ผู้เขียน หัวข้อ: การเปรียบเทียบหลักการระหว่างชีอะฮ์กับยิว  (อ่าน 3667 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อายะฮ์

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 49
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด

อัสลามุอะลัยกุ้ม

ผมได้ทำการค้นหาการสนทนาของคุณ อัล-อัซฮะรีย์ กับชีอะฮ์อิมาม 12 ในกระทู้เก่า ๆ ในอิสลามิคโฮมเพจ ซึ่งผมเห็นว่ามีสิ่งอันน่าสนใจที่ผมอยากจะนำเสนอ

ต่อไปนี้ คือ สิ่งที่คุณ อัล-อัซฮะรีย์ ได้เคยนำเสนอ

การที่เราจะมาเปรียบเทียบคำสอนต่าง ๆระหว่างยิวและชีอะฮฺนั้น เราสมควรที่จะทำความรู้จักคำภีร์ ตัลมูต ซึ่งเป็นคำภีร์ที่พวกยิวทั่ว  โลกยึดคำสอนต่าง ๆจากคำภีร์นี้และพวกเขาเชื่อว่า คำภีร์ตัลมูตนี้ เป็นคำภร์ที่ถูกประทานลงมาจากฟากฟ้า พวกเขามีความเห็นว่า อัลเลาะฮฺทรงประทานคำภีร์เตารอตให้แด่นบีมูซา(อ.) ณ (ภูเขา)ตูรซีนีนโดยการบันทึก แต่อัลเลาะฮฺทรงประทานคำภีร์ตัลมูตแก่นบีมูซาด้วยคำตรัสของพระอ งค์เอง ไม่เพียงเท่านั้น พวกยิวยังถือว่าคำภีร์ตัลมูตนี้มีฐานันดรที่สูงส่งกว่าคำภีร์เต ารอตเสียอีก คำภีร์ตัลมูตมีอยู่ 6000 หน้าด้วยกัน ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ผู้ที่ใดที่ดูหมิ่นคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาตรหลวงแล้ว เขาสมควรตาย โดยผู้ที่ดูหมิ่นคำภีร์เตารอตนั้นไม่สมควรตาย และย่อมไม่รอดพ้นปลอดภัยสำหรับผู้ที่ละทิ้งคำสอนของคำภีร์ตัลมู ตโดยที่ให้ความสนใจในคำภีร์เตาร๊อตเพียงอย่างเดียว เพราะคำกล่าวต่าง ๆของนักปราชน์คำภีร์ตัลมูตนั้น ย่อมประเสริฐกว่าสิ่งที่มีอยู่ในชาริอัตของมูซา (ดู อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด ฟีตะอาลีม อัตตัลมูต หน้า44 ของท่านมูซา นัสรุลลอฮฺ ) บาตรหลวงยิวท่านหนึ่งกล่าวว่า " ชาวยิวจะคงอยู่ด้วยสาเหตุการมีคำภีร์ตัลมูต ตราบใดที่คำภีร์ตัลมูตยังคงอยู่ในชาวยิว" ( อัตตัลมูต ชะรีอะฮฺ บนีอิสรออีล หน้า 12 )

ดังกล่าวนี้คือแนวคิดของพวกยิวที่มีต่อคำภีร์ตัลมูต แต่เราลองมาดูแนวคิดของพวกชีอะฮฺอิมาม 12 ที่มีต่อคำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามของพวกเขาว่าเป็นอย่างไร ท่านโคมัยนีย์ กล่าวเอาไว้ว่า " แท้จริง คำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามนั้น เสมือนกับคำสอนต่าง ๆของคำภีร์อัลกุรอาน ที่ไม่ได้เฉพาะแก่ชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ทว่ามันเป็นคำสอนให้กับประชาชาติทั้งหมดในทุกยุคทุกสมัยและท ุกเมือง จนถึงวันกิยามะฮฺ " อัลฮุกูมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ หน้า 112 เชคฺมุฮัมมัด ริฏอ อัลมุซฺ๊อฟฟัร กล่าวว่า " คำสั่งใช้ของบรรดาอิมามคือคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮฺ การห้ามของพวกเขาคือการห้ามของอัลเลาะฮฺ การภักดีของพวกเขาคือการภักดีของอัลเลาะฮฺ และการฝ่าฝืนพวกเขาคือการฝ่าฝืนของอัลเลาะฮฺ......และไม่อนุญาติให้คัดค้านพวกเขา เพราะผู้ที่คัดค้านพวกเขาเสมือนการคัดค้านร่อซูลุลลอฮฺและการคั ดค้านร่อซูลุลลอฮฺเสมือนกับการคัดค้านอัลเลาะฮฺ " อะกออิด อัลอิมามียะฮฺ หน้า106

เมื่อเรารู้ถึงแนวคิดต่าง ๆของพวกเขาแล้ว เราก็ลองมาเปรียบเทียบระหว่างแนวทางของยิวและชีอะฮฺกันครับ

พวกยิว เชื่อว่า ศาสนาของพวกเขายังไม่สมบูรณ์ นอกจาก ต้องอ่านคำสอนต่าง ๆของเตาร๊อต มินชาและ ฆอมาร่า ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าจงให้ความสนใจคำสอนต่าง ๆของบรรดาปราชน์บาทหลวงให้มากกว่าคำสอนต่าง ๆของกฏหมายของมูซา " (อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า 45) กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตเช่นกันว่า " แท้จริง ผู้ใดที่ศึกษาเตาร๊อต เขาย่อมปฏิบัติความดีงามหนึ่งที่ไม่สมควรที่จะได้รับการตอบแทนใ ด ๆ และผู้ใดที่ศึกษา มันชา เขาย่อมปฏิบัติความดีงามหนึ่งที่สมควรได้รับการตอบแทนรางวัล และผู้ใดที่ศึกษา ฆอมาร่า เขาย่อมปฏิบัติความดีงามหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ " (อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า44) กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตเช่นเดียวกันว่า " เตาร๊อต เปรียบเสมือนน้ำ มันชาเปรียบเสมือนไวน์ และฆอมาร่าเปรียบเสมือนไวน์ที่หอมหวน โดยที่มนุษย์ยังต้องการคำภีร์ทั้งสามนี้" (อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า45)

พวกชีอะฮฺอิมามียะฮฺ เชื่อว่า "อิสลามจะยังไม่สมบูรณ์ด้วยกับสารของท่านนบี(ซ.ล.) แต่จำเป็นต้องเสริมคำสอนต่าง ๆของท่านอลีและท่านฮุเซน ท่านฮะซัน อัชชีรอซีย์ กล่าวว่า " เสมือนกับว่า ศักยาภาพอิสลามนั้น ยังต้องการความทุ่มเทของมุฮัมมัด อลีและอัลฮุเซน จนกระทั้งมันได้ดำรงอยู่ได้ เช่นเดียวกัน อิสลามยังคงไม่สมบูรณ์ในหัวใจดวงหนึ่ง ที่ไม่มีมุฮัมมัด อลีและอัลฮุเซนพร้อมๆกัน เพราะคำสอนต่าง ๆของมุฮัมมัดนั้น เป็นคำสอนในเชิงกำหนดคำสั่งขึ้นมา คำสอนของอลีนั้นในเชิงปฏิบัติอบรมสั่งสอน และคำสอนของอัลฮุเซนนั้นในเชิงของมาตราวัด เมื่อทั้งสามองค์ประกอบนี้ไม่เกิดขึ้น อิสลามก็ปรากฏให้มีขึ้นมาไม่ได้ " ( ดู อัชชะอาอิร อัลฮุซัยนียะฮฺ หน้า 12 )

พวกยิวอ้างว่า " บรรดาบาทหลวงของพวกเขานั้น ประเสริฐกว่า บรรดานบี ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ท่านพึงทราบเถิด แท้จริงคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาทหลวงนั้นย่อมประเสริฐกว่าคำกล่าวของบรรดานบี" อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า 46

พวกชีอะฮฺอิมามียะฮฺ เชื่อว่า "บรรดาอิมามของพวกเขานั้นย่อมประเสริฐกว่าบรรดานบี ความเลยเถิดของพวกเขานั้น ได้วางบรรดาอิมามของพวกเขา ให้มีฐานันดรที่ประเสริฐกว่าบรรดานบี ร่อซูลและมวลมะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดอัลเลาะฮฺ อัล-ฮุร อัล-อามิลีย์ กล่าวว่า " บรรดาอิมาม 12 นั้น มีความประเสริฐกว่าบรรดามัคโลคทั้งหลาย จากบรรดานบี บรรดาผู้ได้รับการสั่งเสียสืบทอด บรรดามะลาอิกะฮฺและอื่น ๆ " อัล-ฟุซูล อัล-มุฮิมมะฮฺ หน้า152 โคมัยนีย์กล่าวว่า " แท้จริง ให้กับอิมามนั้น มีตำแหน่งที่ได้รับการสรรญเสริญ และฐานันดรที่สูงส่ง และการสืบทอดที่ได้เกิดขึ้นมานี้ ทั้งหมดของธุลีแห่งจักรวาล ได้น้อมแด่อำนาจและการปกครองของมัน และแท้จริง ส่วนหนึ่งจากบรรดาสิ่งจำเป็นต่าง ๆจากแนวทางของเรา คือให้กับบรรดาอิมามของเรานั้น มีตำแหน่ง ที่มะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดและนบีที่ถูกส่งมานั้น ไม่สามารถไปถึงได้ " อัล-ฮุกูมะฮฺ อัล-อิสลามียะฮฺ หน้า 52 ท่านอัซซุดูก ได้กล่าวรายงานจากท่านร่อซูลุลอฮฺ(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า "แท้จริงอลีคือมนุษย์ที่ประเสริฐสุด และผู้ใดปฏิเสธ เขาย่อมกุฟุร " อะมาลี อัส-ซุดูก หน้า71

พวกยิว เชื่อว่า บรรดาบาทหลวงของพวกเขานั้นได้รับการคุ้มครองจากความผิด บาทหลวงรุสกี้ หนึ่งจากผู้บันทึกคำภีร์ตัลมูต ได้กล่าววิจารณ์ถึงการขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองบาทหลวงว่า "แท้จริง บาทหลวงทั้งสองนี้ ได้กล่าวสิ่งสัจจะธรรมเพราะพระเจ้าได้ทำให้บาทหลวงทั้งสองนี้ ได้รับการคุ้มครองจากความผิด " อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า47

พวกชีอะฮ์อิมามียะฮฺ เชื่อว่า บรรดาอิมามของพวกเขานั้น มะซูม ได้รับการคุ้มครองจากความผิด อัซ-ซันญะนีย์ ได้กล่าวจาก อัศศ่อดูกว่า " การศรัทธาเชื่อของเรา ในบรรดานบี ร่อซูล และบรรดาอิมามนั้น พวกเขาได้รับการคุ้มครองจากความผิด พวกเขาสะอาดจากทุกสิ่งโสมม " อะกออิด อัล-อิษนาอะชัร เล่ม 2 หน้า157 เชคฺมะฮัมมัด ริฏอ อัล-มุซ๊อฟฟัร กล่าวว่า " เราเชื่อมั่นว่า อิมามเสมือนกับนบี จำเป็นต้องมะซูม ได้รับความคุ้มครองจากความผิด" อะกออิด อัล-อิมามียะฮฺ หน้า104

พวกยิวเชื่อว่า คำสอนต่าง ๆของบรรดาบาตรหลวงนั้นเหมือนกับชาริอัตของนบีมูซา ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " จำเป็นกับท่าน โดยการพิจารณาคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาทหลวงนั้น เสมือนกับเตาร๊อต " อัล-กันซฺ อัล-อัรซูด หน้า45

พวกชีอะฮฺ เชื่อว่า คำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามนั้น เหมือนกับอัลกุรอาน โคมัยนย์กล่าวว่า "แท้จริง คำสอนต่าง ๆของบรรดาอิมามนั้น เสมือนกับคำสอนต่าง ๆของคำภีร์อัลกุรอาน ที่ไม่ได้เฉพาะแก่ชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง " อัลฮุกูมะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ หน้า 112

พวกยิว เชื่อว่า ผู้ที่โต้เถียงกับบาตรหลวงนั้น เหมือนกับการโต้เถียงกับอัลเลาะฮฺ ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ผู้ที่ใดที่โต้เถียงกับบาตรหลวง หรือบาทหลวงผู้สั่งสอน เขาย่อมทำผิด และเสมือนกับว่าเขาได้โต้เถียงกับความเกรียงไกรแห่งพระผู้เป็นเ จ้า " อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า46

พวกชีอะฮฺ เชื่อมั่นว่า ผู้ที่คัดค้านต่อบรรดาอิมามนั้น เสมือนกับการคัดค้านต่ออัลเลาะฮฺ เชคฺมุฮัมมัด ริฏอ อัลมุซฺ๊อฟฟัร กล่าวว่า " คำสั่งใช้ของบรรดาอิมามคือคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮฺ การห้ามของพวกเขาคือการห้ามของอัลเลาะฮฺ การภักดีของพวกเขาคือการภักดีของอัลเลาะฮฺ และการฝ่าฝืนพวกเขาคือการฝ่าฝืนของอัลเลาะฮฺ......และไม่อนุญาติให้คัดค้านพวกเขา เพราะผู้ที่คัดค้านพวกเขาเสมือนการคัดค้านร่อซูลุลลอฮฺและการคั ดค้านร่อซูลุลลอฮฺเสมือนกับการคัดค้านอัลเลาะฮฺ " อะกออิด อัลอิมามียะฮฺ หน้า106

พวกยิวอ้างว่า บรรดาบาตรหลวงผู้ใกล้ชิดพระเจ้านั้น คือผู้ที่สั่งสอนบรรดาผู้ประพฤติดีที่อยู่บนฟากฟ้า ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ตัลมูตว่า " แท้จริงบาทหลวงผู้ใกล้ชิดพระเจ้าน้นคือผู้ที่มาสั่งสอนบรรดาผู้ ประพฤติดีที่อยู่บนฟากฟ้า " ฮะมะญียะอฺ อัตตะอะลี อัซซียานียะฮฺ หน้า25

พวกชีอะฮฺ อ้างว่า" บรรดาอิมามของพวกเขานั้นคือผู้ที่สอนเตาฮีดแก่บรรดามะลาอิกะฮฺ พวกเขาได้รายงานถึงท่านร่อซูล(ซ.ล.) ท่านกล่าวแก่อลีว่า "....หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างมะลาอิกะฮฺ ดังนั้นในขณะที่พวกเขาได้เห็นบรรดาวิญญานของเราที่เป็นรัศมีและ พวกเขาก็ให้ความสำคัญแก่เรื่องราวเกี่ยวกับเรา ดังนั้นอัลเลาะฮฺก็ให้เราทำการกล่าวตัสบีฮฺ เพื่อเราได้สอนแก่มวงมะลาอิกะฮฺว่า เรานั้นคือมัคโลค และพระองค์นั้นทรงบริสุทธิ์จากคุณลักษณะต่าง ๆของเรา ดังนั้นบรรดามะลาอิกะฮฺก็ได้ทำการกล่าวตัสบีฮฺอันเนื่องจากเราไ ด้กล่าวตัสบีฮฺและพระองค์ก็บริสุทธิ์จากคุณลักษณะต่างๆของเรา ... ดังนั้น ด้วยกับเรา พวกมะลาอิกะฮฺจึงได้รับทางนำไปยังการรู้จักการเตาฮีดของอัลเลาะ ฮฺ การตัสบีฮฺ การตะฮฺลีล และการตะหฺมีดต่อพระองค์" ดู อิลัล อัล-ชะรอเอี๊ยะ หน้า5

พวกยิวอ้างว่า การเกรงกลัวบาตรหลวงผู้ใกล้ชิดพระเจ้านั้น คือการเกรงกลัวอัลเลาะฮฺ ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " การเกรงกลัวบาทหลวงผู้ใกล้ชิดพระเจ้านั้น คือตัวเดียวกันกับการเกรงกลัวพระเจ้า" ฮะญะมียะฮฺ อัตตะอาลีม อัสซุฮูนียะฮฺ หน้า 26

พวกชีอะฮฺอ้างว่า คำสั่งใช้ของบรรดาอิมามคือคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮฺ และการห้ามของบรรดาอิมามคือการห้ามของอัลเลาะฮฺ เชคฺมุฮัมมัด ริฏอ อัลมุซฺ๊อฟฟัร กล่าวว่า " คำสั่งใช้ของบรรดาอิมามคือคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮฺ การห้ามของพวกเขาคือการห้ามของอัลเลาะฮฺ การภักดีของพวกเขาคือการภักดีของอัลเลาะฮฺ และการฝ่าฝืนพวกเขาคือการฝ่าฝืนของอัลเลาะฮฺ " อะกออิด อัลอิมามียะฮฺ หน้า106

พวกยิวอ้างว่า " ให้เชื่อกับบรรดาบาตรหลวง แม้กระทั่งพวกเขาจะกล่าวว่า มือของท่านข้างซ้าย ไม่ใช่ข้างขวา ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ท่านจงรู้ไว้ว่า แท้จริงคำกล่าวต่าง ๆของบรรดาบาตรหลวงนั้น ย่อมประเสริฐกว่าคำกล่าวของบรรดานบีหรือมากกว่านั้น...ดังนั้นเมื่อบาทหลวงคนหนึ่งได้กล่าวแก่ท่าน ว่า มือขวาของท่านคือมือซ้ายหรือตรงกันข้าม ท่านก็จงเชื่อเขาและท่านอย่าโต้แย้งเขา " อัล-กันซฺ อัล-มัรซูด หน้า46

ชีอะฮฺอ้างว่า ให้เชื่อบรรดาอิมามของพวกเขา แม้กระทั่งอิมามกล่าวว่า กลางคืนนั้นไม่ใช่กลางคืน กลางไม่ใช่กลางวัน ท่านญะฟัรอัศศอดิกถูกถามว่า " โอ้บุตรร่อซูลลิลลาห์ แท้จริงได้มีชายคนหนึ่งที่รู้จักกันดีถึงความโกหก ที่ได้นำฮาดิษหนึ่งที่มาจากพวกท่าน แล้วให้เราจะคัดค้านปฏิเสธเขาใหม ? ท่านญะฟัรอัศศอดิกกล่าวว่า " เขากล่าวแก่พวกท่านว่า ญะฟัรบินมุฮัมมัด(บากิร)กล่าวว่า กลางคืนไม่ใช่กลางคืน และกลางวันไม่ใช่กลางวัน ? เขากล่าวได้ถึงขนาดนี้ ท่านญะฟัรกล่าวว่า การที่เขาแก่ท่านว่า ญะฟัรบินมุฮัมมัดได้กล่าวว่า กลางคืนไม่ใช่กลางคืน และกลางวันไม่ใช่กลางวันนั้น ท่านก็อย่ากล่าวว่าเขาโกหก หากท่านกล่าวโกหกแก่เขา ก็เท่ากับท่านกล่าวโกหกแก่ญะฟัรบินมุฮัมมัด " บาซออิร อัตดะร่อญาติ หน้า154

พวกยิวอ้างว่า นบีอีซา(อ.)เป็นพวกกาเฟรตกมุรตัดออกจากศาสนา ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " เขา(อีซา)เป็นยิวที่ตกศาสนา" อัล-กุนซฺ อัลมัรซูด หน้า100 ได้กล่าวเช่นเดียวกันว่า พวกตกศาสนานั้นคือ " บรรดาพวกคริสต์ที่เจริญรอยตามความลุ่มหลงของเยซู (อีซา)และจำเป็นกับการคบหาสมาคมกับพวกเขาเหมือนกับพวกกราบไหว้รูปเจวด" อัล-กุนซฺ อัลมัรซูด หน้า100

พวกชีอะฮฺ อ้างว่า บรรดาซอฮาบะฮฺนั้นเป็น กุฟฟารตกศาสนา กุลัยนีย์รายงานว่า "บรรดามนุษย์ได้เป็นผู้ตกศาสนานอกจากสามคน คืออัล-มิคดาดบินอัสวัด อบูซัรฺ อับฆิฟารีย์และซัลมานอัลฟาริซีย์ " อัลกาฟีย์ เล่ม8 หน้า245

พวกยิวกล่าวหา พระนางมัรยัม (อ.)ว่าทำซินา ทั้งที่อัลเลาะฮฺได้ประกาศความบริสุทธิ์ของนาง ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " แท้จริงเยซู(มูซา)อยู่ระหว่างหุบเขาที่มีหินสีดำร้อนแรงและนรก โดยที่มารดาของเขาได้มาจากบานดารจากหนทางที่ผิด" อัล-กุนซฺ อัลมัรซูด หน้า100

พวกชีอะฮฺกล่าวหาพระนางอาอิชะฮฺ(ร.ฏ.)ว่าทำซินา ทั้งที่อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ประกาศความบริสุทธิ์แก่นาง กุลัยนีย์ได้รายงานไว้ตอนหนึ่งว่า " ท่านฮุเซนกล่าวแก่นาง(ท่านหญิงอาอิชะฮฺ)ว่า แท้จริงพระนางเคยนำบรรดาผู้ชายเข้าบ้านร่อซูลุลลอฮฺโดยไม่ได้รั บอนุญาติ " อัล-กาฟีย์ เล่ม 2หน้า240-241 พวกชีอะฮฺพยายามสร้างความสงสัยในเรื่องที่อัลเลาะฮฺทรงประกาศคว ามบริสุทธิ์ของนาง โดยพวกเขากล่าวว่า " อัลเลาฮฺได้ประกาศความบริสุทธิ์ของนาง ในคำกล่าวของพระองค์ที่ว่า (أولئك مبرؤن مما يقولون ) เราขอกล่าวว่า ดังกล่าว ความบริสุทธิ์จากซินานั้น สำหรับนบี ไม่ใช่นาง เสมือนที่บรรดานักอถาธิบายอัลกุรอานได้กล่าวไว้" อัสซิรอฏอ๊ลมุสตะกีม เล่ม 3 หน้า168-169

พวกยิวอ้างว่า แท้จริงนบีมูซา(อ.)ถูกลงโทษอย่างรุนแรงในนรกญะฮันนัม ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " แท้จริงเยซู(อีซา)อยู่ระหว่างหุบเขาที่มีหินสีดำร้อนแรงและนรก" อัล-กุนซฺ อัลมัรซูด หน้า100

พวกชีอะฮฺอ้างว่า บรรดาคอลิฟะฮฺถูกลงโทษอยู่ในหีบโลงของไฟนรกญะฮันนัม โดยที่ชาวนรกต่างก็ขอให้พ้นจากความร้อนของหีบโลงนั้น อัลกุมมีย์ ได้รายงานไว้ในตัฟซีรของเขาว่า " قل أعوذ برب الفلق เขากล่าว่า อัลฟะลัก คือบ่อลึกอยู่ในนรกญะฮันนัมที่ชาวนรกต่างขอให้พ้นจากความร้อนแร งจากมัน ดังนั้นบ่อลึกของนรกญะฮันนัมได้ขออัลเลาะฮฺให้ความร้อนแรงของไฟ ได้หายใจบ้าง พระองค์จึงอนุญาติ แล้วมันก็เผาผลาญญะฮันนัมต่อไป กุมมีย์กล่าวว่า ในบ่อลึกดังกล่าวนั้น มีหีบหนึ่งจากนรกญะฮันนัมโดยที่ผู้ที่อยู่ในบ่อลึกนั้นขอให้พ้น จากความร้อนของมัน ซึ่งมันคือหีบโลง ที่ชนหกคนในยุคแรกอยู่และหกคนจากชนยุคหลังอยู่ สำหรับหกคนในยุคแรกนั้น คือบุตรของนบีอาดัมที่ฆ่าพี่น้องของเขา นัมรูดที่โยนนบีอิบรอฮีมเข้าไปในกองไฟ ฟิรอูน มูซาซามีรีย์ที่นำลูกวัวมาทำเป็นพระเจ้า ผู้ที่ทำยิวให้เป็นชาวยิว และผู้ที่ทำพวกนะซอรอให้เป็นนะซอรอ สำหรับหกคนในยุคหลังนั้น คือ คนแรก คนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่ (คือท่านอบูบักร ท่านอุมัร ท่านอุษมาน มุอาวียะฮฺ ) พวกคอวาริจญฺและอิบนิมุลญัม " ตัฟซีร อัลกุมมีย์ เล่ม 2 หน้า 499

พวกยิว อ้างว่าพวกตนเท่านั้นที่เป็นประชาชาติของพระเจ้าที่ถูกเลือกและ เป็นชนชั้นพิเศษในทุกๆประชาชาติ พวกเขากล่าวว่า " เราคือประชาชาติของพระเจ้าในผืนแผ่นดินนี้ " ดู อิสรออีล วะ ตัลมูต หน้า 69 อิบรอฮีมค่อลีล

พวกชีอะฮฺอ้างว่า พวกเขาคือชีอะฮฺของอัลเลาะฮฺ เป็นชนชั้นพิเศษของพระองค์ และเป็นชนที่บริสุทธิ์จากมุคโลกของพระองค์ ท่านอิยาชีอะฮฺได้รายงาน จากอับดุรเราะฮฺมานบินกะษีรว่า แท้จริงท่านอบีอับดิลลาห์ (ท่านญะฟัรอัศศอดิก)กล่าวว่า โอ้ อับดุรเราะหฺมาน ชีอะฮฺของเรานั้น อัลเลาะฮฺจะไม่ประทับตราบรรดาบาปและความผิด พวกเขาคือชนผู้บิรสุทธิ์ของอัลเลาะฮฺที่พระองค์ทรงเลือกสำหรับศ าสนาของพระองค์ " ตัฟซีร อัลฟุร๊อต เล่ม2หน้า105 และได้มีรายงานจากท่านญะฟัรบินมุฮัมมัด เขากล่าวว่า " เราคือบุคคลผู้ดีเลิศของอัลเลาะฮฺ และชีอะฮฺของเราคือชนผู้ดีเลิศจากประชาชาติของนบีของพระองค์ " อะมาลีย์ ของตูซีย์ หน้า 76

วกยิวอ้างว่า บรรดาวิญญานของพวกเขานั้น ถูกสร้างขึ้นมาจากอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ซึ่งพระองค์ไม่เคยมอบให้แก่ผู้ใดนอกจากพวกเขา ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " บรรดาวิญญานของชาวยิวนั้นจะมีความพิเศษจากบรรดาวิญญานอื่น ๆ โดยที่วิญญานของชาวยิวนั้นมาจากส่วนหนึ่งของพระเจ้า เสมือนกับบุตรที่เป็นส่วนหนึ่งจากบิดาของเขา "อิสรออีล วะ ตัลมูต หน้า 69 อิบรอฮีมค่อลีล

พวกชีอะฮฺอ้างว่า บรรดาวิญญานของพวกเขานั้นถูกสร้างมาจากรัศมีของอัลเลาะฮฺและพระ องค์ก็ไม่เคยบันดาลสิ่งดังกล่าวให้กับผู้ใดนอกจากพวกเขา เว้นแต่บรรดานบี กุลัยนีย์ได้รายงานจาก อะบีอับดิลลาหฺว่า ท่านกล่าวว่า " แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงสร้างเรามาจากรัศมีที่มาจากความยิ่งใหญ่ของ พระองค์ จากนั้นพระองค์ทรงเนรมิตรเราจากดินที่ถูกเก็บไว้ใต้อะรัช ที่รัศมีได้อยู่ในนั้น ดังนั้นเราจึงเป็นมัคโลค เป็นมนุษย์ เป็นรัศมี ที่พระองค์ไม่เคยมอบส่วนนี้แด่ผู้ใดที่จะเสมือนกับสิ่งที่พระอง ค์ทรงสร้างเรา และพระองค์ก็ทรงสร้างชีอะฮฺของเราจากดินของเราและร่างกายของเรา จากดินที่ถูกเก็บไว้ภายใต้ดินดังกล่าวนั้น โดยที่พระองค์ไม่เคยมอบส่วนนี้ให้แก่ผู้ใดที่เสมือนกับการสร้าง ของพวกเขา นอกจากบรรดานบี และเพราะเหตุดังกล่าวนั้น เราก็เป็นเรา พวกเขา(ชีอะฮฺ)ก็คือมนุษย์ และบรรดามนุษย์อื่น ๆนั้นเป็นพวกป่าเถื่อนของไฟนรกและไปสู่นรก " อัลกาฟีย์ เล่ม 1 หน้า389 ได้รายงานจากท่านญะฟัรอัศศอดิก ท่านกล่าวว่า " อัลเลาะฮฺได้ทรงสร้างเรามาจากรัศมีความยิ่งใหญ่ของพระองค์และพร ะองค์ได้ทรงสร้างเราขึ้นมาด้วยพระเมตตาของพระองค์ และพระองค์ก็ทรงสร้างวิญญานของพวกท่าน(ชีอะฮฺ)มาจากเรา " อัลอิคติซอร หน้า 21

พวกยิวเชื่อว่า หากไม่มีพวกเขา อัลเลาะฮฺก็ไม่ทรงสร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมา และหากไม่มีพวกเขาผืนแผ่นดินนี้จะขาดความศิริมงคล ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " หากอัลเลาะฮฺไม่ทรงสร้างยิว แผ่นดินนี้ก็จะขาดความศิริมงคล และพระองค์ก็จะไม่บันดาลฝนและสร้างดวงอาทิตย์ " อิสรออีล วะ อัตตัลมูต หน้า 69

พวกชีอะฮฺเชื่อว่าหากไม่มีพวกเขา พระองค์ก็จะไม่สร้างจักรวาลแห่งนี้ และหากไม่มีพวกเขา พระองค์ก็จะไม่ประทานความอำนวยสุขต่าง ๆกับผู้ที่อยู่บนผืนแผ่นดิน ได้รายงานจากอบีอับดิลลาหฺ ว่า " หากสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนี้ไม่มีจากพวกท่าน ฉันก็จะไม่เห็นความเขียวชะอุ่มงอกงามของมันตลอดไป ขอสาบาน หากสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนี้ไม่มีจากพวกท่าน บรรดาผู้ที่ขัดแย้งกับพวกท่านก็จะไม่ได้รับสิ่งอำนวยสุขและไม่ไ ด้รับกับปัจจัยที่ดี ๆ " อัลกาฟีย์ เล่ม 8 หน้า212 ได้กล่าวรายงานถึงท่านนบี(ซ.ล.)ว่า ท่านกล่าวแก่ท่านอลี ว่า โอ้ อลี ชีอะฮฺของเจ้านั้น คือผู้ที่ได้รับการคัดเลือก และหากว่าไม่มีเจ้า และชีอะฮฺของเจ้าแล้ว ศาสนาของอัลเลาะฮฺก็ไม่คงอยู่ หากว่าผู้ที่อยู่ในแผ่นดินนี้ไม่มีพวกเขา(ชีอะฮฺ) พระองค์ก็จะไม่ประทานฝนลงมาจากฟากฟ้า " ตัฟซีร ฟุร๊อต เล่ม 2 หน้า 95

พวกยิวเชื่อว่า แท้จริงทุกสิ่งที่อยู่ในผืนแผ่นดินนี้ เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขา โดยที่ผู้อื่นจากพวกเขาย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์ใด ๆที่จะทำการครอบครองสิ่งหนึ่งสิ่งใด และอนุญาติให้พวกเขาเรียกคืนกรรมสิทธิ์นั้นด้วยวิธีใดก็ได้เมื่ อผู้อื่นจากยิวได้เคยครอบครองมันไว้ ในคำภีร์ตัลมูตกล่าวว่า " ข้อเท็จจริงอันเป็นที่ยอมรับตามทัศนะของผู้ใกล้ชิดพระเจ้านั้น คือ อนุญาติให้ชาวยิวเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เจาะจงเป็นของชาวคริสต์ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด แม้กระทั้งด้วยการหลอกลวงก็ตาม และย่อมไม่ถูกพิจารณาว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการขโมยฉกฉวย เพราะว่าเขา(ยิว)นั้นจะไม่เอาสิ่งใดนอกจากสิ่งที่ได้เฉพาะสำหรับเขาแล้ว " ฟัฏฮฺ อัตตัลมูต หน้า 131

พวกชีอะฮฺอ้างว่า ทุกสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของอิมาม ซึ่งพวกเขาจะมอบมันให้แก่ชีอะฮฺ และผู้ที่ไม่ใช่ชีอะฮฺได้ครอบครอบกรรมสิทธิ์หนึ่ง มันย่อมเป็นสิ่งที่ฮะรอมต้องห้ามบนเขาและเมื่ออิมามมะฮฺดีของพว กเขาปรากฏตัว อิมามมะฮฺดีของพวกเขาก็จะเอาคืน พวกเขาได้รายงานจากท่านอบีอับดิลลาหฺ (ญะฟัรอัศศอดิก) ท่านกล่าวว่า " แผ่นดินทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเรา และทุกๆสิ่งในแผ่นดินนี้ที่อยู่ในมือ(กรรมสิทธิ์)ของชีอะฮฺของเรานั้น พวกเขาย่อมได้รับอนุมัติกรรมสิทธิ์นั้น และสำหรับสิ่งที่มีอยู่ในมือ(กรรมสิทธิ์)ของผู้ที่ไม่ใช่ชีอะฮฺ การขนขวายของพวกเขาจากแผ่นดินนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ฮะรอมต้องห้ามส ำหรับพวกเขา จนกระทั้งกออิม(อิมามมะฮฺดีย์ของพวกชีอะฮฺ)ได้ปรากฏตัว และได้แผ่นดินนั้นคืนมาจากกรรมสิทธิ์ของพวกเขาและได้เนรเทศพวกเ ขาอย่างต่ำต้อย " อัลกาฟีย์ เล่ม 1 หน้า408

พวกยิวเชื่อว่า พวกเขานั้นประเสริฐกว่ามะลาอิกะฮฺ ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " ชาวอิสรออีล ณ ที่อัลเลาะฮฺนั้น ได้รับพิจารณามากกว่าบรรดามะลาอิกะฮฺ เมื่อผู้ที่ไม่ใช่ยิวได้ทำการตี(ทำร้าย)อิสรออีลคนหนึ่ง ก็เสมือนกับว่าเขาได้ตี(ทำร้าย)ความยิ่งใหญ่แห่งพระเจ้าและเขาสมควรตาย" อิสรออีล วะ อัตตัลมูต หน้า 80

พวกชีอะฮฺเชื่อว่า พวกเขาเหล่านั้นประเสริฐกว่าบรรดามะลาอิกะฮฺ ได้รายงานจากอบีอับดิลลาหฺ ท่านกล่าวว่า " พวกท่านทั้งหลายนั้น (ถูกสร้างมา)สำหรับสวรรค์ และสวรรค์(ถูกสร้างมา)สำหรับพวกท่าน นามชื่อต่างๆของพวกท่าน เป็นบุคคลที่ประพฤติดีและปรับปรุงตัวเองอย่างดี และพวกท่านคือบรรดาผู้เป็นที่พึงพอพระทัยจากอัลเลาะฮฺ บรรดามะลาอิกะฮฺนั้นคือพี่น้องของพวกท่านในความดีงาม เมื่อพวกท่านทำการวินิจฉัย(อิจญฺฮาต) " ซิฟาต อัชชีอะฮฺ วะ ฟะฏออิล อัลชีอะฮฺ หน้า53 บรรดามะลาอิกะฮฺจะเป็นพี่น้องของพวกชีอะฮฺเมื่อพวกเขาได้ทำการว ินิจฉัยครับ !!!

พวกยิวอ้างว่า พวกเขานั้น คือมนุษย์ สำหรับผู้อื่นจากพวกเขานั้น ไม่ใช่มนุษย์ แต่อัลเลาะฮฺทรงสร้างพวกเขามาในรูปของมนุษย์เพื่อที่จะมารับใช้ พวกเขา ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " อัลเลาะฮฺทรงสร้างผู้ที่ไม่ใช่ยิว บนลักษณะของมนุษย์ เพื่อที่จะเป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับการรับใช้ชาวยิวในโลกดุนยานี ้ที่ถูกสร้างมาสำหรับเขา " อิสรออีล วะ อัตตัลมูต หน้า 69

พวกชีอะฮฺเชื่อว่า พวกเขาและบรรดาอิมามนั้นคือมนุษย์ที่แท้จริง สำหรับผู้อื่นจากพวกเขา ไม่ใช่มนุษย์ รายงานจาก อบีบุซัยรฺ เขากล่าวว่า " ฉันได้ทำฮัจญฺพร้อมกับอบีอับดิลลาหฺ(ท่านญะฟัรอัศศอดิก) ในขณะที่เราทำการตอวาฟอยู่นั้น ฉันได้กล่าวกับท่านอิมามว่า ขอให้ฉันเป็นผู้เสียสละเพื่อท่าน โอ้ บุตรของร่อซูลุลลอฮฺ อัลเลาะฮฺทรงอภัยให้แก่บรรดาผู้คนเหล่านี้ใหม? ท่านอิมามกล่าวว่า โอ้ อะบาบุซัยรฺ แท้จริงบุคคลส่วนมากที่ท่านเห็นอยู่นี้คือฝูงลิงและสุกร เขากล่าวว่า ฉันกล่าวกับอิมามว่า ท่านจงทำให้ฉันเห็นพวกเขาได้ใหม? เขากล่าวว่า ดังนั้นท่านอิมามก็อ่านถ้อยคำต่างๆ หลังจากนั้นท่านก็เอามือมาลูบที่ตาของฉัน ฉันจึงเห็นพวกเขาเป็นลิงและสุกร ดังกล่าว ได้ทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัว หลังจากนั้นท่านอิมามจึงเอามือลูบที่ตาของฉัน ดังนั้นฉันก็เห็นพวกเขาเหมือนสภาพดังเดิม " บะซออิร อัตดะร่อญาร ของอัศซ๊อฟฟาร หน้า 260 แสดงว่าบรรดาผู้ที่ทำฮัจญีนั้นคือลิงและสุกรนอกจากพวกชีอะฮฺ !!!

พวกยิวอ้างว่า จะไม่มีใครได้เข้าสวรรค์นอกจากชาวยิวเท่านั้น และผู้ที่ไม่ใช่ชาวยิวย่อมได้เข้านรก ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " สวรรค์ที่แสนบรมสุขนี้ จะไม่ได้เข้านอกจากชาวยิว สำหรับคนอื่นที่เหลือ จะถูกลงนรก " ฮะญะมียะฮฺ อัตตะอาลีม อัชชิฮฺเยานียะฮฺ หน้า 55

พวกชีอะฮฺอ้างว่า พวกเขาจะได้เข้าสวรรค และบรรดาศรัตรูของพวกเขานั้นเข้านรก ( พวกเขาเลยเถิดครับ!!! ) รายงานจากอบีอัลดิลลาหฺ ท่านกล่าวว่า " แท้จริงอัลเลาะฮฺจะรวมดุนยาและอาคิเราะฮฺสำหรับชีอะฮฺของเรา พวกเขาจะได้เข้าบรรดาสวรรคที่บรมสุข และบรรดาศรัตรูของเรานั้นจะได้เข้านรกญะหีม" อุยูน อัลมั๊วะญิซาต หน้า 86 รายงานจากท่านอลี ท่านกล่าวว่า " พวกเขาเหล่านี้คือผู้ศรัทธา จะได้เข้าสวรรค์ และพวกเขาเหล่านั้นคือพวกนาซิบ(ศรัตรูของอะฮฺลิลบัยตฺผู้ไม่นับว่าท่านอลีคือผู้นำท่านที่1)เข้านรก" ตัฟซี ฟุร๊อตหน้า113

พวกยิวอ้างว่า พวกเขาจะไม่ได้เข้านรก แม้ว่าพวกเขาจะทำบาปสักทีก็ตาม ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " แท้จริงไฟนรกนั้นไม่มีอำนาจใดสำหรับมัน ต่อบรรดาผู้มีบาปจากบนีอิสรออีล และไม่มีอำนาจใดๆสำหรับมัน ที่มีต่อบรรดาสานุศิษย์ของบรรดานักปราชน์ยิว" อัตตัลมูต ตารีคียะฮฺ วะ ตะอาลีมียะฮฺ หน้า 79 ของท่าน ซ๊อฟรุลอิสลาม คอน

พวกชีอะฮฺอ้างว่าพวกเขาจะไม่เข้านรกสักคนเดียว รายงานจากมุยัสซิร เขากล่าวว่า ฉันได้เข้าไปหาอะบีอับดิลลาหฺ ท่านอิมามกล่าวว่า "บรรดามิตรสหายของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ? ฉันกล่าวว่า ขอให้ฉันเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อท่าน แท้จริง พวกเรา ตามทรรศนะของพวกเขานั้น ชั่วมากกว่าพวกยิว พวกนะซอรอ พวกมุญูซีย์และบรรดามุชริกีนเสียอีก เขากล่าวว่า ท่านอิมามได้นั่งพิงแล้วก็นั่งตัวตรง แล้วกล่าวว่า ท่านกล่าวว่าอย่างไรน่ะ? ฉันกล่าวว่า ขอสาบาน แท้จริง พวกเรา ตามทรรศนะของพวกเขานั้น ชั่วมากกว่าพวกยิว พวกนะซอรอ พวกมุญูซีย์และบรรดามุชริกีนเสียอีก ท่านอิมามกล่าวว่า ขอสาบาน คนหนึ่งคนใดจากพวกท่านจะไม่ได้เข้านรก แม้สองคนก็ไม่ ขอสาบาน แม้หนึ่งคน ก็ไม่ " อัลกาฟี เล่ม 8 หน้า 78

พวกชีอะฮฺเลยเถิด คิดว่าตัวพวกเขาเองเป็นที่รักของอัลเลาะฮฺ โดยที่อัลเลาะฮฺจะสนทนากับพวกเขาในวันกิยามะฮฺว่า โอ้ บรรดาผู้เป็นที่รักของฉัน ฟุร๊อต อัลกูฟีย์ รายงาน(อ้าง)ไปยังท่านนบี(ซ.ล.)ว่า ท่านกล่าวว่า อัลเลาะฮฺจะทำการสนทนากับชีอะฮฺโดยกล่าวแก่พวกเขาว่า "โอ้ บรรดาผู้ที่เป็นที่รักของข้า พวกเจ้าจะสนใจอะไรอีกหรือ? โดยที่ฟาฏิมะฮฺได้อยู่ท่ามกลางระหว่างคนรักของข้า ได้ให้การช่วยเหลือแก่พวกเจ้าแล้ว ดังนั้นพวกเขา(ชีอะฮฺ)ก็กล่าวว่า ก็พระผู้อภิบาลแห่งเรา พระองค์ทรงโปรดทำให้พวกเราเป็นที่รัก โดยเผยเกียตริของเราให้ได้รับรู้เหมือนกับวันนี้เถิด อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า โอ้บรรดาผู้เป็นที่รักของข้า........." ตัฟซีรฟุร๊อต หน้า114

พวกชีอะฮฺถือว่าตัวเองบริสุทธิ์ จนเลยเถิด ซึ่งพวกยิวก็ยึดถืออะกีดะฮฺนี้เหมือนกัน ดังกล่าวย่อมชี้ให้เห็นว่าพวกชีอะฮฺได้รับอิทธิพลมาจากพวกยิวแล ะโน้มเอียงไปทางยิว อัลเลาะฮฺได้ทรงตรัสไว้ว่า

( وقالوا لن تمسنا النار إلا أياما معدودة قل أتخذتم عند الله عهدا فلن يخلف الله عهد أم تقولون على الله مالا تعلمون بلى من كسب سيئة وأحطجت به خطيئة فأولئك أصحاب النار هم فيها خالدون)

ความว่า "พวกเขาเหล่านั้นกล่าวว่า ไฟนรกจะไม่สัมผัสพวกเราหรอก นอกจากเพียงไม่กี่วันเท่านั้น (โอ้มุฮัมมัด)เจ้าจงประกาศเถิดว่า หรือพวกเจ้าทั้งหลายใด้เอาสัญญาทั้งหลายต่ออัลเลาะฮฺ ซึ่งแน่นอนอัลเลาะฮฺจะไม่บิดพิ้วสัญญาของพระองค์ หรือว่าพวกเจ้าได้พูดเท็จแก่อัลเลาะฮฺ ในสิ่งที่พวกเจ้าเองก็ไม่รู้ แต่ทว่าบุคคลใดได้พากเพียรความเลวทราม และความผิดของพวกเขาได้แวดล้อมเขาไว้รอบด้าน แน่นอนพวกเขาเหล่านั้นเป็นชาวนรกโดยแท้ ซึ่งพวกเขาจะอยู่ในนั้นโดยนิรันดร์กาล " อัลบะกอเราะฮฺ 80-81

พระองค์ทรงตรัสว่า

(وقالوا لن يدخل الجنة الا من كان هودا أو نصارى تلك أمانيهم قل هاتوا برهانكم إن كنتم صادقين )

ความว่า "และพวกเขากล่าวว่า จะไม่ได้เข้าสวรรค์ ยกเว้นผู้ที่เป็นยาฮูดี หรือนัสรอนีย์ นั่นเป็นความใฝ่ฝันของพวกเขาเท่านั้น เจ้าจงประกาศเถิดว่าพวกท่านทั้งหลายจงนำหลักฐานมาซิ ถ้าหากพวกท่านสัจจริง " อัลบะกอเราะฮฺ 111

พระองค์ทรงตรัสว่า

(وقالت اليهود والنصارى نحن أبناء الله وأحباؤة قل فلم يعذبكم بذنوبكم بل أنتم بشر ممن خلق . يغفر لمن يشآء ويعذب من يشآء ولله ملك السموات والأرض وما بينهما وإليه المصير)

ความว่า " พวกยิวกับพวกนัสรอนีย์ได้กล่าวว่า พวกเราล้วนเป็นบุตรของอัลเลาะฮฺและเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ เจ้าจงกล่าวเถิดว่า " ก็แล้วเพราะอะไรเล่า พระองค์จึงลงโทษพวกเจ้าเนื่องในบาปของพวกเจ้า ? แต่ความเป็นจริงนั้น พวกเจ้าเป็นปุทุชนธรรมดาจากผู้ที่พระองค์ได้ทรงบันดาลไว้ พระองค์ทรงอภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงลงโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และสำหรับอัลเลาะฮฺ คืออำนาจการปกครองทั้งฝากฟ้าและแผ่นดิน รวมทั้งสรรพสิ่งระหว่างทั้งสอง และที่กลับคืนคือยังไปพระองค์(เพื่อรับการตอบแทน) " อัลมาอิดะฮฺ โองการที่20

พวกยิวและชีอะฮฺได้หยามหมิ่นมุสลิมีนชาวซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺ บางทีอาจจะชี้ให้เห็นว่าพวกชีอะฮฺอาจจะเดินตามแนวทางของพวกยิว? เราลองมาเปรียบเทียบกันดูน่ะครับ

พวกยิวเชื่อว่า บรรดาวิญญานของพวกเขามีความพิเศษกว่าผู้อื่น ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " บรรดาวิญญานของชาวยิวจะมีความพิเศษกว่าวิญญานของพวกอื่น ๆ เนื่องจากบรรดาวิญญานของพวกเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งจากพระเจ้า เสมือนกับบุตรที่เป็นส่วนหนึ่งของบิดาของเขา และบรรดาวิญญานของยิวนั้นมีเกียตริยิ่ง ณ อัลเลาะฮฺ เพราะบรรดาวิญญานของผู้ที่ไม่ยิวนั้น คือบรรดาวิญญานของชัยฏอน และเสมือนกับวิญญานของสัตว์เดรฉาน" อิสรออีล วะ ตัลมูต หน้า 67 กล่าวไว้เช่นกันว่า "โอ้ ชาวยิวทั้งหลาย แท้จริงพวกท่าน เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดามนุษย์ เพราะวิญญานของพวกท่านนั้น แหล่งที่มานั้น มาจากวิญญานของอัลเลาะฮฺ สำหรับประชาชาติอื่น ๆ นั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากบรรดาวิญญานของพวกเขานั้น แหล่งที่มาก็คือ วิญญานที่เป็นนะยิสสกปรก" อัลกันซฺ อัลมุรซูด หน้า68

พวกชีอะฮฺเชื่อว่า บรรดาวิญญานของพวกเขานั้นมีความโดดเด่นจากมนุษย์พวกอื่น ๆ รายงานจากอบีอับดิลลาฮฺ ท่านกล่าวว่า "แท้จริงอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.)ทรงสร้างเรามาจาก(ดิน)สวรรค์อิลลียีน และทรงสร้างผู้ที่รักเรา โดยไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ได้เคยสร้างเรา และพระองค์ทรงสร้างศรัตรูของเราจาก(ดิน) นรกสิจญีลและพระองค์ทรงสร้างผู้ที่เป็นที่รักของพวกเขาจากมันเช ่นกัน" บะซออิร อัดดะร่อญาร หน้า 36 รายงานเช่นกันว่าจากอบีอับดิลลาหฺว่า "แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงสร้างผู้ศรัทธาจากดินของสวรรค์ และสร้างพวกนาซิบ(ศรัตรูของอะฮฺลิลบัยตฺผู้ไม่ถือว่าท่านอลีเป็นผู้นำคนแรก)จากดินแห่งไฟนรก" บะซออิร อัดดะร่อญาร หน้า 36

พวกยิวเชื่อว่า ผู้ที่มีแนวทางขัดแย้งกับพวกเขานั้น เป็นนะยิสสกปรกและแท้จริงการเป็นนะยิสสกปรกนั้นเป็นสิ่งที่น่าต ำหนิอันเนื่องจากโครงสร้างมาแต่เดิมของพวกเขา ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " เพราะเหตุใดผู้ไม่ใช่ยิวถึงเป็นนะยิส ? ก็เนื่องจากพวกเขากินอาหารที่สกปรกและบรรดาสัตว์เลื้อยคลาน" ฟัฏหฺ อัตตัลมูต หน้า90 กล่าวไว้เช่นกันว่า " เมื่อยิวคนหนึ่งได้ซื้อภาชนะแก้วดื่มน้ำเพื่อมาใช้ตั้งไว้บนโต๊ ะ ไม่ว่ามันจะถูกทำมาจากแร่ แก้ว ตะกั่ว แม้กระทั้งทำมาจากเหล็ก ก็จำเป็นต่อชาวยิวต้องทำการล้างมันในบ่อน้ำที่ใหญ่..." ฟัฏหฺ อัตตัลมูตหน้า114 กล่าวไว้เช่นกันว่า" สิ่งต่างที่เฉพาะสำหรับผู้ไม่ใช่ยิวที่ถูกห้ามนั้นมีดังต่อไปนี ้ นมสดที่ผู้ไม่ใช่ยิวรีดมาจากแม่วัวตอนที่ชาวยิวไม่อยู่ด้วย และห้ามเช่นเดียวกัน กับขนมปังของพวกเขา" ฟัฏหฺ อัตตัลมูต หน้า 114

พวกชีอะฮฺเชื่อว่า ผู้ที่มีแนวทางขัดแย้งกับพวกเขานั้นเป็นนิยิสสกปรก เนื่องจากการเป็นนะยิสนั้นยังคงอยู่กับโครงสร้างเดิมที่พวกเขาถ ูกสร้างมา รายงานจากท่านญะฟัรอัศศอดิกว่า " น้ำลายของลูกซินา ยิว นัสรอนีย์ ผู้ตั้งภาคีและทุกคนที่ขัดกับอิสลามย่อมเป็นที่น่ารังเกียจ และที่น่ารังเกียจยิ่งไปกว่านั้นคือ น้ำลายของพวกนิซิบ( ผู้ที่เป็นศรัตรูของอะฮฺลิลบัยตฺโดยกล่าวว่าท่านอลีไม่ใช่ผู้นำ คนแรก)" อัลกาฟีย์ เล่ม3หน้า11 รายงานจากคอลิต อัลก่อลาซินีย์ เขากล่าวว่า ฉันได้กล่าวแก่อบีอับอิลลาหฺว่า ฉันได้พบกับคนซิมมีย์(กาเฟรที่อยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิม)แล้วเขาก็ได้จับมือกับฉัน ท่านญะฟัรกล่าวว่า ท่านจงเช็ดมือของท่านด้วยดินหรือที่ฝาผนัง(กำแพง) ฉันกล่าวถามว่า แล้วคนนาซิบล่ะ? ท่านญะฟัรตอบว่า ท่านจะล้างมัน" อัลกาฟีย์ 265

รายงานจากอบีอับดิลลาหฺเช่นกันว่า " ท่านอย่าอาบน้ำในบ่อที่รวมไว้ซึ่งน้ำอาบของผู้ที่อาบน้ำในห้องน ้ำ เพราะว่าในนั้นมีการอาบน้ำของพวกลูกซินา ซึ่งมันไม่สะอาดแม้กระทั้ง7บ่อน้ำก็ตาม และบ่อน้ำที่มีนาซิบอาบ ซึ่งมันเลวร้ายกว่าจากทั้งสอง โดยที่อัลเลาะฮฺไม่ได้สร้างมัคโลคใดที่จะชั่วไปกว่าสุนัข และแท้จริงพวกนิซิบนั้นต่ำต้อยยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก ณ ที่อัลเลาะฮฺ" อัลกาฟีย์ เล่ม3หน้า11 เนี๊ยะมะตุลลอฮฺอัลญะซฺาอิรีย์กล่าวว่า " สำหรับนาซิบและสถานะภาพของเขานั้น คือสิ่งที่จะสมบูรณ์ได้ด้วย การอธิบาย สอง ประการด้วยกัน หนึ่ง อธิบายความหมายของนะซิบที่ได้รายงานจากบรรดาฮะดิษต่าง ๆนั้น คือเขาเป็นนะยิส และชั่วช้ากว่ายิว นัสรอนีย์และมะญูซีย์ และแท้จริงเขาเป็นกาเฟรที่เป็นนะยิสด้วยมติของปวงปราชน์ของชีอะ ฮฺ(ร.ฏ.)" อันอันวาร อันนั๊วะมานียะฮ์ เล่ม2 หน้า306 โคมัยนีย์กล่าวว่า "พวกนาซิบและพวกค่อวาริจญฺนั้น ทั้งสองพวกเป็นนะยิส" ตะหฺรีร อัลวะซีละฮฺ หน้า 107

พวกยิวเชื่อว่า พวกเขาเท่านั้นคือมนุษย์ที่แท้จริง และพวกเขาทำการปฏิเสธความเป็นมนุษย์จากผู้อื่นจากพวกเขา คือพวกเขาคิดว่าผู้ที่ไม่ใช่ยิวนั้นคือสัตว์เดรัจฉาน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเชื่อว่าพวกสัตว์ทั้งหลายยังดีกว่าผู้ที่ไ ม่ใช่เป็นยิว ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " เราคือประชาชาติแห่งพระเจ้าในแผ่นดินนี้ โดยที่พระองค์ทรงทำให้เราแยกย้ายกันออกไปเพื่อผลประโยชน์แก่เรา ดังกล่าวนั้นอันเนื่องจากความเมตตาและความพอพระทัยของพระองค์ที ่มีแก่เรา พระองค์ทรงอำนวยสัตว์มนุษย์ให้แก่เรา ซึ่งพวกเขาอยู่ในทุกประชาชาติและเผ่าพันธุ์ โดยที่พระองค์ทรงอำนายประโยชน์พวกเขาเหล่านั้นแก่พวกเรา เพราะพระองค์ทรงรู้ว่า พวกเราชาวยิวต้องการ สัตว์สองประเภท หนึ่งคือประเภทใบ้ คือบรรดาปศุสัตว์ สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ปีก สองสัตว์ที่พูดได้ เช่นพวกคริสต์ มุสลิมีนและประชาชาติอื่น ๆทั่วทั้งตะวันออกและตก " ฟัฏหฺ อัตตัลมูต หน้า 99 กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตเช่นกันว่า " บรรดาประชาชาติที่นอกเหนือจากยิวนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงสุนัขเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นพวกเขาคือลาด้วยเช่นกัน " อัลกันซฺ อัลมัรซูด หน้า 68 บาทหลวงอาเรียล กล่าวว่า "บรรดาผู้ที่ออกจากศาสนายิวนั้น คือสุกรสกปรกที่อยู่ในป่า " ฟัฏหฺ อัตตัลมูต หน้า 99

พวกชีอะฮฺเชื่อว่า พวกเขาคือมนุษย์ที่แท้จริง และปฏิเสธความเป็นมนุษย์กับผู้อื่นจากพวกเขาและพวกเขาคิดว่าผู้ ที่ไม่ใช่ชีอะฮฺนั้นคือสัตว์เดรัจฉาน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่าพวกสัตว์ทั้งหลายยังดีกว่าผู้ที่ไม่ใช่ชีอะฮฺเสี ยอีก อัลอิยาชีย์ ได้รายงานจากอบีอับดิลลาห์ ท่านกล่าวว่า " ชีอะฮฺนั้นคือมนุษย์ที่แท้จริง และผู้ที่ไม่ใช่ชีอะฮฺนั้น อัลเลาะฮฺทรงเป็นผู้รอบรู้ยิ่งว่า พวกเขาคืออะไร ? " ตัฟซีร อัลอิยาชีย์ หน้า 40 รายงานจาก อบีบุซัยรฺ เขากล่าวว่า " ฉันได้ทำฮัจญฺพร้อมกับอบีอับดิลลาหฺ(ท่านญะฟัรอัศศอดิก) ในขณะที่เราทำการตอวาฟอยู่นั้น ฉันได้กล่าวกับท่านอิมามว่า ขอให้ฉันเป็นผู้เสียสละเพื่อท่าน โอ้ บุตรของร่อซูลุลลอฮฺ อัลเลาะฮฺทรงอภัยให้แก่บรรดาผู้คนเหล่านี้ใหม? ท่านอิมามกล่าวว่า โอ้ อะบาบุซัยรฺ แท้จริงบุคคลส่วนมากที่ท่านเห็นอยู่นี้คือฝูงลิงและสุกร เขากล่าวว่า ฉันกล่าวกับอิมามว่า ท่านจงทำให้ฉันเห็นพวกเขาได้ใหม? เขากล่าวว่า ดังนั้นท่านอิมามก็อ่านถ้อยคำต่างๆ หลังจากนั้นท่านก็เอามือมาลูบที่ตาของฉัน ฉันจึงเห็นพวกเขาเป็นลิงและสุกร ดังกล่าว ได้ทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัว หลังจากนั้น ท่านอิมามจึงเอามือลูบที่ตาของฉัน ดังนั้น ฉันก็เห็นพวกเขาเหมือนสภาพดังเดิม " บะซออิร อัตดะร่อญาร ของอัศซ๊อฟฟาร หน้า 290 อัฏตูซีย์ รายงานจากมุฮัมมัดบินฮะนะฟียะฮฺ เขาได้กล่าวกับบิดาของเขา(คืออิมามอลี)ว่า " อัลเลาะฮฺไม่ทรงสร้างสิ่งใดที่จะชั่วไปกว่าสุนัข และนาซิบ(ผู้ที่ไม่ถือว่าท่านอลีเป็นผู้นำคนที่1)ชั่วร้ายกว่าสุนัขเสียอีก" อะมาลีย์ อัฏตูซีย์ หน้า 279 บิฮารุลอันวาร ยุซ 27 หน้า 221 อัลบัรกีย์ รายงานจากอบีอับดิลลาหฺ ท่านกล่าวว่า "แท้จริง นบีนัวะหฺ (อ.) ได้แบกรับสุนัขและสุกรไว้บนเรือ และท่านไม่แบกรับลูกซินาไว้ในเรือ โดยที่นาซิบนั้นชั่วกว่าลูกซินาเสียอีก " อัลมาหาซิน หน้า 185 ษะวาบ อัลอฺะมาล วะ อิกาบ อัลอะมาล ของท่านศ่อดูก หน้า 251 พวกเขายังกล่าวหาผู้ที่ไปทำฮัจญฺว่า " อัลเลาะฮฺทรงเริ่มมองไปยังผู้ที่ไปเยี่ยม ฮุเซนบินอลี ในยามเย็นของวันอะรอฟะฮฺ ก่อนที่จะมองไปยังสถานที่วุกูฟ(ที่อะรอฟะฮฺ) เพราะว่าในพวกเขานั้น(คือผู้ที่ทำฮัจญฺที่บัยตุลเลาะฮฺ)คือบรรดาลูกซินา โดยที่ในพวกเขาเหล่านั้น(คือที่ไปเยี่ยมสุสานท่านฮุเซน)ไม่มีลูกซินา" อัล-วาฟีย์ เล่ม 2 หน้า 222 เราจะสังเกตุเห็นว่า พวกชีอะฮฺกล่าวหามุสลิมีนซุนนะฮฺว่าทำซินาและเป็นลูกซินา ซึ่งท่านจะเห็นถึงความเป็นยิวของพวกชีอะฮฺ หรือความอคติมากกว่ายิวเสียอีก อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า

((ولتجدن أشد الناس عداوة للذين آمنوا اليهود ความว่า" ขอสาบาน แน่แท้ท่านจะพบว่ามนุษย์ที่เป็นศรัตรูอย่างรุนแรงที่สุดต่อบรรด าผู้ศรัทธานั้นคือพวกยิว " ดังนั้นท่านทั้งหลายคงไม่สงสัยเกี่ยวกับความเป็นยิวของพวกชีอะฮ ฺนะครับ

พวกยิวกล่าวว่า ไม่มีทางที่จะเป็นบาปแก่เราในการที่จะฉ้อฉลพวกที่ไม่ใช่ยิว ได้กล่าวไว้ในตัลมูตว่า " ท่านจงฆ่าคนดีที่ไม่ใช่ยิว และถูกห้ามต่อพวกยิว กับการทำให้รอดพ้นกับคนหนึ่งคนที่ไม่ใช่ยิว จากความวิบัติ หรือช่วยเขาให้ออกจากหลุมที่เขาตกลงไป แต่จำเป็นบนยิวต้องปิดหลุมนั้นด้วยก้อนหิน " อิสรออีล วะ ตัลมูต หน้า72

พวกชีอะฮฺนั้น พวกเขามีความเห็นว่า ชีวิตและทรัพย์สินของมุสลิมีนซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺ( คือพวกนาซิบตามที่พวกเขากล่าวอ้าง)นั้นเป็นสิ่งที่ฮะลาล ดังนั้นเราลองมาทำความเข้าใจคำว่านาซิบก่อนว่าพวกเขาคือใคร? เนี๊ยะฮฺมะตุลเลาะฮฺ อัลญะซฺาอิรีย์ กล่าวว่า " และได้สนับสนุนความหมายนี้นั้น คือบรรดาอิมาม (อ.)และบุคคลชั้นพิเศษของพวกเขา ใช้คำว่า อันนาซิบีย์ กับท่านอบูฮะนีฟะฮฺและคนอื่น ๆที่เหมือน ๆกับเขา ทั้งที่พวกเขาไม่ได้เป็นศรัตรูต่ออาลิลบัยตฺ " อันอันวาร อันนั๊วะมานียะฮฺ เล่ม 2 หน้า 307 ท่านฮุเซน บินชัยคฺมุฮัมมัด อาลิ อุชฟูร อัลบะหฺรอนีย์ กล่าวว่า " แท้จริงท่านได้รู้มาแล้วว่า อันนาซิบ นั้นไม่ใช่ผู้อื่นใดเลย นอกจากสำนวนหนึ่ง จากการ(เอาผู้อื่นเป็นผู้นำ)อยู่ก่อนท่านอลี(อ.) " อัลมะหาซิน อันนัฟซานียะฮฺ ฟี อัจญฺวิบะฮฺ อัลมะซาอิล อัลเคาะรอซานียะฮฺ หน้า 157 เขาได้กล่าวไว้เช่นกันว่า " แต่บรรดาฮะดิษของพวกเขา(ชีอะฮฺ)นั้น ได้ประกาศให้รู้ว่า แท้จริง นาซิบ นั้น คือผู้ที่ถูกกล่าวแก่เขา ตามทัศนะของชีอะฮฺนั้น คือ ซุนนีย์ " ดู หน้า 147 เขาได้กล่าวเช่นกันว่า " ไม่ต้องพูดแต่ประการใดแล้วว่า แท้จริง จุดมุ่งหมายของ อันนาซิบะฮฺ นั้นคือ อะฮฺลิสซุนนะฮฺ " ดู หน้า 147

รายงานจากอิบนุ ฟัรก๊อด เขากล่าวว่า " ฉันกล่าวกับ อบีอับดิลลาฮฺ (อ.)ว่า ท่านจะว่าอย่างไรหรือ เกี่ยวกับการฆ่า นาซิบ ? ท่านอบีอับดิลลาฮฺตอบว่า ฮะลาลเลือด(ชีวิต)ของเขา แต่ฉันหวั่นเกรงต่อตัวท่าน(จะได้รับอันตราย) ดังนั้นถ้าหากท่านมีความสามารถ คว่ำเขากับกำแพง หรือทำให้เขาจมในทะเลได้ ท่านก็จงทำ เขาได้ถามอีกว่า ท่านกล่าวว่าอย่างไรเกี่ยวทรัพย์สินของเขา ? ท่านอบูอับดิลลาฮฺกล่าวว่า " ท่านจงเอาสิ่งที่ท่านสามารถจะเอามาได้" บิฮาร อัลอันวาร เล่ม 27 หน้า 231 ท่านญะฟัรอัศศอดิกกล่าวว่า " ท่านจงเอาทรัพย์สินของนาซิบ ไม่ว่าที่ใดที่ท่านพบมัน และท่านจงนำมาจ่ายแก่เรากับเศษหนึ่งส่วนห้า (คุมสฺ)" ดู ตะฮฺซีบ อัลอะหฺกาม ของอัฏตูซีย์ เล่ม 1 หน้า 384 วะซาอิล อัชชีอะฮฺ ของ อัลฮุร อัลอามิลีย์ เล่ม 6 หน้า 340 รายงานจากท่านญะฟัรอัศศอดิกเช่นกัน ท่านกล่าวว่า " ทรัพย์สินของนาซิบและทุกสิ่งที่พวกเขาครอบครองอยู่นั้น ฮะลาล "ตะฮฺซีบ อัลอะหฺกาม เล่ม 2 หน้า48 วะซาอิล อัชชีอะฮฺ ของ อัลฮุร อัลอามิลีย์ เล่ม 11 หน้า 60

ท่านผู้อ่านครับ หากท่านลองพิจารณาดู ท่านจะพบว่าลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นลักษณะของพวกยิว

อัลเลาะฮฺ ทรงตรัสไว้ว่า ( ذلك بأنهم قالوا ليس علينا في الأميين سبيل ويقولون على الله الكذب وهم يعلمون ) ความว่า " ดังกล่าวนั้นเป็นเพราะพวกเขากล่าวว่า ไม่มีทางที่จะเป็นบาปแก่เราใน(การที่เราจะคดโกง)พวกไม่รู้หนังสือ(คือพวกอาหรับ) และพวกเขากล่าวเท็จต่ออัลเลาะฮฺ ทั้งที่พวกเขารู้ดี " อาลิ อิมรอน 75

((ولتجدن أشد الناس عداوة للذين آمنوا اليهود ความว่า" ขอสาบาน แน่แท้ท่านจะพบว่ามนุษย์ที่เป็นศรัตรูอย่างรุนแรงที่สุดต่อบรรด าผู้ศรัทธานั้นคือพวกยิว " อัลมาอิดะฮฺ 82 ดังนั้นท่านทั้งหลายคงไม่สงสัยเกี่ยวกับความเป็นยิวของพวกชีอะฮ ฺอีกเช่นกันนะครับ

พวกยิวกับดอกเบี้ย วิธีการเอาดอกเบี้ย(ริบา)ของยิวและชีอะฮฺ จึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกที่ชีอะฮฺจะมีวิธีกินดอกเบี้ยเหมือน กับยิว อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า

(فبظلم من الذين هادوا حرمنا عليهم طيبات أحلت لهم وبصدهم عن سبيل الله كثيرا* وأخذهم الربا وقد نهوا عنه وأكلهم أموال الناس بالباطل وأعتدنا للكافرين منهم عذابا أليما)

ความว่า " แท้จริงเป็นเพราะความฉ้อฉลจากมวลผู้เป็นยาฮูดีทั้งหลาย เราจึงบัญญัติห้ามพวกเขากับบรรดา(อาหาร)ดี ๆที่เคยถูกอนุมัติแก่พวกเขา และเพราะการที่พวกเขาขัดขวางแนวทางของอัลเลาะฮฺอย่างมากมาย และเพราะพวกเขาเอาดอกเบี้ย ทั้งที่พวกเขาถูกห้ามจากสิ่งนั้น และพวกเขากินทรัพย์สินของเพื่อนมนุษย์ โดยมิชอบธรรมและเราได้เตรียมการลงโทษอันทรมานสำหรับพวกเนรคุณจา กพวกเขาเหล่านั้น " อันนิซาอฺ 160-161

ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " อัลเลาะฮฺใช้เราให้เอาดอกเบี้ยจาก ซิมมีย์(ผู้ทำสัญญาอยู่ในประเทศที่ไม่ใช่ของตนอย่างสันติ) โดยที่ท่านอย่าให้เขากู้ยืมสิ่งใด นอกจากภายใต้เงื่อนไขนี้(คือเอาดอกเบี้ย) และหากไม่เป็นเช่นนั้น เท่ากับว่าเราได้ช่วยเหลือเขา ทั้งที่จำเป็นต้องทำให้เขามีความเดือดร้อน " อัลกันซฺ อัลมัรซูด หน้า 80 ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตเช่นเดียวกันว่า " ไม่เป็นที่อนุญาติสำหรับชาวยิว กับการให้กู้ยืมผู้ที่ไม่ใช่ยิว นอกจากต้องมีดอกเบี้ย " อัลกันซฺ อัลมัรซูด หน้า 80

ชีอะฮฺ รายงานจากท่านนบี(ซ.ล.)ว่า ท่านกล่าวว่า "ย่อมไม่เป็นดอกเบี้ยระหว่างมุสลิมและกาเฟรฮัรบีย์(คู่สงคราม) โดยการที่เราได้เอาจากพวกเขา หนึ่งพันดิรฮัม ด้วยกับหนึ่งดิรฮัม และเราก็เอาจากพวกเขา โดยที่เราไม่ต้องให้พวกเขา " อัลฟากีย์ เล่ม 5 หน้า 147 และหนังสือ มันลายะหฺฏุรุฮุลฟะกีฮฺ เล่ม 3 หน้า 179 รายงานจากท่านญะฟัรอัศศอดิก ท่านกล่าวว่า " ไม่มีริบาระหว่างมุสลิมและซิมมีย์ และไม่มีริบาระหว่างภรรยาและสามี" มันลายะหฺฏุรุฮุลฟะกีฮฺ เล่ม 3 หน้า 180 โคมัยนีย์กล่าวไว้เช่นกันว่า " สำหรับสิ่งที่พวกท่านฉกฉวยมาได้จากพวกเขา ด้วยการขโมย การหลอกลวงและด้วยการเอาดอกเบี้ย ดังนั้นเป็นที่ปกป้องกันเอาไว้อย่างดีที่สุดก็คือ การจ่ายทรัพย์ เศษหนึ่งส่วนห้า(คุมสฺ) โดยถือว่ามันเป็นเสมือนทรัพย์ที่ได้จากสงคราม" ตะหฺรีร อัลวะซีละฮฺ หน้า 251 ดังนั้นหากท่านผู้อ่านที่เป็นซุนนะฮฺกล่าวหาชีอะฮฺว่ารากเง้าเด ิมมาจากยิวอับดุลเลาะฮฺอิบนุสะบาอฺแล้วล่ะก็ ผมก็คงจะไม่คัดค้าน

พวกยิวนั้น อัลเลาะฮฺทรงประทับความอัปยศแก่พวกเขา ไม่ว่าอยู่แห่งหนใดก็ตาม เช่นเดียวกับพวกชีอะฮฺ ซึ่งท่านจะพบว่าพวกเขาใช้ความกลับกลองมุนาฟิกภายใต้ชื่อของคำว่ า "ตะกียะฮฺ" ด้วยเหตุนี้ท่านจะพบว่าพวกเขาจะได้รับความตกต่ำอยู่เสมอ อัลเลาะฮฺได้กล่าวถึงพวกเขาเหล่านั้นว่า

(وضربت عليهم الذلة والمسكنة وباءوا بغضب من الله ذلك بأنهم كاوا يكفرون بآيات الله ويقتلون النبيين بغير الحق ذلك بما عصوا وكانوا يعتدون)

ความว่า " และพวกเขาเหล่านั้นถูกแวดล้วมด้วยความอัปยศและความจนยาก และพวกเขาต้องกลับคืนมาด้วยความกริ้วโกรธจากอัลเลาะฮฺอย่างแน่น อน นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้ปฏิเสธบรรดาโองการแห่งอัลเลาะฮฺ และพวกเขายังฆ่าบรรดาศาสดา โดยไม่เป็นธรรม นั่นเป็นเพราะความอัปยศของพวกเขาเอง และพวกเขาได้ล่วงละเมิด (ต่อบทบัญญัติ) " อัลบะกอเราะฮฺ 61

(ضربت عليهم الذلة والمسكنة أين ماثقفوا إلا بحبل من اله وحبل من الناس وباءوا بغضب من الله وضربت عليهم المسكنة ذلك بأنهم كانوايكفرون بآيات الله ويقتلون الأنبياء بغير حق ذلك بما عصوا وكانوا يعتدون)

ความว่า " ความอัปยศได้ถูกประทับแก่พวกเขา ไม่ว่าพวกเขาถูกเผชิญหน้า ณ แห่งใด นอกจากจะต้องมีเชือก(พันธะกรณี)เส้นหนึ่งจากอัลเลาะฮฺ(คือเขาต้องเข้าอิสลาม)และเชือกอีกเส้นหนึ่งจากมนุษย์(คือพวกเขายอมจำนนอยู่ภายใต้กฏหมายอิสลาม และต้องชำระค่าทำขวัญเป็นรายปี) และพวกเขาย่อมกลับคืนด้วยความกริ้วจากอัลเลาะฮฺ และความอนาถาได้ถูกประทับแก่พวกเขา นั้นเป็นเพราะเหตุว่า พวกเขาปฏิเสธบรรดาโองการของอัลเลาะฮฺ และพวกเขาฆาตกรรมชีวิตของบรรดานบีโดยไม่ชอบธรรม นั่นเป็นเพราะพวกเขาฝ่าฝืน และพวกเขาละเมิด(บทบัญญัติ)" อาลิอิมรอน 112

ชีอะฮฺท่านหนึ่งที่มีนามว่า เจิด เคยบอกผมว่า "มัศฮับชีอะฮฺก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกโดดเดี่ยวของอะฮฺลิลบัยตฺ" ผมก็ตอบชี้แจงเขาไปว่า " อะฮฺลิลบัยตฺและท่านอลี ต่างก็ได้รับเกียตริอย่างดี ท่านอบูบักรกล่าวว่า การสัมพันธ์ไมตรีวงศ์วานของท่านนบีนั้นย่อมเป็นที่รักยิ่งว่ากา รสัมพันธ์ไมตรีวงศ์วานของอบีบักร " ท่านอุมัร เมื่อท่านมีภาระกิจอะไร ก็จะปรึกษาท่านอลี โดยไม่ได้ละทิ้งและละเลย เมื่อมีการแบ่งทรัพย์สินจากสงคราม ท่านอลี ท่านฮะซันและท่านฮุเซนนั้น จะได้อยู่แถวหน้าก่อนเพื่อนเสมอ เมื่อท่านอุมัรออกเดินทางเพื่อภาระกิจเกี่ยวกับรัฐอิสลาม ท่านอุมัร จะแต่งตั้งมอบหมายให้ ท่านอลีดูแลนครมะดีนะฮฺแทนท่านอุมัรเสมอ !!! บรรดาซอฮาบะฮฺ(ซึ่งรวมถึงท่านอลีด้วย)ต่างก็ดูแลอิสลามที่แท้จริงจนกระทั้งถึงทุกวันนี้ แต่ทำไมพวกชีอะฮฺรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว เหตุผลนั้นเพราะชีอะฮฺมีส่วนร่วมในการฆ่าท่านฮุเซนโดยที่ผมได้น ำเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเชิงวิชาการเรียบร้อยแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านอิมามฮุเซน(อ.) กล่าวดุอาแก่พวกชีอะฮฺว่า " โอ้พระผู้อภิบาลของข้าฯ หากพระองค์ให้พวกเขาเสวยสุขไปยังช่วงเวลาหนึ่ง ก็ขอให้พระองค์ทำให้พวกเขาแตกออกเป็นหลายพรรคหลายพวก และทรงทำให้พวกเขามีแนวทางที่แย้งแตกต่างกันมากมายและบรรดาผู้น ำจะไม่พอใจพวกเขาตลอดไป " อัล-อิรชาด หน้า 241 ของท่าน อัล-มุฟีด แต่มาวันนี้ผมมีคำตอบให้อีกข้อหนึ่ง ว่าทำไมชีอะฮฺจึงรู้สึกโดดเดี่ยว ก็เพราะว่าพวกชีอะฮฺเหมือนกับพวกยิวในทุกยุคทุกสมัย มุฮัมมัด ริฏอ อัลมุซ๊อฟฟัร กล่าวว่า " เป็นที่รู้กันว่า แท้จริงชีอะฮฺอิมามียะฮฺและบรรดาอิมามของพวกเขา ได้รับ การทดสอบและความลำบากมากมาย บนอิสระภาพของพวกเขา ในทุกยุคทุกสมัย โดยที่ไม่เคยมีกลุ่มใดหรือประชาชาติใดได้รับมาก่อน" ผม อัลอัซฮะรีย์ขอกล่าวว่า เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์อย่างตาใจเป็นธรรมแล้ว บรรดาอิมามได้รับการทดสอบและความยากลำบากนั้นโดยมีส่วนจากพวกชี อะฮฺเองด้วย จนทำให้ลูกหลานนบีต้องถูกฆ่าและพ่ายแพ้สงครามเกือบทุกสมรภูมิ แต่ท่านมุซ๊อฟฟัรพยายามบอกเราว่า ความยากลำบากนี้ไม่เคยมีกลุ่มใดหรือประชาชาติใดได้รับมาก่อน ผมขอกล่าวว่า สภาพเช่นนี้นั้น พวกยิว ก็ได้รับมาทุกยุคทุกสมัยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ความต่ำต้อยและความอัปยศที่อัลเลาะฮฺทรงประทับแก่พวกยิวนั้น จึงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ผู้เจริญรอยตามพวกเขา ต้องใช้ความกลับกลอกและตะกียะฮฺกับบรรดาผู้ที่ขัดกับแนวทางของเ ขา ท่านอับดุลเลาะฮฺ อัลก่อซีมีย์ กล่าวว่า " หากแม้นว่าไม่มีการประทับความต่ำต้อยและความอัปยศต่อพวกเขา เสมือนกับที่ได้เคยถูกประทับกับพวกยิวมาก่อนแล้ว พวกเขาก็คงไม่ต้องการกับการใช้หลักตะกียะฮฺและกลับกลอกอำพราง" อัศศิรอฮฺ บัยนะ อัลอิสลาม วะ อัลวะษะนีย์ หน้า 494 ดังนั้นส่วนหนึ่งจากสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกยิวและชีอะฮฺต้องใช้ หลักการตะกียะฮฺอำพรางนั้น อันเนื่องจากบรรดาอากิดะฮฺและความเชื่อของพวกยิวและชีอะฮฺนั้นไ ม่ถูกต้อง

พวกยิวจะใช้รหัสอักษรสำหรับตำหนิผู้ที่ขัดแย้งกับแนวทางของพวกเขา เช่นพวกยิวให้รหัสอักษรกับนบีอีซา(อ.)ว่า "เยซู" " อันนัจญาร" "ชายคนนั้น" พวกเขาใช้รหัสอักษรกับพระนางมัรยัมว่า "มาริยา"

พวกชีอะฮฺก็
มักจะใช้รหัสอักษรต่อบรรดาคอลีฟะฮฺและบรรดามารดาแห่งศรัทธาชน ไว้ในตำราของพวกเขาเช่นกัน เช่นท่านอบูบักรและอุมัร พวกเขาจะให้รหัสอักษรว่า " الجبت และالطاغوت " หรือใช้คำว่า " صنمي قريش " และอื่น ๆ พวกเขาจะใช้รหัสอักษรแทนท่านอุษมานว่า "نعثل "หรือ "الثالث " ใช้แทนพระนางอาอิชะฮฺว่า "أم الشرور " (มารดาแห่งความชั่วร้าย) เป็นต้น

พวกยิวอนุญาติให้ทำลิวาท เสพสุขทางทวารได้ ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า" เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่ชาวยิวว่า อนุมัติให้ทำสิ่งดังกล่าวกับภรรยาของเขาได้"

พวกชีอะฮฺถือว่าอนุญาติให้เสพสุขทางทวารหนักได้เช่นกัน รายงานจากท่านอิมามอัรริฏอว่า แท้จริงซ๊อฟวานบินยะหฺยาได้ถามกับท่านอิมามอัรริฏอว่า " แท้จริงมีชายคนจากผู้ภักดีกับท่าน ได้ใช้ให้ฉันมาถามท่าน ท่านอิมามกล่าวว่า มันคืออะไรหรือ? ฉันกล่าวว่า ชายคนนั้นได้เสพสุขภรรยาของเขาทางทวารหนัก ? ท่านอิมามตอบว่า ดังกล่าวนั้นเป็นที่อนุญาติแก่เขา ฉันกล่าวถามท่านอิมามว่า ท่านทำอย่างนั้นด้วยหรือ ? ท่านอิมามตอบว่า เราไม่ทำอย่างนั้นหรอก " ฟุรั๊วะอัลกาฟีย์ เล่ม 5 หน้า 40 รายงานจากอับดิลลาห์บินยะฟูร เขากล่าวว่า " ฉันได้ถามอะบาอับดิลลาหฺ เรื่องผู้ชายคนหนึ่งที่เสพสุขภรรยาทางทวารหนัก ? ท่านอิมามกล่าวว่า ไม่เป็นไรหรอก หากนางพอใจ ฉันกล่าวถามว่า แล้วใหนเล่าคำตรัสของอัลเลาะฮฺที่ว่า" พวกท่านทั้งหลายจงเสพสุขกับพวกนาง เหมือนที่อัลเลาะฮฺได้ทรงบัญชาใช้กับพวกท่าน" ท่านอิมามกล่าวว่า นี้ อยู่ในกรณีต้องการจะมีบุตร " อัลอิสติบซอร เล่ม 3 หน้า 343

พวกยิวถือว่า เป็นการอนุญาติกับการแสดงถึงการร่วมกับศาสนาอื่นได้โดยใช้การตะ กียะฮฺหลอกลวงกับพวกเขา ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า " เมื่อยิวคนหนึ่งสามารถหลอกบรรดาผู้ที่กราบรูปเจว็ด โดยอ้างว่า เขาเป็นหนึ่งจากบรรดาผู้กราบไว้ดวงดาว ก็ถือเป็นที่ผ่อนปรนให้แก่เขา กับการกระทำสิ่งดังกล่าว " อัลกันซฺ อัลมัรซูด หน้า 71

พวกชีอะฮฺนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ใช้แนวทางนี้เช่นกัน อัศศ่อดูก ได้รายงานจากอบีอับดิลลาหฺ ท่านกล่าวว่า " ย่อมไม่มีคนหนึ่งคนใดจากพวกท่าน ได้ทำละหมาดฟัรฏูหนึ่งในเวลาของมัน หลังจากนั้นเขาได้ละหมาดแบบตะกียะฮฺ(คือร่วมทำกับชาวซุนนะฮฺ)โดยที่เขามีน้ำละหมาด นอกจากว่า อัลเลาะฮฺจะทรงบันทึกผลบุญแก่เขาถึง 25 เท่า ดังนั้นท่านจงปราถนาในสิ่งดังกล่าวเถิด" มันลายะหฺฏุรุฮุลฟะกีฮฺ เล่ม 1 หน้า 265

พวกยิวอนุญาติให้ใช้ความกลับกลอกหลอกลวงในการสาบานโกหกต่อผู้อื่นได้ ได้กล่าวไว้ในคำภีร์ตัลมูตว่า "อนุญาติให้กับชาวยิว ทำการสาบานเท็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับบรรดาประชาติอื่น " อิสรออีล วะ อัตตัลมูต หน้า 77 อัลกันซฺอัลมัรซูด หน้า 95

พวกชีอะฮฺ ถือว่าเป็นการอนุญาติ กับการใช้ตะกียะฮฺอำพรางในการสาบานเท็จ อัลคูอีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัตตันเกียะหฺ ชัรหฺ อัลอุรวะฮฺ อัลวุษกอ ของเขาว่า " รายงานจากท่านญะฟัรอัศศอดิก ท่านกล่าวว่า " สิ่งที่พวกท่านได้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือได้สาบานสิ่งหนึ่งบนการสาบานแบบตะกียะฮฺ ดังนั้นพวกท่านย่อมอยู่ในความสะดวกจากมันได้" ดูเล่ม ที่ 4 หน้า 278 และ307 ดังนั้นการกรทำอย่างนี้ย่อมเป็นลักษณะของพวกมุนาฟิกีน ซึ่งอัลเลาะฮฺทรงตรัสเกี่ยวกับพวกเขาไว้ว่า

(ويحلفون بالله أنهم لمنكم وماهم منكم ولكنهم قوم يفرقون)

ความว่า " และพวกเขา(พวกมุนาฟิก) ทำการสาบานด้วย(นามของ) อัลเลาะฮฺว่า "พวกเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งจากพวกเจ้า " ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง พวกเขาหาได้เป็นส่วนหนึ่งของพวกเจ้าไม่ แต่ว่าพวกเขา เป็นเพียงกลุ่มชนที่หวาดกลัวเท่านั้น " อัตเตาบะฮฺ 56

(وسيحلفون بالله لو أستطعنا لخرجنا معكم يهلكون أنفسهم والله يعلم أنهم لكاذبون )

ความว่า " และพวกเขา(พวกมุนาฟิก)จากสาบานตนต่ออัลเลาะฮฺ ว่า "หากเรามีความสามารถพอ แน่นอนพวกเราก็จะออกไปพร้อมกับพวกท่านแล้ว " พวกเขาทำลายตัวเองโดยแท้ และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ ว่าแท้จริงพวกเขาเหล่านั้น เป็นผู้มดเท็จอย่างยิ่ง " อัตเตาบะฮฺ 42

(وأذا لقوا الذين أمنوا قالوا آمنا وإذا خلا بعظهم إلى بعض قالوا أتحدثونهم بما فتح الله عليكم ليحاجوكم به عند ربكم أفلا تعقلون)

ความว่า " และเมื่อพวกเขาเหล่านั้น(คือพวกมุนาฟิก)ได้พบปะกับบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเขาเหล่านั้นก็กล่าวว่า " เราศรัทธา" แต่เมื่อบางส่วนของพวกนั้นได้ปลีกตัวอยู่อีกกับบางส่วน พวกนั้นก็ต่อว่ากันเองว่า พวกท่านนำสิ่งที่อัลเลาะฮฺได้เปิดเผยแก่พวกท่านมาเล่าให้พวกเขา กระนั้นหรือ? เพื่อพวกเขาจะได้นำสิ่งนั้นมาตอบโต้พวกท่านต่อหน้าพระผู้อภิบาล ของพวกท่าน แล้วไฉนพวกท่านจึงไม่ใช้ปัญญา" อาลิอิมรอน 118

จึงไม่แปลก ที่ท่านอิมามญะฟัร อัศศอดิก กล่าวว่า ? อัลเลาะฮฺ จะไม่ประทานโองการใด ในเรื่องของพวกมุนาฟิก นอกจากโองการนั้น มันจะมีอยู่ในผู้ที่ประกาศตัวเองเป็นชีอะฮฺ ? ริญาล อัลกัชชีย์ หน้า 254
สานุศิษย์

ออฟไลน์ zamani13

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 9
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
งานนี้ชีอะฮ์เหนื่อยอีกแล้ว

ออฟไลน์ al-takwa

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 1
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างจาก: "zamani13"
งานนี้ชีอะฮ์เหนื่อยอีกแล้ว


คุณก็อย่าเป็นชีอะซีครับฮ้าๆๆๆๆ

คนอยากรู้

  • บุคคลทั่วไป
0
แน่นอนครับ  คุณzamani13   ที่ชีอะฮ์ต้องเหนื่อย  เพราะไปท้าพวกเราที่เวปมุสลิมไทย  :D

ออฟไลน์ kakashi

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 190
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกน้อยๆ ของข้าน้อยเอง
 salam
ขุดเล่นๆครับ

ออฟไลน์ ชุกรี

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 23
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
salam
ขุดเล่นๆครับ

...ญาซากัลเลาะฮฺ... :-*

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
 salam

วันนี้มีกระทู้เปรียบเทียบอะกีดะฮ์ยิวกับอิสลาม

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=3872.msg31134;topicseen#msg31134

ก็เลยนึกถึงกระทู้นี้ขึ้นมาทันที  ;D
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ roshak

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 11
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ซัยยิดเคยพูดไว้ว่าชีอะฮ์ลักขโมยของคนอื่นได้ไม่ผิดไม่บาป แต่ถ้าขโมยของชีอะฮ์ด้วยกันไม่ได้บาป ซึ่งมันตรงกับยิวจริงๆเลย ไม่รู้ว่าชีอะฮ์รับได้อย่างไร

ออฟไลน์ JawhaR

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1303
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
salam

วันนี้มีกระทู้เปรียบเทียบอะกีดะฮ์ยิวกับอิสลาม

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=3872.msg31134;topicseen#msg31134

ก็เลยนึกถึงกระทู้นี้ขึ้นมาทันที  ;D

จาซากัลลอฮ  loveit:
I'm just a Mini Muslim and will try to be   StrongeR. Insha-Allah

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio

ขุดตามพี่น้องใน facebook

 

GoogleTagged