ผู้เขียน หัวข้อ: รำลึกคืนอิสรออฺเมี๊ยะรอจญ์ของท่านนบี(ซ.ล.)  (อ่าน 19483 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ เด็กท่าเรือ

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • เพศ: ชาย
  • ความยำเกรงนั้น คือ กุญแจแห่งทางที่เที่ยงตรง
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • bantharua

อัสสลมุอาลัยกุม

    พรุ่งนี้เป็นวันที่ 27 เดือนระยับ เป็นวันที่สำคัญอีกวันหนึ่งที่พวกเรามุสลิมทุกท่านก็ทราบดีถึง มั๊วยีซาต สิ่งปาฏิหาริย์
อันน่าทึ่งคือ ปาฏิหาริย์แห่งการเดินทางในเวลากลางคืนซึ่งอัลเลาะห์ ซ.บ. ทรงมีขึ้นโดยเฉพาะแก่ นบีมูฮัมหมัด ซ.ล. ของ
พวกเรา ด้วยเหตุนี้ขอพวกเราช่วยกันเล่าเรื่องราวประวัติของท่านนาบี ซ.ล. ใน มั๊วะยีซาตดังกล่าว เพื่อรำลึกถึงท่านนบี ซ.ล. ซึ่ง
เป็นที่รักของพวกเราครับ ขอให้พี่น้องผู้มีความรู้โปรดช่วยสานต่อด้วยครับ เพือพี่น้องท่านอื่นที่ไม่มีความรู้หรือไม่ทราบ
รายละเอียดจะได้กระจ่าง ขอโปรดชี้แนะครับผม

วัสสลามุอาลัยกุม
" ท่านพึงเป็นผู้รู้ หรือผู้เล่าเรียน หรือผู้รับฟัง หรือผู้รักใคร่ (ในบุคคลเหล่านั้น)
และท่านอย่าเป็นคนที่ห้า แล้วท่านจะวิบัติอย่างแน่นอน "

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: รำลึกคืนอิสรออฺเมี๊ยะรอจญ์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ส.ค. 10, 2007, 02:49 AM »
0
وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته

อาจจะพอดีช่วงนี้พี่น้องทางนี้เขาไม่ค่อยจะว่างกันที่จะนำเสนอเรื่องราวของคืนอิสรออฺและเมี๊ยะอฺรอจญ์น่ะครับ   และอย่างไรก็ตาม  แม้ว่าไม่ใช่ตรงกับคือนที่ 27  เราก็สามารถเล่ารำลึกเหตุการณ์ดังกล่าวได้ตลอดทั้งปีนะครับ   

แต่ถ้าหากว่ามีพี่น้องท่านใดที่ข้อมูลที่จะเล่าเรื่องนี้ได้  ก็ให้นำเสนอเพื่อเป็นวิทยาทานกับพี่น้องของเรานะครับ

والسلام
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: รำลึกคืนอิสรออฺเมี๊ยะรอจญ์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ส.ค. 10, 2007, 01:50 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

บัง dektharue ครับ  เผอิญว่าผมไปค้นบทความเก่า ๆ ที่เคยแปลไว้เกี่ยวกับเรื่องอิสรออฺเมี๊ยะรอจญ์เพื่อนำมาพูดในคืนอิสรออฺและเมี๊ยะรอจญ์เมื่อสามปีก่อนโน้น  เห็นว่ามีเนื้อหากระทัดรัดดี  ซึ่งอีกสักพักผมจะพิมพ์ลงกระทู้นะครับ  อินชาอัลเลาะฮ์

والسلام 
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: รำลึกคืนอิสรออฺเมี๊ยะรอจญ์
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ส.ค. 10, 2007, 08:48 PM »
0
بسم الله الرحمن الرحيم

ก่อนที่ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยวะซัลลัม ทำการอพยพ 18 เดือน อัลเลาะฮ์ตาอาลา  ทรงประทานเกียรติแด่ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ด้วยการอิสรออฺและเมี๊ยะอฺรอจญ์  การอิสรออฺ  หมายถึง  การเดินทางในเวลากลางคืน ซึ่งหมายถึงการเดินทางจากมัสยิดหรอมนครมักกะฮ์ไปยังมัสยิดอัลอักซอในเยรูซาลิมปาเลสไตน์  ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากนครมักกะฮ์โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 เดือน  แต่การเดินทางของท่านใช้เวลาเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น  ส่วนเมี๊ยะอฺรอจญ์ หมายถึง การขึ้นไปสู่บรรดาชั้นฟ้าของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เพื่อได้แลเห็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของอัลเลาะฮ์ อีกทั้งเยี่ยมสวรรค์และนรก  ซึ่งเหตุการณ์อิสรออฺเมี๊ยะอฺรอจญ์นี้  ได้ถูกระบุไว้ในอัลกุรอาน อันมีความว่า

سُبْحَانَ الَّذِي أَسْرَى بِعَبْدِهِ لَيْلاً مِّنَ الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ إِلَى الْمَسْجِدِ الأَقْصَى الَّذِي بَارَكْنَا حَوْلَهُ لِنُرِيَهُ مِنْ آيَاتِنَا إِنَّهُ هُوَ السَّمِيعُ البَصِيرُ

"พระองค์ผู้ทรงมหาบริสุทธิ์ยิ่งนัก  พระองค์ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์(มุฮัมมัด) ให้เดินทางในยามค่ำคืนจากมัสยิดอัลฮะรอมสู่มัสยิดอัลอักซอ  ซึ่งเราได้ให้ความสิริมงคลแก่รอบ ๆ ของมัน  ทั้งนี้เพื่อเราจะให้เขามองเห็นบางส่วนแห่งสัญลักษณ์ของเรา  แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยินยิ่ง  อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง" อัลอัสรออฺ 1

ท่านอิมามบุคอรีย์และมุสลิมได้รายงานเรื่องราวดังกล่าวจากท่านอะนัส ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ซึ่งมีเนื้อความว่า "ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ฉันได้เดินทางโดยบุร๊อก  ซึ่งบุร๊อกมีลักษณะคล้ายมากกว่าลาแต่ก็ไม่ถึงกับคล้ายล่อ  ซึ่งมันสามารถเดินเพียงก้าวเดียวก็ไปสุดลิบตา  ฉันได้ขี่มันจนไปถึงบัยตุลมักดิส คือ มัสยิดอัลอักซอ ฉันได้เข้าไปในมัสยิดและทำการละหมาดสองรอกะอัต  และฉันก็ออกมาจากมัสยิด  ดังนั้นญิบรีลได้มาหาฉันโโยนำภาชนะที่มีเหล้า และก็อีกภาชนะหนึ่งเป็นน้ำนม  และฉันก็เลือกดื่มน้ำนม  ญิบรีลกล่าวว่า "ท่านได้เลือกความบริสุทธิ์ (ซึ่งชี้ให้เห็นว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งความบริสุทธิ์นั่นเอง)

หลังจากนั้นท่านญิบรีลนำฉันขึ้นไปยังชั้นฟ้าที่ 1  ท่านญิบรีลจึงขออนุญาตเพื่อให้เปิดประตูชั้นฟ้าชั้นแรก  จึงเสียงกล่าวขึ้นว่า "ท่านเป็นใคร?" ญิบรีลตอบว่า "ฉันคือญิบรีล" และมีเสียงกล่าวขึ้นอีกว่า "ใครมาพร้อมกับท่านหรือ?" ญิบรีลตอบว่า "เขาคือมุฮัมมัด" และมีเสียงกล่าวอีกว่า "เขาถูกส่งมาที่นี้หรือ?" ญิบรีลตอบว่า "ใช่แล้ว เขาถูกส่งมาที่นี้"  ดังนั้นท้องฟ้าชั้นแรกจึงถูกเปิดให้แก่เรา  ทันใดนั้น  ฉันจึงพบกับนบีอาดำ  เขาได้ต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน
 
จากนั้นญิบรีลได้นำฉันไปสู่ท้องฟ้าชั้นที่ 2 และขอเปิดชั้นฟ้าที่ 2 จึงมีเสียพูดอย่างเดิมเหมือนกับชั้นฟ้าชั้นแรก  แล้วทอ้งก็ถูกเปิดให้แก่เรา  ทันใดนั้นฉันจึงพบกับท่านนบียะห์ยาและนบีอีซา บุตร มัรยัม  ซึ่งทั้งสองได้ต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน

หลังจากนั้นท่านญิบรีลจึงนำฉันไปสู่ท้องฟ้าชั้น 3  และขอเปิดท้องฟ้าชั้นที่  3  และมีเสียงพูดอย่างเดิมเหมือนชั้นแรก  และท้องฟ้าก็ถูกเปิดให้แก่ฉัน  และฉันได้พบกับนบียูซุฟ  เขาได้ให้การต้อนรับและขอพรให้แก่ฉัน  จากนั้นเราขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าชั้นที่ 4 ฉันจึงได้พบกับนบีอิดรีส  ดังนั้นเขาได้ต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน  อัลเลาะฮ์ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮ์มัรยัมความว่า "เราได้ยกเขา(คือนบีอิดรีส)สู่ที่พำนักอันสูงส่ง"  คือชั้นฟ้าชั้นที่ 4 นั่นเอง 

หลังจากนั้นเราได้ขึ้นสู่ชั้นฟ้าชั้นที่ 5 ซึ่งเราได้พบกับนบีฮารูณ  เขาได้กล่าวต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน  จากนั้นเราขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าที่ 6 ซึ่งฉันได้เจอกับนบีมูซา  เขาได้ทำการต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน  จากนั้นเราได้ขึ้นไปสู่ฟากฟ้าชั้นที่ 7 และได้พบกับนบีอิบรอฮีม นั่งพิงอยู่  ณ  ที่บัยตุลมะอฺมูร  ซึ่งจะมีมะลาอิกะฮ์เข้าไปทุกวันถึง 70000 (เจ็ดหมื่น) ท่าน

หลังจากนั้น  ญิบรีล นำฉันไปสู่ต้นพุทรา(ซิดร่อตุลมุนตะฮา) ซึ่งเป็นต้นไม้ในสรวงสวรรค์  ซึ่งใบของมันเหมือนใบหูของช้าง  ผลขอมันเหมือนโอ่งดินเผา  ซึ่งบางครั้งต้นซิดร่อตุลมุนตะฮา ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงบ้าง  สีเหลืองบ้าง  เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินบ้าง  สีเงินบ้าง  ซึ่งไม่มีผู้ใดที่จะสามารถพรรณาถึงความงดงามของมันได้

จากนั้นอัลเลาะฮ์ทรงวาฮีให้แก่ฉันกับการรับบทบัญญัติละหมาด 50 เวลาในหนึ่งวันกับหนึ่งคืน  ฉันจึงลงไปหาท่านนบีมูซา  เขากล่าวว่า "อะไรหรือที่พระผู้อภิบาลของท่านได้ฟัรดูเหนือประชาชาติของท่าน"  ฉันตอบว่า "ละหมาด 50 เวลา" นบีมูซากล่าวว่า "ท่านจงกลับไปขอผ่อนปรน (ไม่ใช่ต่อรอง) ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน  เพราะอุมมะฮ์ของท่านไม่มีความสามารถในการปฏิบัติดังกล่าวเพราะฉันได้เคยทดสอบกับชาวนบีอิสรออีลมาแล้ว ท่านนบีมุฮัมมัดจึงกล่าวว่า "ฉันได้กลับไปยังพระผู้อภิบาลของฉันและกล่าวขอต่อพระองค์ว่า "โอ้พระเจ้าของฉัน  โปรดทรงผ่อนปรนให้อุมมะฮ์ของฉันด้วยเถิด  ดังนั้น พระองค์ทรงลดให้ฉันจนกระทั่งหลือ 5 เวลา"  จนกระทั่งอัลเลาะฮ์ตาอาลา ทรงตรัสกับนบีมุฮัมมัดว่า "โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย ละหมาดนั้นมี 5 เวลา ในทุกหนึ่งวันและหนึ่งคืน  และทุกหนึ่งเวลาเท่ากับ 10 เวลาละหมาด  ดังกล่าวนั้นจึงเท่ากับ 50 เวลา  และผู้ใดที่ตั้งใจกระทำ 1 ความดี  แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติมัน  ก็ย่อมถูกบันทึกให้แก่เขาหนึ่งความดี  และผู้ใดตั้งใจกระทำ 1 ความชั่ว แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติมัน  ก็ไม่ถูกบันทึกบาปใด ๆ แก่เขา  และผู้ใดตั้งใจกระทำ 1 ความชั่ว  และได้กระทำมันลงไป  ก็จะถูกบันทึกให้แก่เขา 1 ความชั่วเท่านั้น

 ดังนั้นฉันจึงลงจากฟากฟ้าและได้พบกับนบีมูซาและทำการเล่าให้นบีมูซาฟัง  ท่านนบีมูซากล่าวว่า "ท่านจงกลับไปขอผ่อนปรนต่ออัลเลาะฮ์อีกเถิด"  ท่านนบีมุฮัมมัดกล่าวว่า "ฉันได้กลับไปยังพระผู้อภิบาลของฉันจนกระทั่งละอายต่อพระองค์เสียแล้ว"

หลังจากนั้นท่านนบีจึงกลับไปยังนครมักกะฮ์ในตอนกลางคืน  เมื่อถึงตอนเช้าท่านจึงออกไปยังที่ชุมนุมชาวกุเรช  อบูญะฮัลจึงไปหาท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  และท่านนบีก็พูดกับอบูญะฮัลในเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านเกี่ยวกับการเดนิทางไปยังบัยตุลมักดิส  อบูญะฮัลจึงกล่าวกับชาวมักกะฮ์ว่า "โอ้ นบีกะอับ บิน ลุอัยย์  พวกท่านทั้งหลายจงมาที่นี่ซิ"  พวกกุฟฟารจึงหันไปทางอบูญะฮัล  ดังนั้นท่านนบีจึงทำการบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านในเมื่อคืนที่ผ่านมา (คือเรื่องอิสรออฺเมี๊ยะอฺร๊อจญ์) เมื่อพวกกุฟฟารได้ยินเรื่องดังกล่าว  พวกเขาต่างพากันปรบมือ หัวเราะ (เย้ยหยัน) และเอามือวางบนศีรษะเพื่อแสดงความแปลกใจและปฏิเสธ  ดังกล่าวจึงทำให้ผู้มีอีหม่านอ่อนแอตกศาสนา  เพราะเวลาเดินทางจากมักกะฮ์สู่บัยตุลมักดิสต้องใช้เวลาเดินทาง 2 เดือน แต่ท่านนบีไปกลับแค่คืนเดียว พวกเขาเชื่อว่าท่านนบีโกหก  จากนั้นพวกกุฟฟารกุร๊อชก็ไปหาท่านอบูบักรและเล่าเรื่องอิสรออ์ให้ฟัง  แต่ท่านอบูบักรกล่าวว่า "ถ้าหากมุฮัมมัดกล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาย่อมพูดจริง" พวกกุฟฟารกล่าวกับอบูบักรว่า "ท่านเชื่อว่าสิ่งดังกล่าวนั้นเขาพูดจริงกระนั้นหรือ?" อบูบักรกล่าวตอบว่า "แท้จริงฉันจะเชื่อเขาในเรื่องที่เหลือเชื่อกว่านี้เสียอีก" และในวันนั้นอบูบักรจึงได้รับสมญานามว่า "อัศศิดดีก" (ผู้เชื่อในสัจธรรม)

ต่อมาพวกกุฟฟารกุร๊อชฺทำการทดสอบท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ซึ่งพวกเขาถามท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถึงคุณลักษณะของบัยตุลมักดิส  แต่ท่านนบีไม่เคยเห็นและไม่ได้สังเกตุลักษณะของมันมาก่อนเลย  ดังนั้นอัลเลาะฮ์ตาอาลา ทรงทำให้มันปรากฏต่อสองตาของท่านนบีและท่านก็ทำการบอกพรรณาทีละประตู  ทีละสถานที่  พวกเขาจึงกล่าวว่า "สำหรับการบอกถึงลักษณะบัยตุลมักดิสนั้น  ท่านบอกได้อย่างถูกต้อง  ดังนั้นท่านจงบอกเกี่ยวกับกองคาราวานของเราซิ  ซึ่งเวลานี้พวกเขายังมาไม่ถึง  ดังนั้นท่านนบีจึงบอกพวกเขาถึงจำนวนอูฐ  และลักษณะของมัน  และท่านนบียังกล่าวอีกว่า "กองคาราวานจะเดินทางมาถึงในวันนั้น  วันนั้น  ตอนดวงอาทิตย์ขึ้น  นำขบวนโดยอูฐสีเทา" เมื่อถึงวันนั้นพวกเขาจึงออกไปรอดูที่ อัษษะนียะฮ์ (ชื่อสถานที่) คนหนึ่งจากพวกเขากล่าว "ขอสาบาน นี้ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว"  แล้วอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า "ขอสาบาน  กองคาราวานได้มุ่งหน้ามาแล้วโดยมีอูฐสีเทานำขบวน  ตามที่มุฮัมมัดเคยกล่าวเอาไว้"  แต่กระนั้นพวกเขากลับโอหังและดันทุรัง จนกระทั่งพวกเขากล่าวว่า "สิ่งนี้ย่อมเป็นมายากลอย่างชัดเจน"   

ก่อนซุบฮ์เล็กน้อยของคืนอิสรออฺ  ท่านญิบรีลได้มาหาท่านร่อซูลุลลอฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เพื่อทำการสอนท่านเกี่ยวกับวิธีละหมาด  และเวลาละหมาดคือ มี 2 ร่อกะอัตเมื่อแสงอรุณขึ้น  มี 4 ร่อกะอัตเมื่อดวงอาทิตย์คล้อย  4 ร่อกะอัตเมื่อเงาของสิ่งหนึ่งเท่าตัวมันเอง  3 ร่อกะอัตเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า  4 ร่อกะอัตเมื่อแสงแดงลับขอบฟ้า  ก่อนที่ละหมาด 5 เวลา จะถูกบัญญัติขึ้นนั้น  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เคยละหมาด 2 เวลา คือตอนเช้าและตอนเย็นเหมือนกับที่ท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม เคยปฏิบัติมาก่อนหน้านี้

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ philosophy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 94
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: รำลึกคืนอิสรออฺเมี๊ยะรอจญ์
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ส.ค. 24, 2007, 08:27 PM »
0
السلام عليكم
เห็นว่ามีประโยชน์เลยจัดมาให้คร้าบ...
                                                                                          อัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์
       อุบัติการณ์อัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์เป็นอุบัติการณ์อันยิ่งใหญ่ที่สร้างเกียรติประวัติ ให้แก่ท่านนะบีมุฮัมมัด    และแก่ประชาชาติมุสลิม ทั้งนี้เพราะเหตุการณ์นี้เป็นปาฏิหารย์ (มั๊วะยิซาต) ของท่านนะบีมุฮัมมัด  โดยเฉพาะ และไม่มีนะบีท่านใดได้รับเกียรติมาก่อนเลยในการขึ้นไปสู่ฟากฟ้าด้วยร่างกายและจิตวิญญาณพร้อมกันไปจนถึง "ซิ๊ดร่อติ้ล มุงตะฮา" เพื่อเข้าเฝ้าอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และยังถือได้ว่าอุบัติการณ์นี้เป็นการให้สัตยาบันของบรรดานะบี "ซ่อลาวาตุ้ลลอฮิ อะลัยฮิ้ม" แก่ท่านนะบี อีกด้วย ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำแห่งบรรดานะบี แม้ว่าท่านจะเป็นนะบีสุดท้ายก็ตาม

อีกประการหนึ่งก็คือ อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงรู้ดีว่ายุคที่จะมีมาภายหลังที่ท่านนะบีมุฮัมมัด  สิ้นชีวิตไปแล้วนั้นเป็นยุคแห่งวิทยาการ ซึ่งจะทำให้มนุษย์ได้รับความเจริญก้าวหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอวกาศ ดังที่เราได้พบเห็นกันมาแล้วเกี่ยวกับความเจริญก้าวหน้าทางด้านนี้ จนกระทั่งมนุษย์ได้บินขึ้นสู่พื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จ

เป็นที่ทราบกันดีว่าวิชาความรู้นั้นหากไม่พึ่งพาอาศัย การเชื่อมั่นศรัทธาในพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกอันแท้จริงแล้ว วิชาความรู้นั้นย่อมจะนำไปสู่ความหยิ่งยะโสอวดดีและความพินาศในที่สุด เพราะความสำเร็จของนักวิชาการอาจจะทำให้เขานึกเดาเอาว่าตนนั้นมีความสามารถในการพิสูจน์เรื่องนั้นเรื่องนี้ จนเป็นผลสำเร็จได้เอง โดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรมทางด้านวิชาการแทนที่จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ กลับกลายเป็นการอาศัยวิชาการเพื่อทำลายล้างโลกกัน

การที่ท่านนะบีมุฮัมมัด  สามารถขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแห่งฟากฟ้าด้วยร่างกายและจิตวิญญาณของท่านนั้น เท่ากับเป็นการท้าทายบรรดานักวิชาการทั้งหลายที่สามารถพิชิตดวงจันทร์และดวงดาวอื่น ๆ ซึ่งเพียงแต่อยู่ในฟ้าชั้นที่หนึ่งเท่านั้น การท้าทายดังกล่าวเท่ากับเป็นการลดความยะโสของนักวิชาการทั้งหลาย และเป็นการสอนให้พวกเขาได้สำนึกถึงเดชานุภาพของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ผู้ทรงยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง

อุบัติการณ์อัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์ครั้งกระนั้นเท่ากับเป็นการประกาศให้ชาวโลกทั้งหลายได้ทราบว่า อำนาจของนบีอิสรออีลภายหลังการอัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์ของท่านนะบีมุฮัมมัด  นั้นหมดสิ้นลงแล้วโดยสิ้นเชิง เพราะมัสยิดิลอักซอเป็นสถานที่ที่มีบรรดานะบี (อะลัยฮิมุซซ่อลาตุ วัสสลาม) หรือนบีอิสรออีลหลายท่านเคยใช้เป็นสถานที่ทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.)   เกียรติอันยิ่งใหญ่นี้ทำให้มุสลิมในอดีตพยายามอย่างยิ่งที่จะพิทักษ์รักษามัสยิดิลอักซอเอาไว้ นับตั้งแต่มุสลิมได้พิชิตดินแดนปาเลสไตน์ในสมัยค่อลีฟะฮฺที่สองของอิสลาม คือท่านอุมัร อิบนุลค็อฏฏ็อบ เป็นต้นมา

เมื่อตกมาถึงศตวรรษที่ 11 เมื่อมุสลิมหันหลังให้แก่ศาสนาและมีความแตกแยกกัน จนกระทั่งพวกครูเสดได้ยึดเอามัสยิดิลอักซอไป พวกมุสลิมก็ยังสามารถหันมายึดมั่นในศาสนาที่ช่วยสร้างพลังและความสามัคคีให้แก่มุสลิมด้วยการเข้ายึดมัสยิดิลอักซอกลับคืนมา และขับไล่พวกครูเสดให้ออกไปจากดินแดนมุสลิม ต่อมาเมื่อ ค.ศ.1967 มุสลิมได้แตกแยกกันอีก โดยผู้นำมุสลิมบางประเทศไปร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายศัตรูของอิสลาม ดังนั้นมัสยิดิลอักซอซึ่งเป็นมัสยิดสำคัญอันดับสามของมุสลิม จึงตกไปอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูอิสลามคืออิสรออีลจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และในอนาคตอีกไม่รู้ว่าจะนานสักปานใด ดินแดงและมัสยิดิลอักซอของมุสลิมจะกลับคืนมาสู่เจ้าของเดิมอีกครั้งหนึ่ง

อุบัติการณ์อัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์ทั้งสองนี้เกิดขึ้นในคืนเดียวกัน ด้วยระยะเวลาอันสั้น ก่อนที่ท่านนะบี    จะอพยพออกจากนครมักกะฮฺไปสู่นครอัลมะดีนะฮฺประมาณหนึ่งปี อุบัติการณ์ดังกล่าวนี้อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงกำหนดให้มีขึ้นเพื่อจะได้ทรงทดสอบว่าใครบ้างเป็นผู้ศรัทธาเชื่อมั่นต่อพระองค์อย่างแท้จริง และเพื่อที่จะให้ร่อซูลของพระองค์คือท่านนะบีมุฮัมมัด  ได้ประจักษ์แจ้งในสัญญาณต่าง ๆ ที่พระองค์ได้ทรงสำแดงให้เห็นถึงเดชานุภาพของพระองค์ ดังหลักฐานจากอัลกุรอาน ซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้ในซูเราะฮฺอัลอิสรออฺ อายะฮฺที่หนึ่งว่า
ความว่า ?มหาบริสุทธิ์ (อัลลอฮฺ) ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์ออกเดินทางในเวลากลางคืนจากมัสยิดิลฮะรอมไปยังมัสยิดิลอักซอ อันเป็นสถานที่ที่เรา (อัลลอฮฺ) ได้ให้มีบะร่อกะฮฺ (ความจำเริญและศิริมงคล) แก่บริเวณรอบ ๆ นั้น ทั้งนี้เพื่อต้องการให้บ่าวของเรา (มุฮัมมัด) ได้ประจักษ์แจ้งถึงสัญญาณต่าง ๆ ของเรา แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น? (17:1)

จากตัวบทอัลกุรอานในซูเราะฮฺอัลอิสรออฺเพียงอายะฮฺเดียวเท่านั้นที่ยืนยันถึงอุบัติการณ์อัลอิสรออฺ ฉะนั้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณของอัลลอฮฺ ที่มีแก่เรา พระองค์จึงทำให้ตัวบทในเรื่องของอัลอิสรออฺมีหลักฐานทางวัตถุยืนยันด้วยตัวบทอย่างชัดแจ้ง เพราะเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นบนแผ่นดิน คือมัสยิดิลฮะรอมและมัสยิดิลอักซอ และทำให้อัลเมียะอฺรอจญ์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนชั้นฟ้า มีหลักฐานเป็นรูปธรรมของการมีพันธกรณี คือเมื่อเป็นการกระทำของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) แล้ว เราต้องเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ส่วนหลักฐานยืนยันจากตัวบทอัลกุรอานในเรื่องที่เกี่ยวกับอัลเมียะอฺรอจญ์ก็คือ
ความว่า ?แท้จริงเขา (มุฮัมมัด) ได้เห็นส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญญาณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเขา? (53:18)

ฮะดีสเกี่ยวกับอุบัติการณ์อัลอิสรออฺนี้ ได้มีศ่อฮาบะฮฺมากกว่า 20 ท่านรายงาน แต่ละรายงานย่อมแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อย บางรายงานก็สั้นบางรายงานก็ยาว แต่ฮะดีสเกี่ยวกับอัลอิสรออฺนี้บรรดามุสลิมได้เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นอุบัติการณ์จริง คือท่านนะบีมุฮัมมัด    ได้ออกเดินทางจากมัสยิดิลฮะรอมในนครมักกะฮฺถึงมัสยิดิลอักซอในนครเยรูซาเล็ม เพียงช่วงหนึ่งของเวลากลางคืน ทั้งที่ระยะเวลาเดินทางโดยกองคาราวานจะใช้เวลาถึง 40 วัน การเดินทางในเวลากลางคืนอัลอิสรออฺของท่านนะบี ได้เกิดขึ้นทั้งเรือนร่างและจิตวิญญาณของท่าน ขณะที่ท่านตื่นนอนมีสติสัมปชัญญะ มิใช่เป็นความฝันตามความคิดเห็นของคนบางคน พวกปฏิเสธซุนนะฮฺที่ไม่ยอมเชื่อฮะดีสเกี่ยวกับอุบัติการณ์อัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์ มีสภาพเช่นเดียวกับพวกปฏิเสธศรัทธา (กุฟฟาร) ที่กล่าวหาท่านนะบีว่าพูดเท็จ

จากรายงานฮะดีสซึ่งมีหลายริวายะฮฺเกี่ยวกับเรื่องอัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์นี้ พอจะสรุปเค้าความได้ ก็คือท่านนะบี    ได้ออกเดินทางในเวลากลางคืนจากมัสยิดิลฮะรอม โดยมีญิบรีล อะลัยฮิสสลามเป็นผู้นำทาง และท่านได้นั่งบนบุร๊อก (เป็นสัตว์พาหนะ) และไปถึงเยรูซาเล็ม (บัยตุลมักดิส) ด้วยเวลาอันรวดเร็ว ท่านนะบี  ได้พบกับบรรดานะบีหลายท่าน และท่านได้เป็นอิมามนำละหมาด

หลังจากนั้น ญิบรีลได้นำท่านนะบี  ขึ้นสู่ฟากฟ้า และได้พบกับบรรดานะบีหลายท่าน ตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่เจ็ดท่านนะบี    ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากบรรดานะบีเหล่านั้น ต่อจากนั้นท่านนะบี  ได้ถูกนำไปยัง "ซิ๊ดร่อติ้ล มุงตะฮา" และได้เห็น "บัยตุ้ลมะห์มูรจฺ" ซึ่งเป็นกะอบะฮฺของบรรดามะลาอิกะฮฺ และได้เห็นสวรรค์และนรก แล้วญิบรีลก็ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้นพลางกล่าวว่า ?มุฮัมมัด นี่คือขอบเขตของฉัน ฉันไม่สามารถจะล่วงล้ำเขตนี้ไปได้? หลังจากนั้นท่านก็ได้ขึ้นต่อไปจนถึง "มะกอมุ้ลอัสนา" และ "ดะร่อยาตุ้ลอูลา" จนถึง "มะกอมุ้ล มุนายาต" ซึ่งอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงเปิดเผยพระองค์ ท่านนะบี  ได้กล่าวว่า  และอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ตรัสตอบว่า และท่านนะบี  ได้กล่าว

บรรดามะลาอิกะฮฺเมื่อได้ยินการกล่าวทักทายเช่นนั้นจึงกล่าวขึ้นพร้อม ๆ กันว่า
นคืนวันนั้นอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงบัญญัติการละหมาด 50 เวลา ภายในหนึ่งวันให้แก่ประชาชาติของมุฮัมมัด เมื่อท่านได้กลับลงมาพบกับนะบีมูซา อะลัยฮิสสลาม ท่านก็พูดว่า ?นั่นเป็นการลำบากแก่ประชาชาติของท่านที่จะปฏิบัติเช่นนั้นได้ ฉันได้เคยทดลองกับบนีอิสรออีลมาแล้ว มุฮัมมัดจงกลับไปขอลดหย่อนจำนวนละหมาดลงอีก? ท่านะบี  ได้เวียนไปขอลดภาระดังกล่าวจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) หลายครั้ง จนเหลือเพียง 5 เวลา ท่านจึงได้กล่าวกับนะบีมูซาว่า ?ฉันรู้สึกละอายใจที่จะไปขอลดหย่อนต่อพระองค์อีก ฉันขอน้อมรับเวลาละหมาดวันละ 5 เวลานี้ไว้? และอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ก็มีบัญชาว่า ?การละหมาด 5 เวลาต่อหนึ่งวันนี้จะได้รับผลบุญตอบแทนเป็นรางวัลเท่ากับ 50 เวลา?

ในอุบัติการณ์อัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์นั้น ท่านนะบี  ได้พบเห็นเหตุการณ์มากมายพอจะสรุปเป็นหัวข้อได้ดังนี้คือ

พวกที่ต่อสู้ในแนวทางของอัลลอฮฺ (ซ.บ.)
พวกที่ไม่ให้ความสนใจในเรื่องของการละหมาด
พวกที่หมกมุ่นอยู่ในทางเพศที่หะรอม
พวกที่กินดอกเบี้ย
พวกที่กินทรัพย์สมบัติของเด็กกำพร้าด้วยความอธรรม
พวกที่ไม่บริจาคซะกาต
พวกที่ชอบนินทาใส่ร้ายผู้อื่น
พวกที่ชอบพูดในสิ่งที่เขาไม่กระทำ
สำหรับเหตุการณ์ทั้งหมดดังกล่าวมานี้ เราจะขอเน้นหนักในเรื่องของพวกที่ไม่ให้ความสนใจในเรื่องการละหมาด โดยมีรายงานแจ้งว่า ท่านนะบี  ได้ผ่านกลุ่มชนหนึ่งซึ่งศีรษะของพวกเขาถูกทุบให้แตกด้วยก้อนหิน ทุกครั้งที่ศีรษะแตกมันก็จะกลับมีสภาพเช่นเดิมอีก และก็เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา ท่านนะบี  จึงกล่าวถามว่า ?โอ้ญิบรีล พวกเหล่านี้เป็นใครกัน?? ญิบรีลกล่าวว่า ?พวกเหล่านี้คือ ผู้ที่ศีรษะของเขาหนักในเรื่องเกี่ยวกับละหมาดฟัรฎู" หมายถึงเมื่อได้ยินอะซานแล้วไม่ยอมลุกขึ้นไปละหมาด

จากเหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้ถึงฐานะของการละหมาดว่ามีความยิ่งใหญ่เพียงใด การละหมาดเป็นหัวใจสำคัญในหลักปฏิบัติของอิสลาม เป็นเครื่องหมายที่จำแนกระหว่างมุสลิมกับผู้ที่มิใช่มุสลิม และเป็นสิ่งแรกที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะทรงสอบสวนผู้ที่เป็นมุสลิมในวันกิยามะฮฺ หากพบว่าละหมาดของเขาเรียบร้อยสมบูรณ์ การงานอื่น ๆ ของเขาก็จะเรียบร้อยสมบูรณ์ไปด้วย ฐานะของการละหมาดในอิสลามนับเป็นฐานะอันสูงสุดจึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากท่านนะบี    เพราะท่านได้รับบัญญัติละหมาดในคืนอัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์ และยังถือว่าสิ่งที่จะสร้างความสุขให้แก่ท่านคือการละหมาด ดังที่ท่านเคยปรารภกับท่านบิลาล มุอัซซินประจำตัวของท่านว่า ?บิลาลเอ๋ย! จงให้เราได้รับความสุขสบายด้วยการละหมาดเถิด? และท่านยังกล่าวอีกด้วยว่า "และการละหมาดนั้นเป็นขวัญใจของฉัน" ดังฮะดีสของท่านร่อซูลุลลอฮฺ  กล่าวไว้มีความว่า

?สิ่งแรกที่บ่าวของอัลลอฮฺจะถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺ ก็คือเรื่องละหมาด หากละหมาดของเขาเรียบร้อยดี การงานอื่น ๆ ก็พลอยดีไปด้วย และหากละหมาดของเขาเสีย การงานอื่น ๆ ก็พลอยเสียไปด้วย?

การที่อิสลามเทิดทูนการละหมาดให้เป็นหลักและยอดของการนับถือศาสนาก็เพราะว่า การละหมาดเป็นสถานะอันสูงสุดและมีความสำคัญอันใหญ่หลวงในทัศนะของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ดังปรากฎในรายงานจากอับดุลลอฮฺ อับนอุมัร แจ้งว่าท่านร่อซูลุลลอฮฺ  กล่าวไว้ความว่า ?ผู้ใดรักษาการละหมาด การละหมาดนั้นจะเป็นรัศมีแก่เขา และเป็นหลักฐาน และเป็นการรอดพ้นในวันกิยามะฮฺ และผู้ใดที่ไม่รักษาการละหมาด ผู้นั้นจะไม่มีรัศมี ไม่มีหลักฐาน และไม่มีความรอดพ้น และในวันกิยามะฮฺเขาจะอยู่ร่วมกับกอรูน ฟิรเอาน์ และอุบัย อิบนุค่อลัฟ? (อุบัย อิบนุ ค่อลัฟ ผู้นี้เป็นหัวหน้ามุชริกคนสำคัญ คนหนึ่งที่ต่อต้านอิสลามอย่างหนักในระยะแรก และถูกฆ่าตายในสงครามบัดรฺ ในปีที่สองแห่งฮิจเราะฮฺศักราช)

ที่กล่าวมาพอสังเขปเกี่ยวกับฐานะการละหมาด ทำให้ผู้ที่ละเลยไม่ละหมาดตามเวลา ด้วยการกระทำหลายรูปแบบ เช่น สาละวนอยู่กับการทำมาหากิน การเพลินเพลินอยู่กับการละเล่น การหาความสำราญด้วยการดูโทรทัศน์ การง่วนอยู่กับการทำงานบ้าน บุคคลเหล่านี้จะถูกลงโทษอย่างหนัก ด้วยการถูกทุบศีรษะด้วยก้อนหินจนแตก และจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ตลอดไป ดังสภาพของพวกเขาที่ท่านนะบี  ได้เห็นมาในคืนอัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์ สภาพการลงโทษนั้นจะคงมีอยู่เรื่อย ๆ ตลอดไปจนกระทั่งวันกิยามะฮฺ จึงถือได้ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะนอกจากท่านร่อซูล  ได้พบเห็นมาแล้ว ยังมีดำรัสของอัลลอฮฺในซูเราะฮฺอัลมาอูน อีกว่า
ความว่า ?ดังนั้นความหายนะจงประสบแก่บรรดาผู้ทำละหมาด ผู้ที่พวกเขาเผลอไผลต่อการละหมาดของพวกเขา?

แน่นอนการลงโทษจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ย่อมประสบกับผู้ที่มีลักษณะดังกล่าวนี้ ทั้งนี้เนื่องจากการไม่ให้ความสนใจในการละหมาด นอกจากนี้ยังมีบุคคลอีกประเภทหนึ่งที่เขาทำละหมาด แต่ปราศจากวิญญาณแห่งการละหมาด เพราะเขามิได้ปฏิบัติละหมาดตามแบบอย่างที่ท่านนะบี  ได้สั่งสอนเอาไว้ว่า ความว่า ?ท่านทั้งหลายจงละหมาดเสมือนกับที่พวกท่านเห็นฉันละหมาด? (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์)

ดังนั้น ทำอย่างไรเราจึงละหมาดให้ถูกต้องตามแบบฉบับของท่านร่อซูลุลลอฮฺ  ก็มีทางเดียวเท่านั้นที่เราจะกระทำได้ ด้วยการศึกษาหาความรู้ หรือสอบถามคนที่เขารู้
จากหนังสือของ อัล-อิศลาหฺสมาคม 
والسلام

ออฟไลน์ กูปีเยาะฮฺสะอื้น

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1679
  • เพศ: ชาย
  • ที่สุดแห่งชีวิต
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: รำลึกคืนอิสรออฺเมี๊ยะรอจญ์
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ส.ค. 30, 2007, 02:03 PM »
0
ตาลายเลยเรา
ขอบคุณครับ
มีหลักเกณฑ์ ยึดหลักการ มีหลักฐาน มั่นหลักธรรม

ออฟไลน์ as-satuly

  • พลังแห่งการศรัทธา
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 997
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +10
    • ดูรายละเอียด
 salam
ญะซากุมุ้ลลอฮุค็อยร็อนกะษีร็อน
ถือว่า...เป็นเรื่องราว(ส่วนหนึ่ง)ชีวประวัติ(สีรอฮฺ)ของท่านนบีย์มุหัมหมัด(ศ็อลฯ)ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนอิสรออฺเมียะรอจญ์  ซึ่งมีเรื่งราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายที่จะให้เราได้ศึกษานำมาเป็นความรู้และข้อคิดอะไรต่างๆมากมาย  และประกอบกับเป็นการบ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จึงเป็น(หนึ่งใน)สิ่งที่(จำเป็น)จะต้องศึกษาเรียนรู้และประกอบกับการทบทวน(รำลึก)ถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น  เพื่อนำมาใช้และปฏิบัติในสิ่งที่ดีต่อไปบนแนวทางแห่งอัลอิสลาม


วัสสลาม 

ออฟไลน์ ฮุ้นปวยเอี๊ยง

  • رَبِّ زدْنِيْ عِلْماً
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 994
  • เพศ: ชาย
  • وَارْزُقْنِيْ فَهْماً
  • Respect: +116
    • ดูรายละเอียด
ถึงเวลา โต๊ะครู จะอ่าน กีตาบอิสรออฺเมี๊ยะรอจญ์ เชค ดาวูด ซะแล้ว

ออฟไลน์ khata

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 209
  • เพศ: หญิง
  • ซอบัร ซอบัรและซอบัร
  • Respect: +5
    • ดูรายละเอียด
ญาซากัลลอฮฺอุคอยร็อน....ค่ะทุกท่าน

ขออนุญาติก็อบไปอ่านที่บ้านนะ.....แบบว่ากำลังอยากอ่านเรื่องนี้.............. oh:พอดี
ฉันไม่มีอะไรพิเศษหรอก หากอัลลอฮฺไม่ประสงค์ให้ฉันเป็น

ฉันจะขอยืนหยัดในหนทางของอัลลอฮฺจนกว่าวันสุดท้ายจะมาถึง

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด


จะพยายามอ่านอย่างตั้งใจค่ะ  mycool:

ออฟไลน์ กูปีเยาะฮฺสะอื้น

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1679
  • เพศ: ชาย
  • ที่สุดแห่งชีวิต
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
กำลังต้องการเรื่องนี้อยู่พอดี
มีหลักเกณฑ์ ยึดหลักการ มีหลักฐาน มั่นหลักธรรม

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ทาง3จ.นั้น เมื่อถึงช่วงเดือนร็ญับ มักจะมีการอ่านเรื่องราวอิสรออ์และมิ๊อร๊อจกันที่มัสญิด ซึ่งรูปแบบการอ่าน มักจะอ่านกันต่อๆ กันหลายคืน โดยจะแบ่งตอนอ่านเพื่อให้เสร็จในคืนนิสฟูชะอฺบานพอดี กล่าวคือ ในคืนนิสฟูชะอฺบานก็จะอ่านกันเป็นตอนสุดท้าย แล้วตามมาด้วยการอ่านยาซีน 3 จบ พร้อมทั้งขอดุอาอ์กัน แล้วหลังอิชาอ์ หรือบางมัสญิดก็ก่อนละหมาดอิชาอ์ก็จะร่วมกันกินอาหาร หรือขนมนมเนยที่ต่างคนต่างเอามากันจากบ้านมาที่มัสญิด เป็นบรรยากาศที่ชื่นมื่นมากๆ ครับ มีแต่รอยยิ้ม และการแบ่งปันกัน - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
หนังสือที่ใช้อ่านกันส่วนใหญ่ จะเป็นหนังสือของเชคดาวูด อัลฟฏอนีย์ ร็หิมะฮุลลอฮฺ ที่ชื่อว่า "กิฟายะฮ์ อัลมุหฺตาจ" ซึ่งเป็นหนังสือเชิงประวัติศาสตร์ ว่าด้วยเหตุการณ์อิสรออ์และมิ๊อฺร๊อจอย่างละเอียดทั้งเล่ม ผมเคยมีโอกาสฟังบาบอเดร์ (อดีตอิมามประจำมัสญิดของชุมชนที่ผมอยู่) ท่านเล่าได้มีอรรถรสมากๆ ครับ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการเกินไปเลย หากจะพูดว่า ทุกการเล่าของท่านนั้น ทำให้บางคนถึงกับเคลิ้ม กึ่งหลับตา แสดงถึงความเข้าใจและกำลังจินตภาพเหตุการณ์ที่ท่านเล่าจากหนังสือ ผมเองก็เป็นจะเค้าด้วย แต่ไม่ถึงกับกึ่งหลับตาหรอก ตอนนี้ ก็กล้าพูดได้ว่า ยังหาคนที่เล่าเหมือนอย่างท่านยังไม่ได้เลย ท่านเล่าได้อรรถรสและแฝงข้อคิดดีๆ มากมาย เอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย และท่านสอนในบางเรื่อง ยังกับท่านรู้จิตใจที่คนเลย (วัลลอฮุอะอฺลัม) คือว่า มันตรงเปะกับปัญหาที่เรากำลังประสบอยู่ แล้วท่านแนะวิธีการแก้โดยเอาอุทาหรณ์จากในเรื่องในเป็นกรณีตัวอย่างได้อย่างเหมาะเจาะ ถูกกาละและเทศะมากๆ เป็นอิมามที่ผมอยากเป็นให้ได้เท่าครึ่งของครึ่งของท่านก็พอแล้วละครับ ท่านสุดยอดจริงๆ - วัสสลามุอลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ คนเดินดิน

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1620
  • ขอให้ได้รับความโปรดปรานจากพระผู้ทรงเมตตาด้วยเถิด
  • Respect: +17
    • ดูรายละเอียด
 ::)
เพราะรู้ดีว่าเป็นเพียงหนึ่งคนที่อ่อนแอ  จึงทำให้คำนึงถึงคุณค่าของหนึ่งชีวิต  โปรดชี้แนะแนวทางที่เที่ยงตรงด้วยเถิด  ยาร็อบบี  سَلَّمْنَا مُسْلِمِيْنَ وَمُسْلِمَاتٍ فِي الدُّنْيَا وَ الأخِرَةِ

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ว่าจะสอนกีฟายาตุลมุฮตาจในชมรม แต่ มาลาอ ไม่เห็นด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 14, 2009, 05:18 PM โดย Al Fatoni »
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

GoogleTagged