ผู้เขียน หัวข้อ: ....ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน....  (อ่าน 1416 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

วันก่อนได้มีโอกาสคุยกับต่างศาสนิกที่เป็นชาวญี่ปุ่น...
เรื่องของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

เรื่องมันเกิดขึ้น เพราะว่า ข้าน้อยเห็นด้ายสีแดงผูกอยู่บนข้อมือ
ของต่างศาสนิกท่านนั้น ข้าน้อยจึงถามว่า...

ทำไมต้องผูกไว้หรือคะ...
เขาก็บอกว่า...มันเป็นเครื่องรางน่ะ

ข้าน้อยก็ถามว่า เขาเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ...

เขาก็บอกว่า ไม่เชื่อหรอก...แต่ก็ไม่ได้อยากลบหลู่
ก็ใส่ๆเอาไว้  เพราะเขาเองก็ไม่ได้ยึดมั่นกับศาสนาใด
เป็นหลักอยู่แล้ว เหมือนๆกับคนญี่ปุ่นทั่วๆไปนั่นแหล่ะ

ข้าน้อยเลยถามเขาอีกว่า...
แล้วเดิมๆแล้ว คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เขาศรัทธาในสิ่งใดกัน

เขาบอกว่า...เดิๆนั้น ศรัทธาในศาสนาพุทธ ลัทธิชินโต

แต่หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นก็ถูกการคุกคาม
จากสหรัฐ ผู้ชนะสงคราม พวกอเมริกาได้นำเอาวัฒนธรรมต่างๆ
ของพวกเขามาบังคับให้คนญี่ปุ่นปฏิบัติ นำหลักความเชื่อของพวกเขา
มาบังคับใช้กับคนญี่ปุ่น ให้คนญี่ปุ่นมีความเชื่อที่แตกต่างกัน
ให้แต่ละคนมีความคิดที่แปลกแยกแตกต่างกันออกไป

ซึ่งหากมองตามหลักบริหารจัดการแล้ว
ด้วยเหตุผลหลักๆก็คงหนีไม่พ้น การที่อเมริกาไม่ต้องการให้
คนญี่ปุ่นมีความคิดเหมือนกัน
เพื่อที่จะไม่ให้มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ชวนให้คนญี่ปุ่น
ทะเลาะกัน เพื่อที่ความรักความเป็นหนึ่งเดียวจะไม่เกิดขึ้น

เพราะหากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ความเข้มแข็งก็จะเกิดขึ้นตามมา จนยากที่จะทำลายได้....

เหมือนไม้ไผ่ที่เหลาเอาไว้ หากแค่ไม้ไผ่อันเดียว ใครๆก็สามารถ
ที่จะหักมันได้ง่าย แต่เมื่อไหร่ที่ไม้ไผ่รวมกันได้มาก
การจะหักหรือทำลายก็จะยากยิ่งขึ้น...

นั่นจึงเป็นหนึ่งในแผนการของอเมริกาที่ไม่ต้องการ
ให้ประเทศที่เขากลัวเกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน...

เพราะมันยากมากที่จะทำลาย

ดังนั้น ที่ใดที่มีความแตกแยกมากๆ ที่นั่นก็จะอ่อนแอ
และง่ายต่อการเข้าแทรกแซง...

ไม่แปลกใจเลย เพราะปัจจุบันอเมริกาก็ยังคงใช้กลยุทธดังกล่าว
ทำกับทุกๆประเทศที่ตนต้องการจะเข้าไปแทรกแซง
โดยการยุแยงตะแคงรั่วให้เขาทะเลาะกัน แตกแยกกันก่อน...
แล้วบอกกับชาวโลกว่า "ตนจะเข้าไปคลี่คลายปัญญาดังกล่าวให้"
"ตนจะเข้าไปปลดปล่อยพวกเขาออกจากการกดขี่"

แล้วชาวโลกก็เล็งเห็นว่า ควรจะมีมือที่สามเข้าไปไกล่เกลี่ย
และก็เข้าทางอเมริกา...ที่ต้องการจะเข้าไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน
เพราะวางแผนเอาไว้แล้ว...

สรุปก็คือ...การทะเลาะกันในหมู่ชน หาได้มีประโยชน์อันใดไม่
ซ้ำยังเป็นการเปิดทางให้มือที่สามเข้ามาสร้างความวุ่นวาย
ให้เกิดขึ้นอีก....

เมื่อไหร่ที่เรา...หรือสังคมน้ันๆมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ใครหน้าไหนก็ไม่อาจเข้ามารุกรานหรือทำลายได้โดยง่าย...

เราพี่น้องจะทะเลาะกันให้ตายไปข้างหนึ่งก็ไม่เห็นเป็นไร
แต่ท่านทั้งหลายผู้ซึ่งกำลังทะเลาะกันอยู่ ลองหันไปมองหน้า
พ่อแม่ที่ให้กำเนิดท่านดู ท่านก็จะรู้ว่า ท่านไม่ควรทะเลาะกันเลย
เพราะนอกจากจะไม่ได้อะไรกลับมาแล้ว ท่านอาจจะกำลัง
ทำลายความรักความผูกพันอันดีที่ควรเกิดขึ้นในหมู่พี่น้อง
ทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์กังวล...

พ่อแม่ที่ให้กำเนิดเรา หวังแค่ต้องการให้เรารักใคร่กลมเกลียวกัน

เมื่อสิ้นสุดการทะเลาะกัน ลองหันมาถามตัวเองว่า

"เราได้อะไรจากการทะเลาะกันบ้าง..."

เอาแค่ตัวเราเท่านั้นก็พอค่ะ ว่าเราได้อะไรกลับมา....

และเราได้เสียอะไรไปบ้าง...

แล้วลองชั่งดูว่า ระหว่างได้กับเสีย อะไรมันมากกว่ากัน...


บางทีท่านอาจจะไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งหรือโต้เถึยงกับใคร
อีกเลยก็ได้...

แต่ถ้าเรามองว่ามันคือความสนุกสนาน เป็นสีสัน
กับการจะเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ และมีความสุขที่ได้เห็นอีกฝ่าย
พ่ายแพ้ ก็เอาเลยค่ะ เอาให้แหลกกันไปข้าง....
เอาให้สนุกกันไปเลย...
หากการได้เห็นพี่น้องตัวเองต้องล่มจม ท่านก็ลองทำเลยค่ะ
สาดโคลนใส่กันเข้าไปค่ะ เอาให้อร่อยไปเลย...

บางทีการเสียเปรียบพี่น้องตัวเองไปบ้าง มันก็เป็นแค่การเสียเปรียบ
พี่น้องของตัวเองเท่านั้น ท่านให้พี่น้องท่านไม่ได้หรืออย่างไร
อย่างไรเราเสียให้กับพี่น้องของเรา หาได้เสียให้กับใครอื่นเลย...

อะไรที่เราเสียไปให้กับพี่น้องของเรา โดยที่เราไม่ได้มานั่งเสียดาย
หรืออาลัยอาวรณ์มากมาย เชื่อว่า ณ ที่อัลลอฮฺนั้น
มีมากกว่าที่เราเสียไปอีก หากพระองค์ประสงค์ พระองค์จะจัดการ
ส่งมาให้เรา...

ความจนและความพ่ายแพ้มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงประสงค์
สำหรับใครๆอีกหลายๆคน แต่มันก็แค่จนเท่านั้นค่ะ
ความจนไม่ได้น่ากลัว...และความพ่ายแพ้ก็ไม่ได้น่ากลัว
แพ้บ้างก็คงไม่ถึงกับทำให้เราเสียศักดิ์ศรีสักเท่าไหร่...

เพราะบางทีการพ่่ายแพ้ก็ให้อะไรกับเราได้มากกว่าการชนะ




คนที่แพ้ใครไม่เป็น จะไม่มีวันรู้คุณค่าของคำว่า "พ่ายแพ้"หรอกค่ะ...


การถกกันอาจก่อให้เกิดความรู้ หากผู้ร่วมวงเสวนา
ใช้หลักการและเหตุผลนำอารมณ์
เชื่อว่า การเสวนาในลักษณะเช่นนี้จะไม่ก่อให้เกิดการทะเบาะแว้งกัน
หรือสร้างรอยร้าวในหัวใจของกันและกัน
และอาจจะนำมาซึ่งความรู้ที่ควรค่าแก่การอ่านและรับฟัง...

แต่หากขาดหลักการและเหตุผล และต่างก็สาดอารมณ์ใส่กันและกัน
ที่ที่คิดว่าจะได้ความรู้ ก็คงไม่ใช่...เพราะนอกจากจะเสียความรู้
ที่ควรจะได้รับแล้ว อาจจะต้องมานั่งเสียเวลาฟังคนทะเลาะกัน
และอาจจะต้องเสียความรู้สึกกลับไปอีก...

เชื่อว่า มันไม่ค่อยคุ้มค่ากับการต้องมานั่งอ่านนั่งฟังคนถกเถียงกัน
ด้วยอารมณ์ ไม่ใช่หลักการและเหตุผล

เพราะท่านรอซู้ล ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ท่านจะไม่ใช้อารมณ์กับเรื่องของศาสนา...

เวลาเราศึกษาซุนนะฮฺของท่าน เราจึงได้รับความรู้อย่างแท้จริง...
เวลาที่เสียไปทุกลมหายใจ จึงคุ้มค่า...

^^

...จึงเกิดคำถามกับตัวเองมาตลอดว่า...
มุสลิมเราทำไมต้องทะเลาะและด่าทอ(ใช้คำที่ไม่ค่อยดี)กัน
ผ่านโลกไซเบอร์ได้อย่างง่ายดายนัก...
หรือเป็นเพราะไม่เห็นหน้ากันเลยไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว...
จะทำอะไรก็ได้...

เพราะในโลกที่เรายืนอยู่ น้อยคนจะมานั่งถกกัน ด่าทอกัน
อย่างไม่เกรงใจกันแบบในสังคมไซเบอร์...

เหมือนว่าจะสถานที่แห่งนี้ทำให้เราได้ปลดปล่อยความคิดออกไป
รวมทั้งได้ปลดปล่อยนัฟซูออกไปได้อย่างอิสระ...

แต่สำหรับตัวข้าน้อย ไม่ว่าจะในสังคมแห่งนี้หรือในสังคมไซเบอร์
ข้าน้อยจะระลึกอยู่เสมอว่า

ทุกคำพูด ทุกถ้อยคำ ทุกการกระทำ และทุกๆอย่างมันได้ถูกบันทึก
ซึ่งอัลลอฮ์รับรู้ และมันจะถูกสอบสวน...

ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี จะถูกหรือจะผิดพลาด เราจะเป็นผู้รับมันทั้งหมด
ไม่มีใครมาช่วยแบก...

หากมีอะไรผิดพลาด หรืออ่านแล้วไม่สบายใจหัวใจ
ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะคะ


วัสลามค่ะ






"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged