ผู้เขียน หัวข้อ: กระบวนการในการเข้าใจซีฟาตมุตะชาบิฮาตเชิงมอบหมายและตีความ  (อ่าน 8201 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป


อัสลามุอะลัยกุ้มครับท่านพี่น้อง  

เห็นว่าตอนนี้กลุ่มวะฮาบีย์ไม่ยอมและไม่พยายามเข้าใจแนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮฺ  พวกเขาจะกล่าวหาฮุกุ่มกลุ่มอื่น ๆ ว่าเป็นพวกบิดอะฮ์ลูกเดียว  นั่นก็เพราะว่าวะฮาบีเชื่อว่าแนวทางของตนเองเท่านั้นที่ถูกต้อง  ผมจึงทำการอ่านทบทวนสิ่งที่น้องอัลอัซฮะรีย์ได้เขียนเอาไว้  แล้วนำส่วนสำคัญมาเรียบเรียงใหม่เพื่อทำการตีแผ่ให้พี่น้องได้เข้าใจกัน  แล้วเราจะได้ไม่ถูกวะฮาบีย์หลอกว่า พวกเขามีอะกีดะฮ์สะลัฟเพียงผู้เดียว

จุดยืนที่แท้จริงของอะชาอิเราะฮ์ที่มีต่อซีฟาตมุตะชาบิฮาต

ท่านอิมาม อัลมุจญฺฮิด อัลฟาฟิซฺ ตะญุดดีน อัศศุบกีย์ กล่าวว่า

لِلأَشَاعِرَةِ قَوْلاَنِ مَشْهُوْرَانِ فِيْ إِثْبَاتِ الصِّفَاتِ، هَلْ تُمَرُّ عَلَى ظَاهِرِهَا مَعَ اِعْتِقَادِ التَّنْزِيْهِ أَوْ تُؤَوَّلُ؟ وَالْقَوْلُ بِالإِمْرَارِ مَعَ اِعْتِقَادِ التَّنْزِيْهِ هُوَ الْمَعْزُوِّ إِلَى السَّلَفِ، وَهُوَ اِخْتِيَارُ الإِمَامِ فِي الرِّسَالَةِ النِّظَامِيَّةِ، وَفِي مَوَاضِعَ مِنْ كَلاَمِهِ فَرُجُوْعُهُ مَعْنَاهُ الرُّجُوْعُ عَنِ التَّأْوِيْلِ إِلَى التَّفْوِيْضِ، وَلاَ إِنْكَارَ فِيْ هَذَا، وَلاَ فِي مُقَابِلِهِ، فَإِنَّهَا مَسْأَلَةٌ اِجْتِهَادِيَّةٌ، أَعْنِي مَسْأَلَةَ التَّأْوِيْلِ أَوِ التَّفْوِيْضَ مَعَ اِعْتِقَادِ التَّنْزِيْهِ، إِنَّمَا الْمُصِيْبَةُ الْكُبْرَى وَالدَّاهِيَةِ الدَّهْيَاءُ الإِمْرَارُ عَلَى الظَّاهِرِ، وَالاِعْتِقَادُ أَنَّهُ الْمُرَادُ، وَأَنَّهُ لاَ يَسْتَحِيْلُ عَلَى الْبَارِيْ، فَذَلِكَ قَوْلُ الْمُجَسِّمَةِ عُبَّادِ الْوَثَنِ، الَّذِيْنَ فِيْ قُلُوْبِهِمْ زَيْغٌ يَحْمِلُهُمْ عَلَى اِتْبَاعِ الْمُتَشَابِهِ اِبْتَغاَءَ الْفِتْنَةِ، عَلَيْهِمْ لَعَائِنُ اللهِ تَتْرَى وَاحِدَةً بَعْدَ أُخْرَى، مَا أَجْرَأَهُمْ عَلَى الْكَذِبِ وَأَقَلَّ فَهْمَهُمْ لِلْحَقَائِقِ.اهـ

“ให้กับ(แนวทาง)อัลอะชาอิเราะฮ์นั้น มีอยู่สองทัศนะที่เลื่องลือ เกี่ยวกับการยืนยันเรื่องซิฟาต , คือผ่านมันไป(อย่าหยุดเจาะจง)บนความหมายผิวเผินของซีฟาตนั้น พร้อมยึดมั่นกับความบริสุทธิ์(จากการไปคล้ายเหมือนกับมัคโลค) หรือว่าให้ทำการตีความ(ตะวีล)? และทัศนะคำกล่าวที่ว่า  ให้ผ่านมันไป พร้อมกับการยึดมั่นกับความบริสุทธิ์นั้น ถูกอ้างอิงไปยังทัศนะของสะลัฟ และมันก็คือทัศนะที่อิมาม(อัลญุวัยนีย์) ได้ทำการเลือกเฟ้นไว้ในหนังสือ อัรริซาละฮ์ อันนิซฺอมียะฮ์ และในบางคำพูดที่มาจากคำกล่าวของเขา(ท่านอิมามอัลญุวัยนีย์) ดังนั้น การที่ท่านอิหม่ามญุวัยนีย์ได้ยกเลิกการตีวีล(ตีความ)นั้น ความหมายก็คือท่านอิมามได้ยกเลิกจากการตีความ(ที่เป็นทัศนะที่ 2 ของอัลอะชาอิเราะฮ์)โดยกลับไปสู่การมอบหมาย(ที่เป็นทัศนะเดิมของอัลอะชาอิเราะฮ์) ซึ่งไม่มีการตำหนิใดๆ (เกี่ยวกับเรื่องนี้ จะเลิกทัศนะใดก็ได้) ใน(การมอบหมาย)นี้  และไม่มีการตำหนิกับสิ่งที่ตรงข้ามกับการมอบหมาย(คือไม่มีการตำหนิการตีความที่ตรงข้ามกับการมอบหมาย) ฉะนั้น บรรดาคำพูดของท่านอิมามอัลญุวัยนีย์ ก็อยู่ในประเด็นของการวินิจฉัย(อิจญ์ติฮาด) ฉันหมายถึง  (อิจญฺติฮาด-วินิจฉัย)ประเด็นของการตีความและมอบหมายพร้อมกับยึดมั่นในความบริสุทธิ์(ซึ่งแล้วแต่จะเลือกเฟ้น) แต่ทว่าแท้จริง ความวิบัติอันยิ่งใหญ่และการหลอกลวงที่มีเลห์เหลี่ยม ก็คือการผ่านมันไปบนความหมายแบบผิวเผิญโดยยึดมั่นว่าแท้จริงความหมายแบบผิวเผินนั้นแหละคือจุดมุ่งหมาย และไม่ถือว่า(ความหมายแบบผิวเผิน)เป็นสิ่งที่มุสติฮีลต่ออัลเลาะฮ์ ดังนั้น สิ่งดังกล่าวนี้ ก็คือ ทัศนะคำกล่าวของพวกอัลมุญัสสิมะฮ์ ผู้อิบาดะฮ์รูปเจว็ด บรรดาหัวใจของพวกเขานั้น มีความเบี่ยงเบนซึ่งทำให้พวกเขาอยู่บนการติดตามความเคลือบแครงสงสัย เพื่อแสวงหาความฟิตนะฮ์ บรรดาอเปหิของอัลเลาะฮ์ ได้ประสบแก่พวกเขาอย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า และมันเป็นความอาจหาญต่อความโกหกและขา ดความเข้าใจกับบรรดาข้อเท็จจริงของพวกเขาเสียกระไรนี่!” ดู หนังสือ เฏาะบะก๊อต อัชชาฟิอียะฮ์ อัลก๊อบรอ เล่มที่ 5 หน้า 191

ท่านชัยคุลอิสลาม  อัลฮาฟิซฺ  อิบนุฮะญัร  กล่าวอธิบายความหมาย  “ทำการผ่านมันไป”  ว่า

وَمَعْنىَ الِإمْرَارِ عَدَمُ الْعِلْمِ بِالْمُرَادِ مِنْهُ مَعَ اعْتِقَادِ التَّنْزِيْهِ

"ความหมาย(อัลอิมร็อร)ทำการผ่านมันไป  หมายถึงไม่รู้ถึงจุดมุ่งหมาย(เฉพาะเจาะจง)จาก(ถ้อยคำซีฟัตของอัลเลาะฮ์ที่มีความหมายหลายนัย) พร้อมกับยึดมั่นว่าพระองค์ทรงบริสุทธิ์(จากการไปคล้ายหรือเหมือนกับมัคโลคด้วยความเข้าใจแบบความหมายคำตรงคำแท้)"  หนังสือฟัตฮุลบารีย์ : 6/48

ท่านปรมาจารย์ อิมาม อัลลักกอนีย์ ได้กล่าวไว้ใน เญาฮะเราะฮ์ อัตเตาฮีดว่า

وَكُلُّ نَصٍّ أَوْهَمَ التَّشْبِيْهَا أَوِّلْهُ أَوْ فَوِّضْ وَرُمْ تَنْزِيْهًا

“ทุกตัวบท(จากอัลกุรอานและซุนนะฮ์)ที่ทำให้คลุมเคลือกับการคล้ายคลึง(กับมัคโลคเนื่องจากมีความหมายหลายนัย) ท่านก็จงทำการตีความมันหรือท่านจงทำการมอบหมายและเจตนามั่นกับความบริสุทธิ์(ต่อพระองค์)” หนังสือตั๊วะห์ฟะตุลมุรีด หน้า 215

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิ.ย. 21, 2011, 05:31 AM โดย al-azhary »

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

การมอบหมาย (ตัฟวีฎ)

1. มอบหมาย اَلتَّفْوِيْضُ   คือมอบหมายการรู้ถึงฮะกีกัตของความหมายไปยังอัลเลาะฮ์และปฏิเสธการมีรูปแบบวิธีการต่อพระองค์

วะฮาบีย์กล่าวว่า  การตัฟวีฎ  คือ การตัจญ์ฮีล تَجْهِيْلٌ (การไม่รู้ความหมาย)  แต่ความจริงแล้วมิใช่เช่นนั้น  เพราะการมอบหมาย(ตัฟวีฎ)นั้น  คือเรารู้ความหมายหลายนัยของถ้อยคำซีฟาต  เช่น  คำว่า يَدٌ  ตามหลักภาษาอาหรับ   หมายถึง  อวัยวะที่มีฝ่ามือและนิ้ว,  อำนาจ, ความโปรดปราน, เกียตริ, พลัง,  ดังนั้นความหมายแรกเราปฏิเสธ เพราะอัลเลาะฮ์ไม่มีอวัยวะ  ส่วนความหมายอื่นๆ  เราไม่เจาะจงความหมาย  แต่ขอมอบหมายการรู้ไปยังอัลเลาะฮ์ตะอาลานั่นเอง 
ท่านอิมามอันนะวาวีย์กล่าวว่า

فَيُقَالُ مَثَلاً: نُؤْمِنُ بِأَنَّ الرَّحْمَنَ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى، وَلَا نَعْلَمُ حَقِيْقَةَ مَعْنَى ذَلِكَ وَالْمُرَادُ بِهِ، مَعَ أَنَّا نَعْتَقِدُ أَنَّ الله َتَعَالىَ لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ، وَأَنَّهُ مُنَزَّهٌ عَنِ الحُلُوْلِ وَسِمَاتِ الحَدُوْثِ، وَهَذِهِ طَرِيْقَةُ السَّلَفِ أَوْ جَمَاهِيْرِهِمْ وَهِيَ أَسْلَمُ

"อาทิเช่น  กล่าวว่า   เราได้ศรัทธาอัลเลาะฮ์ทรงอิสติวาอฺเหนืออะรัช  ซึ่งเราไม่รู้ถึงแก่นแท้ของหมายความ(แต่วะฮาบีย์รู้ความหมายแก่นแท้ของซีฟัต))และไม่รู้เป้าหมายสิ่งดังกล่าว(ตามจุดมุ่งหมายของอัลเลาะฮ์)  พร้อมกับเราเชื่อมั่นว่า  แท้จริง  อัลเลาะฮ์ตะอาลานั้น  "พระองค์ไม่มีสิ่งใดมาคล้ายเหมือนกับพระองค์"  และแท้จริงพระองค์ทรงปราศจากการเข้าไปมีที่อยู่  ปราศจากคุณลักษณะที่บังเกิดขึ้นมาใหม่  และนี้ก็คือแนวทางของสะลัฟ  หรือสะลัฟส่วนมาก  ซึ่งเป็นแนวทางที่ปลอดภัยกว่า"  หนังสือมัจญฺมั๊วะ : 1/25

ท่านอิบนุกุดามะฮ์ กล่าวว่า

عَلِمُوْا أَنَّ الْمُتَكِلِّمَ بِهِ صَادِقٌ لاَ شَكَّ فِىْ صِدْقِهِ فَصَدَّقُوْهُ ، وَلَمْ يَعْلَمُوْا حَقِيْقَةَ مَعْنَاهَا فَسَكَتُوْا عَمَّا لَمْ يَعْلَمُوْهَ

“พวกเขา(สะลัฟ)รู้ว่า แท้จริง ผู้ที่พูดนั้น เป็นผู้สัจจริง โดยไม่ต้องสงสัยในความสัจจริงของเขา ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่อยอมรับ โดยที่พวกเขาไม่รู้ถึง ฮะกีกัตความหมายของมัน(บรรดาซีฟาตที่มีความหมายหลายนัย) ดังนั้น พวกเขาจึงนิ่งจากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้” ดู หนังสือ ซัมมฺ อัตตะวีล หน้า 25

ท่านอิมามอะหฺมัดกล่าวว่า

هَذِهِ الأَحَادِيْثُ نُؤْمِنُ بِهَا وَنُصَدِّقُ ، لاَ كَيْفَ وَلاَ مَعْنَى ، وَلاَ نَصِفُ اللهَ تَعَالَى بِأَكْثَرَ مِمَّا وَصَفَ بِهِ نَفْسَهُ

"บรรดาหะดิษเหล่านี้ (ฮะดีษเกี่ยวกับซีฟาตของอัลเลาะฮ์ที่มีความหมายหลายนัย) เราได้ศรัทธานั้น และเชื่อโดยที่ไม่มีรูปวิธีการว่าเป็นอย่างไร และไม่มีความหมาย(ที่เฉพาะเจาะจง) และเราไม่พรรณากับคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ ให้มากกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงพรรณาไว้กับพระองค์เอง" ดู หนังสือ ลุมอะฮ์ อัลเอี๊ยะติก๊อต ของท่าน อิบนุ กุดามะฮ์ หน้า 3

ท่านอิมามอะหฺมัด มีจุดยืนในเรื่องอายะฮ์หรือหะดิษที่กล่าวถึงซีฟาตของอัลเลาะฮ์ตามแนวทางของนักปราชญ์สะละฟุศศอลิหฺ  โดยที่พวกเขา  มอบหมาย "การรู้ความหมายที่เฉพาะเจาะจงไปยังอัลเลาะฮ์และปฏิเสธรูปแบบวิธีจากพระองค์” แต่วะฮาบีย์กลับรู้ดีถึงแก่แท้ในเชิงความหมายของซีฟัตอัลเลาะฮ์  ดังนั้น  จึงดูเหมือนว่าวะฮาบีย์  ไม่ได้มีแนวทางเหมือนกับท่านอิมามอะหฺมัด(ร.ฮ.) ตามที่พวกเขาพยายามกล่าวอ้าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 19, 2012, 02:36 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

ชัยค์ ซอลิหฺ อัลเฟาซาน  อุลามาอฺอาวุโสของวะฮาบีย์ ได้กล่าวหลักการในเรื่องอากิดะฮ์ตามแนวทางของวะฮาบีย์ไว้ในหนังสือ "อัตเตาฮีด" ซึ่งเป็นหลักสูตรระดับซานาวีย์(มัธยม) ปีที่ 1 ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ใน หน้าที่ 65 บทย่อยที่ 2 ในหัวข้อเรื่อง  مَنْهَجُ أَهْلِ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ فِى أَسْمَاءِ اللهِ وَصِفَاتِهِ

ซึ่งท่านชัยค์ ซอลิหฺ อัลเฟาซาน อุลามาอ์ท่านอาวุโสของวะฮาบีย์ ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

وَيَعْتَقِدُوْنَ أَنَّ نُصَوْصَ الأَسْمَاءِ وَالصِّفَاتِ مِنَ الْمُحْكَمِ الَّذِىْ يُفْهَمُ مَعْنَاهُ وَيُفَسَّرُ وَلَيْسَتْ مِنَ الْمُتَشَابِهِ

"พวกเขา(ตามทัศนะของวะฮาบีย์)เอี๊ยะติก๊อตว่า แท้จริง บรรดาตัวบทที่กล่าวถึงบรรดาพระนามและซีฟาต(ของอัลเลาะฮ์) นั้น เป็นสิ่งที่ชัดเจน(มั๊วะกัม) ที่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้ และสามารถอธิบาย(ตัฟซีรกับความหมายของมัน) ได้ และมันไม่ใช่มาจากมุตะชาบิฮะฮ์(ตัวบทที่มีความหมายหลายนัย)" อ้างจาก หนังสือ กิตาบ อัตเตาฮีด ของ ชัยค์ ซอและหฺ อัลเฟาซาน หน้า 65

จากหลักการอากิดะฮ์ของกลุ่มวะฮาบีย์นี้ เราสามารถสรุปได้ว่า วะฮาบีย์ทำการ ยืนยันและรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของซีฟาตอัลเลาะฮ์ตะอาลาที่มะตุชาบิฮาต  เมื่อพวกเขารู้ความหมายแล้ว ก็ถือว่าสามารถ "ตัฟซีร" อธิบายความหมายของซีฟาตอัลเลาะฮตะอาลาได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้น การอธิบาย(ตัฟซีร)ความหมายกับบรรดาซีฟาตของอัลเลาะฮ์ตามหลักการของวะฮาบีย์นี้ จึงไม่ใช่แนวทางของสะละฟุศศอลิหฺ เนื่องจากสะลัฟส่วนมากได้มอบหมายกับความหมายของซีฟาตมุตะบาบิฮาตโดยไม่ทำการอธิบาย ด้วยข้อยืนยันดังนี้

หลักฐานที่ 1

ท่านอัลบัยฮะกีย์ ได้รายงานถึง ท่าน เกาะตาดะฮ์ ว่า

عَنْ قَتَادَةَ قَوْلُهُ : ( وَمَا قَدَرُوا اللهَ حَقَّ قَدَرِهِ وَالأَرْضُ جَمِيْعاً قَبْضَتُهُ يَوْمَ القِيَامَةِ وَالسَّموَاتُ مَطْوِيَّاتٌ بِيَمِيْنِهِ) لَمْ يُفَسِّرْهَا قَتَادَةُ

ท่านอัลบัยฮะกีย์ได้กล่าวรายงานว่า " คำตรัสของอัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮ์ (ซูเราะฮ์อัซซุมัร 67) ที่ว่า

 وَمَا قَدَرُوا اللهَ حَقَّ قَدَرِهِ وَالأَرْضُ جَمِيْعاً قَبْضَتُهُ يَوْمَ القِيَامَةِ وَالسَّموَاتُ مَطْوِيَّاتٌ بِيَمِيْنِهِ

ท่านเกาะตาดะฮ์ ไม่เคยทำการ(ตัฟซีร)อธิบายมันเลย” ดู อัลอัสมาอ์ วะ อัสศิฟาต หน้า 312
 
คือหมายถึงว่า ท่านเกาะตาดะฮ์ ปล่อยว่างเอาไว้ ไม่ได้ทำการแตะต้องกับการอธิบายมันเลย คือผ่านมันไป โดยไม่ได้ให้ความหมายแบบวะฮาบีย์ที่อยู่ในเชิงภาษาแต่อย่างใด?

หลักฐานที่ 2

ท่านอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า

وَالْمَحْفُوْظُ عَنْ مَالِكٍ رَحِمَهُ اللهُ رِوَايَةُ الْوَلِيْدِ بْنِ مُسْلِمٍ أَنَّهُ سَأَلَهُ عَنْ أَحَادِيْثِ الصِّفَاتِ فَقَالَ : أَمِرَّهَا كَمَا جَاءَتْ بِلاَ تَفْسِيْرٍ

"สายรายงานที่ได้ยิน(หรือเป็นที่รู้กัน) จากท่านอิมามมาลิก (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) คือสายรายงานของ อัลวะลีด บิน มุสลิม ที่ว่า แท้จริง เขาได้ถามอิมามมาลิก จากบรรดาหะดิษซีฟาต ดังนั้น ท่านอิมามมาลิกกล่าวว่า "ท่านจงทำการผ่านมันไปเสมือนที่มันได้มีระบุมา โดยไม่อธิบาย(ตัฟซีร)" ดู หนังสือ ซิยัร อะลาม อันนุบะลาอ์ เล่ม 8 หน้า 105

หลักฐานที่ 3

ท่านอัตติมีซีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ สุนันของท่านว่า
 
وَالْمَذْهَبُ فِي هَذَا عِنْدَ أَهْلِ الْعِلْمِ مِنْ الْأَئِمَّةِ مِثْلِ سُفْيَانَ الثَّوْرِيِّ وَمَالِكِ بْنِ أَنَسٍ وَابْنِ الْمُبَارَكِ وَابْنِ عُيَيْنَةَ وَوَكِيعٍ وَغَيْرِهِمْ أَنَّهُمْ رَوَوْا هَذِهِ الْأَشْيَاءَ ثُمَّ قَالُوا تُرْوَى هَذِهِ الْأَحَادِيثُ وَنُؤْمِنُ بِهَا وَلَا يُقَالُ كَيْفَ وَهَذَا الَّذِي اخْتَارَهُ أَهْلُ الْحَدِيثِ أَنْ تُرْوَى هَذِهِ الْأَشْيَاءُ كَمَا جَاءَتْ وَيُؤْمَنُ بِهَا وَلَا تُفَسَّرُ وَلَا تُتَوَهَّمُ وَلَا يُقَالُ كَيْفَ وَهَذَا أَمْرُ أَهْلِ الْعِلْمِ الَّذِي اخْتَارُوهُ وَذَهَبُوا إِلَيْهِ

"แนวทางในเรื่องนี้ ตามทัศนะของนักวิชาการจากบรรดานักปราชญ์ อย่างเช่น ท่านซุฟยาน อัษเษารีย์ , ท่านมาลิดบินอะนัส , ท่านอิบนุอัลมุบาร๊อก , ท่านอิบนุอุยัยนะฮ์ , ท่านวะเกี๊ยะอฺ , และท่านอื่นๆ ให้ทัศนะว่า พวกเขาเหล่านั้นได้ทำการรายงานบรรดาประการต่างเหล่านี้ หลังจากนั้น พวกเขาก็กล่าวว่า บรรดาหะดิษเหล่าวนี้ได้ถูกรายงาน โดยเราทำการศรัทธาด้วยกับมัน และไม่ถูกกล่าวว่ามันเป็นอย่างไร และนี้ก็คือสิ่งที่นักวิชาการหะดิษได้เลือกเฟ้นมัน โดยการรายงานประการต่างๆเหล่าวนี้ เสมือนกับที่มันได้มีมา และถูกศรัทธาด้วยกับมัน โดยไม่ถูกอธิบาย(ตัฟซีรความหมาย) , ไม่คิดสงสัย และไม่ถูกกล่าวว่าเป็นอย่างไร และนี้คือสิ่งที่นักวิชาการได้เลือกและได้ให้ทัศนะไปยังมัน" ดู สุนัน อัตติรมีซีย์ เล่ม 4 หน้า 692

ตรงนี้ ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า มัซฮับสะลัฟ (ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ 1 ของอัลอะชาอิเราะฮ์) นั้น จะไม่ได้ทำการตัฟซีรความหมาย แต่วะฮาบีย์ทำการตัฟซีรครับ เมื่อเป็นเช่นนี้ วะฮาบีย์จึงไม่ได้อยู่ในหลักการของสะลัฟ

หลักฐานที่ 4

ท่านอิบนุ รอญับ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ  ฟัฏลุ อิลมิ อัสสะลัฟ อะลา อัลคอลัฟ ว่า

وَالصَّوَابُ مَا عَلَيْهِ السَّلَفُ الصَّالِحُ مِنْ إِمْرَارِ آيَاتِ الصِّفَاتِ وَأَحَادِيْثِهَا كَمَا جَاءَتْ مِنْ غَيْرِ تَفْسِيْرٍ لَهاَ . . وَلاَ يَصِحُّ مِنْهُمْ خَلاَفَ ذَلِكَ اَلْبَتَّةَ خُصُوْصاً اَلإِمَامَ أَحْمَدَ وَلاَ خَوْضَ فِيْ مَعَانِيْهَا

"ที่ถูกต้องคือสิ่งที่ สะละฟุศศอลิห์ได้ดำเนินอยู่ จากการทำการผ่านไปกับบรรดาอายะอ์ซิฟาตและหะดิษซีฟัต เหมือนกับที่มันได้มีระบุมา จากการไม่มีการอธิบาย(ตัฟซีรความหมาย)ให้กับมัน...และย่อมใช้ไม่ได้อย่างเด็ดขาดจากพวกเขา โดยการขัดแย้งกับสิ่งดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอิมามอะหฺมัด โดยที่ไม่มีการเข้ายุ่งเกี่ยวในบรรดาความหมายของมัน(คือบรรดาอายะฮ์มุตะชาบิฮาตที่เกี่ยวกับซีฟาต)" ดู หน้า 30

จากคำยืนยันของท่าน อิบนุ รอญับ ชี้ให้เห็นว่า ที่ถูกต้องจากแนวทางของสะละฟุศศอลิหฺนั้น จะอ่านผ่านตัวบทมันไป โดยไม่มีการตัฟซีรความหมาย และไม่เข้าไปก้าวก่ายกับความหมายเลย และนั่นก็คือ แนวทางของอิมามอะหฺมัด อิบนุ หัมบัล เป็นการเฉพาะ โดยมีความแตกต่างกับวะฮาบีย์ที่รู้ความหมายและอธิบายความหมายกับซีฟาตของอัลเลาะฮ์

หลักฐานที่ 5

ท่านอัลบัยฮะกีย์ได้กล่าวรายงานถึงท่าน ซุฟยาน บิน อุยัยนะฮ์ ว่า

مَا وَصَفَ اللهُ تَبَارَكَ وَتَعَالَى بِنَفْسِهِ فِىْ كِتَابِهِ فَقِرَاءَتُهُ تَفْسِيْرُهُ ، لَيْسَ لِأَحَدٍ أَنْ يُفَسِّرَهُ بِالْعَرَبِيَّةِ وَلاَ بِالْفَارِسِيَّةِ

“สิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณาด้วยกับพระองค์เองในคำภีร์ของพระองค์นั้น การอ่าน(ผ่าน)มันก็คือการอธิบายมันแล้ว โดยที่ไม่อนุญาติให้คนใดคนหนึ่ง ทำการอธิบายมันด้วยภาษาอาหรับหรือภาษาเปอร์เซีย” ดู อัลอัศมาอ์ วะ อัสศิฟาต หน้า 298

หลักฐานที่ 6

ท่านอัลบัยฮะกีย์ ได้รายงานถึง ท่านอัลฏอลิกอนีย์ ว่า

سَمِعْتُ سُفْيَانَ بْنَ عُيَيْنَةَ يَقُوْلُ : كُلُّ مَا وَصَفَ اللهُ تَعَالَى مِنْ نَفْسِهِ فِى كِتَابِهِ فَتَفْسِيْرُهُ تِلاَوَتُهُ . وَالسُّكُوْتُ عَلَيْهِ

"ฉันได้ยิน ท่านซุฟยาน บิน อุยัยนะฮ์ กล่าวว่า ทุกๆสิ่ง(ซีฟัต)ที่อัลเลาะฮ์ทรงพรรณาจากพระองค์เอง ในคำภีร์ของพระองค์นั้น การอธิบายมัน ก็คือการอ่านมันไป(เท่านั้น) และทำการนิ่งเฉยต่อมัน" ดู อัลอัสมาอ์ วะ อัสศิฟาต หน้า 312

จากคำกล่าวของท่าน ซุฟยาน บิน อุยัยนะฮ์นี้ ชี้ให้เห็นว่า การอ่านมันผ่านไป ก็ถือเป็นการตัฟซีรแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่อธิบาย(ตัฟซีร)ความหมาย ซึ่งแตกต่างกับวะฮาบีย์ที่รู้ความหมายและอธิบายความหมาย

หลักฐานที่ 7

สะลัฟที่แท้จริงตามแนวทางของอัลอะชาอิเราะฮ์นั้น พวกเขาจะไม่ทำการจำกัดความหมายของซีฟาตอัลเลาะฮ์ (ซ.บ.) เนื่องจากว่า พวกเขาไม่ทราบถึงเป้าหมายตามทัศนะของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)

لَكِنَّهُمْ يَعْتَقِدُوْنَ أَنَّ وَرَاءَهَا صِفَاتٍ وَمَعَانِى أَسْتَأْثِرُ اللهُ تَعَالَى بِعِلْمِ مُرَادِهِ مِنْهَا ، فَآمَنُوْا بِهَا ، لاَ عَلَى مُقْتَضَى أَفْهَامِهِمْ اللُّغَوِيَّةِ أَوْ الْعَقْلِيَّةِ لَهَا ، بَلْ عَلَى مُقْتَضَى مُرَادِ اللهِ تَعَالَى مِنْهَا ، وَفِىْ هَذَا تَمَامُ التَّسْلِيْمِ ، وَكَمَالُ الاِنْقِيَادِ

"แต่พวกเขา(สะลัฟ) เชื่อว่า แท้จิรง เบื้องหลังของมันนั้น มีบรรดซีฟาตและบรรดาความหมายที่อัลเลาะฮ์ทรงรอบรู้จุดมุ่งหมายจากมัน ดังนั้น พวกเขาจึงทำการศรัทธากับมัน โดยไม่ได้อยู่ในนัยยะของความเข้าใจของพวกเขาตามหลักภาษา(เชื่อ มือของอัลเลาะฮ์ตามหลักภาษาคำแท้ที่อยู่ในความหมายของอวัยวะ)หรือสติปัญญา แต่ว่า (เข้าใจความหมาย)อยู่บนนัยยะความหมายที่พระองค์ทรงประสงค์ (ซึ่งเราไม่รู้ว่าอัลเลาะฮ์ทรงประสงค์เจาะจงความหมายใดจากอายะฮ์และฮะดีษมุตะชาบิฮาต  เราจึงต้องมอบหมายต่อพระองค์) และในการนี้ ก็คือการสมบูรณ์ในการมอบหมายและสมบูรณ์ในการน้อมตาม” ดู หนังสือซัมมฺ อัตตะวีล ของท่านอิบนุ กุดามะฮ์ หน้า 41

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งอีกว่า การที่สะลัฟทำการมอบหมายกับความหมายนั้น โดยไม่เจาะจงความหมายบรรดาอายะฮ์มุตะชาบิฮาตที่มีความหมายหลายนัย เพราะพวกเขาทำให้เกียรติและถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของความเป็นพระเจ้า  ในการที่จะเข้าไปให้ความหมายในเชิงภาษาที่มนุษย์เข้าใจกัน ซึ่งมันย่อมมีความบกพร่อง ถึงแม้เราจะกล่าวว่า  “รูปแบบวิธีการไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร” สักพันๆครั้งก็ตาม

หลักฐานที่ 8

ด้วยเหตุเช่นนี้ ท่านอิมามอะหฺมัดจึงกล่าวว่า

هَذِهِ الأَحَادِيْثُ نُؤْمِنُ بِهَا وَنُصَدِّقُ ، لاَ كَيْفَ وَلاَ مَعْنَى ، وَلاَ نَصِفُ اللهَ تَعَالَى بِأَكْثَرَ مِمَّا وَصَفَ بِهِ نَفْسَهُ

"บรรดาหะดิษเหล่านี้ (ฮะดีษเกี่ยวกับซีฟาตของอัลเลาะฮ์ที่มีความหมายหลายนัย) เราได้ศรัทธานั้น และเชื่อโดยที่ไม่มีรูปวิธีการว่าเป็นอย่างไร และไม่มีความหมาย(ที่เฉพาะเจาะจง) และเราไม่พรรณากับคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์ ให้มากกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงพรรณาไว้กับพระองค์เอง" ดู หนังสือ ลุมอะฮ์ อัลเอี๊ยะติก๊อต ของท่าน อิบนุ กุดามะฮ์ หน้า 3

สายรายงานนี้ ยืนยันอย่างชัดเจนเลยว่า ท่านอิมามอะหฺมัด ไม่เข้าไปกำหนดความหมายที่เจาะจงเกี่ยวกับซีฟาตของอัลเลาะฮ์

หลักฐานที่ 9

ท่านอิบนุกุดามะฮ์กล่าวว่า

أَمِرُّوْهَا كَمَا جَاءَتْ ،وَرُدُّوَا عِلْمَهَا إِلَى قَائِلِهَا وَمَعْنَاهَا إِلَى الْمُتَكَلِّمِ بِهَا

"พวกท่านจงอ่านผ่านมันไปเสมือนที่มันได้มีระบุมา และจงกลับคือการรู้มัน(บรรดาซีฟาตที่มีความหมายหลายนัย)ไปยังผู้ที่กล่าวมัน(คืออัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์) และ(จงกลับคืน)กับ ความหมายของมัน ไปยังผู้ที่พูดด้วยกันมัน(ด้วยการมอบหมาย) ดู หนังสือ ซัมมุ อัตตะวีล ของท่านอิบนุกุดามะฮ์ หน้า 25

ตรงนี้ก็ชัดเจนครับว่า ความหมายบรรดาซิฟาตนั้น มอบหมายไปยังผู้ที่กล่าวมัน คือ อัลเลาะฮ์ และรอซูลของพระองค์

หลักฐานที่ 10

ท่านอิบนุกุดามะฮ์ ได้รายงานคำกล่าวของท่าน อิมาม อัชชาฟิอีย์ (ร.ฏ.) ว่า

عَلِمُوْا أَنَّ الْمُتَكِلِّمَ بِهِ صَادِقٌ لاَ شَكَّ فِىْ صِدْقِهِ فَصَدَّقُوْهُ ، وَلَمْ يَعْلَمُوْا حَقِيْقَةَ مَعْنَاهَا فَسَكَتُوْا عَمَّا لَمْ يَعْلَمُوْهَ

“พวกเขา(สะลัฟ)รู้ว่า แท้จริง ผู้ที่พูดนั้น เป็นผู้สัจจริง โดยไม่ต้องสงสัยในความสัจจริงของเขา ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่อยอมรับ โดยที่พวกเขาไม่รู้ถึง ฮะกีกัตความหมายของมัน(บรรดาซีฟาตที่มีความหมายหลายนัย) ดังนั้น พวกเขาจึงนิ่งจากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้” ดู หนังสือ ซัมมฺ อัตตะวีล หน้า 25

ณ ตรงนี้ อิมามอัชชาฟิอีย์ ที่เป็นสะลัฟ ก็บอกอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องตีความเลยว่า  “พวกเขา(สะลัฟ)ไม่รู้ฮะกีกัตความหมายของมัน”
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

เกี่ยวเนื่องกับประเด็นนี้  จึงขอถามวะฮาบีย์เกี่ยวกับการรู้ความหมายซีฟาตมุตะชาบิฮาต(ที่มีความหมายหลายนัย)  ว่า

ฮะดิษดังกล่าว ที่เกี่ยวกับซีฟาต ยะดุน يد ท่านอิมามอันนะวาวีได้อธิบายจุดยืนของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ว่า

فِي ( الْيَد ) هُنَا الْمَذْهَبَانِ السَّابِقَانِ فِي كِتَاب الْإِيمَان وَمَوَاضِع فِي أَحَادِيث الصِّفَات : أَحَدهمَا الْإِيمَان بِهَا ، وَلَا يُتَعَرَّض لِتَأْوِيلِهَا ، مَعَ أَنَّ ظَاهِرهَا غَيْر مُرَاد . وَالثَّانِي تَأْوِيلهَا عَلَى الْقُدْرَة

"คำว่า(อัลยะดุ้) اليد ณ ที่นี้ มีสองมัซฮับที่กล่าวผ่านมาแล้วในบทเรื่องอัลอีมาน และในสถานที่ต่าง ๆ เกี่ยวกับบรรดาหะดิษซีฟาตนั้น มี(สองมัซฮับ) มัซฮับที่หนึ่ง(คือมัซฮับสะลัฟ) : ให้ทำการศรัทธาด้วยกับมัน(ว่าเป็นซีฟัตอัลยะดุ้) โดยไม่ต้องตีความกับมันพร้อมกับความหมายผิวเผินของมันไม่ใช่จุดมุ่งหมาย และมัซฮับที่สอง : ทำการตีความมันให้อยู่ในความหมายของเดชานุภาพ(อัลกุดเราะฮ์)” ชัรหุซอเฮี๊ยะห์มุสลิม 8/483

เรายึดตามหลักการที่อิมามอันนะวาวีย์ได้อธิบายแนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ไว้

ส่วนคำพูดที่คุณบอกว่า "มือ" แล้วผ่านมันไปโดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับความหมายของมัน ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่อะกีดะฮ์วะฮาบีย์นั้น รู้ความหมายและอธิบายได้  จึงมีคำถามขึ้นมาว่า คำว่า "اَلْيَدُ" (ภาษาไทยแปลว่า มือ) ภาษาอาหรับหมายถึงอะไรและอธิบายความหมายภาษาอาหรับเช่นใด

ซึ่งหลักการพิจารณาถึงซีฟาตมุตะชาบิฮาตของวะฮาบีย์นั้น  ท่านชัยค์ ซอลิหฺ อัลเฟาซาน อุลามาอ์ท่านอาวุโสของวะฮาบีย์ ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

"พวกเขา(ตามทัศนะของวะฮาบีย์)เอี๊ยะติก๊อตว่า แท้จริง บรรดาตัวบทที่กล่าวถึงบรรดาพระนามและซีฟาต(ของอัลเลาะฮ์) นั้น เป็นสิ่งที่ชัดเจน(มั๊วะกัม) ที่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้ และสามารถอธิบาย(ตัฟซีรกับความหมายของมัน) ได้ และมันไม่ใช่มาจากมุตะชาบิฮะฮ์(ตัวบทที่มีความหมายหลายนัย คือวะฮาบีย์จะเชื่อว่าอายะฮ์ซาฟาตนั้นมีมั๊วกะมาตไม่มีมุตะชาบิฮาต)" อ้างจาก หนังสือ กิตาบ อัตเตาฮีด ของ ชัยค์ ซอและหฺ อัลเฟาซาน หน้า 65

ดังนั้นการพูดว่า “คำนี้แปล تَرْجَمَةٌ ว่าอะไร?” กับ “คำนี้มีความหมาย مَعْنَي ว่าอะไร?” มันต่างกันอย่าสับสน เพราะมิเช่นนั้นคุณใช้วิธีการยืนยันอะกีดะฮ์ของคุณด้วยหลักการถามให้แปลซีฟาตของอัลเลาะฮ์(ที่มีความหมายหลายนัย) แล้วถ้าคุณจะให้คนอาหรับแปลตัวบทฮะดีษดังกล่าว คนอาหรับจะงง เพราะคนอาหรับเขาแปลฮะดีษเป็นภาษาไทยไม่เป็น

ของให้วะฮาบีย์ตอบเรา  ในกรณีของหลายอายะฮ์ที่กล่าวถึงซีฟัตของอัลเลาะฮ์เกี่ยวกับ يَدٌ หรือ يَدَيْنِ หรือ أَيْدِيْنَا ซึ่งในภาษาอาหรับนั้น คำว่า يَدٌ หรือ يَدَيْنِ หรือ أَيْدِيْنَا   ที่แปลภาษไทย แปลว่า "มือ" ซึ่งในภาษาอาหรับมีอยู่หลายความหมาย แล้วใหนความหมายฮะกีกัตคำแท้ตามหลักอะกีดะฮ์ของวะฮาบีย์ อาทิเช่น

1. หมายถึงส่วนอวัยวะของร่างกายที่เป็นฝ่ามือและมีนิ้ว
2. หมายถึงอำนาจ
3. หมายถึงความโปรดปราน
4. หมายถึงเกียรติ
5. หมายถึงพลัง

สำหรับพวกเราชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์แล้ว ความหมายข้อที่ 1 ซึ่งเป็นความหมายฮะกีกัต(คำแท้)ไม่ใช่ความหมายที่จะนำมาเข้าใจกับซีฟัตของอัลเลาะฮ์อย่างแน่นอน ส่วนความหมายที่ 2-5 ข้อนั้นเราไม่รู้ว่าความหมายใดเป็นเป้าหมายที่อัลเลาะฮ์ทรงต้องการ ดังนั้นเราจึงมอบหมาย(ตัฟวีฎ)การรู้นี้ไปยังอัลเลาะฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

แต่ตามหลักอะกีดะฮ์ของวะฮาบีย์  คือ รู้ความหมายฮะกีกัต(คำแท้)และอธิบายได้ ดังนั้นหากคุณเลือกแปลว่า "มือ" แต่จะเลือกความหมายเหมือนข้อ 2 - 5 นั้น  แน่นอนว่าคุณคงไม่ยอมเพราะจะกลายเป็นการตีความ

ดังนั้นจึงเหลือความหมายข้อที่ 1 "มือ" ที่อยู่ในควาหมายของ "ส่วนอวัยวะของร่างกายที่เป็นฝ่ามือและนิ้ว"

ขอถามวะฮาบีย์ว่าในความหมายทั้ง 5 ข้อที่เราได้นำเสนอไปนั้น  คุณเลือกให้ความหมายที่เกี่ยวกับซีฟัตของอัลเลาะฮ์นี้ในข้อใหน?
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

การตีความ (ตะอฺวีล) กับทรรศนะของสะลัฟ

2. การตีความ اَلتَّأْوِيْلُ คือคำว่า "อัตตะวีล" (การตีความ)  ตามทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์   ก็คือ   การผินความหมายมิใช่ผินถ้อยคำผิวเผิน(ลักษณะภายนอก)  หมายความว่า  ถ้อยคำเรายืนยันเช่นนั้น  กล่าวคือ  يَدٌ  ก็คือ  "ยะดุน" และ اِسْتِوَاءٌ ก็คือ "อิสติวาอฺ"  ซึ่งถ้อยคำเหล่านี้เราไม่ผินหรือเปลี่ยนมันแต่เราจะเรียกทับศัพท์มัน (แต่จะแปลเป็นภาษาไทยแบบตรงตัวแล้วมั่นใจว่าคนเอาวามไม่คิดจินตนาการก็อนุโลมให้แปล)  ส่วนความหมายของถ้อยคำผิวเผิน(ลักษณะภายนอกเชิงฮะกีกัตนั้น) ทั้งสะลัฟและค่อลัฟได้ผินความหมายของมัน  กล่าวคือ  สะละฟุศศอลิห์  มิได้ให้ความหมาย  يَدٌ  แบบผิวเผินให้อยู่ในความหมายว่า  "ส่วนอวัยวะที่เป็นมือ" 

ท่านอัชซัยยิด  อัลญุรญานีย์  ได้กล่าวคำนิยามของการตะวีล(ตีความ) ว่า

صَرْفُ الأَيَِةِ عَنْ مَعْنَاهَا الظَّاهِرِ إِلَي مَعْنَي تَحْتَمِلُهُ

"การผินอายะฮ์ออกจากความหมายของมันที่ผิวเผิน(ลักษณะภายนอก) ไปยังความหมายที่อายะฮ์สามารถตีความมันได้"  หนังสืออัตตะรีฟาต  หน้า 43  ถ่ายทอดจากหนังสือชัรฮุลอะกีดะฮ์อัฏเฏาะฮาวียะฮ์  หน้า 71  ของท่านอัลลามะฮ์ อัลมุฮักกิก อับดุลฆ่อนีย์ อัลฆ่อนีมีย์ อัลฮะนะฟีย์

ชัดเจนครับว่า  การตะวีลตีความนั้น  คือการผินความหมาย  มิใช่ผินเปลี่ยนถ้อยคำ  กล่าวคืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่ตีความได้ยืนยัน(อิษบาต)ในถ้อยคำซีฟัต يَدٌ แต่ในเชิงความหมายนั้นคือ (กุดเราะฮ์) อำนาจ  หรือ (กู้วะฮ์) "พลัง"   ส่วนพวกมั๊วะตะซิละฮ์นั้น  ปฏิเสธ(ตะตีล)การมีซีฟัต  يَدٌ ครับ  ซึ่งตรงนี้เราก็จะเห็นความแตกต่างของการตะวีล(ตีความ)ระหว่างอะฮ์ลิสซุนนะฮ์กับพวกมั๊วะตะซิละฮ์อย่างชัดเจน  ดังนั้นการกล่าวเหมาว่า  หากตีความแล้ว  ย่อมเป็นการปฏิเสธซีฟัตหรือไม่ยืนยันซีฟัตของอัลเลาะฮ์  ถือว่าเข้าใจผิดต่อหลักการของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์นั่นเองครับ

ดังนั้น  การตีความจึงแบ่งเป็นสองกลุ่ม

1. การตีความที่ยืนยันในถ้อยคำซีฟัตอัลเลาะฮ์ตามแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์  ย่อมเป็นกลุ่มอิษบาต المُثْبِتَةُ "ผู้ยอมรับและยืนยันในซีฟัตของพระองค์แม้เขาจะตีความก็ตาม"

2. การตีความกลุ่มมั๊วะตะซิละฮ์ที่ปฏิเสธถ้อยคำและซีฟัตของอัลเลาะฮ์ แล้วทำการตีความ  ถือว่าเป็นกลุ่ม المُعَطَّلَةُ "กลุ่มผู้ปฏิเสธซีฟัต" หรือกลุ่มอัลญะฮ์มียะฮ์ الجَهْمِيَّةُ ที่ปฏิเสธซีฟัตและสายรายงานฮะดิษที่เกี่ยวกับเรื่องซีฟัตที่มีความหมายหลายนัย
 
ในหนังสืออัฏเฏาะบะก็อตอัลฮะนาบิละฮ์  ระบุยืนยันไว้ว่ากลุ่มอะฮ์ลุลฮะดิษจากอัลอะชาอิเราะฮ์ที่ตีความและยอมรับในซีฟัตและสายรายงานฮะดิษต่าง ๆ นั้นคืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  ท่านอิบนุอะลียะลา รอฮิมะฮุลลอฮ์  ปราชญ์แห่งมัซฮับฮัมบาลีย์ได้กล่าวว่า

وَقَدْ أَجْمَعَ عُلَمَاءُ أَهْلِ الْحَدِيْثِ وَالأَشْعَرِيَّةِ مِنْهُمْ عَلىَ قَبُوْلِ هَذِهِ الأَحَادِيْثِ فَمِنْهُمْ مَنْ أَقَرَّهَا عَلىَ مَا جَاءَتْ وَهُمْ أَصْحَابُ الْحَدِيْثِ وَمِنْهُمْ مَنْ تَأَوَّلَهَا وَهُمْ الأَشْعَرِيَّةُ وَتَأْوِيْلُهُمْ إِيَّاهَا قَبُوْلٌ مِنْهُمْ لَهَا إِذْ لَوْ كَانَتْ عَنْدَهُمْ بَاطِلَةٌ لاَطْرَحُوْهَا كَمَا اطْرَحُوْا سَائِرَ الأَخْبَارِ الْبَاطِلَةِ وَقَدْ رُوِىَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ: أُمَّتِيْ لاَ تَجْتَمِعُ عَلىَ خَطَأٍ وَلاَ ضَلاَلَةٍ

"แท้จริงได้ลงมติ (อิจญ์มาอฺ)โดยบรรดาอุลามาอฺอะฮ์ลุลฮะดีษและอัลอะชาอิเราะฮ์ซึ่งก็เป็นส่วน หนึ่งจากอะฮ์ลุลฮะดิษ  ต่อการรับบรรดาฮะดิษ(ที่เกี่ยวกับเรื่องซีฟาตของอัลเลาะฮ์) ดังนั้นส่วนหนึ่งจากอะฮ์ลุลฮะดิษก็รับฮะดิษตามที่ได้ระบุมา  ซึ่งพวกเขาคืออัศฮาบุลฮะดิษ(คือกลุ่มอะษะรียะฮ์)  และส่วนหนึ่งจากอะฮ์ลุลฮะดิษ  ทำการตีความ(ตะวีล)บรรดาฮะดิษซีฟาต  ซึ่งพวกเขาคืออัลอะชาอิเราะฮ์  และการตีความของพวกเขากับบรรดาฮะดิษซีฟาตของอัลเลาะฮ์นี้  ก็คือการที่พวกเขาได้ยอมรับบรรดาฮะดิษที่เกี่ยวกับซีฟาตของอัลเลาะฮ์นั่นเอง  เนื่องจากว่า  หากบรรดาฮะดิษที่เกี่ยวกับซีฟาตของอัลเลาะฮ์เป็นสิ่งที่โมฆะตามทัศนะของอัล อะชาอิเราะฮ์แล้ว  แน่นอนว่า พวกเขาก็จะละทิ้งบรรดาฮะดิษนั้นไป  เสมือนที่พวกเขาละทิ้งบรรดาฮะดิษที่กุขึ้นมา  และแท้จริงได้รายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ว่า  "ประชาชาติของฉันจะไม่ลงมติกันบนความผิดพลาดและลุ่มหลง" หนังสอเฏาะบะก็อตอัลฮะนาบิละฮ์  หน้า 479 รวบรวมโดย ท่านอิบนุอะบียะลาอุลามาอฺมัซฮับฮัมบาลีย์

ดังนั้นการตีความของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์กับพวกมั๊วะตะซิละฮ์จึงต่างกัน  หากใช้หัวใจที่เป็นธรรมพิเคราะห์พิจารณาถึงข้อเท็จจริงอันนี้
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

ตัวอย่างการตีความของสะละฟุศศอลิห์

1. ท่านอิบนุอับบาส ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ

แต่ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์  กล่าวการตีความ  อัลกุรซีย์  ของท่านอิบนุอับบาส ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ว่า

وَأَمَّا الَّذِي يَدُلّ عَلَى صِحَّته ظَاهِر الْقُرْآن فَقَوْل ابْن عَبَّاس الَّذِي رَوَاهُ جَعْفَر بْن أَبِي الْمُغِيرَة عَنْ سَعِيد بْن جُبَيْر عَنْهُ أَنَّهُ قَالَ : هُوَ عِلْمُهُ

"สำหรับทัศนะที่ความชัดเจนของอัลกุรอานได้บ่งชี้ถึงความถูกต้องนั้น  คือทัศนะคำกล่าวของท่านอิบนุอับบาสที่รายงานโดยญะฟัร บิน อะลี อัลมุฆีเราะฮ์ จาก สะอีด บิน ญุบัยร์  จากท่านอิบนุอับบาส  ซึ่งท่านได้กล่าวว่า : "กุรซีย์ของอัลเลาะฮ์  ก็คือความรอบรู้ของพระองค์" ตัฟซีรอัฏเฏาะบะรีย์ 3/7

2. ท่านอิบนุอับบาส (ร.ฏ.) ได้ทำการตีความ(ตะวีล) คำตรัสของอัลเลาะฮฺ(ซุบหานะฮฺ)

يَوْمَ يُكْشَفُ عَنْ سَاقٍ

"วันที่เกิดแต่ความวิกฤติ" (อัลก่อลัม 42)

คำ ว่า  سَاقٍ  เดิมหมายถึง ขา หน้าแข้ง แต่ท่านอิบนุอับบาสกล่าวตีความว่า يُكْشَفُ عَنْ شِدَّةٍ  "ได้เกิดวิกฤติความรุนแรงขึ้น" ท่านอิบนุหะญัรได้กล่าวยืนยันดังกล่าว ด้วยสายรายงานที่ซอเฮี๊ยะหฺ ในหนังสือ ฟัตหุบารีย์ เล่ม 13 หน้า 428 และท่านอิบนุญะรีร อัลฏ๊อบรีย์ ได้กล่าวไว้ในตัฟซีรของท่าน เล่ม 29 หน้า 38 โดยที่ท่านอิบนุญะรีรได้กล่าวอธิบายไว้ในช่วงแรกของอายะฮฺนี้ว่า " กลุ่มหนึ่งจากบรรดาซอฮาบะฮฺ และตาบิอีน จากผู้ที่ทำการตีความ ได้กล่าวว่า يَبْدُوْ عَنْ أَمْرٍ شَدِيْدٍ"(วัน)ที่เกิดสิ่งวิกฤติรุนแรง"

3. อิมาม อัล-บุคคอรีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์

อิมามบุคอรีย์ได้ทำการตีความไว้ในบทว่าด้วยเรื่อง ตัฟซีรซูเราะฮฺ อัลเกาะซ๊อซว่า

كُلُّ شَيْءٍ هَالِكٌ إِلَّا وَجْهَهُ : إِلَّا مُلْكَهُ

ความว่า  "ทุกๆ สิ่งนั้นพินาจสิ้นนอกจาก وَجْهَهُ (พระพักตร์)ของพระองค์"  (อิมามบุคคอรีย์ตีความว่า) "นอกจากอำนาจการปกครองของพระองค์"  หนังสือฟัตฮุลบารีย์ 8/364

4. ท่าน อิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์

ท่าน อัฏเฏาะบะรีย์ ได้ตะวีล ตีความ อายะฮ์ที่ว่า

ثُمَّ اسْتَوَى إِلَى السَّمَاءِ

ท่าน อัฏฏ๊อบรีย์ กล่าวว่า :

فَإِنْ زَعَمَ أَنَّ ذَلِكَ لَيْسَ بِإِقْبَالِ فِعْل وَلَكِنَّهُ إقْبَال تَدْبِير , قِيلَ لَهُ : فَكَذَلِكَ فَقُلْ : عَلَا عَلَيْهَا عُلُوّ مُلْك وَسُلْطَان لَا عُلُوّ انْتِقَال وَزَوَال

"แต่หากเขาอ้างว่า ดังกล่าวนั้น ไม่ใช่การมุ่งหน้าแบบกระทำ(มุ่งหน้า) แต่เป็นการมุ่งบริหาร. ก็ให้กล่าวแก่เขาว่า ดังนั้น แบบนั้นแหละ(คือการให้ความหมายว่าเป็นการมุ่งกระทำเชิงบริหาร) ท่านจงกล่าวว่า "พระองค์ทรงสูงส่งเหนือฟากฟ้า แบบการสูงส่งของการปกครองและอำนาจ (ไม่ใช่อยู่สูงแบบมีสถานที่) ไม่ใช่สูงแบบเคลื่อนย้ายและก็หายไป" ตัฟซีร ฏ๊อบรีย์ เล่ม 1 หน้า 192

ดังนั้นการอิสติวาอฺของอัลเลาะฮ์นั้น  คือสูงแบบในนามธรรม  คือสูงส่งด้วยอำนาจการปกครองนั่นเอง
 
5. อิมาม อัลอะอฺมัช ร่อฮิมะฮุลลอฮ์

อิมามอัตติรมีซีย์ ได้กล่าวว่า ได้ถูกรายงานจาก ท่านอัลอะอฺมัช ในการอธิบายฮะดิษนี้

مَنْ تَقَرَّبَ مِنِّى شِبْراً تَقَرَّبْتُ مِنْهُ ذِرَاعاًً : يَعْنِى بِالمَغْفِرَةِ وَالرَّحْمَةِ

"ผู้ที่สร้างความใกล้ชิดกับฉันหนึ่งคืบ ฉันก็จะใกล้ชิดกับเขาหนึ่งศอก"  หมายถึง  "(ใกล้ชิด)ด้วยการอภัยและความเมตตา"  ตัวหฺฟะตุลอะหฺวะษีย์ เล่ม 10 หน้า 63

6. อิมามอะหฺมัด ร่อฮิมะฮุลลอฮ์

อิมาม อัลบัยฮะกีย์ ได้รายงานไว้ใน หนังสือ ?มะนากิบ อิมามอะหฺมัด? ว่า ได้เล่าให้เราทราบโดย อัลหากิม เขากล่าวว่า ได้บอกเล่าให้เราทราบ โดย อบูอัมร์ บิน ซัมมาค เขากล่าวว่า ได้บอกเล่าแก่เราโดย หัมบัล บิน อิสหาก เขากล่าวว่า ฉันได้ยิน น้าของฉัน อบูอับดิลลาห์ (คือท่านอิมามอะหฺมัด) กล่าวว่า " พวกเขาเหล่านั้น ได้อ้างหลักฐานกับฉัน ในวันนั้น - หมายถึงวันที่มีการถกสนทนาเกิดขึ้นในที่พำนักของอะมีรุลมุอฺมินีน - ดังนั้นพวกเขากล่าวว่า :

تَجِىءُ سُوْرَةُ البَقَرَةِ يَوْمَ القِيَامَةِ وَتَجِىءُ سُوْرَةُ تَبَارَكَ، فَقُلْتُ لَهُمْ إِنَّمَا هُوَ الثَّوَابُ قَالَ اللهُ تَعَالىَ (وَجَاءَ رَبُّك) إِنَّمَا تَأْتِىْ قُدْرَتُهُ وَإِنَّمَا القُرْآنُ أَمْثَالٌ وَمَوَاعِظُ

"วันกิยามะฮฺนั้น ซูเราะฮฺอัลบะกอเราะฮฺ และซูเราะฮฺตะบาร๊อกจะมา  ดังนั้นฉันได้กล่าวกับพวกเขาว่า   แท้จริงมันคือผลบุญ   อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า ( وَجَاءَ رَبُّك) "และผู้อภิบาลของเจ้าได้มา" (หมายความว่า) تَأْتِى قُدْرَتُهُ แท้จริง "อำนาจของพระองค์ได้มา" และแท้จริงอัลกรุอานนั้นเป็น อุทาหรณ์และข้อเตือนใจ "  ท่านอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า (คำกล่าวของอิมามอะหฺมัด)นี้ มีสายรายงานที่ซอเฮี๊ยะหฺ โดยไม่มีฝุ่นเลย(คือสะอาด) " หนังสือ อัลบิดายะฮฺ วะ อันนิฮายะฮฺ เล่ม 10 หน้า 327

7. ท่านอิมามอัตติรมีซีย์  กล่าวรายงานไว้ในหะดิษหนึ่ง  ความว่า

لَوْ أَنَّكُمْ دَلَّيْتُمْ رَجُلًا بِحَبْلٍ إِلَى الْأَرْضِ السُّفْلَى لَهَبَطَ عَلَى اللَّه ِ : هُوَ الْأَوَّلُ وَالْآخِرُ وَالظَّاهِرُ وَالْبَاطِنُ وَهُوَ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيمٌ

"หากแมันพวกท่านได้หย่อนเชือกหนึ่งลงมายังแผ่นดินชั้นล่างสุด  แน่นอนมันก็จะตกบนอัลเลาะฮ์  หลังจากนั้น ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ได้อ่านอายะฮ์ที่ว่า "พระองค์ทรงเป็นองค์แรก พระองค์ทรงเป็นองค์สุดท้าย พระองค์ทรงเป็นภายนอก และพระองค์ทรงเป็นภายใน" (อัล-หะดีด 3)
ท่านอิมามอัตติรมีซีย์ กล่าวว่าต่อไปว่า

‏وَفَسَّرَ بَعْضُ أَهْلِ الْعِلْمِ هَذَا الْحَدِيثَ فَقَالُوا إِنَّمَا هَبَطَ عَلَى عِلْمِ اللَّهِ وَقُدْرَتِهِ وَسُلْطَانِهِ وَعِلْمُ اللَّهِ وَقُدْرَتُهُ وَسُلْطَانُهُ فِي كُلِّ مَكَانٍ وَهُوَ عَلَى الْعَرْشِ كَمَا وَصَفَ فِي كِتَابهِ

"และ นักปราชญ์(สะลัฟ)ส่วนหนึ่งได้อธิบายหะดิษนี้  โดยพวกเขากล่าวว่า "แท้จริงเชือกจะตกลงมาบนความรู้ , อานุภาพ , และอำนาจของอัลเลาะฮ์  และความรู้ ,อานุภาพ , และอำนาจของอัลเลาะฮ์นั้นอยู่ในทุกสถานที่  พระองค์สูงส่งเหนืออะรัชตามที่พระองค์ทรงพรรณนาไว้ในคำภีร์ของพระองค์"  ดู หนังสือ ตั๊วะฟะตุลอัลอะห์วะซีย์ อธิบายสุนันอัตติรมีซีย์ 9/187  ตีพิมพ์ กุรตุบะฮ์
 
ท่าน อิมามอัตติรมีซีย์  เป็นอิมามท่านหนึ่งจากสะละฟุศศอลิห์  เป็นหนึ่งจากเจ้าของหนังสือสุนันทั้งหก  ซึ่งท่านได้ทำยอมรับในสายรายงานนี้แล้วทำการตีความตะวีลดังที่ท่านได้เห็นข้างต้น  ยิ่งกว่านั้นท่านอัตติรมีซ๊ย์เองยังถ่ายทอดการตีความนี้จากบรรดานักปราชญ์สะลัฟบางส่วนก่อนหน้าท่านอีกด้วย

แต่ท่านอิบนุตัยมียะฮ์วิจารณ์คัดค้านแนวทางของนักปราชญ์สะลัฟดังกล่าว  โดยกล่าวไว้ในหนังสือ  อัรริซาละฮ์อัลอัรชียะฮ์  ตีพิมพ์ อัลฟัตหฺ อัชชาริเกาะฮ์ หน้า 47  ความว่า

وَكَذَلِكَ تَأَوِيْلُهُ بِالْعِلْمِ تَأْوِيْلٌ ظَاهِرُ الفَسَادِ مِنْ جِنْسِ تَأْوِيْلاَتِ الْجَـهْـمِـيـَّةُ

" เช่นดังกล่าวนี้  คือการตีความของท่านอัตติรมีซีย์ด้วยกับความหมาย ความรู้(ของอัลเลาะฮ์)นั้น  เป็นการตีความที่เสื่อมเสียอย่างชัดเจน  ซึ่งเป็นแบบเดียวกับบรรดาการตีความของพวกอัลญะฮ์มียะฮ์"

ท่านก็จงเลือกเองแล้วกันว่าจะตามการกล่าวหาของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ผู้อยู่ในยุคค่อลัฟหรือตามสะละฟุศศอลิห์อย่างท่านอัตติรมีซีย์และปราชญ์สะลัฟก่อนหน้านั้น

8. ท่านติรมีซีย์ , ท่านอะมัช , และสะลัฟบางส่วน

‏أَنَا عِنْدَ ظَنِّ عَبْدِي بِي ... وَإِنْ أَتَانِي يَمْشِي أَتَيْتُهُ هَرْوَلَةً

"เราจะอยู่ตามที่บ่าวของเราได้หวังมั่นใจต่อเรา...และหากเขาได้มาหาเราโดยเดินมา  เราก็จะไปหาเขาโดยรีบเดิน"

หลังจากนั้นท่าน อัตติรมีซีย์  ได้กล่าวอธิบายว่า

‏ ‏هَذَا ‏ ‏حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ ‏ ‏وَيُرْوَى ‏ ‏عَنْ ‏ ‏الْأَعْمَشِ ‏ ‏فِي تَفْسِيرِ هَذَا الْحَدِيثِ مَنْ تَقَرَّبَ مِنِّي شِبْرًا تَقَرَّبْتُ مِنْهُ ذِرَاعًا ‏ ‏يَعْنِي بِالْمَغْفِرَةِ وَالرَّحْمَةِ ‏ ‏وَهَكَذَا فَسَّرَ بَعْضُ أَهْلِ الْعِلْمِ هَذَا الْحَدِيثَ قَالُوا إِنَّمَا مَعْنَاهُ يَقُولُ إِذَا تَقَرَّبَ إِلَيَّ الْعَبْدُ بِطَاعَتِي وَمَا أَمَرْتُ أُسْرِعُ إِلَيْهِ بِمَغْفِرَتِي وَرَحْمَتِي

"หะดิษนี้เป็นหะดิษฮะซันซอฮิห์  และได้ถูกรายงานจากท่านอัลอะอฺมัช  เกี่ยวกับการตัฟซีรหะดิษนี้ ที่ว่า "ผู้ใดใกล้ชิดเราหนึ่งคืบ  เราจะใกล้ชิดเขาหนึ่งศอก"  หมายถึง  ใกล้ชิดด้วยการอภัยโทษและความเมตตา  และเฉกเช่นดังกล่าวนี้  นักปราชญ์(สะลัฟ)บางส่วนได้อธิบายหะดิษนี้  ซึ่งพวกเขากล่าวว่า  แท้จริงความหมายของหะดิษนี้  คือท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "เมื่อบ่าวคนหนึ่งได้ใกล้ชิดเราด้วยการตออัตต่อเราและด้วยสิ่งที่เราบัญชา ใช้  แน่นอน  การอภัยโทษและความเมตตาของเราจะรีบรุดไปยังเขา"  ดู ตั๊วะห์ฟะตุลอะห์วาซีย์ 10/64

ดังนั้น  ท่านอัตติรมีซีย์  - ซึ่งท่านเป็นนักปราชญ์สะลัฟท่านหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย -  ได้ทำการตะวีลตีความ  คำว่า  การมาของอัลเลาะฮ์  การรีบเดินของอัลเลาะฮ์  หรือการใกล้ชิดของอัลเลาะฮ์ ในหะดิษนี้นั้น คือ  การอภัยโทษและความเมตตาของพระองค์   และการตะวีลตีความของท่านอัตติรมีซีย์นี้  ก็ได้ถ่ายทอดมาจาก นักปราชญ์สะลัฟบางส่วนที่อยู่ก่อนจากท่านอัตติรมีซีย์   ซึ่งส่วนหนึ่งจากพวกเขาคือท่าน อัลอะอ์มัช  และพวกเขาเหล่านั้นเป็นนักปราชญ์สะลัฟอย่างไม่ต้องสงสัย  และนักปราชญ์ที่เจริญรอยตามท่านอัตติรมีซีย์ , ท่านอัลอะอฺมัช และปราชญ์สลัฟบางส่วนนั้น

9. ท่านอิบนุ ญะรีร ได้ทำการอธิบาย อายะฮ์ ที่ 10 ของซูเราะฮ์ อัลฟัตหฺ ว่า

وَفِيْ قَوْلِهِ ( يَدُ اللَّهِ فَوْقَ أَيْدِيهِمْ ) وَجْهَانِ مِنَ التَّأْوِيْلِ: أَحَدُهُمَا: يَدُ اللهِ فَوْقَ أَيْدِيْهِمْ عِنْدَ الْبَيْعَةِ, لِأَنَّهُمْ كَانُوْا يُبَايِعُوْنَ اللهَ بِبَيْعِتِهِمْ نَبِيَّهُ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّم ; وَالآخَرُ: قُوَّةُ اللهِ فَوْقَ قُوَّتِهِمْ فِيْ نُصْرَةِ رَسُوْلِهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّم, لِأَنَّهُمْ إِنَّمَا بَايَعُوْا رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّم عَلَى نُصْرَتِهِ عَلَى الْعَدُوِّ

คำว่า يَدُ اللهِ  ใน  ณ  ที่นี้  ท่านอิบนุญะรีร ได้ยอมรับและทำการตีความตะวีล ว่า قُوَّةُ اللهِ   “มันคือพลังอำนาจของอัลเลาะฮ์”

ซึ่งท่านอิบนุอัลเญาซีย์ กล่าวรายงานอธิบายคำว่า يَدُ اللهِ ว่า

اَلرَّابِعُ : قُوَّةُ اللهِ وَنُصْرَتِهِ فَوْقَ قُوَّتِهِمْ وَنُصْرَتِهِمْ ذَكَرَهُ ابْنُ جَرِيْرٍ وَابْنُ كَيْسَانَ

หนทางที่ 4: หมายถึง " อำนาจของอัลเลาะฮ์ และความช่วยเหลือของอัลเลาะฮ์ อยู่เหนืออำนาจของพวกเขาและอยู่เหนือการช่วยเหลือของพวกเขา ซึ่งทัศนะนี้ ได้กล่าว โดยท่าน อิบนุญะรีร อัฏฏ๊อบรีย์ และท่าน อัลกัยซานีย์" ดู ตัฟซีร ซาดุลมะซีร ฟี อิลมุตตัฟซีร ของท่านอิบนุเญาซีย์ เล่ม 7 หน้า 204 ตีพิมพ์ ดารุลกะตุบ อัลอิลมียะฮ์

10. ท่านอัลมุญาฮิด

قَالَ تَعَالَى ( فَأَيْنَمَا تُوَلُّوا فَثَمَّ وَجْهُ اللهِ ) قَالَ مُجَاهِدٌ رَحِمَهُ اللهُ : قِبْلَةُ اللهِ

อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า  "ไม่ว่าที่ใดที่พวกท่านหันไป  นั่นคือ وَجْهُ اللهِ พระพักตร์ของอัลเลาะฮ์"  ท่านมุญาฮิด ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่าคือ  "กิบลัตของอัลเลาะฮ์"  หนังสืออัสมาอฺ วัสศิฟาต 309 , หนังสือตัฟซีรอัฏเฏาะบะรีย์ 1/402

11. อิมามมาลิกและท่านเอาซะอีย์

ท่านอิมามนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ใน ชัรหฺ ซอเฮี๊ยะหฺมุสลิม เกี่ยวกับฮะดิษ النزول คือฮะดิษเกี่ยวกับการลงมาจากฟากฟ้า ว่า ?ในฮะดิษนี้ และเหมือนๆ กับฮะดิษนี้ ที่มาจากบรรดาฮะดิษซีฟาตและอายะฮฺซีฟาต มีความเห็นอยู่ 2 มัซฮับที่เลื่องลือ(ที่มาจากอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ที่ท่านอิมามอันนะวาวีย์ให้การยอมรับทั้งสองแนวทางนี้)

หนึ่ง : มัซฮับส่วนมากจากซะลัฟ และส่วนหนึ่งจากมุตะกัลลิมีน คืออีมาน ด้วยหะกีกัตของมันที่เหมาะสมกับพระองค์ และความหมายผิวเผินของมันอันเป็นที่รู้กันในสิทธิ์ของเรานั้น ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย และเราไม่กล่าวในการตีความมัน พร้อมกับเราเชื่อมั่นว่า อัลเลาะฮฺทรงบริสุทธิ์จากเครื่องหมายต่างๆ จากสิ่งที่เกิดใหม่

สอง : มัซฮับส่วนมากของมุตะกัลลิมีน และกลุ่มหนึ่งจากอุลามาอฺสะลัฟ โดยมันได้ถูกรายงานเล่ามาจากอิมามมาลิก และอิมามอัลเอาซะอีย์ ว่า แท้จริงมันจะถูกตีความกับสิ่งที่พระองค์ทรงเหมาะสมด้วยกับมัน โดยพิจารณาตามสถานที่ของมัน ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ อัลฮะดิษ(บทนี้) จะถูกตีความได้สองอย่างด้วยกัน(ที่ได้กล่าวมาแล้ว....... (ดู ชัรหู ซอเฮี๊ยะหฺมุสลิม เล่ม 6 หน้า 37)

บรรดาปราชญ์มัซฮับมาลิกีย์  ได้ทำการถ่ายทอดคำพูดของท่านอิมามมาลิกในการตีความนั้น  เป็นการถ่ายทอดที่เลื่องลือ مُسْتَفِيْضَةٌ (มุสตะฟีเฏาะฮ์) และโด่งดัง شُهْرَةٌ (ชุฮ์เราะฮ์) จากท่านอิมามมาลิกว่า

ท่านอิบนุอับดิลบัรริ  ได้ถ่ายทอดคำกล่าวของท่านอิมามมาลิกว่า

وَقَدْ يُحْتَمَلُ أَنْ يَكُوْنَ كَمَا قَالَ رَحِمَهُ اللهُ عَلَي مَعْنَي أَنَّهُ تَتَنَزَّلُ رَحْمَتُهُ وَقَضَاؤُهُ بِالْعَفْوِ وَالإِسْتِجَابَةِ

"บางครั้งถูกตีความการลงมาเหมือนกับที่ท่านอิมามาลิกกล่าวบนความหมายที่ว่า ความเมตตาของพระองค์จะทรงลงมาและการตัดสินของพระองค์ในการอภัยโทษและตอบรับดุอาได้ลงมา" หนังสืออัตตัมฮีด 7/143
 
ท่านอะบีอัมร์ อัดดานีย์  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัรริซาละฮ์ อัลวาฟียะฮ์ หน้า 135-137 ว่า

قَالَ بَعْضُ أَصحَابِناَ : يَنْزِلُ أََمْرُهُ تَبَارَكَ وتَعَاليَ

"ปราชญ์บางส่วนแห่งเรากล่าวว่า : คำบัญชาของพระองค์ได้ลงมา"

ด้วยอ้างหลักฐานอัลกุรอาน(มาสนับสนุนเป็นก่อรีนะฮ์กรณีแวดล้อม)ที่ว่า

اللَّهُ الَّذِي خَلَقَ سَبْعَ سَمَاوَاتٍ وَمِنَ الْأَرْضِ مِثْلَهُنَّ يَتَنَزَّلُ الْأَمْرُ بَيْنَهُنَّ

"อัลเลาะฮ์ทรงบันดาลเจ็ดชั้นฟ้าและแผ่นดินไว้เท่าเทียบกับชั้นฟ้าเหล่านั้นโดยคำบัญชาของพระองค์จะลงมาระหว่างชั้น(ฟ้าและแผ่นดิน)เหล่านั้น" อัฏเฏาะล็าก 12

ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า : บรรดาปราชญ์มัซฮับอิมามมาลิกย่อมรู้ถึงแนวทางของท่านอิมามมาลิกดียิ่งกว่าและเป็นที่เลื่องลือมายังพวกเขา ซึ่งการตีความเช่นนี้สอดคล้องกับอัลกุรอานทุกประการและชัดเจน

12.  ท่านอิมามอะห์มัด

ท่านอัลฮฟาซฺ  อิบนุ  กะษีร กล่าวว่า 

رَوَى البَيْهَقِيُّ عَنِ الحَاكِمِ عَنْ عَمْروٍ بْنِ السَّمَّاكِ عَنْ حَنْبََل أَنَّ أَحْمَدَ بْنَ حَنْبَل تَأَوَّّلَ قَوْلَ اللهِ تَعَالىَ ( وَجَاءَ رَبُّك) أَنَّهُ جَاءَ ثَوَابُهُ. ثَمَّ قَالَ الْبَيْهَقِيُّ: وَهَذَا إِسْنَادٌ لاَ غُبَارَ عَلَيْهِ

รายงานโดยอัลบัยฮะกีย์  จาก อัลฮากิม จากอัมร์ บิน อัซซัมมาก  จากฮัมบัล  ว่า  "แท้จริงท่านอะห์มัด บิน ฮัมบัล  ได้ทำการตีความ(ตะวีล)  คำตรัสของอัลเลาะฮ์ตะอาลาที่ว่า  "และผู้อภิบาลของเจ้าได้มา"  คือ  การตอบแทนผลบุญของพระองค์ได้มา  หลังจากนั้นท่านอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า  สายรายงานนี้เป็นสายรายงานที่(สะอาด)ไม่มีฝุ่นเลย"  หนังสืออัลบิดายะฮ์ วันนิฮายะฮ์ : 10/361

13. ท่านอัลฮะซัน อัลบะซอรีย์ 

ได้ตีความคำตรัสของอัลเลาะฮ์ที่ว่า

وَجَاءَ رَبُّكَ : جَاءَ أَمْرُهُ وَقَضاَؤُهُ

"และพระผู้อภิบาลของเจ้าได้มา"  คือ  "คำบัญชาและการตัดสินของพระองค์ได้มา"  ตัฟซีรอัลบะฆอวีย์  4/454

อัลฮัมดุลิลลาฮ์  นี้คือตัวอย่างการตีความ(ตะวีล)ของสะละฟุศศอลิห์เกี่ยวกับซีฟัตของอัลเลาะฮ์ โดยการผินความหมายของถ้อยคำไปสู่อีกความหมายที่สามารถตีความได้ แต่หากเราจะเลี่ยงว่ามันคือการตัฟซีร(อธิบาย)นั้น  ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อเท็จจริงในความหมายของการ "ตะวีล" ตีความได้หรอก  เพราะบรรดาปราชญ์ไม่ขัดข้องในการเรียกศัพท์  แม้กระทั่งการตัฟซีรของท่านอัตติรมีซีย์นั้น  ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ยังวิพากษ์วิจารณ์โดยกล่าวว่ามันคือตะวีล  ซึ่งบ่งชี้ว่าสะละฟุศศอลิห์มีการตีความตะวีลนั่นเอง  เราจะไปบอกว่าหากตีความตรงนั้นตรงนี้แล้วจะไม่ต่างอะไรกับพวกมั๊วะตะซิละฮ์  แล้วทำไมเมื่อพบว่าสะละฟุศศอลิห์ทำการตีความถึงไม่กล่าวหาว่าพวกเขาไม่ต่างอะไรกับพวกมั๊วะตะซิละฮ์ละครับ หรือการตีความระหว่างพวกเขากับพวกมั๊วะตะซิละฮ์มีความแตกต่างกัน  หากเป็นเช่นนั้นเราก็ต้องแยกแยะให้ถูกต้องระหว่างการตีความของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์กับการตีความของมั๊วะตะซิละฮ์  เพื่อเราจะไม่ไปละเมิดสะละฟุศศอลิห์ในเชิงหลักการทางด้านอะกีดะฮ์นั่นเอง  อัลฮัมดุลิลลาฮ์

وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَي أَعْليَ وأَعْلَم
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ตอนเรียนที่อินโดเนเซีย ผมซื้อตัฟสีรมา 2 เล่มที่ตัฟสีรโดนเศาะหาบะฮ์สองท่าน คือ ตัฟสีรอิบนุ อับบาส กับตัฟสีรอิบนุ มัสอูด เล่มหลังจะหนากว่า ผมซื้อเป็นฉบับแปลฉบับอินโดเนเซีย แล้วก็ลองเปิดตัฟสัรอิบนุ อับบาส ดูอายะฮ์เกี่ยวกับ "หน้าแข้ง" ก็ปรากฏว่ามีสายรายงานว่าท่านตีความจริงๆ ด้วย ซึ่งอ้างสายรายงานจากตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย์อีกที งานนี้ต้องไปดูให้ละเอียดอีกที จะซื้อตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย์ ฉบับแปลอินโด ก็ไม่กล้า เพราะแพง และมีหลายเล่ม กำลังซื้อไม่พอ บวกกับผู้ตรวจทานตัฟสีรเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นวะฮาบีย์ซะด้วย เลยต้องตรวจสอบข้อมูลเบื้องลังอีกที กว่าจะตัดสินใจซื้อหนังสือแต่ละเล่มได้ - วัสสลามุอลัียกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ Beechern

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1228
  • เพศ: ชาย
  • What is the Perfect method to save our Akhirah?
  • Respect: +28
    • ดูรายละเอียด
กระทู้นี้ คงต้องรอให้ผู้คิดต่าง ได้ศึกษาค้นคว้าก่อนกระมังครับ ^^" ... เนื้อหาแน่นน่าดูเลยทีเดียว ...
hidayah seeker . . .

 

GoogleTagged