อ.มุรีด ระบุในบทความเฉพาะกิจต่อมาว่า
ประการที่สอง วันอีดิลอัฏฮาต้องเป็นวันเดียวกัน เนื่องจากมีหะดีษระบุชัดเจนว่า วันอีดิลอัฎฮาเป็นวันสำคัญขอมุสลิมทั่วโลก ดังหลักฐานต่อไปนี้
ท่านอุกบะฮฺ บุตรของอามิรฺเล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า
"يَوْمُ عَرَفَةَ وَيَوْمُ النَّحْرِ وَأَيَّامُ التَّشْرِيْقِ عِيْدُنَا أَهْلَ الإِسْلاَمِ وَهِيَ أَيَّامُ أَكْلٍ وَشُرْبٍ"
ความว่า "วันอะเราะฟะฮฺและวันนะหฺริและวันตัชรีก คือวันอีดของพวกเราชาวอิสลาม คือวันแห่งการกินและการดื่ม" (ตัครีจ หะดีษ) (บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 2066 บทว่าด้วยการถือศีลอด,ติรฺมิซีย์ หะดีษที่ 704, นะสาอีย์ หะดีษที่ 2954, อะหฺมัด หะดีษที่ 16739 และอัดดาริมีย์ หะดีษที่ 1699) สถานะของหะดีษถือว่า เศาะหี้หฺ (صحيح) อ้างจากหนังสือ " صحيح سنن الترمذي" เล่ม 1 หน้า 407-408 ลำดับหะดีษที่ 773
หะดีษข้างต้นท่านรสูลุลลอฮฺพูดไม่คลุมเครือ, ท่านรสูลกล่าวว่า "วันอะเราะฟะฮฺ" ซึ่งท่านรสูลมิได้กล่าวว่าวันที่ 9 ซุลหิญะฮฺ หากท่านรสูลกล่าวว่า วันที่ 9 ซุลหิจญะฮฺ เราอาจจะอ้างได้ว่า 9 ซุลหิจญะฮฺของประเทศใครประเทศมัน แต่นี้ท่านรสูลกล่าวชัดเจนว่า วันอะเราะฟะฮฺ ซึ่งวันอะเราะฟะฮฺบรรดาผู้ประกอบพิธีหัจญ์จะไปรวมตัวกันที่ทุ่ง อะเราะฟะฮฺ บางคนจึงเรียกวันอะเราะฟะฮฺว่าวันวุกูฟ (وقوف คือการหยุดพำนัก) ก็มี, เมื่อท่านนบีบอกว่าวันอะเราะฟะฮฺ คำถามต่อมาคือ วันอะเราะฟะฮฺ หรือวันวุกูฟนั้นมีที่ไหนบ้าง? คำตอบคือ เมืองไทยไม่มีวันอะเราะฟะฮฺ หรือวันวุกูฟหรอกนะครับ มีแต่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียแห่งเดียวเท่านั้น
วิภาษ
เห็นด้วยที่ อ.มุรีด ระบุว่า วันอีดิลอัฎฮาเป็นวันสำคัญของมุสลิมทั่วโลก แต่ไม่เห็นด้วยที่ระบุว่า วันอีดิลอัฎฮาเป็น วันเดียวกันทั้งโลก เพราะค้านกับหลักของความเป็นจริง (خِلاَفُ الْوَاقِعِيَّةِ) กล่าวคือ วันอีดิลอัฎฮานั้นจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อ มีการกำหนดวันที่ 1 ซุลฮิจญะฮฺเสียก่อนและการกำหนดวันที่ 1 ซุลฮิจญฮฺนั้นก็จำต้องอาศัยผลการดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นหลัก เมื่ออาศัยผลการดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นหลักก็จะมีความแตกต่างกันในการกำหนดวันที่ 1 ซุลฮิจยะฮฺ ตลอดจนผูกพันอยู่กับทัศนะหลักของนักวิชาการที่มีความเห็นต่างกันในเรื่องการพิจารณาการดูจันทร์เสี้ยวสากล
และท้องถิ่นอีกด้วย ทำไมต้องอาศัยผลการดูจันทร์เสี้ยวเป็นหลัก? เพราะพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงดำรัสว่า
يَسْأَلُوْنَكَ عَنِ الْأَهِلَّةِ قُلْ هِيَ مَوَاقِيْتُ لِلنَّاسِ وَالْحَجِّ
พวกเขาจะถามท่าน (มุฮัมหมัด) ถึงจันทร์เสี้ยว จงกล่าวเถิด จันทร์เสี้ยวนั้นคือ กำหนดเวลาต่างๆ สำหรับผู้คนทั้งหลายและการประกอบพิธีฮัจญ์ (อัลบะกอเราะฮฺ อายะฮฺ 189)
ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) ได้ระบุว่า พระองค์อัลลอฮฺทรงบอกให้รู้ว่าจันทร์เสี้ยวนั้นเป็นกำหนดเวลาสำหรับมนุษย์ และสิ่งนี้ก็ครอบคลุมในกิจการงานของพวกเขาทั้งหมด และพระองค์ทรงระบุถึงการประกอบพิธีฮัจญ์เป็นกรณีพิเศษ เพื่อจำแนกการประกอบพิธีฮัจญ์นั้นให้โดดเด่น ทั้งนี้เพราะฮัจญ์จะมีบรรดามะลาอิกฮฺและผู้อื่นเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ และตามนี้การถือศีลอด, ประกอบพิธีฮัจญ์, ระยะเวลาการลีอาอฺ, การครองตนของสตรี (อิดดะฮฺ) และการถือศีลอดกัฟฟาเราะฮฺจะเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ (คือการดูจันทร์เสี้ยว) (ดูมัจมูอะฮฺ อัลฟะตาวา 25/76)
ดังนั้นการกำหนดวันเวลาเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์และศาสนกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การถือศีลอดในวันอะเราะฟะฮฺ, การออกอีดอีดิลอัฎฮา และการเชือดอุฎฮียะฮฺ เป็นต้น ก็ยังคงต้องใช้การดูจันทร์เสี้ยวเป็นตัวกำหนด ท่านชัยคุลอิสลาม ยังได้ระบุอีกว่า เมื่อนั้นจึงมีเงื่อนไขว่าการมีจันทร์เสี้ยวและเดือนนั้นต้องเป็นที่รู้กันในระหว่างผู้คน และ การส่งเสียงดังของผู้คนต่อจันทร์เสี้ยว (เมื่อมีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว) กระทั่งว่าหากมีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว 10 คน แต่การ เห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ไม่เป็นที่ทราบและรู้กัน ณ ชาวเมืองทั่วไป จะเนื่องด้วยการเป็นพยานของพวกเขาถูกปฏิเสธ หรือพวกเขามิได้ยืนยันเป็นพยานว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ก็ให้ถือว่าฮุก่มของพวกเขาเหมือนกับฮุก่มของชาวมุสลิมทั่วไป (ที่ไม่ได้รับทราบว่ามีการเห็นจันทร์เสี้ยว)
ดังนั้นเฉกเช่นที่พวกเขาจะไม่วุกุฟ ไม่เชือดสัตว์พลี และไม่ละหมาดอีดนอกจากพร้อมกับบรรดามุสลิม ทำนองเดียวกัน พวกเขาก็จะไม่ถือศีลอดนอกจากพร้อมกับบรรดามุสลิม (ที่ไม่เห็นจันทร์เสี้ยว) นั้นแล และนี่คือความหมายของหะดีษที่ว่า การถือศีลอดของพวกท่านก็คือวันที่พวกท่านถือศีลอดและฟิฏริของพวกท่านก็คือวันที่พวกท่านออกอีดฟิฏริ และอัฎฮาของพวกท่านก็คือวันที่พวกท่านออกอีดอัฎฮากัน (มัจมูอะฮฺ อัลฟะตาวา 25/68)
ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) ยังได้สรุปอย่างชัดเจนอีกว่า หลักมูลฐานของประเด็นปัญหานี้ก็คือ พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงผูกพันบรรดาหลักการทางศาสนบัญญัติ (اَلْأَحْكَامُ الشَّرْعِيَّةُ) กับสิ่งที่ถูกเรียกว่า จันทร์เสี้ยว (اَلْهِلاَلُ) และเดือน (اَلشَّهْرُ) เช่นการถือศีลอด การออกอีดฟิฏริ และการเชือด... (เล่มเดียวกัน 25/68) ...และการ มีทัศนะที่ขัดแย้งกันนี้ ย่อมบ่งชี้ว่าทัศนะที่ถูกต้องก็คือเหมือนกับกรณีดังกล่าวในเดือนซุลฮิจญะฮฺ (25/68) กล่าวคือการกำหนดเดือนซุลฮิจญะฮฺและวันที่เกี่ยวเนื่องก็ให้ใช้หลักการในการดูจันทร์เสี้ยวเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ การระบุว่าวันอีดิลอัฎฮาต้องเป็นวันเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาว่า มุ่งหมายถึงอะไร? หาก มุ่งหมายว่า ทั่วโลกต้องมีวันอีดิลอัฎฮาเพียงวันเดียว และต้องตรงกันทั้งโลก ก็ถือว่าค้านกับหลักของความเป็นจริงเพราะไม่เคยปรากฎว่าตลอดระยะเวลา 1400 กว่าปีที่ผ่านมา มีการออกอีดพร้อมกันทั้งโลกในวันเดียวกัน ถ้าหาก อ.มุรีด มีหลักฐานยืนยันว่า ทั้งโลกเคยออกอีดพร้อมกัน ก็ขอความกรุณาช่วยนำเสนอด้วยจะขอบคุณเป็นอย่างมาก
และสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ตลอดเวลาในอดีตที่ผ่านมานั้นได้มีนักวิชาการระดับมุจฺตะฮิตท่านใด หรือตำรับตำรา ที่เป็นมรดกทางวิชาการเล่มใดบ้างที่ระบุว่าประชาชาติมุสลิมจะต้องกำหนดวันที่ 1 ซุลฮิจญะฮฺ, วันอะเราะฟะฮฺ และวันอีดอีดิลอัฎฮาตามนครมักกะฮฺ (ซึ่งในอดีตยังไม่มีประเทศซาอุดิอาระเบีย) โดยไม่ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวในส่วนอื่นหรือดินแดนอื่นของโลก
หรือว่านักวิชาการรุ่นหลังเพิ่งมาค้นพบสัจธรรมในเรื่องนี้จากตัวบทของหะดีษที่ อ.มุรีด อ้างมา ทั้งๆ ที่หะดีษบทนี้มีมาตั้งแต่ครั้งที่ท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ยังมีชีวิตอยู่และผ่านการจดบันทึกและการวิเคราะห์ของบรรดานักปราชญ์ในรุ่นก่อนนับแต่ยุคสะลัฟ ซอลิฮฺเป็นต้นมา พวกท่านเหล่านั้นมิได้ฉุกคิดเลยกระนั้นหรือ และเป็นไปได้อย่างไร? ที่หลักการของหะดีษบทนี้ ซึ่งเพิ่งค้นพบหลังจากผ่านมานมนานเป็นเวลานับพันปีพลาดจากสายตาและ การวิเคราะห์ของนักปราชญ์รุ่นก่อน
โปรดอย่าลืมว่า หะดีษของอุกบะฮฺ อิบนุ อามิร เป็นหะดีษที่มีการจดบันทึกในตำรับตำราทางหะดีษและฟิกฮฺเป็นจำนวนมาก แต่ทำไมหนอ? จึงไม่มีนักวิชาการท่านใดเลยในอดีตนึกถึงเรื่องนี้!
ผู้เขียนเห็นด้วยที่ว่า ท่าร่อซูลพูดไม่คลุมเครืออย่างที่ อ.มุรีด ระบุ แต่ปัญหาอยู่ที่ความคลุมเครือของ อ.มุรีด เอง จริงอยู่ท่านร่อซูลกล่าวว่า วันอาเราะฟะฮฺ (يَوْمُ عَرَفَةَ)
และท่านไม่ได้กล่าวว่าวันที่ 9 ซุลฮิจญะฮฺ ! แต่ถามว่าวันอะเราะฟะฮฺคือ วันที่เท่าไหรของเดือนซุลฮิจญะฮฺเล่า? ช่วยตอบทีเถอะ!
หากตอบว่า วันอะเราะฟะฮฺก็คือวันที่ 9 ของเดือนซุลฮิจญะฮฺ แล้วจะเถียงเอาอะไร? แต่ถ้าเลี่ยงตอบเป็นอย่างอื่น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร? ก็ต้องถือว่าเล่นลิ้นและเฉไฉ
เพราะ อ.มุรีดเองก็ระบุว่า ประการต่อมา ท่านร่อซูลุลลอฮฺพูดต่อว่า วันนะหฺริ คือวันเชือด วันเชือดคือวัน อีดิลอัฎฮา หรือวันที่ 10 ซุลฮิจญะฮฺนั่นเอง
ก็ไหนละ! ท่านรอซูลุลลอฮฺ ท่านพูดว่า วันนะหฺริ ท่านไม่ได้พูดว่าวันที่ 10 ซุลฮิจญะฮฺเสียหน่อย คนที่พูดว่า วันที่ 10 ซุลฮฺจญะฮฺ นันก็คือ อ.มุรีด เอง
พอมาถึง วันตัซรีก อ.มุรีด ก็ระบุอีกว่า คือวันที่ 11, 12 และ 13 ซุลฮิจญะฮฺ ซึ่งเป็นวันที่ศาสนายังอนุญาตให้เชือดเนื้อกุรบ่านได้
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ท่านพูดว่า บรรดาวันตัซรีก (أَيَّامُ التَّشْرِيْقِ) ในหะดีษท่านไม่ได้พูดเสียหน่อยว่าวันที่ 11, 12 และ 13 ซุลฮิจญะฮฺ
ทำไม? อ.มุรีด จึงสับสนในความเข้าใจของตนเองเช่นนี้ และเมื่อท่านระบุว่า ในหะดีษใช้คำว่า วันอะเราะฟะฮฺ ไม่ใช่วันที่ 9 ซุลฮิจญะฮฺ
ซึ่งถ้าวันอีดอัลอัฎฮาคือวันที่ 10 ซุลฮิจญะฮฺ และบรรดาวันตัซรีก คือวันที่ 11, 12 และ 13 แล้ว (ตามที่ อ.มุรีด ระบุ) แล้ววันอะเราะฟะฮฺ คือวันที่เท่าไหรเล่า? ช่วยตอบที!
ส่วนที่ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะซัลลัม) ใช้สำนวนว่า วันอะเราะฟะฮฺ นั้นก็ไม่แปลกและไม่คลุมเครือ เพราะท่านมิได้ใช้สำนวนในหะดีษนั้นว่า วันวุกุฟ แต่ใช้ว่า วันอะเราะฟะฮฺ
ซึ่งมีนัยครอบคลุมมิได้เจาะจงเรื่องการประกอบพิธีฮัจญ์ โดยเฉพาะการวุกุฟเพียงอย่างเดียว
กล่าวคือ วันอะเราะฟะฮฺมี 2 ส่วน
ส่วนที่หนึ่งเป็นวันอะเราะฟะฮฺในสิทธิของบรรดาฮุจญ๊าจที่ประกอบพิธีฮัจญ์ (يَوْمُ عَرَفَةَ فِيْ حَقِّ الْحُجَّاجِ) ซึ่งมีซุนนะฮฺ ให้บรรดาฮุจญ๊าจกล่าวตัลบียะฮฺมากๆ และมีซุนนะฮฺ (ตามทัศนะที่มีน้ำหนัก) ให้บรรดาฮุจญ๊าจงดถือศีลอดใน วันอะเราะฟะฮฺ
ส่วนที่สองคือวันอะเราะฟะฮฺในสิทธิของผู้อื่น ที่มิได้ประกอบพิธีอัจญ์ (يَوْمُ عَرَفَةَ فِيْ حَقِّ غَيْرِ الْحُجَّاجِ) ซึ่งมีซุนนะฮฺให้กล่าวตักบีร ตั้งแต่หลังซุบฮิของวันอะเราะฟะฮฺ ไม่มีซุนนะฮฺให้กล่าวตัลบียะฮฺแต่อย่างใด และยังมีซุนนะฮฺให้ผู้ที่ไม่ได้ประกอบพิธีฮัจญ์ทำการถือศีลอดในวันอะเราะฟะฮฺอีกด้วย ดังนั้นวันอะเราะฟะฮฺ ที่หมายถึงวันที่ 9 ซุลฮิจญะฮฺ ย่อมไม่จำเป็นว่าต้องตรงกับวันวุกุฟของบรรดาฮุจญ๊าจเสมอไป
หากเรายึดหลักการวุกุฟในวันอะเราะฟะฮฺเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงข้อปฏิบัติทางศาสนาที่ใช้ต่างกันระหว่าง ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์กับผู้ที่ไม่ได้ประกอบพิธีอัจญ์ เรื่องมันก็จะสับสน อีกทั้งหากการวุกุฟเป็นกิจสำคัญของบรรดา ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ที่จะขาดไม่ได้ แต่วันอะเราะฟะฮฺ มีศาสนกิจให้กระทำมากกว่าการวุกุฟ เพราะครอบคลุมถึง ผู้ที่ไม่ได้ประกอบพิธีฮัจญ์ด้วย
เราคงไม่เถียงหรอกว่า การวุกุฟมีที่เดียวที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย แต่การระบุของ อ.มุรีด ที่ว่า วันอะเราะฟะฮฺ หรือวันวุกุฟนั้นมีที่ไหนบ้าง? คำตอบคือ เมืองไทยไม่มีวันอะเราะฟะฮฺหรือวันวุกุฟหรอกนะครับ มีแต่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียแห่งเดียวเท่านั้น.....
ออกจะเป็นการด่วนสรุปมากไปเสียหน่อย เพราะจำต้องแยกกันระหว่างการวุกุฟ ซึ่งเป็นขั้นตอนของการประกอบ พิธีฮัจญ์ และเป็นเรื่องเฉพาะของบรรดาฮุจญ๊าจที่โน่นกับเรื่องของวันเวลา คือวันอะเราะฟะฮฺ ที่มีศาสนกิจให้กระทำสำหรับประชาชาติมุสลิมทั่วโลก กล่าวคือ ต้องแยกระหว่างวุกุฟซึ่งป็นการกระทำที่เกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งเดียว (فَعْلِيٌّ - مَكَانِيٌّ) และวันเวลา (زَمَانِيٌّ) เพราะวันเวลาที่ไม่เกี่ยวกับการกระทำเฉพาะที่อาจจะไม่ตรงกันก็ได้
การระบุว่า ! เมืองไทยไม่มีวันอะเราะฟะฮฺหรือวันวุกุฟเป็นการระบุที่ผิดพลาด เพราะเมืองไทยหรือเมืองไหนๆ ในโลกที่มีมุสลิมก็ต้องมีวันอะเราะฟะฮฺเช่นกัน ถ้าหากเมืองไทยไม่มีวันอะเราะฟะฮฺแล้ว จะถือศีลอดซุนนะฮฺกันอย่างไร? และหากมีแต่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียแห่งเดียว มุสลิมในเมืองไทยก็คงไม่ต้องถือศีลอดซุนนะฮฺกัน หากใครต้องการถือศีลอดซุนนฮฺ ในวันอะเราะฟะฮฺก็จะต้องเดินทางไปซาอุดิอาระเบียกระนั้นหรือ?
เพราะวันอะเราะฟะฮฺ มีวันเดียวที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย อย่างที่ อ.มุรีด ระบุ เขาถือกันอย่างไรในเมื่อยุคอดีตนั้น ต้องเดินทางโดยสารเรือสมุทรไปประกอบพิธีฮัจญ์ ความจริงวันอะเราะฟะฮฺมีมานานแล้ว นับแต่ยุคอดีต ถามว่าในครั้งอดีดที่ยังไม่มีประเทศซาอุดิอาระเบียนถูกสถาปนาขึ้นโดยราชวงศ์อาลสุฮูด คนทั่วโลกที่เป็นมุสลิมเขาถือศีลอดวันอะเราะฟะฮฺกันหรือไม่? หากตอบวา เขาถือกัน ก็ถามว่า คนที่ไปทำฮัจญ์ย่อมรู้ว่าวันไหนเป็นวันอะเราะฟะฮฺเพราะเขาอยู่ที่มักกะฮฺ
แล้วคนที่อยู่ทางบ้านในยุคสยามประเทศเล่า เขาจะรู้ไหมว่าซะรีฟมักกะฮฺประกาศวันอาเราะฟะฮฺหรือวันวุกุฟวันไหน? แน่นอนคนที่อยู่ทางนี้ซึ่งก็เป็นบรรพชนของ อ.มุรีด ด้วย ต้องอาศัยการดูจันทร์เสี้ยวเป็นหลักตามศาสนบัญญัติในการกำหนดวันที่ 1 ซุลฮิจญะฮฺและวันอะเราะฟะฮฺ ตลอดจนวันอีดิลอัฎฮาเป็นบรรดาวันตัซรีก หากรอการประกาศของซะรีฟมักกะฮฺก็คงไม่ได้ประกอบศาสนกิจกันแล้วแหล่ะ