ผู้เขียน หัวข้อ: Re: การเผยแผ่และการเข้ารับอิสลามในประเทศญี่ปุ่น  (อ่าน 1765 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

อัสสลามุอะลัยกุมวะเราะมะตุลลอฮิวะบารอกาตุ

คิดถึงกระทู้นี้ขึ้นมาจับจิต...
เพราะชีวิตยังคงหนีไม่พ้นคนญี่ปุ่นเสียที...อิอิอิ

มีประสบการณ์มาแชร์ให้พี่น้องในนี้ฟัง
เกี่ยวกับเรื่องราวของการต่อสู้กับจิตใจตัวเอง
ท่ามกลางสังคมวัตถุนิยม...

ถ้าใครมีโอกาสได้อยู่กับคนญี่ปุ่นหรือมีช่วงเวลา
ได้อยู่ร่วมกับคนญี่ปุ่น ท่านจะรู้ว่า สิ่งที่คนญี่ปุ่นยึดมั่น
ถือมั่น หาใช่อะไร นอกเสียจากสิ่งที่สติปััญญาสามารถ
ค้นหาได้...นอกเหนือจากนั้น...เขาไม่ยอมเชื่อแต่โดยง่าย
แต่เขาก็มักชื่นชมคนที่ยึดมั่นในหลักการศาสนานะคะ...
คือให้เกียรติ...

เคยมีครั้งหนึ่ง...ข้าน้อยบอกเขาเมื่อเขาถามว่า
ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมต้องทน
ในเมื่อไม่เห็นจะจำเป็นจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
ตามหลักศาสนาขนาดนั้นก็ได้...

ข้าน้อยจึงถามกลับว่า...ทำไมท่านต้องทนนั่งก้มหน้า
ก้มตาทำงานทุกเช้าค่ำ ต้องอดอาหารบางมื้อไป
เมื่องานที่ทำยังไม่ลุล่วง...ต้องยอมเหน็ดเหนื่อย
ไปโน้นไปนี่ ไม่ยอมหาเวลาไปพักผ่อน...
ท่านทนเพื่ออะไร...สำหรับฉัน ฉันทนเพราะฉันรู้ว่า
ถ้าฉันทนและฉันจะได้อะไรตอบแทน...
และสิ่งนั้นมันยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้...

การมีพระเจ้า กับไม่มีพระเจ้า มันต่างกันค่ะ...
ต่างกันเหลือเกิน...ฉันมีพระเจ้า ฉันพอเพียง ฉันพอใจ
กับสิ่งที่ฉันได้รับมา...เพราะฉันรู้ว่าฉันได้มาจากผู้ใด...
ในขณะผู้ที่ไม่มีพระเจ้าในใจ กลับไม่เคยพอ
แม้จะมีอะไรอื่นมากมาย เขาก็ยังไม่พอ...
ไม่เคยพอเลยสักที...ทั้งๆที่เขามีอะไรอื่นมากกว่าฉัน
ตั้งหลายเท่า...จิตใจเขาก็ยังคงวุ่นวาย
และยังขมักเขม้นกับบางอย่างที่เขาก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า
จริงๆแล้วเขาทำไปทำไม ถ้าบอกว่าทำเพื่อเงิน
ฉันว่าเงินที่มีมันก็น่าจะมากพอให้เขาใช้ไปจนตายแล้ว...

พอเขาถามว่าคลุมหัวอย่างนี้แล้วไม่ร้อนหรือ...

ข้าน้อยจึงบอกว่า...ฉันทำเพราะพระเจ้าสั่งใช้...
และฉันก็รักพระเจ้า...ฉันรู้ว่าพระเจ้ารักฉัน...
ฉันจึงเชื่อพระเจ้าของฉัน...เชื่อว่าสิ่งที่พระองค์สั่งใช้นั้น
ย่อมดีกับตัวฉันอย่างไม่ต้องสงสัย...
และฉันได้พิสูจน์มาแล้ว...พิสูจน์ด้วยการทำมัน...
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำมัน...และเมื่อได้ทำมัน
ฉันจึงรู้ว่าเวลาที่ผ่่านมามันน่าเสียดายแค่ไหน...
ฉันมัวไปนั่งทำอะไรอยู่...ทำไมถึงไม่ทำเสียตัั้งแต่ตอนนั้น

พอเขาถามว่า...ข้าน้อยจะลางานในวันนี้
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็เป็นวันหยุดติดกันในปฏิทินมาแล้ว
อย่างนี้มันดูไม่ดีสักเท่าไหร่เลย...เมืองไทยเรามีวันหยุด
หรือวันแดงเกี่ยวกับศาสนาเยอะมากเลยนะ...
แล้วยังมีของเธอเพิ่มขึ้นมาอีก...
เกรงว่า...ปีๆนึงจะมีวันหยุดเกี่ยวกับเรื่องศาสนามากเกินไป
เดี๋ยวศาสนาโน้น เดี๋ยวศาสนานี้ และแต่ละคนในบริษัท
ก็มีหลากหลายศาสนาเหลือเกิน...
คนอื่นอาจจะเอาเยี่ยงอย่างเธอได้...
ซึ่งอาจทำให้งานสะดุดและไปไม่ถึงไหน...
แม้จะยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่คนๆนึง
จะยึดมั่นกับหลักการศาสนา แต่นี่คืองาน...

ตอนที่ข้าน้อยได้ฟัง บอกตามตรงเลยว่า
เข้าใจแล้วว่า...อะไรทำให้คนญี่ปุ่นบ้างาน...
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็พอจะดูออกว่าทำไม
แต่ตอนนี้ยิ่งเข้าใจมากขึ้น...เพราะเขาไม่เคย
ให้ความสำคัญกับเรื่องของศาสนาเลย
เขาไม่เคยยึดมั่นในศาสนาใดเลย...
เขาเชื่อแต่สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้า...เชื่อว่าสติปัญญา
และความสามารถตัวเองเท่านั้นที่จะช่วยให้ตัวเองอยู่รอด
และประสบความสำเร็จ...เขาไม่เคยเชื่อว่า
เบื้องหลังทุกอย่าง ทุกความสำเร็จ มีอัลลอฮฺร่วมอยู่ด้วย...

ตอนนั้นข้าน้อยจึงบอกเขาไปอย่างใจเย็น
และพูดตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมออกไปเพื่อเป็นการ
ยืนหยัดบนจุดยืนของตัวเองว่า

ในหนึ่งปี ฉันมีวันสำคัญทางศาสนาจริงๆแค่ 2 วัน
และสองวันนี้ ฉันจะไม่ทำงาน ฉันจะไปร่วมทำพิธี
กับพี่น้องมุสลิมของฉัน และออกเยี่ยมญาติพี่น้องของฉัน
ส่วนวันที่เหลือที่มีอีกมากมาย คุณจะให้ฉันทำงาน
ฉันจะไม่ว่าเลย...ส่วนวันแดงๆในปฏิทินที่กลายเป็นวันหยุด
ของคนไทยนั้น...
มันไม่ได้สำคัญกับฉันเท่ากับ 2 วันในหนึ่งปีของฉัน
เลยสักนิดเดียว...และดูจะไม่ค่อยเกี่ยวกับฉันสักเท่าไหร่ด้วย
(เหมือนจะพูดแรงไปนิด แต่คิดว่า ถ้าเขาไม่ได้ฟัง
ก็จะไม่เข้าใจถึงจุดยืนของข้าน้อย บอกไปตั้งแต่เนิ่นๆ
ย่อมเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย จะได้ไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง
เพราะข้าน้อยเป็นคนที่จะไม่ง้องาน...เพราะมีสิ่งที่สำคัญ
กว่านั้น...งานน่ะหาใหม่ได้ แต่ศาสนาจะทิ้งได้ยังไง...
ในเมื่อเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย...วันนั้นงานที่ทำในวันนี้
มันจะช่วยเราได้หรือ...ศาสนาเท่านั้นที่จะเป็นเพื่อนเรา
หลังจากตายไปแล้ว...และอัลลอฮ์เท่านั้นคือผู้ตัดสินเรา)

สุดท้ายเขาก็ต้องยอมให้เรา เพราะถ้าเขาไม่ยอม
เราก็ไม่ยอมเขาแน่ๆ...อิอิอิ...
เนื่องจากเขารู้ว่า...เราจะไม่ยอมในเรื่องไหน
และจะยอมให้เขาในเรื่องไหน...เพราะก่อนหน้านี้
เขามาขอให้เราทำโน่นทำนี่ให้ เราทำได้เราก็ทำให้เต็มที่
เต็มกำลัง...

เนื่องจากชีวิตในญี่ปุ่นเกือบหกปี มันสอนให้รู้ว่า
ถ้าไม่แข็งบนจุดยืน และไม่ยืนยันจุดยืนออกไปอย่างแน่วแน่
เราจะกลายเป็นไม้เลื้อยที่จะเลื้อยไปได้ทุกที่...
เปลี่ยนรูปทรงไปได้ตามแต่สถานที่ที่อยู่...

ต้นไผ่ โอนอ่อนผ่อนตาม ปรับตัวพริ้วตามลม
ไม่ทะนงตน แต่ไม่เคยเลื้อยไปเรื่อย...
ตั้งมั่นอยู่บนจุดที่ยืนอยู่ แตกกอไปเรื่อยๆ
เป็นการแพร่ขยายพันธุ์...ทนได้ทุกสภาพอากาศ...

ซึ่งต้นไผ่ เป็นต้นไม้ที่อัลลอฮ์สร้างมาให้เราได้เห็น
ถึงความเป็นมัน...และในมันก็มีอะไรบางอย่าง
ให้เราได้ศึกษา...

หลายคนจะรู้ว่า น้อยคนที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น
ทั้งหญิงและชาย กลับมาต้องกินเหล้าคอแข็งกันทั้งนั้น
เผลอๆอาจสูบบุหรี่จัดด้วยซ้ำ ผู้หญิงที่นั่นสูบบุหรี่กัน
เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สำหรับข้าน้อยมันไม่ธรรมดา
เพราะข้าน้อยว่า เหล้าและบุหรี่ มันทำร้ายตัวเราเอง
คนที่กินมัน สูบมันเข้าไป ย่อมทำร้ายตัวเอง
และคนรอบข้างด้วย...และแน่นอนว่า
ต่อให้ใครยุให้ดื่มเหล้าเวลาต้องไปงานเลีี้ยงต่างๆ
ข้าน้อยก็ต้องส่ายหน้าเป็นปกติเหมือนกัน
เพราะงานนี้ ทางใครทางมัน ท่านดื่มเหล้ากัน
เป็นเรื่องปกติธรรมดา ฉันก็ไม่กินเหล้าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ศาสนาฉันห้าม...เราก็ยืนยันไปแบบจัดเต็มจัดหนัก
แล้วห้ามกลับลำทีหลังเด็ดขาด เพราะถ้าเรากลับลำ
วันหลังยอมอ่อนให้ ต่อไปก็ต้องอ่อนให้ตลอด...
เพราะคนที่ยุให้เราดื่มนั้นมีมาตลอด...
ถ้าไม่มีครั้งแรก ครั้งต่อไปก็ไม่มี
ครั้งแรกเป็นอะไรที่ทำยาก แต่เมื่อผ่านครั้งแรกไปแล้ว
ครั้งต่อไปก็ง่ายดาย จึงต้องเด็ดขาดโดยการไม่ยอม
ให้มีครั้งแรกเกิดขึ้น...เหล้าพอเข้าปากคน
ก็ทำให้คนๆนั้นเปลี่ยนไป...ยากจะควบคุมตัวเองได้...
จากเดินสองขากลายเป็นสี่...ข้าน้อยเห็นตัวอย่างแล้ว
ก็ไม่อยากให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น
จึงพยายามหลีกเลี่ยงมันทุกวิถีทาง....
หากใครที่เคยไปอยู่ญี่ปุ่นแล้วกลับมากลายเป็นเมรีขี้เมา
ดื่มเหล้าหนัก ข้าน้อยจะไม่แปลกใจสักนิดเดียว...
นอกเสียจากเข้าใจดีว่าเพราะอะไร...
ไม่ใช่จะบอกว่าเราแข็งและเขาอ่อน...
แต่ที่กำลังจะบอกคือ...ความรักที่มีต่ออัลลอฮ์
จะปกป้องเรา อัลลอฮฺจะปกป้องคนที่รักท่าน ยำเกรงท่าน
เพราะเมื่อเรารักอัลลอฮฺ อะไรที่อัลลอฮฺสั่งห้าม
เราก็ไม่อยากทำ เพราะทำแล้วจะรู้สึกผิด...
ความรู้สึกผิดจะเกาะกินใจ จนเจ็บปวด...
สุดท้ายมันจึงสั่งให้เราน้อมตามในสิ่งที่พระองค์สัั่งใช้...
และเราจะมีความสุขใจเมื่อได้ทำตามที่อัลลอฮฺสั่งใช้...
ซ้ำยังภูมิใจที่ยืนหยัดมาได้...

หลายครั้งเคยโทรระบายกับพ่อด้วยเพราะอยากจะร้องไห้
เนื่องจากรู้สึกเหมือนต้องมาเผชิญหน้ากับสิ่งเดิมๆ
ต้องมานั่งอธิบายสิ่งที่เป็นเราให้คนญี่ปุ่น
และคนอื่นๆฟัง...เหมือนวิดิโอที่ฉายซ้ำไปซ้ำมา
และการดำเนินชีวิตก็ไม่ได้ง่ายดายเลย...
เหมือนว่าการต่อสู้ยังไม่ยอมสิ้นสุด...
เหมือนว่าต้องกลับมาเดินอยู่บนเส้นทางที่เคยหนีมาแล้ว
ด้วยเพราะอ่อนแรง อ่อนล้ากับการต่อสู้ท่ามกลาง
หมู่ชนที่ยังไม่เข้าใจอิสลาม...เราคนเดียว
แต่ต้องมายืนอยู่บนจุดที่อาจทำให้เราเขวได้
เพียงแค่ความอ่อนแอมาเยือนเพียงนิด...
สถานการณ์นี้มันบอกว่า เราจะเผลอไม่ได้เลย...

พ่อบอกว่า...ในสิ่งที่เราคิดว่าแย่สำหรับเรา
จริงๆแล้วอาจจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา เราไม่รู้หรอก
อัลลอฮฺเท่านั้นที่รู้ ลองคิดดูดีๆ ว่าสิ่งที่ได้รับมา
มันทำให้เราแย่ลงหรือดีขึ้น...

จึงได้คิดว่า...ความอดทน เป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง
และเราต้องผ่านบททดสอบนี้ไปให้ได้

เพราะความอดทนมี 3 แบบ...คือ

1.อดทนทำความดีให้ได้
2.อดทนไม่ยอมทำความชั่ว
3.อดทนต่อบททดสอบหรือภัยที่มาประสบ...

ไม่มีใครจะได้อะไรมาง่ายๆโดยไม่ต้องอดทนเลย
และอิสลามย่อมไม่ใช่ว่าใครจะได้มาครอบครองง่ายๆ
อัลลอฮ์ทรงคัดเลือก...พระองค์ทรงเลือก...
และข้าน้อยก็อยากเป็นผู้ถูกเลือก...

จึงอยากบอกกับน้องๆที่ต้องเดินทางจากบ้าน
มาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่...ว่าไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่
เท่ากับอัลลอฮฺ...อาจารย์ที่ให้เกรดเรา ก็ไม่ใหญ่เท่าอัลลอฮฺ
เจ้านายที่เราทำงานให้ ที่ให้เงินเรา ก็ไม่ได้ใหญ่เท่าอัลลอฮฺ
และเงินที่เราหาอยู่ทุกวัน ก็ไม่ได้มีอำนาจใหญ่หลวง
เท่ากับอัลลอฮฺ...อัลลอฮฺใหญ่สุด...
ใครจะเอาอะไรมาแลกเราไม่ยอม...
ใครจะมาพรากอะไรไปจากเราเพื่อให้เราทิ้งศาสนา
เราจะไม่ยอม...เราต้องไม่ยอม...

...เชื่อว่าการต่อสู้เช่นนี้จะไม่มีวันสิ้นสุด
จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ...

ปล.รู้สึกว่าพีี่น้องในนี้จะหันไปหาเฟสบุ๊คกัน
ไม่เห็นบรรยากาศอย่างแต่ก่อน รู้สึกเหมือนที่นี่เงียบเหงาไป
ทั้งๆที่มีคนแวะเวียนเข้ามามากมายกว่าแต่ก่อน...

และไม่รู้ว่าเพราะอะไร...อยากจะสร้างเฟสบุ๊คเหมือนกัน
แต่ทำไม่ได้สักที...แต่ถึงมี ก็คงไม่มีเวลาอัพข้อมูล
เพราะไม่ค่อยมีอะไรให้อัพสักเท่าไหร่ ยิ่งรูปภาพตัวเอง
ยิ่งไม่ค่อยอยากนำเสนอเลย(แบบว่าสวยเกิน) อิอิอิ...
แต่ก็แปลกอย่างนึงที่หลังๆมานี้ หวงรูปตัวเองยิ่งกว่า
สมบัติชิ้นอื่น...ใครขอ ก็ไม่อยากให้ดู...
ถ้าอยากรู้จัก ต้องมาเจอด้วยตัวเองค่ะ...อิอิอิ...
เพราะรูปที่ถ่ายไว้ ตั้งใจจะเอาไว้ดูตอนแก่
(ถ้ายังอยู่ถึงนะคะ) อย่างน้อยจะได้รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนไป
ยังไงบ้างในแต่ละช่วงชีวิต...

...อยากเห็นบรรยากาศเก่าๆของที่นี่อีกครั้ง....
กลับกันมาเถอะนะคะ...มาร่วมสร้างสีสันให้ที่นี่กัน
เพราะที่นี่มั่นคงกว่าเฟสบุ๊คแน่ๆ...เพราะนี่คือบ้าน
เฟสบุ๊คเหมือนห้องเช่า...

...กลับบ้านเรานะ รักรออยู่....

อิอิอิ

วัสสลามค่ะ






"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ขอมาอัฟก๊ะ นาดาด้วยนะ พลาดทางเทคนิคนิดหน่อย กะว่าจะย้ายข้อความของตัวเองไปอีกที่ แต่มาดูอีกทีกลับเป็นข้อความของก๊ะ แถมมันยังย้ายมาตั้งกระทู้ใหม่ให้ด้วย รบกวนก๊ะก็อปไปวางที่เดิมได้เลยครับ ...
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ HZN

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 45
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
ชอบ บทความนี้ จัง กระผมทำงาน ในที่ๆ คนส่วนใหญ่ไม่ไช่มุสลิม เหมือนกัน คับ

ไช่เราต้องยืนหยัด ครับ  ยืนหยัดในอิสลามขั้นสูงสุด ครับ

ว่างๆเดวมาเเช อีกคับ.....

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

ถึงน้องอัลฟาตอนี...ก๊ะควรนำมันไปแปะไว้ที่เดิม
ดีรึเปล่าคะ...เฮะๆ...หรือเอาไว้อย่างนี้ก็คงไม่แปลกมั้งคะ...
กลัวคนที่แวะเข้ามาอ่านจะงงๆ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...
ปล่อยเอาไว้อย่างนี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไรเนอะ...


ถึงคุณHZN...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...
แวะมาแชร์ประสบการณ์กันบ้างก็ดีค่ะ
เว็บนี้จะได้มีสีสัน และบรรยากาศแห่งการพบปะ
พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น แลกเปลี่ยนมุมมอง
เกี่ยวกับเรื่องศาสนากับการดำรงชีวิตในทุกวันนี้...

อย่างน้อยก็เป็นการเล่าสู่กันฟังน่ะค่ะ...

อยากรู้เหมือนกันค่ะว่า มุสลิมเราในปัจจุบัน
มีมุมมองในการใช้ชีวิตจริงๆเป็นอย่างไรกันบ้าง...

วัสสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged