ว่ากันว่า ช่วงเวลาที่ดี สุดสุข และน่าหวงที่สุดของชีวิตมักผ่านไปเร็วอย่างน่าใจหาย
รู้ตัวอีกที ก็ตอนใกล้ถึงเวลาต้องละจากความรู้สึกแสนดีเหล่านั้นออกมานั่นแหละ
จนอาจได้ยินหลายเสียงบ่นเสียดายเป็นหมีกินผึ้ง นึกอยากเขกกะโหลกตัวเองบ้างอะไรบ้าง หรือไม่ก็แอบมองค้อนปฏิทินและนาฬิกาข้างฝาโทษฐานที่เดินเร็วและไม่ยอมส่งเสียงเตือน ทั้งๆ ที่ปฏิทินและเจ้านาฬิกามันก็ทำหน้าที่ปกติของมันอย่างไม่เคยจะบกพร่องเลยแม้แต่น้อย
เป็นเหมือนกันไหมที่การได้สูดอากาศในเดือนเราะมะฎอนเข้าไปเป็นอะไรที่โล่งจมูกและรู้สึกสบายปอดสุดๆ ราวกับว่า ชีวิตคนในเมืองหลวงที่มีโอกาสได้สูดดมอากาศในชนบทที่มีนาข้าวและภูเขาล้อมรอบ เช้าๆก็มีหมอกสดใสให้ตื่นตารื่นใจยังไงยังงั้น ทั้งที่ก็เป็นอากาศเหมือนๆกับหลายๆเดือนที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนของก๊าชชนิดต่างๆในปริมาณที่คล้ายๆกัน ใครบางคนที่ไม่เคยรู้จักและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเราะมะฎอนมาก่อนคงนั่งคิ้วขมวดพร้อมเครื่องหมายเควชั่นมาร์กและบ่นเสียให้ได้ว่าโพรงจมูกและปอดคู่นั้นคงไบแอสเหลือเกิน
การได้มีชีวิตอยู่เจอ รินรสและตักตวงทุกความดีงามในเดือนเราะมะฎอนนับเป็นอภิมหึมามหาการุณอย่างเว่อร์วี่ว่ากับชีวิต๑ ๆ ที่อัรเราะฮมานจะเมตตาให้ เดือนที่แต้มคะแนนของแต่ละอาม้าล (ยกเว้นการถือศีลอดซึ่งเป็นสิทธิของอัลลอฮฺและอัลลอฮฺจะตอบแทนเอง: ดูเพิ่มเติมใน 40 ฮะดิษเราะมะฎอน) ที่ทำนั้นมีแต่ระดับที่ทบเท่าทวีคูณเป็น ๑o-๗oo เท่า จะมีอะไรดีและน่ารักกว่านี้อีกไหม..ชีวิตที่ได้เจอเราะมะฎอนเป็นชีวิตที่น่ารักที่สุดแล้ว-อินชาอัลลอฮฺ
ไม่เกินไปเลยจริงๆ ที่จะยืนยันว่า นั่นคือ ความเมตตายิ่งกว่าอินฟินิตี้ ถ้าเราเคยศึกษาประวัติและปฏิกิริยาของผู้คนสมัยก่อนหน้าเราต่อการได้เจอกับเราะมะฎอน ผู้คนที่หัวใจของพวกเขาเป็นหัวใจชนิดพิเศษกว่าเราเป็นไหนๆ มองโลกนี้ทะลไปไกลถึงอาคีเราะฮฺตั้งหลายพันปีแสง ผู้คนที่ดุนยาถือว่าร้ายกาจเหลือหลาย แต่กลับทำอะไรพวกเค้าไม่ได้ นอกจากยอมปล่อยให้พวกเขาเดินทางฝ่าข้ามไปอย่างไร้ปากเสียงและเงียบเชียบที่สุดราวต้องมนต์สะกด
ใช่แล้ว! พวกเขาคือ บรรดาซอฮาบะฮฺและสลัฟ ผู้คนที่หน้าประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า พวกเขาเคยรอคอยคืนวันของเราะมะฎอนแบบปีต่อปี รอด้วยหัวใจ อย่างคนที่เฝ้ารอคอยจะเจอคนรัก รอด้วยหวังและใจถวิลหา ดังที่มีรายงานว่าเมื่อเดือนเราะญับมาถึง พวกเขาจะขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺว่า
“โอ้อัลลอฮฺ โปรดประทานความจำเริญให้แก่เราในเดือนเราะญับและชะอฺบาน และโปรดให้เราบรรลุสู่เราะมะฎอน’’
นี่คือ สิ่งที่ผู้คนที่ละแล้วซึ่งทุกอย่างในโลกนี้ราวกับทุกอย่างเป็นแค่กองขยะกลับหวังและรอคอยเพื่อจะได้พบ
แต่แล้วเรา-ผู้คนที่ยังเห็นการละเล่นสนุกสนานแค่ชั่วครู่-ชั่วคราวของโลกนี้เป็นสุขสุดอยู่เสมอ ได้มีโอกาสใช้ชีวิตและสูดอากาศของเดือนนี้เข้าไปเต็มๆ ทั้งๆที่ไม่เคยเลยแม้แต่จะขอดุอาอฺหรือเตรียมตัวอย่างดีเพื่อจะเจอ (บางทีออกอาการอิดออดต่อการเข้ามาของเราะมะฎอนด้วยซ้ำไป -ขออัลลอฮฺปกป้องเราจากความรู้สึกเยี่ยงนี้)
เหล่านี้ยังไม่คู่ควร/ เพียงพออีกหรือโอ้ดิน-สิ่งถูกสร้างที่ต้อยต่ำเอ๋ยต่อการที่เจ้าจะศิโรราบอย่างนอบน้อมและขอบคุณ
...ยังไม่เพียงพออีกหรือโอ้ดินเอ๋ย ?
(‘การได้เป็นบ่าวที่ขอบคุณ’ อย่างไรนั้น โปรดค้นและศึกษาจากแบบอย่างของบุคคลต้นแบบโดยพลัน แบบอย่างที่การตื่นขึ้นมาอิบาดะฮฺในยามค่ำคืนกระทั่งเท้าบวม ทั้งๆที่เป็นความผิดทั้งก่อนหน้า ปัจจุบันและอนาคตไม่มี เพราะท้ายที่สุดแล้วการเป็นบ่าวที่ขอบคุณด้วยหัวใจและการกระทำเป็นอะไรที่ดีต่อตัวเราเองนี่แหละ ทั้งๆที่หากไม่มีใครจะขอบคุณพระองค์ไม่เดือดร้อนเลยสักนิด!)
เมื่อมีโอกาสได้อยู่ในห้วงบรรยากาศของเราะมะฎอนแล้ว อะไรคือ แก่นแท้ของการได้ใช้ชีวิตในเดือนนี้กันนะ ?
คำตอบที่ชัดเจนที่สุดจากผู้ที่ส่งเราะมะฎอนมาให้เรามีเรียบร้อยแล้วนี่ไง
‘يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ كُتِبَ عَلَيۡكُمُ ٱلصِّيَامُ كَمَا كُتِبَ عَلَى ٱلَّذِينَ مِن قَبۡلِكُمۡ لَعَلَّكُمۡ تَتَّقُونَ’
‘โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าถูกกำหนดให้ถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน) เช่นเดียวกับที่การถือศีลอดได้ถูกกำหนดแก่ประชาชาติก่อนหน้าพวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง’
[อัลบ่ะกอเราะฮฺ : 183]
..มิใช่เพื่ออะไรอื่นเลยจริงๆ แต่ ‘เพื่อให้เราได้ยำเกรง’ การถือศีลอดจึงถูกบัญญัติให้แก่พวกเราและบุคคลก่อนหน้าเรา
ถ้ากลับไปพิจารณา ส่วนต้นเลยของซูเราะฮฺเดียวกันนี้อีกทีเราก็จะพบว่า อัลลอฮฺบอกเราว่า อัลกุรอานนี่น่ะ เป็น "ฮุดา-ทางนำ" สำหรับผู้มี "ตักวา : ความยำเกรง" [ดูอัลบะกอเราะฮ อายะฮฺที่ 2]
คือใครไม่มีตักวา ก็จะไม่ได้สัมผัสความเป็นฮุดาของอัลกุรอาน อย่างที่เราะมะฎอนเค้าได้ฉายาว่า ‘ชะฮรุ้ลกุรอ่าน’
...นั่นหมายความว่า ท้ายที่สุดแล้ว เราถือศีลอด เรามุ่งสู่ความยำเกรง ก็เพื่อจะได้เข้าสู่การเป็นชาวอัลกุรอานที่สมบูรณ์นั่นเอง ซุบฮานัลลอฮฺ! การเข้าถึงทางนำแห่งอัลกุรอานคือสุดยอดของการถือศีลอดนั่นเอง
จริงๆ ด้วยระยะเวลาที่เราะมะฎอนได้แวะมาทักทายจนถึงโค้งสุดท้ายนี่ ช่วงเวลานี้ควรจัดเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตได้ตีซิ้กับเราะมะฎอนถึงขึ้นสนิทแล้วไหมหนอ ? คือ ชีวิตเรา’ควร’ (ขีดเส้นใต้หนาๆ อังศนา 48) เป็นชีวิตที่ผูกพันกับอัลกุรอ่านพอควรแล้วกระมัง ผูกอย่างเดียวไม่พอ ต้อง ‘พัน’ ไว้อย่างหนาที่สุด เชือกชนิดดีที่สุดด้วย เพื่อความแนบแน่นที่ดีและเพื่อให้ตลอดชีวิตของเราได้รักอัลกุรอ่าน เหมือนที่เราะมะฎอนรักอัลกุรอ่านและอัลกุรอ่านก็รักเราะมะฎอน เพราะเมื่อเรารักอัลกุรอ่าน อัลกุรอ่านก็จะรักเรา และเราะมะฎอนก็จะรักเราด้วย จะดีแค่ไหนหนอชีวิตที่ถูกรักด้วยอัลกุรอ่าน-ธรรมนูญที่สวยสด งดงาม อุ่นใจ มีคำตอบและเส้นทางที่ชัดเจนแจ่มแจ๋วที่สุดอย่างที่ควรเป็นธรรมนุญของทุกชีวิต-ที่ไม่มีธรรมนูญหรือวิถีชีวิตที่ผิดแปลกใดๆมาแทรกแซงและสั่นคลอนได้แม้จะเดือนใดหรือช่วงไหนๆ ของชีวิต
ไปดูตัวอย่างของคนก่อนหน้ากับการใช้เวลาในเราะมะฎอนกันไหม ? (เผื่อหัวใจบางดวงถึงหลายๆดวงจะรู้สึกอิจฉาและบอกกับตัวเองว่า ถ้าอยู่อย่างที่เป็นอยู่คงไม่ได้แล้ว)
จากงานเขียนของชัยค์อัซซาม กล่าวว่าในยุคของบรรดาคนสลัฟนั้น พวกเขาจะคำนวณนับเวลาในเราะมะฎอนกันเป็นนาที มีรายงานถึงบางคนในหมู่ตาบิอีน และยุคหลังจากพวกเขาเกี่ยวกับการอ่านอัล-กุรอ่านและการละหมาด โดยบางคนในหมู่พวกเขาสามารถคอตัมอัล-กุรอ่านถึง 60 ครั้ง ภายในเดือนเราะมะฎอน อิมามชาฟีอีย์ คือคนหนึ่งที่ถูกรายงานอย่างเจาจะจงในเรื่องนี้ ท่านคอตัมกุรอ่าน 1 รอบในช่วงกลางวัน และอีก 1 รอบในช่วงกลางคืน บางคนในหมู่สลัฟก็ใช้เวลา 3 วัน ในการคอตัม 1 รอบ จนกระทั่งถึงช่วง 10 คืนสุดท้าย ซึ่งพวกเขาจะเอี๊ยะติก๊าฟในมัสญิด ก็ลดลงเหลือเพียง 1 วัน สำหรับการคอตัม 1 รอบ
นอกจากนี้เชคอัซซามได้กล่าวว่า ฉันเคยได้ยินอบุลฮะซัน อันนัดวียฺกล่าวว่า “ฉันเห็นบรรดาครูของฉัน พวกท่านแต่ละคนแทบจะไม่พูดจากันเลยในเดือนเราะมะฎอน ทว่าพวกท่านทุ่มเทเวลาไปกับการทำอิบาดะฮฺ ทั้งการอ่านอัล-กุรอ่านและการละหมาด ถ้าใครสักคนมาพูดกับพวกท่าน พวกท่านก็จะนับคำพูดที่พวกท่านพูด และคำนวณเวลาที่พวกท่านใช้ไปในการนั้นเป็นนาทีและวินาที
เมื่อเราะมะฎอนมาถึง อิมามมาลิกจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวท่านง่วนอยู่กับสิ่งอื่นใดมากไปกว่าอัลกุรอ่าน ท่านเคยยกเลิกการสอนและบรรยายวิชาต่างๆ ในช่วงเราะมะฎอน ด้วยเหตุว่านี่คือเดือนแห่งอัลกุรอ่าน
ซุบฮานัลลอฮฺ! ..
นี่แค่เป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยที่แอบหยิบยกมาให้สมกับการเป็น ‘ชะฮรุลกุรอ่าน’ น่ะนะ (ยังมีหลากหลายเรื่องราวของอัลมุสฏอฟาและบุคคลรอบๆตัวท่าน บุคคลยุคหลังจากท่านจากการถือศีลอดแบบอย่างที่การอดข้าวอดน้ำทำร้ายท้องและลำคอของพวกเขาไม่ได้เลย นอกจากเป็นฐานและพลังให้พวกเขาใช้ไปสู่ดื่มด่ำและใกล้ชิดเจ้าของชีวิตอย่างแท้จริงและความสุขจากการได้ตื่นขึ้นมาอิบาดะฮฺในยามค่ำคืนที่พาหัวใจสั่นไหวอีกเยอะมากมายรอให้เราได้ลองไปศึกษาและแหวกว่ายในบรรยากาศและอิบาดะฮ์อันหอมหวานนั้นอยู่)
ไม่ต้องฉงนใจแล้วใช่ไหม? หากเกิดคำถามในใจอีกคราว่า แล้วนี่หัวใจเราและเขาต่างชนิดกันหรือไร ?
หัวใจของเขาคงเป็นหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วย ‘ความยำเกรง’ ที่ถูกปลูก เติบโตและหยั่งรากแก้วลึกลงไปในหัวใจแน่ๆ
เราะมะฎอนที่แวะผ่านเข้ามาปีแล้วปีเล่า ก็อาจเป็นได้แค่ปุ๋ยชนิดดีที่สุดที่ส่งผลให้ ‘ความยำเกรง’ งอกเงยอย่างงดงามยิ่งขึ้นแก่หัวใจของผู้คนเหล่านี้เองกระมัง
ความหดหู่คืบคลานสู่ทุกอณูหัวใจอีกครั้งเมื่อหันกลับมามองตัวเองและถามตัวเองดังๆ ในใจเป็นครั้งที่ร้อยกว่าว่า แล้วหัวใจของเราล่ะ หัวใจของเราเป็นหัวใจชนิดไหนกันนะ แบบเดียวกับพวกเขาหรือมีอะไรคล้ายๆกับพวกเขาบ้างหรือป่าว ?
เราะมะฎอนล่วงมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว บางทีเมล็ดพันธุ์แห่งความยำเกรงยังโตได้ไม่ดีพออย่างที่ควรเป็น
หรือยังเป็นแค่ต้นกล้าเล็กๆ ที่พอจะสดชื่นขึ้นบ้างในวันที่ได้น้ำดีๆ อากาศแจ่มๆ กระนั้นแต่ก็ยังไม่แย่เท่าการที่เราทำเมล็ดพันธุ์นั้นหายไป อย่างนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าหล่นหายไปไหน ที่น่ากลัวสุดๆ คงไม่ถึงขึ้นดินไม่ดีปลูกยังไงก้คงไม่ขึ้นแน่ๆ..
ผ่านไปแล้วเรื่องราวของคนก่อนหน้ากับการแสวงหาและการอาศัยพลังจากเราะมะฎอนเพื่อทะยานไปสู่การใกล้ชิดกับผู้ที่เราควรรักและรักเราที่สุดในโลก ผ่านมาแล้วแบบอย่างและเรื่องราวของพวกเขา แต่เรื่องราวของเรา-มนุษย์ที่ยังคงต้องแสวงหาความโปรดปรานเพื่อเป็นกุญแจไปสู่ประตูความสุขที่ไม่เคยมีในโลกนี้-ความสุขที่ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยินและหัวใจไม่เคยหยั่งถึง จำเป็นต้องดำเนินต่อไปกระทั่งกำหนดที่ชัดเจนมาถึง
โอ้นักแสวงหาความโปรดปรานและรางวัลอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ขุมทรัพย์ใหญ่กำลังรออยู่ข้างหน้า ณ โค้งสุดท้ายของเราะมะฎอน รีบจัดการภารกิจดุนยาแล้วไปเสาะแสวงหากันเถอะ..
«لَيْلَةُ الْقَدْرِ خَيْرٌ مِنْ أَلْفِ شَهْرٍ»
"(การประกอบอิบาดะฮฺในค่ำคืน)ลัยละตุล ก็อดรฺดีกว่า(การประกอบ อิบาดะฮฺ)หนึ่งพันเดือน(ในค่ำคืนอื่นจากลัยละตุล ก็อดรฺ)"
(ซูเราะฮ์อัล-ก็อดรฺ:3)
ด้วยรัก ตักวา และเราะมะฎอน | ณ โค้งสุดท้ายของเราะมะฎอน 1433