทรงทำให้สรรพสิ่งทั้งหลายมลายสิ้นไป พระองค์ผู้ทรงมีพลังอำนาจ พระองค์ทรงให้ริสกีเพียงผู้เดียว พระองค์ทรงทำให้เป็น พระองค์ทรงทำให้ตาย พระองค์ทรงทำให้ฟื้นคืนชีพ พระองค์ทรงปกครอง พระองค์ทรงบริหาร พระองค์ทรงบริบาล พระองค์ทรงให้คุณประโยชน์ พระองค์ทรงให้เกิดโทษ พระองค์ทรงช่วยเหลือ และพระองค์ทรงทำให้ฝนตก เป็นต้น ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ คือคุณลักษณะ อัรรุบูบียะฮ์ ของอัลเลาะฮ์ตะอาลา และพระองค์ก็ทรงหนึ่งเดียวในคุณลักษณะอัรรุบูบียะฮ์เหล่านี้
คำนิยามของชัยค์ ศอลิห์ เฟาซานนี้ โดยรวมแล้ว ถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ดังนั้นผู้ที่เชื่อว่าอัลเลาะฮ์ตะอาลามีความเป็นรุบูบียะฮ์ จำเป็นต้องยอมรับดังต่อไปนี้
หนึ่ง: เขาต้องเชื่อว่าอัลเลาะฮ์ตะอาลาจำเป็นต้องมี
ดังนั้น ผู้ใดปฏิเสธการมีอยู่ของอัลเลาะฮ์ และไปยืนยันว่าผู้อื่นจากพระองค์นั้นที่จำเป็นต้องมีด้วย แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นผู้ปฏิเสธความเป็นอัรรุบูบียะฮ์ของอัลเลาะฮ์ตามมาด้วย
เช่นเดียวกัน ผู้ที่เชื่อว่า การมีของอัลเลาะฮ์นั้น เป็นการมีแบบมุมกิน(คือมีลักษณะที่มีก็ได้ไม่มีก็ได้) โดยไม่เชื่อว่าอัลเลาะฮ์นั้นจำเป็นต้องมี (วาญิบุลวุญูด) เขาย่อมไม่มีเตาฮีดอัรรุบูบียะฮ์
สอง: อัลเลาะฮ์ตะอาลาหนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้ทรงมีทุกคุณลักษณะอันสมบูรณ์ที่สุด
ดังนั้นผู้ใดที่ยืนยันว่ามีผู้หนึ่งที่เหมือนกับอัลเลาะฮ์ตะอาลาหรือกล่าวว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในสิ่งหนึ่งจากสรรพสิ่งทั้งหลาย แน่นอน เขาย่อมตั้งภาคีในอัรรุบูบียะฮ์ของอัลเลาะฮ์
และผู้ใดเชื่อว่า ยังมีผู้อื่นจากอัลเลาะฮ์ เป็นผู้ที่มีคุณลักษณะอันสมบูรณ์ด้วย เช่น มีมาตั้งแต่เดิมโดยไม่มีจุดเริ่มต้น มีความสามารถที่จะบันดาลสรรพสิ่งทั้งหลายได้ หรือมีความรอบรู้อย่างไม่สิ้นสุด หรือมีคุณลักษณะหนึ่งจากบรรดาคุณลักษณะที่วาญิบสำหรับอัลเลาะฮ์ เช่น อัลเลาะฮ์ทรงเดชานุภาพ แน่นอน เขาย่อมตั้งภาคีในอัรรุบูบียะฮ์ของอัลเลาะฮ์
และผู้ใดที่เชื่อว่า ยังมีผู้อื่นจากอัลเลาะฮ์ สามารถกระทำสิ่งหนึ่งให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวของเขาเองอย่างเอกเทศน์ เช่น สามารถบันดาลสิ่งหนึ่งให้เกิดขึ้นด้วยตัวเขาเอง สามารถบันดาลปัจจัยยังชีพได้ด้วยตัวเขาเอง สามารถให้คุณและให้โทษได้ และสามารถบริหารสรรพสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเขาเองเพียงลำพัง แน่นอน เขาย่อมเป็นผู้ที่ตั้งภาคีในอัรรุบูบียะฮ์ของอัลเลาะฮ์
ด้วยเหตุนี้ พวกยะฮูดและนะซอรอจึงเป็นกลุ่มชนที่ตั้งภาคีในอัรรุบูบียะฮ์ของอัลเลาะฮ์ตะอาลา โดยพวกเขายืนยันว่าอัลเลาะฮ์ทรงสถิตอยู่ในมัคโลค และพวกเขาได้พรรณนาถึงบรรดานะบีย์บางส่วนว่ามีคุณลักษณะพิเศษของความเป็นพระเจ้า(อัรรุบูบียะฮ์)
สาม: อัลเลาะฮ์ทรงบริสุทธิ์จากคุณลักษณะที่บกพร่อง
ดังนั้นผู้ใดที่ยืนยันถึงคุณลักษณะอันบกพร่องให้กับอัลเลาะฮ์หรือปฏิเสธสิ่งหนึ่งที่เป็นลักษณะอันสมบูรณ์ของพระองค์ แน่นอนเขาเป็นผู้ที่ไม่ยอมรับความเป็นรุบูบียะฮ์ของอัลเลาะฮ์ตะอาลา เช่น เขาได้ปฏิเสธว่าอัลเลาะฮ์ไม่มีความสามารถที่กระทำสิ่งหนึ่งที่มุมกิน(คือสิ่งที่มีขึ้นมาก็ได้หรือไม่มีขึ้นมาก็ได้) หรือเขาได้ปฏิเสธว่าอัลเลาะฮ์ไม่สามารถรู้รายละเอียดของสิ่งต่างๆ ได้ ฉะนั้นผู้ที่เชื่ออย่างนี้ย่อมเป็นผู้ที่ปฏิเสธความเป็นอัรรุบูบียะฮ์ของอัลเลาะฮ์ตะอาลา
ดังนั้นพวกยะฮูดีและนะซอรอ ได้ยืนยันคุณลักษณะที่บกพร่องให้กับอัลเลาะฮ์ เช่น พวกเขาบางส่วนกล่าวว่า ซาตของอัลเลาะฮ์ได้ถูกประกอบขึ้นเป็นส่วนๆ และแบ่งพระเจ้าออกเป็นสามภาค
และมุชริกีนอาหรับเชื่อว่าอัลเลาะฮ์ไม่มีความสามารถที่จะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีก เป็นต้น
สี่: ให้การยอมรับทุกสิ่งที่ได้รับการยืนยันว่ามาจากอัลเลาะฮ์
ดังนั้น ผู้ใดที่รู้ว่าสิ่งหนึ่งนั้นมาจากอัลเลาะฮ์ตะอาลา หลังจากนั้นเขาให้การปฏิเสธ แน่นอน เขาย่อมตั้งภาคีในอัรรุบูบียะฮ์ของอัลเลาะฮ์ เนื่องจากเขาไม่รู้ถึงเกียรติอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เช่น ผู้ที่รู้ว่าอัลกุรอานมาจากอัลเลาะฮ์และท่านร่อซูล(ศาสนทูต)มาจากพระองค์ หลังจากนั้น เขาได้ปฏิเสธทั้งสอง