ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบายตอนที่ 24 อันนูรฺ  (อ่าน 5728 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 39 -40


คำแปล R1.
39. As for those who disbelieve, their deeds are like a mirage in a desert. The thirsty one thinks it to be water, until he comes up to it, he finds it to be nothing, but he finds Allah with him, who will pay him his due (Hell). And Allah is swift in taking account.
40. Or [the state of a disbeliever] is like the darkness in a vast deep sea, overwhelmed with a great wave topped by a great wave, topped by dark clouds, darkness, one above another, if a man stretches out his hand, he can hardly see it! And he for whom Allah has not appointed light, for him there is no light.


คำแปล R2.
39. และบรรดาผู้ไร้ศรัทธาทั้งหลาย ผลงานของพวกเขาเปรียบประดุจดังภาพแสงลวงตาที่เห็นปรากฏ ณ ทุ่งราบกว้าง ผู้กระหายคิดว่ามันเป็นน้ำ จนเมื่อเขาเขาหามัน เขาก็ก็ไม่พบมันเป็นสิ่งใดเลย (นอกจากความว่างเปล่า) และเขาได้พบว่า(ประกาศิตแห่ง) อัลเลาะฮฺอยู่ที่(ผลงานของ)เขา ดังนั้นพระองค์ย่อมสอบสวนมันอย่างถี่ถ้วน และอัลเลาะฮฺทรงสอบสวนอย่างรวดเร็วยิ่ง
40. หรือ(พวกไร้ศรัทธานั้น)เปรียบประดุจดังความมืดทั้งหลายที่อยู่ในท้องทะเลอันลึกลับ ซึ่งมีคลื่นครอบคลุมมันไว้ จากเบื้องบนของมันก็มีคลื่น จากเบื้องบนขึ้นไปอีกก็มีเมฆอันหนาทึบ ความมืดทั้งหลายบางส่วนอยู่เหนืออีกบางส่วน(สลับซับซ้อนยิ่งนัก) เมื่อเขายื่นมือของเขาออกไป เขาเกือบจะมองมือของเขาไม่เห็น(เพราะความมืดสนิทนั้น ๆ ) และผู้ใดซึ่งอัลเลาะฮฺไม่ทรงบันดาลรัศมีไว้แก่เขา เขาก็จะไม่มีรัศมีใด ๆ ทั้งสิ้น


คำแปล R3.
39. (ในทางตรงกันข้าม) การงานของบรรดาผู้ปฏิเสธอาจเปรียบได้กับภาพลวงตาในทะเลทรายที่แห้งแล้งซึ่งคนกระหายคิดว่าเป็นน้ำ แต่เมื่อเขาไปถึงที่นั่นเขาก็ไม่พบสิ่งใด แต่ที่นั่นเขาได้พบอัลลอฮฺผู้ทรงชำระบัญชีเขาอย่างครบถ้วน และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงฉับไวในการชำระ
40. หรือ(ความพยายามของพวกเขาอาจเปรียบได้กับผู้พยายามว่า)ในทะเลที่มืดลึกและปกคลุมไปด้วยคลื่นใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าและเหนือขึ้นไปเป็นเมฆทึบทับซ้อนกันจนถ้าหากเขายืดแขนของเขาออกไปเขาก็ไม่สามารถมองเห็นมัน และไม่มีแสงสว่างสำหรับผู้ใดที่อัลลอฮฺไม่ทรงให้แสงสว่าง


คำแปล R4.
39. และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น การงานของพวกเขาเปรียบเสมือนภาพลวงตาในที่ราบโล่งเตียน คนกระหายน้ำคิดว่ามันเป็นแอ่งน้ำ เมื่อเขามาถึงมันเขาจะไม่พบสิ่งใดเลย แต่เขาได้พบอัลลอฮฺทรงอยู่ประจันหน้าเขา แล้วพระองค์ทรงตอบแทนบัญชีการงานของเขาอย่างครบครัน และอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นผู้รีบเร่งในการตอบแทน
40. หรือเปรียบเสมือนความมืดมนทั้งหลายในท้องทะเลลึก มีคลื่นซ้อนคลื่นท่วมมิดตัวเขาและเบื้องบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า เมื่อเขาเอามือของเขาออกมาเขาแทบจะมองไม่เห็นมัน และผู้ใดที่อัลลอฮฺไม่ทรงทำให้เขาได้รับแสงสว่าง เขาก็จะไม่ได้รับแสงสว่างเลย


คำแปล R5.
๓๙. และบรรดาผู้เนรคุณทั้งหลาย อันความประพฤติต่าง ๆ ของพวกนั้น หาแก่นสารใด ๆ ไม่ได้เลย เปรียบดังภาพลวงตาที่เห็น ณ พื้นดินที่ราบกว้าง ซึ่งบรรดาผู้กระหายน้ำคิดว่าภาพนั้นคือน้ำ จนเมื่อเขามาถึงมัน เขาก็ไม่พบมันเป็นสิ่งใดเลย นอกจากความว่างเปล่า และเมื่อมองออกไปอีก เขาก็เห็นอย่างนั้นอีก แต่ถ้าจะเดินไปสู่จุดที่เขาเห็น เขาก็จะพบแต่ความว่างเปล่าเหมือนเดิม และเขาจะต้องได้ประสบการลงโทษของอัลเลาะห์ เพื่อตอบแทนความประพฤติที่ตัวเขาประกอบไว้ แล้วพระองค์ก็จะทรงสอบสวนความผิดของเขาอย่างครบถ้วน และอัลเลาะห์ทรงรวดเร็วในการสอบสวนและการตอบแทน
๔๐. หรือถ้าจะเปรียบเทียบความประพฤติต่าง ๆ ของพวกเนรคุณอีกลักษณะหนึ่งก็เปรียบได้ประดุจดังความมืดต่าง ๆ ในท้องทะเลอันลึกล้ำ ซึ่งมีคลื่นปกคลุมมันไว้ จากด้านบนของมัน คือคลื่น และจากด้านบนของอีกชั้นหนึ่งของมันคือเมฆ ความมืดในที่นี้เป็นข้อเปรียบเทียบความประพฤติต่างของบรรดาผู้เนรคุณ ทะเลคือหัวใจของพวกนั้นที่มีความโฉดเขลาอยู่ท่วมท้น และความหลงงมงายได้ปกคลุมเต็มไปหมด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถจะพิพนิจพิเคราะห์ถึงโองการต่าง ๆ ของพระองค์อัลเลาะห์ได้ และไม่รับฟังคำตักเตือนของผู้ใดทั้งสิ้น บรรดาความมืด ซึ่งบางส่วนของมันอยู่เหนืออีกบางส่วน ต่างส่วนต่างก็ปกคลุมซึ่งกันและกันไว้ สืบเนื่องจากคลื่นอันบ้าคลั่งซึ่งถาโถมเข้าหากันอย่างสลับซับซ้อนจนทำให้ความมืดแห่งท้องทะเลเพิ่มขึ้นจนสุดจะประมาณได้ ความมืดทะมึนของท้องทะเลนั้นรุนแรงจนถึงขนาดที่ว่า เมื่อใครคนหนึ่งยื่นมือของเขาออกไปจากตัวของเขา เขาเกือบจะมองมันไม่เห็น และผู้ใดก็ตามซึ่งอัลเลาะห์มิได้บันดาลรัศมีแห่งการชี้นำให้แก่เขา แน่นอนเขาก็จะไม่มีรัศมีใด ๆ ทั้งสิ้นที่จะนำไปสู่ทางรอดนอกจากเขาจะต้องละล้าละลังอยู่กับความหลงงมงายของเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 41 - 42


คำแปล R1.
41. See you not (O Muhammad) that Allah, He it is whom glorify whosoever is in the heavens and the earth, and the birds with wings out-spread (in their flight). Of each one He (Allah) knows indeed his Salat (prayer) and his glorification, [or everyone knows his Salat (prayer) and his glorification], and Allah is All-Aware of what they do.
42. And to Allah belongs the sovereignty of the heavens and the earth, and to Allah is the return (of all).


คำแปล R2.
41. เจ้าไม่รู้หรือว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺนั้นสรระสิ่งในฟากฟ้าและแผ่นดินต่างก็แซ่ซ้องสดุดีพระบพิตรธิคุณแด่พระองค์ รวมทั้งนกที่บินเป็นแถว(ฝูง ๆ) ทั้งหมดนั้นล้วนรู้ถึงหน้าที่การทำนมัสการ และการแซ่ซ้องสดุดีพระบพิตรธิคุณของตน(ต่ออัลเลาะฮฺ) และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง ในสิ่งที่พวกเขากระทำ
42. และอัลเลาะฮฺทรงอำนาจสิทธิ์ในการบริหารฟากฟ้าและแผ่นดิน และยังอัลเลาะฮฺเท่านั้น เป็นที่กลับคืน(ของทุก ๆ สิ่ง)


คำแปล R3.
41. สูเจ้าไม่สังเกตหรือว่าผู้อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและหมู่นกที่กางปีกออกนั้นกำลังสววเสริญสดุดีอัลลอฮฺ ? แต่ละสิ่งรู้ถึงการสวดวิงวอนและการสรรเสริญสดุดีของตน และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่พวกเขากระทำ
42. อาณาจักรแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นของอัลลอฮฺองค์เดียว และทั้งหมดจะต้องกลับไปหาพระองค์


คำแปล R4.
41. เจ้ามิเห็นดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และนกที่กางปีกอยู่ ต่างก็แซ่ซ้องสดุดีพระองค์ ทั้งหมดนั้นต่างก็รู้การสวดขอพรของเขาและการแซ่ซ้องสดุดีของเขา และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ
42. และอำนาจอันเด็ดขาดแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้น เป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และยังอัลลอฮฺคือจุดหมายปลายทาง


คำแปล R5.
๔๑. เจ้าไม่รู้หรือว่า ที่จริงพระองค์อัลเลาะห์นั้นทรงได้รับการสดุดีพระบพิตธิคุณจากผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดิน และมวลสกุณาที่ร่อนอยู่กลางอากาศ ทุก ๆ สิ่งนั้นต่างก็รู้การนมัสการแด่อัลเลาะห์และการกล่าวสดุดีพระบพิตธิคุณแด่อัลเลาะห์ของตนเอง จากพระองค์อัลเลาะห์ โดยดลให้เขาได้รู้อย่างละเอียดจนทำนมัสการได้ถูกต้องและกล่าวสดุดีได้ถูกต้อง และอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่งกับสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ ดังนั้นพระองค์จึงทรงตอบแทนผลแห่งการกระทำของพวกเขาในวันปรภพอย่างครบถ้วนและยุติธรรมที่สุด
๔๒. และการปกครองชั้นฟ้าและแผ่นดินนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของอัลเลาะห์และทุกสิ่งจะต้องกลับไปสู่อัลเลาะห์ทั้งสิ้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 43 - 45


คำแปล R1.
43. See you not that Allah drives the clouds gently, then joins them together, then makes them into a heap of layers, and you see the rain comes forth from between them. And He sends down from the sky hail (like) mountains, (or there are in the heaven mountains of hail from where He sends down hail), and strike therewith whom He will, and averts it from whom He wills. The vivid flash of its (clouds) lightning nearly blinds the sight. [Tafsir At-Tabari].
44. Allah causes the night and the day to succeed each other (i.e. if the day is gone, the night comes, and if the night is gone, the day comes, and so on). Truly, in these things is indeed a lesson for those who have insight.
45. Allฟh has created every moving (living) creature from water. Of them there are some that creep on their bellies, some that walk on two legs, and some that walk on four. Allah creates what He wills. Verily! Allah is able to do all things.


คำแปล R2.
43. เจ้าไม่สังเกตดอกหรือ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงขับเมฆ(ให้ล่องลอยไปยังทิศทางต่าง ๆ ตามแต่พระองค์ทรงประสงค์) หลังจากนั้นพระองค์ทรงบันดาลให้มีการประสานกันระหว่างมัน หลังจากนั้นทรงบันดาลให้มันเป็นกลุ่มก้อนมหึมา แล้วเจ้าก็มองเห็นน้ำฝนออกมาจากซอกของมัน และพระองค์ทรงให้ฝนลูกเห็บตกลงมาจากฟ้า จาก(เมฆอันมองดุประหนึ่ง)ภูเขา แล้วพระองค์ก็ให้ลูกเห็บนั้นประสบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงผันแปรมันออกไปจากผุ้ที่พระองค์ทรงประสงค์ อันประกายแสงจากฟ้าแลบแห่งเมฆนั้น เกือบจะขัดสายตา(ให้มืดบอดลงในบัดดล)
44. อัลเลาะฮฺทรงสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวัน แท้จริงในนั้นเป็นข้อเตือนสติแก่บรรดาผู้มีวิจารณญาณ
45. และอัลเลาะฮฺทรงบันดาลสัตว์ทุกตัวมาจากน้ำ ซึ่งบางชนิดจากพวกมันเป็นสัตว์ที่เลื้อยไปบนท้องของมัน เช่น งู) และบางชนิดเป็นสัตว์ที่เดินบนขาสองข้าง และบางชนิดเป็นสัตว์ที่เดินบนสี่ขา อัลเลาะฮฺทรงบันดาลสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง


คำแปล R3.
43. สูเจ้าไม่สังเกตหรือว่าอัลลอฮิได้ทำให้เมฆเคลื่อนไหวอย่างนิ่มนวลแล้วทระนงทำให้มันรวมกัน แล้วทรงรวมมันขึ้นเป็นเมฆก้อนหนา หลังจากนั้นสูเจ้าก็ได้เห็นน้ำฝนหลั่งลงมาจากมัน และพระองค์ได้ทรงส่งลูกเห็บจากภูเขาสูงใหญ่ในชั้นฟ้า แล้วพระองค์ทรงให้มันตกลงมายังผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และให้มันพ้นไปจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ หลังจากนั้นเขาก็ได้เห็นแสงฟ้าแลบแปลบจากมัน
44. พระองค์ทรงสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวัน แท้จริงในนั้นมีบทเรียนสำหรับผู้มีสายตาสังเกต
45. และอัลลอฮฺทรงสร้างสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งจากน้ำชนิดหนึ่ง ในจำนวนนั้นมีบางประเภทที่เคลื่อนไหวด้วยท้อง บางประเภทเคลื่อนไหวด้วยขาทั้งสอง และบางประเภทเคลื่อนไหวด้วยขาทั้งสี่ แท้จริงอัลลอฮฺทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ เพราะอัลลอฮฺทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง


คำแปล R4.
43. เจ้ามิได้เห็นดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงให้เมฆลอย แล้วทรงทำให้ประสานตัวกันแล้วทรงทำให้รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แล้วเจ้าก็จะเห็นฝนโปรยลงมาจากกลุ่มเมฆนั้น และพระองค์ทรงให้มันตกลงมาจากฟากฟ้า มีขนาดเท่าภูเขา ในนั้นมีลูกเห็บ แล้วพระองค์จะทรงให้มันหล่นลงมาโดนผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์จะทรงให้มันผ่านพ้นไปจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ แสงประกายของสายฟ้าแลบเกือบจะเฉี่ยวสายตาผู้มอง
44. อัลลอฮฺทรงให้กลางคืนและกลางวันหมุนเวียนกลับไปกลับมา แท้จริงในลักษณะเช่นนั้นแน่นอนมันเป็นข้อเตือนสติแก่ผู้มีสายตาพิจารณา
45. และอัลลอฮฺทรงให้บังเกิดสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจากน้ำ ดังนั้นในหมู่พวกมัน มันจะเคลื่อนย้ายด้วยท้องของมันและในหมู่พวกมัน มันจะเดินด้วยเท้าทั้งสอง และในหมู่พวกมัน มันจะเดินด้วยเท้าทั้งสี่ อัลลอฮฺทรงบังเกิดสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ แท้จริง อัลลอฮฺนั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง

 
คำแปล R5.
๔๓. เจ้าไม่รู้หรือว่า ที่จริงพระองค์อัลเลาะห์ทรงไล่ก้อนเมฆด้วยลม จากที่มันกระจายอยู่ตามชั้นบรรยากาศ ซึ่งเกิดขึ้นจากการระเหยของน้ำ ต่อมาพระองค์ทรงประสานในระหว่างส่วนอันกระจัดกระจายของเมฆนั้นให้ค่อย ๆ รวมตัวกัน ต่อมาพระองค์ทรงบันดาลให้เป็นกลุ่มก้อน ค่อย ๆ ลอยต่ำลงมา แล้วเจ้าก็เห็นฝนออกจากซอก ๆ ของมัน (เมฆ) และพระองค์ทรงบันดาลให้ลงมาจากฟากฟ้า เปรียบได้ดั่งภูเขาซึ่งอุบัติขึ้นในฟากฟ้านั้น มันคือหิมะ แล้วพระองค์ทรงดลบันดาลให้มัน(ก้อนหิมะ) ประสบแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ ซึ่งเขาก็จะได้ประโยชน์จากมันเป็นอเนกประการ หรืออาจจะได้รับอันตรายจากมันก็ได้ เมื่อมันมีมากเกินความจำเป็น และพระองค์ทรงผันมัน(ก้อนหิมะ) ออกจากบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ว่าจะไม่ให้ประสบแก่เขา โดยแสงฟ้าแลบของมันนั้นเกือบจะทำให้ดวงตาทั้งหลายที่เฝ้าดูมันต้องดับสูญ
๔๔. พระองค์อัลเลาะห์ทรงเปลี่ยนแปลงกลางคืนและกลางวันอยู่เสมอ โดยให้มีกลางคืนบ้าง กลางวันบ้างสลับกันไป แท้จริงในการเปลี่ยนแปลงกลางคืนกลางวันนั้น เป็นอนุสติแก่ผู้มีวิจารณญาณ ซึ่งได้สังเกตและพิจารณาความเป็นไปต่าง ๆ ของสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขา
๔๕. และอัลเลาะห์ทรงบันดาลสรรพสัตว์ทั้งมวลจากน้ำอสุจิ แท้จริงบางชนิดจาดมันเป็นสิ่งที่เดินบนท้องของตัวเอง ได้แก่สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย หนอน และปลา และบางชนิดจากมันเป็นสิ่งที่เดินบนสองเท้า เช่น มนุษย์และนก เป็นต้น และบางชนิดจากมันเป็นสิ่งที่เดินบนสี่ขา เช่น ปศุสัตว์ และสัตว์ป่าต่าง ๆ อัลเลาะห์ทรงบันดาลสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ ทั้งที่ได้กล่าวไว้แล้วและอื่น ๆ อีกมากมายมหาศาล แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์ทรงอานุภาพเหนือทุก ๆ สิ่งที่จะทรงบันดาลให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ ซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยที่จะขัดขืนพระองค์ได้


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 46 - 50
 

คำแปล R1.
46. We have indeed sent down (in this Qur'an) manifest Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, lawful and unlawful things, and the set boundaries of Islamic religion, etc. that make things clear showing the Right Path of Allah). And Allah guides whom He wills to a Straight Path (i.e. to Allah's Religion of Islamic Monotheism).
47. They (hypocrites) say: "We have believed in Allah and in the Messenger (Muhammad), and we obey," Then a party of them turn away thereafter, such are not believers.
48. And when they are called to Allah (i.e. his words, the Qur'an) and his Messenger (Muhammad), to judge between them, Lo! A party of them refuse (to come) and turn away.
49. But if the right is with them, they come to him willingly with submission.
50. Is there a disease in their hearts? Or do they doubt or fear lest Allah and his Messenger (Muhammad) should wrong them in judgment. Nay, it is they themselves who are the Zalimun (polytheists, hypocrites and wrong-doers, etc.).


คำแปล R2.
46. แท้จริงเราได้ลงบรรดาบทบัญญัติอันชัดแจ้งมา (นังมนุษย์โลกทั้งหลายเพื่อแจกแจงหลักสัจธรรมต่าง ๆ )และอัลเลาะฮฺทรงชี้นำแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่แนวทางอันเที่ยงตรง
47. และพวกเขา (ผู้ไม่ประสงค์แนวทางสัจธรรม) กล่าวว่า “เราศรัทธาต่ออัลเลาะฮฺ และต่อศาสนทูต และเราภักดี” แต่หลังจากนั้นคนกลฃุ่มหนึ่งจากพวกเขาก็หันหลังให้ (คำบัญชาของอัลเลาะฮฺและคำสั่งของสาสนทูต) ภายหลังจากนั้น และพวกเขาหาใช่ผู้ศรัทธาโดยเที่ยงแท้ไม่
48. และเมื่อพวกเขาถูกเชิญชวนสู่(คำบัญชาของ)อัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ เพื่อพระองค์ทรงตัดสินระหว่างพวกเขา พลันก็มีคนกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาหันหลังให้(คำเชิญชวนนั้น ทั้งนี้หากคำตัดสินดังกล่าวไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกเขา)
49. และหากพวกเขามีสิทธิอันยังประโยชน์แก่พวกเขา(จากคำตัดสินนั้น)พวกเขาก็จะมาหาเขา(ศาสนทูต)โดยอาการน้อมภักดี
50. เป็นเพราะในหัวใจของพวกเขามีความป่วยไข้, หรือเป็นเพราะพวกเขามีความลังเล, หรือเป็นเพราะพวกเขามีความหวั่นกลัวว่าอัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์จะทรงลำเอียงต่อพวกเขา(ความเป็นจริงอัลเลาะฮฺและศาสนทูตไม่ได้อธรรมต่อพวกเขาเลย) ทว่าพวกเหล่านั้นเป็นพวกที่อธรรม(ต่อตัวพวกเขาเอง)


คำแปล R3.
46. เราได้ประทานอายะฮฺทั้งหลายที่ทำให้ความจริงเป็นที่ง่ายดายมาแล้ว อย่างไรก็ตาม อัลลอฮิทรงนำทางผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปยังหนทางที่ถูกต้อง
47. คนเหล่านี้กล่าวว่า “เราศรัทธาในอัลลอฮฺและรอซูลและเรายอมจำนนเชื่อฟัง” แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็หันกลับไป(จากการเชื่อฟัง) คนเช่นนี้ไม่ใช่ผู้ศรัทธาที่แท้จริง
48. และเมื่อพวกเขาถูกเรียกร้องยังอัลลอฮฺและรอซู,ของพระองค์เพื่อที่เขาจะได้ตัดสินระหว่างพวกเขา กลุ่มหนึ่งของพวกเขาก็หันออกไป
49. แต่ถ้าหากความจริงอยู่ข้างพวกเขาพวกเขาก็จะมาหารอซูลอย่างนอบน้อมยอมฟัง
50. ในหัวใจของพวกเขามีโรค(แห่งการตลบตะแลง)กระนั้นหรือ ? หรือว่าพวกเขามีความสงสัย ? หรือว่าพวกเขากลัวว่าอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์จะไม่ยุติธรรมแก่พวกเขา ? เปล่าเลย พวกเขาเองต่างหากเป็นผู้ที่อธรรม


คำแปล R4.
46. โดยแน่นอน เราได้ประทานโองการต่าง ๆ อันชัดแจ้ง และอัลลอฮฺทรงชี้แนะทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ยังทางที่เที่ยงตรง
47. และพวกเขากล่าวกันว่า เราศรัทธาต่ออัลลอฮฺและอัลรอซูล และเราเชื่อฟังปฏิบัติตาม แล้วส่วนหนึ่งจากพวกเขาก็หันหลังกลับไปหลังจากนั้น และพวกเหล่านั้นมิใช่ผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง
48. และเมื่อพวกเขาถูกเรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ เพื่อให้ตัดสินระหว่างพวกเขา เมื่อนั้นฝ่ายหนึ่งจากพวกเขาพากันผินหลังให้
49. และหากว่าความจริงอยู่ข้างพวกเขาแล้ว พวกเขาจะรีบมาหาเขา (มุฮัมมัด) อย่างนอบน้อม
50. ในหัวใจของพวกเขามีโรคกระนั้นหรือ หรือว่าพวกเขาสงสัย หรือว่าพวกเขากลัวว่าอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์จะลำเอียงออกจากพวกเขา หามิได้ พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้อธรรมต่างหาก


คำแปล R5.
๔๖. แท้จริงเราได้ประทานโองการต่าง ๆ แก่เจ้า ซึ่งเป็นโองการที่ชี้ชัดบนสัจธรรม โองการเหล่านั้นก็คือพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน แต่ผู้ที่จะเข้าถึงโองการเหล่านั้นจะต้องเป็นบุคคลที่มีวิจารณญาณอันลึกซึ้ง และพระองค์อัลเลาะห์ทรงชี้นำแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์สู่วิถีทางอันเที่ยงตรง นั่นคือ การนมัสการต่อพระองค์ด้วยบริสุทธิ์และจริงใจ และกลับไปสู่พระองค์เสมอ
๔๗. และพวกกลับกลอกหน้าไหว้หลังหลอกเขากล่าวว่า “เราศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ต่ศาสนทูต และเราภักดี” ต่อพระองค์ และต่อศาสนทูตในคำบัญชาทุกประการ แต่แล้ว ก็มีคนกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาหันเหจากการภักดีในอัลเลาะห์และรอซุล หลังจากพวกเขาได้อ้างว่ามีศรัทธาดังกล่าวแล้วนั้น และความเป็นจริง พวกเขาหาใช่ผู้ศรัทธาไม่ พวกเขาเป็นเพียงผู้กลับกลอก ปากกับใจไม่ตรงกัน
๔๘. และเมื่อพวกเขาถูกเรียกร้องให้กลับไปสู่อัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ เพื่อเขา(ศาสนทูต) จะตัดสินในระหว่างพวกเขาในกรณีที่พวกเขาขัดแย้งกัน พลันมีคนกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาหันเหไม่ยอมรับความจริง และโอหังต่อการถือตามการตัดสินนั้น
๔๙. และหากการตัดสินเป็นความจริงที่อำนวยประโยชน์แก่พวกเขา แน่นอน พวกเขาจะยอมเข้าหาศาสนทูตโดยความภักดีและยินดีในการตัดสินนั้น เพราะเขาทราบดีว่าการตัดสินนั้นเป็นประโยชน์แก่พวกเขา เนื่องเพราะศาสนทูตจะตัดสินก็เฉพาะด้วยสัจจะเท่านั้น ฉะนั้นการน้อมภักดีของพวกเขาต่อกรณีดังกล่าวจึงหาใช่มาจากการยึดมั่นในความสัจจะแห่งข้อตัดสินไม่ หากเป็นเพราะการตัดสินไม่ตรงกับใจของเขาและขัดประโยชน์ของเขา เขาจะหันหลังให้และไม่ยอมรับโดยเด็ดขาด
๕๐. ในหัวใจของพวกเขามีความป่วยด้วยโรคเนรคุณและกลับกลอกกระนั้นหรือ จึงเป็นเหตุให้พวกเขาไม่ยอมรับการตัดสินของศาสนทูตนั้น หรือว่า เพราะพวกเขามีความลังเลและสงสัยในสถานภาพแห่งศาสนทูตหรือเป็นเพราะพวกเขากลัวอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์จะร่วมกัน คดโกงพวกเขาในการตัดสิน หากทว่าที่พวกเขาไม่ยอมรับการตัดสินดังกล่าวนั้นหาใช่สืบเนื่องมาจากเหตุผลต่าง ๆ ที่ผ่านพ้นมาไม่ ความจริงเป็นเพราะพวกเหล่านั้นเป็นทุจริตชนผู้มีความป่วยทางจิตใจอันเป็นเหตุผลข้อแรกเพียงประการเดียว ส่วนเหตุผลข้อต่อมานั้นไม่เป็นเหตุให้พวกเขาแสดงปฏิกิริยาดังกล่าวได้เลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 51 - 52


คำแปล R1.
51. The only saying of the faithful believers, when they are called to Allah (his words, the Qur'an) and his Messenger (Muhammad), to judge between them, is that they say: "We hear and we obey." and such are the prosperous ones (who will live forever in Paradise).
52. And whosoever obeys Allah and his Messenger (Muhammad), fears Allah, and keeps his duty (to him), such are the successful ones.


คำแปล R2.
51. ความเป็นจริงถ้อยคำของมวลศรัทธาชนเมื่อถูกเชิญชวนไปยังอัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์เพื่อทำการตัดสินระหว่างพวกเขานั้น พวกเขาจะกล่าวว่า “เรารับฟังและเราภักดี” และพวกเหล่านั้นเป็นผู้สมหวังโดยแท้จริง
52. และผู้ใดภักดีต่ออัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ และเขากลัวอัลเลาะฮฺและยำเกรงพระองค์ แน่นอนพวกเหล่านั้นเป็นพวกที่ประสบชัยชนะโดยแท้จริง


คำแปล R3.
51. ส่วนบรรดาผู้ศรัทธานั้น เมื่อพวกเขาถูกเรียกไปยังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์เพื่อที่รอซูลจะได้ตัดสินในระหว่างพวกเขา พวกเขากล่าวว่า “เราได้ยินและเราเชื่อฟัง” นั่นคือผู้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
52. และคนที่เชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ และกลัวอัลลอฮฺและสำรวมตนต่อพระองค์คือผู้ได้รับความสำเร็จที่แท้จริงเท่านั้น


คำแปล R4.
51. แท้จริงคำกล่าวของบรรดาผู้ศรัทธา เมื่อพวกเขาถูกเรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์เพื่อให้ตัดสินระหว่างพวกเขา พวกเขาจะกล่าวว่า เราได้ยินแล้ว และเราเชื่อฟังปฏิบัติตาม และชนเหล่านี้พวกเขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จ
52. และผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ และเกรงกลัวอัลลอฮฺและยำเกรงพระองค์แล้ว ดังนั้น ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ได้รับชัยชนะ


คำแปล R5.
๕๑. อันที่จริงคำพูดดังกล่าวต่อไปนี้เป็นคำพูดของศรัทธาชนโดยแท้จริง นั่นคือ เมื่อพวกเขาถูกเรียกร้องสู่อัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ เพื่อการตัดสินกรณีขัดแย้งอันเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา พวกเขาจะกล่าวว่า เรารับฟังและเราภักดีในคำตัดสินนั้น ๆ และพวกเหล่านั้นเป็นผู้สมหวังโดยแท้จริง เขาจะได้รับผลตามที่เขาปรารถนา และปลอดภัยจากภยันตรายต่าง ๆ
๕๒. และผู้ใดภักดีต่ออัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ในคำสั่งที่ทั้งสองได้ออกแก่เขาและเขากลัวอัลเลาะห์และยำเกรงพระองค์ เขาจึงหมั่นประกอบกรรมดีและหลีกเร้นความชั่ว ไม่ยอมแตะต้องในทุกกรณีแน่นอน พวกเหล่านั้นเป็นผู้ประสบชัยชนะได้รับความคุ้มครองในวันปรภพเป็นอันดี และได้รับความยินดี ปรานีจากพระองค์อัลเลาะห์อย่างสูงส่ง


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 53 - 54


คำแปล R1.
53. They swear by Allah their strongest oaths, that if only you would order them, they would leave (their homes for fighting in Allah's Cause). Say: "Swear you not; (this) obedience (of yours) is known (to be false). Verily, Allah knows well what you do."
54. Say: "Obey Allah and obey the Messenger, but if you turn away, he (Messenger Muhammad ) is only responsible for the duty placed on him (i.e. to convey Allah's Message) and you for that placed on you. If you obey him, you shall be on the Right Guidance. The Messenger's duty is only to convey (the message) in a clear way (i.e. to preach in a plain way)."


คำแปล R2.
53. และพวกเขา(ที่สับปลับ)ได้สาบานตนต่ออัลเลาะฮฺอย่างแท้จริงว่า “หากแม้นเจ้าใช้พวกเขา(ให้ออกทำศึก) แน่นอนพวกเขาก็จะต้องออก(ตามคำสั่งนั้นทุกประการ)” เจ้าจงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า “พวกท่านอย่าได้สาบาน(เพื่อลวงให้ตายใจเลย) ความภักดี(ที่พวกท่านพูดนั้น)เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่(ว่าเป็นการเสแสร้งที่มดเท็จ) แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงตระหนักยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้าดำเนินการ
54. จงประกาศเถิด “พวกท่านทั้งหลายจงภักดีต่ออัลเลาะฮฺและจงภักดีต่อศาสนทูตเถิด” ภายหลังหากพวกม่านหันเหออกไปก็จงทราบไว้เถิดว่า หน้าที่ของศาสนทูตนั้นรับไว้เฉพาะภาระที่ถูกกำหนดไว้เท่านั้น(นั่นคือการเผยแพร่) และหน้าที่ของพวกท่านก็ต้องรับภาระที่ถูกกำหนดไว้เช่นเดียวกัน และหากพวกท่านภักดีต่อเขา พวกท่านก็จะได้รับการชี้นำ และไม่มีภาระสำหรับศาสนทูต อื่นจากการเผยแพร่ (หลักธรรมที่ได้รับการประทานมา)


คำแปล R3.
53. พวดเขา(คนสับปลับ)สาบานด้วยอัลลอฮฺอย่างแข็งขันว่า ถ้าเจ้าสั่งพวกเขาพวกเขาก็จะออกไป จงบอกพวกเขาว่า “จงอย่าสาบานเลย เพราะการเชื่อฟังของพวกท่านนั้นเป็นที่รู้แล้ว อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกท่านกระทำ
54. (มุฮัมมัด)จงกล่าวเถิดว่า “จงเชื่อฟังอัลลอฮฺและจงเชื่อฟังรอซูล แต่ถ้าพวกท่านหันกลับ ก็จงรู้ไว้ด้วยเถิดว่า รอซูลนั้นรับผิดชอบต่อหน้าที่ถูกมอบหมายแก่เขา และพวกท่านก็รับผิดชอบต่อหน้าที่ถูกมอบหมายแก่พวกท่าน ถ้าหากพวกท่านเชื่อฟังเขา พวกท่านก็จะถูกนำทางอย่างถูกต้อง เพราะความรับผิดชอบของรอซูลนั้นก็เพียงนำสาส์นอันกระจ่างแจ้งมายังพวกท่าน”

 
คำแปล R4.
53. และพวกเขาได้สาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ โดยการสาบานอย่างแข็งขันของพวกเขาว่า หากเจ้ามีคำสั่งแก่พวกเขา แน่นอนพวกเขาก็จะออกไป จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด พวกเจ้าอย่าสาบานเลย การเชื่อฟัง (ของพวกเจ้านั้น) เป็นที่รู้กันดี แท้จริง อัลลอฮฺนั้นทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ”
54. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “พวกเจ้าจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลรอซูล หากพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงหน้าที่ของเขา (รอซูล) คือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมาย และหน้าที่ของพวกเจ้าคือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมายเช่นกัน และหากพวกเจ้าเชื่อฟังปฏิบัติตามเขาแล้ว พวกเจ้าก็จะอยู่ในทางที่ถูกต้อง (ฮิดายะฮฺ) และหน้าที่ของอัลรอซูลไม่มีอื่นใด นอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้ง


คำแปล R5.
๕๓. และกลุ่มผู้กลับกลอก(มุนาฟิก) พวกเขาสาบานต่ออัลเลาะห์อย่างแข็งขันว่า ถ้าเจ้า(มุฮำมัด) ใช้พวกเขาให้ออกทำศึกกับฝ่ายศัตรูผู้รุกราน พวกเขาจะออกไปทำศึกอย่างแน่นอน โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวกับพวกนั้นเถิดว่า พวกท่านไม่ต้องสาบานดอก เพราะความจริงแล้วการภักดีของพวกท่านนั้นเป็นที่รู้จักกันอย่างดีสำหรับเราว่ามันเป็นเพียงการภักดีกับลมปากเท่านั้น หาใช่จะออกมาจากใจจริงไม่ และคนทั้งหลายเขาก็ทราบกันดี แท้จริงอัลเลาะห์ทรงตระหนักในการกรพทำของพวกเจ้าเป็นอันดีว่า ที่พวกเจ้าได้สาบานไปนั้น เป็นเรื่องโป้ปดมดเท็จที่สุด
๕๔. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกนั้นเถิดว่า พวกท่านพึงภักดีต่ออัลเลาะห์ และพึงภักดีต่อศาสนทูต แต่ถ้าพวกเจ้าหันเหไม่ใยดีต่อคำสั่งของศาสนทูตเมื่อใช้ให้ภักดี ที่จริงแล้วพวกเจ้าก็หาได้ยังอันตรายใด ๆ แก่ศาสนทูตไม่ แต่พวกเจ้าเองนั่นแหละที่ทำอันตรายแก่ตัวเอง ทั้งนี้เป็นเพราะศาสนทูตเขามีภาระที่ได้รับมอบหมาย นั่นคือให้มาเผยแผ่สัจธรรมของพระเจ้าสู่มวลมนุษย์ ซึ่งเขาได้ปฏิบัติหน้าที่นั้นอย่างสมบูรณ์แล้ว และพวกเจ้าก็มีภาระที่ได้รับมอบหมายเหมือนกัน คือต้องเชื่อฟังและภักดีในคำประกาศของศาสนทูต ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าไม่ใยดีต่อคำประกาศนั้น พวกเจ้าก็ต้องได้รับการลงโทษจากอัลเลาะห์อย่างแน่นอน และหากพวกเจ้าภักดีต่อเขา(ศาสนทูต) พวกเจ้าก็จักได้รับการชี้นำ และไม่มีภาระหน้าที่ใด ๆ เหนือศาสนทูตเลย นอกจากการเผยแพร่อันแจ่มชัดเท่านั้ ถ้าพวกเจ้าเชื่อฟังก็จะประสบความดีงาม แต่ถ้าฝ่าฝืนก็ตกอยู่ในความวิบัติอย่างแน่นอน


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 55 - 57


คำแปล R1.
55. Allฟh has promised those among ou who believe, and do righteous good deeds, that He will certainly grant them succession to (the present rulers) in the earth, as He granted it to those before them, and that He will grant them the authority to practise their religion, that which He has chosen for them (i.e. Islam). and He will surely give them in exchange a safe security after their fear (provided) they (believers) worship Me and do not associate anything (in worship) with Me. But whoever disbelieved after this, they are the Fasiqun (rebellious, disobedient to Allah).
56. And perform As-Sal-t (Iqamat-as-Salat), and give Zakat and obey the Messenger (Muhammad) that you may receive Mercy (from Allah).
57. Consider not that the disbelievers can escape in the land. Their abode shall be the Fire, and worst indeed is that destination.


คำแปล R2.
55. อัลเลาะฮฺได้ทรงสัญญาไว้แก่บรรดาผู้ศรัทธาและประพฤติแต่การดีจากพวกเจ้าทั้งมวลว่าแท้จริงพระองค์จักทรงสืบทอดอำนาจปกครองแผ่นดินแก่พวกเจ้า ประดุจเดียวกับที่พระองค์ทรงให้การสืบทอดแก่มวลประชาชาติยุคก่อนพวกเขา และพระองค์จะทรงบันดาลความมั่นคงแก่พวกเขาซึ่งศาสนาของพวกเขา อันเป็นสิ่งที่พึงพอใจสำหรับพวกเขา และพระองค์จักทรงเปลี่ยนแปลงพวกเขาภายหลังจากภาวะหวาดกลัวของพวกเขามาสู่ภาวะปลอดภัย พวกเขาทำการนมัสการต่อข้าโดยพวกเขามิได้ตั้งสิ่งใดขึ้นเป็นภาคีร่วมกับข้าเลย และผู้ใดคัดค้านภายหลังจากนั้น แน่นอนพวกเหล่านั้นเป็นพวกที่เลวทรามโดยแท้จริง
56. และพวกเจ้าจงดำรงการละหมาดไว้, พวกเจ้าจงบริจาคทานซะกาต, และพวกเจ้าจงภักดีต่อศาสนทูต เพื่อพวกเจ้าจักได้รับความเมตตา(จากอัลเลาะฮฺ)
57. เจ้าอย่าคิดว่าบรรดาจำพวกไร้ศรัทธาจะสามารถเอาชนะ(อำนาจของอัลเลาะฮฺด้วยการหลบหนีอาญาสิทธิ์ของพระองค์)ในแผ่นดิน และที่อยู่ของพวกเขาคือนรกและขอยืนยันมันเป็นที่กลับคืนที่ชั่วช้ายิ่ง


คำแปล R3.
55. อัลลอฮฺได้ทรงสัญญาแก่บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีในหมู่สูเจ้าว่าพระองค์จะทรงทำให้พวกเขาเป็นผู้สืบทอดในแผ่นดินเช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงทำให้บรรดาคนก่อนหน้าพวกเขาเป็นผู้สืบทอดมาแล้ว และพระองค์จะทรงทำให้ศาสนาที่พระองค์ได้ทรงอนุมัติสำหรับพวกเขาตั้งอยู่อย่างมั่นคง และจะส่งเปลี่ยนสภาพแห่งความหวาดกลัวของพวกเขาให้เป็นความสันติและมั่นคงปลอดภัย จงให้พวกเขาเคารพภักดีฉันและอย่าตั้งสิ่งใดเป็นพระเจ้าเทียบเคียงกับฉัน และหลังจากนี้ผู้ใดปฏิเสธ พวกเขาก็เป็นผูฝ่าฝืน
56. ดังนั้นจงดำรงนมาซและจงจ่ายซะกาตและจงเชื่อฟังรอซูลเพื่อสูเจ้าจะได้รับความเมตตา
57. จงอย่าคิดว่าบรรดาผู้ปฏิเสธจะสามารถข่มอัลลอฮฺได้ในแผ่นดินที่พำนักของพวกเขาคือนรกและมันเป็นที่พักอันชั่วช้า

 
คำแปล R4.
55. อัลลอฮฺทรงสัญญากับบรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเจ้า และบรรดาผู้กระทำความดีทั้งหลายว่า แน่นอนพระองค์จะทรงให้พวกเขาเป็นตัวแทนสืบช่วงในแผ่นดิน เสมือนดังที่พระองค์ทรงให้บรรดาชนก่อนพวกเขา เป็นตัวแทนสืบช่วงมาก่อนแล้ว และพระองค์จะทรงทำให้ศาสนาของพวกเขาซึ่งพระองค์ทรงโปรดปราน เป็นที่มั่นคงเป็นเกียรติแก่พวกเขา และแน่นอนพระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงให้พวกเขาได้รับความปลอดภัย หลังจากความกลัวของพวกเขา โดยที่พวกเขาจะต้องเคารพภักดีข้าไม่ตั้งภาคีอื่นใดต่อข้า และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาหลังจากนั้น ชนเหล่านั้นพวกเขาคือผู้ฝ่าฝืน
56. และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคอัซซะกาฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลรอซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับควาเมตตา
57. และเจ้า (มุฮัมมัด) อย่าคิดว่า บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นพวกเขาจะรอดพ้นไปในแผ่นดินนี้ และที่พำนักของพวกเขาคือไฟนรก และมันเป็นทางกลับที่ชั่วช้า


คำแปล R5.
๕๕. พระองค์อัลเลาะห์ได้ให้สัญญาแก่บรรดาที่มีศรัทธา และปฏิบัติแต่ความดีจากสูเจ้าทั้งหลายว่า พระองค์จะให้พวกเขาสืบทอดอำนาจการปกครองในแผ่นดินอาหรับ และอื่น ๆ อีกมากมาย ประดุจเดียวกับบรรดาชนเมื่อก่อนพวกเขาในอดีต อันได้แก่พวกบานีอิสรออีลได้สืบทอดอำนาจการบริหารในแผ่นดินชาม ซึ่งสัญญาตามพระโองการนี้ ได้ประจักษ์ชัดเป็นจริงทุกประการในสมัยของท่านศาสดา ท่านสามารถทำศึกชนะพวกอาหรับมักกะห์ คอยบัร บะหรอย และหัวเมืองอาหรับอื่น ๆ อีก ส่วนเมืองฮะญัรและบางส่วนของชามยอมเสียภาษี และฮิรณอกลิ์ กษัตริย์โรม มาเกากิสแห่งอียิปต์ และนะญาซีแห่งฮับชะฮ์ ได้ส่งเครื่องบรรณาการมามอบด่ท่านเป็นประจำ และเมื่อท่านศาสดาเสียชีวิตลง บรรดาผู้สืบทอดการบริหารต่อจากท่านก็ขยายอาณาจักรอิสลามออกไป จนแผ่ไพศาลออกไปทางตะวันออกและตะวันตก จนเป็นอาณาจักรใหม่ที่เข้ามาแทนที่อาณาจักเดิม และอัลเลาะห์ให้สัญญาอีกว่า พระองค์จักทรงให้ความมั่นคงแก่ศาสนาอิสลามของพวกเขา ซึ่งพระองค์ทรงยินดีมอบศาสนานั้นแด่พวกเขาและพระองค์สัญญาว่า พระองค์จักเปลี่ยนสภาพการของพวกเขาภายหลังจากที่เคนตกอยู่ในภาวะแห่งความหวาดกลัวให้เข้าสู่ภาวะแห่งความปลอดภัย พวกเขาจะนมัสการข้าโดยไม่ตั้งสิ่งใดภาคีกับข้า และผู้ใดทรยศหลังจากนั้น พวกเหล่านั้นย่อมเป็นคนเลวโดยแท้จริง
   ท่านรอบิอ บิน อนัส กล่าวว่า “ท่านศาสดา และมวลมุสลิมในสมัยนั้นอยู่ในมักกะห์ประมาณ ๑๐ ปี เพื่อเผยแพร่สัจธรรมและเอกภาพของอัลเลาะห์ท่ามกลางความหวาดระวังภัยสารพัดจากเหล่าศัตรูจนภายหลังเมื่อท่านอพยพมาสู่มะดีนะห์ และได้รับอนุญาตให้ตอบโต้การรุกราน ทุกคนก็ต้องจับอาวุธ และยังอยู่ในความหวาดกลัวอยู่อย่างเดิม แต่ทุกคนก็มีความอดทนอย่างเต็มที่ จนมีซอฮาบะห์ท่านหนึ่งรำพึงกับท่านศาสดาว่า “พวกเราต้องตกอยู่ในภาวะแห่งความกลัวเช่นนี้ตลอดปีหรือนี่ ? และเมื่อไรจึงจะถึงวันที่พวกเราปลอดและสบายใจ ไม่ต้องจับอาวุธเล่า ?” ท่านศาสดาจึงตอบว่า “พวกท่านจะไม่ต้องอดทน นอกจากอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จนกระทั่งชายหนึ่งจากพวกท่านได้นั่งอยู่ในกลุ่มใหญ่ โดยไม่ต้องมีอาวุธใด ๆ ทั้งสิ้น”
   อัลเลาะห์จึงทรงประทานโองการข้างต้นลงมา
๕๖.  และสูเจ้าทั้งหลายจงดำรงละหมาดไว้โดยปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ อย่าตกหล่นและให้ครบถ้วนตามระเบียบข้อบังคับทุกประการ และสูเจ้าทั้งหลายจงบริจาคทานซะกาตแก่บุคคลที่มีสิทธิรับ เพื่อสงเคราะห์และช่วยแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของพวกเขา และสูเจ้าทั้งหลายจงภักดีต่อศาสนทูตแห่งองค์พระอภิบาล ด้วยการยอมรับฟังคำสอนและคำเผยแพร่พร้อมปฏิบัติตามนั้นเป็นอันดี เพื่อสูเจ้าจักได้รับความเมตตาจากองค์พระผู้อภิบาล แล้วสูเจ้าก็จะปลอดภัย จากการลงโทษอันทรมานยิ่ง
๕๗. โอ้มุฮำมัด เจ้าอย่าคิดว่าบรรดาผู้เนรคุณทั้งหลายจักเป็นผู้ยังความอ่อนแอแก่องค์พระผู้ทรงอภิบาลในการลงโทษและทำลายพวกเขา แม้พวกเขาจะพยายามหลบหนีไปอยู่ ณ ที่ใดในแผ่นดินนี้ก็ตามเถิด พวกเขาไม่อาจหลบหนีพระอาญาสิทธิ์นั้นได้เลย และที่อยู่ของพวกเขา คือ ขุมนรก และแน่นอนขุมนรกนั้นเป็นที่กลับอันเลวที่สุด


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 58


คำแปล R1.
58. O you who believe! Let your legal slaves and slave-girls, and those among you who have not come to the age of puberty ask your permission (before they come to your presence) on three occasions; before Fajr (morning) prayer, and while you put off your clothes for the noonday (rest), and after the 'Isha' (late-night) prayer. (These) three times are of privacy for you, other than these times there is no sin on you or on them to move about, attending (helping) you each other. Thus Allah makes clear the Ayat (the verses of this Qur'an, showing proofs for the legal aspects of permission for visits, etc.) to you. And Allah is All-Knowing, All-Wise.

คำแปล R2.
58. โอ้มวลผู้มีศรัทธาทั้งหลาย บรรดาทาสที่พวกเจ้าครอบครองและเด็กที่ยังไม่บรรลุสู่วัยฝัน(บรรลุนิติภาวะ)จากพวกเจ้า จะต้องขออนุญาตต่อเจ้าถึงสามครั้ง(ในการเข้าบ้านของเจ้า) ทั้งก่อนละหมาดซุบฮิ์(ในยามย่ำรุ่ง)และอากาศร้อน(ในตอนกลางวัน)และภายหลังจากการละหมาดอิชาอฺ(ในเวลาดึก) เป็นสามเวลาของพวกเจ้า(ที่มักปล่อยตัวตามสลาย ไม่พร้อมที่จะรับแขก) แต่ไม่ถือเป็นความผิดแต่ประการใด ๆ แก่พวกเจ้าและแก่พวกเขาภายหลังจากเวลาเหล่านั้น(ที่จะเข้ามาในบ้านของเจ้า) (เพราะพวกเขาคือ)บรรดาผู้วนเวียนอยู่กับพวกเจ้า พวกเจ้าบางส่วนต่างก็มีสัมพันธ์กับอีกบางส่วน(เป็นปกติอยู่แล้ว) เช่นนั้น อัลเลาะฮฺทรงแจ้งบรรดาโองการแก่พวกเจ้า และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง ทรงปรีชาญาณยิ่ง

คำแปล R3.
58. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ทาสของสูเจ้าและบรรดาลูก ๆ ของสูเจ้าที่ยังไม่บรรลุวัยที่มีความรู้สึกทางเพศจะต้องขออนุญาตสูเจ้าก่อนที่จะเข้ามาพบสูเจ้าในสามเวลาด้วยกัน นั่นคือก่อนนมาซรุ่งอรุฯและตอนกลางวันเมื่อสูเจ้าถอดเสื้อผ้าและหลังนมาซอิชาอ์ ไม่มีโทษอันใดแก่สูเจ้าและแก่พวกเขาถ้าหากพวกเขาจะมาในเวลาอื่นนอกจากนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะสูเจ้าก็ต้องไปเยี่ยมเยียนกันและกันครั้งแล้วครั้งเล่า ในทำนองนี้ อัลลอฮฺได้ทรงทำให้คำบัญชา

คำแปล R4.
58. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงให้บรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง และบรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะในหมู่พวกเจ้า ขออนุญาตพวกเจ้าสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดฟัจญริ และเวลาพวกเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าในเวลากลางวัน และหลังจากเวลาละหมาดอิชาอฺ ทั้งสามนี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า หลังจากนี้แล้วไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าและแก่พวกเขา เพราะพวกเขาวนเวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ

คำแปล R5.
๕๘. โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย บรรดาทาสที่สูเจ้าปกครองไว้ และบรรดาเด็ก ๆที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจากสูเจ้าทั้งหลาย จะต้องขออนุญาตต่อสูเจ้าเสียก่อนในการเข้ามาในบ้านของสูเจ้าสามครั้งในสามเวลาคือ ในยามรัตติกาลก่อนการละหมาดซุบฮ์หนึ่ง เพราะเป็นเวลาที่เพิ่งตื่นนอน กำลังอยู่ระหว่างเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนมาเป็นชุดปกติ ในเวลากลางวันซึ่งเป็นเวลาที่สูเจ้าทั้งหลายถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกายเพราะร้อนจัดหนึ่ง และภายหลังจากการละหมาดอีซาอีกหนึ่ง เพราะเป็นเวลาที่กำลังเตรียมเข้านอน อาจจะกำลังเปลี่ยนชุดปกติเป็นชุดนอนก็ได้ ที่จำกัดเฉพาะสามเวลาดังกล่าวแล้วนั้น ก็เพราะเป็นเวลาลับเฉพาะของแต่ละคน บางคนอาจจะกำลังเปิดเผยอวัยวะส่วนที่บังคับให้ปิดเพื่อเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มดังกล่าวแล้ว สามเวลาดังกล่าวนั้นเป็นเวลาลับเฉพาะของพวกเจ้าทั้งหลายที่จะจัดธุระส่วนตัวเกี่ยวกับการเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มหรืออย่างอื่นก็ตาม แต่จะไม่เป็นโทษแก่สูเจ้าทั้งหลายและพวกเขาเหล่านั้นถ้าเป็นเวลา นอกจากที่กล่าวมานั้น ในอันที่พวกเขาจะวนเวียนอยู่กับสูเจ้า คือ บางส่วนจากพวกเจ้าต่ออีบางส่วนต่างก็หมุนเวียนพบปะซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา ด้วยการเข้าออกอยู่ในบ้านของพวกเจ้าโดยไม่ต้องขออนุญาต เพราะทาสและเด็กเหล่านั้นก็เป็นสมาชิกในบ้านของพวกเจ้าทั้งหลายนั่นเอง และพวกเขามีหน้าที่ต้องรับใช้และบริการ จึงจำเป็นอยู่เองที่พวกเขาต้องเข้าออกตลอดเวลาเช้าและเย็นเช่นที่ได้แจ้งไว้นั้น พระองค์อัลเลาะห์ทรงเผยพระโองการต่าง ๆ ของพระองค์แก่พวกเจ้าทั้งหลายอันประกอบด้วยหลักกฎหมายที่จะต้องถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด และพระองค์ อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่งในกิจการของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงกำหนดบทบัญญัติต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงสภาพของมวลมนุษย์ผู้เป็นทาสของพระองค์ตามความเหมาะสมทุกประการ

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 59 - 60


คำแปล R1.
59. And when the children among you come to puberty, then let them (also) ask for permission, as those senior to them (in age). Thus Allah makes clear his Ayat (Commandments and legal obligations) for you. And Allah is All-Knowing, All-Wise.
60. And as for women past child-bearing who do not expect wed-lock, it is no sin on them if they discard their (outer) clothing in such a way as not to show their adornment. But to refrain (i.e. not to discard their outer clothing) is better for them. And Allah is All-Hearer, All-Knower.


คำแปล R2.
59. และเมื่อเด็ก ๆ จากพวกเจ้าได้บรรลุสู่วัยฝัน(บรรลุนิติภาวะ) พวกเขาก็จงขออนุญาต(เข้าบ้าน)เหมือนเช่นบรรดาพวกที่(มีอายุบรรลุนิติภาวะแล้ว ตามที่ได้กล่าวไว้))ก่อนหน้าพวกเขา เช่นนั้นอัลลอฮฺทรงแจ้งบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง ทรงปรีชาญาณยิ่ง
60. และบรรดาหญิง(ชรา)ที่หมดประจำเดือนแล้วซึ่งไม่คิดหวังที่จะสมรส(อีกต่อไป)ก้ไม่เป้นความผิดเหนือพวกนาง ที่พวกนางจะถอดเสื้อผ้าชั้นนอกของพวกนางออก โดยพวกนางมิได้เจตนาเปิดเผยส่วนประดับ(ที่อยู่ภายใน) และการที่พวกนางสงวนตัวไว้นั้นย่อมเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดสำหรับพวกนาง และอัลเลาะฮฺทรงได้ยิน ทรงรอบรู้ยิ่ง


คำแปล R3.
59. และเมื่อเด็ก ๆ ของสูเจ้าโตเข้าสู่วัยที่มีความรู้สึกทางเพศ พวกเขาจะต้องได้รับอนุญาตจากสูเจ้าในเรื่องนี้เช่นเดียวกับที่คนก่อนหน้าพวกเขาได้ขออนุญาต ในทำนองนี้อัลลอฮฺได้ทรงทำให้อายะฮฺทั้งหลายของพระองค์เป็นที่ชัดเจนแก่สูเจ้าเพราะพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
60. ไม่เป็นการบาปแต่ประการใดสำหรับหญิงชราที่ผ่านวัยสมรสแล้ว ถ้าพวกนางจะถอดเสื้อคลุมของพวกนางโดยที่ไม่ได้ต้องการที่จะอวดเครื่องประดับของพวกนาง อย่างไรก็ตามถ้าพวกนางไม่ทำเช่นนั้นก็จะเป็นการดีกว่าสำหรับพวกนาง เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยินทุกสิ่งและผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง


คำแปล R4.
59. และเมื่อเด็ก ๆ ในหมู่พวกเจ้าบรรลุศาสนภาวะ ก็จงให้พวกเขาขออนุญาตเช่นเดียวกับบรรดาชนก่อนหน้าพวกเขาได้ขออนุญาต เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายของพระองค์ให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
60. และบรรดาหญิงวัยชราซึ่งพวกนางไม่ปรารถนาที่จะสมรสแล้ว ไม่เป็นที่ตำหนิแก่พวกนางที่จะเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก โดยไม่เปิดเผยส่วนงดงาม และหากพวกนางงดเว้นเสียก็จะเป็นการดีแก่พวกนาง และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้


คำแปล R5.
๕๙. และเมื่อเด็ก ๆ ของพวกเจ้าทั้งหลายได้บรรลุนิติภาวะไม่ว่าจะเป็นลูกหรือเป็นญาติก็ตาม โดยมีอายุครบ ๑๕ ปี พวกเขาทั้งหลายก็จะต้องขออนุญาตต่อพวกเจ้าเสียก่อน ในการที่จะเข้ามาหาพวกเจ้า ถ้าเจ้าอนุญาตพวกเขาจึงจะเข้าได้ กฎเกณฑ์ดังกล่าวนั้นให้ถือปฏิบัติเหมือนกับบรรดาบุคคลก่อนหน้าพวกเขาต้องขออนุญาตนั่นเอง หมายถึงบุคคลที่ได้กล่าวไว้ในโองการก่อนนี้ ซึ่งได้แก่คนผู้ใหญ่ธรรมดาทั่ว ๆ ไป เช่นนั้นแหละที่อัลเลาะห์ทรงเผยพระโองการต่าง ๆ ของพระองค์แก่สูเจ้าทั้งหลาย และอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่ง ทรงปรีชายิ่ง
๖๐. และบรรดาหญิงที่หมดโอกาสจะให้กำเนิดบุตรเพราะความชราภาพซึ่งนางไม่หวังที่จะสมรสกับผู้ใดอีกต่อไปแล้ว ที่จริงย่อมไม่เป็นโทษแก่พวกนาง ที่จะถอดเครื่องนุ่งห่มชั้นนอกของนางvvdโดยพวกนางไม่มุ่งเปิดเผยอวัยวะส่วนที่สวมใส่สิ่งประดับ ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้อื่น และการที่พวกนางพึงสงวนเกียรติแห่งความเป็นกุลสตรีไว้ โดยการสวมเสื้อผ้าทั้งชั้นนอกชั้นในอยู่ตลอดเวลานั้น ย่อมเป็นการดีแก่นางยิ่งกว่าการถอดชั้นนอกออกตามที่ได้รับการผ่อนผันไว้ และอัลเลาะห์ทรงได้ยินยิ่ง ทรงรอบรู้ยิ่ง


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 61


คำแปล R1.
61. There is no restriction on the blind, nor any restriction on the lame, nor any restriction on the sick, nor on yourselves, if you eat from your houses, or the houses of your fathers, or the houses of your mothers, or the houses of your brothers, or the houses of your sisters, or the houses of your father's brothers, or the houses of your father's sisters, or the houses of your mother's brothers, or the houses of your mother's sisters, or (from that) whereof you hold keys, or (from the house) of a friend. No sin on you whether you eat together or apart. But when you enter the houses, greet one another with a greeting from Allah (i.e. say: As-Salamu 'Alaikum - peace be on you) blessed and good. Thus Allah makes clear the Ayat (these verses or your religious symbols and signs, etc.) to you that you may understand.

คำแปล R2.
61. ย่อมไม่เป็นความผิดเหนือคนตาบอดและไม่เป็นความผิดเหนือคนทุพพลภาพและไม่เป็นความผิดเหนือคนป่วยและไม่เป้นความผิดเหนือตัวของพวกเจ้า การที่พวกเจ้าบริโภคจากบ้านของพวกเจ้าเองหรือบ้านของบิดาของพวกเจ้า หรือบ้านของมารดาของพวกเจ้า หรือบ้านของพี่น้องชายของพวกเจ้า หรือบ้านของพี่น้องหญิงของพวกเจ้า หรือบ้านของพี่น้องชายแห่งบิดาของพวกเจ้า หรือบ้านของพี่น้องหญิงแห่งบิดาของพวกเจ้า หรือบ้านของพี่น้องหญิงแห่งบิดาของพวกเจ้า หรือบ้านของพี่น้องหญิงแห่งมาดาของพวกเจ้า หรือบ้านของพวกเจ้าที่รักษากุญแจของมันไว้ หรือบ้านของเพื่อนของพวกเจ้า ไม่เป้นความผิดแก่พวกเจ้าที่พวกเจ้าจะบริโภคทั้งเป็นคณะและเป็นส่วนตัว ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าเข้าบ้านใด ๆ พวกเจ้าก็จงให้สลามแก่กันและกัน เป็นการแสดงความคารวะที่(ถูกกำหนดมา)จากอัลเลาะฮฺ ซึ่งมีแต่ความจำเริญอีกทั้งความดีงาม เช่นนั้น อัลเลาะฮฺทรงชี้แจงบรรดาโองการแก่พวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้ปัญญาตริตรอง

คำแปล R3.
61. ไม่มีข้อเสียหายอันใดถ้าหากคนตาบอดหรือคนง่อยหรือคนป่วย (จะกินอาหารในบ้านคนอื่น) และไม่มีข้อเสียหายอันใดสำหรับสูเจ้าที่จะกินอาหารที่บ้านของสูเจ้าเองหรือที่บ้านของพ่อและปู่ของสูเจ้า หรือที่บ้านของแม่และยายของสูเจ้า หรือที่บ้านของพี่ชายน้องชายของสูเจ้าหรือที่บ้านพี่สาวน้องสาวของสูเจ้าหรือที่บ้านพี่ชายน้องชายของพ่อของสูเจ้าหรือที่บ้านพี่สาวน้องสาวของพ่อของสูเจ้าหรือที่บ้านพี่ชายน้องชายของแม่ของสูเจ้าหรือที่บ้านพี่สาวน้องสาวของแม่ของสูเจ้า หรือจากบ้านที่เจ้าครอบครองกุญแจของมันหรือที่บ้านของเพื่อนของสูเจ้า และไม่เป็นการผิดอันใดถ้าสูเจ้าจะกินอาหารร่วมกันหรือกินแยกกัน อย่างไรก็ตามเมื่อสูเจ้าเข้าไปในบ้าน สูเจ้าจะต้องกล่าวคำทักทาย(ให้สลาม)แก่พวกพ้องสูเจ้าก่อน เพราะการทักทายให้พรที่อัลลอฮฺกำหนดไว้นั้นเป็นความจำเริญและความบริสุทธิ์ นั่นแหละที่อัลลอฮฺได้ทรงทำให้อายะฮฺทั้งหลายเป็นที่ชัดเจนสำหรับสูเจ้าโดยหวังว่าสูเจ้าจะใช้สติปัญญาทำความเข้าใจ

คำแปล R4.
61. ไม่เป็นการลำบากใจอันใด แก่คนตาบอดและไม่เป็นการลำบากใจอันใดแก่คนพิการ และไม่เป็นการลำบากใจอันใดแก่คนป่วย และไม่เช่นกันแก่ตัวของพวกเจ้า ที่จะรับประทานที่บ้านของพวกเจ้า หรือบ้านของพ่อ ๆ ของพวกเจ้า หรือบ้านของแม่ ๆ ของพวกเจ้าหรือบ้านของพี่ชายน้องชายของพวกเจ้า หรือบ้านของพี่สาวน้องสาวของพวกเจ้าหรือบ้านของลุง อา ของพวกเจ้า หรือบ้านของป้า อาสาวของพวกเจ้า หรือบ้านของลุง น้า ของพวกเจ้า หรือบ้านของป้า น้าสาวของพวกเจ้าหรือบ้านที่พวกเจ้าครอบครองกุญแจของมัน หรือบ้านของเพื่อน ๆ ของพวกเจ้าไม่เป็นการลำบากใจอันใดแก่พวกเจ้า ที่จะร่วมรับประทานกันเป็นหมู่หรือแยกกัน เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในบ้านก็จงกล่าวสลามให้แก่ตัวของพวกเจ้าเอง เป็นการคำนับอันจำเริญยิ่งจากอัลลอฮฺ เช่นนั้นแหละ อัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้าเพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้สติปัญญาพิจารณา

คำแปล R5.
๖๑. ย่อมไม่เป็นโทษแก่ผู้ตาบอด ย่อมไม่เป็นโทษแก่ผู้เป็นง่อย ย่อมไม่เป็นโทษแก่ผู้ป่วยไข้ และไม่เป็นโทษแก่ตัวของสูเจ้าทั้งหลายที่จะรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มร่วมกันจากบ้านของสูเจ้าเอง รวมทั้งบ้านของลูก ๆ หรือบ้านของบิดาหรือบ้านของมารดา หรือบ้านของพี่น้องชาย หรือบ้านของพี่น้องหญิง หรือบ้านของพี่น้องชายของบิดา หรือบ้านของพี่น้องหญิงของบิดา หรือบ้านของพี่น้องชายของมารดาหรือบ้านของพี่น้องหญิงของมารดา บรรดาบ้านเรือนของเครือญาติใกล้ชิดดังกล่าวนั้น พวกเจ้าจะถือวิสาสะเข้าไปรับประทานภายในบ้านของบุคคลเหล่านั้นได้ เพราะโดยธรรมเนียมแล้วก็ไม่มีผู้ใดจะถือสาเป็นความผิดในการกระทำดังกล่าว หรือสิ่งที่สูเจ้าได้ครอบครองกุญแจของมันไว้ในฐานะผู้รับมอบหมายหรือผู้ดูแล เช่น สวน หรือสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ สูเจ้าก็รับประทานผลไม้ในสวนนั้นได้ หรือจะดื่มนมของสัตว์เลี้ยงดังกล่าว หรือบ้านของเพื่อนของสูเจ้าซึ่งมีความรักความสนิทสนมกันอย่างแน่นแฟ้นทั้งนี้หากสูเจ้าทราบว่า การถือวิสาสะเข้าไปรับประทานอาหารภายในบ้านของเพื่อนนั้นเป็นเรื่องที่เขายินยอมให้ และอนุญาตให้โดยปริยาย  ไม่เป็นโทษแก่สูเจ้าทั้งหลายที่จะรับประทานกันเป็นกลุ่มหรือเป็นส่วนตัวคนเดียว ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าเข้าบ้าน พวกเจ้าจงให้พรแก่ตัวของพวกเจ้า อันเป็นคารวะธรรมที่พวกเจ้าจะต้องแสดงออกต่อกัน ซึ่งเป็นแบบฉบับที่มาจากอัลเลาะห์ที่มีมงคลและดีงาม เช่นนั้นแหละที่อัลเลาะห์ทรงแจ้งสัญลักษณ์ต่าง ๆ แด่พวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้วิจารณญาณ
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้มูลเหตุที่โองการข้างต้นจะลงมานั้น อิบนิอับบาส อัดเด๊าะฮ์ฮ๊าก และก็ตาดะฮ์เล่าว่า
   โองการนี้ประทานลงเกี่ยวกับพวก “บะนีไลซ์ อิบนิอัมริน กินานะฮ์” คนกลุ่มนี้ถือกันเคร่งครัดเป็นกฎเลยว่า การรับประทานอาหารเป็นส่วนตัวลำพังเพียงคนเดียวเป็นโทษมหันต์ และชายคนหนึ่งเขาต้องอดอาหารตลอดวันไม่ยอมรับประทานอะไรเลย จนบังเอิญมีแขกมาหาเขา เขาจึงได้รับประทานร่วมกับแขกคนนั้น และถ้าไม่มีผู้ใดมาร่วมรับประทานอาหารกับเขา เขาก็จะไม่รับประทานอะไรทั้งสิ้น และยอมอดอาหารไปทั้งวัน ผู้ชายบางคนจะนั่งอยู่โดยมีอาหารวางรออยู่ข้างหน้า และเขาก็ไม่สามารถรับประทานมันได้จนรุ่งเช้า เพราะไม่มีใครมาหาเขา บางคนมีอูฐซึ่งน้ำนมเต็มเต้าแต่เขาก็ไม่ได้ดื่ม เพราะไม่มีผู้ดื่มร่วม เขารอจนมืดก็ไม่มีใครมา อัลกุรอานโองการนี้จึงลงมาเพื่อแก้ไขความยึดถือผิด ๆ นั้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 62


คำแปล R1.
62. The true believers are only those, who believe in (the Oneness of) Allah and his Messenger (Muhammad), and when they are with him on some common matter, they go not away until they have asked his permission. Verily! Those who ask your permission, those are they who (really) believe in Allah and his Messenger. So if they ask your permission for some affairs of theirs, give permission to whom you will of them, and ask Allah for their forgiveness. Truly, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.

คำแปล R2.
62. อันที่จริงมวลผู้ศรัทธาที่เที่ยงแท้นั้น ได้แก่บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลเลาะฮฺ และศาสนทูตของพระองค์ และเมื่อพวกเขาได้อยู่ร่วมกับศาสนทูตเพื่อภารกิจหนึ่งที่(สำคัญซึ่ง)ต้องรวมตัวกัน พวกเขาก็จะไม่ผละไปจนกว่าพวกเขาจะขออนุญาตต่อศาสนทูตเสียก่อน แท้จริงบรรดาผู้ขออนุญาตต่อเจ้านั้น พวกเหล่านั้นเป็นผู้ที่ศรัทธามั่นต่ออัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์โดยแท้จริง ดังนั้นเมื่อพวกเขาขออนุญาตต่อเจ้า เพราะความจำเป็นบางอย่างของพวกเขา เจ้าก็จงอนุญาตเถิดแก่ผู้ที่เจ้าประสงค์จากพวกเขา และเจ้าจงขออภัยต่ออัลเลาะฮฺให้แก่พวกเขา แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง

คำแปล R3.
62. บรรดาผู้ศรัทธาที่แท้จริงนั้นคือผู้ที่ศรัทธาในอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ด้วยความจริงใจ และผู้ที่เมื่ออยู่กับรอซูลและการงานร่วมกันแล้ว พวกเขาจะไม่ละไปจนกว่าจะขออนุญาตเขาเสียก่อน แท้จริงคนที่ขออนุญาตจากเจ้าเท่านั้นคือผู้ศรัทธาในอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์อย่างจริงใจ ดังนั้นเมื่อพวกเขาขออนุญาตเพื่อกิจการบางอย่างของพวกเขา ก็จงอนุญาตแก่คนที่เจ้าประสงค์ และจงขออภัยจากอัลลอฮฺให้แก่คนเหล่านั้น แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
 
คำแปล R4.
62. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา (ที่แท้จริง) นั้นคือบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์และเมื่อพวกเขามารวมกันอยู่กับเขา (มุฮัมมัด) ในกิจการที่สำคัญ พวกเขาจะไม่ผละออกไป จนกว่าพวกเขาจะขออนุญาตจากเขา(มุฮัมมัด) เสียก่อน แท้จริงบรรดาผู้ที่ขออนุญาตต่อเจ้านั้น เขาเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ ดังนั้น เมื่อพวกเขาขออนุญาตต่อเจ้าเพื่อกิจการบางอย่างของพวกเขาแล้ว ก็จงอนุญาตแก่ผู้ที่เจ้าพึงประสงค์ในหมู่พวกเขาเถิด และจงขออภัยต่ออัลลอฮ์ให้แก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นผู้อภัย ผู้เมตตาเสมอ

คำแปล R5.
๖๒. อันศรัทธาชนที่แท้จริงนั้นคือผู้ที่มีศรัทธามั่นในอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์อย่างเด็ดเดี่ยวไม่รวนเรสงสัยหรือคลางแคลงด้วยประการใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่อพวกเขาร่วมกับศาสนทูตของพระองค์ในกิจการหนึ่งซึ่งรวมกันปฏิบัติกิจการนั้น ๆ โดยทุก ๆ คน ซึ่งผู้ใดจะละเลยไม่ได้เป็นอันขาด เช่น การออกสงครามหรือการละหมาดวันศุกร์ หรือการประชุมในเรื่องสำคัญ ๆ นอกจากมีเหจุควรยกเว้นในบางกรณีเท่านั้น พวกเขาอย่าได้แยกย้ายออกไปจากกิจการที่กำลังดำเนินอยู่นั้นเพื่อทำธุระอื่นใดทั้งสิ้น จนกว่าพวกเขาจะขออนุญาตต่อเขา(ศาสนทูต)เสียก่อน หลังจากได้รับอนุญาตแล้ว จึงแยกย้ายออกไปได้ แท้จริงบรรดาผู้ที่ขออนุญาตต่อเจ้านั้นพวกเหล่านั้นเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์โดยแท้จริง ดังนั้นเมื่อพวกเขาขออนุญาตต่อเจ้า เพื่อกิจการบางอย่างของพวกเขา เจ้าก็จงอนุญาตเถิด สำหรับผู้ที่เจ้าประสงค์จะให้อนุญาตจากพวกเขา โดยพิจารณาไปตามความเหมาะสมและความจำเป็น ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแด่ท่าน “อุมัร บิน คอตตอบ” ในสงครามตะบู๊ก ท่านขออนุญาตจากท่านศาสดาฯ เพื่อกลับไปหาครอบครัวของท่าน ซึ่งศาสดาฯก็ให้อนุญาต โดยกล่าวว่า “ท่านกลับเถิด เพราะท่านมิใช่มุนาฟิก(ผู้กลับกลอก” และเจ้าพึงขออภัยต่ออัลเลาะห์ให้ทรงยกโทษแก่พวกเขา เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ทรงอภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะฮฺที่ 63 - 64


คำแปล R1.
63. Make not the calling of the Messenger (Muhammad) among you as your calling of one another. Allah knows those of you who slip away under shelter (of some excuse without taking the permission to leave, from the Messenger ). And let those who oppose the Messenger's (Muhammad) commandment (i.e. his Sunnah legal ways, orders, acts of worship, statements, etc.) (Among the sects) beware; lest some Fitnah (disbelief, trials, afflictions, earthquakes, killing, overpowered by a tyrant, etc.) befall them or a painful torment be inflicted on them.
64. Certainly, to Allah belongs all that is in the heavens and the earth. Surely, He knows your condition and (He knows) the day when they will be brought back to Him, Then He will inform them of what they did. And Allah is All-Knower of everything.


คำแปล R2.
63. พวกเจ้าอย่ากำหนดคำเรียกศาสนทูตในระหว่างพวกเจ้าให้เหมือนกับคำเรียกของพวกเจ้าบางคนกับอีกบางคน (เช่น เรียกชื่อตรง ๆ หรือตะโกนเรียก หรือเรียกอย่างขาดมารยาท) แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ในบรรดาจำพวกที่ลอบทะยอยออกไป(จากสถานชุมนุมของศาสนทูต)ในบรรดาพวกเจ้า ดังนั้นผู้ฝ่าฝืนคำสั่งของเขานั้นจงสังวรไว้เถิดว่าวิกฤติการจะต้องประสบแก่พวกเขาหรือมิฉะนั้นการลงโทษอันทรมานที่สุดก็จะประสบแก่พวกเขา
64. พึงสังวร แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงสิทธิอำนาจในสิ่งที่มีอยู่ในฟากฟ้าและแผ่นดิน พระองค์ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเจ้าสังกัดตนอยู่ และในวันที่พวกเขากลับคืนสู่พระองค์ และพระองค์ก็ทรงแจ้งให้พวกเจ้ารู้ถึงสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้(และผลตอบแทนจากความประพฤติดังกล่าว) และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้เป็นที่สุดในทุก ๆ สิ่ง


คำแปล R3.
63. (บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย) จงอย่าถือว่าการเรียกร้องของรอซูลในหมู่สูเจ้าเหมือนกับที่สูเจ้าเรียกร้องกันและกัน อัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงบางคนในหมู่สูเจ้าที่หลบเลี่ยงออกไปแอบอยู่หลังผู้อื่น จงให้พวกที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของรอซูลระวังตัวว่าพวกเขาจะประสบกับเหตุร้ายบางอย่างหรืออาจจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด
64. จงรู้ไว้เถิดว่า อะไรก็ตามที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นของอัลลอฮฺ พระองค์ทรงรู้ว่าสูเจ้าทำอะไรอยู่ และในวันที่สูเจ้าจะถูกนำกลับไปยังพระองค์นั้น พระองค์จะให้สูเจ้านู้ถึงสิ่งที่สูเจ้าได้ทำไว้ เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง


คำแปล R4.
63. พวกเจ้าอย่าทำให้การร้องเรียกของอัลรอซูลในหมู่พวกเจ้า เป็นเช่นเดียวกับการร้องเรียกในระหว่างพวกเจ้าด้วยกันเองแน่นอน อัลลอฮฺทรงรู้บรรดาผู้ที่แอบหลีกออกไปในหมู่พวกเจ้า ดังนั้นบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มุฮัมมัด) จงระวังตัวเถิดว่า เคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาเช่นกัน
64. พึงรู้เถิดว่า แท้จริงสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺแน่นอน อัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้ามีสภาพเป็นอยู่ และวันที่พวกเขาจะถูกนำกลับไปสู่พระองค์ดังนั้น พระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง


คำแปล R5.
๖๓. โอ้ศรัทธาชน สูเจ้าทั้งหลายอย่าเรียกขานศาสนทูตของพวกเจ้าในระหว่างพวกเจ้า ในระหว่างพวกเจ้า เหมือนพวกเจ้าเรียกขานกันเอง เช่นการเรียกชื่อโดยตรงของศาสนทูตว่า “โอ้มุฮำมัด” แต่ให้เรียกขายว่า “โอ้ศาสนทูตแห่งอัลเลาะห์” ในอาการอันนอบน้อมและสำรวม ที่จริงอัลเลาะห์ทรงทราบดีว่า ใครเป็นพวกที่แอบทยอยออกจากมัสยิดทีละคน ขณะอ่านคุตบะห์โดยซ่อนเร้น ไม่ได้ขออนุญาต ซึ่งพวกนั้นก็มาจากพวกเจ้านั้นเอง แม้พวกเขาจะสามารถซ่อนเร้นต่อท่านศาสดาแต่ก็หาได้พ้นไปจากการมองเห็นของพระองค์อัลเลาะห์ไม่
   อาบูดาวุดรายงานว่า “พวกมุนาฟิกีน(ผู้กลับกลอก)บางคนไม่สามารถจะนั่งฟังคุตบะห์และทนนั่งในมัสยิดได้ เมื่อเขาเห็นมุสลิมคนใดลุกขึ้นขออนุญาตต่อท่านศาสดา เขาก็จะลุกขึ้นบ้าง โดยแอบอยู่ข้าง ๆ มุสลิมคนนั้น อัลเลาะห์จึงได้ลงโองการข้างต้นนี้มา
    ดังนั้นบรรดาผู้ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา(ศาสนทูต)โดยแยกตัวออกจากท่านศาสดาโดยไม่ขออนุญาต จงสังวรไว้เถิดว่า ภัยพิบัติจะมาประสบแก่พวกเขาในภพนี้หรือการลงโทษอันทรมานยิ่งจะประสบแก่พวกเขาในภพหน้า
๖๔. พึงสังวร ที่จริงแล้วสรรพสิ่งในชั้นฟ้าและแผ่นดิน ย่อมเป็นอภิสิทธิ์ของอัลเลาะห์เพียงพระองค์ดียวเท่านั้น และแท้จริงพระองค์ทรงทราบในสิ่งที่พวกเจ้าทั้งหลายได้ตั้งมั่นอยู่บนมัน ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมั่นหรือการกลับกลอกก็ตาม และในวันที่พวกเขาจะถูกให้คืนกลับไปสู่พระองค์ แล้วพระองค์ก็จักทรงแจ้งให้พวกเขาได้ทราบถึงสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้ในสากลโลกเมื่ออดีต ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ทั้งความดีและความชั่ว และอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่งในทุก ๆ สิ่ง

      
---------------------------------------------------------

ดำรัสของอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่เป็นสัจจะ (صدق الله العظيم)
จบสูเราะฮฺที่ 24 อันนูรฺ
والسلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ออฟไลน์ JawhaR

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1303
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ขุดให้คุณ sophia
ญาซากัลลอฮุค็อยรอน เเชหมัด สำหรับการนำเสนอครับ..
I'm just a Mini Muslim and will try to be   StrongeR. Insha-Allah

 

GoogleTagged