ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบายตอนที่ 24 อันนูรฺ  (อ่าน 5746 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อันนูรฺ (النور  -  แสงสว่างหรือรัศมี) R4.

เป็นสูเราะฮฺ มะดะนียะฮฺ มี 64 อายะฮฺ

ความหมายโดยสรุปของซูเราะฮฺ อันนูรฺ
     ซูเราะฮฺอันนูร เป็นซูเราะฮฺมะดะนียะฮฺ ที่กล่าวถึงกฎข้อบังคับหรือระเบียบต่าง ๆ ที่มีความหมายทางด้านนิติบัญญัติ การชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องทางด้านมารยาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสนใจเกี่ยวกับปัญหาโดยทั่วไปและโดยเฉพาะ ซึ่งสมควรแก่บรรดามุสลิมจะต้องได้รับการอบรมเป็นรายตัวและเป็นหมู่คณะ ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงบัญญัติต่าง ๆ ที่สำคัญและข้อชี้แนะโดยทั่วไปที่เกี่ยวกับครอบครัว ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการเสริมสร้างสังคมที่ยิ่งใหญ่
   ซูเราะฮฺนี้ได้อธิบายถึงมารยาทของสังคม ซึ่งจำเป็นแก่บรรดามุอ์มินจะต้องยึดมั่น เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตส่วนตัวและโดยทั่วไป เช่น การขออนุญาตก่อนจะเข้าบ้านผู้อื่น การลดสายตาลง การรักษาอวัยวะเพศ ข้อห้ามในการเข้าสังคมปะปนกันระหว่างชายกับหญิงแปลกหน้า ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาครอบครัวมุสลิมและบ้านมุสลิมให้อยู่ในสภาพที่บริสุทธิ์และปกปิด และปฏิบัติตามบทบัญญัติของอัลลอฮฺอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ถูกล่วงเกิน มิให้เกิดความระส่ำระสายภายในครอบครัว ตลอดจนความเสื่อมโทรมทางมารยาท อันจะนำมาซึ่งการบ่อนทำลายประชาชาติในขั้นสุดท้าย
     ในซูเราะฮฺนี้กล่าวถึงบทลงโทษทางศาสนาบางประการ เช่น บทลงโทษของการลอบร่วมประเวณี บทลงโทษของการสบประมาทหรือการใส่ร้าย และบทลงโทษของการสาปแช่ง บทลงโทษต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถูกบัญญัติขึ้น ก็เพื่อจรรโลงสังคมให้บริสุทธิ์จากความเสื่อมโทรม ความไม่เป็นระเบียบ ความสับสนแห่งการสืบตระกูลและความเสื่อมโทรมทางมารยาท ในเวลาเดียวกันก็เพื่อที่จะรักษาประชาชาติทั้งมวลให้พ้นจากความปั่นป่วน ซึ่งเป็นจุดรวมแห่งความเสื่อมโทรม และการเรียกร้องอิสรภาพโดยปราศจากขอบเขต ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งการสูญสิ้นวงศ์ตระกูล และสูญเสียเกียรติยศและศักดิ์ศรี
     โดยสรุปแล้ว ในซูเราะฮฺนี้ได้แก้ปัญหาสำคัญหนึ่งของสังคม นั่นก็คือปัญหาครอบครัวและสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตราย ตลอดจนสิ่งกีดขวางทางและปัญหาต่าง ๆ ที่จะไปสู่ความเสื่อมโทรมและความหายนะในที่สุด นอกจากนี้ในซูเราะฮฺยังประมวลไว้ด้วยการมีมารยาทอันสูงส่ง ข้อแนะนำที่มีคุณค่าสูง ตลอดจนหลักการแห่งการดำรงชีวิตที่ดีเด่น เพราะความสำคัญและความประเสริฐของซูเราะฮฺนี้ ท่านอุมัรฺ อิบนุ อัลค็อฏฏอบ ค่อลีฟะฮฺคนที่สอง จึงได้มีสาสน์ถึงชาวเมืองกูฟะฮฺในประเทศอิรักกล่าวว่าพวกท่านจงอบรมสั่งสอนบรรดาสตรีของพวกท่านด้วยซูเราะฮฺอันนูร
ชื่อของซูเราะฮฺ
     ซูเราะฮฺนี้มีชื่อว่า ซูเราะฮฺอันนูร เพราะในซูเราะฮฺนี้มีรัศมีแห่งดวงประทีปของอัลลอฮฺ ทั้งนี้ด้วยการตราบัญญัติต่าง ๆ เกี่ยวกับข้อบังคับและระเบียบปฏิบัติทางด้านมารยาท ตลอดจนความดีงามของมนุษย์ ซึ่งนับได้ว่า เป็นบ่อเกิดแห่งดวงประทีปของอัลลออฮฺที่มีต่อปวงบ่าวของพระองค์ และเป็นความเมตตาปรานีอย่างเปี่ยมล้นของพระองค์ อัลลอฮฺทรงเป็นดวงประทีปแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
     ขอพระองค์ทรงประทานแสงสว่างแก่ดวงใจของเรา ด้วยดวงประทีปแห่งคัมภีร์ของพระองค์ท่านด้วยเทอญ โอ้พระเจ้าแห่งสากลโลก


----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)

--------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
+1
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 1



คำแปล R1.
1. (This is) a Surah (chapter of the Qur'an) which we have sent down and which we have enjoined, (ordained its legal laws) and in it we have revealed manifest Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations lawful and unlawful things, and set boundaries of Islamic Religion), that you may remember.

คำแปล R2.
1. นี้เป็นบทหนึ่ง(แห่งโองการ)ที่เราได้ลงมันและเราได้บัญญัติมันไว้ และเราได้ลงโองการต่าง ๆ อันชัดแจ้งไว้ในบทนั้น เพื่อพวกเจ้าจะได้สำนึก

คำแปล R3.
1. นี่คือซูเราะฮฺหนึ่งที่เราได้ส่งลงมาและเราได้ทำให้เป็นข้อบังคับ และเราได้ส่งคำบัญชาอันชัดเจนมาในนั้นเพื่อที่สูเจ้าจะได้คิด

คำแปล R4.
1. นี่คือซูเราะฮ์หนึ่งที่เราได้ประทานมันลงมา และเราได้กำหนดเป็นข้อบังคับสิ่งที่มีอยู่ในมันและเราได้ประทานโองการต่าง ๆ ที่มีอยู่ในนั้นให้เป็นบทบัญญัติอันชัดแจ้ง เพื่อพวกเจ้าจักได้รำลึกใคร่ครวญ

คำแปล R5.
๑. นี้คือบทหนึ่งแห่งโองการซึ่งเราได้ประทานแก่ศาสนทูตและเราได้บัญญัติมันเป็นกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ไว้โดยครบถ้วนทุกแง่ทุกมุม เพื่อควบคุมความประพฤติของมวลมนุษยชาติทั้งหลาย และเราได้ประทานไว้ในนั้นซึ่งโองการต่าง ๆ อันเป็นสิ่งชี้ชัดถึงข้อกำหนดใช้และห้าม ตลอดจนการพิสูจน์ถึงเอกภาพของเราเอง เพื่อพวกเจ้าทั้งหลายจักได้สำนึกในคำเตือน ไม่ล่วงละเมิดต่อบทบัญญัติต่าง ๆ ที่ได้บัญญัติไว้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:33 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
+2
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 2 - 3


คำแปล R1.
2. The woman and the man guilty of illegal sexual intercourse, flog each of them with a hundred stripes. Let not pity withhold you in their case, in a punishment prescribed by Allah, if you believe in Allah and the Last Day. And let a party of the believers witness their punishment. (This punishment is for unmarried persons guilty of the above crime but if married persons commit it, the punishment is to stone them to death, according to Allah's law).
3. The adulterer marries not but an adulteress or a Mushrikah and the adulteress none marries her except an adulterer or a Muskrik [and that means that the man who agrees to marry (have a sexual relation with) a Mushrikah (female polytheist, pagan or idolatress) or a prostitute, then surely he is either an adulterer, or a Mushrik (polytheist, pagan or idolater, etc.) and the woman who agrees to marry (have a sexual relation with) a Mushrik (polytheist, pagan or idolater) or an adulterer, then she is either a prostitute or a Mushrikah (female polytheist, pagan, or idolatress, etc.)]. Such a thing is forbidden to the believers (of Islamic Monotheism).


คำแปล R2.
2. ผู้ผิดประเวณีหญิงก็ดี และผู้ผิดประเวณีชายก้ดี พวกเจ้าจงโบยแต่ละคนจากทั้งสองนั้นถึง 100 ครั้ง และเจ้าอย่าปล่อยให้ความสงสารแก่คนทั้งสองเข้ามาครอบงำ(ความรู้สึกของ)พวกเจ้า ใน(การดำเนินตามแนวทาง)ศาสนาของอัลเลาะฮฺ หากแม้นพวกเจ้าศรัทธาในอัลเลาะฮิและวันสุดท้าย และจงมีกลุ่มหนึ่งจากมวลศรัทธาชนมาเป็นสักขีพยานในการลงโทษคนทั้งสองเถิด
3. ชายผู้ผิดประเวณีย่อมไม่สมรสนอกจากกับหญิงที่ผิดประเวณี(เหมือน ๆ กัน)หรือกับหญิงผู้ตั้งภาคี และหญิงผู้ผิดประเวณี ก็จะไม่สมรสนอกจากชายผู้ผิดประเวณี(เหมือน ๆ กัน)หรือชายตั้งภาคี และสิ่งนั้นถูกห้ามไว้แล้วแก่บรรดาศรัทธาชนทั้งมวล


คำแปล R3.
2. หญิงและชายที่ทำชู้นั้น จงเฆี่ยนคนทั้งสองนั้นคนละ 100 ที และอย่าให้ความสงสารคนทั้งสองนั้นยับยั้งสูเจ้าในเรื่องที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้ ถ้าหากสูเจ้าศรัทธาในอัลลอฮิและวันสุดท้ายและจงให้มีผู้ศรัทธาบางคนเป็นพยานการลงโทษคนทั้งสองนั้น
3. ชายผู้ทำชู้(หรือผิดประเวณี)จะไม่แต่งงานกับผู้ใดนอกจากหญิงผู้ทำชู้หรือหญิงมุชริก และหญิงผู้ทำชู้นั้นก็ไม่มีใครแต่งงานกับนางนอกจากชายผู้ทำชู้หรือชายมุชริก การแต่งงานเช่นนั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาที่แท้จริง


คำแปล R4.
2. หญิงมีชู้และชายมีชู้ พวกเจ้าจงโบยแต่ละคนในสองคนนั้นคนละหนึ่งร้อยที และอย่าให้ความสงสารยับยั้งการกระทำของพวกเจ้าต่อคนทั้งสองนั้น ในบัญญัติของอัลลอฮฺเป็นอันขาด หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และจงให้กลุ่มหนึ่งของบรรดาผู้ศรัทธาเป็นพยานในการลงโทษเขาทั้งสอง
3. ชายมีชู้จะไม่สมรสกับใคร นอกจากกับหญิงมีชู้หรือหญิงมุชริกะฮ์ และหญิงมีชู้จะไม่มีใครสมรสกับเธอ นอกจากกับชายมีชู้หรือชายมุชริกและ (การมีชู้) เช่นนั้นเป็นที่ต้องห้ามแก่บรรดาผู้ศรัทธา


คำแปล R5.
๒. อันหญิงหรือชายที่ล่วงประเวณีต่อกันโดยไม่ได้สมรสอย่างถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งศาสนา และคนทั้งสองเป็นโสดยังไม่เคยผ่านการสมรสกับผู้ใดมาก่อน ดังนั้นเจ้าทั้งหลายโบยแต่ละคนจากทั้งสองนั้นจำนวนหนึ่งร้อยครั้งและให้เนรเทศออกไปจากบ้านเมือง 1 ปี หากทั้งสองเป็นเสรีชน แต่ถ้าเป็นทาสให้ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงเหลือการโบยเพียงคนละห้าสิบครั้ง และเนรเทศคนละครึ่งปี และเจ้าทั้งหลายอย่าได้เวทนาต่อผู้กระทำผิดทั้งสองในการตัดสินของอัลเลาะห์โดยลดหย่อนโทษหรือยกโทษด้วยพลการ เมื่อกำหนดโทษนั้นเป็นการตัดสินชี้ขาดของอัลเลาะห์ เจ้าทั้งหลายก็จะต้องรับมาปฏิบัติอย่างครบถ้วนอย่างเคร่งครัดแม้นเจ้าทั้งหลายศรัทธาในอัลเลาะห์และวันปรภพก็ต้องปฏิบัติการลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดดังกล่าวอย่างเด็ดขาดตามคำสั่งนี้ทุกประการและจะต้องให้ชนผู้มีศรัทธากลุ่มหนึ่งที่เป็นชายมีจำนวนติ้งแต่สี่คนขึ้นไป ได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการลงโทษคนทั้งสองด้วย ดดยให้จัดการลงโทษคนทั้งสองในสถานที่สาธารณะ ต่อหน้าผู้คนจำนวนดังกล่าว เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นที่จะคิดกระทำผิดต่อไปจะได้หลาบจำ
๓. ชายล่วงประเวณีย่อมไม่คู่ควรที่จะสมรสกับหญิงใดนอกจากกับหญิงที่ล่วงประเวณีเหมือนกันหรือมิฉะนั้นก็ให้สมรสกับหญิงมุชริกผู้นับถือสิ่งอื่นเทียมพระเจ้าเคียงอัลเลาะห์ เมื่อนางเปลี่ยนมาศรัทธาในอิสลามโดยแท้จริง และหญิงผู้ล่วงประเวณีก็ไม่คู่ควรที่จะสมรสกับชายใดทั้งสิ้นนอกจากสมรสกับชายผู้ล่วงประเวณีเหมือน ๆ กัน หรือมิฉะนั้นก็ให้สมรสกับชายมุชริกผู้นับถือสิ่งอื่น ๆ เป็นพระเจ้า กราบไหว้เคียงอัลเลาะห์ เมื่อเขาหันมานับถืออิสลามและบุคคลดังกล่าวนั้นเป็นที่ต้องห้ามแก่บรรดาศรัทธาชนทั้งหลายที่จะสมรสกับเขา เนื่องเพราะบุคคลผู้ประพฤติตนเช่นนั้นเป็นประจำ ถือเป็นบุคคลผู้ไร้เกียรติและไร้ศักดิ์ศรี ดังนั้นจึงไม่คู่ควรสำหรับผู้มีศรัทธาซึ่งมีเกียรติและศักดิ์ศรีอันสูงส่งจะพึงสมรสกับเขา หากบุคคลดังกล่าวจะสมรสก็ให้สมรสกับผู้ประพฤติตนเหมือนกันเพื่อความเหมาะสมและคู่ควร

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:34 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 4 -7


คำแปล R1.
4. And those who accuse chaste women, and produce not four witnesses, flog them with eighty stripes, and reject their testimony forever; they indeed are the Fasiqun (liars, rebellious, disobedient to Allah).
5. Except those who repent thereafter and do righteous deeds, (for such) verily, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.
6. And for those who accuse their wives, but have no witnesses except themselves, let the testimony of one of them be four testimonies (i.e. testifies four times) by Allah that he is one of those who speak the truth.
7. And the fifth (testimony) (should be) the invoking of the Curse of Allah on him if he be of those who tell a lie (against her).


คำแปล R2.
4. และบรรดาผู้ใส่ร้ายหญิงที่สงวนตัว(ว่าทำการผิดประเวณี)หลังจากนั้นพวกเขาไม่(สามารถ)นำพยานมา(ยืนยัน)ถึงสี่คนได้ ดังนั้นพวกเจ้าจงโบยพวกนั้นเถิดแปดสิบครั้ง และพวกเจ้าอย่ารับรองการเป็นพยานของพวกเขาไปจนตลอดและพวกเหล่านั้นเป็นพวกที่ฝ่าฝืนโดยแท้จริง
5. ยกเว้นบรรดาผู้สารภาพโทษภายหลังจากนั้น และพวกเขาได้ประพฤติตัวดี แน่นอนที่สุด อัลเลาะฮฺทรงให้อภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง
6. และบรรดาจำพวกที่กล่าวหาภริยาของตนเอง(ว่าทำผิดประเวณี) และพวกนั้นไม่มีพยาน(ที่จะยืนยันคำกล่าวหานั้นได้)นอกจากตัวของพวกเขาเอง แท้จริงการเป็นพยาน(ที่ถูกต้องในทางนิตินัย)สำหรับคนใดคนหนึ่งคนใดจากพวกเขา(ที่ทำการกล่าวหา)นั้น จะต้องสาบานต่ออัลเลาะฮถึง 4 ครั้งว่าแท้จริงเขานั้นเป็นผู้หนึ่งจากกลุ่มผู้พูดจริง
7. และ(การสาบานครั้ง)ที่ห้า(ให้เขากล่าวว่า) แท้จริงการสาปแช่งของอัลเลาะฮฺจะต้องประสบแก่เขา หากเขาเป็นผู้หนึ่งจากกลุ่มผู้พุดเท็จ


คำแปล R3.
4. ส่วนบรรดาผู้ปรักปรำหญิงบริสุทธิ์แต่ไม่นำพยานมา 4 คน จงเฆี่ยนคนเหล่านี้ 80 ทีและจงอย่ารับการเป็นพยานของคนเหล่านี้อีก เพราะพวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ฝ่าฝืน
5. เว้นแต่บรรดาผู้สำนึกผิดและขออภัยโทษต่ออัลลอฮิและปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น แท้จริง อัลลอฮิเป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ
6. ส่วนบรรดาผู้ปรักปรำภรรยาตัวเอง แต่ไม่สามารถหาพยานได้นอกจากตัวเองนั้น หลักฐานของพวกเขาก็คือเขาจะต้องสาบาน 4 ครั้งด้วยนามของอัลลอฮฺและประกาศว่าเขาพูดจริง(ในการปรักปรำ)
7. และในครั้งที่ 5 เขาจะต้องประกาศว่าให้อัลลอฮฺสาปแช่งเขา ถ้าเขาเป็นผู้โกหก

 
คำแปล R4.
4. และบรรดาผู้กล่าวโทษบรรดาหญิงบริสุทธิ์ แล้วพวกเขามิได้นำพยานสี่คนมา พวกเจ้าจงโบยพวกเขาแปดสิบที และพวกเจ้าอย่ารับการเป็นพยานของพวกเขาเป็นอันขาด ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ฝ่าฝืน
5. นอกจากบรรดาผู้ลุแก่โทษหลังจากนั้น และพวกเขาปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ
6. และบรรดาผู้กล่าวโทษภรรยาของพวกเขาและสำหรับพวกเขาไม่มีพยานนอกจากตัวของพวกเขาเอง ก็ให้การเป็นพยานของคนหนึ่งในพวกเขากล่าวสาบานสี่ครั้ง ด้วยพระนามของอัลลอฮฺแท้จริงเขาเป็นหนึ่งในหมู่ผู้พูดจริง
7. และครั้นที่ห้าให้เขากล่าวว่า แท้จริงการสาปแช่งของอัลลอฮฺจงมีแด่เขา หากเขาเป็นผู้ที่กล่าวเท็จ


คำแปล R5.
๔. และบรรดาผู้กล่าวหาหญิงผู้ครองเรือนโดยซื่อต่อสามีว่าหญิงนั้นได้ล่วงประเวณีกับชายอื่น แต่แล้ว หลังจากนั้นเมื่อข้อกล่าวหาได้เข้าสู่การพิจารณาของฝ่ายพิพากษา บรรดาพวกเขาผู้กล่าวหาเหล่านั้นมิสามารถนำพยานสี่คนมายืนยันในคำกล่าวหาได้ ดังนั้นเจ้าทั้งหลาย(ผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง) จงโบยพวกเขาแปดสิบครั้ง เป็นการลงโทษเพราะใส่ร้ายผู้อื่นให้เสียหายให้ได้รับความเสื่อมเสีย ความอับอาย และเป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป และเจ้าทั้งหลายอย่ารับรองการเป็นพยานของพวกนั้นตลอดไปแต่จะต้องปฏิเสธไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น และพวกที่กล่าวหาเหล่านั้น เป็นผู้ละเมิดต่อบทบัญญัติของเอกองค์อัลเลาะห์เนื่องด้วยพวกเขาประพฤติผิดอย่างร้ายแรงและล่วงอธิปไตยของผู้อื่นด้วยการกล่าวหาและใส่ร้ายในกรณีอันเป็นเท็จ
๕. ยกเว้นบรรดาที่ได้สารภาพผิดและกลับตัวจากการกระทำดังกล่าวของเขาภายหลังจากที่พวกเขาได้กระทำความผิดดังกล่าวนั้นและพวกเขาได้ปรุงปรับสภาพการของตนเองให้ดีงามขึ้น นั้นแหละพวกเขาจึงจะเป็นพยานในกรณีใด ๆ อีกต่อไปได้ เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ให้อภัยยิ่งแก่โทษของเขาที่ได้ประพฤติไว้ ทรงเมตตายิ่งแก่พวกเขา โดยประทานสิทธิการเป็นพยานแก่เขาประดุจเดิม
๖. และบรรดาชายผู้กล่าวหาคู่ครองของตนว่าประพฤติผิดในทางเพศด้วยการคบชู้กับชายอื่น โดยพวกเขาไม่มีกลุ่มพยานที่จะร่วมยืนยันคำกล่าวหานั้นนอกจากตัวของพวกเขาเอง ดังนั้นการให้การในกรณีดังกล่าวนั้น จะต้องกล่าว ปฏิญาณตนต่ออัลเลาะห์โดยคนหนึ่งจากพวกเขาที่ให้การทิ่มตำคู่ครองของตนเองถึงสี่ครั้งปฏิญาณ ว่าเขานั้นเป็นผู้พูดจริง
๗. และในการปฏิญาณครั้งที่ห้าเขาจะต้องปฏิญาณว่าแม้นเขาเป็นผู้กล่าวเท็จก็ขอให้การสาปแช่งของอัลเลาะห์จงประสบเขาเถิด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:34 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 8 - 10


คำแปล R1.
8. But it shall avert the punishment (of stoning to death) from her, if she bears witness four times by Allah, that he (her husband) is telling a lie.
9. And the fifth (testimony) should be that the Wrath of Allah be upon her if he (her husband) speaks the truth.
10. And had it not been for the Grace of Allah and his Mercy on you (He would have hastened the punishment upon you)! And that Allah is the one who accepts repentance, the All-Wise.


คำแปล R2.
8. และย่อมยกการลงโทษ(ตามบทลงโทษที่กล่าวมาแล้ว)จากนาง(ที่ถูกกล่าวหา)โดยการที่นางสาบานตนต่ออัลเลาะฮฺถึงสี่ครั้งว่าแท้จริงเขา(สามีผู้กล่าวหา)เป็นผู้หนึ่งจากกลุ่มผู้พูดเท็จ
9. และ(การสาบานครั้ง)ที่ห้า(โดยนางกล่าวว่า) แท้จริงความพิโรธของอัลเลาะฮฺจะต้องประสบแก่นางเป็นแน่ หากว่าเขา(สามีผู้กล่าวหา)เป็นหนึ่งในหมู่ผู้พูดจริง(ตามที่กล่าวหา)
10. และมาดแม้นมิเป็นเพราะความโปรดปรานและความเมตตาของอัลเลาะฮฺที่ทรงประทานแก่พวกเจ้าแล้วไซร้ และ(มาดแม้นมิใช่เพราะเหตุว่า)แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรับการสารภาพโทษยิ่ง ทรงปรีชาญาณยิ่ง(แน่นอนพวกเจ้าจะต้องตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน)


คำแปล R3.
8. (สำหรับผู้หญิง)การลงโทษจะพ้นไปจากนางถ้านางสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ 4 ครั้งด้วยกันว่าเขาผู้นั้นโกหก
9. และครั้งที่ห้า นางขอให้ความกริ้วของอัลลอฮฺประสบแก่นางเองถ้าหากเขาเป็นผู้พูดจริง
10. และถ้ามิใช่ความโปรดปรานของอัลลอฮฺต่อสูเจ้าและความเมตตาของพระองค์ และถ้าพระองค์ไม่เป็นผู้อภัยอย่างที่สุดและทรงปรีชาญาณ (สูเจ้าก็จะได้รับความลำบากอย่างแสนสาหัสเพราะการปรักปรำภรรยาของสูเจ้า)


คำแปล R4.
8. และพวกเขาจะทำให้นางพ้นจากการลงโทษ ต่อเมื่อนางกล่าวสาบานสี่ครั้งด้วยพระนามอัลลอฮฺว่าเขาเป็นหนึ่งในหมู่ผู้กล่าวเท็จ
9. และครั้งที่ห้าให้นางกล่าวว่า แท้จริงความกริ้วของอัลลอฮฺจงมีแด่นาง หากเขาเป็นหนึ่งในหมู่ผู้พูดจริง
10. และหากมิใช่ความโปรดปรานของอัลลอฮฺแก่พวกเจ้า และความเมตตาของพระองค์แล้ว และแท้จริงอัลลอฮฺทรงเป็นผู้นิรโทษ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R5.
๘. ส่วนภรรยาที่ถูกกล่าวหานั้นการลงโทษตามประมวลบัญญัติว่าด้วยการคบชู้ย่อมพ้นไปจากนางเมื่อนางทำการปฏิญาณต่ออัลเลาะห์ถึงสี่ครั้งปฏิญาณว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์และแท้จริงเขาผู้เป็นสามีที่กล่าวหานั้นเป็นผู้กล่าวเท็จ
๙. และการปฏิญาณครั้งที่ห้านางจะต้องปฏิญาณว่า แม้นเรื่องที่นางถูกกล่าวหานั้น เขาผู้เป็นสามีของนางเป็นผู้พูดตรงกับความจริงแล้ว กล่าวคือ แม้นางเป็นผู้ประพฤติจริงตามที่สามีกล่าวหา ก็ขอให้ความพิโรธของอัลเลาะห์จงประสบแก่นาง
๑๐. และหากไร้ซึ่งความโปรดปรานและความเมตตาของอัลเลาะห์อันทรงประทานแก่พวกเจ้าแล้วไซร้แน่นอนพระองค์ก็จะต้องลงโทษพวกเจ้าโดยรีบด่วนที่สุด แต่โดยความโปรดปรานและความเมตตาของพระองค์นี้เอง พวกเจ้าจึงได้รับความปลอดภัยจาการลงโทษ และที่จริงอัลเลาะห์ทรงสนองการสารภาพผิดจากข้าทาสของพระองค์ยิ่งนัก พระองค์ทรงปรีชายิ่ง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:35 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 11 - 13


คำแปล R1.
11. Verily! Those who brought forth the slander (against 'Aishah (may Allah be pleased with her) the wife of the Prophet) are a group among you. Consider it not a bad thing for you. Nay, it is good for you. Unto every man among them will be paid that which he had earned of the sin, and as for him among them who had the greater share therein, his will be a great torment.
12. Why then, did not the believers, men and women, when you heard it (the slander) think good of their own people and say: "This (charge) is an obvious lie?"
13. Why did they not produce four witnesses? Since they (the slanderers) have not produced witnesses! Then with Allah they are the liars.


คำแปล R2.
11. แท้จริงบรรดาผู้ที่นำข่าวเท็จมา(แพร่)นั้น ก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งจากวกเจ้านั่นเอง พวกเจ้าอย่าคิดว่าข่าวเท็จนั้นเป็นความเลวร้ายสำหรับพวกเจ้า ทว่าความจริงแล้ว มันเป็นความดีสำหรับพวกเจ้าเอง แต่ละบุคคลจากพวกเขาย่อมได้รับบาปไปตามที่เขาพากเพียรไว้ และผู้ที่ดำเนินการ(แพร่หลาย)ส่วนใหญ่ของข่าวเท็จในหมู่พวกเขา (ได้แก่ อับดุลลอฮฺ บิน อุบัยย์)นั้น เขาย่อมได้รับการลงโทษอันใหญ่หลวง
12. ไฉนเล่า ขณะเมื่อพวกเจ้าได้ยินเรื่องเท็จนั้น มวลศรัทธาชนทั้งชายและหญิงไม่คิดถึงตัวเองแต่ในด้านดี ? และพวกเขากล่าวว่า “นี้เป็นการกุข่าวเท็จอันแจ้งชัดที่สุด”
13. ไฉนพวกเขาจึงไม่นำพยานสี่คนมายืนยันในเรื่องนั้นเล่า ? ดังนั้นเมื่อพวกเขามิอาจนำพยานเหล่านั้นมายืนยันได้ พวกเหล่านั้น ณ อัลเลาะฮฺ ย่อมเป็นพวกมดเท็จอย่างแน่นอน


คำแปล R3.
11. แท้จริงบรรดาผู้สร้างเรื่องเท็จก็คือบางคนในหมู่สูเจ้า อย่างไรก็ตามสูเจ้าอย่าได้ถือว่าเรื่องนีร้เป็นการชั่วสำหรับสูเจ้า แต่มันเป็นสิ่งดีสำหรับสูเจ้า ใครก็ตามที่มีส่วนในนี้ เขาก็ได้รับส่วนแบ่งของบาปไปตามนั้น และคนที่มีส่วนรับผิดชอบใหญ่ที่สุดในนั้นก็จะได้รับการลงโทษอันน่าสะพรึงกลัว
12. เมื่อสูเจ้าได้ยินมันแล้ว ทำไมชายผู้ศรัทธาและหญิงผู้ศรัทธาจึงไม่คิดถึงตัวของพวกเขาเองในทางที่ดีบ้างและกล่าวว่า “นี่เป็นการกล่าวร้ายชัด ?”
13. ทำไมพวกคนที่กล่าวร้ายไม่นำพยาน 4 คนมา(เพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหาของพวกเขา)? ดังนั้นเมื่อพวกเขาไม่นำพยานมา พวกเขาเองก็เป็นคนโกหกในทัศนะของอัลลอฮฺ


คำแปล R4.
11. แท้จริงบรรดาผู้นำข่าวเท็จมานั้นเป็นบุคคลกลุ่มหนึ่งจากพวกเจ้า พวกเจ้าอย่าได้คิดว่ามันเป็นการชั่วแก่พวกเจ้า แต่ว่ามันเป็นการดีแก่พวกเจ้า สำหรับทุกคนในพวกเขานั้น คือสิ่งที่เขาได้ขวนขวายไว้จากการทำบาปส่วนผู้ที่มีบทบาทมากในเรื่องนี้ในหมู่พวกเขานั้นเขาผู้นั้นจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์
12. เมื่อพวกเจ้าได้ยินข่าวเท็จนี้ ทำไมบรรดามุอ์มินและบรรดามุอ์มินะฮ์ จึงไม่คิดเปรียบเทียบกับตัวของพวกเขาเองในทางที่ดี และกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องโกหกอย่างชัดแจ้ง”
13. ทำไมพวกเขาจึงไม่นำพยานสี่คนมาเพื่อมัน หากพวกเขาไม่นำพยานเหล่านั้นมาแล้ว ดังนั้นชนเหล่านั้น ณ ที่อัลลอฮฺพวกเขาเป็นผู้กล่าวเท็จ


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการประทานโองการต่อไปนี้
สืบเนื่องจากมีคนกลุ่มหนึ่งได้สร้างข่าวลือเพื่อใส่ร้ายท่านหญิงอาอิซะห์ผู้เป็นภรรยาของท่านศาสดานบีมุฮำมัด (ซล.)ว่าเป็นผู้คบชู้กับซอฟวาน บิน มุอั๊ตตอล เมื่อครั้งที่ท่านหญิงอาอิซะห์ร่วมออกศึกกับกองทัพมุสลิมเพื่อต่อสู้กับฝ่ายศัตรูผู้รุกราน เมื่อเสร็จการทำศึกครั้งนั้นก็เดินทางกลับ ในระหว่างเดินทางกลับนั้นกองทัพได้หยุดพักระหว่างทางเพื่อให้แต่ละคนได้ทำธุรกิจส่วนตัว ท่านหญิงอาอิซะห์ได้ออกไปทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว นางก็กลับที่พัก แต่นางได้คลำที่คอของนางเพื่อตรวจตราสร้อยคอของนางตามธรรมดาของผู้หญิงทั้งหลาย นางก็พบว่าสร้อยคอนั้นได้ตกหายไปจากต้นคอของนาง นางจึงย้อนกลับไปค้นหาสร้อยคอจนพบ แล้วก็กลับมายังที่พักแต่ปรากฏว่ากองทัพได้เคลื่อนขบวนออกไปเสียก่อน โดยทหารที่ทำหน้าที่ยกกูบสำหรับนางไม่ทราบว่านางไม่มีอยู่ในกูบนั้น จึงยกกูบขึ้นหลังอูฐแล้วก็เดินทางต่อไป ส่วนสาเหตุที่ทหารเข้าใจว่านางอยู่ในกูบเรียบร้อยแล้วนั้นเพราะอาอิซะห์ไม่ใช่คนอ้วน และในยามสงครามย่อมผอมกว่าปกติ นางจึงมีน้ำหนักไม่มาก พวกทหารที่ยกกูบจึงไม่รู้สึกในเรื่องของน้ำหนัก เนื่องจากอาอิซะห์ออกจากป่าทึบไม่พบกองทัพนางจึงนั่งรออยู่ในที่ที่หยุดพักนั้นเอง ด้วยคิดว่าเมื่อกองทัพเดินทางออกไปแล้วและพบว่าขาดนางไปคนหนึ่งก็คงจะย้อนกลับมาค้นหา จนนางผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ต่อมา “ซอฟวานฯ” ผู้ทำหน้าที่ตรวจพื้นที่ตามหลังกองทัพได้มาพบนางจึงนำอูฐมาให้นางขี่ แล้วก็เดินตามหลังกองทัพ จนทันกับกองทัพโดยคนทั้งสองไม่ได้พูดจากันเลย จึงมีข่าวขึ้นมาว่า พระนางอาอิซะห์กับซอฟวานลักลอบเป็นชู้กัน ผู้เริ่มต้นกุข่าวนี้ได้แ “อับดุลเลาะห์บินอุบัย” ผลจากข่าวเท็จที่มีผู้กุขึ้นครั้งนี้ก่อให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในสังคมมุสลิมมิใช่น้อย และโองการต่อไปนี้เป็นโองการที่ประทานลงมาเพื่อแก้ข้อกล่าวหาแก่ท่านหญิงอาอิซะห์ และชี้แจงถึงสภาพการอันเป็นจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว

๑๑. แท้จริงบรรดาผู้ที่นำข่าวเท็จมาแพร่หลายในหมู่มนุษย์นั้น พวกเขาเป็นกลุ่มชนหนึ่งจากพวกเจ้านั่นเอง พวกเขาคือ อับดุลเลาะห์ บุตรอุบัย หิซาน บุตร ซาบิต ฮัมนะห์ บุตร ยะห์ซิน มิสเตาะฮฺ บุตร อะซาซะห์ เจ้าทั้งหลายอย่าคิดว่าข่าวนั้นจะเป็นความชั่วร้ายสำหรับพวกเจ้า ความจริงแล้วมันเป็นความดีเลิศแก่พวกเจ้า เพราะทำให้พวกเจ้าทั้งหลายอันประกอบด้วยบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวโดยตรง ได้แก่ท่านศาสดาในฐานะสามี ท่านอะบูบักร ในฐานะบิดาของภริยาท่านศาสดา อาอิซะห์ผู้ถูกกล่าวหา และซอฟวานผู้ถูกกล่าวหา ทั้งหมดนี้ต้องอดทนในคำกล่าวหานั้นอันจักก่อกุศลมหาศาลแก่ทุก ๆ คน และเป็นเกียรติอันสูงส่งที่ได้รับโองการอัล-กุรอานที่เกี่ยวกับกรณีนี้โดยเฉพาะ รวมแล้วถึง ๑๘ โองการ ลงมาเพื่อแข้อกล่าวหาของฝ่ายที่กุข่าวเท็จดังกล่าวขึ้นมา จึงแทนที่ข่าวนั้นจะเป็นความชั่วร้าย กลับเป็นความดีงามมหาศาลแก่ทุก ๆ คน แต่ละบุคคลจากพวกเขาผู้กุข่าวเท็จเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวนั้นจะต้องรับโทษที่เขาได้วิริยะไว้สร่างสาสม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อับดุลเลาะห์บุตรอุบัยย์ ผ็ซึ่งได้ดำเนินการส่วนใหญ่ของมัน(ข่าวนั้น)ด้วยการกระพือข่าวยิ่งกว่าใคร ๆ จากพวกเขา เขาจะได้รับการลงโทษอันยิ่งใหญ่ทรมานยิ่งกว่าผู้ร่วมสร้างข่าวคนอื่น ๆ ทั้งหมดในโลกนี้ ทำให้สังคมได้ประจักชัดว่าเป็นเพียงทุรชนผู้กลับกลอกอันไร้ค่าและหมดความเชื่อถือจากสังคมโดยสิ้นเชิง ส่วนในปรภพเขาจะต้องได้รับการลงโทษอันทรมานที่สุด
๑๒. และเมื่อพวกเจ้าได้ยินข่าวนั้นแล้วพวกเจ้าทั้งหลายก็มีความรู้สึกประดุจบรรดาผู้มีศรัทธาทั้งชายและหญิงซึ่งทั้งหมดต่างก็เข้าใจในด้านดีต่อผู้ถูกกล่าวหาอันเป็นเสมือนตัวของพวกเขาเองมิใช่หรือ และพวกเขาผู้มีจิตศรัทธาทั้งมวลแทนที่จะเชื่อถือในข่าวนั้น พวกเขากลับกล่าวว่าเรื่องที่พวกเขาได้ยินนี้เป็นความเท็จอันชัดแจ้ง อันผู้มีจิตศรัทธาแท้ย่อมไม่ระแวงไปตามข่าวนั้นโดยเด็ดขาด นอกจากผู้มีจิตกลับกลอกเท่านั้น ที่จะเชื่อถือต่อข่าวดังกล่าว
๑๓. หากแม้นพวกเขาบรรดาผู้กุข่าวเท็จขึ้นมานั้น มิได้นำพยานสี่คนมายืนยันต่อข่าวนั้นแล้ว จะเชื่อถือข่าวนั้นได้อย่างไร ดังนั้น เมื่อพวกเขามิได้นำกลุ่มพยานจำนวนดังกล่าวมายืนยัน พวกเหล่านั้นก็เป็นพวกกล่าวเท็จ ณ อัลเลาะห์นั่นเอง พวกเขาเป็นผู้บ่อนทำลายและมุ่งกล่าวร้ายแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2012, 08:35 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 14 - 18


คำแปล R1.
14. Had it not been for the Grace of Allah and his Mercy unto you in this world and in the Hereafter, a great torment would have touched you for that whereof you had spoken.
15. When you were propagating it with your tongues, and uttering with your mouths that whereof you had no knowledge, you counted it a little thing, while with Allah it was very great.
16. And why did you not, when you heard it, say? "It is not right for us to speak of this. Glory be to you (O Allah) this is a great lie."
17. Allฟh forbids ou from it and warns ou not to repeat the like of it forever, if ou are believers.
18. And Allah makes the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) plain to you, and Allah is All-Knowing, All-Wise.


คำแปล R2.
14. และมาดแม้นมิใช่เพราะความโปรดปรานและความเมตตาของอัลเลาะฮฺทั้งในโลกนี้และในโลกหน้าแล้วไซร้ แน่นอนที่สุด การลงโทษอันยิ่งใหญ่ที่สุด จะต้องประสบแก่พวกเจ้า เนื่องในการร่วมวิพากษ์วิจารณ์ข่าวนั้นของพวกเจ้า
15. กล่าวคือขณะเมื่อพวกเจ้ากำลังถ่ายทอดข่าวนั้นด้วยลิ้นของพวกเจ้า และพวกเจ้าพูดด้วยปากของพวกเจ้าเอง ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้มา(ด้วยตนเอง) และพวกเจ้าคิดว่าเรื่องนั้นเล็กน้อยเหลือเกิน แต่ความจริงเป็นเรื่องใหญ่(และสำคัญ)ที่สุด สำหรับอัลเลาะฮฺ
16. และไฉนเล่า ขณะเมื่อพวกเจ้าได้ยินเรื่องนั้น พวกเจ้าจึงไม่พูดว่า “ไม่สมควรเลยที่พวกเราจะพูดเรื่องนี้” เป็นความบริสุทธิ์อย่างยิ่งสำหรับพระองค์ ที่จริงเรื่อง(ที่เกิดเป็นข่าวลือ)นี้เป้นความมดเท็จอันยิ่งใหญ่ที่สุด
17. อัลเลาะฮฺทรงตักเตือนพวกเจ้ามิให้พวกเจ้าหวนกลับไปทำสิ่งที่เหมือนกับเรื่องนั้นอีกตลอดไป หากพวกเจ้าเป็นผู้มีศรัทธา
18. และอัลเลาะฮฺทรงแจ้งบรรดาโองการแก่พวกเจ้า และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ที่สุด ทรงปรีชาญาณที่สุด


คำแปล R3.
14. ถ้ามิใช่เพราะความโปรดปรานของอัลลอฮฺและความเมตตาของพระองค์ต่อสูเจ้าในโลกนี้และในโลกหน้าแล้ว การลงโทษอันเจ็บปวดก้อาจจะเกิดขึ้นแก่สูเจ้าเพราะสิ่งที่สูเจ้าพัวพันอยู่
15. (คิดดูซิว่าสูเจ้าผิดอย่างไร)เมื่อสูเจ้าแพร่ขยายเรื่องเท็จนี้จากลิ้นหนึ่งไปยังอีกลิ้นหนึ่งและปากของสูเจ้ากล่าวในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้ สูเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็ก แต่มันเป็นเรื่องใหญ่ในสายตาของอัลลอฮฺ
16. เมื่อสูเจ้าได้ยินเรื่องนั้นทำไมสูเจ้าไม่กล่าวว่า “มันไม่เหมาะสมสำหรับเราที่จะกล่าวถึงสิ่งนี้ ? มหาบริสุทธิ์ยิ่งคืออัลลอฮฺ นี่เป็นการใส่ร้ายอย่างมหันต์”
17. อัลลอฮฺได้ทรงเตือนสูเจ้าว่า ต่อไปสูเจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้อีก ถ้าหากสูเจ้าเป็นผู้ศรัทธา
18. อัลลอฮฺได้ทรงแจกแจงอายะฮฺทั้งหลายของพระองค์ให้เป็นการง่ายแก่สูเจ้า และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R4.
14. และหากมิใช่ความโปรดปรานของอัลลอฮฺแก่พวกเจ้า และความเมตตาของพระองค์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าแล้วแน่นอนการลงโทษอย่างมหันต์ก็จะประสบแก่พวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้ากำลังง่วนกันอยู่
15. ขณะที่พวกเจ้าได้รับข่าวนั้น ด้วยการพูดกันระหว่างพวกเจ้า และพวกเจ้าพูดกันในสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีความรู้ และพวกเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็ก แต่ ณ ที่อัลลอฮฺนั้นมันเป็นเรื่องใหญ่
16. เมื่อพวกเจ้าได้ยินมัน ทำไมพวกเจ้าจึงไม่กล่าวว่า ไม่บังควรที่เราจะพูดถึงเรื่องนี้ มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ท่านนี่มันเป็นการกล่าวร้ายอย่ามหันต์
17. อัลลอฮฺทรงตักเตือนพวกเจ้า เพื่อมิให้กลับไปประพฤติเช่นนี้อีกเป็นอันขาด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา
18. และอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายอย่างชัดเจนแก่พวกเจ้า และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R5.

๑๔. และหากไร้ซึ่งความโปรดปรานและความเมตตาของอัลเลาะห์ อันทรงประทานแก่พวกเจ้าทั้งหลายทั้งในสากลภพ โดยให้โอกาสแก่พวกเจ้าได้สารภาพผิด และปรภพโดยให้อภัยไม่นำตัวไปลงโทษแล้วไซร้ แท้จริงการลงโทษอันยิ่งใหญ่ก็จะต้องประสบแก่พวกเจ้าทั้งหลายเนื่องในกรณีที่พวกเจ้าได้วิพากษ์วิจารณ์ไว้นั้นอย่างแน่นอนที่สุด
๑๕. การลงโทษที่พระองค์จะทรงบันดาลให้เกิดขึ้น ถ้าพระองค์ไม่มีความโปรดปรานและเมตตาแก่พวกเจ้าดังกล่าวนั้น พระองค์จะทรงลงโทษในทันทีทันใด เมื่อพวกเจ้าได้ถ่ายทอดข่าวเท็จนั้นกับลิ้นของพวกเจ้าเอง และพวกเจ้ากล่าวกับปากของพวกเจ้าเอง ต่อกรณีที่พวกเจ้าไม่รู้ข้อ เท็จจริง และเจ้าทั้งหลายคิดว่า การพูดสิ่งนั้นเป็นเรื่องง่ายดายและเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สลักสำคัญอันใดสำหรับเจ้าเลย แต่มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับอัลเลาะห์
๑๖. และเมื่อพวกเจ้าได้ยินข่าวเท็จนั้นจากบุคคลที่กุมันขึ้นมา พวกเจ้าก็ได้ปรารภว่า “พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะกล่าวถึงสิ่งนี้ โอ้พระผู้ทรงอภิบาล พระองค์ทรงบพิตรยิ่งนัก เรื่องนี้จะเป็นไปดังข่าวลือนั้นไม่ได้เด็ดขาด ความจริงข่าวลือนี้เป็นความเท็จอันยิ่งใหญ่” พวกเจ้าพูดเช่นนั้นมิใช่หรือ
๑๗. พระองค์อัลเลาะห์ทรงตักเตือนเจ้าทั้งหลาย กับบรรดาข้อตักเตือนเหล่านี้ อันเป็นเหตุให้เจ้าได้ทราบว่า บาปนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก และจากบาปของการใส่ร้ายด้วยวิธีการกุข่าวเท็จขึ้นมานี้ มีผลต้องถูกลงโทษทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพื่อพวกเจ้าจะได้ไม่หวนกลับไปกระทำในสิ่งที่เหมือนกับมันจนตลอดไปทั้งนี้ถ้าพวกเจ้าเป็นผู้มีศรัทธา
๑๘. และพระองค์อัลเลาะห์ทรงแจ้งแก่พวกเจ้าทั้งหลาย ให้ทราบถึงโองการต่าง ๆ ของพระองค์ในพระคัมภีร์ที่พระองค์ทรงประทานให้ และพระองค์อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่งในความประพฤติทั้งหลายของพวกเจ้า และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าไปตามลักษณะของความประพฤติโดยยุติธรรมที่สุด พระองค์ทรงปรีชายิ่งในการจัดระเบียบและกฎต่าง ๆ เพื่อพวกเจ้าได้ประพฤติตาม อันจักเป็นผลให้พวกเจ้าได้รับความสุขความจำเริญทั้งโลกนี้และโลกหน้า



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 19 - 20


คำแปล R1.
19. Verily, those who like that (the crime of) illegal sexual intercourse should be propagated among those who believe, they will have a painful torment in this world and in the Hereafter. And Allah knows and you know not.
20. And had it not been for the Grace of Allah and his Mercy on you, (Allah would have hastened the punishment upon you). And that Allah is full of kindness, Most Merciful.


คำแปล R2.
19. แท้จริงบรรดาผู้ที่มีจิตใจรักที่จะแพร่สิ่งอนาจารในกลุ่มชนที่มีศรัทธานั้น พวกเขาจะต้องได้รับโทษอันแสนทรมานทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้แต่พวกเจ้าไม่รู้
20. และมาดแม้นมิใช่เพราะความโปรดปรานและความเมตตาของอัลเลาะฮฺที่ทรงประทานแก่พวกเจ้าและ(มิใช่เพราะ)อัลเลาะฮฺทรงปรานียิ่ง ทรงเมตตายิ่ง(แน่นอนพวกเจ้าก็จะได้รับการลงโทษพร้อมเพรียงกัน)


คำแปล R3.
19. สำหรับบรรดาผู้ชอบที่จะแพร่เรื่องบัดสีในหมู่ผู้ศรัทธานั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างเจ็บปวดทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพราะอัลลอฮฺทรงรอบรู้ และสูเจ้าไม่รู้” (ถึงผลที่จะติดตามมา)
20. ถ้าอัลลอฮฺไม่ทรงโปรดปรานและแสดงความเมตตาต่อสูเจ้า (การกล่าวร้ายนี้ก็จะเกิดผลชั่วร้ายมาก) แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเอ็นดู ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R4.
19. แท้จริงบรรผู้ชอบที่จะให้เรื่องบัดสีแพร่หลายไปในหมู่ผู้ศรัทธานั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างเจ็บปวด ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และอัลลอฮฺทรงรอบรู้และพวกเจ้าไม่รู้
20. และหากมิใช่ความโปรดปรานของอัลลอฮฺแก่พวกเจ้า และความเมตตาของพระองค์แล้ว และแท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเอ็นดู ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R5.
๑๙. แท้จริงบรรดาผู้ที่ชอบจะให้ความอนาจารอันเกิดขึ้นจากการผิดประเวณีได้แพร่หลายในกลุ่มศรัทธาชนทั้งหลายด้วยการกุข่าวเท็จใส่ร้ายโดยไม่มีมูลความจริงเลย พวกเขาจะต้องได้รับโทษอันสาหัสยิ่ง ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าและพระองค์อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่ง และพวกเจ้าไม่รู้อะไรเลย ดังนั้น การงานต่าง ๆ จงมอบคืนแด่อัลเลาะห์เถิด เพื่อพวกเจ้าจะได้รับการชี้แนะจากพระองค์ด้วยการรับบทบัญญัติของพระองค์มาปฏิบัติต่อกรณีต่าง ๆ โดยเฉพาะกรณีร้ายแรงเป็นข่าวเท็จครั้งนี้
๒๐. และหากไร้เสียแล้วซึ่งความโปรดปรานและความเมตตาของอัลเลาะห์อันจักพึงประทานแก่พวกเจ้าทั้งหลาย พวกเจ้าก็จะต้องถึงกาลวิบัติเป็นแน่แท้ แต่โดยความโปรดปรานและเมตตาของพระองค์พระองค์จึงทรงให้โอกาสแก่พวกเจ้าได้สารภาพผิดที่ได้กระทำไปแล้ว และแท้จริงอัลเลาะห์ทรงกรุณายิ่ง ทรงเมตตายิ่งต่อมวลบ่าวของพระองค์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 21 - 22


คำแปล R1.
21. O you who believe! Follow not the footsteps of Shaitan (Satan). and whosoever follows the footsteps of Shaitan (Satan), then, verily he commands Al-Fahsha' [i.e. to commit indecency (illegal sexual intercourse, etc.)], and Al-Munkar [disbelief and polytheism (i.e. to do evil and wicked deeds; to speak or to do what is forbidden in Islam, etc.)]. And had it not been for the Grace of Allah and his Mercy on you, not one of you would ever have been pure from sins. But Allah purifies (guides to Islam) whom He wills, and Allah is All-Hearer, All-Knower.
22. And let not those among you who are blessed with graces and wealth swear not to give (any sort of help) to their kinsmen, Al-Masakin (the poor), and those who left their homes for Allah's cause. Let them pardon and forgive. Do you not love that Allah should forgive you? And Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.


คำแปล R2.
21. โอ้มวลผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าตามก้าวเดินของมาร และผู้ใดตามก้าวเดินของมาร แน่นอนมันจะใช้ให้เขาทำแต่สิ่งอนาจาร และสิ่งต้องห้าม และมาดแม้นมิใช่เพราะความโปรดปรานและความเมตตาของอัลเลาะฮฺที่ทรงประทานแก่พวกเจ้าแล้วไซร้ แน่นอนที่สุดพระองค์ก็จะไม่ทรงปลดเปลื้องความผิดของคนใดจากพวกเจ้าตลอดไป แต่ทว่าอัลเลาะฮฺทรงปลดเปลื้องความผิดแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และอัลเลาะฮฺทรงได้ยินที่สุด ทรงรอบรู้ที่สุด
22. และผู้มีเกียรติและกว้างขวางในหมู่พวกเจ้าจงอย่าสาบานว่า จะไม่ให้ความอุปถัมภ์แก่เครือญาติ, บรรดาคนอนาถา และบรรดาผู้อพยพในหนทางของอัลเลาะฮฺ แต่พวกเขาจะต้องให้อภัยและไม่ถือโทษ(ต่อคนเหล่านั้น) พวกเจ้าไม่พอใจหรือที่อัลเลาะฮฺทรงอภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง


คำแปล R3.
21. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา จงอย่าเดินตามรอยเท้าของมารร้ายเพราะมันจะชักนำผู้เดินตามมันไปสู่ความลามกและความชั่วช้า ถ้าหากอัลลอฮฺไม่ทรงโปรดปรานเมตตาต่อสูเจ้าก็จะไม่มีผู้ใดในหมู่สูเจ้าจะชำระตัวเองให้ผ่องแผ้วได้ เพราะอัลลอฮฺเท่านั้นที่จะทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ผ่องแผ้ว และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้
22. บรรดาผู้มีเกียรติและมีความมั่งคั่งในหมู่สูเจ้าจงอย่าสาบานว่าจะไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ญาติสนิท คนขัดสนและบรรดาผู้อพยพในหนทางของอัลลอฮฺ พวกเขาควรให้อภัยและอดทน สูเจ้าไม่ชอบหรือที่อัลลอฮฺจะทรงให้อภัยสูเจ้า? และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัย ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R4.
21. โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย  พวกเจ้าอย่าคิดตามทางเดินของชัยฎอน และผู้ใดติดตามทางเดิมของชัยฎอน แท้จริงมันจะใช้ให้ทำการลามกและความชั่ว และหากมิใช่ความโปรดปรานของอัลลอฮฺแก่พวกเจ้า และความเมตตาของพระองค์แล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดเลยหมู่พวกเจ้าบริสุทธิ์ แต่อัลลอฮฺทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์บริสุทธิ์ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้
22. และผู้มีเกียรติและผู้มั่งคั่งในหมู่พวกเจ้าอย่าได้สาบานที่จะไม่ให้ (ความช่วยเหลือ) แก่ญาติมิตร และคนยากจน และผู้อพยพในหนทางของอัลลอฮฺ และพวกเขาจงอภัย และยกโทษ (ให้แก่พวกเขาเถิด) พวกเจ้าจะไม่ชอบหรือที่อัลลอฮฺจะทรงอภัยให้แก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R5.
๒๑ . โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้เจริญรอยตามทางก้าวเดินของมารร้ายเถิด อันทางที่มารร้ายได้ก้าวเดินไปนั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเจ้าที่จะเดินตามทางนั้น และกรณีของการแพร่ข่าวเท็จ เพื่ออนาจารศรัทธาชนตามที่ได้อุบัติขึ้นในครั้งนี้ก็เป็นทางเดินหนึ่งของมารร้าย พวกเจ้าอย่าเดินทางนั้นเป็นอันขาด แต่พวกเจ้าจะต้องสงบถ้อยคำที่จะแพร่ข่าวดังกล่าวโดยสิ้นเชิง และใครก็ตามที่เจริญรอยตามก้าวเดินของมารร้าย แน่นอนมันจะใช้เขาให้ประพฤติแต่ความอนาจาร และความผิดตามบทบัญญัติแห่งศาสนา และหากอัลเลาะห์มิทรงโปรดปรานและเมตตาพวกเจ้าทั้งหลายแล้วไซร้ ก็จะไม่มีคนใด ๆ จากพวกเจ้าบริสุทธิ์พ้นมลทินไปจนตลอดกาลแม้คนเดียวก็ตาม แต่โดยพระเมตตาธิคุณของพระองค์ที่ทรงเปิดโอกาสให้พวกเจ้าทั้งหลายได้สารภาพผิด พวกเจ้าจึงได้พ้นมลทินเป็นผู้บริสุทธิ์โดยแท้จริง และแต่ทว่า อัลเลาะห์ทรงชำระมลทินแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ ด้วยการสนองตอบการสารภาพผิดของเขาในทุกกรณี เช่นในกรณีของข่าวเท็จครั้งนี้เมื่อผู้กระทำผิดคือ หิซาน และมิสเตาะห์ เป็นต้น ได้ขอสารภาพผิด เขาก็ได้รับการอภัยโทษให้ เนื่องด้วยจิตใจของเขาปราศจากการกลับกลอกนั่นเอง และพระองค์อัลเลาะห์ทรงได้ยินในเรื่องราวที่พวกเจ้าทั้งหลายได้พุดจากัน ทรงรอบรู้ในทุก ๆ สิ่งที่พวกเจ้าได้ประพฤติ และพระองค์ก็จะทรงตอบแทนอย่างยุติธรรม
มูลเหตุแห่งการประทานโองการต่อไปนี้ สืบเนื่องจากท่านอบูบักร์ได้สาบานว่า จะไม่ช่วยเหลือและยังประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้นแก่ “มิสเตาะห์ บุตร ยะซาซะห์” นับแต่มิสเตาะห์ได้แพร่ข่าวเท็จ และกล่าววิพากษ์วิจารณ์ท่านหญิงอาอิซะห์เกี่ยวกับกนณีที่เกิดขึ้น อัลกุรอานจึงห้ามการสาบานดังกล่าวว่า
๒๒. โอ้ศรัทธาชนผู้มีเกียรติ และมีฐานะมั่งคั่งจากพวกเจ้าทั้งหลาย เขาอย่าสาบานตนเป็นอันขาดว่าจะไม่เอื้ออำนวยประโยชน์ใด ๆ แก่ญาติใกล้ชิด แก่คนอนาถา และบรรดาบุคคลที่อพยพมาจากมักกะห์สู่มาดีนะห์ บุคคลดังกล่าวนั้นได้แก่ “มิสเตาะห์” เป็นต้น เขาเป็นคนจนซึ่งร่วมเดินทางอพยพมาจากมักกะห์สู่มะดีนะห์ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเคยออกศึกร่วมกับท่านศาสดาในคราวสงคราม “บัดร” แต่เขาต้องยกโทษและต้องให้อภัยแก่บุคคลดังกล่าวให้เหมือนเดิมพวกเจ้าทั้งหลายไม่ชอบหรือที่อัลเลาะห์จะทรงอภัยให้แก่พวกเจ้าในโทษานุโทษอันเกิดจากการใส่ร้ายของพวกนั้น อันบุคคลที่สร้างความเลวร้ายซึ่งเป็นบาปร้ายแรงที่เกี่ยวกับเจ้านั้น บาปของเขาอัลเลาะห์ก็ให้อภัย ประดุจเดียวกับที่เจ้าได้รับการอภัยจากพระองค์ในบาปใด ๆ ก็ตามอันจะพึงเกิดขึ้น และพระองค์อัลเลาะห์ทรงอภัยยิ่งแก่โทษานุโทษของผู้ที่ยังภักดีต่อพระองค์ ซึ่งได้ขอลุแก่โทษหลังจากได้ประกอบความชั่วไปแล้ว ทรงเมตตายิ่ง โดยไม่นำเขาไปลงโทษตามบาปที่เขาได้ประกอบไว้แต่กาลก่อน
   ท่านอะบูบักร์ เมื่ออัลกุรอานโองการนี้ลงมาแล้ว ท่านก็กล่าวว่า “ถูกแล้ว ข้าแต่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าชอบที่จะได้รับการอภัยจากพระองค์” และต่อมาท่านก็ปฏิบัติต่อ “มิสเตาะห์” แบบเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และท่านก็ยังคงอุปการะค่าใช้จ่ายส่วนตัวของ “มิสเตาะห์” ดังเก่าก่อน

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 23 - 26


คำแปล R1.
23. Verily, those who accuse chaste women, who never even think of anything touching their chastity and are good believers, are cursed in this life and in the Hereafter, and for them will be a great torment,
24. On the day when their tongues, their hands, and their legs or feet will bear witness against them as to what they used to do.
25. On that day Allah will pay them the recompense of their deeds in full, and they will know that Allah, He is the manifest truth.
26. Bad statements are for bad people (or bad women for bad men) and bad people for bad statements (or bad men for bad women). Good statements are for good people (or good women for good men) and good people for good statements (or good men for good women), such (good people) are innocent of (each and every) bad statement which they say, for them is forgiveness, and Rizqun Karim (generous provision i.e.Paradise).


คำแปล R2.
23. แท้จริงบรรดาผู้กล่าวหากลุ่มสตรีที่สงวนตัว, ที่ไม่สนใจความชั่ว, อีกทั้งมีศรัทธามั่น ย่อมได้รับคำสาปแช่งทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และพวกเขาจะต้องได้รับการลงโทษอันใหญ่หลวง
24. ในวันซึ่งจะเป็นสักขีพยานแก่พวกเขาโดยลิ้นของพวกเขา, มือของพวกเขาและเท้าของพวกเขา ในสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้
25. ในวันนั้นอัลเลาะฮฺจะทรงทำความสมบูรณ์แก่พวกเขา ในผลตอบแทนอันชอบธรรมของพวกเขา และเขาจะรู้ว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺนั้น ทรงชัดแจ้ง(ในความยุติธรรม)
26. บรรดาหญิงชั่วย่อมคู่ควรกับบรรดาชายชั่ว และบรรดาชายชั่วก็คู่ควรกับบรรดาหญิงชั่ว และบรรดาหญิงดีย่อมคู่ควรกับบรรดาชายดี และบรรดาชายดีก็คู่ควรกับบรรดาหญิงดี พวก(ทำดี)เหล่านั้น ย่อมพันมลทินจากสิ่งที่พวกเขากล่าว(หากันเอง) พวกเขาย่อมได้รับการให้อภัยและดีรับโชคผลอันมีเกียรติ


คำแปล R3.
23. แท้จริงบรรดาผู้ปรักปรำหญิงผู้ศรัทธาที่บริสุทธิ์และใจผ่องแผ้วนั้นได้ถูกสาปแช่งทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า และสำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันใหญ่หลวง
24. (พวกเขาไม่ควรจะลืม)วันที่ลิ้นของเขา มือของพวกเขาและเท้าของพวกเขาจะเป็นพยานต่อสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้
25. ในวันนั้นอัลลอฮฺจะทรงตอบแทนพวกเขาตามส่วนที่พวกเขาจะต้องได้รับโดยครบและพวกเขาจะได้รู้ว่าอัลลอฮฺคือผู้ทรงสัจจะ ผู้ทรงให้สัจธรรมเป็นที่เปิดเผย
26. บรรดาหญิงผู้มีมลทินนั้นเหมาะสำหรับชายผู้มีมลทิน ส่วนหญิงผู้บริสุทธิ์นั้นเหมาะสำหรับชายผู้บริสุทธิ์ และชายบริสุทธิ์นั้นเหมาะสำหรับหญิงผู้บริสุทธิ์ พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ไร้มลทินจากสิ่งที่พวกเขากล่าวร้าย สำหรับเขาเหล่านั้นคือการอภัยโทษและปัจจัยอันมีเกียรติ


คำแปล R4.
23. แท้จริงบรรดาผู้กล่าวโทษบรรดาหญิงบริสุทธิ์ หญิงไม่รู้เรื่องอะไร หญิงผู้ศรัทธา พวกเขาถูกสาปแช่งทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์
24. วันที่ลิ้นของพวกเขา และมือของพวกเขา และเท้าของพวกเขา จะเป็นพยานปรักปรำพวกเขา ตามที่พวกเขาได้กระทำไว้
25. วันนั้นอัลลอฮฺจะทรงตอบแทนแก่พวกเขาอย่างครบถ้วน ตามส่วนแห่งการตอบแทนของพวกเขาอย่างแท้จริงและพวกเขาจะรู้ว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้น พระองค์คือผู้ทรงสัจจะ ผู้ทรงเปิดเผย
26. หญิงชั่วย่อมคู่ควรกับชายชั่ว และชายชั่วย่อมคู่ควรกับหญิงชั่ว และหญิงดีย่อมคู่ควรกับชายดี และชายดีย่อมคู่ควรกับหญิงดี ชนเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขากล่าวร้าย สำหรับพวกเขา (ผู้ถูกล่าวร้าย) จะได้รับการอภัยโทษ และเครื่องยังชีพอันมีเกียรติ


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงอายะฮฺต่อไปนี้ โองการต่อไปนี้เป็นการตราพระบัญญัติโดยทั่วไป เพื่อเป็นกฎหมายบังคับแก่ทุก ๆ คน โดยกำหนดบทลงโทษโดยแน่ชัดแก่บุคคลที่สร้างข่าวเท็จหรือใส่ร้ายผู้อื่น
๒๓. แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวหาหญิงผู้ครองเรือนซึ่งรักษาตัวไม่ล่วงประเวณีกับชายใด และนางเป็นผู้ที่มีใจบริสุทธิ์ ไม่เคยคิดนอกใจสามี อีกทั้งตั้งมั่นอยู่ในศรัทธาอย่างแรงกล้า ผู้กล่าวหาได้กล่าวหาว่าหญิงเหล่านั้นได้ล่วงประเวณีกับชายชู้ พวกที่กล่าวหานั้นเขาต้องถูกสาปแช่งทั้งในโลกนี้และโลกหน้าและพวกเขาต้องได้รับการลงโทษอันยิ่งใหญ่และทรมานยิ่ง เป็นการลงโทษให้สาสมกับขีดความผิดของเขา เนื่องเพราะเขานอกจากจะได้รับโทษของการใส่ร้ายแล้ว ยังต้องได้รับโทษในฐานะผู้เริ่มต้นแบบอันเลวทรามให้คนอื่น ๆ ได้สืบทอดโดยการบอกเล่าต่อ ๆ กันไป คนที่เริ่มกุข่าวจึงต้องรับโทษถึงสองกระทงดังกล่าวแล้ว
๒๔. การลงโทษอันยิ่งใหญ่นั้น พวกเขาจะได้รับในวัน ปรภพอันเป็นวันที่จะเป็นสักขีพยานทิ่มตำเหนือพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นลิ้นของพวกเขาเอง มือของพวกเขาเองและเท้าของพวกเขาเองก็ตาม อวัยวะทุกส่วนนั้นต่างเป็นสักขีพยานในการกระทำความผิดของพวกเขาทั้งสิ้น พวกเขาจะไม่สามารถปิดบังซ่อนเร้นและกล่าวเท็จได้เลย
๒๕. ในวันนั้นพระองค์อัลเลาะห์จักทรงตอบแทนที่เป็นจริงแก่พวกเขาโดยครบถ้วน ไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อยและพวกเขาทราบดีว่าสัญญาของพระองค์อัลเลาะห์ย่อมเป็นสัจจะอันชัดแจ้งซึ่งปฏิเสธหรือสงสัยไม่ได้ ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงสัญญาจะลงโทษพวกเขา ก็จะต้องเป็นไปตามนั้นอย่างแน่นอน
๒๖. บรรดาหญิงผู้มีมลทินย่อมเหมาะสำหรับชายผู้มีมลทินทั้งหลาย ไม่บังควรที่จะแต่งงานกับผู้บริสุทธิ์อื่น ๆ และบรรดาชายผู้มีมลทินทั้งหลายก็ย่อมเหมาะสมสำหรับบรรดาหญิงผู้มีมลทินเช่นกัน และบรรดาหญิงที่ดีผู้บริสุทธิ์จากการประพฤติชั่วย่อมเหมาะสำหรับชายที่ดีทั้งหลาย และบรรดาชายที่ดีซึ่งไม่เคยประพฤติชั่วก็จะเหมาะสำหรับบรรดา หญิงที่ดีเช่นเดียวกัน บรรดาพวกเขาเหล่านั้น ที่เป็นชายหรือหญิงที่ดีและบริสุทธิ์ซึ่งจำนวนนั้นมีซอฟวานและอาอิซะห์ที่ถูกกล่าวร้ายในครั้งนี้เป็นอาทิ ย่อมเป็นผู้ที่ได้รับการแก้ข้อกล่าวหาจนพ้นไปจากข้อกล่าวหาที่พวกคนชั่วทั้งหลายเขากล่าวหาไว้ พวกเขาทั้งหมดได้รับการให้อภัยและได้รับโชคผลอันมีเกียรติจากพระผู้ทรงอภิบาลโดยได้รับการตอบแทนให้เข้าสู่สวนสวรรค์
 

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 27 - 29


คำแปล R1.
27. O you who believe! Enter not houses other than your own, until you have asked permission and greeted those in them, that is better for you, in order that you may remember.
28. And if you find no one therein, still, enter not until permission has been given. And if you are asked to go back, go back, for it is purer for you, and Allah is All-Knower of what you do.
29. There is no sin on you that you enter (without taking permission) houses uninhabited (i.e. not possessed by anybody), (when) you have any interest in them. And Allah has knowledge of what you reveal and what you conceal.


คำแปล R2.
27. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าเข้าบ้านใด ๆ ที่มิใช่บ้านของพวกเจ้าเองจนกว่าจะขออนุญาตและให้สลามแก่ผู้อยู่ในนั้น(การกระทำเช่น)นั้นเป้นความดีสำหรับพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้สำนึก
28. แต่ถ้าพวกเจ้าไม่พบผู้ใดใน(บ้าน)นั้น ก็จงอย่าเข้าไปในนั้นจนกว่าจะได้รับอนุญาตแก่พวกเจ้าเสียก่อน และถ้าหากมีผู้พูดกับพวกเจ้าว่า “”จงกลับไปเถิด” พวกเจ้าก็จงกลับเสีย (อย่าได้ขืนเข้าไปในบ้านนั้นเป้นอันขาด) มันเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ยิ่งนักสำหรับพวกเจ้า และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
29. ย่อมไม่เป็นความผิดสำหรับพวกเจ้าที่พวกเจ้าจะเข้าไปในบ้านซึ่งไม่เป็นที่อยู่อาศัย(ของใคร เช่น ร้านค้า, สถานที่สาธารณะ สถานที่ทำการ เป้นต้น) อีกทั้งพวกเจ้ามีประโยชน์อยู่ในนั้น และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ทั้งสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผยและสิ่งที่พวกเจ้าปิดบัง

 
คำแปล R3.
27. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่าเข้าไปในบ้านของคนอื่นที่ไม่ใช่บ้านของสูเจ้าจนกว่าสูเจ้าจะได้รับการยินยอมจากเจ้าของบ้านและกล่าวคำทักทายก่อน(ด้วยคำว่า “อัสสลามุอะลัยกุม”)นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับสูเจ้า หวังว่าสูเจ้าจะปฏิบัติตาม
28. หลังจากนั้นถ้าสูเจ้าไม่พบใครอยู่ในนั้น ก็จงอย่าเข้าไปจนกว่าสูเจ้าจะได้รับอนุญาต และถ้าหากสูเจ้าถูกบอกให้กลับไป สูเจ้าก็จงกลับไป นี่เป็นการผ่องแผ้วกว่าสำหรับสูเจ้า และอัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงสิ่งที่สูเจ้ากระทำ
29. ไม่มีข้อเสียหายอันใดถ้าสูเจ้าจะเข้าไปในบ้านที่ไม่ใช่สถานที่อยู่อาศัยแต่ในนั้นมีบางสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสูเจ้า อัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงสิ่งที่สูเจ้าเปิดเผยและสิ่งที่สูเจ้าซ่อนเร้น

 
คำแปล R4.
27. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าอย่าเข้าไปในบ้านใดอื่นจากบ้านของพวกเจ้า จนกว่าจะขออนุญาตและให้สลามแก่เจ้าของบ้านเสียก่อน เช่นนั้นแหละเป็นการดีสำหรับพวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจะใคร่ครวญ
28. เมื่อพวกเจ้าไม่พบผู้ใดในบ้านนั้นก็อย่าเข้าไป จนกว่าจะได้รับอนุญาตแก่พวกเจ้า และเมื่อมีการกล่าวแก่พวกเจ้าว่า จงกลับไป ก็จงกลับไปมันเป็นการเหมาะสมยิ่งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
29. ไม่ถือเป็นความผิดแก่พวกเจ้าที่จะเข้าไปในสถานที่ใด ที่มิใช่เป็นที่พักอาศัย ซึ่ง ณ ที่นั้นมีสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺทรงรู้ดีสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผยและสิ่งที่พวกเจ้าปกปิด


คำแปล R5.
๒๗. โอ้ชนผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงอย่าเข้าบ้านใด ๆ ซึ่งมิใช่เป็นบ้านของตัวเอง จนกว่าพวกเจ้าจะขออนุญาตและกล่าวคำประสาทพรแก่คณะผู้อยู่ในบ้านนั้นเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตโดยสัญญาณหรือคำเชื้อเชิญจากผู้อยู่ในบ้านนั้นแล้ว พวกเจ้าจึงจะเข้าไปได้ แต่ถ้าเจ้าขออนุญาตถึงสามครั้งแล้วยังไม่ได้รับอนุญาตก็จงอย่าขืนเข้าไป การขออนุญาตและการกล่าวคำประสาทพรนั้นย่อมดีกว่าการถือวิสาสะเข้าไปโดยพลการและไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น สำหรับพวกเจ้าเอง ที่พระองค์อัลเลาะห์ได้ทรงมีบัญชาต่อเจ้าทั้งหลายในวัฒนธรรมดังกล่าวนั้นก็เพื่อสูเจ้าทั้งหลายจักได้ระลึกถึงคำบัญชาของพระองค์และรับมาปฏิบัติโดยเคร่งครัด
๒๘. แต่ถ้าสูเจ้าทั้งหลายไม่พบคนใดคนหนึ่งที่มีสิทธิจะอนุญาตให้สูเจ้าได้ในบ้านนั้น เช่น มีแต่ทาส คนใช้หรือเด็ก ๆ เป็นต้น สูเจ้าก็จงอย่าได้เข้าไป สูเจ้าจะต้องรอไปก่อนจนกว่าสูเจ้าทั้งหลายจะได้รับอนุญาตจากผู้มีสิทธิในบ้านหลังนั้นเสียก่อนจึงจะเข้าไปได้ ยกเว้นในกรณีที่ต้องเข้าไปโดยฉุกเฉินเพราะมีเรื่องจำเป็นอันรีบด่วนและเป็นอันตราย เช่น เข้าไปช่วยดับไฟหรือเข้าไปช่วยเหลือคนในบ้านให้พ้นจากอันตราย เป็นต้น และถ้าเจ้าของบ้านที่สูเจ้าประสงค์จะขออนุญาตเข้าไปนั้นได้กล่าวแก่สูเจ้าว่า “พวกท่านจงกลับไปเถิด” แสดงถึงการไม่อนุญาตให้เข้าในบ้านนั้น ดังนั้นสูเจ้าทั้งหลายก็จงกลับเถิด อย่าได้ขืนละลาบละล้วงเข้าไปหรือยังรีรออยู่หน้าบ้านเขาเป็นอันขาด การกลับนั้นมันเป็นที่บริสุทธิ์ยิ่งต่อสูเจ้าทั้งหลาย ทั้งในทางศาสนาและทางโลก สูเจ้าจะได้พ้นไปจากความเข้าใจผิดและถูกระแวงร้ายจากเจ้าของบ้าน และพระองค์อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่งในการประพฤติของสูเจ้าทั้งหลาย รวมทั้งเจตนาของการประพฤตินั้น ๆ ดังเช่น กรณีของการขออนุญาตเข้าบ้านผู้อื่น เป็นต้น
๒๙. ย่อมไม่เป็นการคับแค้นและเป็นบาปใด ๆ แก่สูเจ้าทั้งหลาย ที่จะเข้าบ้านหนึ่งบ้านใดที่มิได้สร้างไว้เพื่อการเขาอยู่อาศัยในนั้นของผู้ใด หากสร้างไว้เพื่อบริการเพียงชั่วครั้งชั่วคราวแก่สาธารณชน เช่น ที่พักแรม ห้องน้ำสาธารณะ ร้านค้าเป็นต้น ซึ่งในนั้นมีประโยชน์แก่สูเจ้าทั้งหลาย แก่ผู้อื่นด้วยเป็นส่วนรวม มิใช่สิทธิของผู้ใดโดยเฉพาะ และพระองค์อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ทั้งในสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผยและสิ่งที่พวกเจ้าปิดบังไว้ ในกรณีที่พวกเจ้าเข้าบ้านของผู้อื่น จะโดยเจตนาดีหรือร้ายก็ตาม พระองค์ทรงทราบทั้งสิ้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 30 - 31


คำแปล R1.
30. Tell the believing men to lower their gaze (from looking at forbidden things), and protect their private parts (from illegal sexual acts, etc.). That is purer for them. Verily, Allah is All-Aware of what they do.
31. And tell the believing women to lower their gaze (from looking at forbidden things), and protect their private parts (from illegal sexual acts, etc.) and not to show off their adornment except only that which is apparent (like palms of hands or one eye or both eyes for necessity to see the way, or outer dress like veil, gloves, head-cover, apron, etc.), and to draw their veils all over Juyubihinna (i.e. their bodies, faces, necks and bosoms, etc.) and not to reveal their adornment except to their husbands, their fathers, their husband's fathers, their sons, their husband's sons, their brothers or their brother's sons, or their sister's sons, or their (Muslim) women (i.e. their sisters In Islam), or the (female) slaves whom their right hands possess, or old male servants who lack vigour, or small children who have no sense of the shame of sex. And let them not stamp their feet so as to reveal what they hide of their adornment. And all of you beg Allah to forgive you all, O believers, that you may be successful.


คำแปล R2.
30. จงประกาศเถิดแก่มวลผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ให้พวกเขายับยั้งสายตาของพวกเขา(อย่ามองสิ่งต้องห้าม)และให้พวกเขารักษาอวัยวะเพศของพวกเขาไว้ นั้นเป็นความบริสุทธิ์ที่สุดสำหรับพวกเขา แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงตระหนักในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้
31. และจงประกาศเถิดแก่มวลสตรีผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ให้พวกนางยับยั้งสายตาของพวกนาง (อย่ามองสิ่งต้องห้าม)และให้พวกนางรักษาอวัยวะเพศของพวกนางไว้ และพวกนางจะต้องไม่เปิดเผย(ร่างกายส่วนที่สวมใส่)สิ่งประดับของพวกนาง(ให้ปรากฏแก่สายตาเพื่อนต่างเพศ) ยกเว้นส่วนที่เปิดเผยจากมัน(คือบางส่วนของร่างกายที่อนุญาตให้เปิดเผย) และพวกนางจงดึงผ้าคลุมศีรษะของพวกนางมาปิดไว้บนคอเสื้อของนางและพวกนางอย่าเปิดเผย(ร่างกายส่วนที่สวมใส่)เครื่องประดับของพวกนาง ยกเว้นแต่คู่ครองของพวกนาง หรือบิดาของพวกนางหรือบิดาของครู่ครองของพวกนาง หรือลูก ๆ ของพวกนาง หรือลูก ๆ ของคู่ครองของพวกนาง หรือพี่น้องผู้ชายของพวกนาง หรือลูก ๆ ของพี่น้องผู้ชายของพวกนาง หรือลูก ๆ ของพี่น้องผู้หญิงของพวกนางหรือบรรดาสตรีเพศเดียวกับพวกนางหรือบรรดาหญิงรับใช้ของพวกนางหรือหรือทาสหญิงที่พวกนางปกครองหรือบรรดาผู้ติดตามที่ไม่มีความต้องการทางเพศจากผู้ชาย(ที่มีอายุ) หรือเด็ก ซึ่งไม่สนใจต่ออวัยวะของผู้หญิงและพวกนางอย่าเคาะเท้าของพวกนาง (ให้เกิดเสียงดังจากเครื่องประดับ เช่นกำไลเท้า) เพื่อผู้อื่นจะได้รู้ถึงเครื่องประดับที่ปิดบังไว้และพวกเจ้าจงสารภาพโทษต่ออัลเลาะฮฺโดยพร้อมเพรียงกันเถิด โอ้มวลศรัทธาชนทั้งหลาย เพื่อพวกเจ้าจะได้ประสบชัยชนะ


คำแปล R3.
30. (โอ้ นบี) จงสั่งชายผู้ศรัทธาทั้งหลายให้ลดสายตาของพวกเขาลงต่ำและปกป้องส่วนต่าง ๆ อันพึงสงวนของพวกเขาไว้ นี่เป็นการผ่องแผ้วกว่าสำหรับสูเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่พวกเขากระทำ
31. และจงสั่งหญิงผู้ศรัทธาทั้งหลายให้ลดสายตาของพวกนางลงต่ำและปกป้องส่วนอันพึงสงวนของพวกนางและอย่าได้อวดเครื่องประดับของพวกนางเว้นแต่ที่มีนเป็นที่เปิดเผยอยู่แล้ว และให้นางดึงผ้าคลุมศีรษะของพวกนางมาปิดเหนือหน้าอกของพวกนางและจงอย่าให้พวกนางอวดเครื่องประดับของพวกนางยกเว้นแก่สามีของพวกนางหรือพ่อของพวกนางหรือพ่อของสามีของพวกนางหรือลูกชายของพวกนางหรือลูกชายของสามีของพวกนาง(จากภรรยาอื่น)หรือพี่ชายน้องชายของพวกนางหรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกนาง หรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกนาง หรือบรรดาผู้หญิงของพวกนางหรือบรรดาที่อยู่ในความครอบครองของนางหรือคนใช้ผู้ชายที่ไร้ความต้องการทางเพศหรือเด็กที่ยังไม่รู้จักเรื่องเพศเกี่ยวกับผู้หญิง และจงอย่าให้พวกนางกระทืบเท้าของพวกนางบนพื้นเพื่ออวดเครื่องประดับที่ซ่อนเร้น โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ยจงหันกลับมายังอัลลอฮฺเถิด เพื่อสูเจ้าจะได้รับความสำเร็จที่แท้จริง


คำแปล R4.
30. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มิน ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาทวารของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ
31. และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮฺให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอหรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺเถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ


คำแปล R5.
๓๐.โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ศรัทธาชนทั้งหลายเพื่อประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า พวกเขาจงลดสายตาลงทอดต่ำอย่าสอดส่ายมองแต่สิ่งที่ต้องห้ามตามศาสนบัญญัติ แม้นบังเอิญสายตาได้ประสบกับสิ่งต้องห้ามโดยไม่ตั้งใจก็จงรีบหันเหออกจากสิ่งนั้นโดยเร็วและพวกเขาจงป้องกันอวัยวะเพศของตัวเองไว้อย่าให้กระทบต่อการกระทำอันอนาจารต่าง ๆ ที่ขัดต่อศาสนบัญญัติ และต้องปิดปังมันไว้ให้พ้นจากการมองเห็นของผู้ใด การกระทำเช่นนั้นแหละเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งสำหรับพวกเขา โดยพ้นไปจากความระแวงสงสัยของผู้ใด แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์ทรงตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้เป็นอันดี
๓๑. และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวกับหญิงผู้มีศรัทธาทั้งหลายว่า พวกนางจะต้องลดสายตาของพวกนางลงต่ำ อย่าได้มองส่วนของร่างกายผู้อื่นที่ต้องห้ามตามศาสนบัญญัติ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม ส่วนต้องห้ามที่กล่าวมานั้นคือส่วนที่อยู่ระหว่างสะดือและหัวเข่าและหากพวกนางจะมองส่วนอันเกินไปจากนั้นถ้าด้วยความกำหนดก็ถือเป็นสิ่งต้องห้าม ต่ถ้าปราศจากความกำหนดก็ไม่เป็นไร แต่การลดสายตาไม่มองไปที่คนต่างเพศซึ่งอยู่ในฐานะที่แต่งงานกันได้นั้นย่อมจะเป็นผลดีแก่ตัวนางเอง และพวกนางจะต้องรักษาอวัยวะเพศของตนเองให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ อย่าได้ล่วงละเมิดต่อบทบัญญัติของศาสนาด้วยการประพฤติผิดทางเพศเป็นอันขาด และจะต้องปกปิดให้มิดชิด และพวกนางอย่าได้เปิดเผยร่างกายส่วนที่มักสวมใส่สิ่งประดับต่าง ๆ ต่อสายตาของบุคคลอื่น ๆ ยกเว้นบางส่วนของร่างกายที่อนุมัติให้เปิดเผยจากมันได้คือใบหน้าและฝ่ามือ และพวกนางจะต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะคลุมคอเสื้อของนางโดยมิดชิดโดยให้ผ้าที่คลุมศีรษะนั้นทำความยาวลงมาถึงส่วนคอเสื้อและคลุมส่วนนั้นไว้มิให้ลำคอและหน้าอกเปิดเผยต่อสายตาของผู้อื่นและพวกนางอย่าเปิดเผยร่างกายส่วนที่มักสวมใส่สิ่งประดับของพวกนางอันนอกไปจากใบหน้าและฝ่ามือต่อสายตาของผู้ใดทั้งสิ้นนอกจากต่อสามีของนาง หรือบิดาของนาง หรือบิดาของสามีหรือลูก ๆ ของนางเอง หรือลูก ๆ ของสามี หรือลูก ๆ ของนาง หรือลูก ๆ ของพี่น้องชายของนาง หรือลูก ๆ ของพี่น้องหญิงของนางหรือบรรดาสตรีด้วยกันหรือนางทาสที่นางได้ถือกรรมสิทธิ์ปกครอง หรือบรรดาชายผู้ติดตามคอยรับอาหารเหลือ ๆ จากกลุ่มชนต่าง ๆ ซึ่งเป็นผู้ปราศจากความต้องการทางเพศจากหญิงใด ๆ หรือเป็นเด็กที่ไม่เดียงสาต่ออวัยวะของหญิง เขาไม่มีความรู้สึกทางเพศเพราะยังเด็ก แม้จะได้มองเห็นร่างกายหรืออวัยวะบางส่วนของหญิงก็ตาม และนางทั้งหลายอย่ากระทืบเท้าของนางให้เกิดเสียงดังจากกำไลที่นางสวมใส่เพื่อผู้อื่นจะได้ทราบว่านางมีสิ่งประดับเช่นกำไลเท้าที่นางสวมใส่โดยซ่อนเร้น ณ อวัยวะที่นางต้องปิดบังให้มิดชิด คือข้อเท้าของนาง ซึ่งการกระทำเช่นนั้นเป็นการยั่วยวนเพศตรงข้ามให้สนใจต่อนาง และหญิงบางคนนั้นมักจะติดกระดิ่งไว้ที่กำไลเพื่อจะได้เกิดเสียงเวลาเดิน ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่บังควรอย่างยิ่ง และเจ้าทั้งหลายพึงสารภาพผิดกลับเนื้อกลับตัวต่ออัลเลาะห์โดยพร้อมเพรียงกันเถิดโอ้ชนผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้สมหวังโดยได้รับการอภัยโทษและได้เข้าสวรรค์ในที่สุด


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 32 - 34


คำแปล R1.
32. And marry those among you who are single (i.e. a man who has no wife and the woman who has no husband) and (also marry) the Salihun (pious, fit and capable ones) of your (male) slaves and maid-servants (female slaves). if they be poor, Allah will enrich them out of his bounty. And Allah is All-Sufficient for his creatures' needs, All-Knowing (about the state of the people).
33. And let those who find not the financial means for marriage keep themselves chaste, until Allah enriches them of his bounty. And such of your slaves as seek a writing (of emancipation), give them such writing, if you know that they are good and trustworthy. And give them something yourselves out of the wealth of Allah which He has bestowed upon you. And force not your maids to prostitution, if they desire chastity, in order that you may make a gain in the (perishable) goods of this worldly life. But if anyone compels them (to prostitution), then after such compulsion, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful (to those women, i.e. He will forgive them because they have been forced to do this evil action unwillingly).
34. and indeed we have sent down for you Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) that make things plain, and the example of those who passed away before you, and an admonition for those who are Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2).


คำแปล R2.
32. และพวกเจ้าจงทำการสมรสเถิดแก่ผู้เป็นโสดจากหมู่พวกเจ้า(ทั้งชายและหญิงและบรรดาผู้ประพฤติความดีจากทาสชายของพวกเจ้าและทาสหญิงของพวกเจ้า หากแม้นพวกเขาเป้นผู้ยากจน อัลเลาะฮฺก็จักทรงประทานความรวยแก่พวกเขาจากความโปรดปรานของพระองค์ และอัลเลาะฮฺทรงไพสาลยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
33. และบรรดาผู้ไม่ประสบผลในการสมรส(เพราะขาดปัจจัย เป็นต้น) จงสงวนตัวไว้(อย่าละเมิดความผิดทางเพศ)จนกว่าอัลเลาะฮฺจะทรงประทานความรวยแก่เขาจากความโปรดปรานของพระองค์ และบรรดาทาสที่พวกเขาครอบครอง ผู้แสวงหาหนังสือ(สัญญาปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระ)พวกเจ้าก็จงให้สัญญาปลดปล่อยแก่พวกเขาเถิดหากพวกเจ้ารู้ว่าเป็นผลดีสำหรับพวกเขา(ในการที่เขาได้รับอิสระ) และพวกเจ้าจงมอบแก่พวกเขาจากทรัพย์สินบางส่วนของอัลเลาะฮฺที่พระองค์ทรงประทานแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าอย่าบังคับทาสหญิงของพวกเจ้าให้ทำการละเมิดประเวณี หากพวกนางปรารถนาที่จะสงวนตัว(ไม่กระทำสิ่งนั้น) เพื่อพวกเจ้าแสวงหาผลประโยชน์ของชีวิตของโลกนี้ และผุ้ใดที่บังคับพวกนาง(ให้กระทำการดังกล่าว แล้วต่อมาเขาก็สำนึกผิดและสารภาพโทษ) แน่นอนที่สุด อัลเลาะฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัยยิ่ง อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง ภายหลังจากการบังคับพวกนาง(ได้ผ่านพ้นเป็นอดีตไปแล้ว)
34. ขอยืนยัน แท้จริงเราได้ให้ลงมายังพวกเจ้าซึ่งบรรดาบทบัญญัติอันชัดแจ้ง และตัวอย่างอันได้จากมวลชนที่ล่วงลับไปแล้วก่อนหน้าพวกเจ้า รวมทั้งคติธรรมแด่มวลผู้ยำเกรงอัลเลาะฮฺ


คำแปล R3.
32. และจงจัดการแต่งงานระหว่างชายโสดและหญิงโสดในหมู่สูเจ้าและระหว่างบ่าวชายและบ่าวหญิงที่มีคุณธรรมของสูเจ้า ถ้าหากพวกเขายากจนอัลลอฮฺจะทรงจัดหาปัจจัยให้พวกเขาจากความมั่งคั่งของพระองค์ อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงไพบูลย์ ผู้ทรงรอบรู้
33. และบรรดาผู้ไม่สามารถหาคู่แต่งงานได้นั้น จงให้พวกเขาข่มจิตใจไว้จนกระทั่งอัลลอฮฺทรงประทานปัจจัยแก่พวกเขาจากความมั่งคั่งของพระองค์และถ้าหากผู้ที่อยู่ในความครอบครองของสูเจ้าขอให้มีการทำสัญญาปลดปล่อย จงทำสัญญาปลดปล่อยให้พวกเขา ถ้าหากสูเจ้าพบสิ่งดีบางอย่างในตัวเขา และจงให้บางสิ่งแก่พวกเขาจากปัจจัยที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานแก่สูเจ้า และจงอย่าบังคับทาสหญิงของสูเจ้าให้ต้องเป็นโสเภณีเพื่อผลประโยชน์ทางโลกของสูเจ้าเมื่อนางเองต้องการจะรักษาความบริสุทธิ์ และถ้าหากผู้ใดบังคับพวกนางหลังจากการบังคับนั้น อัลลอฮฺจะทรงให้อภัยและความเมตตาแก่พวกนาง
34. เราได้ประทานอายะฮฺทั้งหลายเป็นทางนำอันชัดเจนแก่สูเจ้าและได้ยกตัวอย่างของผู้ที่ล่วงลับไปก่อนหน้าสูเจ้าเพื่อเป็นข้อตักเตือน และเราได้ให้ข้อตักเตือนสำหรับผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าแล้ว

 
คำแปล R4.
32. และจงให้พวกเจ้าแต่งงานกับผู้เป็นโสดในหมู่พวกเจ้า และกับคนดี ๆ จากปวงบ่าวผู้ชายของพวกเจ้า และบ่าวผู้หญิงของพวกเจ้า หากพวกเขายากจน อัลลอฮฺทรงให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นจากความโปรดปรานของพระองค์ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงไพบูลย์ ผู้ทรงรอบรู้
33. และบรรดาผู้ที่ยังไม่มีโอกาสแต่งงานก็จงให้เขาข่มความใคร่ จนกว่าอัลลอฮฺจะทรงให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นจากความโปรดปรานของพระองค์ และบรรดาผู้ที่ต้องการจะไถ่ตัวให้เป็นอิสระจากผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง พวกเจ้าจงทำสัญญากับพวกเขา หากพวกเจ้ารู้ว่าเป็นการดีกับพวกเขา และจงบริจาคแก่พวกเขาซึ่งทรัพย์สมบัติของอัลลอฮฺ ที่พระองค์ทรงประทานแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าอย่าบังคับบรรดาทาสีของพวกเจ้าให้ผิดประเวณี หากนางประสงค์จะอยู่อย่างบริสุทธิ์ แต่พวกเจ้าต้องการผลประโยชน์แห่งการดำรงชีวิตในโลกนี้ และผู้ใดบังคับพวกนางเช่นนั้น ดังนั้นหลังจากการบังคับพวกนาง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
34. และโดยแน่นอน เราได้ประทานโองการต่าง ๆ อันชัดแจ้งแก่พวกเจ้าแล้ว และอุทาหรณ์จากบรรดาผู้ได้ล่วงลับไปก่อนพวกเจ้า และข้อตักเตือนแก่บรรดาผู้ยำเกรง


คำแปล R5.
๓๒. และเจ้าทั้งหลายจงสมรสกับหญิงที่เป็นโสดจากพวกเจ้าและผู้เป็นนายจากเหล่าทาสทั้งหลาย จงจัดการสมรสแก่บรรดาที่มีคุณสมบัติที่ดีและมีความสามารถพร้อมที่จะทำการสมรส ไมว่าจะในด้านสุขภาพหรือทรัพย์สินก็ตาม ซึ่งบุคคลดังกล่าวมาจากทาสชายและทาสหญิงของพวกเจ้า แม้นพวกเขาทั้งหลายเป็นผู้อนาถาพระองค์อัลเลาะห์ก็จะทรงบันดาลให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นจากความโปรดปรานของพระองค์ด้วยการสมรสนั้น และพระองค์อัลเลาะห์ทรงเป็นผู้กว้างขวางในความโปรดปราน ซึ่งพระองค์ทรงประทานแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ไม่มีขอบเขตจำกัด พระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งเกี่ยวกับสภาพการต่าง ๆ ของพวกเหล่านั้น
๓๓. และบรรดาผู้ที่ไม่อาจจะสมรสได้ด้วยเหตุที่ยากจนจะต้องรักษาเกียรติของตนเองด้วยการไม่ล่วงละเมิดต่อบทบัญญัติของอัลเลาะห์ และเขาจะต้องระงับความต้องการทางเพศของเขาด้วยการถือศีลอดจนกว่าพระองค์อัลเลาะห์จะทรงประทานความรวยแก่พวกเขาจากความโปรดปรานของพระองค์ แล้วพวกเขาก็จะได้ทำการสมรสตามความประสงค์ของเขา และบรรดาทาสที่แสวงหนังสือสัญญาเพื่อการปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจากสถานะทาสด้วยอัตราการแลกเปลี่ยนที่แน่นอนจากทาสที่พวกเจ้าได้ถือกรรมสิทธิ์ ดังนั้นท่านทั้งหลายจงทำหนังสือสัญญาแก่พวกเขาเถิด แม้นเจ้าทั้งหลายได้ทราบถึงความดีอันจะพึงบังเกิดในพวกนั้น จากการทำหนังสือสัญญานั้น โดยพวกทาสเขาสามารถที่จะประกอบอาชีพหาทรัพย์มาชำระตามข้อสัญญาและเจ้าทั้งหลายจงร่วมสมทบมอบให้พวกเขาทาสผู้ขอหนังสือสัญญานั้น บางจำนวนจากทรัพย์สินของอัลเลาะห์ที่ได้ทรงประทานแก่สูเจ้า

   (ข้อความต่อไปนี้ประทานลงมาเกี่ยวกับการณีที่ชายคนหนึ่งชื่อ “อับดุลเลาะห์ บุตร อุบัย” ได้บังคับทาสหญิงของตนเองให้ค้าประเวณีกับชายทั่วไป)
   และสูเจ้าทั้งหลายจงอย่าบังคับทาสหญิงของตนเองให้ล่วงละเมิดการผิดประเวณีกับชายอื่น ๆ เมื่อนางปรารถนาที่จะรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซึ่งการกระทำของสูเจ้าดังกล่าวนั้น พวกเจ้ากระทำเพื่อพวกเจ้าแสวงหาผลประโยชน์แห่งชีวิตทางโลกนี้ อันได้แก่ทรัพย์สินเป็นค่าตอบแทน และใครที่บังคับพวกทาสหญิงเหล่านั้นให้กระทำการล่วงประเวณีเพื่อประโยชน์ดังกล่าว แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์จะทรงให้อภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่งหลังจากพวกนางถูกบังคับให้ค้าประเวณีเช่นนั้น และนายผู้บังคับนั้นแหละจะถูกลงโทษอย่างหนักจากพระองค์อัลเลาะห์
๓๔. และแท้จริงเราได้ประทานซึ่งบรรดาโองการอันชัดแจ้งและตัวอย่างแก่พวกเจ้าทั้งหลาย จากบรรดาผู้ที่ล่วงพ้นมาก่อนหน้าพวกเจ้า และคำเตือนแก่บรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 35


คำแปล R1.
35. Allah is the light of the heavens and the earth. the parable of his light is as (if there were) a niche and within it a lamp, the lamp is in glass, the glass as it were a brilliant star, lit from a blessed tree, an olive, neither of the east (i.e. neither it gets sun-rays only in the morning) nor of the west (i.e. nor it gets sun-rays only in the afternoon, but it is exposed to the sun all day long), whose oil would almost glow forth (of itself), though no fire touched it. Light upon Light! Allah guides to his light whom He wills. And Allah sets forth parables for mankind, and Allah is All-Knower of everything.

คำแปล R2.
35. อัลลอฮฺทรงเป็นรัศมี(ผู้ทรงชี้นำ)แห่งฟากฟ้าและแผ่นดิน อุปมารัศมี(ชี้นำ)ของพระองค์อุปมัยดั่งช่องทึบที่มีตะเกียงติดอยู่(แสงของตะเกียงย่อมสาดส่องภายในช่องนั้นอย่างเต็มที่และสว่างไสวที่สุด) ตะเกียงนั้นอยู่ในแก้ว(ใส ที่กรองแสงนั้นให้สะท้อนยิ่งขึ้น) แก้วนั้นประดุจดังดาวอันส่องแสงประกายที่ถูกจุดขึ้นจาก(น้ำมันที่ได้)จากต้นไม้อันยังประโยชน์อนันต์ประการ คือต้นซัยตูน ไม่เพียงแต่รับแสงขณะตะวันขึ้น และไม่เพียงแต่รับแสงขณะตะวันตกเท่านั้น(หากเป็นต้นไม้ที่รับแสงอยู่ตลอดเวลา) เพียงน้ำมันของมันก็เกือบจะส่งสกาวแสงอยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่มาดว่าจะยังไม่มีไฟมาสัมผัสกับมันเลยก็ตาม รัศมีอันเหนือกว่ารัศมีใด ๆ อัลเลาะฮฺทรงชี้นำสู่รัศมีของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลเลาะฮฺทรงยกอุทาหรณ์ต่าง ๆ แก่มวลมนุษย์(เพื่อนำมาเปรียบเทียบตรึกตรอง) และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่งนักในทุก ๆ สิ่ง

คำแปล R3.
35. อัลลอฮฺทรงเป็นแสงสว่างแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน แสงสว่างของพระองค์ (ในจักรวาล)นั้นอาจเปรียบได้กับ (แสงสว่างของ) ตะเกียงในช่องผนัง ตะเกียงนั้นอยู่ในโคมแก้ว โคมแก้วนั้นเหมือนกับดวงดาวที่ประกายแสง และตะเกียงนั้นดุถูกจุดด้วยน้ำมันมะกอกของต้นไม้อันจำเริญ ที่มิได้อยู่ทางตะวันออกและทางตะวันตก น้ำมันของมัน(ดี)ราวกับว่ามันจะส่องแสงออกมาด้วยตัวของมันเอง ถึงแม้ว่าจะไม่มีไฟจุดมันก็ตาม (มันก็จะได้รับ)แสงสว่างเหนือแสงสว่าง อัลลอฮฺทรงนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ยังแสงสว่างของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงยกอุปมาต่าง ๆ เพื่อมนุษย์จะได้เกิดความกระจ่าง พระองค์ทรงมีความรอบรู้ทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์

คำแปล R4.
35. อัลลอฮฺทรงเป็นดวงประทีปแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินอุปมาดวงประทีปของพระองค์เสมือนดังช่องตามผนังที่มีตะเกียงตะเกียงนั้นอยู่ในโคมแก้ว โคมแก้วเป็นเสมือนดวงดาวที่ประกายแสง ถูกจุดจากน้ำมันของต้นไม้ที่มีความจำเริญคือต้นมะกอกมันมิได้อยู่ทางตะวันออก และมิได้อยู่ทางตะวันออก น้ำมันของมันแทบประกายแสงออกมา แม้นว่าไฟมิได้กระทบมันดวงประทีปซ้อนดวงประทีป อัลลอฮฺทรงนำทางด้วยดวงประทีปของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺทรงยกอุทาหรณ์ทั้งหลายนี้เพื่อมนุษยชาติและอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง

คำแปล R5.
๓๕. อัลเลาะห์ทรงเป็นผู้ชี้นำอันเปรียบได้ดั่งรัศมีแห่งฟากฟ้าและแผ่นดินพระองค์ทรงส่งศาสนทูตโดยนำพระองค์การจากพระองค์มาประกาศเผยแพร่ จึงอำนวยให้มนุษยชาติทั้งหลายได้รับแสงสว่างจากการชี้นำของพระองค์ อุปมาแห่งรัศมีของพระองค์นั้นอุปมัยดั่งโคมที่มีดวงประทีปอยู่ภายใน อันดวงประทีปนั้นบรรจุอยู่ในหลอดแก้ว อันหลอดแก้วนั้นกำจายแสงของมันออกสู่รอบทิศทางและสู่ระยะทางอันไกลโพ้นคล้ายกับมันเป็นดาวอันสกาวแสงกระนั้น ซึ่งมันถูกจุดให้สว่างขึ้นด้วยน้ำมันที่ได้จากต้นไม้อันมีมงคลคือต้นมะกอกเทศซึ่งมีคุณประโยชน์อันอเนกประการแก่มวลมนุษย์และมันถูกปล่อยอยู่บนภูเขาอันสูงตระหง่าน หรือกลางทุ่งอันกว้างสุดสายตา จึงไม่มีสิ่งใดมาบดบังมันทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ทางทิศตะวันออก และไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตกก็ตาม แต่มันจะต้องได้สัมผัสกับแสงอาทิตย์ตลอดเวลาจากทุกด้าน ทุกทิศของมัน ทั้งจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เริ่มตั้งแต่ ดวงอาทิตย์ขึ้นจนดวงอาทิตย์ตก ซึ่งน้ำมันจองต้นมะกอกเทศนั้น มันเกือบจะสว่างเพราะความใสบริสุทธิ์ และแม้ไฟมิได้สัมผัสมันเลยก็ตาม เป็นรัศมีอันอันสว่างไสวที่ทวีเหนือรัศมีใด ๆ ด้วยโคมกระจก ประทีปและน้ำมัน ทั้งหมดนี้ช่วยให้เกิดความสว่างจนสุดที่จะประมาณได้ พระองค์อัลเลาะห์ทรงชี้นำแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์สูรัศมีแห่งสัจธรรมของพระองค์ คือศาสนาอิสลาม และอัลเลาะห์ทรงยกอุทาหรณ์ต่าง ๆ แก่มวลมนุษย์เพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจสัจธรรมของพระองค์ และอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่งกับทุกสิ่งทุกอย่าง

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 36 - 38


คำแปล R1.
36. In houses (mosques), which Allah has ordered to be raised (to be cleaned, and to be honoured), in them his Name is glorified in the mornings and in the afternoons or the evenings,
37. Men whom neither trade nor sale diverts them from the remembrance of Allah (with heart and tongue), nor from performing As-Salat (Iqamat-as-Salat), nor from giving the Zakat. They fear a Day when hearts and eyes will be overturned (from the horror of the torment of the Day of Resurrection).
38. That Allah may reward them according to the best of their deeds, and add even more for them out of his Grace. And Allah provides without measure to whom He wills.


คำแปล R2.
36. (รัศมีแห่งการชี้นำจักส่องอยู่)ในบ้านต่าง ๆ ที่อัลเลาะฮฺทรงอนุญาตให้ยกย่องและกล่าวถึงพระนามของพระองค์ในนั้นอีกทั้งในนั้น(เหมือนกัน)ที่มีการแซ่ซ้องสดุดีพระบพิตรธิคุณแด่พระองค์ ทั้งในยามเช้าและยามเย็น
37. (ความดีเหล่านั้นได้ปฏิบัติโดย)กลุ่มบุรุษซึ่งการค้าและการขายไม่อาจทำให้พวกเขาลืมการกล่าวระลึกถึงอัลเลาะฮฺและการดำรงการละหมาด รวมทั้งการบริจาคทานซะกาต พวกเขามีความหวาดกลัววัน(กิยามะฮฺ)ซึ่งหัวใจทั้งหลายและดวงตาทั้งหลายจะพลิกกลับ(ไปกลับมาด้วยความวิตก มองหาคนช่วยแต่ไม่มีใครช่วยได้)
38. (พวกที่กระทำความดีดังกล่าว)เพื่ออัลเลาะฮฺจะทรงตอบสนองพวกเขาอย่างดีที่สุด แก่สิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้ และพระองค์ทรงเพิ่มพูนแก่พวกเขา จากความโปรดปรานของพระองค์ และอัลเลาะฮฺทรงประทานโชคผลแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยไม่มีการคำนวณ

 
คำแปล R3.
36. (บรรดาผู้ได้รับทางนำสู่แสงสว่างของพระองค์นั้นจะพบได้)ในบ้านที่พระองค์ได้บัญชาให้ยกขึ้นและเพื่อเอ่ยน้ำของพระองค์ในนั้น คนพวกนี้แซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ในนั้นทั้งยามเช้าและยามเย็น
37. พวกเขาเป็นคนที่การค้าขายมิได้ทำให้พวกเขาหันห่างออกจากการระลึกถึงอัลลอฮิและการดำรงนมาซและการจ่ายซะกาต เพราะพวกเขากลัววันที่หัวใจจะปวดร้าวและสายตาจะเหลือกลาน
38. (และพวกเขาปฏิบัติเช่นนี้) เพื่อที่อัลลอฮฺจะได้ตอบแทนพวกเขาสำหรับการทำดีและเพื่อที่พระองค์จะได้ทรงเพิ่มพูนความโปรดปรานของพระองค์แก่พวกเขา และอัลลอฮฺจะทรงประทานปัจจัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยไม่มีการคำนวณ


คำแปล R4.
36. ในบรรดาบ้าน (หมายถึงมัสยิด) อัลลอฮฺทรงอนุญาตให้เทิดพระเกียรติ และให้พระนามของพระองค์ถูกรำลึกอยู่เสมอ เพื่อที่จะแซ่ซ้องสดุดีแด่พระองค์ในนั้น ทั้งในยามเช้าและยามพลบค่ำ
37. บรรดาชายผู้ที่การค้าและการขายมิได้ทำให้พวกเขาหันห่างออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺและการดำรงละหมาด และการจ่ายซะกาต เพราะพวกเขากลัววันที่หัวใจและสายตาจะเหลือกลานในวันนั้น
38. เพื่ออัลลอฮฺจะทรงตอบแทนพวกเขาอย่างดีเยี่ยม ตามที่พวกเขาได้กระทำไว้ และพระองค์จะทรงเพิ่มให้พวกเขาอีกจากความโปรดปรานของพระองค์ และอัลลอฮฺทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยปราศจากการคำนวณ


คำแปล R5.
๓๖. ในบรรดาวิหารแห่งอัลเลาะห์ คือ มัสยิดต่าง ๆ นั้น อัลเลาะห์ได้ทรงบัญชาให้ยกย่องมันด้วยการขจัดสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ออกให้สิ้นและทรงบัญชาให้กล่าวพระนามของพระองค์ในมัสยิดเหล่านั้น ในมัสยิดเหล่านั้นจะมีการกล่าวสดุดีในพระบพิตรธิคุณแด่พระองค์อัลเลาะห์ ทั้งยามเช้าและยามเย็น
๓๗. ผู้ที่กล่าวสดุดีนั้นคือ บุรุษกลุ่มหนึ่งซึ่งเขาทำการค้าเป็นปกติ แต่การค้าและการขายไม่ทำให้เขาเพลิดเพลินจนทิ้งการระลึกถึงอัลเลาะห์ และการดำรงละหมาดและการบริจาคซะกาตเพราะพวกเขาทราบดีว่าที่พระองค์อัลเลาะห์นั้น มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เหนือกว่าและดีกว่าที่เขาจะพึงใฝ่หาจากโลกปัจจุบันอย่างแน่นอน บรรดากลุ่มบุรุษผู้กล่าวสดุดีพระเจ้าในมัสยิดนั้น พวกเขามีความกลัวการลงโทษที่จะอุบัติขึ้นในวันหนึ่งคือวันปรภพ ซึ่งบรรดาจิตใจและดวงตาทั้งหลายต่างสะทกสะท้านหวาดกลัวสุดขีดต่อสภาวการณ์ต่าง ๆ อันปรากฏในวันนั้น
๓๘. การที่พวกเขากล่าวสดุดี ทำละหมาด บริจาคซะกาต พร้อมกับความกลัวต่อวันปรภพนั้น พวกเขากระทำลงไปเพื่ออัลเลาะห์จะทรงตอบแทนพวกเขาอย่างดีงามที่สุดจากที่พวกเขาได้ประพฤติไว้ และเพื่อพระองค์ทรงเพิ่มพูลแก่พวกเขาจากความโปรดปรานของพระองค์ ส่วนความผิดพลาดที่พวกเขาได้กระทำไว้นั้นพระองค์จะทรงอภัยแก่พวกเขา และอัลเลาะห์ทรงประทานโชคผลแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยไม่มีการคำนวณพระองค์ทรงประทานแก่เขาอย่างกว้างขวางและมหาศาลสุดที่จะคณานับได้


 

GoogleTagged