ผู้เขียน หัวข้อ: การรับน้องใหม่ในการศึกษาระดับอุดมศึกษา  (อ่าน 2132 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

ผมเห็นท่าน Rayes ไปโพสต์ไว้ในเวบบอร์ด หนึ่ง เห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องที่ถามปัญหาในบอร์ดนี้ จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่

การประชุมเชียร์ หรือ SOTUS

            ในช่วงนี้ทุกๆมหาวิทยาลัยกำลังคึกคักเพราะเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูต้อนรับดอกไม้ ช่อใหม่ในเดือนมิถุนายนนี้ ทำเอาพี่ๆเตรียมพร้อมกันอย่างสุดฤทธิ์ที่จะประคองหรือสืบทอดจิตวิญญาณของ ระบบ “SOTUS” ให้จงได้ในทุกๆปี ด้วยเสมือนเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่อาจละเว้นได้ “SOTUS” หรือ “การประชุมเชียร์” กลายเป็นประเพณีสำหรับนักศึกษาปีที่หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่จะต้องเดินผ่าน ประตูระบบนี้เข้าไปปีแล้วปีเล่า

ระบบโซตัสคืออะไร
ระบบ โซตัส (SOTUS: Seniority Order Tradition Unity Spirit) หรือการว้าก ที่นำมาใช้ในรูปแบบการรับน้องรูปแบบหนึ่ง ที่ใช้ความเป็นอาวุโสกระทำการใดๆที่ก่อให้เกิดความกดดันต่อนักศึกษาใหม่หรือ น้องใหม่ได้อย่างชอบธรรม โดยอาศัยองค์ประกอบต่อไปนี้

S ตัวที่ 1 ย่อมาจาก Seniority หมายถึง การเคารพผู้อาวุโส
O ย่อมาจาก Order หมายถึง การทำตามคำสั่ง
T ย่อมาจาก Tradition หมายถึงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา
U ย่อมาจาก Unity หมายถึง ความสามัคคี มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
S ตัวที่ 2 ย่อมาจาก Spirit หมายถึง การฝึกจิตใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

โดยการประชุมเชียร์ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น
1. เป็นกิจกรรมที่สร้างโอกาสให้นักศึกษาปรับตัวและทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ทำให้รุ่นน้องได้รู้จักรุ่นพี่ และเกิดความภาคภูมิใจในคณะหรือสถาบันของตนเอง รวมทั้งเป็นการปูพื้นฐานในความเป็นเพื่อนร่วมสายอาชีพ/วิชาชีพของนักศึกษา ที่เรียนในคณะเดียวกันในอนาคต
2. การสร้างสถานการณ์ที่กดดันจะทำให้นักศึกษาใหม่ ได้รู้จักการแก้ปัญหา ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และมีความสามัคคีต่อกัน

แต่ก็ย่อมมีข้อเสียที่เราต้องรับรู้ด้วย

1. การกระทำที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ
รายงาน การวิจัย ฉบับที่ 71 “ผลกระทบของการจัดกิจกรรมการรับน้องใหม่และการประชุมเชียร์” โดย สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ และ ฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรณีรุ่นพี่กระทำด้วยความรุนแรงและลืมตัวบ้างเป็นบางครั้ง จากการสอบถามนักศึกษาปีที่หนึ่งพบว่ามีการกระทำเช่นนั้นถึง 51% และจากงานวิจัยการของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่ามีการร้องเรียนของผู้ถูกกระทำจากการรับน้องมีถึงร้อยละ 18.3 โดยในแต่ละปีจะมีน้องใหม่ประมาณ 1 แสนคน เท่ากับว่าในแต่ละปีจะมีนักศึกษาที่มีปัญหาจากการรับน้องถึง 2 หมื่นคน (สสส., 2548)

2. การมอมเมานักศึกษาใหม่ด้วยเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ และการลวนลามทางเพศที่แฝงเร้นและเปิดเผยจากข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เกี่ยวกับผลวิจัย "การรับน้อง" พบว่า ชายหาดเป็นสถานที่ยอดนิยมของสถาบันต่างๆ และมีการนำแอลกอฮอล์มาให้น้องใหม่ดื่มถึงร้อยละ 42.6 นอกจากนี้ ยังมีเรื่องกัญชา ยาเสพติด ลวนลามทางเพศ (สสส., 2548)

3. ผลกระทบด้านสังคมที่ปลูกฝังให้คนรู้สึกการเป็นพรรคเป็นพวกสูง และสร้างค่านิยมที่เรียกว่า “สถาบันนิยม” ที่มักจะได้ยินกันบ่อยว่า จบจากไหน รุ่นไหน เป็นต้น

โดยสรุป กิจกรรมรับน้องหรือประชุมเชียร์เป็นเพียงประเพณีนิยมที่ปฏิบัติที่สืบทอดกัน มา หลายคนยังรอการพลิกบทบาทของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่จะมาร่วมกำหนดกิจกรรม ที่ปลดปล่อยตัวเองจากการยึดรูปแบบเดิมที่อาศัยการว้ากหรือการตะโกนแบบหยาบๆ เพื่อบังคับให้คนภายใต้อำนาจกระทำสิ่งที่ไร้สาระหรือวิธีการลามกทั้งหลาย ที่ไม่มีประโยชน์อื่นใดต่อการเรียนหรือการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย รวมทั้งวิธีการลงโทษที่มุ่งให้ได้รับความอับอายต่อผู้อื่น มาสู่การมุ่งเน้นกิจกรรมที่คำนึงถึงเสรีภาพ สิทธิส่วนบุคล และวิถีชีวิตของแต่ละคน เพื่อให้นักศึกษาได้ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุขและเป็นบัณฑิตที่ ออกสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ

อ้างอิง สรุปรายงานการเสวนา "การรับน้องกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามรัฐธรรมนูญ" ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

บทบาทของชมรมมุสลิมต่อการประชุมเชียร์

             ในสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย พบว่าชมรมมุสลิมมีบทบาทอย่างมากในการเข้าไปมีส่วนดูแลรับผิดชอบน้องนักศึกษา ที่เข้ามาใหม่อย่างอบอุ่นในทุกๆปี ทั้งนี้ภาพที่เป็นอยู่ของชมรมมุสลิมส่วนใหญ่ยังมีลักษณะประนีประนอม (Compromise) และเป็นการควบคุมมวลชนนักศึกษาให้เป็นไปอย่างละมุนละม่อมที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของอิสลามและสร้างเจตนารมณ์ในการทำงานเพื่ออิส ลามในระยะยาว ที่ผ่านมาชมรมมุสลิมเกือบทุกสถาบันที่ต่างให้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและ คณะในการกิจกรรมประชุมเชียร์หรือรับน้อง แต่ในขณะเดียวกันต่างพยายามที่ชี้แจง สอดแทรกประเด็นส่วนร่วมและส่วนต่างที่อยู่ภายใต้กรอบอิสลามควบคู่กันไปใน ทุกๆปี

             จากการสัมผัสชมรมมุสลิมส่วนใหญ่ต่อความเห็นที่เกี่ยวกับการรับน้องใหม่ พบว่าต่างมองถึงความจำเป็นในการเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านั้นในแง่ของกิจกรรม ช่วยผลักดันในการสร้างคนที่มีคุณภาพให้เกิดขึ้นในสังคม แต่อย่างไรก็ตามต่างพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะนำไปสู่สิ่งที่หะรอม (ต้องห้ามตามหลักการศาสนา)

ภายใต้กรอบสังคมญะฮีลียะฮฺในสังคม มหาวิทยาลัยเหล่านี้ พบว่ากลับมีส่วนท้าทายให้นักศึกษาชมรมมุสลิมมีการรวมกลุ่มและแลกเปลี่ยน ข้อมูลกันในระหว่างสถาบันมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหามาตรการและการรับมือต่อการรับน้อง ที่นับวันมีรูปแบบเข้มข้นและพิสดารมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานการปฏิบัติตัวของนักศึกษามุสลิมที่มีลักษณะที่ สอดคล้องต่อวิถีอิสลามนั่นเอง

             หลักปฏิบัติที่พบว่าชมรมรมมุสลิมเข้ามามีบทบาทในการพยุงและช่วยเหลือนัก ศึกษามุสลิมใหม่ในแต่ละคณะ โดยมีหลักปฏิบัติที่สำคัญยิ่งที่ตรงกันคือ ต้องไม่ทำให้ ความเป็นมุสลิมถูกกลืนละลายไปกับกิจกรรมการรับน้องใหม่ หรือ ประชุมเชียร์และทุกๆกิจกรรมย่อยจะต้องไม่ขัดต่อหลักการอิสลาม

            โดยทางชมรมมุสลิมได้มีการเสนอข้อห้ามและข้อพึงปฏิบัติ ต่อนักศึกษามุสลิมในกิจกรรมประชุมเชียร์ เพื่อให้การประชุมเชียร์ดำเนินได้อย่างราบรื่น เป็นปีกแผ่น และไม่ขัดต่อหลักศาสนา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้บัญญัติคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการนับถือศาสนา ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 37 ความว่า “ บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบ ร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ในการใช้เสรีภาพตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้ เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือ แตกต่างจากบุคคลอื่น"

               ซึ่งทางชมรมมุสลิมจึงได้เสนอข้อห้ามและข้อพึงปฏิบัติต่อนักศึกษามุสลิมใน กิจกรรมประชุมเชียร์ เพื่อป้องกันการลิดรอนสิทธิในการนับถือศาสนา อันเกิดจากการที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนี้

ข้อห้ามในการประชุมเชียร์

1.การเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นพิธีกรรมทางศาสนาอื่นทุกชนิด เช่น การผูกข้อมือ หรือการบายศรีสู่ขวัญ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลักอากีดะฮฺ(หลักศรัทธา) ซึ่งเป็นชีริก(การตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้า) โดยมีหลักฐานดังต่อไปนี้ อัลเลาะฮ์ตะอาลา ได้ทรงตรัสความว่า


“พึง สังวรเถิด! สำหรับอัลเลาะฮ์นั้น คือการนมัสการโดยบริสุทธิ์ และบรรดาผู้ยึดเอาสิ่งอันนอกเหนือจากพระองค์มาเป็นผู้คุ้มครอง (พวกเขากล่าวว่า) “เรามิได้นมัสการสิ่งเหล่านั้น (เพื่ออื่นใดเลย) นอกจากเพื่อพวกนั้นจะได้ทำให้เราเข้าใกล้ต่ออัลเลาะฮ์ยิ่งขึ้น”   อัซซุมัร 3
และอีกอายะฮ(วิวรณ์)หนึ่ง


ความว่า : “นั่น แหละคืออัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเจ้า ไม่มีผู้ควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์ผู้ทรงบังเกิดทุกสิ่ง ทุกอย่างเท่านั้น พวกเจ้าทรงเคารพสักการะพระองค์เถิด และพระองค์ทรงเป็นผู้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษาในทุกสิ่งทุกอย่าง” (อัลอันอาม : 102 )

ข้อเสนอแนะ ให้นำน้องมุสลิมออกจากบริเวณพิธี

2.การบูม (มหาวิทยาลัย,คณะฯลฯ) เนื่องจากการบูมมีต้นกำเนิดมาจากการเรียกความกล้าหาญ โดยใช้ผีบรรพบุรุษหรือผีเจ้าที่ตามหลักความเชื่อของชาวอะบอริจิน และทั้งมีการใช้คำศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอื่นๆ ซึ่งขัดต่อหลักอากีดะฮฺ (หลักศรัทธา) ตามหลักฐาน


"สำหรับพวกท่านคือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันคือศาสนาของฉัน" อัลกาฟิรูน : 6

ข้อเสนอแนะ ให้นำน้องมุสลิมออกจากวงบูม

3.อาหารไม่ฮาลาล(ฮาลาลคือสิ่งที่ศาสนาอนุมัติ) รวมถึงสิ่งของมึนเมา เช่น เหล้า เบียร์เป็นต้น หลายคนมักจะเข้าใจว่าอาหารอิสลามแค่ไม่มีหมูก็สามารถรับประทานได้ โดยแท้จริงแล้วมีบัญญัติเกี่ยวกับอาหารฮาลาลไว้อย่างละเอียด ดั่งที่อัลลอฮได้ตรัสไว้ในอัลกุรอ่าน


“โอ้ บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงบริโภคสิ่งที่ดีทั้งหลาย ที่เราได้ประทานให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกท่าน และพวกท่านจงขอบคุณอัลเลาะห์ถ้าหากพวกท่านเคารพภักดีแต่พระองค์เท่านั้น ที่จริงพระองค์ได้ทรงห้ามพวกท่านเฉพาะแต่เพียง ซากสัตว์ เลือด เนื้อของสุกร สัตว์ที่ถูกเชือดบูชาโดยเอ่ยนามอื่นนอกจาก อัลเลาะห์ ดังนั้นผู้ใดที่ตกอยู่ในภาวะคับขัน โดยไม่มีเจตนาขัดขืนและไม่ใช่เป็นการละเมิดก็ไม่มีบาปตกแก่พวกเขา แท้จริงอัลเลาะห์เป็นผู้ทรงอภัยยิ่ง ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัลบะกอเราะห์ : 172-173 )

และอีกหนึ่งตัวบทที่กล่าวถึงสิ่งมึนเมา


" โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ที่จริงสุราและการพนันและแท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายันต์ และการเสี่ยงติ้วนั้นเป็นสิ่งโสมมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสียเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
ที่ จริงชัยฏอนนั้นเพียงต้องการที่จะให้เกิดการเป็นศัตรูกันและการเกลียดชังกัน ระหว่างพวกเจ้าในสุราและการพนันเท่านั้น และมันจะหันเหพวกเจ้าออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮ์ และการละหมาดแล้วพวกเจ้าจะยุติใหม่ "(
อัลมาอิดะฮฺ/90-91)

ข้อเสนอแนะ อาหารที่จะใช้เลี้ยงน้องนั้น ควรเป็นอาหารที่มาจากร้านมุสลิม หรือ อาหารที่ได้รับตราสัญลักษณ์มาตรฐานฮาลาล และ ห้ามมีเหล้า ในกิจกรรมใดๆก็ตาม

4.การปะปนอย่างใกล้ชิดและถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้าม เนื่องจาก การกระทำดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติและเป็นบาปอย่างร้ายแรง ตามหลักฐานจากท่านนบีมูฮำมัด ซ็อลลัลลอฮถอะลัยฮิวาซัลลัม

لأن يطعن في رأس رجل بمخيط من حديد
خير من أن يمس امرأة لا تحل له "


“หากว่าใช้เข็มที่ทำมาจากเหล็กทิ่มที่ศีรษะของชายคนหนึ่งยังดีเสียกว่า บุคคลหนึ่งสัมผัสสตรีซึ่งไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับเขา” (หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยเฏาะบะรอนีย์ และบัยหะกีย์)

ข้อเสนอแนะ ควรมีการแยกน้องออกอย่างชัดเจน และงดกิจกรรมประเภทถึงเนื้อถึงตัว

5.การเต้น การร้องเพลงที่มีดนตรีประกอบ การเข้าร่วมคอนเสิร์ต ซึ่งล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อการแสดงออกของมุสลิม เป็นกิจกรรมไร้สาระและขัดต่อหลักการศาสนา โดยมีหลักฐานคือ

ليكونن من أمتي أقوام يستحلون الحر و الحرير و الخمر و المعازف

“จะปรากฏกลุ่มก้อนหนึ่งจากประชาชาติของฉันที่ทำให้ผ้าไหม, สิ่งมึนเมา และเครื่องดนตรีเป็นที่อนุมัติ (หะลาล)” (หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยบุคอรีย์)

และ อีกบทหนึ่ง

من حسن إسلام المرء تركه ما لا يعنيه

“ส่วนหนึ่งของบุคคลที่ดีใน (ทัศนะ) อิสลาม คือบุคคลที่ละทิ้งสิ่งที่ไม่ประโยชน์สำหรับเขา” (หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ)

ข้อเสนอแนะ ให้นำน้องมุสลิม ออกจากกิจกรรมดังกล่าว

ข้อพึงปฏิบัติในการประชุมเชียร์

1.การ ประชุมเชียร์จะเกิดในช่วงเย็น-กลางคืน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาละหมาดพี่ๆจะพาน้องๆไปห้องละหมาดที่อยู่ในละแวกใกล้ เคียง หรือจัดทำกันเองแบบชั่วคราว ดังนั้น ควรเตรียมสถานที่ละหมาดให้เรียบร้อยและให้น้องละหมาดตามเวลา
2.การรับมอบของที่ระลึก(เกียร์,อะตอม เป็นต้น) ให้รับด้วยมือแทนการสวมคอ และระมัดระวังการถูกเนื้อต้องตัว

3.ใน การร้องเพลงให้เข้าร่วมเฉพาะการร้องเพลงคณะหรือเพลงมหาวิทยาลัย ปกติจะไม่มีดนตรีใดๆประกอบ แต่อาศัยการร้องประสานเสียง และจังหวะจากการปรบมือ และให้งดการร้องในเนื้อร้องที่มีบางท่อนแสดงชิริกที่ชัดเจน

4.บางคณะที่ มีการดื่มน้ำสปิริต ให้ชี้แจงต่อหน้าน้องทุกศาสนาว่า ประกอบด้วยอะไรบ้าง เนื่องจากเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่น้องจะได้ทราบว่าสิ่งที่น้องกำลังจะรับ ประทานอะไรบ้างและสามารถปฏิเสธการรับประทานได้

5.สำหรับนักศึกษามุสลิมะ ฮฺ(สตรีมุสลิม) ให้ระมัดระวังกิจกรรมที่เป็นการเปิดเผยเอาเราะฮฺ(อวัยวะพึงสงวนตามหลักศาสนา สำหรับสตรีคือทุกส่วน ยกเว้น ใบหน้า และฝ่ามือ และสำหรับบุรุษคือ ตั้งแต่หัวเข่า จนถึงสะดือ)

6.ทางชมรมมุสลิมจะมีการส่งตัวแทนจากชมรม มุสลิมไปประจำแต่ละคณะ ในฐานะผู้สังเกตการณ์ และเป็นที่ปรึกษาด้านแนวทางที่ทางคณะพึงทราบ เพื่อใช้ในการปฏิบัติกิจกรรมต่อนักศึกษามุสลิมอย่างถูกต้อง

        ชมรมมุสลิมในสถาบันการศึกษามีบทบาทสำคัญ ที่จะประคับประคองชีวิตนักศึกษามุสลิมผู้มาใหม่ ให้พ้นผ่านภาวะวิกฤติในช่วงปีแรกได้ค่อนข้างสมบูรณ์ คณะกรรมการชมรมมุสลิมเองต่างมีโอกาสได้เรียนรู้และแก้ไขปัญหาการเอาตัวรอด จากสังคมญะฮีลียะฮฺจำลองในรั้วมหาวิทยาลัยได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นอามานะ(ความรับผิดชอบ) ที่รุ่นพี่ จะคอยชี้นำแนวทางให้กับรุ่นน้องต่อไป อิสลามไม่ได้สอนในความเป็น Seniority (การเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง) แต่อิสลามสอนการเป็น Brother (ความเป็นพี่น้อง)


ชมรมนักศึกษามุสลิม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่


 

GoogleTagged