ตัวอย่างการตีความของสะละฟุศศอลิห์
1. ท่านอิบนุอับบาส ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ
แต่ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ กล่าวการตีความ อัลกุรซีย์ ของท่านอิบนุอับบาส ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ว่า
وَأَمَّا الَّذِي يَدُلّ عَلَى صِحَّته ظَاهِر الْقُرْآن فَقَوْل ابْن عَبَّاس الَّذِي رَوَاهُ جَعْفَر بْن أَبِي الْمُغِيرَة عَنْ سَعِيد بْن جُبَيْر عَنْهُ أَنَّهُ قَالَ : هُوَ عِلْمُهُ
"สำหรับทัศนะที่ความชัดเจนของอัลกุรอานได้บ่งชี้ถึงความถูกต้องนั้น คือทัศนะคำกล่าวของท่านอิบนุอับบาสที่รายงานโดยญะฟัร บิน อะลี อัลมุฆีเราะฮ์ จาก สะอีด บิน ญุบัยร์ จากท่านอิบนุอับบาส ซึ่งท่านได้กล่าวว่า : "กุรซีย์ของอัลเลาะฮ์ ก็คือความรอบรู้ของพระองค์" ตัฟซีรอัฏเฏาะบะรีย์ 3/7
2. ท่านอิบนุอับบาส (ร.ฏ.) ได้ทำการตีความ(ตะวีล) คำตรัสของอัลเลาะฮฺ(ซุบหานะฮฺ)
يَوْمَ يُكْشَفُ عَنْ سَاقٍ
"วันที่เกิดแต่ความวิกฤติ" (อัลก่อลัม 42)
คำ ว่า سَاقٍ เดิมหมายถึง ขา หน้าแข้ง แต่ท่านอิบนุอับบาสกล่าวตีความว่า يُكْشَفُ عَنْ شِدَّةٍ "ได้เกิดวิกฤติความรุนแรงขึ้น" ท่านอิบนุหะญัรได้กล่าวยืนยันดังกล่าว ด้วยสายรายงานที่ซอเฮี๊ยะหฺ ในหนังสือ ฟัตหุบารีย์ เล่ม 13 หน้า 428 และท่านอิบนุญะรีร อัลฏ๊อบรีย์ ได้กล่าวไว้ในตัฟซีรของท่าน เล่ม 29 หน้า 38 โดยที่ท่านอิบนุญะรีรได้กล่าวอธิบายไว้ในช่วงแรกของอายะฮฺนี้ว่า " กลุ่มหนึ่งจากบรรดาซอฮาบะฮฺ และตาบิอีน จากผู้ที่ทำการตีความ ได้กล่าวว่า يَبْدُوْ عَنْ أَمْرٍ شَدِيْدٍ"(วัน)ที่เกิดสิ่งวิกฤติรุนแรง"
3. อิมาม อัล-บุคคอรีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์
อิมามบุคอรีย์ได้ทำการตีความไว้ในบทว่าด้วยเรื่อง ตัฟซีรซูเราะฮฺ อัลเกาะซ๊อซว่า
كُلُّ شَيْءٍ هَالِكٌ إِلَّا وَجْهَهُ : إِلَّا مُلْكَهُ
ความว่า "ทุกๆ สิ่งนั้นพินาจสิ้นนอกจาก وَجْهَهُ (พระพักตร์)ของพระองค์" (อิมามบุคคอรีย์ตีความว่า) "นอกจากอำนาจการปกครองของพระองค์" หนังสือฟัตฮุลบารีย์ 8/364
4. ท่าน อิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์
ท่าน อัฏเฏาะบะรีย์ ได้ตะวีล ตีความ อายะฮ์ที่ว่า
ثُمَّ اسْتَوَى إِلَى السَّمَاءِ
ท่าน อัฏฏ๊อบรีย์ กล่าวว่า :
فَإِنْ زَعَمَ أَنَّ ذَلِكَ لَيْسَ بِإِقْبَالِ فِعْل وَلَكِنَّهُ إقْبَال تَدْبِير , قِيلَ لَهُ : فَكَذَلِكَ فَقُلْ : عَلَا عَلَيْهَا عُلُوّ مُلْك وَسُلْطَان لَا عُلُوّ انْتِقَال وَزَوَال
"แต่หากเขาอ้างว่า ดังกล่าวนั้น ไม่ใช่การมุ่งหน้าแบบกระทำ(มุ่งหน้า) แต่เป็นการมุ่งบริหาร. ก็ให้กล่าวแก่เขาว่า ดังนั้น แบบนั้นแหละ(คือการให้ความหมายว่าเป็นการมุ่งกระทำเชิงบริหาร) ท่านจงกล่าวว่า "พระองค์ทรงสูงส่งเหนือฟากฟ้า แบบการสูงส่งของการปกครองและอำนาจ (ไม่ใช่อยู่สูงแบบมีสถานที่) ไม่ใช่สูงแบบเคลื่อนย้ายและก็หายไป" ตัฟซีร ฏ๊อบรีย์ เล่ม 1 หน้า 192
ดังนั้นการอิสติวาอฺของอัลเลาะฮ์นั้น คือสูงแบบในนามธรรม คือสูงส่งด้วยอำนาจการปกครองนั่นเอง
5. อิมาม อัลอะอฺมัช ร่อฮิมะฮุลลอฮ์
อิมามอัตติรมีซีย์ ได้กล่าวว่า ได้ถูกรายงานจาก ท่านอัลอะอฺมัช ในการอธิบายฮะดิษนี้
مَنْ تَقَرَّبَ مِنِّى شِبْراً تَقَرَّبْتُ مِنْهُ ذِرَاعاًً : يَعْنِى بِالمَغْفِرَةِ وَالرَّحْمَةِ
"ผู้ที่สร้างความใกล้ชิดกับฉันหนึ่งคืบ ฉันก็จะใกล้ชิดกับเขาหนึ่งศอก" หมายถึง "(ใกล้ชิด)ด้วยการอภัยและความเมตตา" ตัวหฺฟะตุลอะหฺวะษีย์ เล่ม 10 หน้า 63
6. อิมามอะหฺมัด ร่อฮิมะฮุลลอฮ์
อิมาม อัลบัยฮะกีย์ ได้รายงานไว้ใน หนังสือ ?มะนากิบ อิมามอะหฺมัด? ว่า ได้เล่าให้เราทราบโดย อัลหากิม เขากล่าวว่า ได้บอกเล่าให้เราทราบ โดย อบูอัมร์ บิน ซัมมาค เขากล่าวว่า ได้บอกเล่าแก่เราโดย หัมบัล บิน อิสหาก เขากล่าวว่า ฉันได้ยิน น้าของฉัน อบูอับดิลลาห์ (คือท่านอิมามอะหฺมัด) กล่าวว่า " พวกเขาเหล่านั้น ได้อ้างหลักฐานกับฉัน ในวันนั้น - หมายถึงวันที่มีการถกสนทนาเกิดขึ้นในที่พำนักของอะมีรุลมุอฺมินีน - ดังนั้นพวกเขากล่าวว่า :
تَجِىءُ سُوْرَةُ البَقَرَةِ يَوْمَ القِيَامَةِ وَتَجِىءُ سُوْرَةُ تَبَارَكَ، فَقُلْتُ لَهُمْ إِنَّمَا هُوَ الثَّوَابُ قَالَ اللهُ تَعَالىَ (وَجَاءَ رَبُّك) إِنَّمَا تَأْتِىْ قُدْرَتُهُ وَإِنَّمَا القُرْآنُ أَمْثَالٌ وَمَوَاعِظُ
"วันกิยามะฮฺนั้น ซูเราะฮฺอัลบะกอเราะฮฺ และซูเราะฮฺตะบาร๊อกจะมา ดังนั้นฉันได้กล่าวกับพวกเขาว่า แท้จริงมันคือผลบุญ อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า ( وَجَاءَ رَبُّك) "และผู้อภิบาลของเจ้าได้มา" (หมายความว่า) تَأْتِى قُدْرَتُهُ แท้จริง "อำนาจของพระองค์ได้มา" และแท้จริงอัลกรุอานนั้นเป็น อุทาหรณ์และข้อเตือนใจ " ท่านอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า (คำกล่าวของอิมามอะหฺมัด)นี้ มีสายรายงานที่ซอเฮี๊ยะหฺ โดยไม่มีฝุ่นเลย(คือสะอาด) " หนังสือ อัลบิดายะฮฺ วะ อันนิฮายะฮฺ เล่ม 10 หน้า 327
7. ท่านอิมามอัตติรมีซีย์ กล่าวรายงานไว้ในหะดิษหนึ่ง ความว่า
لَوْ أَنَّكُمْ دَلَّيْتُمْ رَجُلًا بِحَبْلٍ إِلَى الْأَرْضِ السُّفْلَى لَهَبَطَ عَلَى اللَّه ِ : هُوَ الْأَوَّلُ وَالْآخِرُ وَالظَّاهِرُ وَالْبَاطِنُ وَهُوَ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيمٌ
"หากแมันพวกท่านได้หย่อนเชือกหนึ่งลงมายังแผ่นดินชั้นล่างสุด แน่นอนมันก็จะตกบนอัลเลาะฮ์ หลังจากนั้น ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ได้อ่านอายะฮ์ที่ว่า "พระองค์ทรงเป็นองค์แรก พระองค์ทรงเป็นองค์สุดท้าย พระองค์ทรงเป็นภายนอก และพระองค์ทรงเป็นภายใน" (อัล-หะดีด 3)
ท่านอิมามอัตติรมีซีย์ กล่าวว่าต่อไปว่า
وَفَسَّرَ بَعْضُ أَهْلِ الْعِلْمِ هَذَا الْحَدِيثَ فَقَالُوا إِنَّمَا هَبَطَ عَلَى عِلْمِ اللَّهِ وَقُدْرَتِهِ وَسُلْطَانِهِ وَعِلْمُ اللَّهِ وَقُدْرَتُهُ وَسُلْطَانُهُ فِي كُلِّ مَكَانٍ وَهُوَ عَلَى الْعَرْشِ كَمَا وَصَفَ فِي كِتَابهِ
"และ นักปราชญ์(สะลัฟ)ส่วนหนึ่งได้อธิบายหะดิษนี้ โดยพวกเขากล่าวว่า "แท้จริงเชือกจะตกลงมาบนความรู้ , อานุภาพ , และอำนาจของอัลเลาะฮ์ และความรู้ ,อานุภาพ , และอำนาจของอัลเลาะฮ์นั้นอยู่ในทุกสถานที่ พระองค์สูงส่งเหนืออะรัชตามที่พระองค์ทรงพรรณนาไว้ในคำภีร์ของพระองค์" ดู หนังสือ ตั๊วะฟะตุลอัลอะห์วะซีย์ อธิบายสุนันอัตติรมีซีย์ 9/187 ตีพิมพ์ กุรตุบะฮ์
ท่าน อิมามอัตติรมีซีย์ เป็นอิมามท่านหนึ่งจากสะละฟุศศอลิห์ เป็นหนึ่งจากเจ้าของหนังสือสุนันทั้งหก ซึ่งท่านได้ทำยอมรับในสายรายงานนี้แล้วทำการตีความตะวีลดังที่ท่านได้เห็นข้างต้น ยิ่งกว่านั้นท่านอัตติรมีซ๊ย์เองยังถ่ายทอดการตีความนี้จากบรรดานักปราชญ์สะลัฟบางส่วนก่อนหน้าท่านอีกด้วย
แต่ท่านอิบนุตัยมียะฮ์วิจารณ์คัดค้านแนวทางของนักปราชญ์สะลัฟดังกล่าว โดยกล่าวไว้ในหนังสือ อัรริซาละฮ์อัลอัรชียะฮ์ ตีพิมพ์ อัลฟัตหฺ อัชชาริเกาะฮ์ หน้า 47 ความว่า
وَكَذَلِكَ تَأَوِيْلُهُ بِالْعِلْمِ تَأْوِيْلٌ ظَاهِرُ الفَسَادِ مِنْ جِنْسِ تَأْوِيْلاَتِ الْجَـهْـمِـيـَّةُ
" เช่นดังกล่าวนี้ คือการตีความของท่านอัตติรมีซีย์ด้วยกับความหมาย ความรู้(ของอัลเลาะฮ์)นั้น เป็นการตีความที่เสื่อมเสียอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นแบบเดียวกับบรรดาการตีความของพวกอัลญะฮ์มียะฮ์"
ท่านก็จงเลือกเองแล้วกันว่าจะตามการกล่าวหาของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ผู้อยู่ในยุคค่อลัฟหรือตามสะละฟุศศอลิห์อย่างท่านอัตติรมีซีย์และปราชญ์สะลัฟก่อนหน้านั้น
8. ท่านติรมีซีย์ , ท่านอะมัช , และสะลัฟบางส่วน
أَنَا عِنْدَ ظَنِّ عَبْدِي بِي ... وَإِنْ أَتَانِي يَمْشِي أَتَيْتُهُ هَرْوَلَةً
"เราจะอยู่ตามที่บ่าวของเราได้หวังมั่นใจต่อเรา...และหากเขาได้มาหาเราโดยเดินมา เราก็จะไปหาเขาโดยรีบเดิน"
หลังจากนั้นท่าน อัตติรมีซีย์ ได้กล่าวอธิบายว่า
هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ وَيُرْوَى عَنْ الْأَعْمَشِ فِي تَفْسِيرِ هَذَا الْحَدِيثِ مَنْ تَقَرَّبَ مِنِّي شِبْرًا تَقَرَّبْتُ مِنْهُ ذِرَاعًا يَعْنِي بِالْمَغْفِرَةِ وَالرَّحْمَةِ وَهَكَذَا فَسَّرَ بَعْضُ أَهْلِ الْعِلْمِ هَذَا الْحَدِيثَ قَالُوا إِنَّمَا مَعْنَاهُ يَقُولُ إِذَا تَقَرَّبَ إِلَيَّ الْعَبْدُ بِطَاعَتِي وَمَا أَمَرْتُ أُسْرِعُ إِلَيْهِ بِمَغْفِرَتِي وَرَحْمَتِي
"หะดิษนี้เป็นหะดิษฮะซันซอฮิห์ และได้ถูกรายงานจากท่านอัลอะอฺมัช เกี่ยวกับการตัฟซีรหะดิษนี้ ที่ว่า "ผู้ใดใกล้ชิดเราหนึ่งคืบ เราจะใกล้ชิดเขาหนึ่งศอก" หมายถึง ใกล้ชิดด้วยการอภัยโทษและความเมตตา และเฉกเช่นดังกล่าวนี้ นักปราชญ์(สะลัฟ)บางส่วนได้อธิบายหะดิษนี้ ซึ่งพวกเขากล่าวว่า แท้จริงความหมายของหะดิษนี้ คือท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "เมื่อบ่าวคนหนึ่งได้ใกล้ชิดเราด้วยการตออัตต่อเราและด้วยสิ่งที่เราบัญชา ใช้ แน่นอน การอภัยโทษและความเมตตาของเราจะรีบรุดไปยังเขา" ดู ตั๊วะห์ฟะตุลอะห์วาซีย์ 10/64
ดังนั้น ท่านอัตติรมีซีย์ - ซึ่งท่านเป็นนักปราชญ์สะลัฟท่านหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย - ได้ทำการตะวีลตีความ คำว่า การมาของอัลเลาะฮ์ การรีบเดินของอัลเลาะฮ์ หรือการใกล้ชิดของอัลเลาะฮ์ ในหะดิษนี้นั้น คือ การอภัยโทษและความเมตตาของพระองค์ และการตะวีลตีความของท่านอัตติรมีซีย์นี้ ก็ได้ถ่ายทอดมาจาก นักปราชญ์สะลัฟบางส่วนที่อยู่ก่อนจากท่านอัตติรมีซีย์ ซึ่งส่วนหนึ่งจากพวกเขาคือท่าน อัลอะอ์มัช และพวกเขาเหล่านั้นเป็นนักปราชญ์สะลัฟอย่างไม่ต้องสงสัย และนักปราชญ์ที่เจริญรอยตามท่านอัตติรมีซีย์ , ท่านอัลอะอฺมัช และปราชญ์สลัฟบางส่วนนั้น
9. ท่านอิบนุ ญะรีร ได้ทำการอธิบาย อายะฮ์ ที่ 10 ของซูเราะฮ์ อัลฟัตหฺ ว่า
وَفِيْ قَوْلِهِ ( يَدُ اللَّهِ فَوْقَ أَيْدِيهِمْ ) وَجْهَانِ مِنَ التَّأْوِيْلِ: أَحَدُهُمَا: يَدُ اللهِ فَوْقَ أَيْدِيْهِمْ عِنْدَ الْبَيْعَةِ, لِأَنَّهُمْ كَانُوْا يُبَايِعُوْنَ اللهَ بِبَيْعِتِهِمْ نَبِيَّهُ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّم ; وَالآخَرُ: قُوَّةُ اللهِ فَوْقَ قُوَّتِهِمْ فِيْ نُصْرَةِ رَسُوْلِهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّم, لِأَنَّهُمْ إِنَّمَا بَايَعُوْا رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّم عَلَى نُصْرَتِهِ عَلَى الْعَدُوِّ
คำว่า يَدُ اللهِ ใน ณ ที่นี้ ท่านอิบนุญะรีร ได้ยอมรับและทำการตีความตะวีล ว่า قُوَّةُ اللهِ “มันคือพลังอำนาจของอัลเลาะฮ์”
ซึ่งท่านอิบนุอัลเญาซีย์ กล่าวรายงานอธิบายคำว่า يَدُ اللهِ ว่า
اَلرَّابِعُ : قُوَّةُ اللهِ وَنُصْرَتِهِ فَوْقَ قُوَّتِهِمْ وَنُصْرَتِهِمْ ذَكَرَهُ ابْنُ جَرِيْرٍ وَابْنُ كَيْسَانَ
หนทางที่ 4: หมายถึง " อำนาจของอัลเลาะฮ์ และความช่วยเหลือของอัลเลาะฮ์ อยู่เหนืออำนาจของพวกเขาและอยู่เหนือการช่วยเหลือของพวกเขา ซึ่งทัศนะนี้ ได้กล่าว โดยท่าน อิบนุญะรีร อัฏฏ๊อบรีย์ และท่าน อัลกัยซานีย์" ดู ตัฟซีร ซาดุลมะซีร ฟี อิลมุตตัฟซีร ของท่านอิบนุเญาซีย์ เล่ม 7 หน้า 204 ตีพิมพ์ ดารุลกะตุบ อัลอิลมียะฮ์
10. ท่านอัลมุญาฮิด
قَالَ تَعَالَى ( فَأَيْنَمَا تُوَلُّوا فَثَمَّ وَجْهُ اللهِ ) قَالَ مُجَاهِدٌ رَحِمَهُ اللهُ : قِبْلَةُ اللهِ
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า "ไม่ว่าที่ใดที่พวกท่านหันไป นั่นคือ وَجْهُ اللهِ พระพักตร์ของอัลเลาะฮ์" ท่านมุญาฮิด ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่าคือ "กิบลัตของอัลเลาะฮ์" หนังสืออัสมาอฺ วัสศิฟาต 309 , หนังสือตัฟซีรอัฏเฏาะบะรีย์ 1/402
11. อิมามมาลิกและท่านเอาซะอีย์
ท่านอิมามนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ใน ชัรหฺ ซอเฮี๊ยะหฺมุสลิม เกี่ยวกับฮะดิษ النزول คือฮะดิษเกี่ยวกับการลงมาจากฟากฟ้า ว่า ?ในฮะดิษนี้ และเหมือนๆ กับฮะดิษนี้ ที่มาจากบรรดาฮะดิษซีฟาตและอายะฮฺซีฟาต มีความเห็นอยู่ 2 มัซฮับที่เลื่องลือ(ที่มาจากอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ที่ท่านอิมามอันนะวาวีย์ให้การยอมรับทั้งสองแนวทางนี้)
หนึ่ง : มัซฮับส่วนมากจากซะลัฟ และส่วนหนึ่งจากมุตะกัลลิมีน คืออีมาน ด้วยหะกีกัตของมันที่เหมาะสมกับพระองค์ และความหมายผิวเผินของมันอันเป็นที่รู้กันในสิทธิ์ของเรานั้น ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย และเราไม่กล่าวในการตีความมัน พร้อมกับเราเชื่อมั่นว่า อัลเลาะฮฺทรงบริสุทธิ์จากเครื่องหมายต่างๆ จากสิ่งที่เกิดใหม่
สอง : มัซฮับส่วนมากของมุตะกัลลิมีน และกลุ่มหนึ่งจากอุลามาอฺสะลัฟ โดยมันได้ถูกรายงานเล่ามาจากอิมามมาลิก และอิมามอัลเอาซะอีย์ ว่า แท้จริงมันจะถูกตีความกับสิ่งที่พระองค์ทรงเหมาะสมด้วยกับมัน โดยพิจารณาตามสถานที่ของมัน ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ อัลฮะดิษ(บทนี้) จะถูกตีความได้สองอย่างด้วยกัน(ที่ได้กล่าวมาแล้ว....... (ดู ชัรหู ซอเฮี๊ยะหฺมุสลิม เล่ม 6 หน้า 37)
บรรดาปราชญ์มัซฮับมาลิกีย์ ได้ทำการถ่ายทอดคำพูดของท่านอิมามมาลิกในการตีความนั้น เป็นการถ่ายทอดที่เลื่องลือ مُسْتَفِيْضَةٌ (มุสตะฟีเฏาะฮ์) และโด่งดัง شُهْرَةٌ (ชุฮ์เราะฮ์) จากท่านอิมามมาลิกว่า
ท่านอิบนุอับดิลบัรริ ได้ถ่ายทอดคำกล่าวของท่านอิมามมาลิกว่า
وَقَدْ يُحْتَمَلُ أَنْ يَكُوْنَ كَمَا قَالَ رَحِمَهُ اللهُ عَلَي مَعْنَي أَنَّهُ تَتَنَزَّلُ رَحْمَتُهُ وَقَضَاؤُهُ بِالْعَفْوِ وَالإِسْتِجَابَةِ
"บางครั้งถูกตีความการลงมาเหมือนกับที่ท่านอิมามาลิกกล่าวบนความหมายที่ว่า ความเมตตาของพระองค์จะทรงลงมาและการตัดสินของพระองค์ในการอภัยโทษและตอบรับดุอาได้ลงมา" หนังสืออัตตัมฮีด 7/143
ท่านอะบีอัมร์ อัดดานีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัรริซาละฮ์ อัลวาฟียะฮ์ หน้า 135-137 ว่า
قَالَ بَعْضُ أَصحَابِناَ : يَنْزِلُ أََمْرُهُ تَبَارَكَ وتَعَاليَ
"ปราชญ์บางส่วนแห่งเรากล่าวว่า : คำบัญชาของพระองค์ได้ลงมา"
ด้วยอ้างหลักฐานอัลกุรอาน(มาสนับสนุนเป็นก่อรีนะฮ์กรณีแวดล้อม)ที่ว่า
اللَّهُ الَّذِي خَلَقَ سَبْعَ سَمَاوَاتٍ وَمِنَ الْأَرْضِ مِثْلَهُنَّ يَتَنَزَّلُ الْأَمْرُ بَيْنَهُنَّ
"อัลเลาะฮ์ทรงบันดาลเจ็ดชั้นฟ้าและแผ่นดินไว้เท่าเทียบกับชั้นฟ้าเหล่านั้นโดยคำบัญชาของพระองค์จะลงมาระหว่างชั้น(ฟ้าและแผ่นดิน)เหล่านั้น" อัฏเฏาะล็าก 12
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า : บรรดาปราชญ์มัซฮับอิมามมาลิกย่อมรู้ถึงแนวทางของท่านอิมามมาลิกดียิ่งกว่าและเป็นที่เลื่องลือมายังพวกเขา ซึ่งการตีความเช่นนี้สอดคล้องกับอัลกุรอานทุกประการและชัดเจน
12. ท่านอิมามอะห์มัด
ท่านอัลฮฟาซฺ อิบนุ กะษีร กล่าวว่า
رَوَى البَيْهَقِيُّ عَنِ الحَاكِمِ عَنْ عَمْروٍ بْنِ السَّمَّاكِ عَنْ حَنْبََل أَنَّ أَحْمَدَ بْنَ حَنْبَل تَأَوَّّلَ قَوْلَ اللهِ تَعَالىَ ( وَجَاءَ رَبُّك) أَنَّهُ جَاءَ ثَوَابُهُ. ثَمَّ قَالَ الْبَيْهَقِيُّ: وَهَذَا إِسْنَادٌ لاَ غُبَارَ عَلَيْهِ
รายงานโดยอัลบัยฮะกีย์ จาก อัลฮากิม จากอัมร์ บิน อัซซัมมาก จากฮัมบัล ว่า "แท้จริงท่านอะห์มัด บิน ฮัมบัล ได้ทำการตีความ(ตะวีล) คำตรัสของอัลเลาะฮ์ตะอาลาที่ว่า "และผู้อภิบาลของเจ้าได้มา" คือ การตอบแทนผลบุญของพระองค์ได้มา หลังจากนั้นท่านอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า สายรายงานนี้เป็นสายรายงานที่(สะอาด)ไม่มีฝุ่นเลย" หนังสืออัลบิดายะฮ์ วันนิฮายะฮ์ : 10/361
13. ท่านอัลฮะซัน อัลบะซอรีย์
ได้ตีความคำตรัสของอัลเลาะฮ์ที่ว่า
وَجَاءَ رَبُّكَ : جَاءَ أَمْرُهُ وَقَضاَؤُهُ
"และพระผู้อภิบาลของเจ้าได้มา" คือ "คำบัญชาและการตัดสินของพระองค์ได้มา" ตัฟซีรอัลบะฆอวีย์ 4/454
อัลฮัมดุลิลลาฮ์ นี้คือตัวอย่างการตีความ(ตะวีล)ของสะละฟุศศอลิห์เกี่ยวกับซีฟัตของอัลเลาะฮ์ โดยการผินความหมายของถ้อยคำไปสู่อีกความหมายที่สามารถตีความได้ แต่หากเราจะเลี่ยงว่ามันคือการตัฟซีร(อธิบาย)นั้น ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อเท็จจริงในความหมายของการ "ตะวีล" ตีความได้หรอก เพราะบรรดาปราชญ์ไม่ขัดข้องในการเรียกศัพท์ แม้กระทั่งการตัฟซีรของท่านอัตติรมีซีย์นั้น ท่านอิบนุตัยมียะฮ์ยังวิพากษ์วิจารณ์โดยกล่าวว่ามันคือตะวีล ซึ่งบ่งชี้ว่าสะละฟุศศอลิห์มีการตีความตะวีลนั่นเอง เราจะไปบอกว่าหากตีความตรงนั้นตรงนี้แล้วจะไม่ต่างอะไรกับพวกมั๊วะตะซิละฮ์ แล้วทำไมเมื่อพบว่าสะละฟุศศอลิห์ทำการตีความถึงไม่กล่าวหาว่าพวกเขาไม่ต่างอะไรกับพวกมั๊วะตะซิละฮ์ละครับ หรือการตีความระหว่างพวกเขากับพวกมั๊วะตะซิละฮ์มีความแตกต่างกัน หากเป็นเช่นนั้นเราก็ต้องแยกแยะให้ถูกต้องระหว่างการตีความของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์กับการตีความของมั๊วะตะซิละฮ์ เพื่อเราจะไม่ไปละเมิดสะละฟุศศอลิห์ในเชิงหลักการทางด้านอะกีดะฮ์นั่นเอง อัลฮัมดุลิลลาฮ์
وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَي أَعْليَ وأَعْلَم