ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 22 อัลหัจญ์  (อ่าน 4677 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัลหัจญ์ (الحج   - ศาสนพิธีหนึ่ง) R4.

เป็นบัญญัติ มะดะนียะฮฺ มี 78 อายะฮฺ
ความหมายโดยสรุปของซูเราะฮฺ อัลฮัจญ์

ซูเราะฮฺ อัลฮัจญ์เป็นซูเราะฮฺ มะดะนียะฮฺที่กล่าวถึงด้านต่าง ๆ ของการตราพระบัญญัติ เช่นเดียวกับซูเราะฮฺ มะดะนียะฮฺอื่น ๆ ซึ่งให้ความสนใจทางด้านนี้ ทั้ง ๆ ที่ซูเราะฮฺนี้เป็นซูเราะฮฺมะดะนียะฮฺ แต่ทว่าบรรยากาศของซูเราะฮฺมักกียะฮฺได้เข้าครอบคลุมอยู่ไม่น้อย เช่น เรื่องการศรัทธา การให้ความเป็นเอกภาพ การตักเตือน การเตือนสำทับ การฟื้นคืนชีพ การตอบแทน และสภาพของวันกิยามะฮฺ ตลอดจนเหตุการณ์ที่น่ากลัวของวันนั้น ซึ่งเป็นภาพที่เด่นชัดของซูเราะฮฺนี้ จนกระทั่งผู้อ่านเกือบจะวาดมโนภาพว่าเป็นซูเราะฮฺมักกียะฮฺ นอกเหนือไปจากนั้นก็เป็นเรื่องการตราพระบัญญัติต่าง ๆ เช่น อนุญาตให้มีการสู้รบ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของการทำฮัจญ์ และการทำฮัดยฺ (การเชือดสัตว์พลี) และใช้ให้ทำการต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ ตลอดจนเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่อง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของซูเราะฮฺมะดะนียธฮฺ จนกระทั่งอุละมาอฺบางท่านถือว่าเป็นซูเราะฮฺทั้งสองประเภทคือ เป็นทั้งมะดะนียะฮฺและมักกียะฮฺ
ซูเราะฮฺนี้ได้เริ่มอารัมภบทด้วยเหตุการณ์ที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัว ทำให้จิตใจสั่นสะเทือน อกสั่นขวัญหาย นานก็คือสภาพของแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันอวสานของโลก ความหวาดกลัวจะทวียิ่งขึ้น ในความนึกคิดของมนุษย์มันมิใช่เป็นแต่เพียงการถล่มทลายของตึกรามบ้านช่องเท่านั้น หากแต่ความโกลาหลในวันนั้นยังทำให้แม่ตกตะลึงลืมให้นมแก่ลูกของนาง หยฺงที่ตั้งครรภ์ก็จะคลอดลูกออกมาก่อนกำหนด มนุษย์ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ โดยมีสภาพเหมือนคนเมาเหล้าทั้ง ๆ ที่เขามิได้ดื่มเหล้าหรือของมึนเมาใด ๆ เลย แต่ทว่ามันเป็นสภาพที่น่าสะพรึงกลัวทำให้จิตใจสั่นสะเทือนเป็นอย่างยิ่ง
    จากสภาพความน่ากลัวของวันอวสานไปจนกระทั่งถึงวันฟื้นคืนชีพ ซูเราะฮฺนี้ได้นำหลักฐานมายืนยันให้ประจักษ์ถึงวันฟื้นคืนชีพ หลังจากวันอวสานแล้วก็นำไปสู่วันแห่งการตอบแทน เพื่อมนุษย์จะได้รับการตอบแทนของเขา ถ้าการงานของเขาดีก็จะพบความดี ถ้าการงานของเขาชั่วก็จะพบความชั่ว
   ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงสภาพของวันกิยามะฮฺบางตอน โดยที่คนดีทั้งหลายจะอยู่ในคฤหาสน์ที่มีแต่ความสุขกายสบายใจ ส่วนคนชั่วทั้งหลายจะอยู่ในอเวจีที่มีไฟลุกโชน
   ซูเราะฮฺได้กล่าวถึงเคล็ดลับในการอนุญาตให้มีการสู้รบกับพวกกุฟฟาร และยังได้กล่าวถึงหมู่บ้านที่ถูกทำลาย สาเหตุเพราะความอธรรมและความโอหัง ทั้งเป็นการชี้แจงถึงแนวทางของอัลลอฮฺตะอาลา ในการประกาศเผยแพร่และให้ความอบอุ่นใจแก่บรรดามุสลิมีนถึงบั้นปลายที่ผู้อดทนทั้งหลายจะได้รับ
   ในตอนสุดท้ายของซูเราะฮฺ ได้ยกอุทาหรณ์ในการเคารพสักการะรูปปั้นเจว็ดของพวกมุชริกีน โดยชี้แจงว่า สิ่งที่ถูกสักการะหรือพวกเจว็ดเหล่านั้นไม่มีความสามารถและต่ำต้อย ในการที่จะให้บังเกิดแม้แมลงวันสักตัวหนึ่ง อะไรเสียอีกเล่าที่จะให้บังเกิดมนุษย์ซึ่งเป็นผู้ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น และได้เรียกร้องให้ดำเนินตามแนวทางของท่านนะบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ซึ่งเป็นต้นตระกูลของการอีมานศรัทธาและแกนสำคัญของการเตาฮีด
   ชื่อของซูเราะฮฺ
   ซูเราะฮฺอัลฮัจญ์ถูกเรียกชื่อนี้ ก็เพื่อเป็นการระลึกถึงการเรียกร้องของท่านนะบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลามขณะที่เสร็จสิ้นจากการสร้างบัยตุลอะตีกหรืออัลกะอฺบะฮฺ และได้เรียกมหาชนให้ไปทำฮัจญ์ ณ บัยตุลลอฮฺ อัลหะรอม บรรดาขุนเขาก็ยอมนอบน้อมจนกระทั่งเสียงเรียกร้องของท่านได้ยินไปทั่วทุกสารทิศ แม้กระทั่งผู้ที่อยู่ในกระดูกสันหลังของชายและในมดลูกของหญิง ก็ยังตอบรับเสียงเรียกร้องของท่านว่า ลับบัยกัลลอฮุมมะ ลับบัยกะ

 
----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 1 - 4


คำแปล R1.
1. O mankind! Fear your Lord and be dutiful to him! Verily, the earthquake of the Hour (of Judgment) is a terrible thing.
2. The Day you shall see it, every nursing mother will forget her nursling, and every pregnant one will drop her load, and you shall see mankind as in a drunken state, yet they will not be drunken, but severe will be the torment of Allah.
3. And among mankind is he who disputes concerning Allah, without knowledge, and follows every rebellious (disobedient to Allah) Shaitan (devil) (devoid of each and every kind of good).
4. For him (the devil) it is decreed that whosoever follows him, he will mislead him, and will drive him to the torment of the Fire. [Tafsir At-Tabari]


คำแปล R2.
1.โอ้มวลมนุษย์ พวกเจ้าจงยำเกรงองค์อภิบาลของพวกเจ้าเถิด เพราะแท้จริงความสั่นสะเทือนของกาลปวสานแห่งโลกนั้นเป็นกรณีอันใหญ่หลวงนัก
2. เป็นวันซึ่งพวกเจ้าจะได้เห็นมัน, แม่นมทุกคนจะลืมเด็กที่ตนให้นม และหญิงมีครรภ์ทุกคนจะคลอดบุตรของนางเอง และเจ้าจะเห็นผู้คนทั้งหลายเมามาย ทั้ง ๆ ที่พวกเขาหาได้เมา (จริง ๆ ) ไม่ แต่ทว่าการลงโทษของอัลเลาะห์นั้นร้ายแรงยิ่งนัก
3. และมีมนุษย์บางคนเป็นผู้ที่โต้เถียงในเรื่องที่เกี่ยวกับอัลเลาะฮฺโดยปราศจากความรู้ และเขาตามมารร้ายผู้ดื้อดึงทั้งหมด
4. ซึ่งได้ถูกบันทึกไว้แก่มัน (ซัยตอน)ทุกตนว่า ผู้ใดที่ยึดมันเป็นมิตร (คอยประพฤติตาม) แน่นอนมันจะสร้างความหลงผิดแก่เขา และมันจะชี้นำเขาไปสู่การลงโทษในนรก


คำแปล R3.
1.   มนุษย์เอ๋ย จงปกป้องตัวของเจ้าให้พ้นจากความกริ้วของอัลลอฮฺ แท้จริงแล้ว การสั่นสะเทือนของการฟื้นคืนชีพนั้นรุนแรงยิ่งนัก
2.   วันนั้นสูเจ้าจะได้เห็นแม่ทุกคนที่ให้นมลูก จะทิ้งการให้นมลูกของนาง และหญิงมีครรภ์ทุกคนจะคลอดลูกของนางก่อนกำหนดและสูเจ้าจะเห็นผู้คนมีอาการมึนเมาถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ได้เมา แต่การลงโทษของอัลลอฮฺนั้นรุนแรง (จนทำให้เขาต้องมีอาการเช่นนั้น)
3.   ในหมู่มนุษย์นั้นมีบางคนที่มัวถกเถียงเกี่ยวกับอัลลอฮฺโดยไม่มีความรู้ใด ๆ และพวกเขาปฏิบัติตามมารร้ายที่ดื้อรั้น
4.   ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมัน เขาผู้นั้นจะถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะถูกมันล่อลวงให้หลงทางและนำเขาไปสู่การลงโทษด้วยเปลวไฟในนรก


คำแปล R4.
1.โอ้ มหาชนเอ๋ย ! พวกเจ้าจงยำเกรง พระเจ้าของพวกเจ้าเถิด เพราะแท้จริงการสั่นสะเทือนของวันอวสานนั้น เป็นสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งนัก
2. วันที่พวกเจ้าจะเห็นมันคือ แม่นมทุกคนจะตกตะลึงลืมสิ่งที่นางกำลังให้นมแก่ลูกอ่อนและหญิงตั้งครรภ์ทุกคนจะคลอดลูกที่อยู่ในครรภ์ของนางออกมา และเจ้าจะเห็นมนุษย์อยู่ในสภาพมึนเมา ทั้ง ๆ ที่พวกเขามิได้เมาและแต่ว่าการลงโทษของอัลลอฮฺนั้นรุนแรงยิ่งนัก
3. และในหมู่มนุษย์บางคนมีผู้โต้เถียงในเรื่องของอัลลอฮฺโดยปราศจากความรู้ และเขาจะปฏิบัติตามชัยฎอนทุกตัวที่ดื้อรั้น
4. ได้มีกำหนดไว้กับมันว่า แท้จริงผู้ใดยึดมันเป็นมิตรสหายแล้ว แน่นอน มันจะทำให้เขาหลงทางและจะนำเขาไปสู่การลงโทษที่มีเปลวลุกโชน


คำแปล R5.
๑. โอ้มนุษย์ทั้งหลาย(ชาวมักกะห์) พวกเจ้าพึงยำเกรงพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าเถิด โดยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์ และหลีกให้ห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์ แท้จริงความสั่นสะเทือนอันรุนแรงแห่งแผ่นดินอันเป็นสัญญาณแสดงถึงกาลปรภพว่าได้อุบัติขึ้นแล้วนั้นเป็นเหตุการณ์อันใหญ่หลวงยิ่งนัก ผลจากการสั่นสะเทือนของแผ่นดิน ทำให้มนุษย์ทั้งหลายไม่สามารถจะอยู่กับที่เดิมอย่างแน่นแฟ้นได้ ซึ่งเหตุการณ์นั้นเป็นการลงโทษอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงบันดาลให้อุบัติขึ้น
๒. เจ้าจงระลึกถึงวันนั้นให้ดี อันเป็นวันที่พวกเจ้าจะเห็นมัน ความสั่นสะเทือนนั้นสร้างความตระหนกและความทุกข์กังวลจนแม่ทุกคนผู้กำลังให้นมแก่ลูกถึงกับลืมลูกที่นางให้ดื่มนมนั้นและผละทิ้งลูกโดยไม่ใยดีเพราะความตกใจทั้ง ๆ ที่ลูกของนางเป็นสิ่งที่นางรักที่สุดในชีวิตของนาง นางก็ลืม แล้วสิ่งอื่น ๆ เล่านางจะนึกถึงหรือ และผู้ตั้งครรภ์ทุกคนจะคลอดลูกที่อยู่ในครรภ์ของนางก่อนกำหนดเพราะความตกใจสุดขีดและเจ้าจะเห็นมนุษย์มีอาการมึนเมาทั้ง ๆ ที่ความจริงเขาหาได้เป็นผู้มึนเมาไม่ แต่การลงโทษของอัลเลาะห์ที่เขากำลังประสบอยู่นั้นเขาสำนึกได้ว่าช่างร้ายแรงยิ่งนัก เขาจึงเกิดความกลัวสุดขีดจนสติของเขาสูญสิ้นไปจากเขาและปัญญาของเขาก็เผลอไผลจนเขาแสดงอาการคล้ายคนมึนเมาซึ่งเป็นไปโดยไม่รู้สึกตัว
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คนกลุ่มหนึ่งคือ “อันนัดร์บินฮาริส” “อาบูยะฮัล” และ “อุบัยบินค็อลฟ” ได้กล่าวว่าอัลเลาะห์ทรงมีมลาอิกะห์เป็นบุตรี กุรอานเป็นนิยายปรัมปราไร้สาระ การฟื้นจากสุสานเป็นเรื่องเท็จ อัลเลาะห์จึงลงโองการนี้มา
๓. และบางส่วนจากมนุษย์มีผู้โต้แย้งในเรื่องที่เกี่ยวกับอัลเลาะห์โดยปราศจากความรู้ และเขาเชื่อและประพฤติตามหัวหน้าของพวกเขาซึ่งเปรียบประดุจดังมารผู้ชั่วช้าซึ่งดำเนินชีวิตอยู่เพื่อบ่อนทำลายเพียงประการเดียว พวกเขาไม่มีความดีใด ๆ ติดตัวอยู่เลยแม้แต่น้อย พวกเขามุ่งมั่นแต่จะสร้างความหลงผิดและชักชวนกันไปสู่การลงโทษของอัลเลาะห์ในนรกเท่านั้น
๔. อันมารนั้นไซร้ได้ถูกกำหนดไว้แก่มันโดยอัลเลาะห์ให้เป็นธรรมชาติวิสัยมาตั้งแต่ดั้งเดิมแล้วว่า ผู้ใดที่มันครอบงำเขาได้ โดยเขาประพฤติไปตามคำเชิญชวนและยุยงของมัน แน่นอนมันจะทำให้เขาหลงผิดอย่างแท้จริงและมันจะชี้นำเขาไปสู่การลงโทษในขุมนรกด้วยการล่อลวงต่าง ๆ นานาจนคนผู้นั้นหลงคล้อยตาม และเขาจะกระทำแต่ความชั่วตามการล่อลวงของมารนั้น จนที่สุดเขาก็จะต้องถูกลงโทษในนรก


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 5 - 7


คำแปล R1.
5. O mankind! If you are in doubt about the Resurrection, then verily! We have created you (i.e. Adam) from dust, then from a Nutfah (mixed drops of male and female sexual discharge i.e. offspring of Adam), then from a clot (a piece of thick coagulated blood) then from a little lump of flesh, some formed and some unformed (miscarriage), that we may make (it) clear to you (i.e. to show you our power and ability to do what we will). And We cause whom We will to remain in the wombs for an appointed term, then we bring you out as infants, then (give you growth) that you may reach your age of full strength. and among you there is he who dies (young), and among you there is he who is brought back to the miserable old age, so that he knows nothing after having known. and you see the earth barren, but when We send down water (rain) on it, it is stirred (to life), it swells and puts forth every lovely kind (of growth).
6. That is because Allah, He is the truth, and it is He who gives life to the dead, and it is He who is able to do all things.
7. And surely, the Hour is coming, there is no doubt about it, and certainly, Allah will resurrect those who are in the graves.


คำแปล R2.
5. โอ้มวลมนนุษย์ทั้งหลายหากพวกเจ้ามีความสงสัยในเรื่องการฟื้น (คืนชีพจากการตายในวันกิยามะฮฺ) ดังนั้น (พวกเจ้าก็จงพิจารณาถึงการกำเนิดของเจ้าเถิด) เพราะว่าแท้จริงเราได้บันดาลพวกเจ้ามาจากดิน หลังจากนั้นจากหยดอสุจิ, หลังจากนั้นจากก้อนเลือด, หลังจากนั้นจากก้อนเนื้อซึ่งถูกกำเนิดครบบริบูรณ์ เพื่อเราจักได้แจ้งแก่พวกเจ้า (ให้ตระหนักถึงอำนาจและเอกานุภาพของเรา) และเราได้ให้สถิตอยู่ในมดลูก (ของมารดา) สิ่งที่เราปรารถนาตราบถึงวาระที่ถูกกำหนดไว้ หลังจากนั้นเราก็ให้พวกเจ้าคลอดออกมาเป็นทารกแล้วต่อมา (พวกเจ้าก็ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบโต) จวบบรรลุสู่วัยฉกรรจ์ของพวกเจ้า และพวกเจ้าบางคนก็สิ้นชีวิต (ในวัยเด็กหรือเติบโตแล้ว) และมีบางคนที่ (มีอายุยืน) ถูกส่งคืนสู่วัย (ชรา) อันต่ำต้อย (ที่มีแต่ความเลอะเลือน) จนกระทั่งเขาไม่รู้อะไรสักกรณีเดียว ภายหลังจากเคยรู้มาก่อน และเจ้าเห็นแผ่นดินแห้งแล้ง (ไร้พืชผล) ครั้นเมื่อเราได้หลั่งน้ำฝนลงมาบนมัน มันก็ไหวตัวและมีความอุดมสมบูรณ์ พร้อมทั้งงอกเงยพืชผลอันงามสง่าทุกชนิด
6. นั้นเป็นด้วยเหตุว่าอัลเลาะฮฺ พระองค์ทรงเป็นสัจจะ และพระองค์ทรงบันดาลผู้ตายให้มีชีวิตขึ้น และแท้จริงพระองค์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง
7. และแท้จริงกาลปาวสานแห่งโลกจะต้องมาปรากฏอย่างแน่นอนโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น และแท้จริงอัลเลาะฮ์จักทรงให้ฟื้น ผู้ที่อยู่ในหลุมศพทั้งมวล


คำแปล R3.
5.   มนุษย์เอ๋ย ถ้าหากสูเจ้ายังสงสัยคลางแคลงเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพหลังความตายอยู่ สูเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่าเราได้สร้างสูเจ้ามาจากดินในตอนแรก หลังจากนั้นก็จาหยอดอสุจิ แล้วก็จากก้อนเลือด แล้วก็จากก้อนเนื้อ ทั้งที่เป็นรูปร่างสมบูรณ์หรือไม่เป็นรูปร่าง (เราบอกสูเจ้าเรื่องนี้) ก็เพื่อที่จะทำให้ความจริงเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับสูเจ้า และเราได้ทำให้อสุจิที่เราประสงค์เหล่านั้นอยู่ในมดลูกชั่วระยะเวลาที่กำหนดไว้ หลังจากนั้นเราก็ให้สูเจ้าคลอดออกมาเป็นทารก หลังจากนั้น(เราได้เลี้ยงดูสูเจ้า) เพื่อสูเจ้าจะได้บรรลุวัยผู้ใหญ่ และในหมู่สูเจ้านั้นอาจมีบางคนที่ถูกเรียกกลับก่อน และบางคนที่กลับไปสู่วัยอันน่าสังเวชเพื่อที่เขาจะไม่รู้อะไรเลย หลังจากที่เขาได้รู้ทุกสิ่งที่เขาสามารถแล้ว และสูเจ้าได้เห็นแผ่นดินแห้งแล้ง แต่เมื่อเราได้ส่งน้ำฝนลงมาบนมัน มันก็ร่วนซุยและทำให้พืชพันธุ์หลากชนิดมีชีวิตงอกเงยออกมา
6.   ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสัจจะ พระองค์ทรงนำความตายมาสู่ชีวิตและพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง
7.   และ(นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่า) เวลาแห่งการฟื้นคืนชีพจะเกิดขึ้นอย่างแน่นนอนและไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ในเรื่องนี้ และแน่นอนที่สุดพระองค์จะจะทำให้ผู้ที่อยู่ในสุสานทั้งหลายฟื้นขึ้น


คำแปล R4.
5. โอ้ มนุษย์เอ๋ย หากพวกเจ้ายังอยู่ในการสงสัยแคลงใจ เกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพแล้วไซร้ แท้จริงเราได้บังเกิดพวกเจ้าจากดิน แล้วจากเชื้ออสุจิ แล้วจากก้อนเนื้อ ทั้งที่เป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ และไม่เป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ เพื่อเราจะได้ชี้แจงเคล็ดลับแห่งเดชานุภาพ แก่พวกเจ้า และเราให้การตั้งครรภ์เป็นที่แน่นอนอยู่ในมดลูกตามที่ประสงค์ จนถึงเวลาที่กำหนดไว้แล้วเราให้พวกเจ้าคลอดออกมาเป็นทารก แล้วเพื่อพวกเจ้าจะได้บรรลุสู่วัยฉกรรจ์ของพวกเจ้า และในหมู่พวกเจ้ามีผู้เสียชีวิตในวัยหนุ่ม และในหมู่พวกเจ้ามีผู้ถูกนำกลับสู่วัยต่ำต้อย วัยชรา เพื่อเขาจะไม่รู้อะไรเลยหลังจากมีความรู้ และเจ้าจะเห็นแผ่นดินแห้งแล้ง ครั้นเมื่อเราได้หลั่งน้ำฝนลงมาบนมัน มันก็จะเคลื่อนไหวขยายตัวและพองตัวและงอกเงยออกมาเป็นพืช ทุกอย่างเป็นคู่ ๆ ดูสวยงาม
6. นั่นก็เพราะว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นพระองค์คือผู้ทรงสัจจะ และแท้จริงพระองค์ทรงให้ผู้ตายมีชีวิตขึ้น และแท้จริงพระองค์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง
7. และแท้จริงวันอวสานจะมาถึงอย่างแน่นอน ปราศจากข้อสงสัยในมัน และแท้จริงอัลลอฮฺจะทรงให้ผู้ที่อยู่ในสุสานฟื้นคืนชีพขึ้นมา


คำแปล R5.
๕. โอ้มนุษย์ชาวมักกะห์แม้นพวกเจ้ายังมีความสงสัยเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพขึ้นจากสุสาน พวกเจ้าก็จงย้อนไปไตร่ตรองดูเถิดว่า อันกำเนิดเบื้องแรกนั้น อันที่จริงเราได้บันดาลอาดัมผู้เป็นปฐมบิดาของพวกเจ้ามาจากดิน หลังจากนั้นเราได้บันดาลพวกเจ้าอันเป็นลูกหลานเผ่าพันธุ์ของอาดัมมาจากอสุจิ โดยให้อสุจิของฝ่ายบิดาได้ผสมกับไข่ของมารดาในช่วงระยะ ๔๐ วัน หลังจากนั้นจากเลือดก้อนโดยบันดาลให้อสุจินั้นแปรสภาพเป็นเลือดที่ค่อย ๆ แข็งตัวขึ้นในช่วงระยะเวลา ๔๐ วัน หลังจากนั้นจากเนื้อก้อน โดยบันดาลให้เลือดนั้นแปรสภาพไปเป็นเนื้อค่อยเจริญวิวัฒนาการขึ้นมาตามระบบธรรมชาติการกำเนิดของมนุษย์ซึ่งพระองค์ได้ทรงกำหนดไว้โดยแน่นอนแล้วให้กำเนิดเป็นรูปร่างอันสมบูรณ์แบบทั้งทางสมองและร่างกาย และบางรายก็ไม่ให้กำเนิดที่สมบูรณ์ ไม่ครบอาการหรือเกิดพิการทั้งทางสมองหรือร่างกายก็ตาม ความแตกต่างในกำเนิดของมนุษย์ทั้งหลายดังกล่าวนั้น ได้บันดาลให้เป็นไปเพื่อเราจะได้แจ้งแก่พวกเจ้าได้สำนึกในอำนาจและอานุภาพของเราแล้วนำมาไตรตรองถึงสภาพการฟื้นขึ้นจากสุสานว่านั้นก็เป็นอำนาจและอานุภาพของเรา อันเราสามารถบันดาลให้เป็นไปได้ทั้งสิ้น จึงไม่มีข้ออันควรสงสัยเลยว่า การฟื้นขึ้นจากสุสานนั้นจะเป็นไปไม่ได้ และเราให้สถิตอยู่ในมดลูกของมารดาแก่ทารกที่เรามุ่งประสงค์จะให้เขาถือกำเนิดโดยให้เขาสถิตอยู่ในนั้นจนถึงกาละที่กำหนดไว้หลังจากนั้น เมื่อครบกำหนดแล้วเราก็ให้พวกเจ้าได้คลอดออกมาเป็นทารก หลังจากนั้นพวกเจ้าก็บรรลุสู่ความฉกรรจ์ของพวกเจ้า ซึ่งมีกำลังกายแข็งแรงและสติปัญญาสมบูรร์ (สมบูรณ์ทางพัฒนาการทางร่างกายและสมอง) วัยนี้อยู่ในระหว่างอายุ ๓๐ – ๔๐ ปี และบางคนจากพวกเจ้าเป็นผู้ที่สิ้นชีวิตก่อนถึงวัยดังกล่าว และบางคนจากพวกเจ้าที่เป็นผู้ถูกส่งกลับคืนไปสู่วัยอันต่ำต้อย อันได้แก่วัยชราและหลงลืมในระหว่างอายุ ๗๐, ๘๐, ๙๐ ปี ซึ่งสภาพทางร่างกายและสมองของเขาก็จะคืนกลับเสมือนสภาพเดิมในวัยทารก วัยชราอันเขาได้ประสบนั้น เพื่อเขาจะเป็นผู้ที่หลงลืม เลอะเลือน ไม่รู้สิ่งใดเลยหลังจากที่เขาเคยรู้มาก่อนเป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะสมองของเขาได้เสื่อมลงจนจำความอะไรไม่ได้ ท่านอิกรอมะฮ์อธิบายเพิ่มเติมว่ายกเว้นนผู้รู้กุรอาน เขาจะไม่พบกับสภาพเลอะเลือนจำความไม่ได้เช่นนั้น อายุของเขายิ่งมาก ปัญญาของเขาก็ยิ่งเพิ่ม..หลังจากที่ได้โองการถึงเหตุผลที่ยืนยันว่าการฟื้นจากสุสานต้องอุบัติขึ้นแน่ โดยอัลกุรอานได้อ้างถึงการกำเนิดของมนุษยชาติ อัลกุรอานก็แสดงเหตุผลข้อต่อไปโดยระบุถึงธรรมชาติแห่งการกำเนิดของพืชพรรณทั้งหลายในโลกนี้ดังต่อไปนี้ และเจ้าสังเกตเห็นแผ่นดินที่มีแต่ความแห้งแล้ง ไม่มีพืชใด ๆ งอกขึ้นในแผ่นดิน แต่แท้จริงเมื่อเราได้ให้น้ำลงมาบนมันโดยการรดจากน้ำคลอง น้ำบ่อและอื่น ๆ หรือโดยฝนที่ตกลงมาก็ตาม แผ่นดินก็เกิดการไหวตัวด้วยกับต้นไม้ เปลี่ยนสภาพจากความแห้งแล้งและมันจำเริญขึ้นเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์และมันงอกเงยจากทุกชนิดที่สวยงาม เต็มไปด้วยพืชผลที่มีกลิ่นและรสอันแตกต่างกัน มีรูปแบบต่าง ๆ นานาล้วนสวยงามทั้งสิ้น ซึ่งสามารถจะนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง
๖. สิ่งที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนับแต่การบันดาลมนุษยชาติตามขั้นตอนอันแน่นอนจนถึงการบันดาลให้แผ่นดินได้มีสภาพอันอุดมสมบูรณ์นั้น มันอุบัติขึ้นได้ก็โดยเหตุที่อัลเลาะห์ทรงเป็นสัจจะ พระองค์เป็นผู้ทรงนิรันดร และแท้จริงพระองค์ทรงให้ชีวิตแก่คนตายได้ฟื้นคืนชีพขึ้นอีกคำรบหนึ่งและแท้จริงพระองค์ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 8 - 13


คำแปล R1.
8. And among men is he who disputes about Allah, without knowledge or guidance, or a book giving light (from Allah),
9. Bending his neck in pride (Far astray from the Path of Allah), and leading (others) too (far) astray from the Path of Allah. For him there is disgrace in this worldly life, and on the Day of Resurrection we shall make him taste the torment of burning (Fire).
10. That is because of what your hands have sent forth, and verily, Allah is not unjust to (His) slaves.
11. And among mankind is he who worships Allah as it were, upon the very edge (i.e. in doubt); if good befalls him, he is content therewith; but if a trial befalls him, he turns back on his face (i.e. reverts back to disbelief after embracing Islam). He loses both this world and the Hereafter. That is the evident loss.
12. He calls besides Allah unto that which hurts Him not, nor profits Him. That is a straying far away.
13. He calls unto Him whose harm is nearer than his profit; certainly, and evil Maula (patron) and certainly an evil friend!


คำแปล R2.
8. และมีมนุษย์บางคนเป็นผู้ที่โต้แย้งใน(เรื่องที่เกี่ยวกับ)อัลเลาะฮฺ โดยปราศจากความรู้และปราศจากสิ่งชี้นำ อีกทั้งปราศจากคัมภีร์อันจรัสแสง
9. เขาเมินสีข้างของเขา (ออกด้วยความยโส)เพื่อเขาจะได้สร้างความหลง(แก่ผู้อื่น)จากแนวทางของอัลเลาะฮฺ เขาย่อมประสบความอัปยศในโลกนี้ และเราจะให้เขาได้ลิ้มรสแห่งการลงโทษของไฟนรกอันแผดเผาในโลกหน้า
10. นั้น เป็นเพราะสิ่งที่เขาได้กระทำผ่านไปด้วยตนเอง และแท้จริงอัลเลาะฮฺหาใช่จะทรงอธรรมแก่บ่าวไม่
11. และมีมนุษย์บางคนที่เป็นผู้นมัสการต่ออัลเลาะฮฺบนความลังเล กล่าวคือ หากมีความดีงามมาประสบแก่เขา เขาก็จะสบายใจกับมัน แต่ถ้ามีวิกฤติการมาประสบแก่เขา เขาก็จะพลิกกลับบนใบหน้าของเขา (คว่ำหน้าลงสู่สภาพเนรคุณ) เขาประสบความขาดทุนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า นั้นเป็นความขาดทุนอันชัดแจ้งที่สุด
12. เขาวอนนมัสการนอกเหนือจากอัลเลาะฮฺจากสิ่งที่ไม่ทำอันตรายแก่เขา นั้นเป็นความหลงอันไกลยิ่ง
13. เขาวอนนมัสการต่อสิ่งซึ่งอันตรายของมันใกล้ชิด(กับเขา)ยิ่งกว่าประโยชน์ของมัน มันเป็นมิตรที่เลวร้ายและเป็นผู้ร่วมสังคมที่เลวร้าย


คำแปล R3.
8.   และในมนุษย์นั้นมีบางคนที่ยโสโอหัง โต้เถียงเกี่ยวกับอัลลอฮฺโดยไม่มีความรู้ และทางนำและคัมภีร์ส่องสว่าง
9.   เพื่อที่พวกเขาจะพาผู้คนให้หลงไปจากทางของอัลลอฮฺ คนเหล่านี้จะได้รับความอัปยศในโลกนี้และในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ เราจะทำให้เขาได้ลิ้มรสการลงโทษในไฟ
10.   นี่คืออนาคตที่สูเจ้าได้เตรียมไว้สำหรับตัวสูเจ้าด้วยมือของสูเจ้าเอง แท้จริงอัลลอฮฺมิทรงอธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์
11.   และในหมู่มนุษย์นั้นมีบางคนที่เคารพภักดีต่ออัลลอฮฺโดยยืนอยู่บนขอบ(แห่งความศรัทธา) ถ้าหากความดีอันใดเกิดขึ้นแก่เขา เขาก็พอใจ(กับความศรัทธาของเขา) แต่ถ้าหากมีการทดสอบอันใดเกิดขึ้นแก่เขา เขาก็หันหลังของเขาให้ (แก่ความศรัทธา) ดังนั้น เขาจึงขาดทุนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า นี่คือการขาดทุนที่ชัดเจน
12.   เขาวิงวอนขอต่อสิ่งอื่นที่ไม่สามารถให้โทษและยังคุณแก่เขาแทนอัลลอฮฺ นั่นเป็นการหลงผิดไปไกลลิบ
13.   เขาวิงวอนบรรดาผู้ที่จะให้โทษแก่เขามากกว่าคุณ ช่างเป็นผู้คุ้มครองที่ชั่วช้าและสหายที่ชั่วช้าเสียนี่กระไร
     

คำแปล R4.
8. และในหมู่มนุษย์บางคนมีผู้โต้เถียงในเรื่องของอัลลอฮฺ โดยปราศจากความรู้และโดยปราศจากแนวทางที่ถูกต้อง และปราศจากคัมภีร์ที่มีหลักฐานชัดแจ้ง
9. เขาจะเอี้ยวตัวอของเขาไปอย่างหยิ่งยโสเพื่อให้ผู้คนหลงจากทางอัลลอฮฺ สำหรับเขาจะไดรับความอัปยศในโลกนี้และเราจะให้เขาลิ้มรสการลงโทษที่มีไฟลุกไหม้ในวันกิยามะฮฺ
10. นั่นเพราะว่า มือทั้งสองของเจ้าได้ก่อกรรมทำไว้ และแท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงอธรรมต่อปวงบ่าว
11. และในหมู่มนุษย์บางคน มีผู้เคารพภักดีต่ออัลลอฮฺบนขอบทางของศาสนา หากความดีประสบแก่เขา เขาก็พออกพอใจต่อสิ่งนั้น หากความทุกข์ยากประสบแก่เขา เขาก็จะผินหน้าของเขากลับสู่การปฏิเสธ เขาขาดทุนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า นั่นคือการขาดทุนอย่างชัดแจ้ง
12. เขาวิงวอนสิ่งอื่นจากอัลลอฮฺ ซึ่งมันไม่ให้โทษแก่เขาและมันก็ไม่ให้คุณแก่เขา นั่นคือการหลงผิดที่ไกลลิบ
13. เขาวิงวอนต่อผู้ที่โทษของมันจะมีขึ้นเร็วกว่าคุณประโยชน์ของมัน แน่นอนมันเป็นผู้คุ้มครองที่ชั่วช้าแท้ ๆ และมันเป็นสหายที่ชั่วช้าจริง ๆ


คำแปล R5.
๘. และบางส่วนจากมนุษย์ มีผู้ที่โต้เถียงในอัลเลาะห์โดยปราศจากความรู้และปราศจากการชี้นำโดยหลักฐานและปราศจากคัมภีร์อันแจ่มชัด
๙. เขาโต้เถียงในอาการเอียงคอของเขาไปทางซ้ายทางขวาด้วยความทรนง เป็นการแสดงออกถึงความไม่เชื่อถือในอัล-กุรอานที่ท่านศาสดาได้นำมาประกาศเพื่อเขาหลงออกจากทางของอัลเลาะห์เขาได้รับการเหยียดหยามในโลกนี้โดยตัวเขาเองถูกฆ่าตายในสงครามบัดร และเราจะให้เขาได้ชิมรสแห่งความทรมานจากการลงโทษของไฟนรกอันแผดเผาในปรภพ
๑๐. การที่เขาถูกฆ่าตายในสงครามบัดรและจะต้องถูกลงโทษในนรกตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นเป็นไปเพราะความผิดที่สองมือของเจ้าได้กระทำไว้ก่อนทั้งสิ้น หาใช่ว่าพระองค์อัลเลาะห์จะแกล้งลงโทษโดยไม่มีความผิดไม่ และแท้จริงอัลเลาะห์มิใช่ผู้ทรงทุจริตยิ่งนักต่อบ่าวของพระองค์ด้วยการลงโทษบุคคลที่ไม่ได้กระทำความผิดมาก่อน ดังนั้นการที่เขาได้รับโทษทั้งในโลกนี้และโลกหน้าจึงสาสมแล้วกับความผิดของเขา และเขาจะต้องโทษตัวของเขาเองที่เขาทระนงตนไม่ยอมศรัทธาในคำประกาศของท่านศาสดา อันเป็นความผิดที่เขาต้องได้รับการลงโทษตามที่ได้กล่าวไว้
๑๑. และบางส่วนจากมนุษย์มีผู้ที่นมัสการต่ออัลเลาะห์บนความมุ่งหวังต่อผลประโยชน์จากด้านหนึ่งของศาสนา เขามีแต่ความลังเลและสงสัย ในหัวใจของเขาเปรียบดังทหารชั้นปลายแถว ถ้าได้ทรัพย์เชลยศึกตอบแทนเป็นจำนวนมากเขาก็พอใจและมีจิตใจมุ่งมั่นที่จะทำศึก แต่ถ้ากองทัพมีทีท่าจะแตกและพ่ายแพ้ เขาก็จะรีบหนีออกจากแถวเอาตัวรอด ในการนมัสการต่ออัลเลาะห์ บุคคลเช่นนี้เขาไม่มั่นใจในการกระทำของเขาเลยว่าถูกต้องหรือเป็นจริงหรือไม่ ? เขามีแต่ความลังเลและสงสัยไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นถ้ามีความดีประสบแก่เขาโดยเขาอยู่ด้วยความอุดมสมบูรณ์ มีสุขภาพดีและปลอดภัย ทั้งชีวิตร่างกายและทรัพย์สมบัติเขาก็จะสงบจิตสงบใจของเขาด้วยความยินดีกับสิ่งนั้น และถ้าความวิกฤติได้ประสบแก่เขา โดยเขาเกิดความขาดแคลน ยากจนหรือป่วยไข้ เขาก็จะหงายหน้าของเขากลับไปสู่ลัทธิดั้งเดิมของเขา คือลัทธิแห่งความเนรคุณพระเจ้า(กุฟุร) เขาขาดทุนทั้งโลกนี้และโลกหน้า โดยเขาไม่สามารถจะได้รับในสิ่งที่เขามุ่งหวังและไม่อาจบรรลุสู่เป้าประสงค์ของเขาทุกประการ ในโลกนี้ความมุ่งหวังของเขาที่ต้องการมีทรัพย์สมบัติและพวกพ้องให้มากมาย เขาก็หมดหวังที่จะได้รับ ส่วนในโลกหน้า เขามุ่งหวังจะได้ไปสู่ความสุขแห่งสวนสวรรค์เขาก็หมดโอกาสเพราะเขาได้กลับไปสู่ลัทธิเนรคุณของเขาเสียแล้ว ความขาดทุนทั้งสองโลกตามที่กล่าวนั้นมันเป็นความขาดทุนอันชัดแจ้ง
๑๒. เขาวอนขอและกราบไหว้บูชาต่อเทวรูปนอกเหนือจากอัลเลาะห์ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ทำอันตรายแก่เขา เมื่อเขาไม่ทำการกราบไหว้ และเป็นสิ่งที่ไม่อำนวยประโยชน์แก่เขา เมื่อเขาทำการกราบไหว้ นั้น คือความหลงอันห่างไกลจากความสัจจริง
๑๓. เขาวอนขอและกราบไหว้บูชาต่อเทวรูปต่าง ๆ อันเป็นสิ่งซึ่งอันตรายของสิ่งนั้นใกล้ชิดต่อเขายิ่งไปกว่าประโยชน์ของมันมากมายนัก สิ่งนั้นเป็นผู้ช่วยเหลือที่เลวที่สุด เพราะไม่เคยช่วยอะไรแก่ผู้ใดเลย และเป็นเพื่อนที่เลวที่สุด เพราะไม่ให้คุณแก่ผู้กราบไหว้มันเลย ดังนั้นที่เขาเฝ้ากราบไหว้บูชาและวิงวอนขอต่อเทวรูป ทั้ง ๆ ที่ไม่ให้ทั้งอันตรายและประโยชน์เช่นนั้น จึงเป็นความโง่เขลาอย่างยิ่ง ที่จริงแล้วผู้ช่วยเหลืออันประเสริฐยิ่ง มีอัลเลาะห์เพียงองค์เดียวเท่านั้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 14 - 16


คำแปล R1.
14. Truly, Allah will admit those who believe (in Isamic Monotheism) and do righteous good deeds (according to the Qur'an and the Sunnah) to Gardens underneath which rivers flow (in Paradise). Verily, Allah does what He wills.
15. Whoever thinks that Allah will not help him (Muhammad) in this world and in the Hereafter, let him stretch out a rope to the ceiling and let him strangle himself. Then let him see whether his plan will remove that whereat he rages!
16. Thus have we sent it (this Qur'an) down (to Muhammad) as clear signs, evidences and proofs, and surely, Allah guides whom He wills.


คำแปล R2.
14. แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงให้บรรดาผู้มีศรัทธาและประพฤติแต่ความดีงามได้เข้าสวรรค์ซึ่งมีธารน้ำไหลอยู่ ณ เบื้องใต้ของมัน แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาเสมอ
15. ผู้ใดก็ตามที่เคยเข้าใจว่าอัลเลาะฮฺจะไม่ช่วยเหลือเขาในโลกนี้และโลกหน้า เขาก็จงหย่อนเชือกลงไปยังหลังคา (บ้านของเขา)หลังจากนั้นเขาจงผูกคอของเขาเองจนตาย แล้วเขาจงพิจารณาดูเถิดว่า แผนการของเขา(ที่กระทำกับตัวเอง)นั้น สามารถขจัดสิ่งที่ทำความโกรธแค้น(แก่เขา)ได้ไหม ?
16. และเช่นนั้น เราได้ลงอัลกุรอานมาเป็นโองการต่าง ๆ อันชัดแจ้ง และแท้จริงอัลลอฮฺทรงชี้นำแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์


คำแปล R3.
14.   สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบความดีนั้น อัลลอฮฺจะทรงรับพวกเขาเข้าสู่สวนสวรรค์ที่เบื้องล่างนั้นมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน แท้จริงอัลลอฮิทรงทำในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์
15.   สำหรับคนที่คิดว่าอัลลอฮฺจะไม่ทรงช่วยเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้าเขาก็ควรขึ้นไปสู่ท้องฟ้า (ถ้าหากเขาสามารถ) ด้วยเชือก และเจาะช่องปีนเข้าไปในนั้นแล้วดูว่าแผนการของเขาจะสามารถป้องกันความหายนะที่เขารังเกียจได้ไหม
16.   และเราได้ประทานกุรอานนี้ลงมาพร้อมกับคำสอนอันชัดเจนเช่นนี้ แต่อัลลอฮฺเท่านั้นทรงนำทางผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์


คำแปล R4.
14. แท้จริงอัลลอฮฺทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาและผู้กระทำความดีทั้งหลาย เข้าสวนสวรรค์หลากหลาย ณ เบื้องล่างของมันมีลำน้ำหลายสายไหลผ่านแท้จริงอัลลอฮฺทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์
15. ผู้ใดคิดว่าอัลลอฮฺจะไม่ทรงช่วยเหลือเขา (มุฮัมมัด) ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ก็จงให้เขาผู้นั้นต่อเชือกขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วให้เขาตัดมันออก (ผูกคอตาย) แล้วให้เขาเฝ้าดูว่าแผนการของเขา จะทำให้สิ่งที่เขาเคียดแค้นหมดสิ้นไปไหม?
16. และเช่นนั้นแหละ เราได้ให้อัลกุรอานลงมาเป็นโองการทั้งหลายที่ชัดแจ้ง และอัลลอฮฺนั้นทรงชี้แนะทางให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์


คำแปล R5.
๑๔. แท้จริงอัลเลาะห์ทรงบันดาลให้บรรดาผู้ศรัทธาและปฏิบัติความดีต่าง ๆ ทั้งส่วนที่บังคับและส่วนส่งเสริมได้เข้าสวรรค์ซึ่งมีธารน้ำหลายสายไหลผ่าน ณ เบื้องใต้ของมัน การที่บุคคลซึ่งศรัทธาในอัลเลาะห์ได้รับเกียรติ และผู้ทรยศได้รับการดูถูกนั้น ย่อมเป็นไปโดยการบันดาลของอัลเลาะห์ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ทรงบันดาลแก่สิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ เมื่อทรงประสงค์สิ่งใดพระองค์ก็จะบันดาลสิ่งนั้น โดยหามีผู้ใดขัดขืนหรือยับยั้งได้ไม่
๑๕. ผู้ใดที่คิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์จะไม่ช่วยเขา (มุฮำมัด) ในโลกนี้โดยให้ได้รับชัยชนะในการทำศึกและในโลกหน้าโดยให้ได้เป็นประมุขแห่งบรรดามนุษยชาติทั้งมวล เขาก็จงขึงเชือกไว้กับเพดานบ้านของเขา และผูกเชือกนั้นกับคอของเขาเป็นการผูกคอตาย หลังจากนั้นเขาจงตัดชีวิตของเขาให้สิ้นไปกับการผูกคอตายดังกล่าว แล้วเขาก็จงพิจารณาเถิดว่า อุบายของเขานั้นคือการกระทำของเขาดังกล่าวจะขจัดความโกรธของเขาให้มลายไปได้หรือ ? ต่อให้ผูกคอตายไปแล้วก็ตาม ความโกรธเคือง ความอิจฉาริษยา ความเศร้าในจิตใจของเขาและความเกลียดชังในจิตใจของเขาที่มีกับท่านศาสดานบีมุฮำมัดเมื่อท่านได้รับชัยชนะในการทำศึกอันเป็นการช่วยเหลือโดยตรงจากอัลเลาะห์ก็หาได้มลายหายไปจากจิตใจของเขาไม่ เพราะอัลเลาะห์ (ซ.บ.) ก็จะต้องให้ความช่วยเหลือแก่ท่านนบีมุฮำมัดตลอดไป ไม่ชงักงันเพราะการที่เขาผูกคอตายอย่างเด็ดขาด
๑๖. และเช่นที่เราได้ประทานโองการที่ได้ผ่านพ้นมาแล้วนั้น เราก็ได้ประทานลงมาซึ่งอัลกุรอานทั้งหมดโดยให้เป็นสัญญาณต่าง ๆ อันชัดแจ้ง ความหมายแห่งโองการเหล่านั้นมีอยู่โดยชัดแจ้งอยู่แล้ว และแท้จริงอัลเลาะห์ทรงชี้นำสู่วิถีทางอันเที่ยงตรงแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 17 - 22


คำแปล R1.
17. Verily, those who believe (in Allah and in his Messenger Muhammad), and those who are Jews, and the Sabians, and the Christians, and the Magians, and those who worship others besides Allah, truly, Allah will judge between them on the Day of Resurrection. Verily! Allah is witness over all things.
18. See you not that to Allah prostrates whoever is in the heavens and whoever is on the earth, and the sun, and the moon, and the stars, and the mountains, and the trees, and Ad-Dawab (moving living creatures, beasts, etc.), and many of mankind? but there are many (men) on whom the punishment is justified. And whomsoever Allah disgraces, none can honour Him. Verily! Allah does what He wills.
19. These two opponents (believers and disbelievers) dispute with each other about their Lord; Then as for those who disbelieve, garments of Fire will be cut out for them, boiling water will be poured down over their heads.
20. With it will melt or vanish away what is within their bellies, as well as (their) skins.
21. And for them are hooked rods of iron (to punish them).
22. Every time they seek to get away therefrom, from anguish, they will be driven back therein, and (it will be) said to them: "Taste the torment of burning!"


คำแปล R2.
17. แท้จริงบรรดาผู้มีศรัทธา, บรรดาผู้เป็นยะฮูดี, บรรดาผู้เปลี่ยนศาสนา,(ไปกราบไหว้มลาอิกะฮฺและดวงดาว) บรรดาผู้เป็นนัสรอนี, บรรดาชาวมะยูซี(ที่บูชาไฟ), และบรรดาจำพวกตั้งภาคี(กับอัลเลาะฮฺ) ที่จริงนั้นอัลเลาะฮฺจักทรงตัดสินระหว่างพวกเขาในวันกิยามะฮฺ(อย่างยุติธรรมโดยให้บรรดาผู้มีศรัทธาเข้าสวรรค์และที่เหลืออีกห้าพวกลงนรก) แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงเป็นสักขีพยานบนทุก ๆ สิ่ง
18. เจ้าไม่รู้หรือว่า อันพระองค์อัลเลาะฮฺนั้น (ทุก ๆ สิ่ง)ล้วนทำการกราบกรานต่อพระองค์(ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น)สรรพสิ่งในฟากฟ้า สรรพสิ่งในพื้นพิภพ, ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ดวงดาว, ภูเขา, ต้นไม้, สัตว์ต่าง ๆ และสวนมากจากมนุษย์ทั้งปวงก็ยังมี (คน) อีกเป็นจำนวนมากที่ต้องประสบการลงโทษ และผู้ใดก็ตามที่อัลเลาะฮฺทรงหยามเขา แน่นอนก็จะไม่มีผู้ใดยกย่องเขาได้ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนา
19. คนสองกลุ่มนี้(คือกลุ่มมุอ์มินและกลุ่มกาฟิร)ที่เป็นคู่โต้เถียงกัน พวกเขาต่างก็โต้เถียงกันใน(เรื่องที่เกี่ยวกับ)องค์อภิบาลของพวกเขา โดยแท้จริงบรรดาจำพวกไร้ศรัทธานั้น จะต้องถูกตัดเสื้อผ้าจากไฟนรกให้แก่พวกเขา (ได้สวมใส่) อีกทั้งจะถูกราดรดน้ำเดือดลงบนศีรษะของพวกเขา
20. อะไรก็ตามที่อยู่ในท้องของพวกเขาและผิวหนังของพวกเขาจะถูกละลายด้วยน้ำนั้น
21. และพวกเขามีท่อนเหล็กมากมาย(ถูกเตรียมไว้เพื่อการลงโทษพวกเขา)
22. ทุกครั้งที่พวกเขาปรารถนาจะออกไปจากนรกให้พ้นจากความทุกข์ยาก พวกเขาก็จะถูกนำตัวกลับเข้าสู่นรก(ดังเดิม) พร้อมทั้ง(มีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า) “พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษของนรกอันแผดเผาเถิด”


คำแปล R3.
17.   สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาและบรรดาผู้เป็นยิว และบรรดาซอบิอีน และชาวคริสเตียน และชาวมะญูซและบรรดาผู้ทำชิริกนั้น อัลลอฮิจะทรงตัดสินระหว่างพวกเขาในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ เพราะทุกสิ่งอยู่ในสายตาของอัลลอฮิแล้ว
18.   สูเจ้ามิเห็นหรือว่าทุกผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินกราบเคารพนบนอบต่ออัลลอฮฺ ? เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวและภูเขาและต้นไม้และสัตว์ทั้งปวง และมนุษย์จำนวนมากและแม้แต่บรรดามนุษย์ส่วนใหญ่ที่สมควรได้รับการลงโทษ และคนที่อัลลอฮฺได้ทำให้เขาอัปยศตกต่ำก็จะไม่มีใครทำให้เขาได้รับเกียรติ แท้จริง อัลลอฮฺทรงทำอะไรก็ตามที่พระองค์ทรงประสงค์
19.   นี่คือคนสองฝ่ายที่ถกเถียงกันเกี่ยวกับพระเจ้าผู้อภิบาลของพวกเขา สำหรับผู้ปฏิเสธนั้น อาภรณ์ให้ไฟได้ถูกตัดไว้แล้วสำหรับพวกเขา เหนือศีรษะของพวกเขาจะมีน้ำเดือดเทราดลงมา
20.   ซึ่งไม่เพียงแต่จะละลายผิวหนังของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมทั้งส่วนในท้องของเขาด้วย
21.   และจะมีแท่งเหล็กคอยฟาดเขา
22.   เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพยายามจะออกจากนรกเพราะความเจ็บปวด พวกเขาก็จะถูกผลักให้กลับเข้าไปในนั้นอีก (โดยมีเสียงกล่าวว่า) “จงลิ้มรสการลงโทษในเปลวเพลิง”


คำแปล R4.
17. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และบรรดาชาวยิว และพวกศอบิอีน และพวกนะศอรอ และพวกบูชาไฟ และบรรดาผู้ตั้งภาคี แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงตัดสินในระหว่างพวกเขาในวันกิยามะฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่ง
18. เจ้ามิได้เห็นหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺเท่านั้นผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และผู้ที่อยู่ในแผ่นดินและดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลาย และภูเขาทั้งหลาย และต้นไม้ และสัตว์ ทั้งหลาย และส่วนมากของมนุษย์ ต่างก็สุญูดนอบน้อมต่อพระองค์ แต่ส่วนมากการลงโทษจะเหมาะสมคู่ควรแก่เขา และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงทำให้อัปยศก็จะไม่มีผู้ใดให้เกียรติเขาแท้จริง อัลลอฮ์นั้นทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงสงค์
19. ผู้โต้เถียงทั้งสองฝ่ายนี้ต่างก็โต้เถียงกันเกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขา สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น มีอาภรณ์ที่ทำด้วยไฟถูกตัดไว้สำหรับพวกเขา น้ำร้อนเดือดจะถูกเทราดลงบนศีรษะของพวกเขา
20. สิ่งที่อยู่ในท้องของพวกเขาและหนังจะถูกละลายด้วยน้ำร้อนเดือดนั้น
21. และสำหรับพวกเขา จะถูกทุบด้วยค้อนเหล็ก
22. ทุกครั้งที่พวกเขาต้องการจะออกไปจากนรกเนื่องจากความทุกข์ยาก พวกเขาก็ถูกให้กลับไปในนั้นอีก (มีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า) พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษที่มีไฟคุไหม้


คำแปล R5.
๑๗. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและบรรดาผู้ที่เป็นยะฮูดี และพวกซอบิอีนซึ่งกราบไหว้มลาอิกะห์และนับถือดวงดาวและพวกนะซอรอและพวกมะยูสซึ่งกราบไหว้ดวงตะวัน ดวงเดือนและไฟ และบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีสิ่งอื่น ๆ ร่วมกับอัลเลาะห์ โดยแท้จริง อัลเลาะห์จะทรงตัดสินให้ชนทั้ง ๕ กลุ่มนั้น แยกกันรับผลสนองในระหว่างพวกเขาในวันปรภพ โดยตัดสินให้บรรดาศรัทธาชนได้เข้าสวรรค์ และกลุ่มชนที่เหลืออีก ๕ กลุ่ม ลงนรก เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ทรงเป็นสักขีผู้ทรงประจักษ์และรอบรู้เหนือทุก ๆ สิ่ง
๑๘. โอ้มุฮำมัด เจ้าไม่รู้ดอกหรือว่า แท้จริงอัลเลาะห์นั้นมีผู้กระทำการกราบไหว้ด้วยความนอบน้อมถ่อมตนต่อพระองค์อยู่ตลอดเวลา อันได้แก่ผู้อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และผู้ที่อยู่ในชั้นดิน ดวงตะวัน ดวงเดือน ดวงดาว ภูเขา ต้นไม้ บรรดาสรรพสัตว์ทั้งมวลและมนุษยชาติเป็นจำนวนมาก ซึ่งพวกเขาเป็นผู้ศรัทธาและเชื่อมั่นในพระองค์ และมนุษย์จำนวนมากที่ต้องได้รับการลงโทษ เนื่องจากความดื้อดึง ไม่ยอมกราบไหว้พระองค์อัลเลาะห์ พวกนี้ได้แก่พวกกาฟิรผู้ปฏิเสธและเนรคุณพระองค์ และผู้ใดที่อัลเลาะห์ทรงหยามเขาก็จะไม่มีผู้ใดยกย่องเขาอย่างแน่นอนเพราะแท้จริงอัลเลาะห์ทรงบันดาลในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ เมื่อจะยกย่องผู้ใดหรือหยามเหยียดผู้ใดให้ตกต่ำพระองค์ก็ย่อมมีอำนาจบันดาลให้เป็นไปตามพระประสงค์นั้นเสมอ หามีผู้ใดขัดขวางพระองค์ได้ไม่   
๑๙. อันกลุ่มชนทั้ง ๖ ที่ได้ระบุไว้ในโองการที่ ๑๗ นั้นแยกออกได้ ๒ กลุ่ม คือกลุ่มศรัทธาชน (มุมินีน) และกลุ่มกาฟิรีนทั้ง ๕ ศาสนา ทั้งสองกลุ่มนี้เป็นคู่โต้แย้งซึ่งทำการโต้แย้งในเรื่องที่เกี่ยวกับพระผู้ทรงอภิบาลของพวกเขา แต่ละกลุ่มต่างก็ปักใจยึดมั่นว่า ฝ่ายตนเท่านั้นที่ถูกต้อง ส่วนความเชื่อถือของกลุ่มอื่นล้วนผิดพลาดทั้งสิ้น ซึ่งบรรดากลุ่มกาฟิรทั้ง ๕ นั้น จะต้องประสบกับผลตอบแทนดังต่อไปนี้ แท้จริงบรรดาผู้เนรคุณนั้นได้สำรองนรกไว้แก่พวกเขา ซึ่งไฟนรกจะห่อหุ้มห้อมล้อมพวกเขาประดุจดังเสื้อผ้าจากไฟนรกที่ตัดไว้สำหรับพวกเขาให้สวมใส่ โดยพวกเขาจะถูกราดน้ำร้อนจัดจากเบื้องบนแห่งศีรษะของพวกเขา
๒๐. จนสิ่งที่อยู่ในท้องของพวกเขาและผิวหนังของพวกเขาถึงกับละลายเพราะน้ำร้อนนั้น
๒๑. และสำหรับพวกเขาจะมีแส้เหล็กเป็นจำนวนมากรุมตีให้พวกเขาได้บการทรมานอันแสนสาหัสเพื่อป้องกันมิให้พวกเขาได้หลบหนีออกจากนรก
๒๒. ทุกครั้งที่พวกเขามุ่งจะหลบหนีออกจากนรกอันเนื่องมาจากความทรมานที่เขาได้ประสบในนั้นจนเขาสุดจะทนทานได้ พวกเขาก็ถูกบังคับด้วยแส้เหล็กให้คืนกลับเข้าไปในนั้น อีกดังเดิม และจะมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า และพวกเจ้าจงชิมรสทรมานของการลงโทษแห่งนรกอันแผดเผาเถิด


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 23 - 25


คำแปล R1.
23. Truly, Allah will admit those who believe (in the Oneness of Allah Islamic Monotheism) and do righteous good deeds, to Gardens underneath which rivers flow (in Paradise), wherein they will be adorned with bracelets of gold and pearls and their garments therein will be of silk.
24. And they are guided (in this world) unto goodly speech (i.e. La ilaha ill-Allah, Alhamdu lillah, recitation of the Qur'an, etc.) and they are guided to the Path of Him (i.e. Allah's Religion of Islamic Monotheism), who is worthy of all praises.
25. Verily! Those who disbelieve and hinder (men) from the Path of Allah, and from Al-Masjid-al-Haram (at Makkah) which we have made (open) to (all) men, the dweller in it and the visitor from the country are equal there [as regards its sanctity and pilgrimage (Hajj and 'Umrah)]. And whoever inclines to evil actions therein or to do wrong (i.e. practice polytheism and leave Islamic Monotheism), him We shall cause to taste a painful torment.


คำแปล R2.
23. แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงให้บรรดาผู้มีศรัทธาและประพฤติแต่ความดีงาม ได้เข้าสวรรค์ซึ่งมีธารน้ำไหลอยู่ ณ เบื้องใต้ของมัน พวกเขาได้รับการประดับในนั้นด้วยกำไลที่ทำมาจากทองคำ และไข่มุก และเครื่องนุ่งห่มของพวกเขาในสวรรค์เป็นไหม(ทั้งสิ้น)
24. และพวกเขาถูกชี้นำให้ใช้คำพูดที่ดีและถูกชี้นำไปยังวิถีทางของอัลเลาะฮฺ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ
25. แท้จริงบรรดาพวกไร้ศรัทธาทั้งหลาย และพวกเขาขัดขวาง(ผู้คน)จากวิถีทางของอัลเลาะฮฺและ(ขัดขวาง)จากมัสยิดอัลหะรอม(มักกะฮฺ)ซึ่งเราได้ทำมันให้เป็นความเสมอภาคสำหรับมวลมนุษย์(ที่จะทำอิบาดะฮฺ) ทั้งผู้ที่พำนักอยู่ในนั้นและผู้ที่มาจากที่อื่นก็ตาม และผู้ใดมีความประสงค์ที่จะกระทำการฝ่าฝืนด้วยทุจริตใด ๆ ในนั้น แน่นอนเราก็จักให้เขาได้ลิ้มรสการลงโทษอันทรมานที่สุด


คำแปล R3.
23.   สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดี อัลลอฮฺจะทรงรับพวกเขาเข้าสู่สวรรค์ซึ่งภายใต้นั้นมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน ที่นั่นพวกเขาจะถูกประดับด้วยกำไลทองคำและไข่มุกและอาภรณ์ของพวกเขาจะทำด้วยผ้าไหม
24.   (นี่เป็นเพราะ) พวกเขาได้ถูกนำไปสู่วจนะอันบริสุทธิ์ และได้ถูกนำไปสู่ทางของผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ
25.   บรรดาผู้ปฏิเสธและขัดขวางคนอื่นจากหนทางของอัลลอฮฺและจากการไปยังมัสญิดอัล-ฮะรอม ที่เราได้ทำให้มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันทั้งผู้ที่อยู่ในนั้นและผู้ที่อยู่ข้างนอกนั้น (จะต้องได้รับการลงโทษอย่างแน่นอน) และใครก็ตามที่หันเหออกจากความถูกต้องและก่อความไม่เป็นธรรมขึ้นในนั้น เราจะทำให้เขาได้ลิ้มรสการลงโทษอันเจ็บปวด


คำแปล R4.
23. แท้จริง อัลลอฮฺจะทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาและทำความดีทั้งหลาย เข้าสวนสวรรค์หลากหลาย ณ เบื้องล่างของมันมีลำน้ำหลายสายไหลผ่านในนั้น พวกเขาจะถูกสวมใส่กำไลมือที่ทำจากทองคำและไข่มุก และเสื้อผ้าของพวกเขาที่สวมใส่ในนั้นก็เป็นผ้าไหม
24. และพวกเขาจะถูกนำสู่คำพูดที่ดีมีประโยชน์และจะถูกนำสู่ทางที่ได้รับการสรรเสริญ คือ สวนสวรรค์
25. แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และขัดขวางทางอัลลอฮฺ และมัสยิดอัลหะรอม ซึ่งเราได้ทำมันไว้ สำหรับมนุษย์อย่างเท่าเทียมกันทั้งผู้ที่พำนักอยู่ในนั้นและที่มาจากภายนอก และถ้าผู้ใดปรารถนาที่จะออกนอกทางด้วยความอธรรมเราก็จะให้เขาลิ้มรสการลงโทษอย่างเจ็บปวด


คำแปล R5.
๒๓. อัลเลาะห์ได้ดำรัสถึงผลตอบแทนที่จะประทานแก่ศรัทธาชนทั้งหลายว่า  แท้จริงอัลเลาะห์จะให้บรรดาผู้มีศรัทธาและปฏิบัติความดีต่าง ๆ เข้าสวรรค์ซึ่งมีธารน้ำไหลอยู่ ณ เบื้องใต้ของมันโดยพวกเขาได้รับการประดับในขณะที่อยู่ ในนั้นด้วยกำไลที่ทำจากทองและไข่มุกและเครื่องแต่งกายของพวกเขาในนั้นเป็นผ้าไหม ซึ่งในโลกนี้พวกเขาถูกห้ามสวมใส่โดยเด็ดขาด
๒๔.  และพวกเขาได้รับการชี้นำให้พูดแต่คำพูดที่ดี นั่นคือ คำพูดที่แสดงถึงความยอมรับในเอกภาพของพระองค์อัลเลาะห์ว่า “ไม่มีพระเจ้านอกจากอัลเลาะห์” และพวกเขาได้รับการชี้นำไปสู่วิถีอันได้รับการสดุดี เมื่อพวกเขาอยู่ในโลกนี้พวกเขาก็ได้รับการชี้นำให้นับถืออิสลามและในโลกหน้าก็ได้รับการชี้นำไปสู่สวรรค์
๒๕.  แท้จริงบรรดาผู้เนรคุณทั้งหลายที่ปฏิเสธเอกภาพของอัลเลาะห์ ยกโกหกในท่านศาสดา และคัดค้านคำประกาศที่ท่านนำมาจากอัลเลาะห์ และพวกเขาขัดขวางต่อแนวทางของอัลเลาะห์ โดยพยายามหาวิธียับยั้งมนุษย์ทั้งหลายมิให้ประพฤติความดีงามต่าง ๆ ตามคำบัญชาของอัลเลาะห์  และขัดขวางมนุษย์มิให้เข้าสู่มักกะห์อันเป็นสถานที่ตั้งของ มัสยิดอัล-หะรอมที่เราได้บันดาลมันไว้เพื่อเป็นกิบละห์ (ชุมทิศ) และสถานที่ทำการภักดี แด่มวลมนุษย์ ซึ่งทุก ๆ คนมีสิทธิ เท่าเทียมกันทั้งผู้ที่พำนักอยู่ในนั้น (มักกะห์)และผู้ที่อยู่นอกเขตมักกะห์ ซึ่งเดินทางเข้ามาทั้งในยามปกติและในยามเทศกาลฮัจย์ก็ตาม ทุกคนย่อมมีสิทธิที่จะเข้าไปได้โดยเสมอภาคทั้งนี้เมื่อเขาเป็นผู้ศรัทธา  และผู้ใดมีความมุ่งหมายในนั้นที่จะหักเหออกจากแนวทางของศาสนาอันเป็นสัจจะและเที่ยงตรง  เพราะความทุจริต โดยเขาทรยศต่ออัลเลาะห์ และฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์  แน่นอนเราจะให้เขาชิมรสแห่ง การลงโทษอันทรมานยิ่ง


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่26 - 29
 

คำแปล R1.
26. And (remember) when we showed Ibrahim (Abraham) the site of the (Sacred) House (the Ka'bah at Makkah) (saying): "Associate not anything (in worship) with Me, [La ilaha ill-Allah (none has the right to be worshipped but Allah Islamic Monotheism], and sanctify My House for those who circumambulate it, and those who stand up for prayer, and those who bow (submit themselves with humility and obedience to Allah), and make prostration (in prayer, etc.);"
27. And proclaim to mankind the Hajj (pilgrimage). They will come to you on foot and on every lean camel; they will come from every deep and distant (wide) mountain highway (to perform Hajj).
28. That they may witness things that are of benefit to them (i.e. reward of Hajj In the Hereafter, and also some worldly gain from trade, etc.), and mention the Name of Allah on appointed days (i.e. 10th, 11th, 12th, and 13th Day of Dhul-Hijjah), over the beast of cattle that He has provided for them (for sacrifice) (at the time of their slaughtering by saying: Bismillah, Wallahu-Akbar, Allahumma Minka Wa Ilaik). Then eat thereof and feed therewith the poor who have a very hard time.
29. Then let them complete the prescribed duties (Manฟsik of Hajj) for them, and perform their vows, and circumambulate the Ancient House (the Ka'bah at Makkah).


คำแปล R2.
26. และเมื่อครั้งที่เราได้เจาะจงแก่อิบรอฮีมซึ่งสถานที่(ก่อสร้าง)บัยติลลาฮฺ (เราก็รับสั่งแก่เขาว่า) “เจ้าจงอย่าตั้งสิ่งใด ๆ ขึ้นเป็นภาคีร่วมกับข้า และจงชำระบ้านของข้าให้สะอาดสำหรับบรรดาผู้ทำการตอวาฟทั้งหลาย และบรรดาผู้ยืน รวมทั้งบรรดาผู้ก้ม ผู้กราบ(ในพิธีละหมาด)
27. และเจ้าจงประกาศเถิด (โอ้อิบรอฮีม) ในมวลมนุษยชาติเพื่อการบำเพ็ญพิธีฮัจย์ซึ่งพวกเขาจะมา(ตามเสียงเรียก)ยัง(บัยติลลาห์อันเป็นสิ่งก่อสร้างของ)เจ้า มีทั้งพวกที่เดินมาและที่ขี่(พาหนะ) อูฐอันผอมโซมา พวกเขาจะมาจากทุก ๆ หนทางอันไกลโพ้น
28. เพื่อพวกเขาจะได้ประจักษ์ซึ่งคุณานุประโยชน์แก่พวกเขา และพวกเขาจะได้กล่าวระลึกถึงพระนามของอัลเลาะฮฺในวันที่ถูกกำหนดไว้ (คือวันอีดและวันตัชรีกทั้งสาม ตรงกับวันที่ 10, 11, 12, 13 เดือนซิลฮิจยะฮฺ)เนื่องเพราะปศุสัตว์ที่พระองค์ได้ทรงประทานเป็นโชคผลแก่พวกเขา (ที่พวกเขานำมาเชือดกุรบานพลีทาน) ดังนั้นพวกเจ้าจงบริโภคมันเถิด และจงให้อาหารแก่ผู้ยากไร้และอนาถาเถิด
29. หลังจากนั้น พวกเขาจะต้องชำระความสะอาดแห่งเนื้อตัวของพวกเขา(ด้วยการโกนศีรษะหรือขลิบผมบางส่วน, ตัดเล็บ, อาบน้ำ เป็นต้น) และพวกเขาจะต้องทำตามการบนให้ครบถ้วน และพวกเขาจะต้องทำการตอวาฟ(เวียนรอบ)บัยติลลาฮฺอันดั้งเดิม


คำแปล R3.
26.   จงนึกถึงเมื่อตอนที่เราได้กำหนดที่ตั้งของบ้านหลังนี้ (กะอฺบะฮฺ) แก่อิบรอฮีมโดยกล่าวว่า “จงอย่าเอาสิ่งใดมาเป็นภาคีกับฉัน และจงรักษาบ้านของฉันให้สะอาดสำหรับผู้มาเวียนรอบ และสำหรับผู้ยืนและโค้งและกราบ
27.   และจงประกาศแก่มนุษย์ให้มาทำฮัจญ์จากทั้งไกลและใกล้โดยทางเท้าและบนอูฐเพรียวทุกตัว
28.   ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้ประจักษ์ถึงคุณานุประโยชน์ที่ได้ทำไว้สำหรับพวกเขา และในระหว่างวันทั้งหลายที่ได้รู้กันแล้วนั้น พวกเขาจงเอ่ยนามอัลลอฮฺเหนือปศุสัตว์ที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่พวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาจะกินเนื้อของมันก็ได้ และจงให้มันเป็นอาหารแก่คนยากจนและคนขัดสน
29.   หลังจากนั้นให้พวกเขาชำระ “สิ่งสกปรก” ของพวกเขา และปฏิบัติตามที่พวกเขาบนบานไว้ให้ครบ และเวียนรอบ “บ้านโบราณ” หลังนี้


คำแปล R4.
26. และจงรำลึกเมื่อเราได้ชี้แนะสถานอัลบัยต์แก่อิบรอฮีมว่า เจ้าอย่าตั้งภาคีต่อข้าแต่อย่างใดและจงทำบ้านของข้าให้สะอาด สำหรับผู้มาเวียนรอบ ผู้ยืนละหมาด ผู้รุกัวะ และผู้สุญูด
27. “และจงประกาศแก่มนุษย์ทั่วไปเพื่อการทำฮัจญ์ พวกเขาจะมาหาเจ้าโดยทางเท้า และโดยทางอูฐเพรียวทุกตัว จะมาจากทางไกลทุกทิศทาง
28. “เพื่อพวกเขาจะได้มาร่วม เป็นพยานในผลประโยชน์ของพวกเขาและกล่าวพระนามอัลลอฮฺในวันที่รู้กันอยู่แล้ว คือวันเชือดตามที่พระองค์ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาจากสัตว์สี่เท้า ดังนั้นพวกเจ้าจงกินเนื้อมัน และจงให้อาหารแก่ผู้ยากจนขัดสน
29. แล้วให้พวกเขาชำระทำความสะอาดด้วยการโกนหรือตัด และให้พวกเขาทำให้ครบถ้วนในเรื่องบนบานทั้งหลายของพวกเขา(เป็นการจงรักภักดีต่ออัลลอฮฺ) และจงให้พวกเขาฎอวาฟ (เดินเวียน) รอบบ้านอันเก่าแก่


คำแปล R5.
๒๖. และโอ้มุฮำมัด จงประกาศให้พวกมุชริกีนทั้งหลายได้ระลึกถึง เมื่อครั้งที่ เราได้แจ้งให้นบีอิบรอฮีมได้ทราบถึง สถานที่ตั้งของ บัยติลลาฮฺ เพื่อนบีอิบรอฮีมจะได้ก่อสร้างขึ้นใหม่ภายหลังจากที่ได้พังทลายไปเมื่อคราวมหาอุทกภัยในสมัยของนบีนูห์จนไม่ทราบว่าสถานที่ตั้งของบัยติลลาห์อยู่ตรงไหน แล้วพระเจ้าก็ดลให้อิบรอฮีมได้ทราบสถานที่ตั้งและค้นหาจนภพ แล้วทำการก่อสร้างตามพระราชประสงค์ของพระองค์ และพระองค์ทรงโองการแก่นบีอิบรอฮีมว่า  เจ้าอย่าได้ตั้งสิ่งใด ๆ ขึ้นเป็นภาคีร่วม กับข้าเป็นอันขาด  และเจ้าจงชำระบ้านของข้าให้สะอาดอยู่เสมออย่าให้มีพวกเทวรูปต่าง ๆ ประดิษฐานอยู่ในนั้น  เพื่อบรรดาผู้ตอวาฟ (พิธีเดินวนรอบวิหารบัยติลลาห์อันเป็นพิธีหนึ่งในศาสนาอิสลาม) จะได้ปฏิบัติพิธีตอวาฟด้วยความมีสมาธิในพระผู้เป็นเจ้า  และเพื่อบรรดาผู้พำนัก และ เพื่อบรรดาผู้ปฏิบัติพิธีการนมัสการในพระผู้เป็นเจ้า (ซอลาห์) ซึ่ง เป็นผู้รุกูอฺ (ก้ม) เป็นผู้สุยูด (กราบ)ในพิธีนมัสการดังกล่าว
๒๗. พระองค์อัลเลาะห์เจ้าได้มีโองการต่ออิบรอฮีมต่อไปว่า  และเจ้าจงประกาศในมวลมนุษย์ทั้งหลาย เรียกร้องให้พวกเขามาปฏิบัติ กับพิธี ฮัจย์เถิด พวกเขาจะมาสู่เจ้าตามคำประกาศของเจ้าเพื่อการปฏิบัติพิธีฮัจย์นั้น โดยการเดินเท้ามาบ้าง  และโดยการขี่อูฐผอมโซเพราะเดินทางไกลมาบ้าง  ซึ่งพวกเขามาตามคำประกาศของเจ้า  จากหนทางอันไกลโพ้น
๒๘ การมาของมวลมนุษย์เพื่อเยือนบัยติลลาฮ์ในพิธีฮัจย์ดังกล่าวนั้นก็ เพื่อพวกเขาจะได้ประจักษ์ถึงประโยชน์ต่าง ๆ ของพวกเขาเอง เช่น ในโลกนี้เขาก็จะได้รับประโยชน์จากการค้าของพวกเขาและในโลกหน้า เขาก็จะได้รับผลตอบแทนในกุศลกรรมที่เขาได้ประพฤติไว้จากพิธีฮัจย์และอื่น ๆ  และเพื่อ พวกเขาจะได้กล่าวถึงพระนามของอัลเลาะห์ในขณะเชือดกุรบานเป็นพลีทานแก่ผู้ขัดสนทั้งหลาย ในจำนวนวันที่ถูกกำหนดไว้แล้วอย่างแน่นอน ให้เขาได้เชือดสัตว์พลีทานนั้น อันได้แก่วันที่ ๑๐ –๑๔ เดือนซุลฮิจยะห์ รวม ๔ วัน การกล่าวถึงพระนามของพระองค์นั้น พวกเขากล่าว บนสัตว์ที่จะเชือดเป็นพลีทานอันเป็น สิ่งที่พระองค์ได้ประทานเป็นโชคผลแก่พวกเขาจากปศุสัตว์ทั้งหลาย คือ อูฐ กระบือ โค แพะ แกะ หลังจากได้กล่าวพระนามของอัลเลาะห์และเชือดเรียบร้อยแล้ว  ดังนั้นพวกเขาจงบริโภคบางส่วน จากสัตว์กุรบาน นั้น ถ้ากุรบานที่เชือดเป็นกุรบานสุนัต แต่ถ้าเป็นกุรบานวายิบ ห้ามบริโภคโดยเด็ดขาด  และพวกเจ้าจงให้บริโภคแก่ผู้เดือดร้อน ผู้ขัดสน ถ้าเป็นกุรบานวายิบก็ต้องบริจาคไปทั้งหมดจะบริโภคเองไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกุรบานสุนัตก็อนุญาตให้บริโภคเพียงบางส่วนและที่เหลือต้องบริจาคออกไปตามที่กล่าวไว้แล้ว
๒๙.   หลังจากนั้นพวกเขาจะต้องเปลื้องเหงื่อไคลและความสกปรกของพวกเขาให้สะอาดหมดจด โดยการโกนผม หนวด ขนในที่ลับและตัดเล็บ และพวกเขาจะต้องแก้บนของพวกเขาที่บนไว้ว่าจะเชือดสัตว์เป็นพลีทาน หรือการบนอย่างอื่น ๆ ก็ตาม  และพวกเขาจะต้องตอวาฟเวียนรอบ  ณ บัยติลลาฮ์ อันเป็นปูชนียสถาน ดั้งเดิมของมวลมนุษย์ เพราะเป็นปูชนียสถานแรกที่มนุษย์นำมาเป็นสถานที่นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่30 - 35


คำแปล R1.
30. That (Manasik prescribed duties of Hajj is the obligation that mankind owes to Allah), and whoever honours the sacred things of Allah, then that is better for him with his Lord. The cattle are lawful to you, except those (that will be) mentioned to you (as exceptions). So shun the abomination (worshipping) of idol, and shun lying speech (false statements)
31. Hunafa' Lillah (i.e. to worship none but Allah), not associating partners (in worship, etc.) unto Him and whoever assigns partners to Allah, it is as if he had fallen from the sky, and the birds had snatched him, or the wind had thrown him to a far off place.
32. Thus it is [what has been mentioned in the above said Verses (27, 28, 29, 30, 31) is an obligation that mankind owes to Allah]. And whosoever honours the symbols of Allah, then it is truly from the piety of the heart.
33. In them (cattle offered for sacrifice) are benefits for you for an appointed term, and afterwards they are brought for sacrifice unto the ancient house (the Haram - sacred territory of Makkah city).
34. And for every nation we have appointed religious ceremonies, that they may mention the Name of Allah over the beast of cattle that he has given them for food. And your Ilah (God) is one Ilah (God Allah), so you must submit to Him alone (in Islam). And (O Muhammad) give glad tidings to the Mukhbitin [those who obey Allah with humility and are humble from among the true believers of Islamic Monotheism],
35. Whose hearts are filled with fear when Allah is mentioned; who patiently bear whatever may befall them (of calamities); and who perform As-Salat (Iqamat-as-Salat), and who spend (in Allah's Cause) out of what we have provided them.


คำแปล R2.
30. นั้น และผู้ใดที่ยกย่องกฎข้อบังคับต่าง ๆ ของอัลเลาะฮฺ (ด้วยการไม่ล่วงล้ำ ฝ่าฝืน) แน่นอนมันจะเป็นการดีที่สุดสำหรับเขา ณ องค์อภิบาลของเขา และเป็นที่อนุมัติสำหรับพวกเจ้าซึ่งปศุสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นบางสิ่งที่ถูกแถลง(ห้าม)แก่พวกเจ้า (เช่น สุนัข สุกร เป็นต้น) ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลสิ่งโสโครก สิ่งนั้นคือบรรดาวัตถุบูชาทั้งปวง และพวกเจ้าจงห่างไกลคำพูดเท็จ
31. (จงประพฤติสิ่งดังกล่าว)โดยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลเลาะฮฺ อีกทั้งมิได้ตั้งภาคีต่อพระองค์ และผู้ใดตั้งภาคีต่ออัลเลาะฮฺแน่นอนก็ประดุจดังว่าเขาได้หล่นลงมาจากฟ้า และมีนกมาเฉี่ยวโฉบเขาไป หรือลมพัดพาเขาไปในสถานที่อันห่างไกลที่มีอันตราย
32. นั้น และผู้ใดยกย่องเอกลักษณ์แห่ง(ศาสนาของ)อัลเลาะฮฺ ที่จริง(เขาเป็นผู้ยำเกรงโดยแท้) เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นส่วนหนึ่งแห่งคุณลักษณะยำเกรงในหัวใจ(ของมุอ์มิน)
33. ในปศุสัตว์เหล่านั้นพวกเจ้าย่อมได้รับคุณานุประโยชน์ตราบถึงวาระที่ถูกกำหนดไว้ หลังจากนั้นก็เป็นเวลาเชือดมันเมื่อถึงบัยติลลาฮฺอันดั้งเดิม
34. และสำหรับทุก ๆ ประชาชาติ เราได้กำหนดศาสนพิธีขึ้น เพื่อพวกเขาจะได้กล่าวรำลึกถึงชื่อของอัลเลาะฮฺ เนื่องเพราะสิ่งที่พระองค์ทรงประทานโชคผลแก่พวกเขา เป็นต้นว่าปศุสัตว์ที่จะใช้เชือด อันที่จริงพระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียว ดังนั้นพวกเจ้าจงสวามิภักดิ์ต่อพระองค์เถิด และจงแจ้งข่าวดีแก่มวลผู้สยบภักดีเถิด
35. พวกเขาเป็นผู้ซึ่งเมื่อมีการกล่าวรำลึกถึงอัลเลาะฮฺ หัวใจของพวกเขาก็สะทกสะท้านหวั่นเกรงและเป็นผู้อดทนเนื่องเพราะเหตุร้ายที่ประสบแก่พวกเขา และเป็นผู้ที่ดำรงการละหมาด และพวกเขาใช้จ่ายบางส่วนที่เราได้ให้โชคผลแก่พวกเขา (โดยไม่ตระหนี่)


คำแปล R3.
30.   นี่แหละ (วัตถุประสงค์ที่กะอฺบะฮฺได้ถูกสร้างขึ้น) และใครที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต้องห้ามทั้งหลายที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้มันก็เป็นการดีสำหรับเขาในสายตาของพระผู้อภิบาลของเขา และปศุสัตว์ทั้งหลายได้ถูกทำให้เป็นที่อนุมัติสำหรับสูเจ้า ยกเว้นแต่ที่บอกแก่สูเจ้าไปแล้ว ดังนั้นจงปกป้องตัวของสูเจ้าเองให้พ้นจากสิ่งโสมมของเทวรูปบูชาทั้งหลาย และจงละเว้นจากสิ่งเท็จทั้งมวล
31.   จงเป็นผู้เคารพภักดีที่จริงใจของอัลลอฮฺ และจงอย่าเป็นผู้นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์ เพราะคนที่ตั้งสิ่งใดเป็นภาคีร่วมกับพระองค์นั้นจะเหมือนกับผู้ที่ตกลงมาจากท้องฟ้า แล้วนกก็จะเฉี่ยวเขาไปหรือไม่ก็ลมจะพัดเขาออกไปยังสถานที่ที่เขาจะถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ
32.   นี่แหละคือความจริงของเรื่อง (ดังนั้นจงเข้าใจให้ดี) และใครก็ตามที่ให้ความเคารพสิ่งที่ได้ถูกกำหนดไว้เป็นสัญลักษณ์ของอัลลอฮฺก็ให้ทำเช่นนั้นเพราะความสำรวมของหัวใจ
33.   สูเจ้าได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากปศุสัตว์(ที่ได้เตรียมไว้เชือด) จนถึงเวลาที่ได้ถูกกำหนดไว้ หลังจากนั้นสถานที่สำหรับ(การเชือด) มันก็อยู่ใกล้กับบ้านโบราณ
34.   สำหรับทุกหมู่ชนนั้นเราได้กำหนดวิธีการพลีไว้เพื่อที่ผู้คน(ของหมู่ชนนั้น) จะได้เปล่งนามของอัลลอฮฺเหนือปศุสัตว์ที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเขา (แต่วิธีการต่าง ๆ นั้นมีวัตถุประสงค์เดียวกัน) ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าของสูเจ้าคือพระเจ้าองค์เดียว ดังนั้นสูเจ้าจงนอบน้อมยอมจำนนต่อพระองค์ และ (โอ้ นบี) จงแจ้งข่าวดีต่อบรรดาผู้ถ่อมตน
35.   ผู้ที่หัวใจของพวกเขาหวั่นกลัวเมื่ออัลลอฮฺได้ถูกเอ่ยขึ้นมาต่อหน้าพวกเขา และผู้อดทนต่อความทุกข์ยากเดือดร้อนที่เกิดขึ้นแก่พวกเขาและผู้ดำรงนมาซและใช้จ่ายจากที่เราได้ประทานแก่พวกเขา


คำแปล R4.
30. เช่นนั้นแหละ และผู้ใดให้เกียรติต่อข้อห้ามทั้งหลายของอัลลอฮฺ มันก็เป็นการดีแก่เขา ณ ที่พระเจ้าของเขา และปศุสัตว์ทั้งหลายได้เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าเว้นแต่บางสิ่งที่ถูกบอกกล่าวไว้แก่พวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจงปลีกตัวให้พ้นจากความโสมม ซึ่งหมายถึงเจว็ดทั้งหลาย และจงออกห่างจากการกล่าวคำเท็จ
31. โดยเป็นผู้ยึดมั่นความเป็นจริง เพื่ออัลลอฮฺไม่เป็นผู้ตั้งภาคีใด ๆ ต่อพระองค์ และผู้ใดตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ เสมือนว่าเขาร่วงลงมาจากชั้นฟ้า แล้วนกก็บินเฉี่ยวเอาเขาไป หรือลมได้พัดพาเขาไปยังดินแดนอันไกลโพ้น
32. ฉะนั้น ผู้ใดที่ให้เกียรติแก่พระบัญญัติของอัลลอฮฺ แท้จริงมันเป็นส่วนหนึ่งแห่งการยำเกรงของจิตใจ
33. ในปศุสัตว์เหล่านั้นมีคุณประโยชน์มากหลายสำหรับพวกเจ้า จนถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้และสถานที่เชือดของมันคือบริเวณบ้านอันเก่าแก่
34. และสำหรับทุก ๆ ประชาชาติเราได้กำหนดสถานที่ทำพิธีกรรม เพื่อพวกเขาจักได้กล่าวพระนามของอัลลอฮฺ ต่อสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา คือสัตว์สี่เท้า (เช่น อูฐ วัว แพะ แกะ) ฉะนั้นพระเจ้าของพวกเจ้าคือพระเจ้าองค์เดียว ดังนั้นสำหรับพระองค์เท่านั้น พวกเจ้าจงนอบน้อมและจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผุ้จงรักภักดีนอบน้อมถ่อมตนเถิด
35. คือบรรดาผู้ที่เมื่อพระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวขึ้น หัวใจของพวกเขาหวั่นเกรง และบรรดาผู้อดทนต่อสิ่งที่ประสบกับพวกเขาและบรรดาผู้ดำรงการละหมาด และจากสิ่งที่เราได้ให้เป็นเครื่องยังชีพแก่พวกเขา พวกเขาก็บริจาค


คำแปล R5.
๓๐. อันข้อบัญญัติของพระองค์อัลเลาะห์ที่มีกระแสโองการใช้ให้เปลื้องความสกปรกออกจากร่งกาย ให้แก้บน และให้ทำตอวาฟที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น เป็นข้อบังคับสำหรับพวกเจ้าทั้งหลายในพิธีฮัจย์จักละเว้นมิได้ และผู้ใดเว้นข้อห้ามต่าง ๆ ได้ ไม่ยอมแตะต้องข้อห้ามเหล่านั้นในขณะบำเพ็ญพิธีฮัจย์ โดยเขายกย่องบรรดากฎข้อห้ามต่าง ๆ ของอัลเลาะห์โดยระวังตัวอยู่ตลอดเวลา มิได้ล่วงก้าวเข้าไปสู่การกระทำข้อห้ามเหล่านั้น แน่นอนมันจะเป็นคุณความดีแก่เขาเอง ณ เบื้องพระผู้อภิบาลของเขาในวันปรภพ โดยเขาจะได้รับผลตอบแทนในกุศลกรรมที่เขาได้ประพฤติไว้แต่อดีตในสกลโลก และบรรดาปศุสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นที่อนุมัติสำหรับพวกเจ้าที่จะบริโภคหลังจากได้เชือดอย่างถูกต้องตามหลักการแล้วโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นอูฐ โค กระบือ หรือ แพะ แกะ ก็ตาม เมื่อผ่านการเชือดแล้วย่อมบริโภคได้ทันที ยกเว้นสัตว์บางประเภทอันเป็นสิ่งที่ได้แถลงยกเว้นไว้แก่พวกเจ้าทั้งหลาย ในพระโองการแห่งอัลเลาะห์ที่ได้โองการถึงสัตว์ที่ห้ามบริโภคซึ่งจะบริโภคมันไม่ได้โดยเด็ดขาด สัตว์ที่มีโองการห้ามบริโภคไว้นั้นก็มี สัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือดอย่างถูกต้องตามหลักการ เลือด เนื้อสุกร สัตว์ที่ถูกเชือดโดยกล่าวนามสิ่งอื่น ๆ นอกจากอัลเลาะห์ สัตว์ที่ตายเพราะถูกบีบคอหรือหักคอ สัตว์ที่ตายเพราะถูกทุบตี สัตว์ที่ตายเพราะตกลงมาจากที่สูง สัตว์ที่ตายเพราะชนกัน สัตว์ที่ตายเพราะสัตว์ร้ายกิน และสัตว์ที่เชือดเพื่อสังเวยเทวรูป ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลมลทินจากบรรดาเทวรูปต่าง ๆ อย่าได้กราบไหว้บูชาสิ่งเหล่านั้นเป็นอันขาด และพวกเจ้าจงห่างไกลคำพูดเท็จ อย่าได้กล่าวเท็จแก่อัลเลาะห์ เช่น กล่าวว่า ที่กราบไหว้บูชาเทวรูปก็เพื่อความใกล้ชิดต่ออัลเลาะห์ หรือที่กล่าวว่ามลาอิกะห์เป็นบุตรีของอัลเลาะห์ และคำพูดอื่น ๆ อีกมากมายที่พวกเขาได้กุขึ้น อันไม่เหมาะสมกับพระองค์อัลเลาะห์เลย
๓๑. พวกเจ้าทั้งหลายเป็นผู้น้อมตนต่ออัลเลาะห์ และหันเหออกจากสาสนาใด ๆ เพื่อกลับสู่ความยึดมั่นในศาสนาของอัลเลาะห์ โดยไม่ตั้งพวกเทวรูปต่าง ๆ ขึ้นเป็นภาคีกับพระองค์ และผู้ใดตั้งสิ่งหนึ่ง ๆ ขึ้นเป็นภาคีกับอัลเลาะห์ แน่นอนพวกเขาจะต้องประสบความวิบัติและความเสื่อมเสีย คล้ายกับผู้ที่ตำลงมาจากฟากฟ้า แล้วนกก็เฉี่ยวเขาไปหรือลมพัดเขาไปสู่สถานที่อันห่างไกลอันไร้จุดหมาย ไม่มีหวังที่จะคืนกลับมาสู่สภาพเดิมได้
๓๒. เท่าที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงตระหนัก และจงสนองตามที่ได้ใช้มาเถิด และผู้ใดยกย่องเอกลักษณ์แห่งศาสนาของอัลเลาะห์ อันได้แก่พิธีฮัจย์ การเชือดสัตว์พลีทานและอื่น ๆ แน่นอนที่สุดการยกย่องในเอกลักษณ์นั้นย่อมเกิดขึ้นมาจากความยำเกรงของหัวใจโดยแท้จริง
๓๓. เป็นการอนุมัติสำหรับพวกเจ้าทั้งหลายในสัตว์ที่จะเชือดพลีทานนั้นให้เอาคุณานุประโยชน์จากมันก่อนที่จะเชือด เช่น การขี่ และการบรรทุก เป็นต้น จนกระทั่งถึงวาระอันถูกกำหนดไว้ว่าจะเชือดสัตว์นั้น ได้แก่วันที่ ๑๐ ของเดือนซิลฮิจยะฮ์และวันตัชรีก ติดต่อกันอีก ๓ วัน หลังจากนั้นสถานที่เชือดมันคือต้องเชือด ณ แผ่นดินหะรอมของมักกะห์ อันเป็นเมืองที่ประดิษฐานบ้านอันได้รับการปลดปล่อย คือ บัยติลลาฮ์ เหตุที่เรียกบัยติลลาฮ์ว่า “บัยติลอะตีก – บ้านที่ได้รับการปลดปล่อย” ก็เพราะบัยติลลาฮฺนี้ได้รับการป้องกันจากทรชนทั้งหลายที่มุ่งจะทำลาย ไม่ว่าใครคิดทำลาย วิหารแห่งนี้จะต้องได้รับการคุ้มกันจนถูกปลดปล่อยออกจากอันตรายของผู้นั้นเสมอ เช่น อับรอฮะห์ที่นำกองทัพจะมาทำลายเป็นต้น และคำ “อัลอะตีก” นี้แปลได้อีกว่า “ดั้งเดิม” เพราะเป็นวิหารแรกแห่งมนุษยชาติที่ใช้ประกอบศาสนกิจ (จาก อัลมะรอฆี)
๓๔. และแต่ละประชาชาติที่เลื่อมใสในศาสนาของอัลเลาะห์ในอดีตสมัย ต่างมีศาสนพิธี คือ การเชือดสัตว์พลีทาน ซึ่งหาได้มีอยู่แต่เฉพาะในยุคใดสมัยใดโดยจำกัดไม่ ทั้งนี้เพื่อพวกเขาในแต่ละยุคสมัยได้มีการกล่าวพระนามของอัลเลาะห์ขณะทำการเชือดบนสิ่งที่พระองค์ได้ประทานโชคผลแก่พวกเขาจากปศุสัตว์ทั้งหลาย เพราะแท้จริงพระเจ้าที่พวกเจ้ากราบไหว้นั้น คือพระเจ้าองค์เดียว คืออัลเลาะห์ ดังนั้นพวกเจ้าจงสยบต่อพระองค์เถิด อย่าได้กราบไหว้บูชาสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น และแม้แต่ละยุคสมัยจะมี “ศาสนพิธี” แตกต่างกัน แต่จุดมุ่งหมายแห่งศาสนพิธีดังกล่าวก็มีอย่างเดียวกัน คือ การทำนมัสการและระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ไม่อุปโลกน์สิ่งอื่นใดขึ้นเป็นภาคีร่วมในนมัสการนั้น และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้มีศรัทธา และปฏิบัติการภักดีต่ออัลเลาะห์โดยความนอบน้อมทั้งหลายให้พวกเขาทราบว่า พวกเขาจะได้รับการตอบแทนจากพระองค์อัลเลาะห์อย่างแน่นอน
๓๕. อันผู้นอบน้อมนั้น เขาจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ บรรดาผู้ซึ่งเมื่อได้มีการกล่าวพระนามของอัลเลาะห์ หัวใจของเขาก็สะทกสะท้านเต็มไปด้วยความยำเกรงที่มีต่ออัลเลาะห์ และบรรดาผู้อดทนต่อภัยพิบัติอันเป็นสิ่งที่ได้ประสบแก่พวกเขาและบรรดาผู้ดำรงการละหมาด และพวกเขาบริจาคทานแต่บางส่วนจากสิ่งที่เราได้ประทานโชคผลแก่พวกเขาเพื่อเป็นเครื่องยังชีพของพวกเขา

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 36 – 38


คำแปล R1.
36. And the Budn (cows, oxen, or camels driven to be offered as sacrifices by the pilgrims at the sanctuary of Makkah.) we have made for you as among the symbols of Allah, therein you have much good. So mention the Name of Allah over them when they are drawn up in lines (for sacrifice). then, when they are down on their sides (after slaughter), eat thereof, and feed the beggar who does not ask (men), and the beggar who asks (men). Thus have we made them subject to you that you may be grateful.
37. It is neither their meat nor their blood that reaches Allah, but it is piety from you that reaches Him. Thus have we made them subject to you that you may magnify Allah for his guidance to you? And give glad tidings (O Muhammad) to the Muhsinun (doers of good).
38. Truly, Allah defends those who believe. Verily! Allah likes not any treacherous ingrate to Allah [those who disobey Allah but obey Shaitan (Satan)].


คำแปล R2.
36. และเราได้ดลบันดาลอูฐที่ใช้เชือดพลีทานให้เป็นส่วนหนึ่งแห่งเอกลักษณ์(ศาสนา)ของอัลเลาะฮฺสำหรับพวกเจ้า ซึ่งพวกเจ้าจะได้รับความดีใน(การเชือด)มัน ดังนั้นพวกเจ้าจงกล่าวรำลึกถึงพระนามของอัลเลาะฮฺขณะที่มันยืนสามขา(เมื่อจะเชือดมัน) จนเมื่อสีข้างของมันได้ล้มลง(ขาดใจตาย) พวกเจ้าก็จงรัปทานบางส่วนของมัน และพวกเจ้าจงให้เป็นอาหารแก่ผู้ขอและผู้เสนอตัว(โดยไม่เอ่ยปากขอ) เช่นนั้น เราได้อำนวยประโยชน์ของมันแก่พวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้กตัญญู
37. เนื้อของมันและเลือดของมันหาได้บรรลุสู่อัลเลาะฮฺไม่ แต่ที่จะบรรลุถึงพระองค์ก็เพียงความยำเกรงที่มีมาจากพวกเจ้าเท่านั้น เช่นนั้น เราได้อำนวยประโยชน์ของมันแก่พวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้สดุดีในความยิ่งใหญ่ของอัลเลาะฮฺ เนื่องเพราะพระองค์ได้ทรงชี้นำพวกเจ้า และเจ้าจงแจ้งข่าวดีแก่มวลผู้ประพฤติธรรมเถิด
38. แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงปกป้องบรรดามวลชนผู้มีศรัทธา (ให้พ้นจากการย่ำยีของฝ่ายศัตรู) แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่รักผู้ชอบบิดพลิ้ว ผู้ชอบอกตัญญูทุกคน


คำแปล R3.
36.   และเราได้รวมเอาอูฐ(ที่เตรียมเชือด)เป็นสัญลักษณ์ของอัลลอฮิด้วย เพราะในตัวมันมีสิ่งดีมากมายสำหรับสูเจ้า ดังนั้นจงให้พวกมันยืนและจงเอ่ยพระนามของอัลลอฮฺเหนือมัน และ(หลังจากการเชือด) เมื่อหลังมันราบลงกับพื้น สูเจ้าก็จงกินเนื้อของมัน และให้มันแก่ผู้ที่ไม่เอ่ยขอและแก่ผู้ที่เอ่ยขอ ทำนองนี้แหละที่เราได้ทำให้สัตว์เหล่านี้อยู่ใต้อำนาจของสูเจ้าเพื่อที่สูเจ้าจะได้ขอบคุณ
37.   (จงรู้เถิดว่า) เนื้อและเลือดของมันไม่ถึงอัลลอฮฺ  แต่ความยำเกรงของสูเจ้าต่างหากที่ถึงพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงทำให้สัตว์เหล่านี้อยู่ใต้อำนาจของสูเจ้า เพื่อสูเจ้าจะได้ประกาศความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺสำหรับทางนำที่พระองค์ได้ทรงประทานสูเจ้า และ (โอ้ นบี) จงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ทำความดี
38.   แน่นอน อัลลอฮฺได้ทรงป้องกันบรรดาผู้ศรัทธา เพราะพระองค์ไม่ทรงโปรดผู้ทรยศผู้เนรคุณ


คำแปล R4.
36. และอูฐที่อ้วนพีเราได้กำหนดมันให้มีขึ้นสำหรับพวกเจ้า ถือเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาเครื่องหมายของอัลลอฮฺ เพราะในตัวมันมีของดีสำหรับพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงกล่าวพระนามของอัลลอฮฺ (เมื่อเวลาเชือด) ขณะที่มันยืน ฉะนั้นเมื่อมันล้มลงนอนตะแคงแล้ว พวกท่านก็จงบริโภคมัน และจงแจกจ่ายเป็นอาหารแก่คนที่ไม่เอ่ยขอ และคนที่เอ่ยขอ เช่นนั้นแหละเราได้ทำให้มันยอมจำนนแก่พวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจักได้ขอบคุณอัลลอฮฺ
37. เนื้อของมันและเลือดของมันจะไม่ถึงอัลลอฮฺแต่อย่างใด แต่การยำเกรงของพวกเจ้าจะถึงพระองค์ เช่นนั้นแหละเราได้ทำให้มันยอมจำนนต่อพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจักได้แซ่ซ้องอัลลอฮฺอย่างเกรียงไกรต่อการที่พระองค์ทรงชี้แนะแก่พวกเจ้า และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ทำความดีเถิด
38. แท้จริงอัลลอฮฺทรงปกป้องบรรดาผู้ศรัทธาให้พ้นจากศัตรู แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงโปรดปรานทุกคนที่ทรยศเนรคุณ


คำแปล R5.
๓๖. และสัตว์เชือดพลีทาน ณ มักกะฮฺ จะเป็นอูฐหรือโคก็ตาม เราได้บันดาลมันให้เป็นส่วนหนึ่งจากเอกลักษณ์ แห่งศาสนาของอัลเลาะห์เพื่อพวกเจ้าทั้งมวล ในนั้นมีความดีสำหรับพวกเจ้า ซึ่งพวกเจ้าจักได้ประโยชน์จากมันเป็นอนันต์ประการทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เช่น ได้ใช้ให้เป็นพาหนะขี่และบรรทุก ได้รีดนมของมันในโลกนี้ และได้กุศลจากมันในโลกหน้าด้วยการเชือดพลีทาน ดังนั้นพวกเจ้าจงกล่าวพระนามของอัลเลาะห์บนมันขณะที่เชือดมันโดยให้มันยืนสามขาและผูกขาหน้าซ้ายของมันและให้กล่าวพระนามของอัลเลาะห์ในขณะนั้น แล้วเมื่อสีข้างของมันได้ล้มลงกับพื้นและชีวิตของมันได้สิ้นไปแล้ว พวกเจ้าจงบริโภคบางส่วนจากมันและพวกเจ้าจงให้บริโภคแก่ผู้มักน้อยซึ่งยากจนแต่ไม่ยอมขอใครและผู้เสนอตัวขอจากพวกเจ้า เช่นนั้นแหละ เราได้บันดาลให้มันยอมตนต่อพวกเจ้า ให้พวกเจ้าได้ใช้งานและได้เชือดมันพลีทานเป็นกุศลแก่พวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจักขอบคุณที่เราได้ประทานคุณานุประโยชน์อันมหาศาลดังที่กล่าวไว้แล้วนั้น
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ โองการต่อไปนี้ประทานลงมาเพื่อแก้ทัศนคติเกี่ยวกับการเชือดสัตว์พลีทานที่พวกมุสลิมในสมัยแรก ๆ มีเหมือนกับพวกมุชริก กล่าวคือเมื่อเชือดสัตว์แล้วจะไม่นำไปบริจาคแก่ผู้ใด แต่จะนำเนื้อของมันมาตากแดด โดยแขวนบูชาไว้ที่กะบะฮ์เป็นการแสดงความภักดีต่ออัลเลาะห์ ซึ่งการกระทำเช่นนั้นผิดเจตนาของพระองค์ พระองค์จึงทรงประทานโองการนี้มาแก้ไข
๓๗. จะไม่บรรลุสู่อัลเลาะห์ เนื้อของมันและเลือดของมัน แต่ทว่าจะบรรลุสู่พระองค์ก็โดยความยำเกรงจากพวกเจ้าที่มีต่อพระองค์เท่านั้น เช่นนั้นแหละที่พระองค์ได้ให้มันยอมตนต่อพวกเจ้า ได้ขี่มันได้ตามความปรารถนา และจับมันเชือดได้ตามความต้องการทั้ง ๆ ที่ตัวมันใหญ่และมีแรงมหาศาลกว่ามนุษย์มากมายหลายเท่านัก ทั้งนี้ก็เพื่อพวกเจ้าได้สดุดีความยิ่งใหญ่ของอัลเลาะห์และขอบคุณพระองค์ เหนือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงชี้นำแก่พวกเจ้าสู่เอกลักษณ์ทางศาสนาของพระองค์ และศาสนพิธีอันเกี่ยวกับการบำเพ็ญฮัจย์ และโอ้มุฮำมัดเจ้าจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ประพฤติดีทั้งหลายที่ยอมรับในเอกภาพของข้า ให้พวกเขาได้ทราบทั่วกันว่า พวกเขาจะได้รับการตอบแทนด้วยสวรรค์ซึ่งสำรองไว้ให้เขา โดยอุดมไปด้วยความสุขอันพร้อมมูล
๓๘. แท้จริงอัลเลาะห์ทรงป้องกันอันตรายนานาประการให้พ้นไปจากบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย และพระองค์จะทรงลงโทษบรรดาผู้นับถือเจ้าหลายองค์(มุชริกีน) เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ไม่ทรงรักผู้บิดพลิ้วผู้เนรคุณทุก ๆ คน


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 39 - 41



คำแปล R1.
39. Permission to fight is given to those (i.e. believers against disbelievers), who are fighting them, (and) because they (believers) have been wronged, and surely, Allah is able to give them (believers) victory
40. Those who have been expelled from their homes unjustly only because they said: "Our Lord is Allah." - for had it not been that Allah checks one set of people by means of another, monasteries, churches, synagogues, and mosques, wherein the Name of Allah is mentioned much would surely have been pulled down. Verily, Allah will help those who help his (Cause). Truly, Allah is All-Strong, All-Mighty.
41. Those (Muslim rulers) who, if we give them power in the land, (they) order for Iqamat-as-Salat. [i.e. to perform the five compulsory congregational Salat (prayers) (the males in mosques)], to pay the Zakat and they enjoin Al-Ma'ruf (i.e. Islamic Monotheism and all that Islam orders one to do), and forbid Al-Munkar (i.e. disbelief, polytheism and all that Islam has forbidden) [i.e. they make the Qur'an as the law of their country in all the spheres of life]. And with Allah rests the end of (all) matters (of creatures).


คำแปล R2.
39. ได้รับอนุญาตแก่มวล(มุสลิม)ผู้ถูกรุกราน(ให้ทำการต่อสู้ได้) ทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาถูกฉ้อฉลและแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงเดชานุภาพยิ่งนัก ที่จะช่วยเหลือพวกเขา(ให้มีชัยชนะเหนือฝ่ายศัตรู)
40. พวกเขาเป็นพวกที่ถูกขับไล่ออกไปจากบ้านเมืองของพวกเขาโดยไม่ชอบธรรม (พวกเขาไม่ได้ถูกขับไล่เนื่องเพราะสาเหตุอื่นใดเลย)นอกจากเพียงเพราะพวกเขา(ยืนกราน)พูดว่า “องค์อภิบาลของเราคืออัลเลาะฮฺ” เท่านั้น และมาดแม้นอัลเลาะฮฺไม่ทรงป้องกันมนุษย์บางส่วนไว้ด้วยกับอีกบางส่วน (โดยอนุญาตให้ทำสงครามกับมนุษย์ที่เลวร้าย เพื่อชัยชนะของสงครามจะป้องกันมนุษย์ที่ดีไว้ได้) แน่นอนบรรดาอาศรมต่าง ๆ , บรรดาโบสถ์ของชาวคริสต์, บรรดาโบสถ์ของชาวยิว และบรรดามัสยิด(ของชาวมุสลิม) ที่มีการกล่าวรำลึกถึงพระนามของอัลเลาะฮฺอย่างมากมายในนั้น(สถานที่ทั้งหมดที่กล่าวมา) ก็ถูกทำลายพินาศสิ้นเป็นแน่ และแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงช่วยเหลือแก่ผู้ที่ช่วยต่อสู้ในแนวทางของ)พระองค์ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงพลานุภาพที่สุด ทรงอำนาจที่สุด
41. (พวกประชาชาติอิสลามนั้น) เป็นมวลชนผู้ (มีลักษณะดังจะพรรณนาต่อไปนี้ กล่าวคือ) หากเรามอบอำนาจปกครองในแผ่นดินแก่พวกเขา พวกเขาก็ดำรงการละหมาด, บริจาคทานซะกาต, ใช้ในการทำความดี, และห้ามในการกระทำสิ่งต้องห้าม และผลสุดท้ายแห่งการงานทั้งมวลย่อมเป็นสิทธิของอัลเลาะฮฺ (ที่จะทรงดำเนินการและทรงตัดสิน)


คำแปล R3.
39.   สำหรับบรรดาผู้ถูกโจมตีนั้นได้รับอนุญาต (ให้ต่อสู้) เพราะพวกเขาถูกกดขี่ข่มเหงและอัลลอฮฺทรงสามารถช่วยพวกเขาได้อย่างแน่นอน
40.   คนเหล่านี้คือผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนอย่างไม่เป็นธรรม เพียงเพราะพวกเขากล่าวว่า “อัลลอฮฺคือพระผู้อภิบาลของเรา” ถ้าหากอัลลอฮฺไม่ทรงกำราบคนหมู่หนึ่งโดยอาศัยคนอีกหมู่หนึ่งแล้ว สถานที่บำเพ็ญภาวนา โบสถ์ สุเหร่าและมัสญิดซึ่งเป็นสถานที่ที่พระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวระลึกก็จะถูกทำลาย อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือบรรดาผู้ที่ช่วยเหลือพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงอำนาจ โดยแท้จริง
41.   เหล่านี้คือผู้ที่ถ้าหากเราประทานอำนาจแก่เขาในแผ่นดิน พวกเขาจะดำรงนมาซ จ่ายซะกาต กำชับกันในสิ่งดีงามและห้ามปรามความชั่ว และการตัดสินครั้งสุดท้ายของกิจการทั้งหมดนั้น ขึ้นอยู่กับอัลลอฮฺ


คำแปล R4.
39. สำหรับบรรดาผู้ (ที่ถูกโจมตีนั้น) ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ได้ เพราะพวกเขาถูกข่มเหง และแท้จริงอัลลอฮฺทรงสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างแน่นอน
40. บรรดาผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนของพวกเขา โดยปราศจากความยุติธรรม นอกจากพวกเขากล่าวว่า อัลลอฮฺคือพระเจ้าของเราเท่านั้น และหากว่าอัลลอฮฺทรงขัดขวางมิให้มนุษย์ต่อสู้ซึ่งกันและกันแล้ว บรรดาหอสวด และโบสถ์ (ของพวกคริสต์) และสถานที่สวด (ของพวกยิว) และมัสยิดทั้งหลายที่พระนามของอัลลอฮฺ ถูกกล่าวรำลึกอย่างมากมาย ต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน  และแน่นอนอัลลอฮฺ จะทรงช่วยเหลือผู้ที่สนับสนุนศาสนาของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพอย่างแท้จริง
41. บรรดาผู้ที่เราให้พวกเขามีอำนาจในแผ่นดิน คือบรรดาผู้ที่ดำรงการละหมาด และบริจาคซะกาตและใช้กันให้กระทำความดี และห้ามปรามกันให้ละเว้นความชั่ว และบั้นปลายอของกิจการทั้งหลายย่อมกลับไปหาอัลลอฮฺ


คำแปล R5.
๓๙. ได้รับอนุญาตและผ่อนผันแก่บรรดาศรัทธาชนที่ถูกทำศึกโดยการรุกรานจากฝ่ายทุรชนทั้งหลายให้พวกเขาออกทำศึกต่อสู้กับพวกรุกรานนั้นเป็นการตอบโต้ด้วยเหตุที่พวกเขาผู้ถูกรุกรานนั้นได้รับการฉ้อฉลจากฝ่ายรุกราน และแท้จริงอัลเลาะห์ย่อมทรงอานุภาพที่จะช่วยเหลือพวกเขา จนพวกเขาได้รับชัยชนะจากการต่อสู้นั้น
๔๐. บรรดาชนผู้ศรัทธาทั้งหลายที่ถูกขับออกจากบ้านเมืองของพวกเขาโดยไร้ความเที่ยงธรรม บรรดาศรัทธาชนที่ถูกขับออกจากบ้านเมืองของตนเอง คือ มักกะห์มาสู่มะดีนะห์ และถูกพวกมุซริกีนกระทำทารุณกรรมต่าง ๆ ตลอดจนจับบางคนไปเป็นเชลยนั้น พวกเขามิได้แสดงกริยาตอบโต้แก่ฝ่ายศัตรูเลย นอกจากพวกเขากล่าววิงวอนว่า องค์พระอภิบาลของเราคืออัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น และมาดแม้นอัลเลาะห์มิได้ป้องกันมนุษย์ไว้ให้พ้นจากความเสื่อมทั้งหลาย โดยพระองค์บันดาลให้บางส่วนของพวกเขาผู้ตั้งอยู่ในความเนรคุณประสบความพ่ายแพ้ เพราะคนอีกบางส่วนผู้ตั้งมั่นอยู่ในศรัทธาอันเป็นฝ่ายชนะ กล่าวคือการที่พระองค์ทรงผ่อนผันให้ฝ่ายศรัทธาลุกขึ้นทำศึกต่อสู้กับฝ่ายรุกรานจนได้รับชัยชนะ ถือว่าเป็นการป้องกันมวลมนุษย์ไว้ให้พ้นจากความเสื่อมทั้งปวง ซึ่งหากพระองค์ไม่ป้องกันไว้โดยวิธีดังกล่าวแล้วไซร้ แน่นอนที่สุด อาศรมต่าง ๆ ของนักบุญทั้งหลายและโบสถ์ของชาวคริสต์และวัดของชาวยิวและมัสยิดของชาวมุสลิม ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นศาสนสถานของแต่ละชุมชนดังกล่าวที่มีการกล่าวพระนามของอัลเลาะห์อย่างมากมายในนั้นจะต้องถูกทำลาย  จนหมดสิ้น แต่เพราะการที่ฝ่ายศรัทธาชนได้รับอนุญาตให้ทำศึกตอบโต้กับฝ่ายเนรคุณนี้เองที่ทำให้ศาสนสถานของศาสนาต่าง ๆ ยังคงยืนยงอยู่ตั้งแต่อดีตและปัจจุบันและอนาคตอันยาวนาน และแน่นอนที่สุดอัลเลาะห์จะช่วยเหลือแก่บุคคลที่ช่วยเหลือศาสนาของพระองค์ เพราะแท้จริงอัลเลาะห์เป็นผู้ทรงพลัง ทรงชนะเหนือทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสิ่งใดรุกรานอำนาจการปกครองและพลังของพระองค์ได้
๔๑. บรรดาบุคคลที่ถูกขับออกจากบ้านเมืองของตนเองตามที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น พวกเขาเป็นพวกซึ่งถ้าเราให้คงมั่นอยู่ในแผ่นดินเดิมของเขา และเขาได้รับความสะดวกนานาประการในการเป็นอยู่ของเขาแล้วเขาก็สามารถต่อสู้กับฝ่ายศัตรูจนได้รับชัยชนะ แน่นอนพวกเขาก็จะภักดีต่อเรา โดยพวกเขาดำรงการละหมาดอยู่เป็นนิจ และพวกเขาจะบริจาคทานซะกาต อย่างเคร่งครัด และพวกเขาจะใช้ให้กระทำแต่ความดีงามและห้ามกระทำความเลวร้าย และที่สุดแห่งการงานทั้งปวงนั้นเป็นสิทธิเฉพาะของอัลเลาะห์ที่จะทรงบันดาลให้เป็นไป ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการบันดาลและตัดสินของพระองค์ในวันปรภพ ไม่ว่าจะเป็นการตอบแทนกุศลแก่ผู้ประพฤติดี หรือลงโทษแก่ผู้ประพฤติผิด ล้วนเป็นไปโดยประกาศิตของพระองค์ทั้งสิ้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 42 - 48


คำแปล R1.
42. And if they belie you (O Muhammad), so were belied the Prophets before them, (by) the people of Nuh (Noah), 'Ad and Thamud,
43. And the people of Ibrahim (Abraham) and the people of Lout (Lot),
44. And the dwellers of Madyan (Midian); and belied was Musa (Moses), but I granted respite to the disbelievers for a while, then I seized them, and how (terrible) was My punishment (against their wrong-doing).
45. And many a township have we destroyed while it was given to wrong-doing, so that it lies in ruins (up to this day), and (many) a deserted well and lofty castles!
46. Have they not travelled through the land, and have they hearts wherewith to understand and ears wherewith to hear? Verily, it is not the eyes that grow blind, but it is the hearts which are in the breasts that grow blind.
47. And they ask you to hasten on the torment! And Allah fails not His Promise. And verily, a Day with your Lord is as a thousand years of what you reckon.
48. And many a township did I give respite while it was given to wrong-doing. Then (in the end) I seized it (with punishment). And to Me is the (Final) return (of all).


คำแปล R2.
42. และหากพวกเขา(ชาวกาฟิร)ว่าเจ้าพูดเท็จ (เจ้าก็ไม่ต้องท้อแท้หรอก) เพราะว่าอันที่จริงนั้น ก่อนหน้าพวกเขาก็(มีกลุ่มชนต่าง ๆ) ว่าศาสดาของพวกเขาพูดเท็จ(เหมือนกัน นั่นคือ) กลุ่มชนของนูห์, กลุ่มชนของอาด,และกลุ่มชนสะมูด
43. และกลุ่มชนของอิบรอฮีม ตลอดจนกลุ่มชนของลู๊ฎ
44. และ(เช่นเดียวกัน) ชาวมัดยัน(วึ่งเป็นกลุ่มชนของนบีชุอัยบ์) และมูซาก็ถูกว่าพูดเท็จมาแล้ว แล้วข้าก็ผ่อนปรนแก่พวกไร้ศรัทธาทั้งหลาย (ยังไม่ลงโทษในเร็วไว) แต่หลังจากนั้นข้าก็จัดการลงโทษพวกเขา แล้ว(จงพิจารณาเถิดว่า) การคัดค้านของข้า ด้วยการลงโทษทำลายพวกเขานั้น(มีผลแก่พวกเขา)เป็นอย่างไรบ้าง ?
45. ที่จริงมีเมืองตั้งมากมายเท่าใดแล้วที่เราได้ทำลายล้างมัน เพราะสาเหตุที่ชาวเมืองนั้น ๆ เป็นผู้ฉ้อฉล เมืองดังกล่าวจึงพังทลายลงมาบนหลังคาของมัน และ(มีตั้งมากมายเท่าใดแล้ว) บ่อที่ถูกปล่อยให้ร้าง (เพราะผู้คนในเมืองหนีภัยออกไปหมด) และปราสาทอันสูงตระหง่าน(ที่ปล่อยให้ร้างด้วยสาเหตุเดียวกัน) ?
46. ไฉนพวกเขาจึงไม่จาริกไปในพื้นพิภพนี้ เพื่อพวกเขาจะได้มีจิตสำนึกที่ใช้ตรึกตรอง(จากประสบการ) หรือมีหูที่ใช้ฟัง(เรื่องราวทางภูมิประวัติศาสตร์) ? เพราะที่จริงแล้ว ดวงตาหาได้บอดไม่ แต่หัวใจที่อยู่ในหัวอกต่างหากที่บอด
47. และพวกเขา(เย้ยหยันเจ้าด้วยการ)ขอเร่งต่อเจ้าให้มีการลงโทษโดยเร็ว (ตามที่เราได้สัญญาไว้) และอัลเลาะฮฺจะไม่ผิดสัญญาของพระองค์อย่างแน่นอน และแท้จริง วันหนึ่ง ณ องค์อภิบาลของเจ้านั้นเปรียบประดุจดังพันปีตามจำนวนที่พวกเจ้านับ (โดยปกติในโลกนี้
48. และมีตั้งมากมายเท่าใดแล้ว เมืองที่ข้าได้ผ่อนปรนแต่มัน (ไม่ทำลายล้าง) ทั้ง ๆ ที่ชาวเมืองนั้นมีแต่ผู้ฉ้อฉล แต่หลังจากนั้นข้าก็จัดการทำลายล้างมัน และเฉพาะข้าเท่านั้นเป็นที่คืนกลับ (ของทุก ๆ สิ่ง)


คำแปล R3.
42.   (โอ้ นบี) ถ้าพวกเขาถือว่าเจ้าเป็นผู้โกหก (เจ้าจงจำไว้ว่า) ก่อนหน้าพวกเขา หมู่ชนของนูฮฺ ชาวอ๊าด และชาวษะมูดก็ได้ถือว่านบีของพวกเขาเป็นผู้โกหกมาแล้ว
43.   เช่นเดียวกับหมู่ชนของอิบรอฮีมและหมู่ชนของลูฏ
44.   และชาวมัดยันด้วย แม้มูซาเองก็ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้โกหก แต่ฉันได้ผ่อนผันให้แก่บรรดาผู้ปฏิเสธเหล่านี้ก่อน และหลังจากนั้นก็ทำลายพวกเขา แล้วเป็นเช่นไรเล่า การลงโทษของฉัน
45.   มี(ซาก) ที่อยู่อาศัยของคนชั่วหลายแห่งที่เราได้ทำลายลง คนพวกนี้นอนพลิกคว่ำอยู่บนหลังคาของพวกเขา บ่อน้ำกี่แห่งแล้วที่ได้ถูกทำให้ใช้ประโยชน์มิได้ และปราสาทอันตระหง่านกี่แห่งที่กำลังเป็นซากปรักหักพัง
46.   พวกเขาไม่ได้ท่องเที่ยวไปในแผ่นดินเพื่อทำให้หัวใจของพวกเขาได้คิดและหูของพวกเขาได้ยินกระนั้นหรือ ? ความจริงแล้ว หัวใจในทรวงอกต่างหาก มิใช่ดวงตาที่มือบอด
47.   คนเหล่านี้กำลังรบเร้าเจ้าให้เร่งการลงโทษ อัลลอฮฺจะไม่มีวันผิดสัญญาของพระองค์อย่างแน่นอน แต่วันหนึ่งที่พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นเท่ากับพันปีตามที่สูเจ้านับ
48.   มีถิ่นที่อยู่อาศัยของคนชั่วหลายแห่งที่ฉันได้ประวิงเวลาไว้ในตอนแรก แล้วหลังจากนั้นก็ได้ทำลายมันและทั้งหมดจะต้องกลับไปหาฉัน


คำแปล R4.
42. และหากพวกเขา (มุชริกีนมักกะฮฺ) ปฏิเสธไม่ยอมเชื่อฟังเจ้า แม้จริงชนชาติของนูห์และอาาดและษะมูด ได้ปฏิเสธไม่เชื่อฟังนะบีของพวกเขามาก่อนหน้าพวกเขาแล้ว
43. และชนชาติของอิบรอฮีม และชนชาติของลูฎ
44. และชาวมัดยัน และมูซา ก็ได้ถูกปฏิเสธไม่ยอมเชื่อฟังเช่นกัน แต่เราได้ประวิงเวลาให้แก่พวกปฏิเสธศรัทธา และเราก็ได้ลงโทษพวกเขา ดังนั้น เป็นเช่นใดเล่าการลงโทษของเรา
45. ฉะนั้นกี่เมืองมาแล้ว เราได้ทำลายมันโดยที่ชาวเมืองนั้นอธรรม และมันได้พังพาบลงมาและกี่บ่อน้ำที่ถูกทอดทิ้ง และกี่ปราสาทสูงที่มั่นคง
46. พวกเขามิได้ออกเดินทางไปในแผ่นดินดอกหรือ เพื่อหัวใจจะได้พิจารณาเพื่อพวกเขาเองหรือมีหูเพื่อสดับฟังมัน เพราะแท้จริงการมองของนัยน์ตานั้นมิได้บอดดอก แต่ว่าหัวใจที่อยู่ในทรวงอกต่างหากที่บอด
47. และพวกเขาเร่งเร้าเจ้า ให้มีการลงโทษแต่ว่าอัลลอฮฺ นั้นจะไม่ทรงผิดสัญญาของพระองค์เป็นอันขาด และแท้จริงวันหนึ่ง ณ ที่พระเจ้าของเจ้านั้นเท่ากับหนึ่งพันปี ตามที่พวกเจ้าคำนวณนับ
48. และกี่เมืองมาแล้ว เราได้ประวิงเวลาการลงโทษมัน โดยที่ชาวเมืองนั้นอธรรม แล้วเราได้ลงโทษทำลายมัน และยังเรานั้นคือทางกลับ


คำแปล R5.
๔๒.  และมาดแม้นพวกเขา (ชาวมักกะห์) จะกล่าวหาว่าเจ้าพูดเท็จโดยไม่ยอมเชื่อถือในคำประกาศของเจ้า เจ้าก็จงอดทนไว้เถิดเพื่อเจริญรอยตามบรรดาศาสนทูตต่าง ๆ เมื่ออดีตที่ประสบเหตุการณ์คล้ายคลึงกัน  เพราะก่อนหน้าพวกเขา(ชาวมักกะห์) ก็เคยมีกลุ่มชนที่ ได้กล่าวหาเป็นเท็จแก่ศาสนทูตของตนเอง  โดยพวกของนบีนุห์ไม่เชื่อนบีนุห์  และพวกอ๊าดก็ไม่เชื่อนบีฮู๊ด  และพวกสะมู๊ดไม่เชื่อนบีซอลิฮ์
๔๓.  และพวกนบีอิบรอฮีมก็ไม่เชื่อนบีอิบรอฮีม  และพวกของนบีลู๊ตก็ไม่เชื่อนบีลู๊ต
๔๔.  และชาวเมืองมัดยันไม่เชื่อนบีชุไอบ์ และนบีมูซาก็ได้รับการกล่าวหาเป็นเท็จโดยพวกกิบตีและพวกวงศ์วานของอิสรออีล ไม่ยอมให้ความเชื่อถือซึ่งบรรดาศาสนทูตที่อ้างไว้แล้วนั้นล้วนแต่ได้รับการปฏิเสธเหมือนกับเจ้านั่นเอง  แล้วข้าก็ได้ผ่อนปรนและให้โอกาส แก่พวกเนรคุณที่ปฏิเสธศาสนทูตของพวกเขาเองโดยยังไม่ลงโทษพวกเขาในทันทีทันใด  ต่อมาข้าจึงลงโทษพวกเขาเมื่อถึงวาระตามที่ข้าได้กำหนดไว้
   อันเหตุการณ์ที่พวกเหล่านั้นประสบ เช่น ความสุขที่ต้องเปลี่ยนไปเป็นความทุกข์ ความเจริญที่เคยมีได้ถูกทำลายล้างและความเป็นชาติอันมีอารยธรรมที่ถูกลบล้างโดยสิ้น  แท้จริงเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมานั้น จะได้รับการคัดค้านได้อย่างไรว่าจะประสบกับชุมชนที่ปฏิเสธเจ้า แน่นอนเหตุการณ์เหล่านั้นจะต้องประสบกับพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่พ้น
๔๕.  แท้จริง มีชาว เมืองอันมากมายที่เราได้ทำลายล้างพวกเขาให้พวกเขาประสบความเสียหายในด้านต่าง ๆ  โดยพวกเขาเป็นผู้ทุจริตไม่ยอมศรัทธาต่อพระโองการที่นำมาประกาศโดยศาสนทูต พวกเขากลับอุปโลกน์สิ่งต่าง ๆ ขึ้นเป็นพระเจ้า กราบไหว้ และประกอบกรรมชั่วอื่น ๆ อีกมากมาย  ดังนั้นบ้านเมืองของพวกนั้น จึงพังทลายลงบนหลังคา ยุบลงมารวมกันกับฝาผนังกองเป็นเศษวัสดุที่ไร้ประโยชน์  และมี บ่อเป็นจำนวนมากที่ถูกปล่อยให้ ร้างเพราะผู้คนล้มตายจนหมดสิ้น ไม่มีผู้ใดมาใช้น้ำและมาบูรณะเพื่อใช้การต่อไป  และมีเป็นจำนวนมาก  ปราสาทอันสูงตระหง่าน แต่ว่างเปล่า ปราศจากผู้อาศัยเพราะล้มตายไปหมด เหล่านั้นคือผลจากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าแก่ชุมชนที่ดื้อดึงและเนรคุณต่อพระองค์
๔๖. โอ้ชาวมักกะห์  ไฉนพวกเขาจึงไม่จาริกไปในหน้าแผ่นดิน อันจะทำให้พวกเขามีจิตใจสำหรับคิดตรองในประวัติศาสตร์ของชุมชนต่าง ๆ บนหน้าแผ่นดินนี้ เขาจะได้เข้าใจถึงสาเหตุแห่งความเสื่อมสูญของชนชาติต่าง ๆ เมื่ออดีตว่าเป็นเพราะไม่ยอมศรัทธาในศาสนทูตหรือพวกเขาจะได้มีหูสำหรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ อันเกี่ยวกับชนชาติเหล่านั้น  อันที่จริงตาของพวกเขา ไม่บอดหรอก  แต่ใจที่อยู่ในหัวอกของเขาต่างหากที่ บอดจนไม่อาจพินิจพิเคราะห์ในสิ่งอันควรได้
๔๗.  และชาวกุไรช์มักกะห์บางส่วนได้ท้าทายเจ้าด้วยการเย้ยหยันในสัญญาแห่งการลงโทษที่เจ้าประกาศว่าจะต้องประสบแก่พวกเขาโดย พวกเขาขอให้เจ้าเร่งรีบในการลงโทษที่เจ้าประกาศไว้นั้น พวกเขาจะคัดค้านสัญญาลงโทษของพระเจ้าได้อย่างไร ? เมื่อสิ่งนั้นพระองค์ได้สัญญาไว้แล้วและมันจะต้องอุบัติขึ้นอย่างแน่นอน  และอัลเลาะห์จะไม่ผิดสัญญาของพระองค์ที่ให้ไว้กับพวกนั้นอย่างแน่นอน ซึ่งต่อมาพระองค์ก็ได้บันดาลให้เป็นไปตามสัญญาโดยให้พวกกุไรช์ถูกฆ่าตายในสงครามบะดัร ๗๐ คน ถูกจับเป็นเชลย ๗๐ คน  และแท้จริงวันหนึ่ง ณ พระผู้อภิบาลของเจ้าในวันปรภพ นั้นเหมือนกับหนึ่งพันปีจากที่พวกเจ้าคำนวณกันในโลกปัจจุบัน
๔๘.  และมีชาว เมืองเป็นจำนวนมากที่ข้าได้ผ่อนปรนและให้โอกาส แก่พวกเขายังไม่ลงโทษในทันทีทันใด ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นผู้ทุจริต ไม่ยอมเชื่อถือและศรัทธาในศาสนทูต  หลังจากนั้น ข้าจึงได้ลงโทษพวกเขา และ พวกเขาเหล่านั้น จะต้อง กลับคืนมายังข้าเพื่อได้พิจารณาตัดสินโทษานุโทษของพวกเขา และพวกเขาไม่อาจเร้นหนีออกไปจากการตัดสินของข้าได้เลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 49 - 51


คำแปล R1.
49. Say (O Muhammad): "O mankind! I am (sent) to you only as a plain Warner."
50. So those who believe (in the Oneness of Allah Islamic Monotheism) and do righteous good deeds, for them is forgiveness and Rizqun Karim(generous provision, i.e. Paradise).
51. But those who strive against Our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), to frustrate and obstruct them, they will be dwellers of the Hell-fire.


คำแปล R2.
49. จงประกาศเถิด “โอ้มวลมนุษย์ทั้งหลาย อันที่จริงตัวฉันนี้ เป็นเพียงผู้ประกาศเตือนอันชัดแจ้งสำหรับพวกท่านเท่านั้น
50. ดังนั้น มวลชนผู้มีศรัทธาและประพฤติแต่ความดีนั้น พวกเขาย่อมได้รับการอภัยและได้รับโชคผลอันมีเกียรติที่สุด
51. และบรรดาจำพวกที่พากเพียรใน(การคิดทำลายล้าง)โองการต่าง ๆ ของเรา โดยพวกเขาเข้าใจว่าจะเอาชนะ(หลบหนีการลงโทษของเราได้) อันพวกเหล่านั้นเป็นชาวนรกอย่างแน่นอน


คำแปล R3.
49.   (โอ้ มุฮัมมัด) จงกล่าวแก่พวกเขาว่า “โอ้มนุษย์เอ๋ย ฉันเป็นเพียงผู้ตักเตือนให้เป็นที่กระจ่าง” (ถึงเวลาอันเลวร้ายที่กำลังจะมาถึง)
50.   ดังนั้นบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีจะได้รับการให้อภัยและได้รับการประทานปัจจัยอย่างมีเกียรติ
51.   ส่วนบรรดาผู้ที่พยายามหาทางทำลายอายะฮฺทั้งหลายของเรานั้น คนเหล่านี้จะได้เป็นผู้อยู่อาศัยในไฟนรก


คำแปล R4.
49. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด โอ้มนุษย์เอ๋ย  แท้จริงฉันนั้นคือผู้ตักเตือนอันชัดแจ้งแก่พวกท่านเท่านั้น
50. ดังนั้นบรรดาผู้ศรัทธาและทำความดีทั้งหลาย สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับการอภัยโทษและปัจจัยยังชีพอันมีเกียรติ คือสวนสวรรค์
51. และบรรดาผู้ที่เพียรพยายามอย่างผู้ไร้ความสามารถเพื่อลบล้างโองการทั้งหลายของเรานั้น ชนเหล่านั้นคือชาวนรก


คำแปล R5.
๔๙. โอ้มุฮำมัด  เจ้าจงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า  โอ้มนุษย์ทั้งหลาย โดยแท้จริงข้าเป็นเพียงผู้ตักเตือนอันแจ้งชัดสำหรับพวกเจ้าเท่านั้น การลงโทษที่พวกเจ้าเร่งเร้าที่จะให้เกิดขึ้นนั้นหาได้เป็นภาระปฏิบัติของข้าไม่ ผู้ลงโทษพวกเจ้าคือองค์พระผู้อภิบาล ส่วนข้าไม่มีสิทธิที่จะให้การลงโทษอุบัติขึ้นได้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม
๕๐.  ดังนั้นบรรดาบุคคลที่มีศรัทธาและปฏิบัติแต่ความดีงามต่าง ๆ พวกเขาก็จะได้รับการอภัยโทษและได้รับ โชคลาภอันมีเกียรติยิ่ง คือสวรรค์แดนบรมสุข ซึ่งพวกเขาจะได้เข้าไปเสพสุขในนั้นเป็นอนันต์กาล
๕๑.  และบรรดาบุคคลที่พากเพียรในการทำลายอัลกุรอานซึ่งเป็น สัญลักษณ์ของเราให้เสื่อมเสียโดยพวกเขากล่าวหาอัลกุรอานว่าเป็นคำโคลง กาพย์กลอน หรือเป็นวิทยากล หรือเป็นนิยายโกหกปรัมปราของคนโบราณ  โดยพวกเขาเข้าใจว่าอัลเลาะห์ทรงอ่อนแอ ไร้ความสามารถที่จะลงโทษพวกเขา ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่ยอมเชื่อถือในการฟื้นคืนชีพจากสุสาน และไม่เชื่อถือในเรื่องของการลงโทษทัณฑ์ ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นชาวนรกซึ่งต้องเข้าไปประจำอยู่ในนั้นโดยนิรันดร ไม่สามารถจะออกไปสู่แดนสวรรค์ได้


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 52 - 54


คำแปล R1.
52. Never did we send a Messenger or a Prophet before you, but; when he did recite the Revelation or narrated or spoke, Shaitan (Satan) threw (some falsehood) in it. But Allah abolishes that which Shaitan (Satan) throws in. Then Allah establishes his Revelations. And Allah is All-Knower, All-Wise:
53. That He (Allah) may make what is thrown In by Shaitan (Satan) a trial for those in whose hearts is a disease (of hypocrisy and disbelief) and whose hearts are hardened. And certainly, the Zalimun (polytheists and wrong-doers, etc.) are in an opposition far-off (from the truth against Allah's Messenger and the believers).
54. And that those who have been given knowledge may know that it (this Qur'an) is the truth from your Lord, and that they may believe therein, and their hearts may submit to it with humility. And verily, Allah is the Guide of those who believe, to the Straight Path.


คำแปล R2.
52. และเรามิได้ส่งศาสนทูตและศาสดาคนใดมาก่อนหน้าเจ้า(ให้ทำหน้าที่ประกาศพระโองการได้โดยสะดวกก็หาไม่) นอกจากเมื่อเขามุ่ง(ประกาศโองการครั้งใด) มารร้ายก็จักเข้ามาแทรกแซงในเจตนคติของเขา(ในครั้งนั้นเสมอ) แล้วอัลเลาะฮฺก็ทรงลบล้างสิ่งที่มารร้ายทำการแทรกแซงนั้นเสีย หลังจากนั้นอัลเลาะฮฺก็ทรงบันดาลความมั่นคงแก่โองการทั้งหลายของพระองค์ และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง ทรงปรีชาญาณยิ่ง
53. (ตามที่กล่าวมานั้น) เพื่อทรงบันดาลสิ่งที่มารร้ายแทรกแซงให้เป็นข้อทดสอบแก่บรรดาจำพวกที่มีความป่วยไข้ในหัวใจและจำพวกที่มีหัวใจอันแข็งกระด้าง และแท้จริงทุจริตชนทั้งหลายย่อมตกอยู่ในสภาพแตกแยกอันห่างไกล(จากสัจธรรม)
54. และเพื่อมวลผู้มีความรู้ทั้งหลายจะได้รู้ว่า อันที่จริงอัลกุรอานนั้นเป็นสัจธรรมจากองค์อภิบาลของเจ้า แล้วพวกเขาก็จะมีศรัทธาต่ออัลกุรอาน จากนั้นหัวใจของพวกเขาก็ยอมสยบต่ออัลกุรอาน และแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงเป็นผู้ชี้นำแก่มวลผู้ศรัทธาทั้งหลายไปสู่แนวทางอันเที่ยงธรรม


คำแปล R3.
52.   และ (โอ้ มุฮัมมัด) รอซูลและนบีทุกคนที่เราส่งมาก่อนหน้าเจ้านั้น(มักจะเป็นเช่นนี้) เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการ มารร้ายได้พยายามจะเข้าไปแทรกแซงความต้องการของเขา แต่อัลลอฮฺได้ทรงทำลายความชั่วร้ายของมารและทรงยืนยันอายะฮฺทั้งหลายของพระองค์เพราะอัลลอฮฺทรงรอบรู้ ทรงปรีชาญาณ
53.   (พระองค์ทรงให้เป็นเช่นนี้)เพื่อที่พระองค์จะทรงทำให้งานของมารเป็นการทดสอบบรรดาผู้ที่หัวใจของพวกเขาเป็นโรค(ตลบตะแลง)และหัวใจของเขาแข็งกระด้าง แท้จริงแล้วผู้อธรรมเหล่านี้หลงไปไกลในความแตกแยก
54.   และเพื่อที่บรรดาผู้มีความรู้จะได้ตระหนักว่า (สาส์น) นี้คือความจริงจากพระผู้อภิบาลของเจ้าและพวกเขาจะได้ศรัทธามัน และหัวใจของพวกเขาจะได้นอบน้อมถ่อมตนต่อมัน แท้จริงอัลลอฮฺทรงนำทางบรรดาผู้ศรัทธาไปยังหนทางที่เที่ยงตรงเสมอ


คำแปล R4.
52. และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใด และนะบีคนใดก่อนหน้าเจ้า เว้นแต่ว่าเมื่อเขาหวังตั้งใจ ชัยฏอนก็จะเข้ามายุแหย่ให้หันเหออกจากความหวังตั้งใจของเขา แต่อัลลอฮฺก็ทรงทำลายล้างสิ่งที่ชัยฏอนยุแหย่ แล้วอัลลอฮฺ ก็ทรงทำให้โองการทั้งหลายของพระองค์มั่นคง และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ทรงปรีชาญาณ
53. เพื่อพระองค์จะทรงทำให้สิ่งที่ชัยฏอนยุแหย่นั้น เป็นการทดสอบสำหรับบรรดาผู้ที่ในจิตใจของพวกเขามีโรค และจิตใจของพวกเขาแข็งกระด้าง และแท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้นอยู่ในการแตกแยกที่ห่างไกล
54. และเพื่อบรรดาผู้รู้จะตระหนักว่า แท้จริงอัลกุรอาน นั้นคือสัจธรรมจากพระเจ้าของเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้ศรัทธาต่อมัน (อัลกุรอาน) แล้วจิตใจของพวกเขาจะได้นอบน้อมต่อมัน (อัลกุรอาน) และแท้จริงอัลลอฮฺทรงเป็นผู้ชี้แนะบรรดาผู้ศรัทธาสู่แนวทางอันเที่ยงตรง


คำแปล R5.
๕๒. และเรามิได้แต่งตั้งรอซูลและนบีคนใดมาก่อนหน้าเจ้าเพื่อการสั่งสอนมนุษยชาติในแต่ละยุคนอกจากเมื่อเขาอ่านคัมภีร์ที่ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้ามารร้ายก็จะแทรกแซงในการอ่านของเขาด้วยเสมอ ด้วยการต่อเติมและบิดเบือนต่าง ๆ นาน เช่นเมื่อนบีมุฮำมัดได้อ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวกับเรื่องของ ๓ เทวรูปใหญ่ คือ อัลลาต อัลอุซซา มะนาฮ์ ซึ่งปรากฏในซูเราะห์(บท)อันนัจมิ เป็นการระบุถึงการตำหนิเทวรูปเหล่านั้น แต่พวกมารร้ายก็แทรกแซงด้วยการอ่านในอีกสำนวนหนึ่งซึ่งกล่าวสรรเสริญเทวรูปเหล่านั้น ดังนั้นอัลเลาะห์จึงลบล้างข้อความที่มารร้ายได้แทรกแซงไว้นั้นเสีย ต่อมาพระองค์ก็ทรงให้มั่นคงแก่โองการต่าง ๆ อันเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์โดยพ้นไปจากข้อความต่อเติมและบิดเบือนของมารร้าย และโองการของพระองค์ก็เป็นโองการอันอมตะซึ่งใครจะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้ตลอดไป และอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ ทรงปรีชา
๕๓. เพื่ออัลเลาะห์จักทรงบันดาลสิ่งที่มารร้ายแทรกแซงนั้นให้เป็นประหนึ่งการทดสอบแก่บรรดาบุคคลที่มีความป่วยอยู่ในหัวใจของพวกเขา อันได้แก่พวกมุนาฟิกีนผู้มีนิสัยสับปลับ สงสัยและลังเล และพวกที่มีหัวใจอันแข็งกระด้างซึ่งไม่ยอมเชื่อถือและรับรองสัจธรรมที่ท่านนบีนำมาประกาศ อันได้แก่พวกมุชริกีนชาวมักกะห์ และแท้จริงทุจริตชนทั้งหลายย่อมตกอยู่ในความขัดแย้งอันยาวนานต่อท่านนบีมุฮำมัดและสาวกของท่านเนื่องด้วยพวกเหล่านั้นได้นำข้อความต่อเติมและบิดเบือนที่มารร้ายได้เสกสรรขึ้นมาสืบทอดในกลุ่มพวกเขาพวกเขาจึงยิ่งทวีความชั่วข้าและรู้สึกกระดากใจที่จะเข้าร่วมสู่สัจธรรมอิสลามที่ท่านนบีได้นำมาประกาศไว้ ซึ่งหลังจากนั้นข้อบิดเบือนดังกล่าวก็ถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิง
๕๔. และเพื่อพวกที่มีความรู้ทั้งหลายจะได้ทราบว่าแท้จริงสิ่งนั้นคืออัลกุรอานนั้นเป็นสัจจะ ซึ่งมาจากองค์อภิบาลของเจ้าอันเป็นเหตุให้เขาได้ศรัทธาต่อสิ่งนั้น แล้วหัวใจของเขาก็มีความแน่นแฟ้นต่อสิ่งนั้นอย่างแท้จริง เขาไม่คลางแคลงใจเลยว่า อัลกุรอานจะเป็นอย่างอื่นนอกจากต้องเป็นพระโองการที่ได้รับการดลมาจากองค์พระอภิบาลโดยแท้จริง และแท้จริงอัลเลาะห์ทรงเป็นผู้ชี้นำบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายสู่วิถีธรรมอันเที่ยงตรง นั่นคือ ศาสนาอิสลาม


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหัจญ์ อายะฮฺที่ 55 - 57


คำแปล R1.
55. And those who disbelieve will not cease to be in doubt about it (this Qur'an) until the Hour comes suddenly upon them, or there comes to them the torment of the Day after which there will be no night (i.e. the Day of Resurrection).
56. The sovereignty on that Day will be that of Allah (the one who has no partners). He will judge between them. So those who believed (in the Oneness of Allah Islamic Monotheism) and did righteous good deeds will be in Gardens of delight (Paradise).
57. And those who disbelieved and belied Our Verses (of this Qur'an), for them will be a humiliating torment (in Hell).


คำแปล R2.
55. และจำพวกไร้ศรัทธายังคงตั้งอยู่ในความสงสัยต่ออัลกุรอานเรื่อยไป ตราบถึงกาลปวสานของโลกจะมาประสบแก่พวกเขาโดยฉับพลัน หรือมีการลงโทษในวันหมัน(ที่ไม่มีวันอื่นต่อจากนั้น)มาประสบแก่พวกเขา
56. สิทธิอำนาจในวันนั้นเป็นของอัลเลาะฮฺ พระองค์ทรงตัดสินระหว่างพวกเขา(โดยพระองค์เองอย่างยุติธรรม) โดยแท้จริง บรรดามวลผู้มีศรัทธาและประพฤติแต่ความดีนั้น(จะถูกตัดสินให้)อยู่ในสวรรค์อันบรมสุข
57. และบรรดาจำพวกไร้ศรัทธาและว่าโองการต่าง ๆ ของเราเป็นสิ่งมุสา แน่นอนพวกเหล่านั้น ต้องได้รับการลงโทษอันอัปยศที่สุด


คำแปล R3.
55.   แต่กระนั้นบรรดาผู้ปฏิเสธก็ยังคงสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้จนกระทั่งยามอวสานเกิดขึ้นกับพวกเขาโดยฉับพลันหรือการลงโทษแห่ง “วันอันไร้ผล” เกิดขึ้นกับเขา
56.   ในวันนั้นอัลลอฮิจะทรงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด และพระองค์จะทรงตัดสินระหว่างพวกเขา หลังจากนั้นบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีก็จะได้อยู่ในสวรรค์แห่งความโปรดปราน
57.   ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธและถือว่าอายะฮฺทั้งหลายของเราเป็นเท็จนั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันอัปยศ


คำแปล R4.
55. และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นยังคงอยู่ในการสงสัยต่ออัลกุรอานจนกระทั่งวันอวสานเกิดขึ้นแก่พวกเขาโดยฉับพลัน หรือการลงโทษแห่งวันกิยามะฮฺ จะเกิดขึ้นแก่พวกเขา
56. อำนาจในวันนั้นเป็นของอัลลอฮฺ พระองค์ทรงตัดสินระหว่างพวกเขา ดังนั้นบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลายจะอยู่ในสวนสวรรค์หลากหลายแห่งความโปรดปราน
57. ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และไม่เชื่อฟังโองการทั้งหลายของเรานั้น ชนเหล่านั้นพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างอัปยศ


คำแปล R5.
๕๕. และตลอดเวลาพวกเนรคุณทั้งหลายก็ยังคงมีความสงสัยต่อสิ่งนั้น(อัลกุรอาน)ไม่เสื่อมคลาย ทั้งนี้เพราะข้อความที่มารร้ายได้แทรกแซงเพื่อบิดเบือนนั้นแม้จะได้ลบล้างไปแล้วก็ตามก็ยังคงมีอิทธิพลต่อจิตใจของพวกนั้นอยู่ จนกว่าวันปรภพจะมาประสบแก่พวกเขาโดยกะทันหันหรือจนกว่าจะมาประสบ แก่พวกเขาซึ่งการลงโทษแห่งวันทำศึกอันรุนแรงจนพวกเขาผู้เป็นนักรบซึ่งเรียกว่า “บุตรแห่งสงคราม” ได้เสียชีวิตจนหมดสิ้น สภาพของวันทำศึกนั้นจึงเปรียบได้ดั่งวันเป็นหมัน ซึ่งไม่ให้กำเนิด “บุตรแห่งสงคราม” อีกต่อไป วันนั้นได้แก่วันทำศึก ณ บะดัร เป็นวันที่พวกกาฟิรทั้งหลายพ่ายแพ้ยับเยิน
๕๖. อำนาจการปกครองในวันปรภพนั้นเป็นของอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียว พระองค์ทรงเอกสิทธิ์ในการตัดสินในระหว่างพวกนั้น ทั้งสองกลุ่มคือกลุ่มที่มีศรัทธาและกลุ่มที่ไร้ศรัทธา โดยจะตอบแทนผลกรรมของแต่ละกลุ่มดังโองการต่อไปนี้ แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและปฏิบัติความดีงามต่าง ๆ ทั้งส่วนที่ได้บังคับเป็นฟัรดู และส่วนที่ส่งเสริมเป็นสุนัต พวกเขาจะได้รับผลตอบแทนด้วยการให้พำนักอยู่ในสวรรค์อันบรมสุขด้วยความเมตตากรุณาจากอัลเลาะห์
๕๗. และบรรดาผู้เนรคุณและกล่าวหาเป็นเท็จแก่โองการแห่งอัลกุรอานอันเป็นสัญลักษณ์ของเรา พวกเหล่านั้นจะได้รับการลงโทษอันต่ำต้อย โดยจะพบกับความร้ายแรงที่สุดในการลงโทษนั้น ทั้งนี้เพื่อให้สาสมกับความเนรคุณและทรยศของพวกเขาเอง

 

GoogleTagged