ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 11 สูเราะฮฺ ฮูด  (อ่าน 7220 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ ฮูด (هود  - ชื่อศาสนทูต) R3

เป็นสูเราะฮฺมักกียะฮฺ มี 123 อายะฮฺ
บทนำ
   ชื่อ: ซูเราะฮฺนี้ตั้งชื่อตามนบีฮูด ซึ่งเรื่องราวของท่านได้ถูกกล่าวไว้ในอายะฮฺที่ 50 – 60
   ระยะเวลาของการประทานซูเราะฮฺ: ถ้าหากเราพิจารณาถึงเนื้อหาของเรื่องอย่างลึกซึ้ง เราจะสามารถสรุปได้ว่าซูเราะฮฺนี้ได้ถูกประทานลงมาในช่วงเวลาเดียวกับซูเราะฮฺยูนุสและอาจจะถูกประทานตามหลังซูเราะฮฺยูนุสมาเลยทันทีก็ได้
   เรื่องราวของซูเราะฮฺ: เรื่องราวของซุเราะฮฺนี้ก็เหมือนกับเรื่องราวของซูเราะฮฺยูนุส นั่นคือการเชิญชวนไปสู่คำสอนของอัลลอฮฺ การแนะนำและการตักเตือน จะมีข้อแตกต่างกันก็ตรงที่การเตือนในซูเราะฮฺนี้จะรุนแรงกว่า ซึ่งเรื่องนี้ก็มีหะดีษสนับสนุนด้วย
   มีรายงานว่าหลังจากที่ซูเราะฮฺได้ถูกประทานมา ครั้งหนึ่งอบูบักรฺ ได้กล่าวแก่ท่านรอซูลุลลอฮฺว่า “พักนี้ฉันสังเกตว่าท่านแก่ลง มีสาเหตุอันใดหรือ ?” ท่านรอซูลุลลอฮฺจึงได้ตอบว่า “ซูเราะฮฺฮูดและซูเราะฮฺประเภทนี้ได้ทำให้ฉันแก่ลง” นี่เป็นการแสดงว่ามันเป็นช่วงเวลาแห่งการหนักใจสำหรับท่าน และคำเตือนอันรุนแรงในซูเราะฮฺนี้ได้ทำให้ท่านวิตกมากขึ้นจากการคุกคามของพวกกุเรชที่กำลังพยายามอย่างเต็มที่ในอันที่จะทำลายการเรียกร้องเชิญชวนของอิสลาม เพราะท่านเห็นชัดแล้วว่า ระยะเวลาแห่งการผ่อนปรนให้พวกกุเรชสำนึกผิดนั้นกำลังใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ดังนั้นท่านจึงกลัวว่า ถ้าหากระยะเวลาแห่งการผ่อนปรนนี้สิ้นสุดลงเมื่อใด คนของท่านก็จะได้รับผลของการลงโทษไปด้วย
   การเชิญชวนของซูเราะฮฺนี้ก็คือ: จงเชื่อฟังรอซูลของอัลลอฮฺ จงละทิ้งการตั้งสิ่งใดเป็นภาคีร่วมกับอัลลอฮฺ(การชิริก) และจงเคารพสักการะอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น จงให้ระบบชีวิตทั้งหมดของสูเจ้าวางอยู่บนความศรัทธาที่สูเจ้าจะต้องถูกเรียกกลับไปรับผิดชอบในโลกหน้า
   คำตักเตือนของซูเราะฮฺนี้ก็คือ: จงจำไว้ว่าพวกคนที่สนใจแค่เพียงเปลือกนอกของชีวิตแห่งโลกนี้และปฏิเสธสาส์นของบรรดานบีนั้นได้พบกับผลร้ายต่าง ๆ มาแล้ว ดังนั้นสูเจ้าควรจะพิจารณาอย่างจริงจังได้แล้วว่าสูเจ้าจะเดินตามทางที่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นหนทางไปสู่ความหายนะหรือไม่
   คำเตือนของซูเราะฮฺนี้ก็คือ: สูเจ้าอย่าได้ชะล่าใจที่ไม่เห็นการลงทา ที่ยังไม่มีการลงโทษก็เพราะอัลลอฮิได้ทรงให้ความปรานีแก่สูเจ้า ทั้งนี้เพื่อที่สูเจ้าจะได้ปรับปรุงตัวเอง ถ้าหากสูเจ้าไม่ใช้โอกาสนี้ สูเจ้าก็จะต้องประสบกับการลงโทษที่จะทำลายสูเจ้าทั้งหมดยกเว้นบรรดาผู้ที่ศรัทธา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
   ในซูเราะฮฺนี้ กุรอานได้ใช้เรื่องราวของผู้คนสมัยนบีนูฮฺ นบีฮูด นบีซอลิฮฺ นบีลูฏ นบีชุอัยบฺ และนบีมูซา มาเป็นตัวอย่างในการตักเตือนแทนการบอกกล่าวแก่ผู้คนโดยตรง สิ่งที่น่าสังเกตที่สุดในเรื่องราวของนบีต่าง ๆ ที่กล่าวไว้ในซูเราะฮฺนี้ก็คือ เมื่ออัลลอฮฺได้ทรงตดสินลงโทษผู้คนหมู่ใดแล้ว พระองค์ก็จะไม่ละเว้นผู้ใดเลย แม้ผู้นั้นจะเป็นญาติสนิทใกล้ชิดของบรรดานบีในสมัยนั้นก็ตาม คนที่จะรอดพ้นจากการลงโทษของพระองค์ก็มีแต่คนที่ศรัทธาในนบีเท่านั้น ไม่มีใครอื่น แม้จะเป็นลูกชายหรือภรรยาของท่านก็ตาม  ยิ่งไปกว่านั้น ความศรัทธายังต้องการให้ผู้ศรัทธาทุกคนลืมความเป็นเครือญาติของตนโดยสิ้นเชิง เมื่อการตัดสินใจได้มาถึงและให้จดจำแต่สายสัมพันธ์แห่งความศรัทธาเท่านั้น เพราะการถือสายสัมพันธ์ทางสายเลือดและเผ่าพันุ์เป็นใหญ่นั้น เป็นสิ่งที่ขัดต่อเจตนารมณ์แห่งอิสลาม มุสลิมได้แสดงคำสอนนี้ออกมาให้เห็นเป็นการปฏิบัติแล้วในสงครามบัดรฺ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ซูเราะฮฺนี้ถูกประทานลงมาได้ 4 ปี


----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)

 

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 1 - 4



คำแปล R1.
1. Alif-Lam-Ra. [These letters are one of the miracles of the Qur'an and none but Allah (alone) knows their meanings].
2. (Saying) worship none but Allah. Verily, I (Muhammad) am unto you from Him a Warner and a bringer of glad tidings.
3. And (commanding you): "Seek the forgiveness of your Lord, and turn to Him in repentance, that He may grant you good enjoyment, for a term appointed, and bestow his abounding grace to every owner of grace (i.e. the one who helps and serves needy and deserving, physically and with his wealth, and even with good words). But if you turn away, then I fear for you the torment of a great Day (i.e. the Day of Resurrection).
4. To Allah is your return, and He is able to do all things."


คำแปล R2.
1. อะลิฟ, ลาม, รอ (อัลกุรอานนี้)เป็นคัมภีร์ซึ่งบรรดาโองการที่ปรากฏในนั้นถูกเรียบเรียงขึ้นอย่างมั่นคง (โดยอัลเลาะฮฺ) หลังจากนั้นโองการดังกล่าวก็ถูกจำแนกไว้อย่างชัดเจน (เป็นคัมภีร์ที่ถูกประทานมาจากอัลเลาะฮฺ)ผู้ทรงปรีชาญาณยิ่ง อีกทั้งทรงตระหนักยิ่ง
2. เพื่อสูเจ้าทั้งหลายจะได้ไม่ทำการนมัสการ(ผู้ใดทั้งสิ้น) นอกจากอัลเลาะฮฺ (เพียงพระองค์เดียว) “แท้จริงฉัน (มุฮำมัด) เป็นผู้ตักเตือนและผู้แจ้งข่าวดีจากพระองค์ สำหรับพวกท่านทั้งมวล”
3. “และท่านทั้งหลายจงขออภัยต่อองค์อภิบาลของพวกท่านเถิด แล้วหลังจากนั้นพวกท่านก็จงขอสารภาพผิดต่อพระองค์ แน่นอนพระองค์ย่อมประทานความสุขอันงดงามแก่พวกท่านตราบถึงอายุขัยที่ถูกกำหนดไว้(โดยพระองค์) และพระองค์จะทรงประทานแก่ผู้มีความเลอเลิศทุกคน(เพราะเขาประกอบแต่ความดี) ซึ่งความเลอเลิศ (กุศลรางวัล) ของเขา และหากพวกเขาหันหลังให้ แน่นอนฉันกลัวว่าพวกท่านจะประสบการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่ (คือวันกิยามะฮฺ)
4. “ท่านทั้งหลายต้องกลับคืนสู่อัลเลาะฮฺ และพระองค์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง”


คำแปล R3.
1. อะลีฟ ลาม รอ มันคือประกาศิตที่คำสั่งทั้งหลายของมันได้ถูกวางไว้อย่างมั่นคงและได้ถูกกล่าวไว้ในรายละเอียด โดยพระผู้ทรงปรีชาญาณและผู้ทรงรอบรู้ในทุก ๆ ด้าน
2. (นั่นคือ) : “สูเจ้าจะต้องไม่เคารพภักดีผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ แท้จริงแล้วฉันคือผู้ตักเตือนคนหนึ่ง และเป็นผู้นำข่าวดีจากพระองค์มายังพวกท่าน
3. พวกท่านจงขออภัยจากพระผู้อภิบาลของพวกท่านแล้วจงหันหลับไปยังพระองค์ และพระองค์จะทรงประทานปัจจัยที่ดีแก่พวกท่านจนกระทั่งถึงวาระหนึ่งซึ่งได้ถูกกำหนดไว้และพระองค์จะทรงประทานความโปรดปรานของพระองค์แก่ทุกคนที่สมควรจะได้รับความโปรดปรานของพระองค์ แต่พวกท่านหันหลังให้ ฉันก็กลัวว่าพวกท่านจะต้องพบกับการลงโทษแห่งวันอันยิ่งใหญ่
4. ยังอัลลอฮฺที่พวกท่านทั้งหมดจะต้องกลับไป และพระองค์ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง”


คำแปล R4.
1. อะลีฟ ลาม รอ คัมภีร์ที่โองการทั้งหลายของมันถูกทำให้รัดกุมมีระเบียบ แล้วถูกจำแนกเรื่องต่างๆ อย่างชัดแจ้ง จากพระผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้เชี่ยวชาญ
2. เพื่อพวกท่านต้องไม่เคารพภักดีผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ แท้จริงฉันได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์มายังพวกท่าน เพื่อเป็นผู้ตักเดือนและผู้แจ้งข่าว
3. และพวกท่านจงขอนิรโทษจากพระเจ้าของพวกท่าน แล้วจงกลับเนื้อกลับตัวต่อพระองค์ พระองค์จะทรงให้ปัจจัยแก่พวกท่านซึ่งปัจจัยที่ไปจนถึงวาระหนึ่งที่กำหนดไว้ และพระองค์จะทรงประทานแก่ทุก ๆ ผู้ทำความดีซึ่งความดีของเขาและหากพวกท่านผินหลังให้ แท้จริงฉันกลัวแทน พวกท่านซึ่งการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่
4. การกลับของพวกท่านย่อมไปสู่อัลลอฮฺและพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง


คำแปล R5.
๑. อลิฟ ลาม รอ นี้เป็นพระคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งบรรดาโองการแห่งพระคัมภีร์นั้นมีความประณีต แนบเนียน เพราะเป็นโวหารอันน่าประหลาด ทั้งมีความหมายที่เป็นเอกลักษณ์ของมันเอง แล้วถูกจำแนกไว้ชัด ด้วยข้อบัญญัติใช้และข้อบัญญัติห้าม ตลอดทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ คำตักเตือนและถ้อยคำขู่มาแต่อัลเลาะห์ พระผู้ทรงประณีตยิ่งในกิจทั้งปวงของพระองค์ องค์ทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง
๒. ในการที่พระองค์ทรงให้บรรดาโองการจากพระคัมภีร์อัลกุรอานมีความประณีตแนบเนียน และมีข้อจำแนกต่าง ๆ นั้นเพื่อมิให้พวกเจ้าเคารพบูชาผู้ใดนอกจากอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นแท้จริงฉัน(มุฮำมัด) เป็นเพียงผู้ตักเตือนพวกท่านให้กลัวเกรงการลงโทษ หากพวกท่านไม่ยอมรับศรัทธา และเป็นผู้ยังความปลาบปลื้มแก่พวกท่านด้วยบุญกุศลหากพวกท่านมีศรัทธา โดยฉันนั้นเป็นผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นพระศาสนทูตมาแต่พระองค์
๓. และเพื่อให้พวกเจ้าจอประทานอภัยโทษต่ออัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้าให้พ้นจากโทษฐานถือภาคียภาพ(ชิรก์) ครั้นแล้วพวกเจ้าจงกลับสู่ความโปรดปราณีของอัลเลาะห์ด้วยการประพฤติตามข้อบัญญัติใช้ของพระองค์ พระองค์จะทรงให้พวกเจ้าได้ความรื่นรมย์อยู่ในภาคพิภพนี้เป็นอย่างดี โดยมีความผาสุกทั้งกายและใจทั้งมีโภคลาภอันบริสุทธิ์ จนกว่าจะถึงวาระกำหนดตาย แล้วพระองค์ทรงให้ผู้ประพฤติดีเป็นเลิศทุกคนได้รับซึ่งความกรุณาจากพระองค์ เป็นค่าตอบแทนในภาคภพหน้า ถ้าพวกเจ้าเหหันออกจากข้อที่พวกเจ้าถูกบัญชาใช้ ๓ ประการ คือ ละเว้นเคารพบูชาเทวรูปหนึ่ง ขอประทานอภัยต่อพระองค์ให้พ้นโทษฐานถือภาคียภาพหนึ่ง และการคืนกลับมาปฏิบัติการอันดีงามหนึ่งแล้วไซร้ แน่นอนฉัน(มุฮำมัด) เกรงว่าพวกท่านจะได้รับโทษในวัน(ปรภพ) ที่ยิ่งใหญ่
๔.ที่มุ่งของพวกเจ้าคือการคืนไปยัง การสอบสวนของอัลเลาะห์ด้วยว่าพระองค์นั้นทรงเป็นองค์มีพลานุภาพยิ่งในทุกสิ่งทุกอย่าง อาทิทรงมีพลานุภาพในการตอบแทนบุญกุศล และในการลงโทษทัณฑ์

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:18 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 5 - 7


คำแปล R1.
5. No doubt! They did fold up their breasts that they may hide from Him. Surely, even when they cover themselves with their garments, He knows what they conceal and what they reveal. Verily, He is the All-Knower of the (innermost secrets) of the breasts.
6. And no (moving) living creature is there on earth but its provision is due from Allah. And He knows its dwelling place and its deposit (in the uterus, grave, etc.). All is in a clear Book (Al-Lauh Al-Mahfuz - the Book of decrees with Allah).
7. And He it is who has created the heavens and the earth in six days and his Throne was on the water, that He might try you, which of you is the best in deeds. But if you were to say to them: "You shall indeed be raised up after death," those who disbelieve would be sure to say, "This is nothing but obvious magic."


คำแปล R2.
5. พึงสังวรเถิด! แท้จริงพวกเขาค้อมอกของพวกเขาไว้ เพื่อพวกเขาหลบซ่อนพระองค์ (ในสิ่งที่พวกเขาเงื่อนงำไว้) พึงสังวร! แม้เมื่อพวกเขาห่มผ้าของพวกเขา(จนมิดชิดก็ตาม) พระองค์ก็ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขาซ่อนเร้น และสิ่งที่เขาเปิดเผย แท้จริงพระองค์ทรงรอบรู้ยิ่ง (ในความรู้สึกนึกคิดทางจิต) ที่อยู่ในหัวอกทั้งหลาย
6. ไม่มีสัตว์ใด ๆ ในหน้าแผ่นดินนี้ทั้งสิ้น นอกจากเป็นภาระของอัลเลาะฮฺที่จะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่มัน และพระองค์ทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่อยู่ถาวรของมัน(หลังจากคลอดมาจากท้องแม่แล้ว) และที่อยู่ชั่วคราวของมัน (ในกระดูกสันหลังของพ่อและในมดลูกของแม่ตามลำดับ) ทุกสิ่งนั้นมีปรากฏอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้ง
7. และพระองค์ทรงเป็นผู้บันดาลฟากฟ้าและแผ่นดินในหกวาระ ในขณะนั้นบัลลังก์ของพระองค์อยู่บนน้ำ ทั้งนี้เพื่อพระองค์ทรงทดสอบสูเจ้าทั้งหลายว่า ในคนใดบ้างที่ทำการอันดีงามยิ่ง ขอยืนยัน! แท้จริงหากเจ้าประกาศว่า “อันที่จริงท่านทั้งหลายจะต้องถูกให้ฟื้นขึ้นภายหลังจากความตาย” แน่นอนบรรดาผู้ไร้ศรัทธาก็จะกล่าวโต้ว่า “สิ่ง(ที่มุฮำมัดพูด)นี้มิใช่อื่นใดเลย นอกจากเป็นเพียงมายากลอันชัดแจ้งเท่านั้น”


คำแปล R3.
5. จงรู้ไว้เถิดว่า พวกเขาได้หันอกพวกเขาเพื่อที่จะซ่อนตัวพวกเขาเองจากเขา จงรู้ไว้เถิดว่าถึงแม้พวกเขาจะเอาผ้าคลุมตัวเองอัลลอฮฺก็ทรงรู้สิ่งที่พวกเขาซ่อนเร้นและสิ่งที่พวกเขาแสดงอมา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรู้แม้แต่ความลับที่พวกเขาซ่อนไว้ในอก
6. ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ ที่เคลื่อนไหวบนโลกนี้ที่การยังชีพของมันมิได้ขึ้นอยู่กับอัลลอฮฺ พระองค์ทรงรู้ถึงที่พำนักอันถาวรและที่พักชั่วคราวของมัน ทุกสิ่งอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้งแล้ว
7. และพระองค์คือผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งฟลายและแผ่นดินใน 6 วัน ขณะที่ก่อนนี้ บัลลังก์ของพระองค์ได้อยู่บนน้ำ ทั้งนี้เพื่อที่จะทดสอบว่าผู้ใดในหมู่สูเจ้าได้กระทำการงานที่ดีที่สุด(โอ้ มุฮัมมัด) ตอนนี้ถ้าพวกเจ้าบอกพวกเขาว่า “แท้จริงแล้วพวกท่านจะถูกทำให้ฟื้นขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังความตาย” บรรดาผู้ปฏิเสธจะกล่าวทันทีว่า “นี่เป็นเรื่องมายากลแท้ ๆ “


คำแปล R4.
5. พึงรู้เถิด แท้จริงพวกเขาปกปิดความลับในทรวงอกของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะซ่อนความความเป็นศัตรูจากพระองค์ พึงรู้เถิด ขณะที่พวกเขาเอาเสื้อผ้าของพวกเขาปกคลุมตัวนั้น พระองค์ทรงรู้สิ่งที่พวกเขาปกปิด และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผยแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในทรวงอก
6. และไม่ว่าสัตว์ตัวใดที่เหยียบย่ำอยู่ในแผ่นดิน เว้นแต่เครื่องยังชีพของมันเป็นหน้าที่ของอัลลอฮฺ และพระองค์ทรงรู้ที่พำนักของมันและที่พักชั่วคราวของมัน ทุกสิ่งอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้ง
7. และพระองค์คือผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในระยะ 6 วัน และบัลลังก์ของพระองค์อยู่เหนือน้ำ เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบพวกท่านว่า ผู้ใดในหมู่พวกท่านมีการงานที่ดีเยี่ยม และหากเจ้า (มุฮัมมัด) กล่าวว่า แท้จริงพวกท่านจะถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา หลังจากที่ได้ตายไปแล้ว แน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะกล่าวว่านี่มิใช่อื่นใดเลย นอกจากเล่ห์กลอย่างชัดแจ้ง


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ มีมูลมาว่าพวกมุนาฟิก(พวกกลับกลอก)ได้ซ่อนเร้นความไม่ศรัทธา ซ่อนเร้นการเหห่าง และความเป็นศัตรูกับพระศาสดามุฮำมัด ซล. ไว้ภายในจิตใจ จึงมีโองการประทานลงมาว่า
๕. ดูเถิด พวกมุนาฟิกเหล่านั้นได้งำความไม่ศรัทธาและความเป็นศัตรูกับพระศาสดามุฮำมัด ซล. ไว้ภายในจิตใจของพวกตนเป็นการหลบซ่อนพระองค์(อัลเลาะห์) ดูเถิด แม้พวกเหล่านั้นจะเอาผ้ามาคลุมกายของพวกตนเพื่อมิให้มุฮำมัด ซล.ชักชวนพวกเขาเข้าสู่ศาสนาอิสลาม พระองค์ก็ทรงรู้ถึงภาวะที่พวกเหล่านั้นซ่อนเร้นไว้ในจิตใจ และถ้อยคำที่พวกนั้นพูดขึ้นโดยเปิดเผย ดังนั้น การซ่อนเร้นเช่นที่ว่านี้ ย่อมไม่เป็นการเพียงพอจะหลบหลีกไปจากความรู้ของพระองค์ได้เลย เพราะแท้จริงพระองค์นั้นทรงเป็นองค์รู้ยิ่งถึงภาวะแห่งจิตของพวกเหล่านั้น
๖. ย่อมไม่มีสัตว์ใดอยู่ได้ ณ หน้าแผ่นดินเว้นแต่อาหารของมันมาแต่อัลเลาะห์ผู้ซึ่งประทานอาหารแก่มัน พระองค์ทรงรู้ถึงแหล่งอยู่ของมันในภาคพิภพนี้หลังจากมันคลอดจากครรภ์แม่ของมัน หรือที่อยู่อาศัยในกระดูกสันหลังก่อนจากเข้าปฏิสนธิในครรภ์แม่ของมัน และทรงรู้ถึงที่พักตัวในครรภ์แม่ของมันหลังจากเคลื่อนพ้นจากกระดูกสันหลังพ่อของมันหรือแห่งหนของมันเมื่อมันได้ตายลงแล้ว สัตว์เหล่านี้ก็ดี อาหารของมันก็ดี แหล่งอยู่และที่พักตัว ตลอดจนแห่งหนของมันเมื่อมันตายลงแล้วก็ดี ทั้งสิ้นนี้ย่อมมีอยู่ในบันทึกอันแน่นอนที่ถูกแขวนไว้ใต้ฟ้าชั้นเก้า
๗. พระองค์ทรงเป็นองค์สร้างบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดเสร็จภายในสองวัน และแผ่นดินภายในสองวัน ส่งสร้างสรรพสิ่งบรรดามีในระหว่างฟากฟ้าและแผ่นดินเสร็จภายในสองวันรวมทั้งสิ้นหกวัน เริ่มแต่วันอาทิตย์จดวันศุกร์ ส่วนฟ้าชั้นพิเศษคือชั้นที่เก้าของพระองค์นั้นอยู่เหนืออากาศละพื้นน้ำ ซึ่งอยู่ใต้แผ่นดินชั้นเจ็ด ในการที่ได้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินตลอดจนสรรพสิ่งระหว่างทั้งสองนั้นนับเป็นคุณประโยชน์และเป็นวิวัฒนาการเพื่อพวกเจ้าเพื่อทรงกระทำการประหนึ่งจะทดลองพวกเจ้าทั้งที่พระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งแต่บรรพกาลแล้วว่าในหมู่พวกเจ้านั้นผู้ใดจะประพฤติดีงามตามคำบัญชาใช้ของพระองค์ยิ่งกว่ากัน การทดลองดังนี้ใช่จะเป็นการกระทำเพื่อต้องการหาความรู้ก็หามิได้ ต่างจากการทดลองของมนุษย์กระทำขึ้นเพื่อต้องการจัรู้ ฉะนั้นหากผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเชื่อแน่ว่า อัลเลาะห์จะทรงรู้สิ่งใดมิได้เว้นแต่จะต้องใช้วิธีทดลองเสียก่อนแล้วไซร้ผู้นั้นย่อมเป็นคนนอกศรัทธา(กาฟิร)ในฐานะมุรฺตัด และเรา(อัลเลาะห์)ให้สัจปฏิญาณว่า โอ้มุฮำมัดถ้าเจ้ากล่าว “พวกเจ้านั้น จะถูกบังเกิดอีกหลังจากตาย” แล้วไซร้ บรรดาที่เป็นกาฟิรจะตอบโต้เจ้าว่า พระคัมภีร์อัล-กุรอานที่บ่งถึงเรื่องการเกิดใหม่ก็ดีหรือเรื่องใดที่เจ้าอ้างขึ้นก็ดี นี้มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นเสมือนการแสดงทางวิทยากลอันแจ้งชัดทีเดียว ในการกล่าวโต้เช่นนี้ของพวกกาฟิรเพื่อป้องกันมิให้ปวงชนแลเห็นแจ้งในสาระอันแท้จริงของโลกพิภพและเพื่อจะให้ปวงชนเหล่านั้นหันมาเชื่อตามและอยู่ในอาณัติของตน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:19 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 8 - 11


คำแปล R1.
8. And if we delay the torment for them till a determined term, they are sure to say, "What keeps it back?" Verily, on the day it reaches them, nothing will turn it away from them, and they will be surrounded by (fall in) that at which they used to mock!
9. And if we give man a taste of Mercy from us, and then withdraw it from him, verily! he is despairing, ungrateful.
10. But if we let him taste good (favour) after evil (poverty and harm) has touched him, he is sure to say: "Ills have departed from me." Surely, he is exultant, and boastful (ungrateful to Allah).
11. Except those who show patience and do righteous good deeds, those: Theirs will be forgiveness and a great reward (Paradise).


คำแปล R2.
8. ขอยืนยัน! แท้จริงหากเราได้เนิ่นการลงโทษจากพวกเขา ไปยังกำหนดเวลาที่แน่นอน พวกเขาก็จะพูดอีกว่า “อะไรเล่าที่กักมันไว้ (ไม่มีการลงโทษ)” พึงสังวร! ในวันที่การลงโทษมาประสบแก่พวกเขานั้น มันไม่ถูกผันแปรออกไปจากพวกเขาอย่างแน่นอน” และการลงโทษที่พวกเขาเคยเย้ยหยันไว้(เมื่ออดีต)ย่อมห้อมล้อมพวกเขาไว้(จนหลบหลีกไม่ได้)
9. ขอยืนยัน! แท้จริงหากแม้นเราได้ให้มนุษย์ลิ้มรสความเมตตาจากเรา(ชั่วระยะหนึ่ง) แล้วต่อมาเราก็เพิกถอนมันออกไปจากเขา แน่นอนเขาก็จะเป็นผู้รันทด อีกทั้งเนรคุณ
10. ขอยืนยัน! แท้จริงหากแม้นเราให้เขาได้ลิ้มรสความสุขสม ภายหลังจากเภทภัยที่ได้สัมผัสเขา แน่นอนเขาก็จะพูดว่า “บรรดาความ(ทุกข์ระทมอัน)เลวร้ายได้จากฉันไปแล้ว” แท้จริงเขามีแต่ความดีใจอีกทั้งหยิ่งผยอง
11. ยกเว้นบรรดาผู้มีขันติธรรม และประพฤติแต่ความดีงาม พวกเหล่านั้นย่อมได้รับการให้อภัยและรางวัลอันยิ่งใหญ่


คำแปล R3.
8. และถ้าเราจะยืดเวลาการลงโทษพวกเขาออกไปสักระยะหนึ่งซึ่งได้กำหนดไว้แล้ว พวกเขาจะกล่าวว่า “อะเล่าที่จะทำให้มันเลื่อนออกไป?” จงรู้ไว้เถิดว่า เมื่อวันแห่งการลงโทษมาถึง จะไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงมันไปได้ และสิ่งที่พวกเขาเยาะเย้ยนั้น จะล้อมพวกเขาไว้ในทุกด้าน
9. ถ้าเราให้มนุษย์ได้เห็นความเมตตาของเรา แล้วเราได้เอามันกลับมาจากเขาอีก เขาก็จะท้อถอยและอกตัญญู
10. และถ้าหลังจากทุกข์ภัยได้มาประสบแก่พวกเขาแล้ว เราได้ประทานความโปรดปรานให้แก่เขา เขาจะกล่าวว่า “ความเศร้าโศกได้ผ่านพ้นฉันไปแล้ว” และเขาจะเร่มคะนองและโอหัง
11. เว้นแต่คนที่ปราศจากสิ่งนี้ ผู้ที่หนักแน่นและประกอบการดี พวกเขาจะได้รับการให้อภัยและรางวัลตอบแทนอันใหญ่หลวง


คำแปล R4.
8. และหากเรายึดเวลาการลงโทษพวกเขาออกไปอีกระยะเวลาหนึ่งที่ได้กำหนดไว้ แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า อะไรหรือได้ยับยั้งมันไว้ พึงรู้เถิด วันซึ่งการลงโทษจะมายังพวกเขา มันจะไม่ละเว้นไปจากพวกเขา และมันจะห้อมล้อมพวกเขา ตามที่พวกเขาได้เยาะเย้ยมัน
9. และถ้าเราได้ให้มนุษย์ลิ้มรสความเมตตาจากเรา แล้วเราได้ดึงมันกลับมาจากเขา แท้จริงเขานั้นเป็นผู้หมดหวังและสิ้นศรัทธา
10. และถ้าเราได้ให้เขาลิ้มรสความโปรดปรานหลังจากความทุกข์ยากได้ประสบกับเขา แน่นอนเขาจะกล่าวว่า ความชั่วร้ายต่างๆ ได้ผ่านพ้นจากฉันไปแล้ว แท้จริง เขานั้นเป็นผู้คึกคะนองหยิ่งยโส
11. เว้นแต่บรรดาผู้อดทนและบรรดาผู้ปฏิบัติความดีทั้งหลาย ชนเหล่านั้นแหละ สำหรับพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันยิ่งใหญ่


คำแปล R5.
๘. และเรา(อัลเลาะห์)ให้สัตย์ปฏิญาณว่า หากเรา(อัลเลาะห์) จะประวิงการลงโทษพวกนั้นที่ขอให้เร่งการลงโทษไปชั่วระยะหนึ่งเพียงเล็กน้อย แล้วพวกนั้นจะกล่าวสบประมาทว่า อันใดเล่าที่หักห้ามการลงโทษนั้นไว้ ระวังนะ! ในวันที่โทษจะลงแก่พวกนั้นแล้ว โทษนั้นจะไม่ถูกขจัดให้พ้นไปจากพวกนั้นเลย และผลแห่งการลงโทษซึ่งพวกนั้นเคยเย้ยหยัน จึงแวดล้อมพวกนั้นไว้
๙. และเรา(อัลเลาะห์)ให้สัจปฏิญาณว่าหากเรา(อัลเลาะห์) จะให้ปวงชนกาฟิรคนได้รู้รสแห่งความปรานีจากเรา อาทิ ความร่ำรวยและความสุขสบาย ครั้นแล้วเรา(อัลเลาะห์) ก็เอามัน(ความปรานี) คืนจากผู้นั้นแล้วไซร้ แน่นอนเขานั้นย่อมเป็นผู้สิ้นหวังจากความดปรดปรานีของอัลเลาะห์ เป็นผู้ไร้ความศรัทธาหนักขึ้น
๑๐. และเรา(อัลเลาะห์)ให้สัจปฏิญาณว่า หากเรา(อัลเลาะห์) จะให้กาฟิรผู้นั้นได้รู้รสแห่งความกรุณา อาทิความร่ำรวยและความสุขสบาย หลังจากภัยแห่งความยากจนและความคับแค้นมาประสบแก่เขาแล้วไซร้ ผู้นั้นย่อมจะกล่าวว่า “ภัยร้ายสูญสิ้นหนีไปจากฉันแล้ว” โดยมิได้คิดว่าความร่ำรวยและความสึขสบายจะสูญสิ้นไปจากเขา ถึงกรันั้นเขาจะขอบพระคุณในพระมหากรุณาธิคุณทั้งสองอย่างคือ ความร่ำรวยหนึ่ง และความสุขกายหนึ่งก็หาไม่ เขาจึงปลื้มใจด้วยหยิ่งผยอง หัวสูงเกินมนุษย์ โดยถือว่าตนได้ร่ำรวยและเป็นสุขอีกด้วย
๑๑. แต่ทว่าบรรดาศรัทธาชน (มุอ์มิน) ผู้อดทนต่อความยากจนและความคับแต้นและประพฤติดีงามให้เจริญยิ่งขึ้น พวกเหล่านั้นแหละย่อมได้รับการอภัยและสรวงสวรรค์เป็นค่าตอบแทนอันใหญ่หลวง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:19 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 12 - 16


คำแปล R1.
12. So perchance you (Muhammad) may give up a part of what is revealed unto you, and that your breast feels straitened for it because they say, "Why has not a treasure been sent down unto him, or an angel has come with him?" But you are only a Warner. And Allah is a Wakil (Disposer of affairs, trustee, guardian, etc.) over all things.
13. Or they say, "He (Prophet Muhammad) forged it (the Qur'an). Say: "Bring you then ten forged surah (chapters) like unto it, and call whomsoever you can, other than Allah (to your help), if you speak the truth!"
14. If then they answer you not, know then that the revelation (this Qur'an) is sent down with the knowledge of Allah and that La ilaha illa Huwa: (none has the right to be worshipped but He)! Will you then be Muslims (those who submit to Islam)?
15. Whosoever desires the life of the world and its glitter; to them we shall pay in full (the wages of) their deeds therein, and they will have no diminution therein.
16. They are those for whom there is nothing in the Hereafter but fire; and vain are the deeds they did therein. And of no effect is that which they used to do.


คำแปล R2.
12. (พวกเขาคิดว่า) แท้จริงบางทีเจ้าอาจจะละทิ้ง(ไม่ประกาศ)บางโองการที่เจ้าได้รับการดล(มาจากองค์อภิบาล)และหัวใจของเจ้ารู้สึกคับแค้น(ที่จะประกาศ)สิ่งนั้น(ออกไป) เพียงเพราะพวก(ไร้ศรัทธา)นั้นพูดว่า “ไฉนจึงไม่มีคลังสมบัติถูกประทานแก่เขา(มุฮำมัด เพื่อเขาจะได้มั่งคั่ง) หรือมีมลาอิกะฮฺมา(ประกาศ)ร่วมกับเขาด้วย” (ตามที่กล่าวมาแล้ว เจ้าจงอย่างดการประกาศของเจ้าเป็นอันขาด) ความเป็นจริงเจ้าเป็นเพียงผู้ตักเตือน ส่วนอัลเลาะฮฺทรงเป็นผู้ถูกมอบหมายสำหรับทุก ๆ สิ่ง
13. หรือพวกเหล่านั้นจะพูดว่า “เขา(มุฮำมัด)ได้เสกสรรสิ่งนั้น(อัลกุรอาน(ขึ้นมาเอง จงประกาศเถิด “(ถ้าฉันเสกสรรขึ้นมาเองได้) ดังนั้น1 พวกท่านก็จงนำมาซิเพียงสิบบทที่เหมือนกับกุรอาน ซึ่งมันถูกเสกสรรขึ้นเอง(โดยพวกท่าน) และพวกท่านจงชักชวนผู้ที่พวกท่านมีความสามารถ(มาร่วมในการประพันธ์ด้วย) นอกเหนือจากอัลเลาะฮฺ ทั้งนี้หากพวกท่านเป็นสัตย์จริง”
14. “แต่ถ้าพวกเขา(ที่ถูกชวนมาช่วยประพันธ์) ไม่ตอบรับคำชวนของพวกท่าน พวกท่านก็จงทราบเถิดว่าอันที่จริงอัลกุรอาน ถูกประทานลงมาโดยความรอบรู้แห่งอัลเลาะฮฺเท่านั้น และแท้จริง ไม่มีพระเจ้าใด ๆ นอกจากอัลเลาะฮฺ แล้วพวกท่านจะยอมสวามิภักดิ์ไหม ?
15. ผู้ใดมุ่งหวัง(ความสุขแห่ง)ชีวิตทางโลกนี้และสิ่งประดับของมัน เราก็จะประทานความสัมฤทธิ์ผลแก่พวกเขาในผลงานของพวกเขา(ที่ปฏิบัติอยู่)ในนั้น(โลกนี้) และพวกเขามิบกพร่องในนั้นเลย
16. พวกเหล่านั้นเป็นพวกซึ่งจะไม่ได้อะไรเลยในโลกหน้า นอกจากนรก และสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้มีอันมลายหายไป และสิ่งที่พวกเขาไประพฤติไว้ ก็เป็นสิ่งโมฆะโดยสิ้นเชิง


คำแปล R3.
12. ดังนั้น (โอ้นบี จงระวังให้ดี เผื่อว่า)บางทีเจ้าอาจจะละเว้น (ที่จะอ่าน) บางสิ่งที่กำลังถูกวะฮีย์แก่เจ้าและจงอย่าให้หัวใจของเจ้าหดหู่ที่พวกเขากล่าวว่า “ทำไมไม่มีคลังสมบัติถูกส่งลงมายังเขาล่ะ?” หรือ “ไฉนจึงไม่มีมลักลงมากับเขา?” เจ้าเป็นแค่เพียงผู้ตักเตือนและอัลลอฮฺทรงมีทุกสิ่งในอำนาจของพระองค์
13. พวกเขากล่าวใช่ไหมว่า “เขาได้ประดิษฐ์คัมภีร์ขึ้นมาด้วยตัวเอง?” จงบอกพวกเขาว่า “ดีละ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ขอให้นำซูเราะฮฺที่คิดขึ้นมาเองสักสิบซูเราะฮฺที่เหมือนกับสิ่งนี้โดยให้พวกท่านเรียกใครก็ได้(ที่พวกท่านเคารพบูชา)มาช่วยพวกท่านยกเว้นอัลลอฮฺ ถ้าหากพวกท่านแน่จริง
14. และถ้าหากพวกเขา(สิ่งเคารพบูชาของพวกท่าน)ไม่สามารถช่วยท่านได้พวกท่านก็จงรู้ไว้เถิดว่าคัมภีร์นี้ได้ถูกประทานมาด้วยความรอบรู้ของอัลลอฮฺ และไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ ดังนั้น พวกท่านยังไม่ยอมจำนนอีกหนือ?”
15. บรรดาผู้ปรารถนาชีวิตแห่งโลกนี้ และความหรูหราของมันนั้น เราจะประทานสิ่งตอบแทนโดยครบครันสำหรับการงานที่ดีของพวกเขาที่นี่ และจะไม่มีสิ่งใดถูกลิดรอนไปจากมัน
16. แต่ไม่มีสิ่งใดนอกจากไฟสำหรับพวกเขาในโลกหน้า (ที่นั่น พวกเขาจะรู้ว่า)สิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ในโลกนี้ไม่มีผลและอะไรที่พวกเขาได้ทำไว้นั้นไม่มีประโยชน์และไร้ค่า


คำแปล R4.
12. และบางทีเจ้าจะทิ้งบางส่วนที่ถูกวะฮีย์มายังเจ้า และหัวอกของเจ้าจะอึดอัดต่อสิ่งนั้นโดยที่พวกเขากล่าวกันว่า ทำไมเล่าขุมทรัพย์จึงไม่ถูกส่งลงมา หรือทำไมมะลัก จึงไม่ถูกส่งลงมาพร้อมกับเขา ? แท้จริงเจ้าเป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงคุ้มครองรักษาทุกสิ่ง
13. หรือพวกเขากล่าวว่า เขา(มุฮัมมัด) ได้ปลอมแปลงอัลกุรอานขึ้นมา (มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิด ดังนั้น พวกท่านจงนำมาสักสิบซูเราะฮ์ที่ถูกปลอมแปลงขึ้นให้ได้อย่างอัลกรุอาน และพวกท่านจงเรียกผู้ที่มีความสามารถในหมู่พวกท่านอื่นจากอัลลอฮฺ(ให้มาช่วย) ถ้าพวกท่านเป็นพวกสัตย์จริง
14. หากพวกเขาไม่ตอบสนองการเรียกร้องของพวกท่าน ก็จงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลกุรอานถูกประทานลงมาด้วยวะฮีย์ของอัลลอฮฺ และนั่นคือไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ แล้วพวกเจ้า (มุชริกีน) ยังมินอบน้อมอีกหรือ ?
15. ผู้ใดปรารถนาการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และความเพริศแพร้วของมันเราก็จะตอบแทนให้พวกเขาอย่างครบถ้วน ซึ่งการงานของพวกเขาในโลกนี้เท่านั้น และพวกเขาจะไม่ถูกริดรอนในการงานนั้นแต่อย่างใด
16. ชนเหล่านั้น พวกเขาจะไม่ได้รับการตอบแทนอันใดในโลกอาคิเราะฮฺ นอกจากไฟนรกและสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ในโลกดุนยาก็จะไร้ผลและสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ก็จะสูญเสียไป


คำแปล R5.
๑๒. โอ้มุฮำมัด ไม่น่าที่เจ้าจะงดเว้นซึ่งบางส่วนแห่งโองการตำหนิเรื่องเทวรูปที่ถูกดลมายังเจ้าให้นำไปบอกพวกมุชริก เพราะกลัวจะถูกพวกมุชริกเหล่านั้นเหยียดหยามและด้วยเหตุแห่งโองการดังกล่าวนี้ เจ้าก็ไม่น่าจะหนักใจอะไรเลยสำหรับมุชริกเหล่านั้น ควรที่เจ้าจะอ่านโองการนั้นให้พวกมุชริกฟังโดยมิต้องเศร้าสลดเพราะพวกนั้น และมิต้องสนใจกับข้อเรียกร้องที่พวกมุชริกนั้นจะกล่าวขึ้นว่า จงให้มีพระคลังลงมายังเขา(มุฮำมัด) สักแห่งหนึ่งหรือจะให้มีมลาอิกะห์มาร่วมกับเขา(มุฮำมัด)เพื่อยืนยันความสัจจริงของมุฮำมัดก็ได้ เจ้านั้นมีหน้าที่เพียงแต่เป็นผู้ นำโองการดังกล่าวไปตักเตือนพวกมุชริกเท่านั้น หาได้มีหน้าที่สนองตอบตามข้อเรียกร้องของพวกนั้นไม่ ฝ่ายอัลเลาะห์ทรงเป็นองค์อารักษ์ยิ่งในทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วพระองค์จะทรงตอบสนองแก่พวกเหล่านั้นเอง
๑๓. แต่พวกมุชริกเหล่านั้นจะกล่าวว่า เขา(มุฮำมัด) ได้ปลอมมัน(อัล-กุรอาน) ขึ้นมา โอ้มุฮำมัด จงกล่าวแก่พวกมุชริกเถิดว่า พวกท่านจงปลอมขึ้นมาเหมือนอย่างนั้น(อัล-กุรอาน) สักสิบบท(ซูเราะห์)หรือแม้แต่บทเดียวก็เอาเถอะโดยให้มีถ้อยตำฉะฉานและเนื้อความสอดคล้องกัน เพราะพวกท่านก็เป็นชาวอาหรับพูดจาได้ฉะฉานเหมือนกับฉัน กล่าวคือพระศาสดามุฮำมัดได้ท้าชาวอาหรับประกวดแต่งพระคัมภีร์อัล-กุรอานแค่สิบบทในตอนแรก แล้วในตอนหลังท้าเพียงบทเดียว ผลที่สุดพวกอาหรับก็ไม่สามารถกระทำได้เลย แล้วพวกท่านจงเรียกหาผู้อื่นจากอัลเลาะห์ เช่น เหล่ามลาอิกะห์ มนุษย์ ยิน และปวงเทวรูป ตามที่พวกท่านจะสามารถเรียกหาได้เพื่อช่วยกันรจนาอัล-กุรอานปลอม ๆ ขึ้นสักสิบบท(ซูเราะห์) หรือเพียงบทเดียวหากว่าพวกท่านเป็นผู้สัจจริงในถ้อยคำที่อ้างว่าพระคัมภีร์อัล-กุรอานเป็นของปลอม
๑๔. แม้นว่าพวกเหล่านั้น ทั้งมวลมลาอิกะห์ มนุษย์ ยิน และเหล่าเทวรูปไม่สนองตอบพวกท่าน ทั้งนี้เนื่องจากพวกเหล่าน้หย่อนความสามารถ และพวกนี้ก็รู้ตัวอยู่ว่า ตัวเองไม่สามารถที่จะรจนาบทตัมภีร์ขึ้นมาหักล้างพระคัมภีร์อัล-กุรอานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ โอ้พวกมุชริกทั้งหลาย พวกท่านจงรู้ไว้เถิดว่า พระคัมภีร์อัล-กุรอานนั้นถูกประทานมาประกอบด้วยความรู้จากอัลเลาะห์เท่านั้น มิใช่มีมาโดยอ้างเท็จว่ามาจากอัลเลาะห์ และพวกท่านจงรู้ไว้เถิดว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดควรแก่การเคารพบูชาโดยแท้จริงในภาคพภนี้นอกจากอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้นพวกท่านจงเป็นมุสลิมเถิดหลังจากมีหลักฐานอันเด็ดขาดประกอบด้วยความรู้จากพระองค์ถูกประทานลงมาแล้ว
๑๕. ผู้ใดมุ่งเอาความเป็นอยู่ในภพนี้ อันได้แก่ความสุข ความมั่นคงในทรัพย์ การบริโภค ตลอดจนการเป็นใหญ่ในหมู่ชน เป็นต้น และมุ่งหวังเอาความฉาบฉวยของมัน แต่เขาผู้นั้นมิยอมน้อมสู่ศาสนาอิสลาม และกลับมั่นอยู่ในศาสนาที่นอกศรัทธา (กุฟร์) แล้วไซร้ เรา(อัลเลาะห์) ก็จะให้กิจทั้งปวงของพวกเขาที่กระทำขึ้นเป็นการดีงาม เช่น การทำงาน การเชื่อมไมตรีในหมู่ญาติ ได้ผลบริบูรณ์ในภพนี้ โดยจะเอื้ออำนวยให้พวกเขาได้รับทั้งเครื่องอุปโภคและบริโภคอันกว้างขวางโดยมิถูกริดรอนเลยแม้สักนิดเดียว
๑๖. พวกเหล่านั้นแหละ ในวันปรภพจะไม่ได้รับอันใดตอบแทนนอกจากขุมนรก ตลอดทั้งกรรมดีที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ในพิภพนี้ย่อมสูญสลาย มิได้รับบุญกุศลตอบแทนและกิจที่พวกเขาทำกันไว้ก็ต้องสูญเสียพร้อมกับบุญกุศลต้องสูญเสียไปด้วย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:19 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่17 - 20


คำแปล R1.
17. Can they (Muslims) who rely on a clear proof (the Qur'an) from their Lord, and whom a witness [Prophet Muhammad through Jibrael (Gabriel)] from Him follows it (can they be equal with the disbelievers); and before it, came the Book of Musa (Moses), a guidance and a mercy, they believe therein, but those of the sects (Jews, Christians and all the other non-Muslim nations) that reject it (the Qur'an), the Fire will be their promised meeting-place. So be not in doubt about it (i.e. those who denied Prophet Muhammad and also denied all that which he brought from Allah, surely, they will enter Hell). Verily, it is the truth from your Lord, but most of the mankind believes not.
18. And who does more wrong than he who invents a lie against Allah. Such will be brought before their Lord, and the witnesses will say, "These are the ones who lied against their Lord!" no doubt! The curse of Allah is on the Zalimun (polytheists, wrong-doers, oppressors, etc.) .
19. Those who hinder (others) from the Path of Allah (Islamic Monotheism), and seek a crookedness therein, while they are disbelievers in the Hereafter.
20. By no means will they escape (from Allah's torment) on earth, nor have they protectors besides Allah! Their torment will be doubled! They could not bear to hear (the preachers of the truth) and they used not to see (the truth because of their severe aversin, inspite of the fact that they had the sense of hearing and sight).


คำแปล R2.
17. แล้วมีหรือ(ผู้ที่ไร้ศรัทธาจะเสมอเหมือนกับ)ผู้ที่ยืนอยู่บนหลักฐานอันแจ่มชัด(คืออัลกุรอาน)จากองค์อภิบาลของเขาและมี(ยิบรีล)สักขีพยานจากพระองค์ทำการแถลงสิ่งนั้น(แก่นบีมุฮำมัด)และก่อนหน้านั้น มีคัมภีร์ของมูซาเป็นคัมภีร์นำ(สู่ความถูกต้อง) และเป็นความเมตตา(แก่ชาวโลก) พวกเหล่านั้นศรัทธาในสิ่งนั้น(อัลกุรอาน) และผู้ใดไร้ศรัทธาต่อสิ่งนั้น จากบรรดามวลชนต่าง ๆ ที่จริงแล้วนรกเป็นที่ถูกสัญญาไว้ (ว่าเป็นที่อยู่)ของเขา ดังนั้นเจ้าจงอย่าเคลือบแคลงในสิ่งนั้น แท้จริงสิ่งนั้นเป็นสัจธรรมที่มาจากองค์อภิบาลของเจ้าอย่างแน่นอน และแต่ทว่าคนส่วนมากไม่ยอมรับศรัทธา
18. และมีใครอีกเล่า ที่จะฉ้อฉลยิ่งไปกว่าบุคคลที่เสกสรรความเท็จแก่อัลเลาะฮฺ พวกเหล่านั้นจะต้องถูกเสนอตัวต่อองค์อภิบาลแห่งพวกเขาและมวลสักขีพยาน(อันได้แก่มลาอิกะห์, นบี, และอวัยวะภายในร่างกาย)จะพูดว่า “พวกเหล่านั้นเองที่กล่าวเท็จแก่องค์อภิบาลของพวกเขา” พึงสังวร! การสาปแช่งของอัลเลาะฮฺจักประสบแก่บรรดาผู้ฉ้อฉลอย่างแน่นอน
19. (พวกเหล่านั้น) เป็นพวกที่ขัดขวาง(ผู้คน)จากแนวทางของอัลเลาะฮฺ และพวกเขามุ่งที่จะให้แนวทางนั้นคดงอ(บิดเบือน) และพวกเขาเป็นพวกไร้ศรัทธากับวันชาติหน้า
20. พวกเหล่านั้นไม่อาจพิชิต(อำนาจของอัลเลาะฮฺ ที่จะทรงลงโทษพวกเขา) ในแผ่นดินได้ และพวกเขาปราศจากผู้คุ้มครองใด ๆ ทั้งสิ้น นอกเหนือจากอัลเลาะฮฺ การลงโทษจะถูกทวีแก่พวกเขา (เพราะพวกเขาเกลียดชังแนวทางอัลเลาะฮฺ) พวกเขาไม่สามารถพอที่จะฟังได้ และไม่สามารถมองได้ (เพราะความชิงชังต่อสัจธรรมอย่างที่สุด)


คำแปล R3.
17. ในทางตรงข้าม(กับผู้บูชาโลกนี้)ได้มีผู้หนึ่งซึ่งมีหลักฐานอันชัดเจนจากพระผู้อภิบาลของเขาแล้วก็มีพยานผู้หนึ่งจากพระองค์(มายืนยันหลักฐานนั้น)และก่อนหน้าเขาก็มีคัมภีร์ของมูซาเป็นทางนำและความเมตตา(คนเช่นนั้นจะปฏิเสธสาส์นได้หรือ ? ไม่ แน่นอน)คนเช่นนั้นจะศรัทธาในมัน และใครก็ตามที่ปฏิเสธมันเขาผู้นั้นจะได้รับสัญญาว่าจะได้อยู่ในนรก ดังนั้น โอ้นบี จงอย่าสงสัยในเรื่องนี้เลย เพราะนี่คือสัจธรรมจากพระผู้อภิบาลของเจ้า ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ศรัทธาก็ตาม
18. และผู้ใดเล่าที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้กล่าวร้ายต่ออัลลอฮฺ ? คนพวกนี้จะถูกนำมาอยู่ต่อหน้าพระผู้อภิบาลของพวกเขา และบรรดาพยานจะกล่าวว่า “คนเหล่านี้คือผู้ที่กล่าวร้ายต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา” จงรู้ไว้เถิดว่า การสาปแช่งของอัลลอฮฺจะมีแก่ผู้อธรรม
19. บรรดาผู้อธรรมที่ขัดขวางผู้อื่นจากทางของอัลลอฮฺและหาทางที่จะบิดเบือนมัน และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธในเรื่องชีวิตโลกหน้านั้น
20. พวกเขาไม่อาจที่จะหนีรอดจากอัลลอฮฺไปได้ในแผ่นดิน และพวกเขาไม่มีผู้คุ้มครองที่จะป้องกันพวกเขาจากอัลลอฮฺ ที่นี้พวกเขาจะถูกลงโทษเพิ่มเป็นสองเท่า เพราะพวกเขาไม่ฟังผู้อื่นและไม่ดูสัจธรรมเพื่อตัวพวกเขาเอง


คำแปล R4.
17. ดังนั้น ผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระเจ้าของเขาและผู้เป็นพยานจากพระองค์จะสาธยายมันและก่อนนั้นมีคัมภีร์ของมูซาเป็นแนวทางและเป็นเมตตา ชนเหล่านั้นศรัทธาต่อมันและผู้ใดจากพรรคต่าง ๆ ปฏิเสธศรัทธาต่อมันไฟนรกคือสัญญาของเขา ดังนั้นเจ้าอย่าได้อยู่ในการสงสัยมันเลย แท้จริงมันเป็นสัจธรรมจากพระเจ้าของเจ้า แต่ทว่ามนุษย์ส่วนใหญ่จะไม่ศรัทธา
18. และผู้ใดเล่าที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่อุปโลกน์ความเท็จต่ออัลลอฮฺ ชนเหล่านั้นจะถูกนำมาเสนอต่อพระเจ้าของพวกเขาและบรรดาพยานจะกล่าวว่า พวกเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่กล่าวเท็จต่อพระเจ้าของพวกเขา พึงรู้เถิด การสาปแช่งของอัลลอฮฺจะได้แก่บรรดาผู้อธรรม
19. บรรดาผู้กีดขวางทางอัลลอฮฺและพวกเขาใคร่ที่จะให้มันคดเคี้ยว และพวกเขาสำหรับโลกอาคิเราะฮฺนั้นพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
20. ชนเหล่านี้จะไม่รอดพ้น (จากการลงโทษ)ในแผ่นดินนี้ และสำหรับพวกเขาไม่มีผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮฺการลงโทษแก่พวกเขาจะถูกเพิ่มเป็นทวีคูณ พวกเขาไม่สามารถที่จะฟังได้และจะไม่เห็น


คำแปล R5.
๑๗. พระศาสดามุฮำมัดก้ดี เหล่าผู้มีศรัทธาก็ดี ผู้ซึ่งยึดมั่นอยู่กับตัวบทแห่งพระคัมภีรือัล-กุรอานจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งเขาโดยมียิบรออีลองค์พยานจากพระองค์ยืนยันแก่เขา(มุฮำมัด)ว่าอัล-กุรอานมาจากอัลเลาะห์จริงและโดยที่ก่อนจากมีพระคัมภีร์อัล-กุรอานนั้นก็มีพระคัมภีร์เตารอตของมูซามาเป็นแนวนำทางศาสนาและเป็นความปรานีแก่ผู้ได้รับพระคัมภีร์ มุฮำมัดและเหล่าผู้ศรัทธาที่ยึดมั่นเช่นนี้จะเท่าเทียมกับพวกกาฟิรที่มิได้ยึดมั่นเช่นนั้นหรือ? ทั้งมุฮำมัดหรือปวงผู้ศรัทธาเหล่านั้นแหละที่ศรัทธาต่อพระคัมภีร์อัล-กุรอาน พวกเขาจึงได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ ฝ่ายผู้ใดในหมู่กาฟิรที่มิได้ศรัทธาต่อพระคัมภีร์แล้วไซร้ ขุมนรกคือแหล่งสัญญาของเขาที่จะต้องกลับเข้านรกแห่งนั้น โอ้มุฮำมัดแล้วเจ้าก็อย่าได้สงสัยอะไรในพระคัมภีร์นี้เลย แท้จริงพระคัมภีร์อัล-กุรอานนี้เป็นของเที่ยงแท้มาแต่การตัดสินขององค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้า
   เมื่อพระองค์ทรงห้ามมุฮำมัด ซล. มิให้สงสัยพระองค์ก็ทรงห้ามชนผู้ศรัทธา(มุอ์มิน)และปวงชนกาฟิรมิให้สงสัยในพระคัมภีร์อัล-กุรอานอีกด้วยเช่นกัน แต่ทว่าปวงชนชาวนครมักกะห์ส่วนมากหาได้ศรัทธาไม่
๑๘. ย่อมไม่มีผู้ใดคิดคดยิ่งกว่าผู้ที่แอบอ้างความเท็จยังอัลเลาะห์เลย ที่อ้างว่าความจริงพระองนั้นทรงมีอุไซร์และอีซาเป็นบุตรชายและมีพวกมลาอิกะห์เป็นบุตรสาว พวกเหล่านั้นจะถูกนำเสนอขึ้นสู่การตัดสินของอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขา ให้ได้รับการตำหนิในวันปรภพต่อหน้าที่ประชุมบ่าวของพระองค์ และมวลมลาอิกะห์องค์พยานต่างอ้างสักขีพยานยืนยันว่า พระศาสนทูตทั้งหลายได้นำศาสนาไปประกาศแล้วโดยทั่วถึง และว่าพวกกาฟิรนั้นเล่าได้กล่าวหาพระศาสนทูตเป็นคนเท็จ ทั้งปวงมลาอิกะห์และเหล่าศาสนทูต รวมทั้งอวัยวะทั้งหลายอ้างว่า พวกเหล่านี้แหละที่กล่าวเท็จขึ้นแก่องค์พระผู้อภิบาลของเขา ระวังเถิดการหักเมตตาจิตของอัลเลาะห์ให้ห่างจากความปรานีของพระองค์นั้นย่อมมีขึ้นแก่พวกที่คิดคดที่แอบอ้างการถือภาคียังพระองค์
๑๙. ซึ่งพวกเหล่านั้นได้ขัดขวางผู้อื่นให้เหจากหนทางศาสนา(อิสลาม) ของอัลเลาะห์ และกลับชอบให้ศาสนาของพระองค์บิดเบือนไป พวกเขานั้นมิได้ศรัทธาต่อภาคปรภพเลย
๒๐. ในพิภพนี้ พวกเหล่าย่อมจะรอดพ้นการได้รับโทษจากอัลเลาะห์ไปมิได้ เมื่อพวกเขามุ่งหวังจะหลบโทษนั้นทั้งที่แผ่นดินก็กว้างใหญ่ไพศาลที่อาจจะหลบลี้ไปอยู่ ณ หนแห่งใดก็ได้ อื่นจากอัลเลาะห์แล้วจะมีผู้ใดเป็นผู้อนุเคราะห์พวกเหล่านั้นให้รอดพ้นจากการลงโทษจากอัลเลาะห์ก็หามิได้ ซึ่งพวกเขาจะถูกโทษเป็นทวีคูณฐานที่พวกเขากระทำให้ผู้อื่นหลงหนทาง พวกเหล่านั้นจึงไร้ความสามารถในการฟังความจริงแท้ และไม่สามารถแลเห็นของจริงเนื่องจากพวกเขาชิงชังความจริงจนเกินไป ดูประหนึ่งว่าพวกเขาไร้ความสามารถทั้งในการฟังและการแลมองของจริงดังกล่าว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:20 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 21 - 24


คำแปล R1.
21. They are those who have lost their own selves, and their invented false deities will vanish from them.
22. Certainly, they are those who will be the greatest losers In the Hereafter.
23. Verily, those who believe (in the Oneness of Allah - Islamic Monotheism) and do righteous good deeds, and humble themselves (in repentance and obedience) before their Lord, - they will be dwellers of Paradise to dwell therein forever.
24. The likeness of the two parties is as the blind and the deaf and the seer and the hearer. Are they equal when compared? Will you not then take heed?


คำแปล R2.
21. พวกเหล่านั้น เป็นพวกที่ทำให้ตัวเองขาดทุน และสิ่งที่พวกเขาเคยอุปโลกน์ขึ้นมาเองนั้น ได้ลับหายไปจากพวกเขาแล้ว
22. ไม่มีข้อกังขาใด ๆ ทั้งสิ้น พวกเขาเป็นพวกที่ขาดทุนอย่างที่สุดในโลกหน้า
23. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและประพฤติความดีงาม และน้อมภักดีต่อองค์อภิบาลของพวกเขา พวกเหล่านั้นเป็นชาวสวรรค์โดยแท้จริง พวกเขาได้เข้าประจำอยู่ในนั้นเป็นนิจนิรันดร
24. อุปมาทั้งสองกลุ่ม(พวกไร้ศรัทธาและพวกมีศรัทธา)อุปไมยดั่งคนตาบอดและหูหนวก กับคนตาดีและหูดี คนทั้งสองนั้นจะมีลักษณะทัดเทียมกันได้หรือ? แล้วพวกเจ้ามิได้ตรึกตรองหรือ


คำแปล R3.
21. เหล่านี้คือบรรดาผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาเองขาดทุนและสิ่งที่พวกเขาได้ประดิษฐ์ขึ้นนั้นได้เตลิดหนีไปจากพวกเขา
22. มิต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะเป็นผู้ขาดทุนยิ่งในโลกหน้า
23. ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีและอุทิศตนเองอย่างจริงจังต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขานั้น แน่นอนพวกเขาจะได้เป็นผู้พำนักอยู่ในสวรรค์และจะอยู่ในนั้นตลอดไป
24. คนสองกลุ่มนี้อาจเปรียบเหมือนกับคนสองคน คนหนึ่งตาบอด หูหนวก และอีกคนหนึ่งสามารถมองเห็นและได้ยิน คนทั้งสองนี้จะเหมือนกันและเท่ากันกระนั้นหรือ แล้วสูเจ้ามิได้ไตร่ตรอง(จากตัวอย่างนี้)ดอกหรือ?


คำแปล R4.
21. ชนเหล่านี้คือบรรดาผู้ที่ทำให้ชีวิตของพวกเขาขาดทุน และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นนั้นก็ได้เตลิดหนีไปจากพวกเขา
22. โดยแน่นอน แท้จริงพวกเขาเป็นผู้ขาดทุนยิ่งในอาคิเราะฮฺ
23. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ปฏิบัติความดีและสำรวมตนต่อพระเจ้าของพวกเขา ชนเหล่านั้นคือชาวสวรรค์ ซึ่งพวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
24. อุปมาของทั้งสองฝ่าย ดังเช่นคนตาบอดและหูหนวก กับคนมองเห็นและได้ยิน ทั้งสองนี้จะเท่าเทียมกันหรือ พวกท่านมิได้ไตร่ตรองหรือ


คำแปล R5.
๒๑. พวกเหล่านั้นแหละคือผู้ที่ทำตนให้ขาดทุน ที่ตนจะต้องกลับไปสู่ขุมนรกซึ่งพวกเขาจะต้องเข้าไปอยู่นานชั่วนาน โดยมิได้รับการปลดปล่อยและไม่ตาย ส่วนถ้อยคำที่พวกเหล่านั้นเคยอ้างเท็จไว้ว่าอัลเลาะห์ทรงมีคู่ภาคีนั้นได้สูญสิ้นไปแล้ว
๒๒. แน่นอนทีเดียว พวกเหล่านั้นย่อมเป็นพวกขาดทุนยิ่งนักในภาคปรภพ
๒๓. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและที่ประพฤติชอบและที่สงบจิตเข้าสู่การตัดสินของอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลของพวกเขาเหล่านั้นแหละคือชาวสวรรค์ที่พวกเขาดำรงอยู่ ณ สวรรค์แห่งนั้นอย่างถาวร ไม่มีวันถูกขับออกและไม่ตาย
๒๔. อุปมาชนสองพวก พวกหนึ่งคือชนกาฟิร เสมือนพวกนัยน์ตาบอดกับหูหนวก ซึ่งลักษณะพิกลทั้งสองอย่างนี้เป็นลักษณะของพวกกาฟิร ส่วนพวกที่สองคือชนมุอ์มินเสมือนคนตาดีและคนหูดีซึ่งลักษณะปกติทั้งสองอย่างนี้เป็นลักษณะของชนผู้ศรัทธา(มุอ์มิน) ทั้งสองจำพวกนั้นจะเปรียบคุณลักษณะให้เสมอกันได้หรือ? หามิได้เลยที่ทั้งสองอย่างนั้นจะเปรียบให้เสมอกันได้ พวกเจ้ามิได้ตรึกตรองกันดอกหรือ?

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:20 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 25 - 27


คำแปล R1.
25. And indeed we sent Nuh (Noah) to his people (and he said): "I have come to you as a plain Warner."
26. "That you worship none but Allah, surely, I fear for you the torment of a painful Day."
27. The chiefs of the disbelievers among his people said: "We see you but a man like ourselves, nor do we see any follow you but the meanest among us and they (too) followed you without thinking. And we do not see in you any merit above us, in fact we think you are liars."


คำแปล R2.
25. ขอยืนยัน! แท้จริง เราได้ส่ง(นบี)นูห์ลงมายังกลุ่มชนของเขา (และประกาศตัวว่า) “ฉันเป็น (ศาสดา) ผู้ตักเตือนอันชัดแจ้งสำหรับพวกท่านทั้งหลาย
26. พวกท่านทั้งหลายอย่านมัสการ(สิ่งอื่นใดทั้งสิ้น) นอกจากอัลเลาะฮฺ (หากพวกท่านไม่เชื่อฟัง) ฉันกลัวว่าพวกท่านจะประสบการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่”
27. แต่แล้ว ชนชั้นผู้นำจากกลุ่มชนของเขา ซึ่งไร้ศรัทธากลับกล่าวว่า “เราไม่เห็นท่าน(เป็นคนสำคัญอะไรเลย)นอกจากเป็นเพียงปุถุชนเยี่ยงเรานี้เอง และเราไม่เห็นว่าท่านนั้น (จะมีผู้ใด) ถือตามท่านนอกจากพวกชั้นต่ำของพวกเราที่มีความคิดอันจำกัด และเราไม่เห็นว่าสำหรับพวกท่านจะมีความเลอเลิศเหนือพวกเราเลย ยิ่งไปกว่านั้น! พวกเรามั่นใจว่า ท่านทั้งหลายเป็นพวกกล่าวเท็จอย่างแน่นอน


คำแปล R3.
25. และ(นั่นเป็นสภาพเมื่อ) เราได้ส่งนูฮฺมายังหมู่คนของเขา (เขากล่าวว่า)”ฉันขอเตือนพวกท่านอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า
26. จงอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ มิฉะนั้นแล้วฉันกลัวว่าการลงโทษอันน่าสะพรึงกลัวจะมาถึงพวยกท่านในวันหนึ่ง”
27. แต่พวกหัวหน้าของบรรดาผู้คนของเขาซึ่งปฏิเสธได้กล่าวว่า “เราก็เห็นว่าท่านมิได้เป็นอะไรมากกว่าคนธรรมดาเหมือนกับพวกเรา และเราก็เห็นว่ามีแต่พวกคนชั้นต่ำในหมู่พวกเราเท่านั้นที่ปฏิบัติตามท่านโดยที่ไม่คิดอะไรให้ดีก่อนและเราก็ไม่เห็นว่าท่านมีอะไรดีเด่นไปกว่าเรา แท้จริงแล้วเราถือว่าพวกท่านเป็นผู้โกหก”


คำแปล R4.
25. และโดยแน่นอน เราได้ส่งนูหฺไปยังกลุ่มชนของเขา (โดยกล่าวว่า) แท้จริงฉันเป็นผู้ตักเตือนอันแน่ชัดแก่พวกท่านแล้ว
26. คือพวกท่านอย่าเคารพอิบาดะฮฺผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ แท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านถึงการลงโทษในวันอันเจ็บปวด
27. แล้วบรรดาบุคคลชั้นนำซึ่งปฏิเสธศรัทธาจากกลุ่มชนของเขากล่าวว่า เรามิเห็นท่านเป็นอื่นใด นอกจากสามัญชนเช่นเรา และเรามิเห็นผู้ใดปฏิบัติตามท่าน นอกจากบรรดาผู้ต่ำช้าของพวกเราที่มีความคิดเห็นตื้น ๆ และเรามิเห็นว่าพวกท่านประเสริฐกว่าพวกเรา แต่เราคิดว่าพวกท่านเป็นพวกโกหก


คำแปล R5.
๒๕.เรา(อัลเลาะห์)ให้สัจปฏิญาณว่า ความจริงเรา(อัลเลาะห์) แต่งตั้งนูห์ให้เป็นศาสนทูตไปยังประชากรของเขา( นูห์) แล้ว แท้จริงฉัน(นูห์) เป็นผู้ตักเตือนพวกท่านโดยชัดแจ้งว่า
๒๖. มิให้พวกท่านเคารพสักการะสิ่งอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ฉัน(นูห์) เกรงว่าพวกท่านจะได้รับโทษแห่งวันที่เจ็บแสบทั้งในภพนี้และปรภพ แม้ว่าพวกท่านเคารพบูชาผู้อื่นจากพระองค์
๒๗. ผู้มีเกียรติบรรดาที่เป็นชนกาฟิรจากประชากรของเขา(นูห์) กล่าวว่า เรามิได้เห็นว่าท่าน (นูห์) เป็นใครอื่นเลยนอกจากมนุษย์ธรรมดาสามัญ เช่นพวกเรา ไม่เห็นท่านจะมีอะไรดีกว่าพวกเราเลย และพวกเรามิได้เห็นอีกเลยว่าท่านนั้นจะมีผู้ใดเจรฺญตามนอกจากบรรดาชนชั้นต่ำและบ้องตื่นในหมู่พวกเรา เช่นพวกทอผ้า พวกทำไหมและพวกก่อสร้างเท่านั้น ซึ่งพวกเหล่านี้มีความคิดตื้น ๆ เกี่ยวกับตัวเจ้า และพวกเรามิได้แลเห็นพวกท่าน(ทั้งนูห์และเหล่าผู้ศรัทธา) จะมีอะไรเลิศล้ำเกินพวกเรา พวกเราคิดแต่ว่าพวกท่านเป็นคนโกหกที่อ้างว่า ได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูต

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:21 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 28 - 31


คำแปล R1.
28. He said: "O My people! Tell me, if I have a clear proof from my Lord, and a mercy (Prophethood, etc.) has come to me from him, but that (Mercy) has been obscured from your sight. Shall we compel you to accept it (Islamic Monotheism) when you have a strong hatred for it?
29. "And O my people! I ask of you no wealth for it, my reward is from none but Allah. I am not going to drive away those who have believed. Surely, they are going to meet their Lord, but I see that you are a people that are ignorant.
30. "And O My people! Who will help me against Allah, if I drove them away? Will you not then give a thought?
31. "And I do not say to you that with me are the treasures of Allah, "Nor that I know the Ghaib (unseen); "Nor do I say I am an angel, and I do not say of those whom your eyes look down upon that Allah will not bestow any good on them. Allah knows what is in their inner-selves (as regards belief, etc.). in that case, I should, indeed be one of the Zalimun (wrong-doers, oppressors, etc.)."


คำแปล R2.
28. นบีนูห์กล่าวตอบว่า “โอ้กลุ่มชนของฉัน! พวกท่านสังเกตไหม (จงบอกฉันเถิด) หากฉันได้ตั้งมั่นอยู่บน(หลักฐาน)อันชัดแจ้งแล้วจากองค์อภิบาลของฉันและพระองค์ได้ทรงประทานความเมตตาจากพระองค์แก่ฉัน แต่แล้วมันก็ยังมืดมัวอยู่สำหรับพวกท่าน(จนท่านไม่ยอมรับ)แล้วจะให้เราบังคับพวกท่าน(ให้ยอมรับ)ในเรื่องนั้น ทั้ง ๆ ที่พวกท่านรังเกียจมันกระนั้นหรือ ?
29. และโอ้กลุ่มชนของฉัน! ฉันมิได้ขอสินทรัพย์ใด ๆ จากพวกท่าน(เป็นค่าตอบแทน)เนื่องเพราะ(การเผยแพร่)สิ่งนั้น ฉันมิได้รับรางวัล(จากผู้ใดทั้งสิ้น) นอกจากเป็นหน้าที่ของอัลเลาะห์ (สุดแท้แต่พระองค์จะพึงพิจารณา) และฉันหาใช่ผู้ขับไล่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย(เพื่อเอาใจพวกท่าน)ไม่ แท้จริงพวกเขา(ผู้มีศรัทธานั้น)จะได้พบกับองค์อภิบาลของพวกเขา และแต่ทว่าฉันเล็งเห็นว่าพวกท่านนั้นเป็นเพียงหมู่ชนที่โง่เขลา
30. และโอ้กลุ่มชนของฉัน! ให้เล่าที่จะช่วยเหลือฉัน(ให้พ้น)จาก(การลงโทษของอัลเลาะห์ หากฉันขับไล่พวก(ศรัทธาชน)เหล่านั้น(ออกไปเอาใจพวกท่านให้ท่านเข้ามาเป็นพรรคพวกด้วย) แล้วพวกท่านไม่ตรึงตรองบ้างหรือ ?
31. และฉันมิได้พูดกับพวกท่านว่า “ฉันมีบรรดาคลัง(สมบัติ)ของอัลเลาะห์ และฉันมิได้พูดว่า “ฉันรอบรู้ความลี้ลับ” และฉันมิได้พูดอีกว่า “ฉันนี้เป็นมลาอิกะห์” และฉันมิได้พูดกับบรรดาพวกที่สายตาของท่านทั้งหลายเห็นพวกเขาเป็นคนชั้นต่ำว่า “อัลเลาะห์ไม่ประทานคุณความดีแก่พวกเขา” อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่งนัก ในสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเขา แท้จริงตัวฉัน(หากพูดเช่นนั้นแล้วไซร้) ก็จะเป็นหนึ่งในพวกที่ฉ้อฉลทันที


คำแปล R3.
28. เขาตอบว่า “หมู่ชนของฉันเอ๋ย จงพิจารณาดูด้วยตัวของพวกท่านเองก็แล้วกันว่า ถ้าพระผู้อภิบาลของฉันได้ส่งสัญญาณอันชัดแจ้งมายังฉัน และพระองค์ทรงประทานความเมตตาแก่ฉันแล้ว แต่พวกท่านไม่เห็นมัน เราจะไปบังคับให้พวกท่านยอมรับมันได้อย่างไรในเมื่อพวกท่านเองก็ชิงชังมัน?
29. หมู่ชนของฉันเอ๋บ ฉันไม่ได้ร้องขอทรัพย์สินใด ๆ ของพวกท่านสำหรับการนี้ เพราะฉันมองแต่ที่อัลลอฮิเท่านั้นสำหรับการตอบแทน และฉันจะไม่ขับไล่บรรดาผู้ศรัทธาในฉัน แท้จริงแล้ว พวกเขากำลังจะพบกับพระผู้อภิบาลของพวกเขา แต่ฉันเห็นว่าพวกท่านต่างหากที่เป็นผู้งมงาย
30. หมู่ชนของฉันเอ๋ย ใครเล่าที่จะช่วยฉันให้พ้นจากอัลลอฮฺ ถ้าหากฉันขับไล่พวกเขา? พวกท่านไม่เข้าใจเรื่องง่าย ๆ นี้กระนั้นหรือ ?
31. และฉันไม่ได้กล่าวแก่พวกท่านว่าฉันมีคลังสมบัติของอัลลอฮฺและฉันก็มิได้บอกพวกท่านว่าฉันมีความรู้ในสิ่งเร้นลับและฉันก็ไม่ได้อ้างว่าฉันเป็นมลัก และฉันก็มิได้กล่าวถึงผู้คนที่พวกท่านเหยียดหยามว่า “อัลลอฮฺมิทรงประทานความเมตตาแก่พวกเขา” อัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุดถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา เพราะฉันจะเป็นผู้อธรรมถ้าฉันกล่าวอะไรเช่นนี้ออกไป


คำแปล R4.
28. เขา(นูหฺ) กล่าวว่า โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย  พวกท่านเห็นแล้วใช่ไหมว่า หากฉันมีหลักฐานอันแจ้งชัดจากพระเจ้าของฉัน และพระองค์ทรงประทานแก่ฉันซึ่งความเมตตาจากพระองค์แล้วได้ถูกทำให้มืดมนแก่พวกท่าน เราจะบังคับพวกท่านให้รับมันทั้ง ๆ ที่พวกท่านเกลียดชังมันกระนั้นหรือ ?
29. และโอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย  ฉันมิได้ร้องขอทรัพย์สินใดสำหรับการเผยแพร่ แต่รางวัลของฉันอยู่ที่อัลลอฮฺ และฉันจะไม่เป็นผู้ขับไล่บรรดาผู้ศรัทธาดอก แท้จริงพวกเขาจะเป็นผู้พบพระเจ้าของพวกเขา แต่ฉันเห็นว่าพวกท่านเป็นหมู่ชนผู้งมงาย
30. และโอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย ผู้ใดจะช่วยฉัน ณ ที่อัลลอฮฺหากฉันขับไล่พวกเขา พวกท่านไม่คิดบ้างดอกหรือ
31. ฉันมิได้กล่าวแก่พวกท่านว่า ฉันมีขุมคลังของอัลลอฮฺ และฉันไม่รู้ถึงสิ่งพ้นญาณวิสัยและฉันมิได้กล่าวว่าแท้จริงฉันเป็นมลัก และและมิได้กล่าวแก่บรรดาผู้ที่สายตาของพวกท่านเหยียดหยามว่า อัลลอฮฺจะไม่ทรงประทานความดีแก่พวกเขา อัลลอฮฺทรงรอบรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา แท้จริง ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันจะอยู่ในหมู่ผู้อธรรมทั้งหลาย


คำแปล R5.
๒๘. เขา(นูห์) กล่าว โอ้ประชากรของฉัน พวกท่านจงบอกฉันทีซิ หากฉัน(นูห์) มีบทแห่งพระคัมภีร์อันแจ้งชัดแล้วจากองค์พระผู้อภิบาลของฉัน และฉันได้รับความปรานีจากฝ่ายพระองค์ ให้ได้รับตำแหน่งพระศาสดา แต่เรื่องตำแหน่งนั้นมันมืดมัวอยู่สำหรับพวกท่าน จำเป็นด้วยหรือที่เราจะให้พวกท่านรับรองเรื่องตำแหน่งนั้น ? ทั้งที่พวกท่านต่างชิงชังซึ่งตำแหน่งพระศาสดาของเราอยู่
๒๙. และโอ้ประชากรของฉัน ในการเอาตำแหน่งพระศาสดามายังพวกท่านนั้น ฉันจะไม่เรียกร้องเอาสินจ้างจากพวกท่านแต่ประการใดเลย ค่าสินจ้างของฉันจะเป็นอื่นมิได้ หากแต่เพื่ออัลเลาะห์เท่านั้นเอง แล้วฉันจะไม่ขับไล่บรรดาผู้ศรัทธาออกไปหรอก ตามที่พวกท่านสั่งใช้ฉันว่า โอ้นูห์ จงขับไล่บรรดาชนผู้ศรัทธา(มุอ?มิน)ที่เลว ๆ ไปให้พ้นจากพวกเราซิ แล้วพวกเราจะได้เจริญตามท่าน (นูห์) เพราะพวกเราขายหน้าที่จะร่วมสมาคมอยู่กับพวกมุอ์มินเหล่านั้นในสถาบันของท่าน เรื่องทำนองอย่างนี้แม้ในสมัยของศาสดามุฮำมัด ซล. เองก็เคยปรากฏ คือชนในเผ่ากุร็อยช์ เคยบอกแก่พระศาสดามุฮำมัด ซล. เป็นทำนองเดียวกัน (โปรดดูโองการที่ ๕๒ แห่งบท (ซูเราะห์) อัล-อันอาม ในส่วนที่ ๗) แท้จริงพวกศรัทธาชนเหล่านั้นย่อมจะถูกบังเกิดชีวิตใหม่อีกจากสุสาน แล้วให้ไปเผชิญอยู่เบื้ององค์พระผู้อภิบาลของพวกเขา แล้วพระองค์จะทรงตอบสนองผลกรรมแก่พวกเขา ทั้งพระองค์จะทรงเอาโทษผู้ที่คิดคดและขับไล่พวกมุอ์มินอีกด้วย แต่ฉัน(นูห์) กลับเห็นว่า พวกท่านเองต่างหากที่เป็นพวกซึ่งโง่งม หารู้ไม่ว่าขั้นสุดท้ายของพวท่านจะต้องถูกลงโทษ
๓๐. และโอ้ปวงประชากรของฉัน แม้ว่าฉันขับไล่พวกท่านนั้นไปเสียแล้ว ใครเล่าจะช่วยฉันให้พ้นจากลงโทษจากอัลเลาะห์ได้ ? แน่นอน ไม่มีใครหรอกที่จะให้ความช่วยเหลือฉันได้ พวกท่านจงตริตรองดูเถิด พวกท่านจะได้น้อมตามถ้อบคำเตือนไว้นั้น
๓๑. ฉันมิได้บอกกับพวกท่านเลยว่า ฉันมีท้องพระคลังของอัลเลาะห์อยู่ ฉันมิได้บอกกับพวกท่านอีกว่า ฉันรู้ถึงสิ่งลี้ลับแต่ประการใดเลย ฉันมิได้บอกกับพวกท่านว่า ฉันคือมลาอิกะห์ ซึ่งที่จริงแล้วฉันเป็นสามัญมนุษย์เช่นเดียวกับพวกท่านนั่นเอง และฉันมิได้บอกกับบรรดาผู้ที่ตามสายตาของพวกท่านเห็นพวกเขาเป็นคนเลวว่า อัลเลาะห์จะไม่ประทานคุณความดีอันได้แก่หนทางเที่ยงธรรมไปสู่ความศรัทธา แนวธรรมความศรัทธาและบุญกุศล ให้แก่พวกเหล่านั้นเลย อัลเลาะห์ทรงรู้ถึงภาวะภายในจิตใจของพวกท่าน แท้จริงถ้าในตอนนั้นฉันพูดอย่างนั้นจริงแล้ว ฉันย่อมเป็นผู้หนึ่งจากพวกที่คิดคด ณ บัดนั้นเป็นแน่นอน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:21 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 32 - 35


คำแปล R1.
32. They said: "O Nuh (Noah)! You have disputed with us and much have you prolonged the dispute with us, now bring upon us what you threaten us with, if you are of the truthful."
33. He said: "Only Allah will bring it (the punishment) on you, if He will, and then you will escape not.
34. "And my advice will not profit you, even if I wish to give you good counsel, if Allah's will is to keep you astray. He is your Lord! And to Him you shall return."
35. Or they (the pagans of Makkah) say: "He (Muhammad) has fabricated it (the Qur'an)." say: "If I have fabricated it, upon me be my crimes, but I am innocent of (all) those crimes which you commit."


คำแปล R2.
32. พวกเขากล่าวว่า “โอ้ นูห์! ท่านได้โต้เถียงกับพวกเขา แล้วท่านก็เถียงกับพวกเราอย่างมากมายเสียด้วย (อย่ากระนั้นเลย) ท่านจงนำมาซิ ซึ่งสิ่ง (การลงโทษ) ที่ท่านได้สัญญา (ว่าจะประสบ) แก่เรา หากว่าท่านเป็นหนึ่งจากพวกที่มีความสัตย์จริง
33. เขากล่าวว่า “โดยแท้จริง อัลเลาะฮฺจะทรงนำสิ่งนั้นมาให้ประสบแก่พวกท่านหากพระองค์ทรงประสงค์ และพวกท่านจะไม่สามารถเอาชนะ(การลงโทษของพระองค์)ได้
34. และคำแนะนำของฉัน จะไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกท่านเลย แม้ฉันมุ่งมาดที่จะแนะนำพวกท่านก็ตาม หากอัลเลาะฮฺทรงประสงค์ที่จะทำความเตลิดหลงแก่พวกท่าน และพวกท่านจะถูกส่งตัวกลับสู่พระองค์ เพื่อรอรับการตัดสิน
35. หรือพวกเขา(ชาวมักกะฮฺ)กล่าวว่า เขา(มุฮำมัด)ได้เสกสรรกุรอานขึ้นมาเอง เจ้า(มุฮำมัด)จงกล่าวตอบเถิดว่า “(หากฉันเสกสรรขึ้นมาเองแล้วไซร้)แน่นอนบาปก็จะตกแก่ฉัน และฉันพ้นมลทิน(ไม่เกี่ยวข้อง)จากสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายได้กระทำผิดกัน(โดยกล่าวหาว่าฉันเป็นผู้เสกสรรกุรอานขึ้นมาเอง)”


คำแปล R3.
32. ในที่สุด ผู้คนเหล่านั้นก็กล่าวว่า “นูฮฺเอ๋ย ท่านได้โต้เถียงกับเราแล้ว และได้โต้เถียงมากเสียด้วย ตอนนี้ ท่านจงเอาการลงโทษที่ท่านขู่พวกเรามายังเราดีกว่า ถ้าหากสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง”
33. นูฮฺกล่าวว่า “อัลลอฮฺจะนำมันลงมาแก่พวกท่านถ้าพระองค์ทรงประสงค์ และพวกท่านไม่มีอำนาจที่จะลบล้างมันได้
34. ถึงแม้ฉันปรารถนาที่จะทำดีต่อพวกท่าน แต่มันก็ไม่ยังประโยชน์อะไรให้แก่พวกท่านถึงแม่ว่าฉันต้องการจะเป็นผู้ปรารถนาดีต่อพวกท่านก็ตาม เมื่ออัลลอฮฺได้ทรงตัสินใจปล่อยให้พวกท่านหลงทาง พระองค์คือพระผู้อภิบาลของพวกท่าน และยังพระองค์ที่พวกท่านจะถูกนำกลับไป
35. โอ้ มุฮัมมัด พวกเขากล่าวหรือว่า “เขาปลอมแปลงสิ่งนี้ทั้งหมดขึ้นมาเอง” จงบอกพวกเขาเถิดว่า “ถ้าฉันปลอมแปลงมันขึ้นมาเอง ฉันย่อมจะต้องแบกรับความผิดที่จะติดตามมา แต่ฉันปลอดจากความผิดที่พวกท่านกำลังกระทำ”


คำแปล R4.
32. พวกเขากล่าวว่า โอ้นูหฺเอ๋ย แน่นอนท่านได้โต้เถียงของเรามากเรื่องขึ้น ดังนั้น จงนำมาให้เราเถิดสิ่งที่สัญญากับเราไว้ ถ้าท่านอยู่ในหมู่ผู้สัตย์จริง
33. เขา(นูหฺ) กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺเท่านั้นที่จะทรงนำมันมายังพวกท่าน หากพระองค์ทรงประสงค์ และพวกท่านจะไม่เป็นผู้รอดไปได้
34. และคำสั่งสอนของฉันจะไม่เกิดประโยชน์แก่พวกท่าน ตามที่ฉันปรารถนาจะสั่งสอนพวกท่านถ้าอัลลอฮฺทรงประสงค์จะให้พวกท่านหลงผิด พระองค์คือพระเจ้าของพวกท่าน และพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระองค์
35. หรือพวกเขา(กุฟฟารกุเรช) กล่าวว่า เขา (มุฮัมมัด) ได้อุปโลกน์มันขึ้นมา (มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า ถ้าฉันได้อุปโลกน์มันขึ้นมา ความผิดของฉันย่อมอยู่ที่ฉัน และฉันปลีกตัวอกจากสิ่งที่พวกท่านกระทำผิด


คำแปล R5.
๓๒. พวกนั้นที่เป็นปวงประชากรของพระศาสดานูห์กล่าวว่า โอ้พระศาสดานูห์ท่านมาโต้ถียงกับพวกเราและยังเถียงพวกเราไม่ตกฟากเลย ท่านจงให้เกิดมีโทษขึ้นแก่พวกเราตามที่ท่านเคยสัญญาไว้กับพวกเราทีซิ ถ้าแม้นว่าท่านเป้นผู้หนึ่งจากพวกสัจจริง ใน เรื่องการลงโทษนั้น
๓๓. เขา(นูห์) กล่าวแก่พวกเราเหล่านั้นว่า อัลเลาะห์ต่างหากที่ทรงให้เกิดโทษนั้นแก่พวกท่านได้หากพระองค์ทรงมุ่งประสงค์จะให้เกิดโทษนั้นขึ้นโดยเร็ว ซึ่งการลงโทษนั้นเป็นกิจของพระองค์ หาได้เป็นกิจของฉันแต่อย่างใดไม่ และพวกท่านจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้นไปจากการลงโทษของพระองค์ได้
๓๔. แม้ฉันจะยังความปรารถนาดีต่อพวกท่าน แต่ถ้าอัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์จะให้พวกท่านถึงกับล่มจม ตกอยู่ในความโง่งมแล้วไซร้ ความปรารถนาดีของฉันก็ไม่เกิดประโยชน์แก่พวกท่านได้เลย พระองค์นั้นทรงเป็นองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกท่าน โดยที่พวกท่านจะต้องถูกให้กลับคืนไปสู่การสอบสวนของพระองค์

   โองการนี้เป็นโองการที่กล่าวอ้างถึงเรื่องของพระศาสดามุฮำมัด ซล. จรแทรกเข้าอยู่ระหว่างประวัติของพระศาสดานูห์ มีเนื้อความดังนี้
๓๕. แต่พวกนั้นที่เป็นชาวนครมักกะห์กล่าวว่า เขา(มุฮำมัด) ได้ปลอมพระคัมภีร์อัล-กุรอานขึ้น โอ้มุฮำมัด จงกล่าวแก่พวกเหล่านั้นเถิดว่า หากฉัน(มุฮำมัด) ปลอมมันขึ้นมาแล้วไซร้ บาปย่อมตกแก่ฉัน ฉันขอปลีกตัวพ้นจากส่วนแห่งบาปที่พวกท่านก่อขึ้น โดยอ้างพาดพิงมาถึงฉัน ว่าเป็นผู้ปลอมอัล-กุรอาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:21 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 36 - 38


คำแปล R1.
36. And it was inspired to Nuh (Noah): "None of your people will believe except those who have believed already. So be not sad because of what they used to do.
37. "And construct the ship under our eyes and with our inspiration, and address me not on behalf of those who did wrong; they are surely to be drowned."
38. And as he was constructing the ship, whenever the chiefs of his people passed by him, they made a mockery of him. He said: "If you mock at us, so do we mock at you likewise for your mocking.


คำแปล R2.
36. และนูหฺได้รับโองการมาว่า “แท้จริงจะไม่มีผู้ใดในหมู่ชนของเจ้าศรัทธา(ในคำประกาศของเจ้า)นอกจากบุคคลที่ได้ศรัทธา(อยู่แล้ว)เท่านั้น ดังนั้นเจ้าจงอย่าเสียใจในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ
37. และเจ้าจงทำเรือขึ้นเถิด ด้วยการสงเคราะห์ของเรา และตามคำบัญชาของเรา และเจ้าจงอย่าวิงวอนข้าในบรรดาพวก(ไร้ศรัทธา)ที่ฉ้อฉล(เพื่อให้ข้าอภัยแก่พวกเขา) เพราะแท้จริงพวกเขาต้องถูก(ลงโทษ)ให้จมน้ำตายอย่างแน่นอน
38. และเขาก็(ลงมื)ทำเรือ(ตามคำบัญชานั้น) และทุกครั้งที่มีกลุ่มชนจากพวกพ้องของเขาผ่านมายังเขา พวกเขาก็เย้ยหยันเขา(ต่าง ๆ นานา) เขาจึงกล่าวว่า “หากพวกท่านเย้ยหยันเรา แน่นอนเราก็จะได้เย้ยหยันพวกท่าน เหมือนกับที่ท่านเย้ยหยัน(นี่แหละ)”


คำแปล R3.
36. และได้มีวะฮีย์แก่นูฮฺว่า “ไม่มีใครในหมู่คนของเจ้าที่จะศรัทธาในเจ้ามากไปกว่าคนที่ได้ศรัทธาแล้ว ดังนั้นจงอย่าเศร้าโศกเสียใจในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ
37. แต่จงสร้างเรือใหญ่ขึ้นมาลำหนึ่งตามคำบัญชาและตามวะฮีย์ของเรา และจงอย่าเอ่ยขออะไรกับฉันให้แก่บรรดาผู้อธรรม แท้จริงคนพวกนี้จะถูกน้ำท่วมตาย”
38. ดังนั้น นูฮฺจึงได้เริ่มสร้างเรือ และคราวใดที่พวกหัวหน้าหมู่ชนของเขาผ่านมาเห็น พวกเขาก็จะหัวเราะเยาะเขา นูฮฺได้กล่าวว่า “หัวเราะเยาะเราไปเถอะถ้าหากพวกท่านต้องการ เราเองก็กำลังหัวเราะเยาะท่านเช่นกัน


คำแปล R4.
36. และได้มีวะฮีแก่นูหฺว่า แท้จริงจะไม่มีผู้ใดจากหมู่ชนของเจ้าศรัทธา เว้นแต่ผู้ที่ได้ศรัทธาแล้ว ดังนั้น เจ้าอย่าเศร้าหมองในสิ่งที่พวกเขากระทำ
37. และจ้าจงสร้างเรือต่อหน้าเราและตามคำบัญชาของเรา และอย่ามาพูดกับข้า ถึงบรรดาผู้อธรรม แท้จริงพวกเขาจะถูกจมน้ำตาย
38. และเขาได้สร้างเรือ และคราใดที่บุคคลชั้นนำจากหมู่ชนของผ่านเขา(นูหฺ) พวกเขาก็เยาะเย้ยเขา เขาก็จะกล่าวว่า หากพวกท่านเยาะเย้ยพวกเรา แท้จริงเราก็จะเยาะเย้ยพวกท่านเช่นเดียวกับที่พวกท่านเยาะเย้ย

 
คำแปล R5.
๓๖. แล้วข้า(อัลเลาะห์) ได้ดลกระแสโองการไปยังนูห์ว่า แน่นอนในหมู่ประชากรของเจ้านั้น จะไม่มีผู้ใดศรัทธาดอก นอกจากผุ้มีศรัทธาอยู่แล้วเท่านั้น ฉะนั้นเจ้าอย่าได้เสียใจเลยในพฤติการณ์แห่งการถือภาคีที่พวกนั้นกระทำขึ้น
หลังจากนั้นพระศาสดานูห์ได้ตรากตรำอยู่กับความลำบากอย่างสุดแสนเพราะความโหดร้ายทารุณจากปวงประชากรของนูห์เอง กล่าวคือประชากรเหล่านั้นได้ทุบตีนูห์จนล้มคว่ำคะมำไปแล้ว พวกเหล่านั้นต่างช่วยกันลากนูห์ประจานผ่านไปในที่สาธารณชน แล้วลากเข้าไปเก็บไว้ในคูหามิดชิด เพราะต่างคนต่างคิดว่านูห์ตายแล้ว พอวันรุ่งขึ้น นูห์กระเสือกกระสนออกมาได้ กล่าวสาปแช่งพวกเล่านั้นต่ออัลเลาะห์ พวกเหล่านั้นรัดคอนูหือีกจนนูห์สลบสิ้นสมปฤดี เมื่อนูห์ฟื้นขึ้นก็กล่าววิงวอนต่ออัลเลาะห์ว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดประทานอภัยแก่ปวงประชากรของข้าพระองค์ด้วยเถิด เพราะประชากรเหล่านั้นเขาไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย ถึงกับต้องจมอยู่ในสภาพของความทรยศ แต่พวกเหล่านั้นกับทวีความเดือดร้อนให้รุนแรงหนักขึ้น โดยสถานการณ์เช่นนี้ จะมีปวงประชากรของนูห์ชนิดที่เลวกว่าชุดก่อนซ้ำเข้ามาอีกพวกหนึ่ง พวกนี้กล่าวว่า ตาแก่ผู้นี้แกบ้า ๆ พอกับคนปูนปู่และทวดของเราทีเดียว พวกเหล่านี้จะไม่ยอมรับรู้เรื่องอัยใดเลยจากผู้ที่เขาหาว่าบ้า อัลเลาะห์ได้ดลกระแสโองการมายังนูห์ว่า
๓๗. และโอ้นูห์ จ้าจงสร้างสำเภาขึ้นภายใต้ความคุ้มครองของมลาอิกะห์ของเรา และตามบัญชาของเราเถิด  และเจ้าอย่ามาวิงวอนขอต่อข้าให้ลดการทำลายล้างผู้ซึ่งคิดคดนั้นเลย เพราะแท้จริงพวกกาฟิรเหล่านั้น ถูกให้จมน้ำตายไปหมดในทะเล
๓๘. แล้วเขา(นูห์) ก็จัดการต่อสำเภาขึ้น ตามที่อัลเลาะห์ทรงบัญชาใช้ คราใดที่พรรคพวกของเขา(นูห์) ได้ผ่านไปเห็นเขากำลังแสดงเป็นนายช่างต่อเรือ พวกนั้นก็จะพูดค่อนขอด(นูห์) โอ นี้ นอกจากท่านมีตำแหน่งเป็นพระศาสดาแล้ว ท่านยังเป็นช่างไม้เสียอีกด้วย เขา(นูห์) กล่าวว่า หากพวกท่านค่อนขอดเรา(นูห์)ในกาลภายหน้าเมื่อเราปลอดพ้นการจมน้ำแต่พวกเจ้าจมน้ำตาย เราก็จะค่อนขอดพวกท่านบ้าง เหมือนกับพวกท่านเคยค่อนขอดมาแล้ว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:22 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 39 - 43


คำแปล R1.
39. "And you will know who it is on whom will come a torment that will cover him with disgrace and on whom will fall a lasting torment."
40. (So it was) till then there came our command and the oven gushed forth (water like fountains from the earth). We said: "Embark therein, of each kind two (male and female), and your family, except him against whom the word has already gone forth, and those who believe. And none believed with him, except a few."
41. And he [Nuh (Noah)] said: "Embark therein, in the Name of Allah will be its moving course and its resting anchorage. Surely, my Lord is Oft-Forgiving, Most Merciful." (Tafsir At-Tabari, Vol. 12, Page 43)
42. So it (the ship) sailed with them amidst the waves like mountains, and Nuh (Noah) called out to his son, who had separated himself (apart), "O my son! Embark with us and be not with the disbelievers."
43. The son replied: "I will betake myself to a mountain, it will save me from the water." Nuh (Noah) said: "This day there is no saviour from the decree of Allah except Him on whom He has mercy." and a wave came in between them, so he (the son) was among the drowned.


คำแปล R2.
39. แล้วต่อไปพวกท่านก็จะทราบว่า ใครบ้างที่จะประสบแก่เขาซึ่งการลงโทษอันทำความอัปยศแก่เขา และจะอุบัติแก่เขาซึ่งการลงโทษอันถาวร ?
40. จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเรา(ให้ลงโทษ)ได้มาถึง(ตามกำหนด)และเตาไฟได้มีน้ำพุ่งออกมา(เป็นสัญญาณแสดงถึงมหาอุทกภัย) เรามีบัญชา(แก่นบีนูหฺ)ว่า “เจ้าจงบรรทุกในเรือนั้น จากทุก ๆ คู่ (ตัวเมียตัวผู้) ชนิดละสองตัว และครอบครัวของเจ้าด้วย ยกเว้นผู้ที่ประกาศิตได้ล่วงแก่เขาแล้ว (ว่าต้องได้รับโทษทัณฑ์ เพราะความดื้อดึงของเขา ได้แก่ภรรยาของเขาชื่อวาอิละห์ และบุตรชายของเขาชื่อกันอาน) รวมทั้งผู้ที่ศรัทธา(ในคำประกาศของเขา) และไม่(มีผู้ใด)ศรัทธาร่วมกับเขา นอกจากจพนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น (ประมาณ 80 คน)
41. และเขาได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงโดยสารไปในนั้นเถิด ด้วยพระนามแห่งอัลเลาะฮฺ ทั้งขณะที่มันแล่นหรือจอดอยู่เฉย ๆ ก็ตาม แท้จริงองค์อภิบาลของฉันเป็นผู้ทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
42. และมันก็นำพวกเขาวิ่งไปในคลื่นมหึมาประดุจดังขุนเขา และนูห์ได้ร้องเรียกบุตรชายของเขา ซึ่งเขาอยู่ในความโดดเดี่ยวว่า “โอ้ลูกรัก! จงโดยสารพร้อมกับพวกเราเถิด และเจ้าอย่าอยู่ร่วมกับบรรดาผู้อกตัญญูทั้งหลาย”
43. (ลูกชายของ)เขากล่าวว่า “ฉันจะขึ้นไปอาศัยภูเขา เพื่อป้องกันฉันจากน้ำ(ท่วมครั้งนี้)” เขา(นูหฺ)กล่าวว่า “วันนี้ไม่มีผู้ป้องกัน(ผู้ใดให้รอดพ้นไป)จากคำบัญชาของอัลเลาะฮฺได้หรอก ยกเว้นผู้ที่พระองค์ทรงเมตตาเท่านั้น” และได้มีคลื่นเข้ามาแทรกระหว่างคนทั้งสอง (พัดเอากันอานผู้บุตรพลัดพรากหายไป) ดังนั้น เขาจึงเป็นผู้หนึ่งในจำนวนที่ถูกจมน้ำตาย


คำแปล R3.
39. เพราะในไม่ช้าพวกท่านจะรู้ดีว่าใครที่จะได้รับการลงโทษั้ทำให้พวกเขาต้องอัปยศ และใครที่จะได้รับการลงโทษอันยาวนานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
40. จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มาถึง และอัต-ตันนูรฺ เริ่มพวยพุ่งขึ้นมา แล้วเราได้กล่าวว่า “จงเอาสัตว์ทุกชนิดอย่างละคูขึ้นเรือพร้อมกับคนของเจ้าด้วย ยกเว้นคนที่ได้ถูกพระบัญชากำหนดโทษไว้แล้วและให้เอาบรรดาผู้ศรัทธาขึ้นเรือด้วย” แต่ผู้ศรัทธาที่อยู่กับนูฮฺนั้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
41. นูฮฺได้กล่าวว่า “จงขึ้นมาบนเรือด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ไม่ว่ามันจะแล่นหรือจะจอดก็ตาม แท้จริงพระผู้อภิบาลของฉันเป็นผู้ทรงอภัยและผู้ทรงเมตตาเสมอ”
42. ขณะที่เรือกำลังแล่นพสพวกเขาบนคลื่นใหญ่ดุจดังภูเขาอยู่นั้น นูฮฺก็ได้ร้องเรียกลูกชายของเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปว่า “ลูกเอ๋ย จงขึ้นมาบนเรือลำนี้และจงอย่าอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ปฏิเสธ”
43. แต่ลูกชายของเขาตอบว่า “ฉันจะปีนขึ้นไปบนภูเขาที่จะทำให้ฉันพ้นจากน้ำ” นูฮฺจึงกล่าวว่า “วันนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะคุ้มครองป้องกันใครให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้ เว้นแต่ผู้ที่พระองค์จะให้ความเมตตาเท่านั้น” ในขณะนั้นเอง คลื่นน้ำก็ซัดเข้ามาระหว่างคนทั้งสอง และเขาก็เป็นหนึ่งในหมู่ผู้จมน้ำ


คำแปล R4.
39. แล้วพวกท่านก็จะรู้ว่าผู้ใดที่การลงโทษอันอัปยศจะมายังเขา และการลงโทษอันยั่งยืนจะประสบแก่เขา
40. จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มาและบนพื้นแผ่นดินน้ำได้พวยพุ่งขึ้น เรากล่าวว่า จงบรรทุกไว้ในเรือจากทุกชนิดเป็นคู่ ๆ และครอบครัวของเจ้าด้วย เว้นแต่ผู้ที่พระดำรัสได้กำหนดแก่เขาไว้ก่อน และผู้ศรัทธา แต่ไม่มีผู้ศรัทธาร่วมกับเขานอกจากจำนวนเล็กน้อย
41. และเขากล่าวว่า พวกท่านจงลงในเรือด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ทั้งในยามแล่นของมันและในยามจอดของมัน แท้จริงพระเจ้าของฉันเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
42. และมันแล่นพาพวกเขาไปท่ามกลางคลื่นลูกเท่าภูเขา และนูหฺได้ร้องเรียกลูกชายของเขาซึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว โอ้ลูกของฉันเอ๋ย จงมาโดยสารเรือกับเราเถิด และเจ้าอย่าอยู่ร่วมกับผู้ปฏิเสธศรัทธาเลย
43. เขา (ลูกชาย) กล่าวว่า ฉันจะไปอาศัยภูเขาลูกหนึ่ง มันจะคุ้มครองฉันจากน้ำนี้ได้ เขา(นูหฺ) กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดคุ้มครองในวันนี้จากพระบัญชาของอัลลอฮฺ เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงเมตตา และคลื่นได้ซัดเข้ามาระหว่างเขาทั้งสอง และเขา(ลูกชาย) ได้อยู่ในหมู่ผู้จมน้ำ


คำแปล R5.
๓๙. แล้วต่อไปหลังจากนั้นพวกท่านจะรู้ว่าใครเป็นผู้ได้รับโทษให้เป็นผู้ตกต่ำ และเขาจะถูกต้องโทษอันยาวนาน
๔๐. เสร็จจากการสร้างเรือสำเภาแล้วจนกระทั่งเมื่อคำสั่งของเรา(อัลเลาะห์)ให้ทำลายพวกนั้นมีมา เตาหินสำหรับใช้เผาขนมปังที่นางเฮาวาอ์เคยใช้เผาขนมปังซึ่งขณะนั้นตกทอดมาเป็นของนูห์แล้วก็เดือดพลุ่งเป็นน้ำเดือดจากเตาหินนี้เอง เป็นสัญญาณบอกให้นูห์รู้ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของมหาอุทกภัยและเริ่มการเตรียมโดยสารไปกับเรือสำเภา แล้วเรา(อัลเลาะห์) บอกนูห์ว่า เจ้าจงบรรทุกสัตว์ตัวผู้ตัวเมียแต่ละชนิดคู่หนึ่งลงไว้ในสำเภานั้น นูห์จะใช้มือขวาตบลงที่สัตว์ตัวผู้และมือซ้ายตบลงที่สัตว์ตัวเมีย แล้วก็จัดการเอามันเหล่านั้นบรรทุกในสำเภา สำเภาของนูห์ลำนี้ นูห์ต่อขึ้นด้วยไม้สักกำหนดโดยยาว ๘๐ ศอก และโดยกว้าง ๕๐ ศอก มีส่วนสูง ๓๐ ศอก ปันออกเป็น ๓ ช่อง มีช่องระบายอากาศ ชั้นล่างใช้บรรทุกสัตว์ป่า สัตว์ดุร้ายและสัตว์เลื้อยคลาน ชั้นกลางบรรทุกสัตว์เชื่องเช่น อูฐ เป็นต้น ส่วนชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัยของนูห์กับบรรดาผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิงจำนวน ๘๐ คนและเสบียงอาหาร และเจ้าจงบรรทุกครอบครัวของเจ้า มีภรรยาผู้ศรัทธาของเจ้าและลูก ๆ ผู้ศรัทธาของเจ้าไปด้วย ยกเว้นผู้ที่เป็นภรรยาของเจ้าอีกคนหนึ่ง ชื่อ วาลิอะห์ หรือ วาอิละห์ และบุตรชายของเจ้าชื่อกันอาน โดยทั้งสองนั้นมิใช่ผู้มีศรัทธา ซึ่งถูกปกาศิตโทษอยู่ก่อนแล้วเท่านั้น และจงบรรทุกผู้ที่ศรัทธาไปด้วย แต่หาได้มีผู้ใดศรัทธาร่วมกับเขา(นูห์)ไม่ นอกจากเพียงเล็กน้อยในเกณฑ์แค่ ๘๐ คนเท่านั้น
๔๑. ฝ่ายเขา(นูห์) กล่าวว่า พวกท่านจงลงมาโดยสารในลำเรือด้วยการออกพระนามของอัลเลาะห์ทั้งในยามที่มันแล่นอยู่และลอยลำ แท้จริงองค์พระผู้อภิบาลแห่งฉันทรงยิ่งในการอภัยแก่พวกเรา ทรงปรานียิ่งต่อพวกเรา เนื่องจากพระองค์มิให้พวกเราต้องสูญเสียนูห์กับบรรดาผู้ศรัทธาลงโดยสารในเรือสำเภาเมื่อวันที่ ๑๐ แห่งเดือนร่อยับ ลงจากเรือเมื่อวันที่ ๑๐ เดือนมุฮัรร็อม รวมเวลาอยู่ในเรือ ๖ เดือน
๔๒. สำเภาลำนี้มันจะพาพวกเหล่านั้นฝ่าคลื่นทั้งสูงและใหญ่อย่างภูเขา อัลเลาะห์ได้ทรงบันดาลให้ฝนตกมาเป็นเวลา ๔๐ วัน ๔๐ คืน ส่วนที่แผ่นดินก็มีน้ำพุพุ่งออกมาสมทบกับน้ำฝนเป็นจำนวนครึ่งต่อครึ่ง จนน้ำ ท่วมยอดเขา ๔๐ ศอก และท่วมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ฝ่ายนูห์ได้ร้องเรียกบุตรชายของตนชื่อกันอาน ซึ่งอยู่แต่ลำพัง มิได้โดยสารเรื่อร่วมกับนูห์ผู้บิดาว่า ลูกเอย ลูกรักของพ่อ จงขึ้นมาอยู่บนเรือกับเรา(พ่อ) เสียเถิด อย่าไปอยู่กับพวกกาฟิรเลย
๔๓. เขา(กันอาน) ตอบว่า ฉันจะอาศัยพักพิงอยู่บนภูเขา ซึ่งพอจะช่วยฉันให้พ้นจากน้ำท่วมได้ เขา(นูห์) ตอบโต้ว่า วันนี้ไม่มีผู้ใดหรอก ที่เป็นผู้ช่วยเหลือลูกของพ่อให้รอดพ้นจากการลงทัณฑ์ของอัลเลาะห์ได้ นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงปรานี พระองค์ตรัสว่า แล้วคลื่นก็ซัดแทรกระหว่างเขาทั้งสอง(นูห์กับกันอาน)ให้พลัดพรากกันไป และเขา (กันอาน) จึงเป็นผู้หนึ่งที่จมลงน้ำตายไป

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:22 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 44 - 47


คำแปล R1.
44. And it was said: "O earth! Swallow up your water, and O sky! Withhold (your rain)." and the water was diminished (made to subside) and the decree (of Allah) was fulfilled (i.e. the destruction of the people of Nuh (Noah). and it (the ship) rested on mount Judi, and it was said: "Away with the people who are Zalimun (polytheists and wrong-doing)!"
45. And Nuh (Noah) called upon his Lord and said, "O my Lord! Verily, my son is of my family! And certainly, your Promise is true, and You are the Most just of the judges."
46. He said: "O Nuh (Noah)! Surely, he is not of your family; Verily, his work is unrighteous, so ask not of Me that of which you have no knowledge! I admonish you, lest you be one of the ignorant."
47. Nuh (Noah) said: "O my Lord! I seek refuge with You from asking You that of which I have no knowledge. And unless You forgive me and have Mercy on me, I would indeed be one of the losers."


คำแปล R2.
44. และได้มีกระแสบัญชา(แก่แผ่นดิน)ว่า “โอ้แผ่นดิน! เจ้าจงดูดซึมน้ำของเจ้า(ให้แห้งเถิด) และโอ้ฟ้า! เจ้าจงหยุดหลั่งฝนเถิด” และน้ำก็เหือดแห้งลงและคำบัญชา(ของอัลเลาะฮฺ)ก็เสร็จสิ้น ส่วนเรือนั้นได้จอดค้างอยู่บนภูเขายูดีย์ และมีกระแสบัญชาว่า “ความหายนะจงประสบแก่กลุ่มชนที่ฉ้อฉล”
45. และนูห์ได้วอนขอต่อองค์อภิบาลของเขาโดยกล่าวว่า “โอ้ องค์อภิบาล! แท้จริงบุตรชายของข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งในครอบครัวของข้าพเจ้า(ซึ่งพระองค์สัญญาว่าจะให้ความปลอดภัย) และแท้จริงสัญญาของพระองค์ย่อมสัตย์จริงเสมอ และพระองค์ทรงเที่ยงธรรมยิ่ง แห่งบรรดาผู้ตัดสินทั้งหลาย
46. พระองค์ทรงดำรัสว่า “โอ้นูห์! แท้จริงเขานั้นหาใช่เป็นผู้กนึ่งจากครอบครัวของเจ้าไม่ เพราะว่าเขาเป็นผู้ปฏิบัติสิ่งที่ไม่ดีงาม ดังนั้นเจ้าจงอย่าขอต่อข้าในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ แท้จริงข้าเตือนเจ้า(ให้ระวังตัว)ว่า เจ้าจะเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้โง่เขลา
47. เขากล่าว(ต่อไป)ว่า “โอ้องค์อภิบาล! แท้จริงข้าพเจ้าขอความคุ้มครองต่อพระองค์แก่การที่ข้าพเจ้าจะขอพระองค์ในสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่รู้ และหากพระองค์ไม่ให้อภัยแก่ข้าพเจ้า และไม่เมตตาแก่ข้าพเจ้าแล้วไซร้ แน่นอนที่สุด ข้าพเจ้าย่อมเป็นผู้หนึ่งจากพวกที่ขาดทุน


คำแปล R3.
44. และได้มีบัญชาลงมาว่า แผ่นดินเอ๋ยจงกลืนน้ำของเจ้าและฟ้าเอ๋ยจงหยุดหลั่งน้ำฝนเสีย” ดังนั้น น้ำจึงได้ซึมหายไปในแผ่นดิน คำบัญชาของพระองค์ได่เสร็จสิ้นแล้ว และเรือก็ได้จอดอยู่บนภูเขาญูดีย์ และได้มีการประกาศว่า “ผู้ก่อความอธรรมได้ถูกขจัดออกไปหมดแล้ว”
45. นูฮฺได้ร้องเรียนต่อพระผู้อภิบาลของเขาโดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ลูกชายของฉันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของฉัน และสัญญาของพระองค์นั้นเป็นความจริง และพระองค์ทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในบนรรดาผู้ปกครองทั้งหมด”
46. พระองค์ได้ทรงกล่าวตอบว่า “นูฮฺเอ๋ย แท้จริง เขามิได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเจ้า ความจริงแล้วเขาเป็นการงานที่ไม่ดี ดังนั้น จงอย่าขอสิ่งใดจากฉันในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ ฉันขอตักเตือนเจ้าว่าอย่าได้ปฏิบัติตนเหมือนพวกคนโง่เขลา
47. นูฮฺได้กล่าวว่า ฎพระผู้อภิบาลของฉัน ฉันขอความคุ้มครองต่อพระองค์หากฉันได้ขอพระองค์ไปในสิ่งที่ฉันไม่มีความรู้ เพราะหากพระองค์มิทรงให้อภัยและทรงเมตตาฉัน ฉันก็คงจะได้รับความวิบัติอย่างแน่นอน”


คำแปล R4.
44. และได้มีเสียงกล่าวว่า แผ่นดินเอ๋ย จงกลืนน้ำของเจ้า และฟ้าเอ๋ย จงหยุด และน้ำได้ลดลงและกิจการได้ถูกตัดสิน และมันได้จอดเทียบอยู่ที่ภูเขาญดียฺ และได้มีเสียงกล่าวว่า ความหมายนะจงประสบแก่หมู่ชนผู้อธรรมเถิด
45. และนูหฺได้ร้องเรียนต่อพระเจ้าของเขาโดยกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของพระองค์แท้จริงลูกชายของข้าพระองค์เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของข้าพระองค์ และแท้จริงสัญญาของพระองค์นั้นเป็นความจริง และพระองค์ท่านนั้นทรงตัดสินเที่ยงธรรมยิ่ง ในหมู่ผู้ตัดสินทั้งหลาย
46. พระองค์ทรงตรัสว่า โอ้นูหฺเอ๋ย แท้จริงเขามิได้เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของเจ้า แท้จริงการกระทำของเขาไม่ดี ดังนั้นเจ้าอย่าร้องเรียนต่อข้าในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ แท้จริงข้าขอเตือนเจ้าที่เจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้งมงาย
47. เขากล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ท่าน ให้พ้นจากการร้องเรียนต่อพระองค์ท่านในสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น และหากพระองค์ไม่ทรงอภัยแก่ข้าพระองค์ และไม่ทรงเมตตาข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็จะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน


คำแปล R5.
๔๔.แล้วพลานุภาพของอัลเลาะห์ยังผลทำให้น้ำลดลงได้ ประหนึ่งแผ่นดินได้รับบัญชาว่า โอ้แผ่นดินจงสูบน้ำของเจ้าให้ยุบลงไปเสียให้หมด นอกจากน้ำฝนเท่านั้นที่ให้มันไหลลงไปสู่แม่น้ำและท้องทะเล และโอ้ฟากฟ้าจงหยุดหลั่งน้ำฝนของเจ้าเสียเถิด แล้วน้ำที่หน้าแผ่นดินก็เหือดแห้งไป พระบัญชาเรื่องการทำลายล้างประชากรของนูห์จึงเสร็จสิ้นลงและสำเภาก็จอดเกยอยู่บนภูเขายูดีย์ มีกระแสความเล่าว่านูห์ขึ้นโดยสารไปกับสำเภาเมื่อวันที่ ๑๐ แห่งเดือนร่อยับและเรือพานูห์และคณะแล่นฝ่าผืนน้ำไปเป็นเวลานานถึง ๖ เดือน เรือได้แล่นผ่านไปยังไบตุลเลาะห์ ๗ รอบ ครั้นเมื่อน้ำยุบแห้ง นูห์กับคณะลงจากเรือ พอดีตรงกับวันที่ ๑๐ เดือนมุฮัรร็อม (เดือนที่ ๑ ของเดือนอาหรับ) นูหืถือศีลอดในวันนั้น ทั้งยังสั่งใช้ให้คณะของตนถือศีลอดด้วย และโดยพลานุภาพของอัลเลาะห์กระทำให้ปวงชนผู้ไร้ศรัทธาของนูห์ถูกทำลายลงได้ ประหนึ่งได้รับบัญชาว่า หายนะพึงมีขึ้นแก่คนกาฟิร
๔๕. นูห์ร้องเรียกองค์พระผู้อภิบาลแห่งเขาว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ แท้จริงกันอานบุตรชายของข้าพระองค์ก็เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของข้าพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้แก่ข้าพระองค์ว่า บุคคลในครอบครัวของข้าพระองค์ย่อมปลอดภัย และข้อสัญญาของพระองค์นั้นย่อมสัจจริง จะผิดผินเป็นอื่นมิได้ ส่วนพระองค์นั้นเล่าทรงรู้ยิ่งและทรงยุติธรรมยิ่งกว่าบรรดาผู้ตัดสินทั้งหลาย
๔๖. พระองค์ตรัสว่า โอ้นูห์ ความจริงเขา(กันอาน) หาได้เป็นคนหนึ่งจากครอบครัวของเจ้าที่จะรอดพ้นจากความหายนะหรือผู้ร่วมศาสนาเดียวกันกับเจ้าไม่ แท้จริงการร้องขอความปลอดภัยจากข้าให้ลูกของเจ้าปลอดพ้นจากความหายนะ เช่นนั้นเป็นการปฏิบัติอันมิชอบ ก็กันอานลูกของเจ้านั้นเป็นกาฟิร ผู้เป็นกาฟิรจึงรอดพ้นจากความหายนะไปไม่ได้ ฉะนั้นเจ้าอย่าได้ร้องขอความคุ้มครองให้ลูกของเจ้าพ้นจากความวิบัติจากข้า ในสิ่งที่เจ้าไม่รู้อะไรเลย ข้าจะเตือนเจ้าไว้ด้วยว่าเจ้าจะเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้โง่เขลาที่ขอร้องในสิ่งที่เจ้าไม่รู้
๔๗. เขา(นูห์) กล่าวขึ้นว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ด้วยเถิด ที่ข้าพระองค์ได้ขอร้องต่อพระองค์ในข้อที่ข้าพระองค์ไม่รู้และหากพระองค์ไม่โปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ในเรื่องที่ข้าพระองค์สะเพร่าไปแล้ว และพระองค์มิได้โปรดปรานีต่อข้าพระองค์แล้วไซร้ ข้าพระองค์ย่อมเป็นผู้หนึ่งในพวกที่ขาดทุนแน่นอนทีเดียว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:22 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 48 - 49


คำแปล R1.
48. It was said: "O Nuh (Noah)! Come down (from the ship) with peace from us and blessings on you and on the people who are with you (and on some of their off spring), but (there will be other) people to whom we shall grant their pleasures (for a time), but In the end a painful torment will reach them from us."
49. This is of the news of the unseen which we reveal unto you (O Muhammad), neither you nor your people knew them before this. So be patient. Surely, the (good) end is for the Muttaqun (pious - see V.2:2)


คำแปล R2.
48. มีกระแสดำรัสว่า “โอ้นูห์! เจ้าจงลง(จากเรือ)เถิด โดยสันติสุขจากเราและด้วยความสิริมงคลแก่เจ้า และแก่บรรดาประชาชาติจากผู้อยู่ร่วมกับเจ้าทั้งมวล และมีบรรดาปวงชนที่เราจะให้ความภิรมย์แก่พวกเขา(เพียงชั่วคราวในโลกนี้) หลังจากนั้นจะมีการลงโทษอันทรมานยิ่งจากเรา สัมผัสพวกเขา(ในโลกหน้า)
49.  (บรรดาโองการ)เหล่านั้น เป็นส่วนหนึ่งแห่งเรื่องราวอันเร้นลับ ซึ่งเราดลให้เจ้าได้รับรู้ ทั้ง ๆ ที่เจ้าและกลุ่มชนของเจ้าไม่เคยรู้มาก่อนจาก(ที่มีอัลกุรอาน)นี้ ดังนั้นเจ้าจงอทนเถิด แท้จริงจุดจบที่ดีย่อมเป็นของพวกยำเกรงเสมอ


คำแปล R3.
48. ได้มีการกล่าวว่า “นูฮฺเอ๋ยจงลงมา ความสันติและความจำเริญจากเราจงมีแก่เจ้าและแก่ผู้คนที่อยู่กับเจ้า แต่ยังมีหมู่ชนอื่นที่เราจะประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาชั่วระยะหนึ่งแล้วการลงโทษอันเจ็บปวดของเราก็จะมาเยือนพวกเขา”
49. (โอ้ มุฮัมมัด) นี่เป็นข่าวแห่งความเร้นลับบางอย่างที่เรากำลังวะฮีย์แก่เจ้า เจ้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน และหมู่ชนของเจ้าก็เช่นกัน ดังนั้น จงอดทน เพราะในที่สุดแล้ว ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าจะประสบความสำเร็จ


คำแปล R4.
48. ได้มีเสียงกล่าวว่า โอ้นูหฺเอ๋ย จงลงไป (จากเรือ) ด้วยความศานติจากเรา และความจำเริญแก่เจ้า และแก่กลุ่มชนที่อยู่กับเจ้า และกลุ่มชนอื่นที่เราจะให้พวกเขาหลงระเริง แล้วการลงโทษอย่างเจ็บปวดจากเราก็จะประสบแก่พวกเขา
49. เหล่านั้นคือส่วนหนึ่งจากเรื่องราวอันเร้นลับที่เราได้วะฮียฺมายังเจ้า(มุฮัมมัด) เจ้าไม่รู้เรื่องนี้และกลุ่มชนของเจ้าก็ไม่รู้มาก่อนเลย ดังนั้นเจ้าจงอดทนแท้จริงบั้นปลายที่ดีนั้นสำหรับบรรดาผู้ยำเกรง


คำแปล R5.
๔๘. พลานุภาพของอัลเลาะห์เตือนให้นูห์กับคณะของเขาลงจากสำเภาเมื่อน้ำยุบแห้งแล้วประหนึ่งได้รับบัญชาว่า โอ้นูห์ เจ้ากับคณะจงลงไปจากลำสำเภาของเจ้าโดยสันติสุขอันมีมาจากเรา(อัลเลาะห์) และโดยเป็นสิริมงคลแก่เจ้าและปวงชนผู้มีศรัทธาร่วมกับเจ้า ส่วนปวงชนซึ่งเป็นอนุชนกาฟิรอีกกลุ่มหนึ่ง เรา(อัลเลาะห์) จะให้เขาได้รับความเบิกบานอยู่ในภาคพิภพไปก่อน ครั้นแล้วก็จะมีโทษอันเจ็บแสบจากเรามาประสบกับพวกเขาในภาคปรภพ(อาคิเราะห์)
๔๙. โองการต่าง ๆ เหล่านั้นที่กล่าวครอบคลุมถึงประวัติของพระศาสดานูห์ เป็นส่วนหนึ่งแห่งเรื่องราวอันลี้ลับสำหรับเจ้าซึ่งเราได้สื่อกระแสความนั้นมายังเจ้า โอ้มุฮำมัด ทั้งเจ้าและประชากรของเจ้ามิเคยได้รู้รายละเอียดแห่งประวัตินั้นกันมาก่อนจากมีพระคัมภีร์อัล-กุรฺอานนี้เลย ฉะนั้นเจ้าจงอดทนต่อการประกาศเผยแพร่ศาสนาให้รู้กันโดยทั่วถึงและอดทนต่อความเดือดร้อน อันเจ้าได้รับจากปวงชนของเจ้าเถิด เหมือนกับที่นูห์เองเคยอดทนต่อการทั้งสองนี้มาแล้ว เพราะแท้จริงผลในบั้นสุดท้ายที่ได้รับคำชมเชยเพราะความมีชัยในสงคราม ณ ภาคภพนี้ และที่ได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ในภาคปรภพ(อาคิเราะห์) ย่อมได้แก่ผู้ยำเกรง หวั่นต่อการถือภาคีและทรยศ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:23 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ 50 - 52


คำแปล R1.
50. And to 'Ad (people we sent) their brother Hud. He said, "O my people! Worship Allah! You have no other Ilah (God) but Him. Certainly, you do nothing but invent (lies)!
51. "O my people I ask of you no reward for it (the Message). My reward is only from him, who created me. Will you not then understand?
52. "And O my people! Ask forgiveness of your Lord and then repent to Him, He will send you (from the sky) abundant rain, and add strength to your strength, so do not turn away as Mujrimun (criminals, disbelievers In the Oneness of Allah)."


คำแปล R2.
50. และ(เราได้ส่ง)มายัง(ชนชนติ)อ๊าดซึ่งพี่น้องของพวกเขาเองคือ ฮู๊ด(ให้เป็นผู้ประกาศสัจธรรมแห่งเรา) เขาประกาศว่า “โอ้กลุ่มชนของฉัน! ท่านทั้งหลายจงนมัสการอัลเลาะฮฺเถิด พวกท่านหามีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ไม่ พวกท่านมิใช่อื่นใดเลยนอกจากเป็นพวกกุความเท็จขึ้น(คือสร้างรูปเคารพขึ้นมากราบไหว้บูชาอย่างไร้สาระ)
51. โอ้กลุ่มชนของฉัน! ฉันมิได้ขอค่าจ้างใด ๆ จากพวกท่านเนื่องในการ(ประกาศศาสนาของฉัน)นั้นเลย ฉันไม่ได้รับค่าจ้างจากผู้ใดทั้งสิ้น)นอกจากเป็นหน้าที่แห่ง(อัลเลาะฮฺ)พระผู้ทรงสร้างฉันขึ้นมา(สุดแต่พระองค์จะทรงพิจารณา) แล้วพวกท่านไม่ใช้ปัญญาตรองดูหรือ
52. และโอ้กลุ่มชนของฉัน พวกท่านจงขออภัยโทษต่อองค์อภิบาลของพวกท่านเถิด แล้วพวกท่านจงสารภาพผิดต่อพระองค์ แน่นอนพระองค์จะทรงหลั่งฝนจากฟากฟ้าลงมาแก่พวกท่านอย่างมากมาย(เป็นการช่วยเหลือพวกท่านเนื่องเพราะความแห้งแล้งติดต่อกันหลายปี) และพระองค์จะทรงเพิ่มพูนแก่พวกท่าน ซึ่งพลังเสริมทวียังพลังของพวกท่าน และพวกท่านอย่าหวนกลับไปเป็นคนบาปอีกเลย


คำแปล R3.
50. และยังหมู่ชนชาวอ๊าด เราได้ส่งฮูด พี่น้องคนหนึ่งของพวกเขามา เขาได้กล่าวว่า “หมู่ชนของฉันเอ๋ย จงเคารพภักดีอัลลอฮฺ พวกท่านไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ มันมิใช่อื่นใดนอกจากความเท็จที่พวกท่านกุขึ้นมาเท่านั้น
51. หมู่ชนของฉันเอ๋ย ฉันมิได้เรียกร้องรางวัลตอบแทนใด ๆ สำหรับงานนี้ รางวัลตอบแทนของฉันนั้นอยู่ที่พระองค์ผู้ทรงสร้างฉันขึ้นมา พวกท่านไม่ใช้สามัญสำนึกบ้างหรือ?
52. หมู่ชนของฉันเอ๋ย จงขอการอภัยจากพระผู้อภิบาลของพวกท่านและจงหันไปหาพระองค์ในการสำนึกผิด และพระองค์จะทรงเปิดประตูแห่งชั้นฟ้าให้แก่พวกท่าน และจะทรงเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พวกท่านยิ่งขึ้น และจงอย่าหันไปเป็นผู้กระทำผิด”


คำแปล R4.
50. และยังอ๊าด (เราได้ส่ง) พี่น้องคนหนึ่งของพวกเขาคือฮูด เขากล่าวว่า โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย พวกท่านจงเคารพอิบาดะฮฺอัลลอฮฺเถิด พวกท่านไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ พวกท่านมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นพวกอุปโลกน์เท่านั้น
51. โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย ฉันมิได้ขอร้องต่อพวกท่านซึ่งรางวัลในการนี้เลย รางวัลของฉันนั้นอยู่กับพระผู้ให้บังเกิดฉัน พวกท่านไม่ใช้ปัญญาหรือ?
52. และโอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย จงขออภัยโทษต่อพระเจ้าของพวกท่าน แล้วจงกลับเนื้อกลับตัวต่อพระองค์ พระองค์จะส่งเมฆ (น้ำฝน) มาเหนือพวกท่าน ให้หลั่งน้ำฝนลงมาอย่างหนัก และจะทรงเพิ่มพลังเป็นทวีคุณให้แก่พวกท่าน และพวกท่าน และพวกท่านอย่าผินหลังโดยเป็นผู้กระทำผิด


คำแปล R5.
๕๐.  และฝ่ายอ๊าดนั้นมีฮู๊ดผู้เป็นญาติของเขา(อ๊าด)ถูกเราแต่งตั้งเป็นศาสนทูต มาถึง(ฮู๊ด) บอกว่า โอ้ประชากรของฉัน พวกท่านจงเคารพบูชาอัลเลาะห์พระองค์เดียว  หามีพระเจ้าอื่นใดสำหรับพวกท่านไม่ นอกจากพระองค์ การที่ พวกท่านแสดงความเคารพบูชาเหล่าเทวรูปนั้น หาใช่อื่นใดไม่นอกจากเป้นผู้ป้ายเท็จไปยังอัลเลาะห์ เท่านั้น
๕๑.  โอ้ประชากรของฉัน ฉันไม่ได้เรียกร้องเอาสินจ้างจากพวกท่านในการประกาศเอกภาพของอัลเลาะห์ดังกล่าว นั้นเลย ค่าสินจ้างของฉันหามีอื่นใดไม่ นอกจากเพื่อ อัลเลาะห์ องค์ผู้สร้างฉันขึ้นมา ก็แล้วพวกท่านไม่เข้าใจดอกหรือ ?
๕๒.  และโอ้ประชากรของฉัน พวกท่านจงขอประทานอภัยโทษต่อพระผู้อภิบาลของพวกท่านในประการซึ่งพวกท่านถือภาคี(ชิรก์) ครั้นแล้วพวกท่านก็จงคืนกลับไปยังพระองค์โดยประพฤติปฏิบัติตนตามที่พระองค์ทรงใช้ และงดการที่ทรงห้าม  พระองค์ทรงหลั่งฝนลงจากฟากฟ้าสู่พวกท่าน อยู่เนือง ๆ ซึ่งพวกท่านเคยอัตคัดขาดแคลนกันมา  ทั้งพระองค์จะทรงเพิ่มพูนพลังให้พวกท่าน ทั้งพลังทางร่างกาย ทางทรัพย์ และบุตรหลานก็เพิ่มมากขึ้นแก่พวกท่าน อีกด้วย แล้วพวกท่านก็อย่าได้หวนกลับจากศรัทธาต่อพระองค์ ไปเป็นพวกถือภาคีเลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:24 AM โดย Bangmud »

 

GoogleTagged