ผู้เขียน หัวข้อ: มุสตอละฮุ้ลหะดีษ (หลักพิจารณาอัลหะดีษ) ตอนที่ 8  (อ่าน 2615 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Ahlulhadeeth

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 27
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด

วิชา มุสตอละฮุ้ลหะดีษ (หลักพิจารณาอัลหะดีษ) ตอนที่ 8


โดย รอฟีกี มูฮำหมัด


การที่ผู้รู้ได้ปฎิบัติตามหะดีษบทหนึ่ง หรือ ฟัตวา ด้วยกับหะดีษบทนั้น จะถือเป็นการฮู่ก่มบนหะดีษนั้นด้วยว่าซอเฮี๊ยะห์ใช่หรือไม่ ?

ท่านอีหม่ามนะวะวีย์(รฮ.)ได้กล่าวว่า : "แท้จริงการปฎิบัติของผู้รู้ หรือ การฟัตวาของเขา โดยสอดคล้องกับหะดีษที่ตนรายงานนั้น มิใช่เป็นการฮู่ก่มบนหะดีษนั้นว่าซอเฮี๊ยะห์ หรือ เป็นการฮู่ก่มว่านักรายงานนั้นอาเด้ล"

ท่านอีหม่ามซู่ยูตีย์(รฮ.)ได้ให้เหตุผลในคำกล่าวของท่านอีหม่ามนะวะวีย์ว่า : "เพราะเป็นไปได้ว่า การที่ผู้รู้ได้กระทำ หรือ ฟัตวาไปตามหะดีษนั้น เป็นการทำเพื่อ ( إحتياطا ) เนื่องจากมีการรายงานมา หรือ มีหลักฐานจากแนวทางอื่นมาสนับสนุน" ดังนั้น การที่ผู้รู้ได้ปฎิบัติ หรือ ฟัตวาโดยสอดคล้องกับหะดีษ จึงไม่ถือเป็นหลักฐานที่เด็ดขาดในการฮู่ก่มว่า หะดีษนั้นซอเฮี๊ยะห์ เพราะในความเป็นจิงแล้ว หะดีษบทนั้น อาจไม่ซอเฮี๊ยะห์ก็ได้

แต่ท่านอิบนุกะซีร(รฮ.)ได้กล่าวว่า : "แท้จริงการปฎิบัติของผู้รู้ หรือ การฟัตวาของเขา โดยสอดคล้องกับหะดีษที่ตนรายงานนั้น ถือเป็นการฮู่ก่มบนหะดีษนั้นว่าซอเฮี๊ยะห์ด้วยเช่นกัน โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องไม่มีหะดีษบทอื่นในเรื่องนั้นอีก นอกจากหะดีษดังกล่าว"

และท่านอีหม่ามอามีดีย์ จากนักวิชาการอู่ซูลุ้ลฟิกห์ และนักวิชาการท่านอื่นๆ ได้กล่าวว่า : "แท้จริงการปฎิบัติของผู้รู้ หรือ การฟัตวาของเขา โดยสอดคล้องกับหะดีษที่ตนรายงานนั้น ถือเป็นการฮู่ก่มบนหะดีษนั้นว่าซอเฮี๊ยะห์"

ส่วนท่านอีหม่ามอัลฮ่าร่อมัยน์ ได้กล่าวว่า : "หากว่าหะดีษนั้น มิได้อยู่ในแนวทางของการทำเพื่อ ( إحتياطا ) แล้ว ก็ถือว่า หะดีษนั้นซอเฮี๊ยะห์ แต่ถ้าหากอยู่ในแนวทางของการทำเพื่อแล้ว จะถือว่าเป็นหะดีษด่ออีฟ เนื่องจากหะดีษที่ถูกปฎิบัติโดยทำเพื่อ เอิ๊ยะห์ติยาฎ ( إحتياطا ) นั้น ก็คือ หะดีษด่ออีฟ"

การที่ผู้รู้ได้ปฎิบัติ หรือ ฟัตวา ขัดแย้งกับหะดีษ จะถือเป็นการฮู่ก่ม "ด่ออีฟ" กับหะดีษนั้นหรือไม่ ?

ท่านอีหม่ามนะวะวีย์(รฮ.)ได้กล่าวว่า : "การที่ผู้รู้ได้ปฎิบัติ หรือ ฟัตวา ขัดแย้งกับหะดีษนั้น ไม่ถือเป็นกฎเกณฑ์ ในการฮู่ก่มว่า การกระทำนั้นถูกต้อง หรือ เป็นกฎเกณฑ์ว่า การรายงานของเขานั้นถูกต้อง"

เช่น หะดีษของท่านอีหม่ามมุสลิม(รฮ.)ที่บันทึกไว้ว่า

حدثنا يحي بن أيوب وقتيبة بن سعيد وعلي بن حجر جميعا عن إسماعيل ، قال إبن أيوب حدثنا إسماعيل بن جعفر ، أخبرني سعد بن سعيد بن قيس ، عن عمر بن الحارث الخزرجي ، عن أبي أيوب الأنصاري رضي الله عنه أَنه حدثه أن رسول اللهِ صلَى اللهِ عليه وسلم قال 

((  مَنْ صَامَ رَمَضَانَ ثُمَّ أَتْبَعَهُ سِتًّا مِنْ شَوَّالٍ كَانَ كَصِيَامِ الدَّهْرِ  ))

ท่านยะห์ยา บิน อัยยูบ และท่านกู่ตัยบะห์ บิน สะอี๊ด และท่านอาลีย์ บิน ฮ่าญัร ได้เล่าให้ฉันฟัง ซึ่งทั้งหมดได้เล่ามาจากท่านอิสมาอีล ซึ่งท่านอิบนุอัยยูบได้กล่าวว่า ท่านอิสมาอีล บิน ฮาญัร ได้เล่าให้เราฟังว่า ท่านซะอัด บิน สะอี๊ด บิน กอยส์ ได้เล่าให้ฉันฟังจากท่าน อุมัร บิน อัลฮาริส อัลคอสรอญีย์ จากท่านอบูฮัยยูบ อัลอันซอรีย์(รด.)ได้เล่าว่า แท้จริงเขาได้ฟังท่านร่อซู้ล(ซล.)ทรงกล่าวว่า "ผู้ใดที่ถือศีลอดในเดือนรอมดอน หลังจากนั้นได้ถือศีลอดอีกหกวันในเดือนเชาวาล เขาจะได้รับผลบุญเสมือนกับการถือศีลอดตลอดทั้งปี" (บันทึกโดยท่านอีหม่ามมุสลิม หะดีษที่ 1164)

ซึ่งหะดีษนี้ ท่านอีหม่ามมาลิก(รฮ.)ก็ได้พูดถึงเช่นกันใน "มู่วัตเฎาะอ์" ของท่าน ซึ่งท่านยะห์ยาได้เล่าให้ฟังถึงทัศนะของอีหม่ามมาลิก ว่า "เขาไม่เห็นมีนักวิชาการ และนักฟิกห์ ทำการถือศีลอดมัน และไม่มีรายงานมาถึงฉัน ว่า มีการกระทำดังกล่าวจากบุคคลหนึ่งในยุคสลัฟ" ที่ท่านกล่าวเช่นนั้น ก็เนื่องจากท่านเป็นชาวเมืองมาดีนะห์ และท่านเห็นว่า ชาวเมืองมาดีนะห์มิได้ปฎิบัติมัน ในเรื่องที่เกี่ยวกับการถือศีลอด 6 วัน ในเดือนเชาว้าล ท่านจึงกล่าวว่า เป็นมักโร๊ะห์ และท่านก็ไม่ปฎิบัติมัน

แต่ก็มิได้หมายความว่า การไม่ปฎิบัติของท่านอีหม่ามมาลิกนั้น จะถือเป็นกฎเกณฑ์ในการตัดสินว่าหะดีษนั้นเป็นหะดีษด่ออีฟ เพราะหะดีษบทนี้ ท่านอีหม่ามซู่ยูตีย์(รฮ.)ได้กล่าวว่า เป็นหะดีษมู่ต้าวาติร(มีการรายงานอย่างมากมายและต่อเนื่อง) และหะดีษบทนี้ยังถูกบรรทึกอยู่ในซอเฮี๊ยะห์ของท่านอีหม่ามมุสลิม และมีบรรดาผู้รู้ปฎิบัติกันอย่างมากมาย อีกทั้งยังมีซอฮาบะห์ท่านอื่นๆได้รายงานไว้ เช่น ท่านอบูอัยยูบ อัลอันซอรีย์ ซึ่งท่านมิได้อาศัยอยู่ในเมืองมาดีนะห์ หะดีษบทนี้ จึงเป็นหะดีษที่สามารถนำมาปฎิบัติได้ แม้ว่าจะมีการวิจารณ์ถึงตัวผู้รายงานบางท่านก็ตาม เช่น ท่านซะอัด บิน ซะอี๊ด เป็นผู้ที่มีปัญหา เนื่องจากบรรดาอุลามาอ์ได้กล่าวว่า "เขาเป็นผู้ที่ความจำอ่อนแอ" ส่วนหนึ่งจากผู้ที่กล่าวเช่นนี้คือ ท่านอีหม่ามอะห์หมัด(รฮ.) แต่หะดีษบทนี้ ได้รับการสันบสนุนจากสายรายงานอื่น เช่น หะดีษที่ท่านอีหม่ามนะซาอีย์(รฮ.)ได้นำออกมาจากท่านเซาบาน ในสุนัน "อัลกุบรอ" เรื่องของการถือศีลอด บทที่ว่าด้วย "การถือศีลอด 6 วันจากเดือนเชาว้าล" หะดีษที่ 2873 สุนันอัลกุบรอ มักตับ มู่อัสซ่าซะห์ อัรริซาละห์ ตักดีมโดย ด๊อกตูร อับดุลเลาะห์ บิน อับดุลมัวะห์ซิน อัตตุรกีย์ และเชคชู่อัยบ์ อัลอัรน่าอูต / สุนันอบูดาวูด หะดีษที่ 2433 / สุนันติรมีซีย์ หะดีษที่ 759 / และสุนันอิบนุมาญะห์ หะดีษที่ 1716

และท่านอีหม่ามอิบนุฮิบบาน(รฮ.)ได้กล่าวว่า : หะดีษที่ ซะอัด อิบนุ ซะอี๊ด ได้รายงานนั้น ไม่ถือเป็นปัญหา เพราะหะดีษนี้ มีผู้รายงานที่อยู่ในระดับเดียวกันกับ ซะอัด อิบนุ ซะอี๊ด ซึ่งมีความแข็งแรงมากกว่า ได้มาสนับสนุน "มู่ตาบะอาต" ทำให้หะดีษเรื่องการถือศีลอด 6 วัน ที่รายงานโดยท่านอีหม่ามมุสลิมในเดือนเชาว้าลนั้น มีความแข็งแรงขึ้น

ดังนั้น เมื่อหะดีษมีความชัดเจน และไม่มีตัวบทอื่นใดมายกเลิก หะดีษนี้ จึงสามารถนำมาปฎิบัติได้ โดยไม่มีข้อขัดแย้ง ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอีหม่ามอะห์หมัด(รฮ.) และท่านอีหม่ามชาฟีอีย์(รฮ.) ยังถือว่า การถือศีลอด 6 วัน ในเดือนเชาว้าลนั้น ถือเป็นซุนนะห์ตามทัศนะของท่านทั้งสองอีกด้วย

การกระที่ทำสอดคล้องตรงกันของอิจมาอ์กับหะดีษบทหนึ่งนั้น จะถือว่า หะดีษนั้นถูกต้องได้หรือไม่ ?

นักวิชาการอู่ซูลุ้ลฟิกห์ ได้กล่าวว่า : "แท้จริงแล้ว การกระทำโดยสอดคล้องตรงกันของอิจมาอ์กับหะดีษบทหนึ่งนั้น ไม่ได้เป็นหลักฐานยืนยันถึงความถูกต้องของหะดีษนั้น ตามทัศนะที่ถูกต้องที่สุด เพราะเป็นไปได้ว่า สิ่งที่ถูกรายงานมา โดยมีอิจมาอ์บนสิ่งนั้น อาจไม่ใช่เรื่องของหะดีษ" (อาจไม่ใช่สิ่งที่มาจากท่านร่อซู้ลก็ได้)

และอีกทัศนะหนึ่งกล่าวว่า : "แท้จริงแล้ว การกระทำโดยสอดคล้องตรงกันของอิจมาอ์กับหะดีษบทหนึ่งนั้น ถือเป็นหลักฐานยืนยันถึงความถูกต้อง เพราะแท้จริงสิ่งดังกล่าว ได้ยืนยันถึงความถูกต้องของหะดีษ (เพราะถ้าไม่ถูกต้องจะมีการอิจมาอ์บนสิ่งนั้นได้อย่างไร) ดังนั้น เมื่อความหมายของมันถูกต้อง ก็ถือว่าเซาะห์ ในการนำหะดีษบทนั้นมาอ้างอิงเป็นหลักฐาน"

อะไรคือจุดมุ่งหมายในคำกล่าวของบรรดาอุลามาอ์ที่ว่า "หะดีษนี้ซอเฮี๊ยะห์ที่สุดจากสิ่งที่มีมาในบทนี้" ( هذا الحديث أصح شئ في الباب ) ?

ท่านอีหม่ามนะวะวีย์(รฮ.)กล่าวว่า : "ไม่จำเป็นหรอกจากสำนวนนี้ ( هذا أصح ما جاء في الباب ) ที่จะบ่งชี้ว่า หะดีษที่ถูกระบุนั้น จะเป็นหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ไปด้วย" เพราะแท้จริงแล้ว เมื่อพวกเขากล่าวว่า "หะดีษนี้ซอเฮี๊ยะห์ที่สุดจากสิ่งที่มีมาในเรื่องนี้" เป้าหมายของมันก็คือ การให้น้ำหนักจากตัวบทของหะดีษว่า มีน้ำหนักที่สุด มิใช่หมายถึง หะดีษบทนั้นเป็นหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ที่สุด เพราะเป็นไปได้ที่ตัวของมันจะเป็นหะดีษด่ออีฟ เพียงแต่มันมีน้ำหนักที่สุดจากหะดีษบทอื่นในเรื่องเดียวกัน

หะดีษซอเฮี๊ยะห์อื่นๆที่ไม่มีอยู่ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรีย์และซอเฮี๊ยะห์มุสลิม

เราได้กล่าวมาก่อนแล้วว่า แท้จริงท่านอีหม่ามบุคอรีย์และท่านอีหม่ามมุสลิมนั้น มิได้รวบรวมหะดีษซอเฮี๊ยะห์ทั้งหมดไว้ในหนังสือของเขาทั้งสอง เพราะยังมีหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์บทอื่นๆอีกที่ไม่ได้ถูกรวบรวมไว้ เช่น มีอยู่ในซอเฮี๊ยะห์ของท่านอิบนุคุซัยมะห์ ซอเฮี๊ยะห์ของท่านอิบนุฮิบบาน และอัลมุสตัดร๊อกของท่านฮากิม แต่ผู้นำเหล่านั้นไม่ได้แยกระหว่างหะดีษที่หะซันกับหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ ดังนั้น ในหนังสือของพวกเขา จึงมีทั้งหะดีษซอเฮี๊ยะห์ หะดีษหะซัน และบางครั้งก็มีหะดีษด่ออีฟรวมอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราได้พิจารณา เราก็จะพบว่า ท่านอิบนุฮิบบาน นั้น ท่านไม่รอบคอบในการตัดสินหะดีษที่ซอเฮียะห์ และในการรับรองผู้รายงาน เช่นเดียวกับท่านฮากิม ที่ไม่รอบคอบในการตัดสินหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ ดังนั้น หะดีษซอเฮี๊ยะห์ จึงมิได้จำกัดอยู่แค่ในหนังสือเหล่านั้น ที่เจ้าของตั้งชื่อว่า "ซอเฮี๊ยะห์" แต่ยังมีหะดีษซอเฮี๊ยะห์อยู่ในหนังสืออื่นๆอีก ซึ่งเราจะรู้ได้ว่าซอเฮี๊ยะห์ ก็ต่อเมื่ออีหม่ามที่น่าเชื่อถือได้ระบุไว้ว่า เป็นหะดีษซอเฮี๊ยะห์ แม้จะไม่มีอยู่ในซอเฮียะห์บุคอรีย์และซอเฮี๊ยะห์มุสลิมก็ตาม 

และถือว่าไม่พอเพียงในการตัดสินว่าซอเฮียะห์ เพียงพบว่าหะดีษนั้น มีอยู่ในหนังสือหะดีษที่เจ้าของมิได้ผูกมัดว่า จะรวบรวมแต่หะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์เท่านั้น เช่น หนังสือสุนันอบูดาวูด เป็นต้น เพราะเจ้าของหนังสือเหล่านี้ได้รวบรวมไว้ในหนังสือของตน ทั้งหะดีษซอเฮี๊ยะห์ หะดีษหะซัน และหะดีษด่ออีฟ ดังนั้น การที่จะรู้ได้ว่า หะดีษใดเป็นหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ ก็จะต้องอาศัยการระบุอย่างชัดเจนจากเจ้าของหนังสือนั้นว่า หะดีษนั้นซอเฮี๊ยะห์ หรือ มีผู้นำทางด้านหะดีษคนใดคนหนึ่งที่น่าเชื่อถือได้ตัดสินไว้ว่า เป็นหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์

ส่วนหนึ่งจากหนังสือที่เจ้าของได้นำหะดีษซอเฮี๊ยะห์ที่ไม่มีอยู่ในซอเฮียะห์ทั้งสอง(ซอเฮี๊ยะห์บุคอรีย์และซอเฮี๊ยะห์มุสลิม) หรือ ไม่มีอยู่ในซอเฮียะห์เล่มใดเล่มหนึ่งจากทั้งสองเล่มนั้น ออกมารายงาน เช่น

1.หนังสือ "อัลมู่วัตเฎาะอ์" ของท่านอีหม่าม อบูอับดุลเลาะห์ มาลิก บิน อะนัส บิน มาลิก อัลอัซบะฮีย์ อี่มามู่ดาริ้ลฮิจเราะห์(เสียชีวิตในปีฮิจเราะห์ที่ 179) หนังสือมุวัตเตาะอ์ เป็นหนังสือหะดีษซอเฮี๊ยะห์ตามทัศนะของท่านอีหม่ามมาลิก และผู้ที่ดำเนินตามท่าน ถึงแม้ว่าในหนังสือมู่วัตเฎาะอ์จะมี "บะลาฆอต" ( بلاغات ) ก็คือ (หะดีษที่ถูกรายงานโดยใช้คำว่า ได้มาถึงพวกเราว่า... หรือ พวกเราได้ทราบว่า...) และมี "มะรอซีล" ( مراسيل ) ก็คือ (หะดีษที่ซอฮาบะห์ได้ร่วงไปจากสายรายงาน) รวมอยู่ในหนังสือด้วยก็ตาม เพราะถูกพบว่าหะดีษเหล่านี้ มีสายรายงานที่ติดต่อกันในหนังสืออื่นๆ ดังจะได้นำรายละเอียดในเรื่องนี้มากล่าวต่อไป  อินชาอัลเลาะห์

2.หนังสือ "สุนันอบีดาวูด" ของท่านฮาฟิซ สุลัยมาน บิน อัชอัซ บิน อิสฮาก อัลอะสะดีย์ อัสซี่ญิสตานีย์(เสียชีวิตในปีฮิจเราะห์ที่ 275) และได้มีรายงานจากท่านอบูดาวูดว่า เขาได้กล่าวถึงหนังสือของเขาว่า มีทั้งหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ หะดีษที่คล้ายๆกัน หะดีษใกล้เคียงกัน และหะดีษอ่อนจัด(ด่ออีฟมาก) ซึ่งเขาได้อธิบายมันไว้แล้ว ส่วนหะดีษที่เขาไม่ได้อธิบายสิ่งใดไว้ ถือว่าเป็นหะดีษที่เหมาะสมในการนำมาอ้างอิงเป็นหลักฐาน "ซอเลี๊ยะห์" ( صالح ) และเช่นเดียวกัน เขายังได้กล่าวถึงหะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ที่สุดที่เขารู้จักมันในแต่ละบทไว้ด้วย

3.หนังสือ "สุนันติรมีซีย์" ของท่านฮาฟิซ อบูอีซา หรือ ท่านมูฮำหมัด บิน อีซา บิน เซาเราะห์ อัสซะละมีย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "ติรมีซีย์" (เสียชีวิตในปีฮิจเราะห์ที่ 279) ท่านติรมีซีย์นั้น ได้ทำการตัดสินหะดีษทุกหะดีษ ดังที่ปรากฏอย่างชัดเจนในหนังสือสุนันของเขา เช่นเดียวกับที่ท่านอีหม่ามติรมีซีย์ ได้รายงานถึงการตัดสินหะดีษซอเฮี๊ยะห์ของท่านอีหม่ามบุคอรีย์ในหลายๆบท ที่ไม่มีอยู่ในซอเฮี๊ยะห์ทั้งสอง ไว้ในสุนันของเขา

4.หนังสือ "สุนันนะซาอีย์" ของท่านฮาฟิซ อบูอับดิรเราะห์มาน อะห์หมัด บิน ชู่อัยบ์ บิน อะลีย์ อิบนิ บะฮร์ บิน ซี่นาน บิน ดีนาร อัลคู่รอซานีย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "นะซาอีย์" (เสียชีวิตในปีฮิจเราะห์ที่ 303)

5.หนังสือ "ซอเฮี๊ยะห์อิบนุคู่ซัยมะห์" ของท่านฮาฟิซ อบูบักร์ มูฮำหมัด บิน อิสฮาก บิน คู่ซัยมะห์ อัสซัลมีย์ อันนัยซาบูรีย์(เสียชีวิตในปีฮิจเราะห์ที่ 311) และหะดีษซอเฮี๊ยะห์ส่วนมากที่ท่านอิบนุคู่ซัยมะห์ได้บันทึกไว้นั้น สูญหายไป

6.หนังสือ "ซอเฮี๊ยะห์อิบนุฮิบบาน" ของท่านฮาฟิซ มูฮำหมัด บิน ฮิบบาน บิน อะห์หมัด อะบีฮาติม อัตตะมีมี่ย์ อัลบุสตีย์(เสียชีวิตปีฮิจเราะห์ที่ 354) และซอเฮี๊ยะห์อิบนุฮิบบานนั้น ถูกเรียกว่า "อัตตะกอซีมู่ วัลอันวาอ์" ( التقاسيم والأنواع )

7.หนังสือ "อัลมุสตัดร๊อก อ้าลัสซ่อฮีฮัยนี่" ของท่านอีหม่าม อบูอับดุลเลาะห์ มูฮำหมัด บิน อับดุลเลาะห์ อัลฮากิม อันนัยซาบูรีย์(เสียชีวิตในปีที่ 405)

8.หนังสือ "อัลมุคตาร" ของท่านฮาฟิซ ดิยาอุดดีน อบูอับดุลเลาะห์ มูฮำหมัด บิน อับดุลวาฮิด บิน อะห์หมัด บิน อับดุลเราะห์มาน อัลมักดิซีย์ (เสียชีวิตในปีฮิจเราะห์ที่ 643) ท่านได้รวบรวมหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "อัลอะฮาดีษ อัลมุคตาเราะห์ มิมมา ลัยซะฟิสซ่อฮีฮัยนี่ เอาอ้าฮ่าดี่ฮี่มา" ( الأحاديث المختارة مماليس في الصحيحين أو أحدهم ) เขาได้ผูกมัดว่า หนังสือของเขา มีแต่หะดีษที่ซอเฮี๊ยะห์ และได้กล่าวถึงหะดีษหลายบทที่ยังไม่เคยมีการตัดสินว่า เป็นหะดีษซอเฮี๊ยะห์มาก่อน และได้เรียบเรียงหนังสือของเขาตามสายรายงานแบบตัวอักษร แต่ก็ไม่สมบูรณ์

9.หนังสือ "มุสนัดอัลอิหม่ามอะห์หมัด" ของท่านอีหม่าม อบูอับดุลเลาะห์ อะห์หมัด บิน มูฮำหมัด บิน ฮัมบัล อัชชัยบานีย์(เสียชีวิตในปีฮิจเราะห์ที่ 241)

10.หนังสือ "สุนันอัลกุบรอ" ของท่านอีหม่าม อัลฮาฟิส อบูบักร์ อะห์หมัด บิน ฮู่ซัยน์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "อัลบัยฮ่ากีย์" (เสียชีวิตในปีที่ 458)


______________________________________________________________________________________________

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 21, 2013, 04:38 AM โดย Ahlulhadeeth »

 

GoogleTagged