ผู้เขียน หัวข้อ: อะชาอิเราะฮฺ นิยามและความเชื่อ ที่มา : www.islamweb.net  (อ่าน 3275 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ lungmaprau

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 13
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

ลุงได้ไปอ่านเจอในเวป www.islamweb.net เขาบอกว่า
โดยพวกเขา (นักคิดอัล-อะชาอิเราะฮฺ) ได้สร้างวาทกรรมที่โดดเด่นว่า “แนวทางของชาวสะลัฟ (กัลยาณชนรุ่นแรก) เป็นแนวทางที่ปลอดภัยกว่า และแนวทางของชาวเคาะลัฟ (ชนรุ่นหลัง) เป็นแนวทางที่รอบรู้และฉลาดกว่า” กล่าวคือแนวคิดของการตีความในหมู่ชนรุ่นหลังย่อมรู้ดีและฉลาดกว่าแนวคิดของชนชาวสะลัฟที่มอบหมายข้อเท็จจริง  ซึ่งวาทกรรมนี้ส่อให้เห็นเจตนาดูแคลนแนวทางของชาวสะลัฟในความรู้และความเข้าใจของพวกเขาต่อเรื่องคุณลักษณะของอัลลอฮฺ การดูถูกดูแคลนเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นนอกจากด้วยปากของผู้ที่ไม่รู้ฐานะและสถานภาพชาวสะลัฟในความรู้ความเข้าใจในศาสนาอย่างแท้จริง ....
ช่วยชี้แจงข้อกล่าวหานี้ด้วยครับ

ออฟไลน์ Andalus

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1131
  • เพศ: ชาย
  • บ่าวผู้ต่ำต้อย
  • Respect: +27
    • ดูรายละเอียด
"โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ทรงทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ ขอพระองค์ทรงให้หัวใจของฉันแน่นแฟ้นอยู่บนศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ด้วยเถิด "

ออฟไลน์ al-ciddix

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 93
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

 smile:อ่านแล้วมันจะเข้าใจไหมน่อ...ไอ้พวกวัฮบี้นี้

ออฟไลน์ Andalus

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1131
  • เพศ: ชาย
  • บ่าวผู้ต่ำต้อย
  • Respect: +27
    • ดูรายละเอียด
แกล้งไม่เข้าใจมากกว่าละมั่งคับบ
"โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ทรงทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ ขอพระองค์ทรงให้หัวใจของฉันแน่นแฟ้นอยู่บนศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ด้วยเถิด "

ออฟไลน์ lungmaprau

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 13
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณมากครับ ที่ช่วยกระจ่าง ไงก้อขอถามอีกสักข้อน่ะครับ
กับข้อกล่าวหาที่ว่า "ส่วนหนึ่งของหลักการเชื่อมั่นของอัล-อะชาอิเราะฮฺยุคหลัง ที่ยึดถือเป็นหลักการของสำนักคิดมีดังต่อไปนี้
1. เหตุผลทางปัญญาต้องมาก่อนหลักฐาน (จากอัลกุรอานและอัซ-ซุนนะฮฺ)
2. ปฏิเสธในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอานุภาพและความประสงค์ของอัลลอฮฺ คือปฏิเสธคุณลักษณะอิคติยาริยะฮฺ (สิทธิในการเลือกจะกระทำ) ซึ่งเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺยืนยันด้วยอาตมันพระองค์เอง เช่น คุณลักษณะอิสติวาอ์ (การอยู่สูงเหนือพ้นบัลลังก์) อัน-นุซูล (การเสด็จลงมายังฟากฟ้า)

ขอความกรุณาอีกนิดน่ะครับ

ออฟไลน์ abiatiya

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 316
  • Respect: +17
    • ดูรายละเอียด
    • Nurul Islam Patong
(\__/)
(='.'=) ไม่มีอะไรสายเกินกว่า 8 โมงเช้า...
(")_(")

ออฟไลน์ lungmaprau

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 13
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ไปเจอบทความหนึ่งของเวป www.islamweb.nethttp://www.islamweb.net/media/index.php?page=article&lang=A&id=65287 ) และคัดบางส่วนมาขอความกระจ่างจากท่านผู้รู้ทั้งหลายน่ะครับว่า อันใหนถูกอันใหนผิด

5. แนวคิดและหลักการเชื่อมั่นของอัล-อะชาอิเราะฮฺ
ส่วนหนึ่งของหลักการเชื่อมั่นของอัล-อะชาอิเราะฮฺยุคหลัง ที่ยึดถือเป็นหลักการของสำนักคิดมีดังต่อไปนี้
1. เหตุผลทางปัญญาต้องมาก่อนหลักฐาน (จากอัลกุรอานและอัซ-ซุนนะฮฺ) คือ เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างหลักฐานและเหตุผลทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกอันหนึ่งอันใดมาก่อน อัล-อะชาอิเราะฮฺได้นำกฎเกณฑ์คลุมเครือเหล่านี้มาเป็นหลักเกณฑ์ จึงต้องนำเหตุผลทางปัญญานำหน้าหลักฐาน และนำสิ่งเหล่านั้นมาตัวกำหนดแทนที่หลักฐาน ด้วยเหตุผลที่ว่า ปัญญานั้นเป็นสิ่งที่ไปใคร่ครวญหลักฐานว่าสมควรเชื่อหรือไม่ หากไปนำหลักฐานมาก่อนแสดงว่าเราไปทำลายการใคร่ครวญของสติปัญญา ซึ่งจะทำให้บทบัญญัติทั่วไปเป็นโมฆะหรือใช้ไม่ได้
2. ปฏิเสธในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอานุภาพและความประสงค์ของอัลลอฮฺ คือปฏิเสธคุณลักษณะอิคติยาริยะฮฺ (สิทธิในการเลือกจะกระทำ) ซึ่งเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺยืนยันด้วยอาตมันพระองค์เอง เช่น คุณลักษณะอิสติวาอ์ (การอยู่สูงเหนือพ้นบัลลังก์) อัน-นุซูล (การเสด็จลงมายังฟากฟ้า) อัล-มะญีอ์ (การเสด็จมายังทุ่งมะหฺชัรฺ) อัล-กะลาม (การพูด) อัร-ริฎอ (ความพอพระทัย) และอัล-เฆาะฎ็อบ (ความกริ้ว) พวกเขาปฏิเสธคุณลักษณะเหล่านี้ในฐานะเป็นคุณลักษณะของอัลลอฮฺ โดยอ้างว่าการพาดพิงคุณลักษณะดังกล่าวต่ออัลลอฮฺ เท่ากับเป็นการกล่าวว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนสถานะกับอัลลอฮฺ ซึ่งคุณลักษณะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นคุณลักษณะของสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง (ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่จะนำไปพาดพิงต่ออัลลอฮฺ)
3. ยอมรับในคุณลักษณะของอัลลอฮฺเพียงเจ็ดประการ ส่วนคุณลักษณะอื่นๆ ของอัลลอฮฺพวกเขาจะทำการตะอ์วีล (ตีความ) หรือตัฟวีฎ (มอบหมายในความหมายว่าอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรู้) คุณลักษณะที่พวกเขายอมรับคือ อัล-อิลมฺ (ความรอบรู้) อัล-กุดเราะฮฺ (อานุภาพ) อัล-อิรอดะฮฺ (ความประสงค์) อัส-สัมอฺ (การได้ยิน) อัล-บะศ็อรฺ (การมองเห็น) อัล-กะลาม อัน-นัฟสีย์ (คำพูดที่ดำรงอยู่ด้วยอาตมันของอัลลอฮ) ส่วนคุณลักษณะอื่นๆที่นอกเหนือจากนี้พวกเขาจะตีความ เช่น การตีความคุณลักษณะอัล-เฆาะฎ็อบ (ความกริ้ว) ด้วยความหมายว่า ความประสงค์ที่จะลงโทษ   อัร-ริฎอ (ความพอพระทัย) ด้วยความหมายว่า ความประสงค์ที่จะให้ผลตอบแทน   อิสติวาอ์ของอัลลอฮฺเหนืออะรัช (บัลลังก์) ด้วยความหมายว่า การมีอำนาจและการครอบครอง และยังมีการตีความคุณลักษณะของอัลลอฮฺอื่นๆ อีกมากมาย
4.จำกัดนิยามคำว่า “อัล-อีหม่าน” (การศรัทธา) ว่าหมายถึง การเชื่อมั่นด้วยจิตใจเท่านั้น ดังนั้น ตามทัศนะของพวกเขา เมื่อมนุษย์เกิดศรัทธาและเชื่อมั่นด้วยใจ ถึงแม้ว่ามิได้กล่าวคำปฏิญาณตนด้วยกะลิมะฮฺ ชะฮาดะฮฺตลอดชีวิต และมิได้ปฏิบัติกรรมดีด้วยอวัยวะก็ถือว่าเป็นมุอ์มินผู้ศรัทธาที่รอดพ้นจากการลงโทษในวันอาคิเราะฮฺ  อัล-อีย์ญีย์ ได้กล่าวถึงนิยามอัล-อีหม่านในหนังสืออัล-มะวากิฟว่า นิยามของอัล-อีหม่าน ด้านวิชาการ ตามทัศนะของสำนักคิดพวกเรา(อัล-อะชาอิเราะฮฺ) และเป็นทัศนะของปราชญ์ (อิหม่าม) ส่วนใหญ่ เช่น ท่านอัล-กอฎีย์และอัล-อุสตาซ นั่นก็คือ อัล-อีหม่าน หมายถึง
التصديق للرسول فيما علم مجيئه به ضرورة،  فتفصيلا فيما علم تفصيلا، وإجمالا فيما علم إجمالا
“การศรัทธาต่อเราะสูลในสิ่งที่ท่านนำมาบอกเล่าในเรื่องที่จำเป็นพื้นฐาน ศรัทธาในรายละเอียดที่สามารถรู้ถึงรายละเอียด และศรัทธาแบบโดยรวมในคำสอนที่รู้แบบรวมๆ” (อัล-มะวากิฟ หน้า 384)
 

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

แก้ต่างการใส่ใคล้ที่มีต่ออัลอะชาอิเราะฮ์
http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php/topic,754.0.html

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

ลำดับหลักฐานของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ในการรับรองเรื่องอะกีดะฮ์
http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php/topic,2169.0.html

และสติปัญญาที่อัลอะชาอิเราะฮ์นำมาเป็นหลักการพิจารณาสนับสนุนตัวบทนั้น  คือสติปัญญาที่ใคร่ครวญว่า   อัลเลาะฮ์มิทรงคล้ายเหมือนกับสิ่งใด  ซึ่งหลักการใคร่ครวญของสติปัญญาเช่นนี้  อยู่บนพื้นฐานของอัลกุรอานที่ชัดเจนและเด็ดขาดที่ว่า

لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ البَصِيرُ

"ไม่มีสิ่งใดมาคล้ายเหมือนกับพระองค์  และพระองค์ทรงได้ยินยิ่งและทรงเห็นยิ่ง" อัชชูรอ 11

ออฟไลน์ muqorrabeen

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
จำกัดนิยามคำว่า “อัล-อีหม่าน” (การศรัทธา) ว่าหมายถึง การเชื่อมั่นด้วยจิตใจเท่านั้น ดังนั้น ตามทัศนะของพวกเขา เมื่อมนุษย์เกิดศรัทธาและเชื่อมั่นด้วยใจ ถึงแม้ว่ามิได้กล่าวคำปฏิญาณตนด้วยกะลิมะฮฺ ชะฮาดะฮฺตลอดชีวิต และมิได้ปฏิบัติกรรมดีด้วยอวัยวะก็ถือว่าเป็นมุอ์มินผู้ศรัทธาที่รอดพ้นจากการลงโทษในวันอาคิเราะฮฺ  อัล-อีย์ญีย์ ได้กล่าวถึงนิยามอัล-อีหม่านในหนังสืออัล-มะวากิฟว่า นิยามของอัล-อีหม่าน ด้านวิชาการ ตามทัศนะของสำนักคิดพวกเรา(อัล-อะชาอิเราะฮฺ) และเป็นทัศนะของปราชญ์ (อิหม่าม) ส่วนใหญ่ เช่น ท่านอัล-กอฎีย์และอัล-อุสตาซ นั่นก็คือ อัล-อีหม่าน หมายถึง
التصديق للرسول فيما علم مجيئه به ضرورة،  فتفصيلا فيما علم تفصيلا، وإجمالا فيما علم إجمالا
“การศรัทธาต่อเราะสูลในสิ่งที่ท่านนำมาบอกเล่าในเรื่องที่จำเป็นพื้นฐาน ศรัทธาในรายละเอียดที่สามารถรู้ถึงรายละเอียด และศรัทธาแบบโดยรวมในคำสอนที่รู้แบบรวมๆ” (อัล-มะวากิฟ หน้า 384)

อะชาอิเราะฮ์นั้นมีอะกีดะฮ์เหมือนนบี(ซ.ล.)แต่วะฮ์ฮาบีจะไม่ยอมเข้าใจก็ตาม

ท่านร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า

 فَيُخْرِجُ مِنْهَا قَوْمًا لَمْ يَعْمَلُوا خَيْرًا قَطُّ
"แล้วอัลลอฮ์ทรงนำชนกลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยทำความดีงามเลยออกจากนรก" รายงานโดยมุสลิม

หะดีษนี้บ่งชี้ชัดเจนโดยไม่ต้องตะวีลตีความว่า  ชนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นชนที่มีอีหม่านระดับต่ำสุด ไม่เคยปฏิบัติความดีเลย  แต่ท้ายสุดหลังจากถูกลงโทษในนรก  พระองค์ก็จะนำพวกเขาออกมาจากนรก

ท่านร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า

مَنْ مَاتَ وَهُوَ يَعْلَمُ أَنَّهُ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ دَخَلَ الْجَنَّةَ
"ผู้ใดที่ตายโดยเขารู้(อย่างมั่นใจ)ว่าแท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  เขาย่อมได้เข้าสวรรค์" รายงานโดยมุสลิม

ท่านร่อซูลุลลอฮ์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า

مَنْ عَلِمَ أَنَّ اللَّهَ رَبُّهُ ، وَأَنِّي نَبِيُّهُ مُوقِنًا مِنْ قَلْبِهِ ، وَأَوْمَأَ بِيَدِهِ إِلَى جِلْدِهِ حَرَّمَهُ اللَّهُ عَلَى النَّارِ أَوْ حَرَّمَ اللَّهُ جِلْدَهُ عَلَى النَّارِ
"ผู้ใดที่รู้ว่า แท้จริงอัลลอฮ์คือพระเจ้าของ่เขา  และแท้จริงฉันคือนบีของเขา ในสภาพที่มั่นใจจากหัวใจของเขา และท่านนบีก็ทำสัญญาณมือไปที่ผิวหนังของท่าน  และกล่าวว่า อัลลอฮ์จะห้ามผิวหนังสือของเขาจากไฟนรก" รายงานโดยอิบนุคุซัยมะฮ์

จากตัวบทหะดีษมีความชัดเจน โดยไม่ต้องตีความตะวีล  นั่นคืออะกีดะฮ์ของอะชาอิเราะฮ์ที่เป็นอะกีดะฮ์ของนบีแม้วะฮ์ฮาบีจะไม่พอใจก็ตาม

ส่วนรายละเอียดที่เหลือ ให้ผู้่รู้เว็บไซต์นี้ชี้แจงเชิงรายละเอียดแล้วกันครับ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 16, 2012, 09:08 AM โดย muqorrabeen »

ออฟไลน์ charif

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 12
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 :salam:
 
ไปเจอเวปวะฮาบีย์ซึ่งเป็นเวปหรือกระบอกเสียงของ ทีมงาน ทีวีมุสลิม ช่องบรรจงฯ
ซึ่งเป็นทีมงานคนหน้าเดิม เช่น อ.อามีน อ.ชารีฟ อ.อะลีคานฯลฯ ซึ่งขณะนี้ ก็ขะมักขะเม้น ในเรื่องของการแก้ไขข้อผืดพลาดและแก้ต่าง จากการที่พลาดท่าในเรื่องอะกีดะ ผลจากการดีเบส ระหว่าง อาชาอีเราะ  กับวะฮาบีย์ใครคืออะลุ้ลซุนนะวัลญามาอะฮ์ ระหว่าง อ.ฮารีฟีน กับอ.อาลีคาน...
จากกวันนั้นจนถึงวันนี้ พวกเขาเสียหน้าอย่างรุนแรงเพราะไม่สามารถลบล้างหรือเอาชนะการดีเบสในวันนั้นได้ กลับถูกตำหนิจากผู้คนมากมายจากหลายๆกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและเห็นด้วย และส่วนมากคือ การได้รู้ธาตุที่แท้จริงของวะฮาบีย์สายสุดโต่ง....โดยเฉพาะ..ทีมงานจากทีวีมุสลิม ช่องอ.บรรจง

วะฮาบีย์กลุ่มนี้ทะเลาะไม่เลิกแม้กระทั้งวิจารณ์ คำพูดของ อ.ริดอ ที่ออกมาปกป้องกลุ่มอิควานฯและยังแขวะ อะกีดะแบบอาชาอิเราะอย่างไม่เกรงกลัวบาปรวมทั้งอุลามะที่ชื่อ อิบนุฮาญัรฯ ลองเข้าไปดูครับ
     

                      http://www.antirafidah.com/

อ่านดูบทความวิจารณ์นี้ดูครับพี่น้อง

“ความรู้เพียงจุดเดียว คนโง่ทำให้มีหลายจุด”

อ.อาลีคานได้ยกคำพูดของอ.ริฎอ สะมะดี ได้เขียนตอนหนึ่งไว้ว่า
 
    “บุคคลที่ทำงานศาสนา แม้นว่างานศาสนาของเขาเพียงเป็นการรวบรวม เรียบเรียง หรือแปลบทความ และนำเสนอแก่ปวงชนที่มีทั้งผู้ศรัทธาและผู้ปฏิเสธศรัทธา จำต้องมีความรู้สามประการคือ
 
1. ความรู้เกี่ยวกับตัวบทที่แนะนำคนทำงานศาสนาให้เข้าใจสิ่งที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม สิ่งที่ควรและไม่ควร เช่น อุดอูอิลาสะบีลิร็อบบิกะ บิลฮิกมะติ วัลเมาอิเซาะติลหะซะนะฮฺ
 
ادْعُ إِلَىٰ سَبِيلِ رَبِّكَ بِالْحِكْمَةِ وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ
 
"จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี" (อันนะหลฺ 125)
 
2. ความรู้เกี่ยวกับอุดมการณ์แห่งการทำงานศาสนาและวัตถุประสงค์ของคนที่ลงสนามแห่งดะอฺวะฮฺ เช่น กุลฮาซิฮีสะบีลี อัดอูอิลัลลอฮิ อะลาบะศีเราะติน
 
قُلْ هَـٰذِهِ سَبِيلِي أَدْعُو إِلَى اللَّـهِ ۚ عَلَىٰ بَصِيرَةٍ
 
"จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “นี่คือแนวทางของฉัน ฉันเรียกร้องไปสู่อัลลอฮ์อย่างประจักษ์แจ้ง" (ยูซุฟ 108)
 
3. ความรู้เกี่ยวกับมารยาทคนทำงานศาสนา เช่น วะตะวาเศาบิลฮักกิ วะตะวาเศาบิศศ็อบรฺ และ วะอัมรุฮุมชูรอบัยนะฮุม
 
وَتَوَاصَوْا بِالْحَقِّ وَتَوَاصَوْا بِالصَّبْرِ
 
"และตักเตือนกันและกันในสิ่งที่เป็นสัจธรรม และตักเตือนกันและกันให้มีความอดทน" (อัลอัศรฺ 3)
 
وَأَمْرُهُمْ شُورَىٰ بَيْنَهُمْ
 
" และกิจการของพวกเขามีการปรึกษาหารือระหว่างพวกเขา" (อัชชูรอ 38)
 
ความรู้สามประการนี้เป็นความรู้พื้นฐานที่คนทำงานศาสนาทุกคนจะต้องมีระดับหนึ่ง หากขาดความรู้เหล่านี้ คนที่ทำงานศาสนาจะเกิดความคลาดเคลื่อนและผิดพลาดบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานศาสนาโดยไม่มีแกนนำที่เป็นผู้รู้ อันสอดคล้องกับสิ่งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เตือนไว้ว่า ในยุคหลังผู้คนจะยึดคนญาเฮเป็นหัวหน้า คนญาเฮนั้นจะให้ข้อชี้แนะอันจะทำให้หัวหน้าหลงผิดและผู้ตามก็หลงผิดไปด้วย”
 
มวลมุสลิมพี่น้องที่เคารพทุกๆท่าน

 
 
วิจารณ์จากอ.อาลีคาน[/b]
ท่านอิมามมาลิก ได้กล่าวไว้ว่า
لن يصلح آخر هذه الأمة إلا بما صلح به أولها
 
ประชาชาติสุดท้ายนี้จะยังไม่เกิดคุณความดีจนกว่าพวกเขาจะเห็นดีเห็นงานต่อประชาชาติรุ่นก่อนหน้านี้เท่านั้น
 
 
 บุคคลที่ต้องการจะเข้ามาทำงานให้ศาสนาของอัลลอฮฺจำเป็นต้องมีหลัก التزكية (การอบรมบ่มใจ) ให้รอดพ้นจากมลทินชิริกฺ เป็นอันดับแรกเริ่มเสียก่อน การที่ริฎออ้างว่าจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับตัวบท ข้าพเจ้ามองเห็นว่าข้ออ้างข้างต้นยังคงมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของอัลกุรอาน สิ่งที่นบีนำมาจากอัลลอฮฺ ตลอดจนบรรดานบีทั้งหมดบนโลกนี้ที่พวกท่านต่างก็เริ่มทำงานเผยแผ่ศาสนาของพระองค์ให้กับมวลชนศอฮาบะฮฺ นั่นหมายความว่า التزكية อัตตัซกียะฮฺ การอบรบบ่มซักฟอกขัดเกลา ต้องมาก่อนความรู้ ตามที่พระองค์ทรงตรัสว่า
لَقَدْ مَنَّ اللَّـهُ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ إِذْ بَعَثَ فِيهِمْ رَسُولًا مِنْ أَنْفُسِهِمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِنْ كَانُوا مِنْ قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُبِينٍ
 
“แน่นอนยิ่ง อัลลอฮฺนั้นทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งร่อซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขาโดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะทำให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง”[อาลอิมรอน 3:164]
 
ผลลัพธ์ที่เราได้รับจาก وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ จากโองการดังกล่าวจะเห็นได้ว่า พระองค์อัลลอฮฺได้นำคำว่า التزكية (การขัดเกลาซักฟอก) มานำหน้าคำว่า العلم (ความรู้วิชาการ) เพราะความรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขาจะต้องซักฟอกหัวใจก่อนเป็นอันดับแรกก่อนจากนั้นความรู้ และภูมิปัญญาจึงจะเกิดขึ้นในลำดับต่อมา คนเราเมื่อขาด التزكية (การซักฟอก) ความรู้ที่เขามีอยู่หรือวิชาการที่เขารักษาท่องจำมันไว้ มันก็จะกลับกลายเป็น الشهوة (อารมณ์ชั่วร้าย) อัชชะฮฺวะฮฺ และ الشبهة ข้อคลุมเครือเคลือบแคลบสงสัยขึ้นมาทันทีภายหลัง จึงสรุปตรงนี้ได้ว่า أسوأ أنواع الضلالة “เลวที่สุดของขบวนการลุ่มหลงจมปลัก” ก็คือการนำ الشبهات ข้อคลุมเครือ อัชชุบฮาต มาคละเคล้ากับ الشهوات (อารมณ์ความต้องการ) อัชชะฮะวาต นั่นเอง เพราะขาดการขัดเกลาที่ยังผล
 
 ฉะนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครคือผู้ทรงความรู้ที่ผ่านการซักฟอกจิตใจมาแล้วเพราะธรรมชาติเดิมของมนุษย์ทุกคนอยู่บน ضلا لة การลุ่มหลงออกจากทางนำจากสาเหตุของความอวิชชา และนี่คือข้อที่แตกต่างทางอะกีดะฮฺ(หลักเชื่อมั่น) ระหว่างกลุ่มสะลัฟมวลชนยุคแรกกับพวกอัชอะรียะฮฺ อัลกุลลาบียะฮฺ (อัลญะฮฺมียะฮฺ)
 
พระองค์อัลลอฮฺตรัสว่า
 

وَإِنْ كَانُوا مِنْ قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُبِينٍ
 
และแม้ว่าแต่ก่อนนี้พวกเขาอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้งก็ตาม [อัลญุมุอะฮฺ 62:2]
 
คนใดที่ไม่ تزكية (ซักฟอกตนเอง) ก็จะเกิดการ الظلم (อธรรม) อัซซุลมฺ กับตนเอง จนเป็นเหตุให้เกิด الجهل (ความโฉดเขลา) อัลญะฮฺลุ ซึ่งนำไปสู่ อัชชุบุฮาต ข้อคลุมเครือเคลือบแคลงสงสัย จนกลายเป็น ชะฮฺวะฮฺ (อารมณ์ใฝ่ต่ำ) ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการที่เขาไม่ทำการ التزكية อัตตัซกียะฮฺ (ซักฟอกขัดเกลาตนเอง) ดังเช่นเหล่าผู้รู้นักวิชาการที่อยู่บนการ ضلالة ลุ่มหลงออกจากทางนำ ในสังคมของเราที่เจอเช่นนี้ส่วนมากก็เป็นผู้รู้กันทั้งนั้น เพราะสักแต่รู้แบบมีภูมิปัญญาทว่าเอาตัวไม่รอดจากภาวะที่ขาดการ التزكية (ไม่ซักฟอกจิตใจ) นั่นเอง เพราะ حكمة วิทยปัญญา และ بصيرة การประจักษ์แจ้ง และ الموعظة (การตักเตือนที่ดี) มันถูกกลั่นกลองออกมาจาก التزكية (การซักฟอกขัดเกลาอบรมบ่มนิสัย) ทั้งหมด

ริฎอกล่าวว่า: “โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานศาสนาโดยไม่มีแกนนำที่เป็นผู้รู้ อันสอดคล้องกับสิ่งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เตือนไว้ว่า ในยุคหลังผู้คนจะยึดคนญาเฮเป็นหัวหน้า คนญาเฮนั้นจะให้ข้อชี้แนะอันจะทำให้หัวหน้าหลงผิดและผู้ตามก็หลงผิดไปด้วย
 
อ.อาลีคาน
ตอบ: กลุ่มที่ริฎอหมายถึง ผมคิดว่าพวกเขากำลังถูกยัดเยียดให้ร้ายอย่าง مظلوم (ถูกอธรรม) มากกว่า เพราะอะไร? ก็ผมเห็นกลุ่มเหล่านี้พวกเขาโทรปรึกษาอาจารย์ปราโมทย์ ศรีอุทัย อาเหล่มผู้ทรงคุณวุฒิจากจังหวัดภาคใต้ และผู้รู้หลายๆท่าน นอกจากนี้พวกเขาก็โทรมาปรึกษาหารือกับผมอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอในทางวิชาการ ยิ่งไปกว่านั้นจากประสบการณ์ที่พบเจอผมเห็นพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความรักอันมีต่อแนวทางการดะอฺวะฮฺของอิหม่าม (ชัยคุ้ล    อะกีดะฮฺ) มุฮำมัด บินอับดุลวะฮาบ อัตตะมีมียฺ อิหม่ามผู้ที่มาเขย่าขวัญพวกบิดอะฮฺ พวก        ซินดีก(นอกศาสนา) เช่น อัลญะฮฺมียะฮฺ อัลมั๊วะตาซีละฮฺ อัลอัชอะรียะฮฺ อัลก็อดรียะฮฺ ฯลฯ จากกลุ่มที่ถูกจัดให้อยู่ใน 73 พวกที่นบีได้ตราหน้าเอาไว้ในอัลหะดิษ อัศศ่อเหี๊ยะ
 
จากที่ผมได้มีโอกาสคลุกคลีสนทนากับพวกเขา สิ่งที่เราพบก็คือพวกเขามีแต่การเอ่ยถึงแต่อิหม่ามอะหมัด อิมามอิบนุตัยมียะฮฺ อิมามอิบนุก็อยยิม อิหม่ามอะบูอุษมาน อัดดารีมียฺ    อิบนุคุซัยมะฮฺ อิหม่ามอัลลาละกาอียฺ อิมามอิบนุมันดะฮฺ อิมามอัลอาญุรรียฺ อิมามอับนุบัตเฎาะฮฺ ตลอดการพูดคุยทางวิชาการของพวกเขาซึ่งพอที่จะสะท้อนให้เห็นถึงระดับของความรู้ที่มีประสิทธิภาพและความฝักใฝ่แนวทางสะลัฟที่มีอยู่ในตัวพวกเขา
 
อันนี้ยังไม่เป็นการบ่งชี้ให้ริฎอได้รู้ได้ทราบดอกหรือว่า เยาวชนกลุ่มนี้ใฝ่หาต่อแนวทางสะลัฟอันทรงธรรมเพราะโดยปกติมันมีแต่พวกซินดี๊ก (นอกศาสนาทั้งหลาย) เท่านั้นแหละที่ไม่ชื่นชอบนักวิชาการที่ผมเอ่ยนามไปข้างต้น พวกนอกศาสนาที่ไหนเล่าจะชื่นชอบผู้รู้เหล่านี้?
 
การที่ริฎออ้างว่า “ในขณะนี้ มีกลุ่มหนึ่งกำลังแปลบทความบ้าง เขียนบทความบ้าง ประพันธ์หนังสือบ้าง แต่ผลงานของเขาส่วนมาก เป็นผลงานที่ก่อให้เกิดฟิตนะฮฺ(ความวุ่นวาย)”

 ในความเป็นจริงผมเห็นว่าความพยายามของพวกเขาที่แปลบทความ เขียนหนังสือ ออกทีวี นั้นล้วนแล้วแต่เป็นผลงานอันน่าชมเชย และจำต้องสนับสนุนเยาวชนรุ่นใหม่ที่ต่อสู้และปกป้องสถาบันอันสูงของอัลลอฮฺ ของท่านนบี ของมวลชนศ่อฮาบะฮฺ อัสสะลัฟ ทั้งนี้ก็เพราะผลงานของพวกเขาสามารถทำให้เกิดการแบ่งแยกให้กับสังคมได้รับรู้ว่า ใครคือกลุ่มที่ติดตามสะลัฟพันธ์แท้ ใครคือผู้แอบอ้าง และผมขอยืนยันตรงนี้เลยว่า พวกเราผู้รู้นักเผยแผ่ทั้งหมดทั้งหลายล้วนมีแต่ความบกพร่องกันเป็นส่วนมาก เอาเวลาไปทิ้งขว้างกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง คนบางคนทั้งที่รู้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ใน منهج أهل السنة والجماعة (วิถีการทำงานแบบอะฮฺลุสซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ) แต่ก็ตะแบ็งอยากจะเป็นอะฮฺลุสซุนนะฮฺให้ได้ บ้างก็จัดทำนิตยสารสร้างโรงเรียน สร้างเครือข่ายอิงแอบอัลอิควานไปทั่วประเทศไทย รวบรวมนักวิชาการที่จบนอกให้อยู่ในคอนโทรลของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นบางคนในหมู่พวกนี้ก็จมปลักดักดานอยู่กับการทะเลาะเบาะแว้งกับพวกก็อดยานียฺ (ปลอมจริงแท้หรือไม่ผมก็ไม่รู้) ใช้เวลาฟัดกันยาวถึง 20-30 ปี จนสังคมที่ กรุงเทพฯเกิดความแตกแยก
 
(ดูคลิป ความแตกแยกที่ริฎอสร้างขึ้นกับมือ http://www.youtube.com/watch?v=AzcuLg25r9s )

อ.อาลีคานตอบ
 
ผมว่าริฎอน่าจะมองออกด้วยตนเองว่า ความวุ่นวายที่มันเกิดขึ้นตั้งแต่อดีตกาล ตลอดจนฟิตนะฮฺ(หายนะ) ที่มันเกิดขึ้น ส่วนมากมันมาจากผู้ที่รู้ ผู้ที่มีหลักแหล่งของความรู้ด้านศาสนา มีสถาบันกันทั้งสิ้นมิใช่หรือ? แม้กระทั่งตัวของท่านเอง (ริฎอ) ก็ถูกพ่วงไปด้วยกับ      ฟิตนะฮฺบ้าบอระหว่างคนแก่สองคนทะเลาะกันแรมศตวรรษที่สังคมก็รับรู้กันดีอยู่แล้ว ซึ่งทั้งสองรายเมื่อหันไปมองดูลึกๆก็เป็นบุคคลที่มีรากเหง้าเลอะเทอะกันทั้งคู่ คนหนึ่งอยู่บนอะกีดะฮฺ     อัลก็อดดะรียะฮฺ อัลอัชอะรียะฮฺ อัลกุลลาบียะฮฺ (ยุคใหม่สายพันธ์เดิม) หรือที่เรียกกัน       อัลอิควานุ้ลมุสลิมีน (กลุ่มภราดรภาพมุสลิมีน) ด้วยการแว๊บเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มอิควาน อีกคนหนึ่งก็คือแขกดำเชื้อสายอินเดีย (มีเมียคนเชียงใหม่) ไปได้งบมาจากไหนไม่มีใครทราบ (อัลลอฮฺรู้) ไปเอากุรอานของพวกก็อดยานีสาขาละฮอร์ ปากีสตาน มาอ่าน มาแปล เลยกลายเป็นปัญหาวุ่นวายไปทั่วหล้า ทั้งยังสร้างกลุ่มเครือข่ายอยู่ที่จังหวัดลำพูน เบื้องหน้าก็เผยแพร่แบบฉบับซุนนะฮฺ ตั้งชื่อมัสยิดว่ามัสยิดบาบุซซุนนะฮฺ แต่หลังจากผมกลับมาจาก       มะดีนะฮฺและใช้เวลาต่อสู้กับพวกเหล่านี้นานเป็น 10 กว่าปี ผมก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร? ถามว่าฟิตนะฮฺ(หายนะ) ที่มันเกิดขึ้น ริฎอรู้เรื่องลึกๆบ้างไหม? เพราะอย่างน้อยผมอยู่เชียงใหม่รู้เห็นความหายนะในสังคมซึ่งขณะนั้นริฎออยู่ตรงไหนของดุนยานี้? ถ้าริฎอต้องการข้อมูลที่แม้กระทั่งคนกรุงเทพไม่สามารถที่จะให้คุณได้ โทรหาผม อาลีคาน ปาทาน ได้ทุกเมื่อ มันมีอะไรอีกเยอะ ฟิตนะฮฺ หายนะฮฺ อีกแยะ ที่คุณริฎอยังไม่รู้ รวมทั้งคนกรุงเทพ และคนไทยมุสลิม ทั้งประเทศยังไม่รู้จากปัญหาของคนแก่ที่ริฎอหวงแหนปกป้องมาตลอด อันนี้สิที่ริฎอควรจะสำเนียกว่ามันคือฟิตนะฮฺ หายนะตัวจริงที่ริฎอควรจะละอายแก่ใจบ้างที่จะต้องออกมาชี้หน้าคนว่าผู้อื่นสร้างความแตกแยกทั้งที่ตนเองต่างหากที่จมอยู่กับความแตกแยกชั่วนาตาปีกับปัญหาก็อดยานียฺบ้าๆบอๆ และต้องขอยอมรับว่าพวกเราต่างหากที่เรียนจบกันมา ได้ปริญญามาเยียวยาใส้ ทว่าผู้รู้กลับไม่มีใครสักคนคิดหึงหวงสถาบันชนชาวสะลัฟ ปล่อยให้พวกแขกบิดอะฮฺนอกศาสนา(ซินดีก) เช่น กลุ่มอัลกุลลาบียะฮฺ รวมทั้งกลุ่มอิควาน อัลมุสลิมีน (พวกอัลก็อดดะรียะฮฺในอดีตสันดานเดิม) นำเอาอะกีดะฮฺเพี้ยนๆ แผงๆ ของสำนักปรัชญากรีก มามอมเมาสังคมโลก ซึ่งทั้งหมดสร้างภาพให้ชาวโลกดูว่าตนเองคือชนชาวอะฮฺลุสซุนนะฮฺ ผมว่านี่แหละมันคือฟิตนะฮฺ หายนะที่บ่อนทำลายแนวเชื่อมั่นของปวงชนชาวสะลัฟตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

ริฎอกล่าวว่า “ข้อมูลที่กลุ่มนี้นำเสนอคือข้อมูลที่โจมตีใส่ร้ายดูหมิ่นนักวิชาการ และนักเคลื่อนไหวระดับโลก”

อ.อาลีคานตอบ

ผมว่านักวิชาการที่ริฎอหมายถึงนั้น เป็นนักวิชาการที่เป็นโรค และโรคร้ายมากกว่า ซึ่งโรคดังกล่าวซึ่งแม้นกระทั่งนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิในอดีต เช่น อิบนุหะญัร อัลอัซเกาะลานียฺ เองก็ยังพลาดไปรับเอาหลักเชื่อมั่นแบบบ้าๆบอๆของพวกอัลอัชอะรียะฮฺเอามานำเสนอไว้ในหนังสือฟัตหุ้ลบารียฺ ญุซที่ 13 เล่มสุดท้ายของฟัตหุ้ลบารียฺ ชื่อบท กิตาบุตเตาฮีด ซึ่งจริงๆตรงนี้ยังไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นหลักก็คือ ริฎอเองเจ็บและแสบทรวง เพราะกลุ่มเยาวชนเหล่านี้ที่ริฎอโจมตีกล่าวหายัดเยียดความอธรรมให้กับพวกเขา กลับเป็นกลุ่มเยาวชนที่คอยนำเอาวีดีโอ บท       ความ อะกีดะฮฺเพี้ยนๆที่เป็นโรคร้ายต่ออิสลาม ของท่านเชคยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวียฺ อุลามาอฺพลัดถิ่นชาวอียิปต์ ซึ่งเป็นมุฟตี (ผู้ชี้ขาดปัญหา) ของประเทศการ์ตาร์คนปัจจุบัน มาเผยแผ่ทางทีวี เว็บไซต์ เพื่อสอนประชาชนให้รู้ถูกผิดชอบชั่วดี ซึ่งตามความจริงแล้วริฎอไม่พอใจตรงนี้เพราะอะไรเล่า? เราอยากบอกริฎอว่าท่านอย่าเพิ่งเสียเวลาไปพูดถึงเชคร่อเบี๊ยะอฺ บินฮาดี อัลมัดคอลียฺก่อนเลยเพราะเรื่องของเชคร่อเบี๊ยะอฺ (หะฟิซอฮุ้ลลอฮฺขอให้อัลลอฮฺปกปักพิทักษ์รักษาท่านด้วย) นั้นมันเป็นเรื่องของพวกเรามิใช่ของริฎอที่ไม่เคยรู้จักตัวตนจริงๆของเชครอเบี๊ยะอฺเลย แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าทำไมนายริฎอจึงกระโดดโลดเต้น เจ็บแค้นแร้นใจต่อกลุ่มเยาวชนของเราที่ทำหน้าที่โจมตีสำนักของท่านเชคยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวียฺต่างหาก เพราะอะไร?
 
ก่อนที่ริฎอจะออกมาปกป้องอุละมาอฺพลัดถิ่นผู้นี้ ตัวริฎอและสังคมก็ดีควรจะตั้งคำถามว่าอะไรคือสาเหตุให้เด็กเยาวชนกลุ่มนี้ต้องออกมาแฉอุลามาอ์พลัดถิ่นผู้นี้ คำตอบก็เพราะว่า   อุลามาอฺพลัดถิ่นชาวอียิปต์ที่รับอาสาไปช่วยเป็นมุฟตีผู้ชี้ขาดปัญหา ตอบคำถาม ให้กับประเทศการ์ตาร์ ตัวตนจริงๆของเขาก็คือการคอยแต่ปกป้องสถาบันทางศาสนาชั่วๆของพวกอัลอัชอะรียะฮฺ อัลกุลลาบียะฮฺมาตลอดชีวิต รวมทั้งกลุ่มอัลอิควาน อัลมุสลิมีน ทั่วโลกทั้งที่ตัวของท่านเชคยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวียฺเองก็รู้ถึงความหลงผิดในเรื่องที่ตนเองปกป้องอยู่ทั้งสิ้น
ก่อนอื่นกระผมขอเท้าความ เกร็ดประวัติที่มาของอัลเกาะเราะฎอวียฺผู้นี้เสียก่อน เชคยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวียฺมุฟตี (ผู้ชี้ขาดปัญหาศาสนา) ส้มหล่นคนนี้มีความเกี่ยวพันกับอธิปไตยของประเทศซาอุดิอารเบีย กล่าวคือเดิมทีแล้วราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย เมืองหลวงอิสลามเมืองแรกของโลก นั่นก็คือมักกะฮฺ กับมะดีนะฮฺ มีอาณาบริเวณพื้นที่ตารางกินไกลไปครอบคลุมถึงประเทศที่เป็นตะวันออกกลางทั้งหมด ต่อมาเมื่อมีประเทศล่าอาณานิคมมาแบ่งปัน จัดสรรปันส่วนพรมแดนขึ้น การแบ่งพรมแดนก็นำไปสู่ปัญหาพรมแดนระหว่าง            ซาอุดิกับประเทศกาตาร์ จนต้องมีการเจรจากันระหว่างสองประเทศ โดยสรุปว่าปัญหานี้ยังไงก็หาจุดจบไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นปัญหาเก่าแก่ตั้งแต่ยุคสมัยของกษัตริย์ กาตาร์(ผู้เป็นพ่อ) ต่อมาเมื่อถึงยุคของพระมหากษัตริย์ มุฮัมมัด อิลิษานียฺ ผู้เป็นลูกก็คิดสรรหาวิธีใหม่ที่สุภาษิตเรียกว่า “ไม้กันหมา” ท้ายสุดก็คิดแผนได้จึงชิงเอาตัวเชคยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวียฺ ชาวอียิปต์ช่วยมาดำรงตำแหน่ง ผู้ชี้ขาดปัญหาศาสนา ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า คือตำแหน่งพระสังฆราชของกาตาร์ก็ว่าได้
 
เพราะอะไรรัฐบาลกาตาร์จึงทำเช่นนั้น? คำตอบก็คือ เพราะรู้ว่ากลุ่มอาหรับตะวันออกกลาง ยกเว้นโอเมน อาจจะรวมบาห์เรนอยู่บ้าง ไม่ชอบและต่อต้านเชคยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวียฺในฐานะที่เขามักทำตัวสวนทางกับแนวทางของอะฮฺลุสซุนนะฮฺ ปวงชนชาวสะลัฟเสมอนั่นเอง จุดนี้ไงผมถึงเรียกเชคยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวียฺ ว่าอุลามาอฺพลัดถิ่น (ชาวอียิปต์) ถามว่าประชาชนชาวการ์ตาร์ ยอมรับตำแหน่งของอัลเกาะเราะฎอวียฺบ้างไหม? พวกเราลองถามริฎอซิ ถามว่ากลุ่มอะฮฺลุสซุนนะฮฺในตะวันออกกลางยอมรับตำแหน่งของอัลเกาะเราะฎอวียฺไหม ถามริฎอซิ และถามอีกว่าทำไมพวกอะฮฺลุสซุนนะฮฺที่ติดตามแนวทางของปวงชนชาวสลัฟจึงไม่ยอมรับ อัลเกาะเราะฎอวียฺ ดังเช่นกลุ่มเยาวชนที่ริฎอตำหนิอยู่ ก็เพราะว่าอัลเกาะเราะฎอวียฺที่ริฎอปกป้องหวงหึงจริงๆแล้วเป็นคนที่มีอะกีดะฮฺฎอลาละฮฺ หลงทางนอกศาสนาอิสลาม นั่นคืออะกีดะฮฺของพวกอัลก็อดดะรียะฮฺ อัลอัชอะรียะฮฺ อัลกุลลาบียะฮฺ ซึ่งมีต้นขั้วมาจากพวกอัลญะฮฺมียะฮฺ และพวกมัลมั๊วะตาซิละฮฺ บรรดาน้องๆพี่ๆที่กำลังอ่านบทความที่ผมเตือนริฎอ อยากจะรู้ว่าแต่ละกลุ่มที่ไม่ใช่แนวทางของอัลลอฮฺ ของนบี ของศ่อฮาบะฮฺ ถามริฎอดูซิว่ามันมีลักษณะยังไง หรือถามผมก็ได้ ยินดีที่จะให้ข้อมูลกับทุกคน
 
ซ้ำร้ายไปกว่านั้นความน่าอับอายขายขี้หน้าของเชคยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวียฺ ที่ปรากฏต่อปวงชนชาวโลกในฐานะเป็นสมาชิกและแกนนำกลุ่มอัลอิควาน อัลมุสลิมีน ของประเทศอียิปต์มีดังต่อไปนี้
 
 1. อนุมัติให้มอบความรักความใคร่ให้กับมุชริกีนบางกลุ่มได้ 2. อนุมัติให้สวมผ้าไหมสำหรับผู้ชายและยังอนุญาติให้ถ่ายรูป วาดรูปเป็นที่ระลึก 3. อนุมัติให้ฟังเสียงเครื่องสีตีเป่า (เสียงเพลงดนตรีโดยอ้างว่าอิสลามส่งเสริมให้เล่นมันได้ พร้อมโจมตีหะดิษของท่านนบีที่ห้ามเกี่ยวกับเรื่องของเสียงดนตรี) 4. อนุมัติให้เล่นหมากรุก เล่นไพ่ 5. อนุมัติให้เข้าโรงหนัง โรงละคร เป็นต้น ต่อมาจึงได้มีนักวิชาการลุกขึ้นมาตอบโต้ข้อเขียนที่เพี้ยนๆ ผิดแผกแตกต่างกับผู้รู้ทั่วๆไป ของก็อรฎอวีย์ เช่น 1. อุสตาซอัชเชค อับดุ้ลหะมิด ตอฮฺมาซ ชื่อหนังสือ نظرات في كتاب الحلال والحرام في الاسلام จับตามองหนังสือหะลาล หะรอมในอิสลาม 2. อัชเชคเฟาซาน อัลเฟาซาน ก็ประพันธ์หนังสือขึ้นมาตอบโต้หนังสือของเชคยูซุฟอัลเกาะเราะฎอวียฺ ชื่อหนังสือ الاعلام بنقد كتاب الحلال والحرام แปลว่า เตือนตอบโต้หนังสือ หะล้าลหะรอม 3. เชคอัลอัลบานียฺ ก็ได้ประพันธ์หนังสือขึ้นมาตอบโต้ข้อเขียนของเชคยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวียฺ ชื่อหนังสือ غاية المرام في تخريج أحاديث الحلال والحرام ตรวจทานหะดิษหนังสือ อัลหะลาลและหะรอม
 
ริฎอกล่าวว่า บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเราไม่สามารถสรุปข้อเท็จจริงได้จนกว่าจะรู้ที่มาที่ไปของบทความนี้ ซึ่งผู้ที่แปลมาอาจไม่รู้ เพราะผมเชื่อว่าคนที่แปลบทความนี้และนำมาเผยแพร่ในประเทศไทย เป็นคนญาเฮคนหนึ่งหรือเป็นคนที่หัวใจมีโรคอย่างแน่นอน


อ.อาลีคานตอบ
 ริฎอ ผมเองจะเป็นคนนำข้อเท็จจริง ถ้าริฎอไม่รู้ไม่ทราบก็จงฟังให้พิจารณาดู และความจริงทุกประการที่มันเกิดขึ้นตอนช่วงที่ผมกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอัลมะดีนะฮฺในขณะนั้น กระผมศึกษาอยู่คณะอัลหะดิษปี 2 ซึ่งช่วงนั้นเชคร่อเบี๊ยะอฺ บินฮาดี อัลมัดเคาะลียฺ กำลังสอนและอธิบายศ่อเหี๊ยะห์อิหม่ามมุสลิม ในมัสยิดที่ใกล้กับบ้านพักของท่าน ช่วงนั้นผู้ที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีมหาวิทยาลัยก็คือ دكتور عبدالله العبيد ดร.อับดุลลอฮฺ อัลอุบัยดฺ หัวหน้าฝ่ายทะเบียนนักศึกษาก็คือ سعود العطيشان  ดร. ซะอุด อัลอุฏ็อยชาน ส่วนหัวหน้าฝ่ายดูแลกิจการนักศึกษาคือ يحيى اليحيى ยะห์ยา อัลยะห์ยา ในปีนั้นได้เกิดความวิบัติหายนะขึ้นในมหาวิทยาลัยบ้างเล็กน้อย เมื่อบรรดาคณะครูบาอาจารย์กลุ่มหนึ่ง ถูกอธิบดีมหาวิทยาลัย สั่งปลดออกจากการสอน การอภิปรายทางศาสนา และก่อนหน้านี้ เชคอาอิด อัลก็อรนียฺ เชคซะฟัรอัลหะวาลียฺ เชคซัลมานอัลเอาดะฮฺ ก็ถูกทางการซาอุดิจับกุม เรื่องราวมันมีอยู่ว่า ได้มีบรรดาครูบาอาจารย์ชาวอียิปต์ที่แฝงตัวเข้ามาสอนในมหาวิทยาลัยของซาอุดิฯซึ่งพื้นเพเดิมแล้วคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มสมาชิกของอัลอิควาน อัลมุสลิมีน (กลุ่มภราดรภาพมุสลิม) เมื่อมาสอนกันก็มักนำเชื้อร้าย นำอะกีดะฮฺของพวกอัลญะฮฺมียะฮฺ อัลอัชอะรียะฮฺ อัลกุลลาบียะฮฺ มาปล่อย นั่นก็คือลัทธิการเมืองที่สอนให้โค่นล้มราชวงศ์ซาอูด ซึ่งในยุคนั้นประเทศซาอุปกครองโดยพระมหากษัตริย์ ฟาฮัดบินอับดุลอะซีซ เรื่องที่พูดไปนี้ไม่ใช่เล่าตามเขาว่าๆกันมานะ แต่ผมเล่าจากประสบการณ์จริงเพราะผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นมาโดยตลอดช่วงที่เกิดปัญหา
 
ต่อมาท่านเชคร่อเบี๊ยะอฺ กับเชคฟาเลี๊ยะห์ บินนาเฟี๊ยะ อัลหัรบียฺ จึงถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการขึ้นมาดูแลสอบสวน กลุ่มผู้รู้นักวิชาการที่มีหลักเชื่อมั่นอะกีดะฮฺ เอนเอียงไปทางกลุ่มอัคอิควาน อัลมุสลิมีน (กลุ่มภราดรภาพมุสลิม) จนกระทั่งกลายเป็นปัญหาการจับกุมตัวกลุ่มผู้รู้(หัวเอียงซ้าย) ลามไปเมืองต่างๆของประเทศซาอุในยุคนั้น จบลงด้วยกับการจับกุมนักบรรยายศาสนา เช่น ซะฟัร อัลหะวาลียฺ ซัลมาน อัลเอาดะฮฺ อาอิด อัลก็อรนียฺ รวมทั้งบรรดานักบรรยายกลุ่มดังกล่าวหลายคนถูกสั่งงดบรรยาย ขายม้วนเทป รวมทั้ง ดร.ยะห์ยา อัลยะห์ยา ถูกปลดออกจากตำแหน่งในมหาวิทยาลัย[/b][/font]


อาจารย์อะลีย์ คาน ปาทาน
 
สำนักงานห้องสมุดอะฮฺลุลหะดีษวัลอะษาร

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 18, 2012, 04:47 PM โดย charif »

 

GoogleTagged