ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 21 สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์  (อ่าน 5210 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:


คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺอัล-อัมบิยาอ์ (  الأنبياء - บรรดาศาสดา )  R4.

เป็นบัญญัติมักกียะฮฺ มี 112 อายะฮฺ
ความหมายโดยสรุปของซูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอฺ

   ซูเราะฮฺนี้เป็นซูเราะฮฺมักกียะฮฺ ที่ขบปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับการศรัทธาในอิสลามในขอบเขตจำกัดที่สำคัญ เช่น สาส์น ความเป็นเอกภาพ การฟื้นคืนชีพ และการตอบแทน ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงวันอวสานและความโกลาหลของมัน วันกิยามะฮฺและความน่าสะพรึงกลัวของวันนั้น และได้กล่าวถึงเรื่องราวความเป็นมาของบรรดานะบีที่ถูกส่งมา
   ซูเราะฮฺนี้เริ่มกล่าวถึงการหลงลืมของมนุษย์ต่อวันอาคิเราะฮฺ การสอบสวนและการตอบแทน ทั้ง ๆ ที่วันกิยามะฮฺเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่พวกเขา แต่มนุษย์ก็ยังอยู่ในสภาพที่ไม่นำพาต่อวันนั้น ทั้งนี้เพราะความยั่วยวนของการดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ทำให้เขาหลงลืมวันแห่งการสอบสวนที่กำลังรอคอยเขาอยู่
   ต่อมาได้กล่าวถึงพวกปฏิเสธศรัทธา ทั้ง ๆ ที่พวกเขาได้พบเห็นการจบชีวิตของประชาชาติในอดีต แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยึดถือเป็นบทเรียนเพื่อใคร่ครวญ จนกระทั่งเมื่อการลงโทษมาถึงตัวอย่างกะทันหัน พวกเขาก็กู่ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือแต่ทว่ามันสายไปเสียแล้ว
   ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงหลักฐานต่าง ๆ แห่งเดชานุภาพของชีวิตและขอบเขตเพื่อเตือนให้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้สร้าง พระผู้ทรงจัดเตรียม พระผู้ทรงปรีชาญาณในการให้บังเกิดและประดิษฐ์ขึ้นอย่างยอดเยี่ยม และเพื่อให้มีความสัมพันธ์กันระหว่างความเป็นเอกภาพของจักรวาลและความเป็นเอกภาพของพระเจ้าอันยิ่งใหญ่
   หลังจากได้กล่าวถึงหลักฐานและข้อพิสูจน์ต่าง ๆ ที่ยืนยันถึงความเป็นเอกภาพของพระเจ้าแห่งสากลโลกแล้ว ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงสภาพของพวกมุชริกีน เมื่อพวกเขาพบกับท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ด้วยการเย้ยหยัน เหยียดหยามและปฏิเสธศรัทธา หลังจากนั้นได้กล่าวถึงกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺตะอาลา ในการลงโทษด้วยการทำลายผู้ฝ่าฝืน ผู้ดื้อรั้น
   ในอันดับต่อมาซูเราะฮฺได้เล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาของบรรดาร่อซูลบางท่านโดยกล่าวถึงเรื่องของท่านนะบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม กับท่าทีของประชาชาติของท่านอย่างยืดยาวพอสมควรด้วยสำนวนที่ตื่นเต้น เพียบพร้อมด้วยหลักฐานที่ชัดแจ้ง แข็งแรง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมสารภาพด้วยความพ่ายแพ้และยอมจำนน เรื่องราวของท่านนะบีอิบรอฮีม เป็นข้อควรคิดและเป็นนิทัศน์อุทาหรณ์ได้อย่างดี
   ซูเราะฮฺได้เล่าถึงเรื่องราวของบรรดาร่อซูล เช่น อิสฮาก ยะอฺกูบ ลูฏ นูหฺ ดาวูด สุลัยมาน อัยยูบ อิสมาอีล อิดรีส ซุลกิฟลฺ ซุนนูน ซะกะรียา และอีซา โดยสังเขป พร้อมกับได้แจกแจงเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นหวาดกลัวที่เกิดขึ้นกับบรรดารอซูล ซูเราะฮฺนี้ได้จบลงด้วยการแจ้งถึงการส่งรอซูลท่านสุดท้ายก็เพื่อความเอ็นดูเมตตาของมนุษยชาติ
   ชื่อของซูเราะฮฺ
   ซูเราะฮฺอัลอัมบิยาอฺ ถูกเรียกชื่อนี้ เพราะอัลลอฮฺตะอาลา ทรงกล่าวถึงบรรดานะบีจำนวนหนึ่ง บางครั้งกล่าวถึงโดยสังเขป และบางครั้งกล่าวโดยละเอียดพอสมควร พร้อมกับกล่าวถึงการเสียสละ การอดทน และการต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺของบรรดานะบีเหล่านั้น อีกทั้งการเสียสละของพวกเขาในการเผยแพร่ศาสนาเพื่อความสันติสุขของมนุษยชาติ


----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 1 - 3




คำแปลR1.
1. Draws near for mankind their reckoning, while they turn away in heedlessness.
2. Comes not unto them an admonition (a chapter of the Qur'an) from their Lord as a recent Revelation but they listen to it while they play,
3. With their hearts occupied (with evil things) those who do wrong, conceal their private counsels, (saying): "Is this (Muhammad) more than a human being like you? Will you submit to magic while you see it?"


คำแปล R2.
1. การสอบสวน(ความประพฤติ)สำหรับมวลมนุษย์ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ขณะเดียวกันพวกเขากลับอยู่ในความหลงลืม อีกทั้งหันเห (ไม่สนใจและไม่ศรัทธาต่อวันนั้น)
2. จะไม่มีคำเตือนจากองค์อภิบาลถูกทยอยลงมายังพวกเขา นอกจากพวกเขาแสร้งฟัง ในขณะพวกเขาสนุกสนาน (ด้วยการล้อเลียนและเย้ยหยันคำเตือนดังกล่าว)
3. หัวใจของพวกเขาเผอเรอ และพวกฉ้อฉลทั้งหลายต่างแอบซุบซิบกันว่า “(มุฮำมัดผู้)นี้หาใช่อื่นใดไม่ นอกจากเป็นเพียงสามัญชนเยี่ยงพวกท่านนั่นเอง แล้วแล้วหรือที่ท่านทั้งหลายจะมาฟังมายากลทั้ง ๆ ที่ท่านทั้งหลายก็มองเห็นกันอยู่


คำแปล R3.
1.   เวลาแห่งการชำระบัญชีสำหรับมนุษย์ได้ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังหันห่าง (จากคำตักเตือน) ด้วยความเฉยเมย
2.   พวกเขาเพียงแต่แสร้งฟังข้อตักเตือนใหม่ ๆ ที่มาจากพระผู้อภิบาลของพวกเขายังพวกเขา และพวกเขายังทำเป็นล้อเล่น
3.   หัวใจของพวกเขานั้นไม่ได้จดจ่อและบรรดาผู้อธรรมได้กระซิบกันว่า “คนผู้นี้มิได้เป็นอะไรนอกจากมนุษย์คนหนึ่งเหมือนพวกท่าน แล้วใยพวกท่านยังยอมถูกมายากลสะกดอยู่อีกหรือทั้ง ๆ ที่พวกท่านก็เห็นอยู่ ?”

 
คำแปล R4.
1. เวลาแห่งการคิดบัญชีของมนุษย์ได้ใกล้เขามาแล้ว โดยที่พวกเขาอยู่ในสภาพหลงลืม เป็นผู้ผินหลังให้
2. ไม่มีข้อตักเตือนใหม่ ๆ จากพระเจ้าของเขามายังพวกเขา เว้นแต่ว่าพวกเขารับฟังมันและพวกเขาล้อเล่นไปด้วย
3. จิตใจของพวกเขาเผอเรอ และบรรดาผู้อธรรมต่างกระซิบกระซาบระหว่างกันว่า เขา (มุฮัมมัด) นี้มิใช่ใครอื่น นอกจากเป็นสามัญชนเยี่ยงพวกท่าน พวกท่านจะยอมรับมายากล ทั้ง ๆ ที่พวกท่านรู้เห็นอยู่ว่ามันเป็นมายากลกระนั้นหรือ ?



คำแปล R5.
๑. กาฟ ฮา ยา อีน ซอด อัลเลาะห์พระองค์เดียวเท่านั้น ทรงรู้ดียิ่งถึงความหมายแห่งคำของพระองค์ในโองการนี้
๒. โอ้ มุฮำมัด สิ่งที่เราได้อ่านให้แก่เจ้าฟังนี้ เป็นการกล่าวถึงพระกรุณาธิคุรแห่งอัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลของเจ้า ที่มีต่อบ่าวผู้หนึ่งของพระองค์คือซะกะรียา
๓. ในขณะที่เขา(ซะกะรียา) เรียกองค์พระผู้อภิบาลของเขาอย่างแผ่วสียงในยามค่ำคืนพร้อมกับเอื้อนคำวอนต่อพระองค์


 
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 4 - 6


คำแปลR1.
4. He (Muhammad) said: "My Lord knows (every) word (spoken) In the heavens and on earth. and He is the All-Hearer, the All-Knower."
5. Nay, they say:"These (revelations of the Qur'an which are inspired to Muhammad ) are mixed up false dreams! Nay, He has invented it! Nay, He is a poet! Let hHim then bring us an Ayah (sign as a proof) like the ones (Prophets) that were sent before (with signs)!"
6. Not one of the towns (populations), of those which we destroyed, believed before them (though we sent them signs), will they then believe?


คำแปล R2.
4. (นบีมุฮำมัด)เขาได้กล่าวว่า “องค์อภิบาลของฉันทรงรอบรู้ทุกคำพูดในฟากฟ้าและแผ่นดิน และพระองค์ทรงได้ยินอีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
5. ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังกล่าวอีกว่า “(อัลกุรอานนี้)เป็นเพียงความฝีนอันฟุ้งซ่านเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้กุสิ่งนั้นขึ้นมาเอง ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นนักกวี ดังนั้น เขาก็จงนำสัญลักษณ์(ปาฏิหาริย์)มาแสดงซิ ให้เหมือนกับบรรพชนที่ถูกส่งมาเป็นศาสนทูต(เมื่ออดีต ซึ่งทุกศาสนทูตล้วนมีปาฏิหาริย์แสดงทั้งสิ้น)”
6. จะเป็นชาวเมืองใด ๆ ก็ตามที่เราได้ทำลายล้าง ล้วน(สาเหตุเพราะ) พวกเขาไม่ยอมศรัทธา(ในปาฏิหาริย์)ทั้งสิ้น แล้วพวกเขาจะศรัทธากระนั้นหรือ( ถ้ามุฮำมัดนำปาฏิหาริย์มาแสดงตามที่พวกเขาต้องการ)


คำแปล R3.
4.   นบีจึงกล่าวว่า “พระผู้อภิบาลของฉันทรงรอบรู้ทุกสิ่งที่ถูกกล่าวในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้”
5.   แล้วพวกเขาก็ยังกล่าวว่า “มันเป็นความฝันที่สับสน ไม่ใช่ เขาเองนั่นแหละที่ปลอมแปลงมันขึ้นมา เขาเป็นกวี หากมิใช่ก็ให้เขานำเอาสัญญาณหนึ่งมาแสดงแก่เราเหมือนกับที่ถูกส่งมากับนบีคนก่อน ๆ”
6.   ไม่มีเมืองใดก่อนหน้าพวกเขาซึ่งเราได้ทำลายมันได้ศรัทธา (ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณต่าง ๆ มาแล้วก็ตาม) แล้วตอนนี้พวกเขาจะศรัทธากระนั้นหรือ ?


คำแปล R4.
4. เขา (มุฮัมมัด) กล่าวว่า พระเจ้าของฉันทรงรอบรู้ทุกคำพูด ทั้งในชั้นฟ้าและแผ่นดิน และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน เป็นผู้ทรงรอบรู้
5. แต่ทว่าพวกเขากล่าวว่า มันเป็นความฝันที่สับสน หากแต่ว่าเขาได้เสกสรรปั้นแต่งมันขึ้นหากแต่ว่าเขาเป็นกวี ถ้าเช่นนั้น ให้เขานำหลักฐานหนึ่งมาแสดงแก่เรา เช่นเดียวกับบุคคลในยุคก่อน ๆได้ถูกส่งมา
6. ไม่มีชาวเมืองใดก่อนหน้าพวกเขา (มุชริกีนมักกะฮฺ) ซึ่งเราได้ทำลายมัน (ชาวเมืองนั้น) ได้ศรัทธาแล้วพวกเขา (มุชริกีนมักกะฮฺ) จะศรัทธากระนั้นหรือ?


คำแปล R5.
๔. เขา(ซะกะรียา) ได้กล่าวถ้อยคำวอนขอต่อพระองค์ว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์อันที่จริงตัวของข้าพระองค์นี้ กระดูกทุกชิ้นก็อ่อนลงแล้ว ทั้งผมบนหัวอีกเล่าก็ขาวโพลงไปหมด โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ก็ข้าพระองค์นี้ไม่มีเลยที่จะพลาดหวังไปจากที่ข้าพระองค์วอนขอต่อพระองค์ในอดีตที่ผ่าน ๆ มา ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดอย่าให้ข้าพระองค์ต้องพลาดหวังในผลที่จะวอนขอต่อพระองค์ในกาลอนาคตเลย
๕. และข้าพระองค์ (ซะกะรียา) หวั่นเกรงบรรดาญาติในสกุลมีอาทิบรรดาบุตรของพี่ชายหรือบรรดาลุงของข้าพระองค์ผู้อยู่เบื้องหลังถัดจาก ข้าพระองค์ได้ตายลงแล้วจะถอยคืนจากศาสนาเดิมไปนับถือศาสนาอื่นดังที่ข้าพระองค์เคยพบเห็นมาแล้วในหมู่ชนแห่งสกุลอิสรออีล ทั้งภรรยาของข้าพระองค์ นามว่า อชาอ์ก็เป็นหมันเสียอีก ข้าพระองค์ทั้งสองผู้เป็นสามีภรรยากันจึงไร้โอกาสอีกแล้วที่จะได้บุตรไว้สืบสกุล ฉะนั้นจึงขอต่อพระองค์ได้โปรดตัดสินลงโดยอำนาจอันไพบูลย์ของพระองค์ ให้ข้าพระองค์นี้ได้บุตรด้วยเถิด
๖.เขา(บุตร) จะได้สืบทอดเอาความรู้และตำแหน่งศาสดาต่อจากข้าพระองค์และจะได้สืบทอดต่อจากวงศืวานบางคนของยะกู๊บผู้เป็นปู่แห่งข้าพระองค์ด้วย โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ และขอพระองค์ได้โปรดให้เขา(บุตร) นั้นเป็นที่ชื่นชอบ โปรดปรานีของพระองค์ด้วยเถิด


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 7 - 10


คำแปลR1.
7. And we sent not before you (O Muhammad) but men to whom we inspired, so ask the people of the reminder [Scriptures - the Taurat (Torah), the Injeel (Gospel)] if you do not know.
8. And we did not create them (the Messengers, with) bodies that ate not food, nor were they immortals,
9. Then we fulfilled to them the promise, and we saved them and those whom we willed, but we destroyed Al-Musrifun (i.e. extravagant in oppression, polytheism and in sin).
10. Indeed, we have sent down for you (O mankind) a Book, (the Qur'an) in which there is Dhikrukum, (your reminder or an honour for you i.e. honour for the one who follows the teaching of the Qur'an and acts on its orders). Will you not then understand?

 
คำแปล R2.
7. และเราไม่ได้ส่งศาสนทูตมาก่อนหน้าเจ้า(ที่เป็นมลาอิกะฮฺ) นอกจากเป็นบุรุษซึ่งเราดลโองการมายังพวกเขา ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงสอบถามผู้รอบรู้(ในคัมภีร์ของอัลเลาะฮฺ)เถิด หากเจ้าทั้งหลายไม่มีความรู้
8. และเรามิได้บันดาลพวกเขา(ศาสนทูต)ให้เป็น(ผู้มี)ร่างกายที่ไม่บริโภคอาหาร และพวกเขามิใช่ผู้มีชีวิตนิรันดร์(ในโลกนี้)
9. หลังจากนั้นเราได้ให้สัญญาปรากฏจริงแก่พวกเขา แล้วเราก็ดลความปลอดภัยแก่พวกเขา และแก่ผู้ที่เราประสงค์ พร้อมกันนั้น เราได้ทำลายล้างผู้ล่วงละเมิดทั้งปวง
10. ขอยืนยัน แท้จริงเราได้ลงคัมภีร์(อัลกุรอาน)มายังพวกเจ้า ซึ่งในนั้นมีข้อตักเตือนสำหรับพวกเจ้า แล้วพวกเจ้ามิได้ใช้ปัญญากระนั้นหรือ


คำแปล R3.
7.   (โอ้ มุฮัมมัด) ก่อนหน้าเจ้า เราก็มิได้ส่งใครมานอกไปจากมนุษย์ซึ่งเราได้ประทานวะฮีย์แก่พวกเขา ดังนั้นหากพวกเจ้า (ผู้ต่อต้าน) ไม่รู้ พวกเจ้าก็จงถามชาวคัมภีร์ดูก็ได้
8.   เราไม่ได้ทำให้พวกเขามีร่างกายที่ไม่ต้องกินอาหารแลพวกเขาก็ไม่ผู้มีชีวิตยืนนาน
9.   แล้วเราได้ทำตามสัญญาที่ได้ทำไว้กับพวกเขาอย่างครบถ้วนและในที่สุด เราได้ช่วยเหลือพวกเขาและผู้ที่เราประสงค์ และเราทำลายผู้ฝ่าฝืน
10.   (มนุษย์เอ๋ย) เราได้ประทานคัมภีร์แก่สูเจ้าซึ่งในนั้นมีข้อตักเตือนเกี่ยวกับเรื่องของสูเจ้าเองทั้งสิ้น แล้วสูเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ?


คำแปล R4.
7. และเรามิได้ส่งผู้ใดก่อนหน้าเจ้านอกจากมนุษย์เพศซึ่งเราวะฮียฺแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเจ้า (ชาวมักกะฮฺ) จงถามบรรดาผู้รู้เถิดหากพวกเจ้าไม่รู้
8. และเรามิได้ทำให้พวกเขา(บรรดานะบี) มีร่างกายที่ไม่ต้องการอาหาร (เช่นมะลาอิกะฮฺ) และพวกเขามิได้เป็นผู้มีชีวิตยั่งยืน
9. และเรามิได้ทำให้สัญญาเป็นที่ประจักษ์จริงแก่พวกเขา และเราได้ให้พวกเขารอดพ้น และผู้ที่ประสงค์ และเราได้ทำลายผู้ปฏิเสธ ละเมิดฝ่าฝืน
10. เราขอสาบานว่า แท้จริงเราได้ให้คัมภีร์อัลกุรอานมายังพวกเจ้า ในนั้นมีข้อเตือนสติแก่พวกเจ้า พวกเจ้าไม่ใช้สติปัญญาคิดบ้างดอกหรือ

 
คำแปล R5.
รอแก้ไข



สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 11 - 15


คำแปลR1.
11. How many a town (community), that were wrong-doers, have we destroyed, and raised up after them another people!
12. Then, when they perceived (saw) our torment (coming), behold, they (tried to) flee from it.
13. Flee not, but return to that wherein you lived a luxurious life, and to your homes, in order that you may be questioned.
14. They cried: "Woe to us! Certainly! We have been Zalimun (polytheists, wrong-doers and disbelievers In the Oneness of Allah, etc.)."
15. And that cry of theirs ceased not, till we made them as a field that is reaped, extinct (dead).


คำแปล R2.
11. และมี(ชาว)เมืองที่ฉ้อฉลตั้งเท่าไรแล้วที่เราได้ทำลายล้างพวกเขา และเราได้บังเกิดกลุ่มชนอื่น ๆ (ขึ้นมาแทนที่) ภายหลังจากพวกนั้น(ได้ถูกทำลายล้างไปแล้ว)
12. ครั้นเมื่อพวกเขาได้สัมผัสกับการลงโทษของเรา พลันพวกเขาก็พากันหลบหนีออกจากเมืองนั้น
13. เจ้าทั้งหลายอย่าหลบหนี แต่จงกลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ที่พวกเจ้าเคยประสบ และสู่ที่อยู่อาศัยของพวกเจ้าเสียเถิด เพื่อพวกเจ้าจะได้ถูกสอบถาม(ถึงเหตุการณ์ที่ประสบแก่พวกเจ้า)
14. พวกเขากล่าวว่า “โอ ความวิบัติแห่งเรา แท้จริงเราล้วนเป็นผู้ฉ้อฉลทั้งสิ้น”
15. อันคำวอนเช่นนั้นของพวกเขาได้สืบเนื่องตลอดไป จนกระทั่งเราได้บันดาลพวกเขาให้เป็นประหนึ่งพืชที่ถูกเก็บเกี่ยว และประหนึ่งไฟที่มอดแล้ว(ด้วยการทำลายล้างพวกเขาให้ตายสนิท)

 
คำแปล R3.
11.   เมืองแห่งคนชั่วช้าจำนวนเท่าใดแล้วที่เราได้ทำลายไป และหลังจากนั้นเราได้ให้หมู่ชนใหม่เกิดขึ้นมา
12.   เมื่อพวกเขาเห็นการลงโทษของเรา พวกเขาก็วิ่งหนีไปจากสถานที่แห่งนั้น
13.   (และได้มีกล่าวแก่พวกเขาว่า) “จงอย่าวิ่งหนี จงกลับไปใช้ชีวิตสำราญของสูเจ้าและที่พักอาศัยของสูเจ้าเพื่อที่สูเจ้าจะได้ถูกสอบสวน”
14.   พวกเขาร้องออกมาว่า “บรรลัยแล้วเรา แท้จริงเราเป็นผู้ทำผิด”
15.   พวกเขาร้องอยู่เช่นนี้เรื่อยไปจนกระทั่งเราได้ทำลายพวกเขาจนไม่มีชีวิตใดหลงเหลือ


คำแปล R4.
11. และกี่มากน้อยแล้วที่เราได้ทำลายหมู่บ้านที่อธรรม (ปฏิเสธการศรัทธา) และเราได้ให้หมู่ชนอื่นเกิดขึ้นมาแทนที่หลังจากนั้น
12. เมื่อพวกเขารู้สึกว่า การลงโทษของเราเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาจึงวิ่งหนีออกไป
13. (มะลาอิกะฮฺพูดกับพวกนั้นว่า) พวกท่านอย่าวิ่งหนีซิ และจงกลับไปยังสิ่งที่พวกท่านได้รับความสำราญ และยังที่พักของพวกท่าน เพื่อว่าพวกท่านจะได้ถูกสอบถามสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ท่าน
14. พวกเขากล่าวว่า โอ้ ความหายนะที่เกิดขึ้นแก่เรา แท้จริงเรานั้นเป็นผู้อธรรม
15. ไม่ทันที่คำพูดของพวกเขาจะสิ้นสุดลง เราก็ได้ทำลายพวกเขา เสมือนพืชที่ถูกเก็บเกี่ยวมอดไหม้ไป


คำแปล R5.
๑๑. และเราให้พวกชาวเมืองซึ่งเนรคุณประสบความเสียหายเป็นจำนวนมากและเราให้พวกอื่นบังเกิดขึ้นหลังจากพวกนั้นเสียหายไปแล้ว
๑๒. และเมื่อพวกเขาชาวเมืองที่ถูกทำลายนั้นได้สำนึกถึงความรุนแรงของการลงโทษของเรา พวกเขาก็หนีออกจากเมืองนั้นโดยฉับพลัน
๑๓. บรรดามลาอิกะห์กล่าวแก่พวกนั้นว่าพวกเจ้าทั้งหลายไม่ต้องหลบหนีหรอกและพวกเจ้าทั้งหลายจงกลับไปสู่ความสุขที่พวกเจ้าเคยประสบ เป็นความสุขอันสมบูรณ์มาแต่เดิม และกลับไปสู่ที่อาศัยของพวกเจ้าเพื่อพวกเจ้าจะถูกสอบถามถึงบางอย่างที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของโลกนี้ตามที่พวกเจ้าทำประโยชน์อันเกิดจากสิ่งเหล่านั้น
๑๔. พวกเขากล่าวว่า โอ้ความวิบัติของเรา แท้จริงพวกเราเป็นผู้ทุจริตเป็นพวกที่ไม่เชื่อฟัง
๑๕. นั่นแหละคือการวิงวอนอันเนืองนิจของพวกเขา ซึ่งพวกเขาเฝ้ากล่าวอย่างซ้ำซาก จนเราได้บันดาลให้เขาได้เป็นเช่นไร่นาที่ถูกเก็บเกี่ยวด้วยเคียวไปแล้ว พวกเขามีสภาพดุจดังไฟดับมอดแล้ว ความเคลื่อนไหวของพวกเขาและเสียงของพวกเขาสงบโดยสิ้นเชิง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 19, 2013, 09:31 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 16 - 20


คำแปลR1.
16. We created not the heavens and the earth and all that is between them for a (mere) play .
17. Had we intended to take a pastime (i.e. a wife or a son, etc.), we could surely have taken it from us, if we were going to do (that).
18. Nay, we fling (send down) the truth (this Qur'an) against the falsehood (disbelief), so it destroys it, and behold, it (falsehood) is vanished. And woe to you for that (lie) which you ascribe (to us) (against Allah by uttering that Allah has a wife and a son).
19. To Him belongs Whosoever is In the heavens and on earth. And those who are near Him (i.e. the angels) are not too proud to worship him, nor are they weary (of his worship).
20. They (i.e. the angels) glorify his praises night and day, (and) they never slacken (to do so).


คำแปล R2.
16. และเรามิได้บันดาลฟากฟ้าและแผ่นดินรวมทั้งสรรพสิ่งระหว่างมันทั้งสองโดยการเล่น(อย่างไร้สาระ)
17. มาดแม้นเราปรารถนาที่จะประดิษฐ์สิ่งเพลิดเพลิน แน่นอน เราย่อมประดิษฐ์มันขึ้นมาจากเราเอง ถ้าเราจักกระทำ(เช่นนั้น แต่การกระทำดังกล่าวไม่เหมาะสมและเป็นไปไม่ได้)
18. แต่ทว่าเราจะใช้สัจจะขว้างลงบนโมฆะ แล้วสัจจะนั้นก็จะทำลายโมฆะ พลันมันก็เป็นสิ่งสูญสลายไปและพวกเจ้าต้องประสบกับความหายนะอย่างแน่นอน เนื่องจากลักษณะที่พวกเจ้าบรรยาย (อันเป็นไปไม่ได้สำหรับเรา)
19. และเป็นสิทธิของพระองค์ (แต่เพียงพระองค์เดียว)สรรพสิ่งในฟากฟ้าและแผ่นดินและ(มวลมลาอิกะฮฺ)ผู้อยู่ ณ พระองค์นั้นไม่ยโสที่จะนมัสการพระองค์ และไม่เหน็ดเหนื่อย(ในการนมัสการนั้น)
20. พวกเขาทำการสดุดีในบริสุทธิคุณของพระองค์(ด้วยการนมัสการ) ทั้งกลางคืนและกลางวันโดยไม่เบื่อหน่าย


คำแปล R3.
16.   เราไม่ได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและที่อยู่ระหว่างทั้งสองนั้น เพื่อความสนุกสนาน
17.   ถ้าหากเราต้องการจะทำให้มันเป็นสิ่งบันเทิงและไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เราก็จะทำของเราเอง
18.   แต่เราได้ฟาดความจริงลงบนความเท็จซึ่งทำให้หัวของมันแตก และความเท็จก็ถูกทำลายไป และสำหรับสูเจ้าคือความวิบัติเพราะความเท็จที่สูเจ้าได้สร้างไว้
19.   และของพระองค์คือผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและ(บรรดามลาอิกะฮฺ) ผู้อยู่ใกล้พระองค์ มิได้โอหังต่อการเคารพภักดีต่อพระองค์ และพวกเขาไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย
20.   พวกเขาแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ทั้งกลางคืนและกลางวันโดยไม่ว่างเว้น


คำแปล R4.
16. และเรามิได้สร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง เพื่อการสนุกสนานอย่างไร้ประโยชน์
17. หากเราปรารถนาที่จะเอาเป็นเครื่องเล่นสนุกสนาน เราก็จะเอามันจากที่มีอยู่ที่เรา หากเราปรารถนาจะกระทำเช่นนั้น
18. แต่ว่าเราได้ให้ความจริงทำลายความเท็จแล้วเราก็ให้มันเสียหายไป แล้วมันก็จะมลายสิ้นไป และความหายนะจะประสบแก่พวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้า กล่าวเสกสรรปั้นแต่งต่ออัลลอฮฺ
19. และเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และผู้ที่อยู่ ณ ที่พระองค์ (มะลาอิกะฮฺ) พวกเขาจะไม่ลำพองตนในการเคารพภักดีพระองค์ และพวกเขาจะไม่เหนื่อยหน่าย
20. พวกเขาจะแซ่ซ้องสดุดีพระองค์ในเวลากลางคืน และกลางวัน โดยไม่ขาดระยะ


คำแปล R5.
๑๖.และเรามิได้สร้างฟ้า แผ่นดิน และสรรพสิ่งในระหว่างทั้งสองนั้นแบบเพลิดเพลินโดยไร้ประโยชน์ แต่เราได้แสดงถึงพลังของเราและยังประโยชน์แก่พวกเจ้าและแสดงสัญลักษณ์แห่งเอกภาพและอานุภาพของเรา
๑๗. มาดแม้นเรามุ่งประสงค์ที่จะเอาความเพลิดเพลินเฉกเช่นมนุษย์สัตว์ทั้งหลายต้องการภรรยา แน่นอนเราก็จะเอาความเพลิดเพลินจากสิ่งต่าง ๆ ของเราเอง อาทิเช่น นางฟ้า มลาอิกะห์เป็นต้น ถ้าเราทำเช่นนั้น แต่พระผู้อภิบาลของเจ้าไม่ประสงค์เช่นนั้น แท้จริงเราเป็นผู้สร้างทุกสิ่งไปตามที่เราประสงค์
๑๘. แต่เรานำสัจธรรมวางลงบนโมฆะธรรมจนในที่สุดก็สลายตัวไปเอง กล่าวคือเราจะให้ความจริงมาทำลายความเท็จที่พวกกาฟิรชาวมักกะห์กล่าวว่าอัลเลาะห์ทรงมีภรรยาและบุตรเปรียบเสมือนมนุษย์สามัญและพวกเจ้าจะต้องได้รับความพินาศ คือการลงโทษอันสาหัสอันเนื่องจากที่พวกเจ้าได้แสดงคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าให้ผิดไปจากความเป็นจริง
๑๙. และพระองค์ทรงสิทธิในมวลสรรพสิ่งทั้งปวงในชั้นฟ้าและแผ่นดิน และปฏิเสธจากการมีภรรยาและบุตร และผู้ที่อยู่กับพระองค์นั้น (บรรดามลาอิกะห์) จะไม่ยโสต่อการเคารพบูชาพระองค์และไม่เหน็ดเหนื่อยอ่อนแอต่อการเคารพบูชาพระองค์
๒๐. บรรดามลาอิกะห์ที่อยู่กับพระองค์นั้นพวกเขาถวายสดุดีความบริสุทธิคุณแห่งพระองค์ในยามกลางวันและกลางคืน พวกเขาไม่เหน็ดเหนื่อยในการสดุดี เปรียบเสมือนการหายใจเข้าและหายใจออก จะไม่พบความอ่อนแอ ความเหน็ดเหนื่อยหรือการเสียจังหวะเลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 21 - 24


คำแปลR1.
21. Or have they taken (for worship) Aliha (gods) from the earth who raise the dead?
22. Had there been therein (in the heavens and the earth) gods besides Allah, then verily both would have been ruined. Glorified be Allah, the Lord of the Throne, (High is He) above what they attribute to him!
23. He cannot be questioned as to what He does, while they will be questioned.
24. Or have they taken for worship (other) Aliha (gods) besides him? Say: "Bring your proof:" This (the Qur'an) is the reminder for those with me and the reminder for those before me. But most of them know not the truth, so they are averse.


คำแปล R2.
21. หรือว่าพวกเขาได้อุปโลกน์บางสิ่งจากที่มีอยู่ในแผ่นดินขึ้นมาเป็นพระเจ้าต่าง ๆ (เพื่อทำการนมัสการ) โดยที่พวก(พระเจ้าปลอม)เหล่านั้นสามรถชุบชีวิต(คนตาย)ได้ (แน่นอน เป็นเช่นนั้นไม่ได้)
22. มาดแม้นมีบรรดาพระเจ้านอกจากอัลเลาะฮฺร่วมใน(การบันดาล)ทั้งสอง(คือฟ้าและแผ่นดิน) แน่นอน มันทั้งสองต้องพินาศสิ้น แท้จริงอัลเลาะฮฺผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งบัลลังก์ พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากลักษณะที่พวกเขาบรรยายไว้
23. พระองค์ไม่ถูกสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ แต่พวกเขาต่างหากที่จะถูกสอบถาม
24. (บังควรแล้ว)หรือ ที่พวกเขาอุปโลกน์พระเจ้าต่าง ๆ อันนอกเหนือจากอัลเลาะฮฺ (ขึ้นมาสักการบูชา) จงประกาศเถิด (โอ้มุฮำมัด) “ท่านทั้งหลายจงนำหลักฐานของพวกท่านมาแสดงซิ (เรื่องราวในอัลกุรอาน) นี้เป็นตำเตือนแก่ผู้ที่อยู่ในสมัยของฉัน และเป็นคำเตือน(ที่สอดคล้องกับคำเตือน)แก่ผู้ที่อยู่ในสมัยก่อนหน้าฉัน” แต่ทว่าคนเหล่านั้นเป็นจำนวนมากที่ไม่รู้ความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงหันหลังให้(ความจริง ไม่ยอมสนใจและศรัทธา)


คำแปล R3.
21.   แล้วพระเจ้าต่าง ๆ จากแผ่นดินที่พวกเขาตั้งขึ้นมานั้นมีอำนาจที่จะให้ชีวิตขึ้นมาได้ไหม ?
22.   ถ้าหากมีพระเจ้าอื่น ๆ นอกเหนือไปจากอัลลอฮฺในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ทั้งสองนั้น (ชั้นฟ้าและแผ่นดิน) จะต้องได้รับความปั่นป่วนอย่างแน่นอน ดังนั้น มหาบริสุทธิ์ยิ่งคืออัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งบัลลังก์ ปลอดพ้นจากสิ่งที่พวกเขากล่าวร้ายต่อพระองค์
23.   พระองค์จะไม่ทรงถูกสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำ แต่พวกเขาต่างหากที่จะถูกสอบถาม
24.   พวกเขาได้ยึดถือพระเจ้าอื่น ๆ นอกไปจากพระองค์กระนั้นหรือ (โอ้ มุฮัมมัด) จงบอกพวกเขาว่า “จงนำหลักฐานของพวกท่านมา นี่คือคัมภีร์ที่มีข้อตักเตือนสำหรับคนก่อนหน้าฉันด้วย” แต่ส่วนใหญ่ของคนเหล่านี้ไม่รู้ความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงหันห่างออกไปจากมัน


คำแปล R4.
21. แต่ทว่าพวกเขา (มุชริกีน) ได้ยึดถือบรรดาพระเจ้าจากพื้นดิน โดยคิดว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถจะให้คนตาย ฟื้นคืนชีพมาได้กระนั้นหรือ
22. หากในชั้นฟ้าและแผ่นดินมีพระเจ้าหลายองค์ นอกจากอัลลอฮ์แล้ว ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างแน่นอน อัลลอฮฺพระเจ้าแห่งบัลลังก์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาเสกสรรปั้นแต่งขึ้น
23. พระองค์จะไม่ทรงถูกสอบถามในสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติ และพวกเขาต่างหากที่จะถูกสอบถาม
24. พวกเขาได้ยึดถือบรรดาพระเจ้า นอกจากพระองค์กระนั้นหรือ? จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ขอให้พวกท่านนำหลักฐานของพวกท่านมา นี่คือคัมภีร์ที่อยู่กับฉัน (อัลกุรอาน) และคัมภีร์ที่มีอยู่ก่อนหน้าฉัน (เตารอตและอินญีล) แต่ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่รู้ความจริง พวกเขาจึงผินหลังเมินห่าง


คำแปล R5.
๒๑. แต่พวกเขาจะอุปโลกน์พระเจ้าต่าง ๆ ขึ้นมาจากพื้นดินโดยให้พวกพระเจ้าเหล่านั้นสามารถชุบชีวิตแก่ผู้ไร้ชีวิตได้กระนั้นหรือ กล่าวคือไม่เป็นการสมควรแก่พวกกาฟิรมักกะห์ที่อุปโลกน์สิ่งต่าง ๆ ที่ได้มาจากพื้นดิน อาทิเช่น หิน ทอง เงิน เป็นวัสดุสร้างพระเจ้าขึ้นมาและพวกเขาคิดว่าบรรดาพระเจ้าพวกนั้นได้ให้ชีวิตแก่ผู้ตายได้ ทั้งที่สิ่งนั้นเป็นเพียงวัตถุอันต่ำต้อยที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วสิ่งดังกล่าวไม่มีทางที่จะยกฐานะขึ้นเป็นพระเจ้าได้เลยเพราะไม่สามารถจะให้ชีวิตแก่ผู้ตายได้
๒๒. มาดแม้นมีพระเจ้าอื่น ๆ นอกจากอัลเลาะห์ในการบันดาลและดูแลความเรียบร้อยแก่ชั้นฟ้าและแผ่นดินทั้งสองนั้น แน่นอนมันทั้งสองจะต้องพินาศสิ้น แต่ทว่าฟ้าและแผ่นดินยังไม่เคยพินาศ พระเจ้าอื่นใดย่อมไม่มีอย่างแน่นอนจึงประจักษ์ชัดว่าต้องมีอัลเลาะห์เพียงองค์เดียวที่สร้างและดูแลมัน แท้จริงอัลเลาะห์ผู้ทรงอภิบาลบัลลังก์แห่งอำนาจทั้งปวงทรงบริสุทธิ์เกินกว่าที่พวกเขาได้แสดงลักษณะไว้ ไม่ว่าจะเป็นการอุปโลกน์สิ่งธรรมดาอันต่ำต้อยขึ้นมาเป็นพระเจ้าหรืออ้างบุคคลหนึ่งว่าเป็นบุตรพระเจ้าหรือกรณีอื่น ๆ ก็ตาม
๒๓. พระองค์อัลเลาะห์ย่อมไม่ถูกถามถึงสิ่งที่พระองค์ทรงบันดาลแก่ข้าทาสของพระองค์ เช่น พระองค์ทรงประทานเกียรติแก่บางคน ทรงประทานความต่ำต้อยแก่บางคน ทรงประทานทางนำหรือความหลงผิดแก่บางคน หรือจะให้ผู้ใดสิ้นชีวิตโดยปราศจากศรัทธาหรือมีศรัทธา ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงอภิสิทธิ์เด็ดขาดเหนือพวกเหล่านั้นเพียงพระองค์เดียว แต่พวกเขาผู้เป็นข้าทาสของพระองค์จะต้องถูกถามถึงสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้เมื่อถึงวันปรโลก พวกเขาจะถูกถามพร้อมกับถูกตำหนิในการที่พวกเขาละเมิดไม่ยอมประพฤติไปตามที่พระองค์ทรงบัญชาไว้เนื่องเพราะพวกเขาเป็นข้าทาสของพระองค์ซึ่งมีหน้าที่เทิดทูนคำบัญชาอย่างเคร่งครัด
๒๔. หรือว่าพวกเขาได้ยึดเอาพระเจ้าต่าง ๆ นอกเหนือจากพระองค์อัลเลาะห์เป็นที่สักการบูชา พระองค์อัลเลาะห์ทรงตรัสย้ำเพื่อชี้ชัดว่า สถานะของพวกกาฟิรนั้นน่ารังเกียจที่สุด และที่พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมศรัทธานั้นเป็นเรื่องใหญ่โตและร้ายแรงมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการตำหนิพวกเขา และแจ้งให้ทราบถึงความโง่เขลาของพวกเขาที่ยึดถือสิ่งอื่น ๆ ขึ้นเป็นพระเจ้า โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกนั้นเถิดว่าพวกท่านจงนำหลักฐานมายืนยันคำอ้างของพวกท่านเถิดที่ว่า นอกเหนือจากพระองค์แล้วยังมีพระเจ้าอื่น ๆ อีก แน่นอนพวกเขาไม่สามารถแสวงหาหลักฐานใด ๆ มายืนยันได้ ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานอันได้มาจากการวิเคราะห์ทางสติปัญญาหรือที่อ้างอิงมาจากคัมภีร์ทั้ง ๑๐๔ เล่มก็ตาม
กุรอานนี้เป็นคำเตือนแก่ประชาชาติที่อยู่ร่วมสมัยกับข้าและคำเตือนแก่ประชาชาติก่อนหน้าข้า อันได้แก่คัมภีร์ในสมัยต่าง ๆ ที่ผ่านมาในอดีต เช่น คัมภีร์เตารอต อินยีลและซะบูร เป็นต้น ซึ่งในคัมภีร์ที่อัลเลาะห์ได้ทรงประทานแก่ประชาชาติในทุกยุคนั้นล้วนกำชับให้ยึดมั่นในเอกภาพของพระองค์ ไม่มีแม้แต่คัมภีร์เดียวที่ระบุว่านอกจากอัลเลาะห์แล้วยังมีพระเจ้าอื่น ๆ อีก แต่ทว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้ความจริงที่เกี่ยวกับเอกภาพของพระเจ้าดังนั้นเขาจึงผิน ออกจากการพิจารณา อันจะนำไปสู่การยอมรับในเอกภาพของพระองค์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 25 - 29


คำแปลR1.
25. And we did not send any Messenger before you (O Muhammad) but we inspired him (saying): La ilaha illa Ana [none has the right to be worshipped but I (Allah)], so worship Me (alone and none else)."
26. And they say: "The most beneficent (Allah) has begotten a son (or children)." Glory to Him! They [those whom they call Children of Allah i.e. the angels, 'Iesa (Jesus) son of Maryam (Mary), 'Uzair (Ezra), etc.], are but honoured slaves.
27. They speak not until He has spoken, and they act on His Command.
28. He knows what is before them, and what is behind them, and they cannot intercede except for Him with whom He is pleased. And they stand in awe for fear of Him.
29. And if any of them should say: "Verily, I am an Ilah (a god) besides Him (Allah)," Such a one we should recompense with Hell. Thus we recompense the Zalimun (polytheists and wrong-doers, etc.).


คำแปล R2.
25. และไม่ว่าศาสนทูตคนใดก็ตามที่เราได้แต่งตั้งมาก่อนหน้าเจ้า นอกจากเราได้ดลโองการมายังเขาว่า “แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงนมัสการข้าเถิด”
26. และพวกเขา (ชาวตั้งภาคี) กล่าวว่า “องค์(พระเจ้า)ผู้ทรงเมตตา ได้ตั้ง(มลาอิกะฮฺ)เป็นบุตร” พระองค์ทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก หากทว่าบรรดามลาอิกะฮฺนั้นเป็นเพียงข้าทาส (ของอัลเลาะฮฺ) ที่ถูกยกย่องเท่านั้น (หาใช่บุตรของพระองค์ไม่)
27. พวกเขา (เหล่ามลาอิกะฮฺ)ไม่เคยพูดก้าวล่วงพระองค์ก่อนเลย แต่พวกเขาจะประพฤติตามคำบัญชาของพระองค์
28. อัลเลาะฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าของพวกเขา(ในปัจจุบัน) และสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังของพวกเขา(ในอนาคต) และพวกเขาจะไม่สงเคราะห์(แก่ผู้อื่นใด) นอกจากสำหรับบุคคลที่ได้รับความโปรดปราน(จากอัลเลาะฮฺ) พวกเขามีความสำรวมตนเนื่องจากความเกรงกลัวพระองค์
29. และผู้ใดจากพวกเขากล่าวว่า “แท้จริงฉันนี่แหละคือพระเจ้า นอกเหนือจากอัลเลาะฮฺ” แน่นอนผู้กล่าวเช่นนั้น เราจะตอบแทนเขาด้วยนรกยะฮันนัม เช่นนั้น เราจัดการตอบแทนแก่บรรดาผู้ทุจริตทั้งมวล


คำแปล R3.
25. และรอซูลทุกคนที่เราได้ส่งมาก่อนหน้าเจ้านั้นเราได้วะฮีย์แก่พวกเขาเหมือนกันว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากฉัน ดังนั้น จงเคารพภักดีฉันแต่เพียงผู้เดียว”
26. พวกเขากล่าวว่า “พระผู้ทรงกรุณาทรงมีบุตร” มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ พวกเขาเป็นแค่เพียงบ่าวผู้มีเกียรติ
27. พวกเขาไม่ละเมิดขอบเขตในการพูดก่อนพระองค์และพวกเขาปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์
28. พระองค์ทรงรู้ถึงทุกสิ่งที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาและที่อยู่ซ่อนเร้นจากพวกเขา พวกเขาไม่ขอไถ่โทษแทนผู้ใดนอกจากผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัยและพวกเขาดำเนินชีวิตด้วยความกลัวต่อพระองค์
29. และถ้าผู้ใดในหมู่พวกเขาจะกล่าวว่า “ฉันเป็นพระเจ้านอกไปจากพระองค์ด้วย” เราจะส่งเขาไปนรกทันที เพราะนี่คือการตอบแทนสำหรับเหล่าผู้อธรรม


คำแปล R4.
25. และเรามิได้ส่งร่อซูลคนใดก่อนหน้าเจ้านอกจากเราได้วะฮีแก่เขาว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเคารพภักดีต่อข้า
26. และพวกเขา (มุชริกูน) กล่าวว่า พระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงยึดมะลาอิกะฮฺเป็นพระบุตร มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ แต่ว่าพวกเขา (มะลาอิกะฮฺ) เป็นบ่าวผู้มีเกียรติ
27. พวกเขาจะไม่ชิงกล่าวคำพูดก่อนพระองค์ และพวกเขาปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์
28. พระองค์ทรงรอบรู้ สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา และพวกเขาจะไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใด นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย และเนื่องจากความกลัวพวกเขาจึงเนื้อตัวสั่น
29. และผู้ใดในหมู่พวกเขาที่กล่าวว่า แท้จริงฉันคือพระเจ้าอื่นจากพระองค์ เขาผู้นั้นเราจะตอบแทนลงโทษด้วยนรก เช่นนั้นแหละเราตอบแทนบรรดาผู้อธรรม


คำแปล R5.
๒๕. และเรามิได้ส่งศาสนทูตคนใดมาก่อนหน้าเจ้า นอกจากทุก ๆ ศาสนทูตนั้นเราได้ดลโองการแก่เขาเหมือนกันหมดว่า “แท้จริงไม่มีพระเจ้าใด ๆ ที่ถูกเคารพบูชาในภพนี้ด้วยความเที่ยงแท้นอกจากข้า ดังนั้นพวกเจ้าจงนมัสการข้าเถิด”
๒๖. และพวกกาฟิรมักกะห์อันประกอบด้วยกลุ่ม “คุซาอะฮ์” “ยุฮัยนะฮ์” “บะนูสะลิมะฮ์” “บะนูมุลีห์” พวกเขากล่าวว่าพระองค์อัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ทรงเอาพวกมลาอิกะหฮ์(เทวทูต) เป็นบุตรของพระองค์ โดยพวกนั้นยึดมั่นว่า มลาอิกะฮ์ทั้งหลายเป็นบุตรีของอัลเลาะห์ ความจริงพระองค์อัลเลาะห์ทรงบริสุทธิ์ยิ่งเกินกว่าที่จะเป็นไปตามพวกเขากล่าว แต่ความจริงพวกมลาอิกะฮ์เหล่านั้นเป็นเพียงข้าทาสที่ได้รับการยกย่อง พวกเขาเป็นทาสรับใช้ที่ใกล้ชิดกับอัลเลาะห์ เมื่อพวกเขาเป็นเพียงข้าทาสแล้วพวกเขาจะมีฐานะเป็นบุตรีของพระองค์ได้อย่างไร
๒๗. พวกเขา (มลาอิกะฮ์) จะไม่ล่วงหน้าพระองค์กับถ้อยคำใด ๆ ก่อนที่จะได้รับบัญชาจากพระองค์ และเมื่อได้รับบัญชา พวกเขาก็จะปฏิบัติไปตามคำบัญชาของพระองค์อย่างเคร่งครัด
๒๘. พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา การกระทำทั้งปวงที่พวกเขากระทำจะเป็นในอดีต, ปัจจุบันหรืออนาคตก็ตาม ไม่รอดพ้นไปจากความรอบรู้ของพระองค์เลย และพวกเขา (มลาอิกะฮ์) จะไม่สงเคราะห์ แก่ผู้ใดได้เลยนอกจากแก่บุคคลที่พระองค์ทรงยินยอมให้ได้รับสงเคราะห์ ซึ่งโทษของเขาก็จะได้รับการผ่อนลดและมลาอิกะฮ์เหล่านั้น พวกเขาเป็นผู้เกรงกลัวต่อพระองค์อย่างที่สุด พวกเขานอบน้อมและยกย่องพระองค์อยู่ตลอดเวลา
๒๙. และบางส่วนจากพวกเขา (มลาอิกะฮ์)มีผู้พูดว่า “อันที่จริง ข้านี่แหละ คือพระเจ้านอกเหนือจากอัลเลาะห์” ผู้พูดนั้นคืออิบลิสและมันชี้ชวนมนุษย์ให้เคารพบูชาพวกเทวรูป มันหลอกลวงมนุษย์ให้ประกอบกรรมชั่วและยุยงให้เกิดการทรยศต่อพระองค์อัลเลาะห์ ดังนั้นเราจะตอบแทนนรกยะฮันนัมแก่เขา อย่างแน่นอน การตอบแทนอิบลิสด้วยนรกเช่นนั้นแหละที่เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้ทุจริตเนรคุณทั้งหลายซึ่งพวกเขาเป็นพวกกาฟิรที่เคารพบูชาเทวรูป


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 30 - 35


คำแปลR1.
30. Have not those who disbelieve known that the heavens and the earth were joined together as one united piece, and then we parted them? And we have made from water every living thing. Will they not then believe?
31. And we have placed on the earth firm mountains, lest it should shake with them, and we placed therein broad highways for them to pass through, that they may be guided.
32. And we have made the heaven a roof, safe and well guarded. Yet they turn away from its signs (i.e. sun, moon, winds, clouds, etc.).
33. And He it is who has created the night and the day, and the sun and the moon, each in an orbit floating.
34. And we granted not to any human being immortality before you (O Muhammad), then if you die, would they live forever?
35. Everyone is going to taste death, and we shall make a trial of you with evil and with good, and to us you will be returned.


คำแปล R2.
30. บรรดาพวกไร้ศรัทธาไม่สังเกตดอกหรือว่า ที่จริงฟากฟ้าและแผ่นดิน แต่เดิมผนึกเป็นชิ้นเดียวกัน ต่อมาเราก็จัดการแยกมันทั้งสอง(ออกจากกัน) และเราได้บันดาลทุกสิ่งที่มีชีวิตมาจากน้ำ แล้วไฉนเล่าพวกเขาจึงไม่ศรัทธา
31. และเราได้บันดาลเทือกเขาต่าง ๆ ไว้ในแผ่นดิน เพื่อยึดพวกเขาไว้ (มิให้สั่นสะเทือน) และเราได้บันดาลช่องทางเดินไว้ในนั้นเพื่อพวกเขาจะได้รับการชี้นำ (ให้เดินทางไปสู่เป้าหมายอย่างถูกต้อง)
32. และเราได้บันดาลฟากฟ้าให้เป็นหลังคาที่ถูกพิทักษ์ไว้ แต่พวกเขากลับหันหลังให้บรรดาสัญลักษณ์(ที่มีอยู่ใน)มัน
33. และพระองค์ผู้ทรงบันดาลกลางคืนและกลางวัน, ดวงตะวันและดวงเดือน(โดยให้)ทุกสิ่งนั้นโคจรอยู่ในเส้นทาง (ของแต่ละสิ่งเป็นเอกเทศ)
34. และเรามิได้ดลบันดาลความนิรันดร์(ในโลกนี้)แก่มนุษย์คนใดก่อนหน้าเจ้าเลย ดังนั้นถ้าเจ้าถึงแก่ความตายลง แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะอยู่ต่อไปโดยนิรันดร์กระนั้นหรือ
35. ทุก ๆ ชีวิตย่อมได้ลิ้มรสความตาย และเราจะทดสอบพวกเจ้าอย่างจริงจัง ด้วยความยากแค้นและความสุขสบาย(ที่สลับหมุนเวียนกันไป) และพวกเจ้าจะถูกนำตัวกลับมายังเรา(เพื่อรอรับการพิพากษาต่อไป)


คำแปล R3.
30.   บรรดาผู้ปฏิเสธไม่พิจารณาหรือว่าชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในตอนแรกนั้นเป็นมวลเดียวกัน หลังจากนั้นเราได้แยกมันออกจากกัน และเราได้สร้างทุกสิ่งที่มีชีวิตจากน้ำ ? แล้วพวกเขายังไม่เชื่ออีกหรือ ? (ว่านี่คือการสร้างสรรค์ของเรา)
31.   และเราได้ทำให้ภูเขามั่นคงในแผ่นดิน มิฉะนั้นแล้วมันจะคลอนแคลนไปกับพวกเขา และเราได้ทำให้ในนั้นมีทางเปิดไว้เพื่อที่พวกเขาจะได้พบทาง
32.   และเราได้ทำให้ชั้นฟ้าเป็นหลังคาป้องกัน แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังไม่ใส่ใจต่อสัญญาณทั้งหลายของมัน
33.   และพระองค์คือผู้ทรงสร้างกลางคืนและกลางวัน และทรงสร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ทั้งหมดลอยอยู่ในแต่ละวงโคจรของมัน
34.   และ (โอ้ มุฮัมมัด) เรามิได้ทำให้ใครคนใดก่อนหน้าเจ้ามีชีวิตยั่งยืนนานโดยไม่ตาย ดังนั้นถ้าเจ้าตาย พวกเขาก็จะมีชีวิตยืนยาวตลอดไปกระนั้นหรือ ?
35.   ทุกชีวิตต้องลิ้มรสความตาย และเรากำลังทดสอบสูเจ้าด้วยสภาพการณ์ที่เลวและดี และในที่สุด สูเจ้าก็จะถูกนำกลับมายังเรา


คำแปล R4.
30. และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นแต่ก่อนนี้รวมติดเป็นอันเดียวกัน แล้วเราได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน และเราได้ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตมาจากน้ำ ดังนั้นพวกเขาจะยังไม่ศรัทธาอีกหรือ
31. และเราได้ทำให้เทือกเขามั่นคงในแผ่นดินเพื่อมันจะมิได้หวั่นไหวไปกับพวกเขา และเราได้ทำให้หุบเขาเป็นทางกว้างในแผ่นดินนั้น เพื่อว่าพวกเขาได้ใช้เป็นทางเดินอย่างถูกต้อง
32. และเราได้ทำให้ชั้นฟ้าเป็นหลังคา ถูกรักษาไว้ไม่ให้หล่นลงมา และพวกเขาก็ยังผินหลังให้สัญญาณต่าง ๆ ของมัน
33. และพระองค์ผู้ทรงสร้างกลางคืนและกลางวัน และดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ แต่ละหน่วยโคจรตามจักรราศี
34. และเรามิได้ทำให้บุคคลใดก่อนหน้าเจ้าอยู่ยั่งยืนนาน หากเจ้าตายไปพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ยงคงต่อไปกระนั้นหรือ
35. ทุกชีวิตย่อมลิ้มรสความตาย และเราจะทดสอบพวกเจ้าด้วยความชั่วและความดี และพวกเจ้าจะต้องกลับไปหาเราอย่างแน่นอน


คำแปล R5.
๓๐. บรรดาผู้เนรคุณทั้งหลายมิตริตรองดอกหรือ ไม่สมควรเลยที่พวกเขาเว้นการตริตรองและไม่ยอมรับรู้ในหลักฐานแสดงเอกภาพของอัลเลาะห์อย่างชัดเจนที่สุดคือ “แท้จริง เจ็ดชั้นฟ้าและเจ็ดชั้นดินแต่เดิมทั้งสองผนึกกันเป็นส่วนเดียวกัน แล้วเราก็ให้มันทั้งสองแยกออกจากกันเป็นคนละส่วนโดยแยกฟ้าออกไปประกอบเป็นเจ็ดชั้นและแผ่นดินก็เป็นเจ็ดชั้นเช่นเดียวกัน และเราได้บันดาลทุก ๆ สิ่งที่มีชีวิตมาจากน้ำ ไม่ว่าจะเป็นพืช หรือสัตว์โลกใด ๆ ก็ตามจะต้องงอกเงย, เจริญวัยและดำเนินชีวิตโดยก่อกำเนิดมาจากน้ำที่ไหลซึมออกมาจากพื้นดิน แล้วพวกเขาไม่ศรัทธากระนั้นหรือ ไม่สมควรเลยที่พวกเขาจะไม่ศรัทธาและลืมเอกภาพของอัลเลาะห์ ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานแสดงออกอย่างชัดแจ้งเช่นนั้น
๓๑. และเราได้บันดาลไว้ในแผ่นดินซึ่งภูเขาอันมั่นคงเพื่อมิให้แผ่นดินเคลื่อนไหวพร้อมกับพวกนั้น และเราได้บันดาลไว้ในแผ่นดินนั้นซึ่งช่องทางระหว่างภูเขาทั้งหลายอันเป็นทางกว้างและทะลุปรุโปร่งเพื่อพวกเขาจักได้รับการชี้นำในการเดินทางสู่จุดหมายของพวกเขา
๓๒. และเราได้บันดาลฟากฟ้าให้เป็นคล้ายเพดานแก่แผ่นดินซึ่งได้รับการรักษาดูแลไว้มิให้ร่วงลงมาและพวกกาฟิรเหล่านั้นกลับผินไปจากสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของเราโดยไม่สนใจพินิจพิเคราะห์ถึงสัญลักษณ์เหล่านั้น เช่น ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ดวงดาวต่าง ๆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันแสดงถึงเอกภาพและอานุภาพของพระองค์ ซึ่งทรงเป็นผู้บันดาลสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาโดยไม่มีผู้ใดเป็นภาคีร่วมกับพระองค์เลย
๓๓. และพระองค์ อัลเลาะห์ทรงบันดาลกลางวัน กลางคืน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ซึ่งทุก ๆ สิ่งล้วนโคจรในจักราศีของมันประดุจดังปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ เมื่อพวกกาฟิรมักกะห์ได้กล่าวทับถมท่านศาสดาว่าถึงอย่างไรท่านศาสดาก็จะต้องตาย โองการนี้จึงตอบพวกนั้นดังต่อไปนี้
๓๔. และเราไม่เคยบันดาลแก่มนุษย์คนใดก่อนหน้าเจ้าให้คงกระพันอยู่ในโลกนี้โดยไม่ตาย หรือว่าถ้าเจ้าตายแล้วพวกเขา (กาฟิรมักกะห์) จะคงกระพันอยู่ในโลกนี้ต่อไป ที่จริงแล้วพวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน ไม่ว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือเจ้าจะตายก็ตาม
๓๕. เพราะแต่ละชีวิตจะต้องลิ้มรสความตายทั้งสิ้นและเราจะปฏิบัติต่อพวกเจ้าประหนึ่งเป็นผู้ทดลองพวกเจ้าทั้งหลายอย่างแท้จริงทั้ง ๆ ที่เราก็รู้มาแต่ดั้งเดิมแล้วโดยให้พวกเจ้าประสบกับความเลว เช่น ความยากจน และความดี เช่นความรวย เพื่อจะได้ทราบว่าผู้ใดรู้คุณและผู้ใดเนรคุณ และเพื่อพิสูจน์ว่า จะมีความอดทนเฉกเช่นสาธุชนเมื่ออดีตหรือไม่ และพวกเจ้าจะคืนกลับมาสู่เราอย่างแน่นอนเพื่อการสอบสวนผลพฤติกรรมที่ล่วงมาเมื่ออดีตหลังจากให้ฟื้นขึ้นมาจากสุสานแล้ว


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 36 - 41


คำแปลR1.
36. And when those who disbelieve (in the Oneness of Allah) see you (O Muhammad), they take you not except for mockery (saying): "Is this the one who talks (badly) about your gods?" While they disbelieve at the mention of the Most Beneficent (Allah). [Tafsir. Al-Qurtubi]
37. Man is created of haste; I will show you My Ayat (torments, proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.).So ask Me not to hasten (them).
38. And they say: "When wills this promise (come to pass), if you are truthful."
39. If only those who disbelieved knew (the time) when they will not be able to ward off the fire from their faces, nor from their backs; and they will not be helped.
40. Nay, it (the fire or the Day of Resurrection) will come upon them all of a sudden and will perplex them, and they will have no power to avert it, nor will they get respite.
41. Indeed (many) Messengers were mocked before you (O Muhammad), but the scoffers were surrounded by that, whereat they used to mock.


คำแปล R2.
36. และเมื่อบรรดาผู้ไร้ศรัทธาได้มองเห็นเจ้า พวกเขาก็ม่คิดอื่นใดต่อเจ้าเลย นอกจากการเย้ยหยันเท่านั้น(พร้อมกับพวกเขาพูดว่า) “นี่น่ะหรือ ผู้ที่ประจานของพวกท่าน” (พวกเขาพูดเช่นนั้น) ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเองเป็นผู้คัดค้านคำเตือน (ที่ปรากฏในอัลกุรอาน) แห่งองค์ผู้ทรงเมตตา
37. มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีนิสัยรีบร้อน (ในโอกาสต่อไป) ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้เห็นบรรดาสัญลักษณ์ของข้า ดังนั้นพวกเจ้าอย่าเร่งเร้าข้า (ให้มีสิ่งนั้นอุบัติขึ้น)
38. และพวกเขากล่าวว่า “เมื่อใดเล่าสัญญา (การลงโทษ) นี้ (จะอุบัติขึ้น) หากพวกท่าน (มุฮำมัดกับพวก) เป็นผู้สัตย์จริง
39. หากบรรดาผู้ไร้ศรัทธารู้ในยามที่พวกเขาไม่อาจปัดป้องไฟให้พ้นจากใบหน้าและเบื้องหลังของพวกเขา และพวกเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือ (จากผู้ใดทั้งสิ้น)
40. (เวลาดังกล่าวนั้นไม่มีใครบอกกำหนดที่แน่ชัดแก่พวกเขา) ทว่ามันจะอุบัติแก่พวกเขาโดยฉับพลัน และมันจะทำให้พวกเขาเกิดความสนเท่ห์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะป้องกันมันได้ และพวกเขาไม่ถูกประวิงไว้ (เพื่อเปิดโอกาสให้ทำการสารภาพโทษ)
41. ขอยืนยัน แท้จริงบรรดาศาสนทูตก่อนหน้าเจ้าได้ถูกเย้ยหยันมาแล้ว แล้วพวกที่เย้ยหยันก็ประสบ (การลงโทษ)ตามที่พวกเขาได้เคยนำมาเย้ยหยัน


คำแปล R3.
36.   เมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธเหล่านี้เห็นเจ้าพวกเขาก็ดีแต่เย้ยหยันเจ้าโดยกล่าวว่า “คนนี้นะหรือที่พูดจาไม่ดีถึงสิ่งที่พวกท่านสักการบูชา ?” แต่พวกเขาเองนั่นแหละที่ปฏิเสธจะเอ่ยถึงพระผู้ทรงกรุณาปรานี
37.   มนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างแห่งความรีบร้อน(และไม่อดทน) ฉันจะแสดงสัญญาณทั้งหลายของฉันในไม่ช้านี้ ดังนั้นสูเจ้าไม่ต้องเร่งฉัน
38.   และพวกเขาถามว่า “เมื่อใดเล่าที่คำขู่นี้จะเป็นจริง ถ้าพวกท่านพูดจริง ?”
39.   ถ้าบรรดาผู้ปฏิเสธรู้ถึงเวลาที่พวกเขาไม่สามารถป้องกันใบหน้าและหลังของพวกเขาให้พ้นจากไฟและพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากที่ไหน
40.   เพราะว่ามันจะเกิดขึ้นโดยฉับพลัน และทำให้พวกเขาตกตะลึงจนพวกเขาไม่สามารถปัดป้องมันได้และพวกเขาจะไม่ได้รับการผ่อนผันอะไรอีก
41.   บรรดารอซูลก่อนหน้าเจ้าได้ถูกเยาะเย้ยมาแล้วเช่นกัน แต่พวกที่เย้ยหยันนั้นได้ถูกล้อมรอบด้วยสิ่งที่พวกเขาเคยเย้ยหยันเช่นกัน


คำแปล R4.
36. และเมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา (กุฟฟารมักกะฮฺ) พบเห็นเจ้า พวกเขาก็ถือเอาเจ้าเป็นที่ล้อเลียน คนนี้นะหรือที่กล่าวตำหนิพระเจ้าของพวกท่าน ทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็กล่าวตำหนิพระผู้ทรงกรุณาปรานี โดยพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
37. มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความรีบร้อน ข้าจะแสดงสัญญาณต่าง ๆ ของข้าให้พวกเจ้าเห็น ฉะนั้นพวกเจ้าอย่าได้เร่งข้าเลย
38. และพวกเขากล่าวว่า เมื่อใดเล่าสัญญานี้จะเกิดขึ้น หากพวกท่าน เป็นผู้สัตย์จริง
39. หากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธารู้ว่า พวกเขาไม่สามารถที่จะป้องกันไฟจากทางด้านหน้าของพวกเขาและทางด้านหลังของพวกเขา และพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ
40. แต่ว่ามันจะมาถึงพวกเขาโดยฉับพลันไม่รู้ตัว แล้วจะทำให้พวกเขาตกใจ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถที่จะผลักดันให้พ้นไปได้ และพวกเขาก็ไม่อาจจะประวิงเวลาต่อไปได้
41. และโดยแน่นอน บรรดารอซูลก่อนหน้าเจ้าได้ถูกเย้ยหยันมาแล้ว แล้วการลงโทษได้ประสบแก่บรรดาผู้ที่เย้ยหยันต่อบรรดาร่อซูล ในสิ่งที่พวกเขาได้เย้ยหยัน


คำแปล R5.
๓๖. โอ้มุฮำมัด และเมื่อพวกเนรคุณได้มองเห็นเจ้าพวกเขาก็มิได้ยึดเอาเจ้าเป็นแก่นสารและความสำคัญอันใดเลยนอกจากการสบประมาทดูถูกเหยียดหยามเท่านั้น พวกเขาพากันพูดว่า “นี่นะหรือคือคนที่กล่าวตำหนิพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” และพวกเขานั้น กับการกล่าวถึงพระเจ้าผู้ทรงเมตตาพวกเขาก็เป็นผู้เนรคุณต่อคำเตือนของ องค์พระผู้ทรงเมตตา พวกเขาก็หมายถึงชายผู้หนึ่งที่เป็นจอมมดเท็จแห่ง “ยะมามะฮ์” ผู้มีนามว่า “มุไซละมะฮอัล-กัซซ๊าบ” พวกเขากล่าวว่า เราไม่รู้จักผู้ทรงเมตตานอกจาก “ผู้ทรงเมตตาแห่งยะมามะฮ์” ซึ่งมุซัยละมะฮผู้นี้ได้อ้างตนเป็นศาสดา เป็นการแข่งบารมีและเยาะเย้ยท่านศาสดามุฮำมัด
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ อายะฮฺต่อไปนี้ได้ประทานเมื่อพวกกาฟิรผู้เนรคุณแกล้งขอให้มีการลงโทษพวกเขาเองโดยรีบด่วนเพื่อประชดประชันและคัดค้านสัญญาการลงโทษที่พระผู้เป็นเจ้าได้ให้ไว้แก่พวกเขา พวกเขาพูดว่า “เมื่อไหร่หนอ สัญญาการลงโทษนี้จึงจะประสบแก่เรา แม้นพวกท่านเป็นผู้มีสัจจะ ?” อัลกุรอานจึงได้โองการเกี่ยวกับพวกเขา แสดงธรรมชาติอันเร่งร้อนของมนุษย์ดังต่อไปนี้
๓๗. มนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากความรีบด่วน กล่าวคือเขามีความรีบด่วนเป็นธรรมชาตินิสัยของเขา ส่วนธาตุประกอบทางกำเนิดของเขาก็คือดิน ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของข้าอย่างแน่นอนในไม่ช้านี้นั่นคือสัญญการลงโทษที่ได้ให้ไว้นั้นไม่นานจะต้องประสบแก่พวกเขาแน่ ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องขอให้รีบด่วนหรอก และหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ต้องประสบกับความหายนะในสงครามบะดัร เป็นไปตามสัญญาทุกประการ
๓๘. และพวกเข(กาฟิร) กล่าวกับท่านนบีมุฮำมัดและบรรดามุมินทั้งหลายว่า “เมื่อไหร่สัญญา การลงโทษนี้อันจะอุบัติขึ้นหลังจากโลกนี้ได้สลายและมีโลกใหม่ขึ้นมาแทนที่จะประสบแก่พวกเรา หากแม้นพวกท่านเป็นผู้มีสัจจะในคำกล่าวนั้น จงแจ้งกำหนดเวลาแห่งสัญญาดังกล่าวมาวิ
๓๙. พระองค์อัลเลาะห์ได้ทรงโองการเพื่อตอบคำกล่าวของพวกเขาว่า หากแม้นบรรดาผู้เนรคุณทั้งหลายทราบถึงการสิ้นโลกและการลงโทษดังกล่าวในขณะที่พวกเขามิอาจปกป้องไฟนรกให้พ้นไปจากใบหน้าและเบื้องหลังของพวกเขาและพวกเขามิได้รับการช่วยเหลือจากใครเลยไม่มีใครที่จะห้ามไฟนรกมิให้ทำอันตรายแก่พวกเขาได้ ถ้าพวกเขาได้รู้อย่างนั้นพวกเขาก็คงจะไม่พูดดั่งเช่นที่ปรากฏในโองการที่ ๓๘ อย่างแน่นอน
๔๐. แต่ทว่าวันสิ้นโลกจะมาสู่พวกเขาอย่างกะทันหัน แล้วมัน(วันสิ้นโลก) ก็ทำความงงงันให้เกิดแก่พวกเขาจนพวกเขาทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถที่จะปัดป้องมันได้และพวกเขามิได้รับการผ่อนปรนให้ยืดเวลาออกไปเพื่อการกลับตัวและสารภาพผิดหรือขอแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น
๔๑. และแท้จริงบรรดาศาสนทูตก่อนหน้าเจ้าเมื่อสมัยอดีตก็ได้รับการสบประมาทเหยียดหยันจากประชากรของพวกเขาเหมือนกับเจ้านั่นแหละ โอ้มุฮำมัดเอ๋ย แล้วพวกเขาเหล่านั้นก็มีความอดทนต่อการสบประมาทนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี แล้วต่อมาก็ได้ประสบแก่บรรดาชนผู้สบประมาทซึ่งการลงโทษเพื่อตอบแทนให้สาสมกับที่พวกเขาได้ทำการสบประมาทพวกศาสนทูตเหล่านั้น ซึ่งบรรดากาฟิรมักกะห์ที่สบประมาทเจ้าในขณะนี้ก็จะต้องได้รับการลงโทษแบบเดียวกับชนผู้สบประมาทศาสนทูตในอดีตเช่นเดียวกัน

 
 

สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 42 - 44


คำแปลR1.
42. Say: "Who can guard and protect you in the night or in the day from the (punishment of the) Most Beneficent (Allah)?" Nay, but they turn away from the remembrance of their Lord.
43. Or have they Aliha (gods) who can guard them from us? They have no power to help themselves, nor can they be protected from us (i.e. from Our torment).
44. Nay, we gave the luxuries of this life to these men and their fathers until the period grew long for them. See they not that we gradually reduce the land (in their control) from its outlying borders? Is it then they who will overcome?


คำแปล R2.
42. จงประกาศเถิด ใครหนอที่ระแวดระไวพวกเจ้า ทั้งกลางคืนและกลางวันให้พ้นจาก (โทษทัณฑ์ของ)องค์ผู้ทรงเมตตา ทว่าพวกเขาได้หันหลังให้คำเตือนขององค์อภิบาลของพวกเขาเอง
43. หรือว่าพวกเขามีบรรดาพระเจ้า ซึ่งคอยปกป้องพวกเขาให้พ้นจากโทษทัณฑ์ของเรา พวกเขาไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้ และพวกเขาไม่ได้รับการปกป้องจากโทษทัณฑ์ของเราเลย
44. (สิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นเป็นพระเจ้านั้นหาใช่จะสร้างความสุขแก่พวกเขาไม่) ทว่าความเป็นจริงนั้นเราได้ปล่อยพวกเหล่านี้และบรรพบุรุษของพวกเขาให้มีความสุขจนอายุได้ผ่านพวกเขาไปอย่างยาวนาน (เมื่อพวกเขาหลงเพลิดเพลินกับความสุขนั้น พวกเขาก็จะทรยศต่ออัลเลาะฮฺในโอกาสต่อมา) แล้วพวกเขาไม่เห็นหรือว่า แท้จริงเราจัดการลดอาณาเขตของแผ่นดิน (ทีละส่วนจากที่พวกเขาเคยยึดครองไว้ โดยให้ฝ่ายมุสลิมได้รับชัยชนะ และครอบครองแผ่นดินนั้น ๆ ต่อไป) แล้วพวกเขาจะเป็นฝ่ายชนะกระนั้นหรือ


คำแปล R3.
42.   (โอ้ มุฮัมมัด) จงถามพวกเขา “ใครเล่าที่คอยคุ้มครองพวกท่านทั้งกลางคืนและกลางวันจากพระผู้ทรงกรุณาปรานี ?” (ไม่มีเลย) แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ใส่ใจต่อคำตักเตือนของพระผู้อภิบาลของพวกเขา
43.   พวกเขามีพระเจ้าอื่น ๆ ที่สามารถป้องกันพวกเขาจากเรากระนั้นหรือ ? (ไม่) เพราะพวกมันเองก็ช่วยตัวเองไม่ได้และป้องกันตนเองให้พ้นจากเราไม่ได้
44.   ความจริงแล้ว เราได้ประทานปัจจัยแห่งชีวิตแก่พวกเขาและบรรพบุรุษของพวกเขาจนกระทั่งระยะเวลายาวนานเกินไปแล้วสำหรับพวกเขา แต่พวกเขามองไม่เห็น หรือว่าเราได้มายังแผ่นดินและตัดทอนขอบเขตสำหรับพวกเขาในทุก ๆ ด้าน ? แล้วพวกเขาคิดว่าจะชนะ (เรา) กระนั้นหรือ ?


คำแปล R4.
42. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ใครเล่าจะคุ้มกันรักษาพวกท่าน ในเวลากลางคืนและกลางวัน จากพระผู้ทรงกรุณาปรานี แต่ทว่าพวกเขาเป็นผู้ผินหลังให้การรำลึกถึงพระเจ้าของพวกเขา
43. หรือว่าพวกเขามีพระเจ้าหลายองค์ นอกไปจากเรา คอบป้องกันพวกเขา ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าเหล่านั้นไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเอง และไม่สามารถป้องกันตัวเองให้พ้นจากการลงโทษของเราได้
44. แต่ทว่า เราได้ให้ความสุขสำรายแก่พวกเขาและบรรพบุรุษของพวกเขา จนกระทั่งพวกเขามีอายุยั่งยืน พวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงเราได้มายังแผ่นดินเพื่อทำให้มันคับแคบลงจากขอบเขตของมัน แล้วพวกเขาจะเป็นผู้ชนะอีกหรือ?


คำแปล R5.
๔๒. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวกับพวกกาฟิรเถิดว่า ใครบ้างที่สามารถพิทักษ์พวกเจ้าให้รอดพ้นจากการลงโทษของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตาทั้งในกลางคืนและกลางวันก็ตาม เมื่อการลงโทษของพระองค์ได้ประทานแก่พวกเขาในเวลาใด จะไม่มีใครสามารถปกป้องพวกเขาได้เลย โองการจากอัล-กุรอานในโองการนี้เป็นคำถามเชิงค้านพวกกาฟิร แต่พวกเขาหาได้เกรงกลัวการลงโทษของอัลเลาะห์ไม่ เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าพวกเขาจะถูกลงโทษจากพระองค์ แต่พวกเขาเป็นผู้หันเหออกจาก   กุรอาน อันเป็นข้อตักเตือนขององค์พระผู้อภิบาลของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ตริตรองในอัล-กุรอานเลยแม้แต่น้อย
๔๓. หรือว่าพวกเขามีบรรดาพระเจ้าที่พวกเขาสมมติอุปโลกน์ขึ้นนอกจากเราซึ่งพระเจ้าเหล่านั้นคอยป้องกันพวกเขามิให้ประสบการลงโทษ แน่นอนไม่มีผู้ใดสามารถป้องกันพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาสมมติขึ้นเป็นพระเจ้ากราบกราน หรือจะเป็นบุคคลได้ก็ตามนอกจากอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียว เพราะบรรดาพระเจ้าที่ถูกสมมติขึ้นนั้นพวกเขายังไม่สามารถช่วยตัวของตัวเองได้ เพราะเป็นเพียงวัตถุธรรมดาและไม่สามารถคุ้มกันจากการลงโทษของเราได้ เมื่อพระเจ้าที่พวกเขาสมมติขึ้นยังช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วพระเจ้าเหล่านั้นจะไปช่วยพวกเขาได้อย่างไรกัน
๔๔. แต่เราให้ความสุขแก่พวกเหล่านี้และบรรพบุรุษของพวกเขา โดยป้องกันพวกเขาไว้มิให้ประสบอันตราย ภัยพิบัตินานาชนิด จวบจนพวกเขามีอายุอันยืนนาน แล้วก็เคลิ้มหลงในความสุขนั้นจนคิดว่าพวกเขาคงจะไม่พบกับภัยพิบัติใด ๆ อีกแล้ว พวกเขาคิดว่าการที่พวกเขามิได้ประสบภัยพิบัตินั้นเป็นเพราะเทวรูปต่าง ๆ ที่พวกเขากราบไหว้บูชานั่นเอง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ต้องได้รับการลงโทษแน่ ๆ เพราะพวกเขาได้ถูกกำหนดชะตากรรมไว้แล้วว่าจะต้องรอการลงโทษและต้องประสบกับความหายนะเพราะการกระทำของเขาเอง แล้วพวกเขามิสังเกตดอกหรือว่าที่จริงเรามุ่งหมายต่อแผ่นดิน อันเป็นเมืองที่พวกเขาได้อยู่อาศัย โดยเราลดอาณาเขตจากแต่ละด้านของแผ่นดินนั้นให้เหลือน้อยลงทุกที เราลดมันจากมุมต่าง ๆ ของมัน กล่าวคือ เมืองต่าง ๆ ของพวกเขาได้ถูกยึดครองโดยฝ่ายของท่านนบีมุฮำมัดเมื่อได้รับชัยชนะในการทำสงครามระหว่างกัน ซึ่งฝ่ายพ่ายแพ้ก็ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝ่ายชะเป็นธรรมดา (ซึ่งการทำสงครามในชุมชนของอาหรับโดยการนำของท่านศาสดานี้ เป็นการทำตามอุดมการณ์แห่งอาณาจักร ซึ่งจะต้องมีเรื่องของการต่อสู้และปราบปรามเมืองที่ตั้งตนเป็นศัตรูรุกราน ซึ่งการสงครามส่วนมากฝ่ายมุสลิมเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ เมืองที่แพ้ก็ต้องตกเป็นเมืองยึดครองของฝ่ายมุสลิม ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ธรรมดาของการทำสงครามและประเพณีปฏิบัติของชนชาติทั้งหลายในโลกนี้) แล้วพวกเขาเป็นฝ่ายชนะหรือ ? พวกเขาไม่ชนะกลับแพ้ยับเยิน


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 45 - 47


คำแปลR1.
45. Say (O Muhammad): "I warn you Only by the Revelation (from Allah and not by the opinion of the religious scholars and others). But the deaf (who follow the religious scholars and others blindly) will not hear the call, (even) when they are warned [(i.e. one should follow Only the Qur'an and the Sunnah (legal ways, orders, acts of worship, statements of Prophet Muhammad , as the companions of the Prophet did)].
46. And if a breath (minor calamity) of the torment of your Lord touches them, they will surely cry: "Woe unto us! Indeed we have been Zalimun (polytheists and wrong-doers, etc.).
47. And we shall set up balances of justice on the Day of Resurrection, then none will be dealt with unjustly in anything. And if there be the weight of a mustard seed, we will bring it. And sufficient are we as reckoners.


คำแปล R2.
45. จงประกาศเถิด “อันที่จริงฉันนำโองการ(จากอัลเลาะฮฺ) มาตักเตือนท่านทั้งหลาย” และ(แน่นอนเหลือเกิน) ผู้หูหนวกย่อมไม่ได้ยินคำเรียกร้อง เมื่อพวกเขาถูกตักเตือน(จากศาสนทูต ดังนั้นพวกท่านอย่าเป็นเช่นคนหูหนวก อันจะทำให้ประสบการลงโทษจากอัลเลาะฮฺ)
46. ขอยืนยัน แท้จริงหากมีโทษทัณฑ์สักเล็กน้อยจากองค์อภิบาลของพวกเขามาสัมผัสกับพวกเขา พวกเขาก็จะกล่าว(ด้วยความทรมาน)ว่า “โอ้ความวิบัติของเรา (นี่เป็นเพราะ) เราเป็นผู้ทุจริต(ต่อตัวเอง)โดยแท้
47. และเราจะวางตราชูแห่งความเที่ยงธรรมไว้เพื่อ(ชั่งความประพฤติของมวลมนุษย์ใน)วันชาติหน้า แล้วชีวิตใด ๆ จะไม่ถูกอธรรมเลยแม้สักเล็กน้อยก็ตาม และแม้จะมีน้ำหนักสักเพียงเมล็ดผักกาด เราก็จะนำมันมา(ชั่ง) และเราเพียงผู้เดียวก็เพียงพอแล้วที่เป็นผู้สอบสวน


คำแปล R3.
45. จงบอกพวกเขา “ฉันเพียงแต่ตักเตือนพวกท่านตามวะฮีย์เท่านั้น” แต่คนหูหนวกนั้นไม่ได้ยินการเรียกร้องเมื่อพวกเขาถูกตักเตือน
46. ถ้าการลงโทษอันแผ่วเบาของพระผู้อภิบาลของเจ้าสัมผัสพวกเขา พวกเขาก็จะร้องออกมาว่า “วิบัติแล้วเรา แท้จริงเราเป็นผู้ทำผิด”
47. ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ เราจะตั้งตราชูที่เที่ยงธรรมขึ้นมาเพื่อที่จะได้ไม่มีชีวิตใดไม่ได้รับความเป็นธรรมแม้แต่เพียงน้อยนิด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่มีน้ำหนักเท่ากับเมล็ดผักกาด เราก็จะนำมันออกมา (เพื่อชั่ง)และเพียงพอแล้วที่เราจะชำระ


คำแปล R4.
45. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด แท้จริงฉันเพียงตักเตือนพวกท่านด้วยวะฮีเท่านั้น แต่คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงเรียกร้อง เมื่อพวกเขาถูกตักเตือน
46. และหากการลงโทษเพียงเล็กน้อยจากพระเจ้าของเจ้าประสบกับพวกเขา แน่นอนพวกเขาก็จะกล่าวว่า โอ้ความหายนะแก่เรา แท้จริงเราเป็นผู้อธรรม
47. และเราตั้งตราชูที่เที่ยงธรรมสำหรับวันกิยามะฮฺ ดังนั้นจะไม่มีชีวิตใดถูกอธรรมแต่อย่างใดเลย และแม้ว่ามันเป็นเพียงน้ำหนักเท่าเมล็ดพืชเล็ก เราก็จะนำมันมาแสดง และเป็นการพอเพียงแล้วสำหรับเราที่เป็นผู้ชำระสอบสวน


คำแปล R5.
๔๕. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวกับพวกกาฟิรเถิด แท้จริงข้าตักเตือนพวกเจ้าทั้งหลายด้วยโองการที่ข้าได้รับมาจากพระผู้เป็นเจ้าหาใช่มาจากความนึกคิดของข้าเองไม่ และผู้เนรคุณซึ่งเปรียบได้ดังคนหูหนวกย่อมไม่ได้ยินการเรียกร้องและการตักเตือนที่มีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์อัล-กุรอาน เมื่อพวกเขาถูกตักเตือน ทั้งที่ได้จากพระคัมภีร์นั้น พวกเขาจึงเหมือนกับคนหูหนวก
๔๖. และความจริงเมื่อการลงโทษขององค์อภิบาลของเจ้าเพียงบางเบาได้ประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็จะรำพึงขึ้นมาว่า “โอ้ความวิบัติของเรา สาเหตุที่เราประสบการลงโทษนั้น เป็นเพราะพวกเราล้วนเป็นผู้ทุจริตอย่างแท้จริง” ด้วยพวกเราเคยอุปโลกน์ภาคีแก่องค์อัลเลาะห์และกล่าวหาว่านบีมุฮำมัดพูดเท็จ ไม่ยอมเชื่อถือในคำพูดของเขาเลย ณ บัดนี้เราจึงต้องได้รับการลงโทษ
๔๗. พระองค์อัลเลาะห์ได้ทรงโองการว่า และเราจะวางตราชูอันยุติธรรมสำหรับวันปรภพ ดังนั้นชีวิตใดก็ตามจักไม่ได้รับการทุจริตเลย แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม และแม้ว่าสิ่งนั้นจะมีน้ำหนักเท่าเมล็ดผักกาดก็ตาม เราก็จักนำมันมาขึ้นตาราชูของเราเพื่อการชั่งอย่างยุติธรรม ความดีที่ทำไว้ก็จะไม่ถูกลด และความชั่วที่ทำไว้ก็จะไม่เพิ่มเติมให้ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างยุติธรรมที่สุด และเราเป็นที่พอเพียงแล้วในการเป็นผู้สอบสวน ซึ่งถือเป็นเด็ดขาด ไม่มีผู้ใดบังอาจคัดค้านหรือท้วงติงได้ เพราะทุกสิ่งที่นำมาชั่งนั้นไม่มีสิ่งใดเลยที่คลุมเครือจนสามารถโต้แย้งได้ แต่เป็นไปโดยจะแจ้งและชัดเจนอย่างที่สุด จึงเป็นประจักษ์พยานแก่ผู้มีวิจารณญาณได้เป็นอย่างดีในอันที่เขาจักต้องเพิ่มความเกรงกลัวแก่พระองค์ให้มากยิ่งขึ้น

 



สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 48 - 50


คำแปลR1.
48. And indeed we granted to Musa (Moses) and Harun (Aaron) the criterion (of right and wrong), and a shining light [i.e. the Taurat (Torah)] and a reminder for Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2).
49. Those who fear their Lord without seeing him, while they are afraid of the Hour.
50. And this is a blessed reminder (the Qur'an) which we have sent down, will you then (dare to) deny it?


คำแปล R2.
48. ขอยืนยันแท้จริงเราได้มอบ (คัมภีร์เตารอฮฺเพื่อ)การจำแนก(ความดีความชั่ว ความถูกต้องและความผิดพลาด) แก่มูซาและฮารูน และ (เราได้มอบ)ความสว่างและคำเตือนแก่บรรดาผู้ยำเกรง
49. ซึ่ง(พวกเหล่านั้น) เป็นพวกที่เกรงกลัวองค์อภิบาลของพวกเขาในยามเร้นลับ (ไม่มีผู้ใดเห็น) และพวกเขามีความหวาดหวั่นตอกาลปาวสานของโลกนี้
50. และ(อัลกุรอาน)นี้เป็นคำเตือนอันมีมงคลยิ่งซึ่งเราได้ส่งมันลงมา (ให้นบีมุฮำมัด) แล้วพวกเจ้าทั้งหลายจะคัดค้านสิ่งนั้นหรือ


คำแปล R3.
48. ก่อนหน้านี้เราได้ประทานเกณฑ์ตัดสิน แสงสว่างและการตักเตือนแก่มูซาและฮารูนสำหรับผู้สำรวมตนจากความชั่ว
49. ผู้ที่เกรงกลัวพระผู้อภิบาลของพวกเขาถึงแม้จะมิได้เห็นพระองค์และเกรงกลัวต่อยามนั้น (การชำระบัญชี)
50. และตอนนี้เราได้ประทานข้อตักเตือนอันจำเริญนี้มา (สำหรับสูเจ้า) แล้วสูเจ้ายังปฏิเสธอีกกระนั้นหรือ


คำแปล R4.
48. และแท้จริง เราได้ให้แก่มูซาและฮารูน (ซึ่งคัมภีร์เตารอฮฺ) ที่แยกระหว่างความจริงกับความเท็จและเป็นแสงสว่างแห่งดวงประทีปและข้อตักเตือนสำหรับบรรดาผู้ยำเกรง
49. บรรดาผู้เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่เห็น และพวกเขายังหวั่นกลัวต่อวันอวสานด้วย
50. และนี่คืออัลกุรอาน เป็นการตักเตือนที่จำเริญซึ่งเราได้ให้มันลงมา แล้วพวกเจ้ายังจะปฏิเสธมันอีกหรือ


คำแปล R5.
๔๘. และแท้จริงเราได้ประทานแก่มูซาและฮารูนซึ่งคัมภีร์เตารอต อันเป็นสิ่งจำแนกความจริงออกจากความเท็จ จำแนกสัจธรรมออกจากโมฆธรรม, จำแนกกุศลออกจากอกุศล, และเป็นคัมภีร์อันสว่างไสว เพื่อการส่องให้เห็นชัดซึ่งความโง่เขลา, ความหลงผิด, ความงมงายซึ่งเปรียบได้ดังความมืด  และ เป็นคัมภีร์ที่ตักเตือนบรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย พวกเขามีความยำเกรงอัลเลาะห์ทั้งในที่ลับและเปิดเผย โดยไม่กล้าฝ่าฝืนในพระบัญชาของพระองค์ ไม่ว่าจะอยู่ในที่เปิดเผยหรือลับตาคนก็ตาม และพวกเขาหวาดกลัวที่จะต้องไปพบกับวิกฤติภาวะแห่งปรภพ พวกเขาจึงไม่กล้าแตะต้องความผิดต่าง ๆ ที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้
๔๙. ซึ่งพวกเขามีความกลัวในองค์อภิบาลของพวกเขา ณ สถานอันเร้นลับจากสายตาของผู้คนทั้งหลาย และพวกเขามีความหวั่นกลัวสภาวะอันวิกฤติยิ่งของปรโลก
๕๐. และคัมภีร์อัลกุรฺอานนี้ เป็นคัมภีร์ที่ให้การรำลึกอันมีมงคลยิ่ง ซึ่งเราได้ประทานให้ลงมาสู่มนุษยชาติ เฉกเช่นคัมภีร์เตารอตและคัมภีร์อื่น ๆ นั่นเอง แล้วพวกเจ้ายังจะบังอาจคัดค้านอีกหรือ อันคัมภีร์เตารอตนั้น พวกเจ้าให้ความเชื่อถือเป็นอันดีในส่วนที่ตรงกับความประสงค์ของเจ้า แต่พวกเจ้าปฏิเสธอัลกุรอานโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะพวกเจ้าได้รับคำสอนอันบิดเบือนจากพวกยะฮูด อันทำให้พวกเจ้าเกิดความสงสัย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 51 - 57


คำแปลR1.
51. And indeed we bestowed aforetime on Ibrahim (Abraham) his (portion of) guidance, and we were well-acquainted with him (as to his belief in the Oneness of Allah, etc.).
52. When he said to his father and his people: "What are these images, to which you are devoted?"
53. They said:"We found our fathers worshipping them."
54. He said: "Indeed you and your fathers have been in manifest error."
55. They said: "Have you brought us the truth, or are you one of those who play about?"
56. He said: "Nay, your Lord is the Lord of the heavens and the earth, who created them and of that I am one of the witnesses.
57. "And by Allah, I shall plot a plan (to destroy) your idols after you have gone away and turned your backs."


คำแปล R2.
51. ขอยืนยัน แท้จริงเราได้มอบทางอันถูกต้องแก่อิบรอฮีมมาก่อนแล้ว (นั่นคือทางแห่งเอกภาพของอัลเลาะฮฺ) และเรารู้เกี่ยวกับตัวเขา (ว่ามีสภาพและผลงานอย่างไร
52. เมื่อครั้งที่เราได้กล่าวแก่บิดาของเขาและพวกพ้องของเขาว่า “บรรดารูปปั้นที่พวกท่านเฝ้าสักการะอยู่นี้ คืออะไรกัน”
53. พวกเขากล่าวตอบว่า “พวกเราพบว่าบรรพบุรุษของพวกเราได้ทำการนมัสการมาก่อน(พวกเราจึงเลียนแบบตาม)”
54. เขากล่าวว่า “ขอสาบานแท้จริงพวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่านตกอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง”
55. พวกเขากล่าวว่า “ท่านนำสัจธรรมมายังพวกเราหรือว่าท่านเพียงพูดเล่น ๆ”
56. เขาตอบว่า “ถูกแล้ว(ฉันนำสัจธรรมมาประกาศแก่พวกท่าน เพื่อยืนยันว่า) องค์อภิบาลของพวกท่านนั้นทรงเป็นองค์อภิบาลแห่งฟากฟ้าและแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ทรงบันดาลสิ่งเหล่านั้น และฉันเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาสักขีพยานในเรื่องนั้น
57. “และขอสาบานต่ออัลเลาะฮฺ ฉันจะต้องวางแผน(ทำลาย)เทวรูปของพวกท่าน ภายหลังจากพวกท่านได้หันหลัง(ออกไปจากเทวสถานนี้แล้ว)”


คำแปล R3.
51.   แม้ก่อนหน้านั้น เราได้ประทานดุลพินิจอันเที่ยงธรรมแก่อิบรอฮีม เพราะเรารู้จักเขาดี
52.   จงนึกถึงเมื่อตอนที่เขากล่าวแก่พ่อของเขาและผู้คนของเขาว่า “รูปปั้นอะไรกันนี่ที่พวกท่านสักการะบูชา ?”
53.   พวกเขาตอบว่า “เราเห็นว่าบรรพบุรุษของเราเคารพบูชามัน”
54.   เขากล่าว่า “พวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่านอยู่ในการหลงผิดอย่างชัด ๆ”
55.   พวกเขากล่าวว่า “ท่านนำเอาความจริงมาเสนอเรา หรือว่าท่านล้อเล่น ?”
56.   เขาตอบว่า “มิใช่เช่นนั้น พระผู้อภิบาลของพวกท่านก็คือพระผู้อภิบาลแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และผู้ทรงเนรมิตสิ่งเหล่านั้น และฉันก็ขอเป็นผู้ยืนยันในเรื่องนี้
57.   ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ฉันจะจัดการเทวรูปพวกนี้ในตอนที่พวกท่านไม่อยู่”


คำแปล R4.
51. และโดยแน่นอน เราได้ให้ความเฉลียวฉลาดแก่อิบรอฮีมแต่ครั้งก่อน โดยที่เรารู้จักเขาดี
52. ขณะที่เขากล่าวแก่บิดาของเขาและกลุ่มชนของเขาว่า รูปปั้นอะไรกันนี่ที่พวกท่านเฝ้าบูชากัน
53. พวกเขากล่าวว่า เราได้พบเห็นบรรพบุรุษของเรา เป็นผู้สักการบูชามันก่อน
54. เขากล่าวว่า โดยแน่นอน พวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่าน อยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง
55. พวกเขากล่าวว่า ท่านได้นำความจริงมาเสนอแก่เรา หรือท่านเป็นแต่เพียงคนหนึ่งในพวกล้อเล่น
56. เขากล่าวว่า แต่ที่แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านคือพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ทรงเนรมิตมัน และฉันเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้เป็นพยานต่อการณ์นี้
57. และขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ์ แท้จริง ฉันจะวางแผนต่อต้านรูปปั้นทั้งหลายของพวกท่าน หลังจากที่พวกท่านผินหลังกลับออกไป


คำแปล R5.
๕๑. และแท้จริง เราได้ประทานแก่อิบรอฮีมซึ่งความชาญฉลาดของเขาตั้งแต่เมื่อก่อนที่เขาจะบรรลุนิติภาวะเขาจึงทราบเป้าหมายแห่งความดีทั้งในภพนี้และภพหน้า เขาเข้าใจถึงนัยแห่งการปรพกอบคุณธรรมทั้งทางศาสนาและทางโลกตลอดจนหน้าที่ทางส่วนตัวและสังคม และเขามีความรู้แจ้งตลอดถึงสภาวะการอันเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า โดยขณะนั้นพวกพ้องของเขาต่างหลงงมงายอยู่กับการกราบบูชาเทวรูป และเรารู้เกี่ยวกับเขา เป็นอันว่าเขานั้นพร้อมที่จะรับและสนองตอบภารกิจที่เราได้ประทานแก่เขา
๕๒. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงแถลงให้พวกพ้องของเจ้าได้ใช้วิจารณญาณเถิด เมื่ออิบรอฮีมเขาได้กล่าวกับ อาซัรผู้เป็นบิดาของเขา และพวกพ้องของเขาว่า บรรดาเทวรูปเหล่านี้ที่ท่านทั้งหลายได้ยืนหยัดทำการสักการะอยู่นั้นคืออะไร ? อิบรอฮีมถามเช่นนั้นเพื่อเตือนสติบิดาและพวกพ้องทั้งหมดให้หันมาพินิจพิเคราะห์ถึงสภาพอันไร้ความหมายของเทวรูปเหล่านั้น จำนวนเทวรูปที่พวกเขาได้ประกอบขึ้นเพื่อสักการบูชามีจำนวนประมาณ ๗๒ รูป เป็นรูปต่าง ๆ เช่น นก ต้นไม้ หรือคน ซึ่งพวกเขาประกอบกันขึ้นจากวัตถุต่าง ๆ
๕๓. พวกเขากล่าวตอบว่าที่เราทำการกราบไหว้สักกาะบูชาตลอดมานั้นก็เพราะเราได้พบว่าบรรดาบรรพบุรุษของเราได้ทำการกราบไหว้มาแต่เก่าก่อน พวกเราก็กราบไหว้สิ่งเหล่านั้นตามบรรพบุรุษของเราไปด้วย
๕๔. อิบรอฮีมเขาจึงกล่าวตำหนิพวกนั้นว่าแท้ที่จริงพวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่านล้วนตกอยู่ในความหลงผิดงมงายอันชัดแจ้ง ที่ได้ทำการสักการบูชาต่อสิ่งที่ไม่ให้คุณไม่ให้โทษเช่นนั้น
๕๕. พวกเขากล่าวแก่อิบรอฮีมว่าท่านพูดเช่นนั้นท่านได้นำสัจธรรมมาให้เราได้รับรู้หรือว่าท่านเป็นแต่เพียงเย้าเล่นเท่านั้น เพราะไม่เคยได้ยินคำพูดในเชิงสบประมาทเทวรูปเช่นนั้นมาก่อนเลย
๕๖. อิบรอฮีมเขากล่าวตอบพวกนั้นว่า แต่ความเป็นจริงนั้นพระผู้อภิบาลของพวกท่านก็คือพระผู้อภิบาลแห่งฟากฟ้าและแผ่นดินซึ่งพระองค์ได้ทรงบันดาลสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาโดยไม่มีตัวอย่างมาก่อนและข้าพเจ้าย่อมเป็นสักขีพยานในสิ่งนั้น ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วได้เป็นอันดี ดังนั้นที่ข้าพเจ้าได้พูดไปจึงมิได้พูดเย้าเล่น แต่เป็นการพูดจริง ๆ ที่ต้องการเตือนสติพวกท่านมิให้หลงงมงายเช่นนั้น
๕๗. เขา(อิบรอฮีม)กล่าวว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าขอสาบานว่า ข้าพเจ้าจะต้องใช้อุบายทำลายบรรดาเทวรูปของพวกท่านให้จงได้ หลังจากพวกท่านได้หันหลังกลับออกไปจากเทวสถานเพื่อไปชุมนุมเนื่องในเทศกาลตรุษของพวกเขา ซึ่งอิบรอฮีมก็ทำเป็นร่วมเดินทางไปกับพวกนั้น เมื่อถึงกลางทางท่านแกล้งล้มและบอกว่า “เท้าเจ็บ” แล้วท่านก็เดินทางย้อนกลับมาสู่เทวสถาน ซึ่งเทวสถานนั้นมีเทวรูปใหญ่อยู่ที่ประตูและเทวรูปเล้ก ๆ อีกมากมาย ในนั้นมีอาหารที่พวกเขานำมาเซ่นสังเวย ซึ่งพวกเขาจะกลับมารับประทานเอาศิริมงคล หลังจากพวกเขากลับจากการชุมนุมในวันตรุษของพวกเขา อิบรอฮีมจึงพูดกับเทวรูปใหญ่ว่า “ทำไมไม่รับประทาน” เทวรูปไม่ตอบ ท่านจึงแกล้งพูดต่อไปว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงไม่พูด?”


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 58 - 63
 

คำแปลR1.
58. So he broke them to pieces, (all) except the biggest of them, that they might turn to it.
59. They said: "Who has done this to our Aliha (Gods)? He must indeed be one of the wrong-doers."
60. They said: "We heard a young man talking (against) them who is called Ibrahim (Abraham)."
61. They said: "Then bring him before the eyes of the people, that they may testify."
62. They said: "Are you the one who has done this to our Gods, O Ibrahim (Abraham)?"
63. [Ibrahim (Abraham)] said: "Nay, this one, the biggest of them (idols) did it. Ask them, if they can speak!"


คำแปล R2.
58. ดังนั้นอิบรอฮีมจึงทำลายเทวรูปเหล่านั้นแตกเป็นชิ้น(เล้กชิ้นน้อย) ยกเว้นเทวรูปใหญ่ของพวกเขา(ซึ่งอิบรอฮีมได้ละไว้ ไม่ทำลาย) เพื่อพวกเขาจะได้กลับมา(ตั้งข้อสงสัย)กับมัน
59. พวกเขากล่าวว่า “ใครหนอที่กระทำ(การอันอุกอาจเช่น)นี้กับบรรดาพระเจ้าของเรา เขาผู้นั้นเป็นหนึ่งในพวกทุจริตชนโดยแท้”
60. พวกเขา(บางคน)กล่าว(คาดคะเน)ว่า “เราเคยได้ยินชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่า “อิบรอฮีม” ทำการกล่าววิพากษ์แก่พวก(เทวรูป)เหล่านั้น (สงสัยว่าเขาเป็นผู้กระทำ)”
61. (หัวหน้าของ)พวกเขากล่าวว่า “ดังนั้นพวกเจ้าจงไปนำตัวเขามา(ให้ปรากฏตัว)ต่อหน้าสายตาของผู้คนทั้งหลาย เพื่อพวกเขาจะได้เป็นสักขีพยาน)”
62. ((เมื่ออิบรอฮีมถูกนำตัวมาแล้ว) พวกเขาจึงถามว่า “เจ้าใช่ไหมที่ทำเช่นนี้กับบรรดาพระเจ้าของเรา โอ้อิบรอฮีม”
63. เขาตอบว่า “(มิใช่หรอก)ทว่าเทวรูปใหญ่นั่นแหละที่ทำเช่นนี้ ดังนั้นพวกท่านจงถามพวกนั้นดูเถิด หากว่าพวกนั้นพูดได้”


คำแปล R3.
58.   ดังนั้นเขาจึงได้ทำให้มันแตกออกเป็นชิ้น ยกเว้นเทวรูปตัวใหญ่ เพื่อที่พวกเขาจะได้กลับมายังมัน
59.   (เมื่อพวกเขากลับมาเห็นสภาพของเทวรูปเหล่านั้น) พวกเขาก็กล่าวว่า “ใครทำเช่นนี้กับพระเจ้าต่าง ๆ ของเรา ? เขาจะต้องเป็นผู้มีเจตนาร้ายแน่ ๆ”
60.   บางคนกล่าวว่า “เราได้ยินเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกเรียกว่าอิบรอฮีมเคยพูดภึงเรื่องเทวรูปเหล่านี้”
61.   พวกเขาจึงกล่าวว่า “ดังนั้น จงไปเอาตัวเขามาที่นี่ต่อหน้าผู้คน ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นพยาน (ว่าจะจัดการเขาอย่างไร)
62.   (เมื่ออิบรอฮีมถูกนำตัวมาที่นั้น) พวกเขาถามว่า “อิบรอฮีม เจ้าทำเช่นนี้ต่อบรรดาพระเจ้าของเราใช่ไหม ?”
63.   เขาตอบว่า “ไม่ หัวหน้าใหญ่ทั้งหมดของมันเป็นผู้ทำ พวกท่านลองถามมันดูสิ ถ้าพวกมันพูดได้”


คำแปล R4.
58. ดังนั้น เขาได้ทำให้มันแหลกลาญ เหลือไว้เพียงรูปปั้นตัวใหญ่สำหรับพวกเขา(หวังว่าพวกเขาจะได้กลับไปสอบถามมัน)
59. พวกเขากล่าวว่า ใครกระทำเช่นนี้กับพระเจ้าของเรา แท้จริง เขาผู้นั้นอยู่ในหมู่อธรรมอย่างแน่นอน
60. พวกเขากล่าวว่า เราได้ยินเด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวตำหนิรูปปั้นเหล่านี้ เขามีชื่อว่าอิบรอฮีม
61. พวกเขากล่าวว่า พวกท่านจงนำเขามาท่ามกลางสายตาของประชาชน หวังว่าเขาทั้งหลายจะได้เป็นพยาน
62. พวกเขากล่าวว่า เจ้าเป็นผู้กระทำเช่นนี้ต่อพระเจ้าเหล่านั้นของเรากระนั้นหรือ อิบรอฮีมเอ๋ย
63. เขากล่าวว่า แต่ว่าพระเจ้าตัวใหญ่ของพวกมันนี้ต่างหากเป็นผู้กระทำมัน พวกท่านจงถามพระเจ้าเหล่านั้นซิ พวกมันพูดได้


คำแปล R5.
๕๘. แล้วอิบรอฮีมเขาก็จัดการทำลายแก่พวกเทวรูปเหล่านั้นแตกละเอียดหมดด้วยการใช้ขวานฟันเทวรูปเล็ก ๆ ยกเว้นที่ใหญ่ที่สุดของพวกเทวรูปเหล่านั้น ซึ่งอิบรอฮีมละไว้ไม่ทำลาย แล้วท่านได้นำขวานของท่านไปขานไว้ที่คอเทวรูปใหญ่นั้น เพื่อพวกเขา(บิดาและพรรคพวก) จะได้กลับมาสู่เทวรูปใหญ่นั้นแล้วจะได้เห็นสภาพการแตกทำลายของเทวรูปต่าง ๆ ที่คงมีเหลือเพียงเทวรูปใหญ่ยืนแขวนขวานอยู่ เพื่อเป็นกลอุบายให้พวกนั้นได้จับผิดต่อเทวรูปใหญ่ตามประเพณีของชนกลุ่มนั้น เมื่อพวกเขากลับจากเทศกาลตรุษของพวกเขาแล้วก็จะต้องมาที่เทวสถานก่อนเพื่อกราบไหว้บูชาเทวรูป หลังจากนั้นจึงจะกลับบ้านของแต่ละคน
๕๙. เมื่อพวกเขากลับมาสู่เทวสถาน ได้เห็นความปรักหักพังของเทวรูปต่าง ๆ พวกเขาก็กล่าวถามขึ้นว่า ใครกันที่ได้กระทำการอันอุกอาจนี้กับพระผู้เป็นเจ้าของเรา แท้จริงเขาผู้กระทำนั้นเป็นคนทุจริตผู้หนึ่งซึ่งต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสมฐานทำลายพระเจ้าที่เฝ้ากราบไหว้บูชามาแต่สมัยบรรพบุรุษ อันเป็นการกระทำที่ท้าทายและหักหาญอย่างที่สุด
๖๐. พวกเขาบางคนซึ่งเป็นพวกที่เดินอยู่ท้าย ๆ แถวเมื่อคราวที่เดินทางไปสู่สถานชุมนุมเพื่อวันตรุษก่อนจะกลับมาพบภาพอันบาดใจ ณ เทวสถานนี้ เมื่ออิบรอฮีมแล้งล้มทำเป็นเท้าเจ็บแล้วเดินย้อนกลับออกมาจากกลุ่มนั้น เมื่อถึงท้าย ๆ แถวซึ่งล้วนเป็นพลพรรคชั้นผู้น้อยทั้งสิ้น อิบรอฮีมจึงกล่าวว่า “ข้าแต่อัลเลาะห์ ข้าพเจ้าสาบานว่าจะหาอุบายทำลายเทวรูปของพวกเจ้าให้ได้” ซึ่งพวกนั้นบางคนได้ยินคำพูดของอิบรอฮีม และพวกเขาได้กล่าวว่า เราได้ยินเด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวถึงพวกเทวรูปเหล่านั้นในเชิงตำหนิและหมายมั่นที่จะทำลายให้ได้ ซึ่งเขาเด็กหนุ่มผู้นั้นมีนามว่าอิบรอฮีม
๖๑. กลุ่มที่ถามถึงบุคคลที่กระทำการอันอุกอาจต่อเทวรูป พวกเขากล่าวว่า พวกเจ้าจงไปนำตัวเขา (อิบรอฮีม) มาและแสดงตัวของเขาให้ปรากฏต่อสายตาของผู้คนเพื่อพวกเขาจะได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานกล่าวโทษแก่อิบรอฮีมได้ว่าเขาคือผู้ทำลายเทวรูปเหล่านั้น
๖๒. เมื่อพวกนั้นจับตัวอิบรอฮีมมาได้แล้ว ก็เริ่มทำการสอบสวนต่อหน้าสายตาของผู้คนทั้งหลาย โดยพวกเขากล่าวว่าท่านหรือที่กระทำเช่นนี้กับบรรดาพระผู้เป็นเจ้าของเรา อิบรอฮีมเอ๋ย ท่านทำเช่นนี้จริง ๆ ใช่ไหม?
๖๓. อิบรอฮีมเขากล่าวว่า หามิได้ ข้าพเจ้ามิได้ทำ แต่ใหญ่ที่สุดของพวกเทวรูปเหล่านั้นนี่แหละที่กระทำ พวกท่านจงถามพวกเทวรูปเล็ก ๆ เหล่านั้นดูสิ ถ้าพวกนั้นพูดได้ เมื่อพวกเขาเคารพนับถือบูชาเทวรูปเหล่านั้นว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้าผู้อำนวยประโยชน์และให้อันตรายแก่ผู้อื่นได้ ปัญหาแค่นี้ก็ไม่หนักหนาอันใดนัก จงสอบถามดูก็น่าจะรู้ว่าเหตุไรตัวของเทวรูปเองจึงพังทลายแตกหักไม่มีชิ้นดีเช่นนั้น บางทีพวกเทวรูปเหล่านั้นก็คงจะตอบได้กระมัง ในฐานะที่เป็นพระเจ้าในความคิดของพวกเขา


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 64 - 68


คำแปลR1.
64. So they turned to themselves and said: "Verily, you are the Zalimun (polytheists and wrong-doers)."
65. Then they turned to themselves (their first thought and said): "Indeed you [Ibrahim (Abraham)] know well that these (idols) speak not!"
66. [Ibrahim (Abraham)] said: "Do you then worship besides Allah, things that can neither profit you, nor harm you?
67. "Fie upon you, and upon that which you worship besides Allah! Have you then no sense?"
68. They said: "Burn him and help your Aliha (Gods), if you will be doing."


คำแปล R2.
64. จากนั้นพวกเขา(ที่กราบไหว้เทวรูป)ก็(นำความคิด)กลับมาสู่ตัวเองแล้วก็กล่าว(ซัดทอดกันเอง)ว่า “แท้จริงพวกท่านทั้งหลายเป็นผู้ฉ้อฉลเอง(หาใช่ผู้ใดไม่)”
65. หลังจากนั้นพวกเขาถูกพลิกศีรษะกลับ(มาสู่ความหลงผิด พร้อมกับกล่าวว่า “(โอ้อิบรอฮีม) เจ้าทราบดีอยู่แล้วว่าพวก(เทวรูป)เหล่านี้ไม่สามารถพูดได้(แล้วทำไมเจ้าจึงใช้ให้พวกเราถามมัน)”
66. อิบรอฮีมกล่าวว่า “แล้วพวกท่านยังจะทำการกราบไหว้นอกเหนือจากอัลเลาะฮฺ สิ่งที่ไม่อำนวยประโยชน์และไม่ทำอันตรายใด ๆ แก่พวกท่านเลยแม้สักเพียงกรณีเดียวกระนั้นหรือ”
67. “ช่างอัปลักษณ์เสียจริงสำหรับพวกท่าน ในสิ่งที่พวกท่านนมัสการนอกเหนือจากอัลเลาะฮฺ แล้วไฉนพวกท่านจึงไม่ใช้ปัญญาไตร่ตรอง”
68. (เมื่อพวกนั้นหมดหนทางโต้ตอบ หัวหน้าของ) พวกเขาได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงเผาเขาเสียเถิด และพวกท่านจงช่วยพระเจ้าของพวกท่านไว้(ให้พ้นจากการประณามของอิบรอฮีม) หากพวกท่านมุ่งกระทำ(การช่วยนั้น)


คำแปล R3.
64. ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหันกลับมายังตัวของพวกเขาเองและพวกเขาได้กล่าว (กับตัวเอง) ว่า “แน่นอนพวกท่านเองนั่นแหละที่ผิด”
65. แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เกิดความคิดวิปลาสขึ้นมาและพวกเขาได้กล่าวว่า “เจ้าก็รู้ว่าพวกมันพูดไม่ได้”
66. อิบรอฮีมจึงกล่าวว่า “ถึงกระนั้นพวกท่านก็ยังละทิ้งอัลลอฮฺและสักการะบูชาสิ่งอื่นที่ไม่อาจยังคุณให้โทษใด ๆ แก่พวกท่านกระนั้นหรือ ?
67. ไม่ได้เรื่องทั้งพวกท่านและสิ่งที่พวกท่านสักการบูชานอกไปจากอัลลอฮฺอย่างนี้แล้ว พวกท่านยังไม่ใช้สติปัญญาอีกหรือ ?”
68. พวกเขาจึงกล่าวว่า “จงเผาเขาทั้งเป็นและแก้แค้นแทนพระเจ้าของพวกท่านถ้าหากพวกท่าต้องการจะทำ”


คำแปล R4.
64. ดังนั้น พวกเขาก็กลับมาคิดถึงตัวของพวกเขาเอง แล้วกล่าวขึ้นว่าแท้จริงพวกท่านนั่นแหละเป็นผู้อธรรม
65. ครั้นแล้วศีรษะของพวกเขาก็ก้มลงมา(อยู่ในสภาพคอตก) แล้วกล่าวว่า ท่านก็รู้ดีอยู่แล้วว่ารูปปั้นเหล่านั้นพูดไม่ได้
66. เขากล่าวว่าพวกท่านเคารพภักดีสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ ที่มันไม่ให้คุณแก่พวกท่านและไม่ให้โทษแก่พวกท่านแต่อย่างใดเลย กระนั้นหรือ
67. เป็นที่น่ารังเกียจแก่พวกท่าน และสิ่งที่พวกท่านเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮฺ พวกท่านไม่มีสติปัญญาหรือ?
68. พวกเขากล่าวว่า จงเผาเขาเสีย และจงช่วยเหลือพระเจ้าทั้งหลายของพวกท่าน หากพวกท่านจะกระทำเช่นนั้น


คำแปล R5.
๖๔. แล้วพวกเขาก็ย้อนกลับมาคิดถึงตัวของพวกเขาเองโดยเริ่มตริตรองถึงตัวเองที่ได้ทำการกราบไหว้บูชาเทวรูปเหล่านั้นมาเป็นเวลาอันช้านาน ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นไม่มีอำนาจแม้แต่การป้องกันตนเองให้พ้นจากการถูกทำลาย และที่พวกเขาหลงกราบไหว้บูชาอยู่นั้น พวกเขาจะได้รับการปกป้องและได้รับการช่วยเหลือได้อย่างไร ? และเมื่อพวกเขาคิดได้เช่นนั้นพวกเขาก็กล่าวแก่กันและกันว่า แท้จริงพวกท่านเป็นผู้ทุจริตต่อสัจธรรมด้วยการกราบไหว้เทวรูปเหล่านั้น อันเป็นการหลงงมงายที่แสดงถึงความโง่เขลาเป็นอย่างยิ่ง
๖๕. แต่แล้ว หลังจากนั้นพวกเขาก็พลิกลงบนศีรษะของพวกเขา โดยหวนกลับไปสู่ความดื้อรั้นตามเดิม และพวกเขาได้กล่าวกับอิบรอฮีมว่า ที่จริงท่านก็ทราบว่าบรรดาเทวรูปเหล่านี้พูดไม่ได้ แล้วเพราะเหตุใดเล่าท่านจึงใช้ให้เราถามเทวรูป
๖๖.อิบรอฮีม เขากล่าวกับพวกนั้นว่า แล้วพวกท่านทั้งหลายยังจะกราบไหว้พระเจ้าอื่น ๆ นอกจากอัลเลาะห์อีกหรือ ทั้งที่พระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกท่านแม้แต่สิ่งเดียว และไม่ให้โทษแก่พวกท่านอีกด้วย
๖๗. เป็นที่น่ารังเกียจยิ่งสำหรับพวกท่านที่ได้อุปโลกน์สิ่งเหล่านั้นขึ้นเป็นพระเจ้ากราบไหว้ และเป็นที่น่ารังเกียจยิ่ง สำหรับสิ่งที่พวกท่านกราบไหว้อันนอกเหนือไปจากอัลเลาะห์ แล้วพวกท่านไม่พิจารณาดอกหรือ ว่า บรรดาเทวรูปเหล่านั้นไม่สมควรและไม่มีสิทธิที่จะได้รับการกราบไหว้จากใคร ๆ ทั้งสิ้น ตามเหตุผลที่พวกท่านก็ได้ตริตรองมาบ้างแล้ว แต่พวกท่านก็ลืมเหตุผลนั้นเสียโดยสิ้นเชิง
๖๘. พวกเขาได้กล่าวแก่กันและกันว่า ท่านทั้งหลายจงเผาเขาเสียเถิด อย่าให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลยเนื่องเขาเป็นอันตรายต่อพระเจ้าของเราอย่างยิ่งยวด และท่านทั้งหลายต้องช่วยเหลือบรรดาพระเจ้าของพวกท่านให้พ้นจากการทำลายและการลบหลู่สบประมาทจากอิบรอฮีมถ้าพวกท่านเป็นผู้กระทำการช่วยเหลือแก่พระเจ้าต่าง ๆ นั้น แล้วพวกเขาก็จัดการรวบรวมไม้ฟืนมากองสุมเป็นพะเนินสูงใหญ่ จุดไฟจนลุกโชติช่วงดีแล้วพวกเขาก็จัดการดีดตัวอิบรอฮีมเข้าสู่กองไฟด้วยอาวุธชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “มันยะนึก” ปกติอาวุธชนิดนี้เขาจะใช้ยิงลูกหินในสนามรบ อิบรอฮีมอยู่ในกองไฟ ๗ วัน ฟืนที่พวกเขานำมากองไว้นั้น พวกเขาต้องหาถึง  ๑ เดือน และจุดไฟทิ้งไว้ล่วงหน้า ๗ วัน เพื่อให้ความร้อนแรงได้ที่จริง ๆ ขณะนั้นอิบรอฮีมมีอายุประมาณ ๑๖ ปี ขณะที่ท่านอยู่ในกองไฟ ปรากฏเป็นปาฏิหาริย์โดยการบันดาลของอัลเลาะห์ให้มีตาน้ำจืดไหลพุ่งอยู่ตลอดเวลา มีสวนดอกไม้อันรื่นรม ฝ่ายนัมรู๊จ เขาอยู่บนปราสาท และเมื่อเขามองลงมาที่กองไฟแทนที่จะเห็นอิบรอฮีมถูกไฟเผาผลาญกลับเห็นอิบรอฮีมนั่งสบายอยู่บนเก้าอี้และมีมลาอิกะห์แปลงร่างเป็นคนธรรมดาคอยปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 69 - 73


คำแปลR1.
69. We (Allah) said: "O Fire! Be you coolness and safety for Ibrahim (Abraham)!"
70. And they wanted to harm him, but we made them the worst losers.
71. And we rescued him and Lout (Lot) to the land which we have blessed for the 'Alamin  (mankind and jinns).
72. And we bestowed upon him Ishaque (Isaac), and (a grandson) Ya'qub (Jacob). Each one we made righteous.
73. And we made them leaders, guiding (mankind) by Our Command, and we inspired in them the doing of good deeds, performing Salat (Iqamat-as-Salat), and the giving of Zakat and of us (alone) they were worshippers.


คำแปล R2.
69. เราจึงรับสั่ง(แก่ไฟ)ว่า “โอ้ไฟ เจ้าจงเย็นเถิดและจงเป็นความสงบสุขแก่อิบรอฮีม”
70. และพวกเขาปรารถนาแผนการทำลายอิบรอฮีม แด่เราก็ดลบันดาลให้พวกเขาเป็นพวกที่ขาดทุน
71. และเราได้ยังความปลอดภัยแก่เขา และแก่ลู๊ฏ (โดยให้เดินทางไป)สู่แผ่นดินที่เรายังความจำเริญในนั้นแก่ชาวโลกทั้งมวล
72. และเราได้ให้(บุตร คือ)อิสหากแก่เขา และ(หลาน คือ) ยะอ์กู๊บเป็นของแถม และทั้งหมดนั้นเราได้บันดาลให้เป็นคนดี(ในตำแหน่งศาสดา)
73. และเราได้บันดาลพวกเขาให้เป็นผู้นำ(มวลชน) ซึ่งพวกเขาชี้นำ(สู่ทางสัจธรรม) โดยคำบัญชาของเรา และเราได้ดลมายังพวกเขาให้กระทำแต่ความดี, ให้ดำรงการละหมาด, และให้บริจาคทานซะกาตและพวกเขาเป็นผู้นมัสการต่อเรา


คำแปล R3.
69.   ดังนั้นเราจึงได้บัญชาว่า “ไฟเอ๋ยจงเย็นลงและเป็นที่ปลอดภัยสำหรับอิบรอฮีม”
70.   และพวกเขาตั้งใจจะทำร้ายอิบรอฮีม แต่เราได้ทำให้แผนการร้ายของเขาต้องล้มเหลว
71.   และเราได้นำเขาและลูฏออกมาอย่างปลอดภัยยังแผ่นดินที่เราได้ทำให้ในนั้นเป็นที่จำเริญสำหรับผู้คนทั้งหมดของโลก
72.   และเราได้ประทานอิสฮากแก่เขาและยะกู๊บเป็นการเพิ่มเติม และเราได้ทำให้พวกเขาแต่ละคนเป็นผู้มีคุณธรรม
73.   เราได้แต่งตั้งพวกเขาเป็นผู้นำที่นำทางคนอื่นโดยคำบัญชาของเรา และเราได้วะฮีย์แก่พวกเขาให้ทำการดีทั้งหลายและดำรงนมาซและจ่ายซะกาต และพวกเขาทั้งหมดเคารพภักดีเรา


คำแปล R4.
69. เรา (อัลลอฮฺ) กล่าวว่า ไฟเอ๋ย จงเย็นลง และให้ความปลอดภัยแก่อิบรอฮีมเถิด
70. และพวกเขาปราถนาที่จะวางแผนร้ายแก่เขา แต่เราได้ทำให้พวกเขาประสบกับความสูญเสียมากยิ่งกว่า
71. และเราได้ให้เขา (อิบรอฮีม) และลูฏ (หลายชาย-ลูกของพี่ชาย) รอดพ้นไปสู่แผ่นดินซึ่งเราได้ให้มีความจำเริญอุดมสมบูรณ์ในแผ่นดินนั้นแก่บรรดาชาติต่าง ๆ
72. และเราได้ให้บุตรชื่ออิสฮากแก่เขา และยะอฺกูบ (หลาน) เป็นการเพิ่มพูน และทั้งหมดนั้นเราได้ให้เป็นคนดีมีคุณธรรม
73. และเราได้แต่งตั้งพวกเขาให้เป็นผู้นำเพื่อชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องโดยคำสั่งของเรา และเราได้วะฮีแก่พวกเขาให้ปฏิบัติความดี และธำรงการละหมาด แล้วบริจาคทานซะกาต และพวกเขาก็เป็นผู้เคารพภักดีต่อเราเท่านั้น


คำแปล R5.
๖๙. เรา (อัลเลาะห์) ได้บัญชาแก่ไฟว่า ไฟเอ๋ย เจ้าจงเปลี่ยนจากร้อนมาเป็นความเย็นและความสันติแก่อิบรอฮีมเถิด ซึ่งไฟก็รับบัญชา โดยไม่มีความร้อนที่จะเผาผลาญอิบรอฮีมมีแต่ความสว่างอย่างเดียว ส่วนเปลวไฟจะเผาผลาญแต่เฉพาะไม้ฟืนกับเชือกที่มัดเท่านั้น นัมรู๊จ เจ้าผู้ครองนครได้เฝ้าสังเกตเหตุการณ์ของอิบรอฮีมติดต่อกันมาจนครบ ๗ วัน ได้เห็นสภาพของอิบรอฮีมเช่นนั้น จึงปล่อยตัวอิบรอฮีมให้เป็นอิสระ และเขารำพึงว่า “อิบรอฮีมเอ๋ย พระเจ้าของท่าน ประเสริฐกว่าพระเจ้าของเรามากนัก”
๗๐. และบรรดาพวกเหล่านั้นได้มุ่งมาดที่จะใช้เล่ห์กลกับเขา (อิบรอฮีม) เพื่อทำลายชีวิตของเขาให้สิ้นไปจากโลกนี้ แต่แล้วเรา (อัลเลาะห์) ก็ได้บันดาลให้พวกเขาเป็นผู้ขาดทุนเสียเอง โดยไม่สามารถทำลายชีวิตของอิบรอฮีมได้ และพวกเขาต้องมีอันเป็นไปและล้มตายจนหมดสิ้น โดยที่พวกเขามีแต่ความหยิ่งผยอง คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่เหลือเกิน อัลเลาะห์จึงตอบแทนแก่พวกเขาอย่างสาสมด้วยการทำลายชีวิตของพวกเขาด้วยสัตว์ตัวเล็ก ๆ คือแมลงหวี่ โดยส่งมันมากินเนื้อดูดเลือดของพวกเขา และมีตัวหนึ่งที่เข้าไปในสมองของนัมรู๊จและชอนไชอยู่ในนั้น สร้างความปวดร้าวอันแสนทรมานแก่นัมรู๊จ จนเขาถึงแก่ความตาย
๗๑. และเราได้ประทานแก่เขา (อิบรอฮีม) และลู๊ต ได้พ้นภัยจากเมืองอิร๊อคสู่แผ่นดินชาม ซึ่งเราได้ประทานความศิริมงคลในนั้นแก่ชาวโลกทั้งมวล ในประเทศชามหรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ซีเรีย” เป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ ประกอบด้วยแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกและมีพืชพันธุ์ต่าง ๆ อันมากมาย และเราให้ลู๊ต บุตรของฮารอนผู้เป็นพี่น้องของอิบรอฮีม และซาเราะห์ผู้เป็นภรรยาของอิบรอฮีมได้ออกเดินทางจากประเทศอิรัค เพื่อลี้ภัยจากฝ่ายศัตรูที่เคยรุกรานมิให้เผยแผ่ศาสนา และเพื่อความปลอดภัยในการประกอบการภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ทั้งหมดเดินทางมาถึง “ฮัรรอน” พักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง จากนั้นก็ออกเดินทางมุ่งสู่ “อียิปต์” แล้วย้อนกลับมาที่ “ชาม” และท่านนบีอิบรอฮีมได้พักอยู่ที่ “ฟิลัศตีน” ส่วนลู๊ตพักอบู่ที่ “มุอฺตะฟิกะฮ์” ระยะทางของตำบลทั้งสองใช้เวลาเดินทางถึงกันประมาณวันกับคืนหนึ่ง
๗๒. และเราได้ประทานแก่เขา (อิบรอฮีม) บุตรคนหนึ่งชื่อ อิสฮ๊าก และ หลานคนหนึ่งชื่อ ยะกู๊บ เป็นของแถมอันเกินไปกว่าที่อิบรอฮีมเคยขอไว้ และทุกคนนั้นเราได้บันดาลให้พวกเขาเป็นคนดี โดยให้แต่ละท่านได้เป็นศาสนทูตประกาศสัจธรรมของอัลเลาะห์ นับแต่ท่านที่ระบุนามไว้ในอายะห์ จวบจนลูกหลานเหลนเรื่อยลงมาจนถึงท่านศาสดาองค์สุดท้าย คือท่านนบีมุฮำมัด
๗๓. และเราได้บันดาลพวกเขาให้เป็นผู้นำซึ่งทำการชี้นำแก่มวลชนในแต่ละยุคสมัยด้วยคำบัญชาของเรา พวกศาสนทูตทั้งหลายทำหน้าที่เรียกร้องเชิญชวนและประกาศให้มนุษย์ทั้งหลายในยุคของตนได้ศรัทธาต่อศาสนาของอัลเลาะห์และให้มีการประพฤติแต่ความดีงาม ซึ่งหน้าที่ที่ศาสนทูตได้กระทำไปนั้น เป็นไปโดยคำบัญชาของอัลเลาะห์ทั้งสิ้น และเราได้ดลโองการแก่พวกเขาให้กระทำความดีต่าง ๆ และให้ดำรงการละหมาดไว้และให้บริจาคทานซะกาต และพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้กราบไหว้ต่อเราอย่างเคร่งครัดทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดละเมิดคำบัญชาของเรา และเนรคุณต่อเรา พวกเขามีแต่ความนอบน้อม สวามิภักดิ์ ไม่มีความดื้อรั้นถือดี และไม่ละเลยต่อการภักดีและกราบไหว้


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 74 - 80
 

คำแปลR1.
74. And (remember) Lout (Lot), we gave him Hukman (right judgment of the affairs and Prophet hood) and (religious) knowledge, and we saved him from the town (folk) who practised Al-Khaba'ith (evil, wicked and filthy deeds, etc.). Verily, they were a people given to evil, and were Fasiqun (rebellious, disobedient, to Allah).
75. And we admitted him to Our Mercy, truly, he was of the righteous.
76. And (remember) Nuh (Noah), when he cried (to Us) aforetime. We listened to his invocation and saved him and his family from great distress.
77. We helped him against people who denied Our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.). Verily, they were a people given to evil. So we drowned them all.
78. And (remember) Dawud (David) and Sulaiman (Solomon), when they gave judgment in the case of the field in which the sheep of certain people had pastured at night and we were witness to their judgment.
79. And we made Sulaiman (Solomon) to understand (the case), and to each of them we gave Hukman (right judgment of the affairs and Prophethood) and knowledge. and we subjected the mountains and the birds to glorify Our praises along with Dawud (David), and it was we who were the doers (of all these things).
80. And we taught him the making of metal coats of mail (for battles), to protect you in your fighting. Are you then grateful?


คำแปล R2.
74. และเราได้มอบวิทยญาณและความรอบรู้แก่ลู๊ฏ และยังความปลอดภัยแก่เขาให้พ้นจาก(ภัยพิบัติที่ประสบแก่)เมือง(โซดอม) ซึ่งมีการประกอบสิ่งอนาจารอย่างมากมาย แท้จริงพวกเหล่านั้นล้วนเป็นกลุ่มชนแห่งความชั่วช้า ที่มีแต่ความทรยศ
75. และเราได้ให้เขาเข้ามาสู่ความเมตตาธรรมของเรา แท้จริงเขาเป็นผู้หนึ่งจากกลุ่มคนดี
76. และ(จงระลึกเถิดถึงประวัติของนบี)นูห์ เมื่อเขาได้วิงวอน(ต่อเรา)มาก่อนหน้า(บรรดานบีเหล่านั้น)แล้วเราก็สนองตอบคำวิงวอนของเขา ดังนั้นเราจึงดลบันดาลความปลอดภัยแก่เขา และครอบครัว(ที่ประพฤติตามคำสั่ง)ของเขา ให้พ้นจากภัยพิบัติอันมหันต์ (คือมหาอุทกภัย)
77. และเราได้ช่วยเขาให้พ้นจากกลุ่มชนที่ว่าโองการต่าง ๆ ของเรามุสา แท้จริงพวกเขานั้นเป็นกลุ่มชนที่ชั่วช้า ดังนั้นเราจึงให้พวกเขาทั้งหมดจมน้ำ(ทะเล)ตาย
78. และ(จงระลึกถึงประวัติของนบี)ดาวุดและสุลัยมาน เมื่อเขาทั้งสองตัดสินในกรณีที่เกี่ยวกับพืชไร่ เมื่อฝูงแกะของกลุ่มชน(ของเขา)ได้พลัดเข้าไปหากินในนั้นในเวลากลางคืน และเราได้เป็นสักขีพยาน(รับรอง)การตัดสินของเขาทั้งสองแล้ว(ว่าถูกต้อง)
79. แล้วเราได้ให้ความเข้าใจใน(หลักการตัดสิน)นั้นแก่สุลัยมาน และทั้งหมด(ทั้งสองคน)นั้น เราได้ให้ความเชี่ยวชาญ(ในการตัดสิน)และความรอบรู้(อันมากมาย) และเราได้อำนวยการให้ผู้เขาและนกทำการแซ่ซร้องสดุดีพระบพิตรธิคุณ(แด่อัลเลาะห์)พร้อม ๆ กับดาวุด และเราเป็นผู้กระทำ(สิ่งเหล่านั้นโดยลำพัง ไม่ได้พึ่งอาศัยใครทั้งสิ้น)
80. และเราได้สอนเขาให้รู้วิธีทำเสื้อเกราะสำหรับพวกเจ้า เพื่อมันจะได้เป็นเกราะกำบังพวกเจ้าในการสู้รบของพวกเจ้า(กับฝ่ายศัตรู) แล้วพวกเจ้าได้กตัญญูแล้วหรือ


คำแปล R3.
74.   และเราได้ประทานการตัดสินและความรู้แก่ลูฏและช่วยเขาให้พ้นจากมืองที่กระทำความชั่วช้าลามกต่าง ๆ แท้จริง พวกเขาเหล่านั้นเป็นหมู่ชนที่ชั่วช้าและฝ่าฝืน
75.   และเราได้รับลูฏเข้าสู่ความเมตตาของเรา แท้จริงเขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้มีคุณธรรม
76.   และเราได้ประทานความโปรดปรานเช่นเดียวกันนี้แก่นูฮฺ เมื่อเขาได้วิงวอนต่อเรา ก่อนหน้านบีเหล่านั้นเราได้ยินคำวิงวอนของเขาและเราได้ช่วยเขาและคนในครอบครัวของเขาให้พ้นจากความหายนะอันยิ่งใหญ่
77.   และเราได้ช่วยเขาจากหมู่ชนที่ถือว่าอายะฮฺทั้งหลายของเราเป็นเท็จ แท้จริง พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนชั่ว ดังนั้นเราจึงได้ทำให้พวกเขาทั้งหมดจมน้ำตาย
78.   และเราได้ประทานความโปรดปรานเช่นเดียวกันนี้แก่ดาวูดและสุลัยมานเมื่อตอนที่เขาทั้งสองกำลังตัดสินกรณีเรื่องสวนที่แกะฝูงหนึ่งหลงเข้าไปในตอนกลางคืนและเราเองได้เฝ้ามองการตัดสินเรื่องนี้อยู่
79.   ในตอนนั้นเราได้ดลใจให้สุลัยมานตัดสินใจได้ถูกต้อง ถึงแม้ว่าเราได้ประทานวิทยปัญญาและความรู้แก่เขาทั้งสองแล้วก็ตาม และเราได้ทำให้ภูเขาและนกร่วมกับดาวูดในการสดุดีสรรเสริญเรา เราเองที่ได้ทำสิ่งเหล่านี้
80.   และเราได้สอนเขาถึงการทำเสื้อเกราะเพื่อสูเจ้า ทั้งนี้เพื่อที่สูเจ้าจะได้ป้องกันตัวเองจากความรุนแรงของผู้อื่น แล้วสูเจ้าจะขอบคุณไหม ?


คำแปล R4.
74. และลูฏนั้นเราได้ให้การเป็นนะบี และวิชาความรู้แก่เขา และเราได้ให้เขารอดพ้นจากหมู่บ้านนั้น ซึ่งชาวบ้านได้กระทำความชั่ว แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนที่ชั่วช้าและฝ่าฝืน
75. และเราได้ให้เขาเข้าอยู่ในความเมตตาของเรา แท้จริงเขาเป็นคนหนึ่งในหมู่คนดี
76. และจงรำลึกถึงเรื่องราวของนูห์ เมื่อเขาได้ร้องเรียน (ต่ออัลลอฮ์) ก่อนหน้านี้ แล้วเราได้ตอบรับการร้องเรียกแก่เขา และเราได้ช่วยให้เขาและพรรคพวกของเขา รอดพ้นจากความทุกข์ระทมอันใหญ่หลวง
77. และเราได้ช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากหมู่ชนที่ปฏิเสธต่อโองการของเรา แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนที่ชั่วช้า แล้วเราได้ให้พวกเขาทั้งหมดจมน้ำตาย
78. และจงรำลึกถึงเรื่องราวของดาวูดและสุลัยมาน เมื่อเขาทั้งสองได้ตัดสินใจเรื่องไร่นาเมื่อฝูงแกะของชนหมู่หนึ่งได้หลบเข้าไปกินพืชในเวลากลางคืน และเราเป็นพยานต่อการตัดสินของพวกเขา
79. ดังนั้น เราได้ดลใจให้สุลัยมานเข้าใจการตัดสินนั้น และเราได้ให้ความเฉลียวฉลาดและวิชาความรู้ที่หลักแหลมแก่แต่ละคน และเราได้ทำให้ภูเขาและนกแซ่ซ้องสดุดีร่วมกับดาวูด และเราเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้
80. และเราได้สอนเขาให้รู้การทำเสื้อเกราะแก่พวกเจ้า เพื่อป้องกันเจ้าจากการรบพุ่งกัน แล้วพวกเจ้าจะเป็นผู้กตัญญูขอบคุณบ้างไหม?


คำแปล R5.
๗๔. และเราได้ประทานวิทยาทานในการตัดสินข้อพิพาทระหว่างประชาชนในสมัยนั้น และความรอบรู้ในสรรพวิชาการต่าง ๆ แก่ลู๊ต และเราได้ให้เขาปลอดภัยจากความชั่วร้ายและภัยพิบัติอันประสบแก่ชาวเมืองซึ่งประพฤติแต่ความลามก ชาวเมืองมุอฺตะกิฟะฮ์ที่ลู๊ตพำนักอยู่นั้นได้ประพฤติแต่ความชั่วช้าลามกต่าง ๆ เช่น ร่วมเพศกันทางเวจมรรคระหว่างชายกับชาย การผายลมในที่ชุมชน จับนกทรมานเล่น ดักยิงผู้เดินทางที่ผ่านมาและอื่น ๆ อีกมากมาย ลู๊ตได้พยายามห้ามพวกนั้นอยู่เสมอ แต่หามีใครเชื่อฟังไม่ อัลเลาะห์จึงได้ลงโทษพวกเขา แท้จริงพวกเขาเป็นชุมชนอันชั่วช้าผู้ละเมิดต่อบทบัญญัติของอัลเลาะห์ ไม่แสดงการภักดีต่อพระองค์ และประพฤติการอันฝ่าฝืนต่อคำบัญชาของพระองค์
๗๕. และเราได้ให้เขา (ลู๊ต) เข้ามาอยู่ในเมตตาธรรมของเรา โดยสำรองสวรรค์ให้แก่เขา ทั้งนี้เพราะแท้จริงเขาเป็นคนหนึ่งจากบรรดาข้าทาสที่ดีของเรา ซึ่งเราได้กำหนดให้เขาเป็นผู้เปี่ยมด้วยความดีงามมาแต่เดิม และลู๊ตก็เป็นผู้หนึ่งที่ประพฤติแต่ความภักดี รับคำบัญชาและงดเว้นคำห้ามของอัลเลาะห์โดยเคร่งครัดและสม่ำเสมอ
๗๖. โอ้มุฮำมัด และเจ้าจงระลึกถึงประวัติของนบีนูห์ เมื่อเขาได้วิงวอน ต่อพระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่ยุคก่อนเจ้า และก่อนอิบรอฮีม เพื่อให้พระองค์ได้ทำลายพวกพ้องของเขาที่ไม่ยอมเชื่อมั่นในพระองค์ ที่พระองค์ได้เตือนว่า พระองค์จะต้องลงโทษพวกเขาอย่างแน่นอน และหลักพระธรรมที่นบีนูห์ได้นำมาประกาศเผยแผ่แก่พวกเขา พวกเขาก็ปฏิเสธสิ้นเชิง ท่านนบีนูห์จึงวิงวอนต่อพระองค์ว่า “โอ้พระเจ้า โปรดอย่าปล่อยให้ผู้เนรคุณหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินนี้เลย” แล้วเราก็สนองตอบเขาตามคำวิงวอนนั้น ดังนั้นเราจึงให้เขาและคณะของเขาได้ปลอดภัยจากอันตรายอันยิ่งใหญ่โดยบันดาลให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ บรรดาผู้เนรคุณจมน้ำตายหมด ส่วนผู้ที่เชื่อถือนบีนูห์ได้อาศัยอยู่ในเรือร่วมกับนบีนูห์ ก็ได้รับความปลอดภัยทุกประการ
๗๗. และเราได้ช่วยเขา (นูห์) ให้มีชัยชนะเหนือกลุ่มชนที่ปฏิเสธในสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของเรา หมายถึงเหตุผลและหลักฐานต่าง ๆ ที่แสดงถึงสัจธรรมที่นูห์ได้นำมาประกาศ แท้จริงพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ชั่วช้า ดังนั้น เราจึงให้พวกเขาจมน้ำตายจนหมดสิ้น เล่ากันว่าท่านนบีนูห์เริ่มประกาศเผยแผ่หลักธรรมเมื่ออายุ ๔๐ ปี ท่านอยู่ในชุมชนของท่าน ๙๕๐ ปี และหลังจากมหาอุทกภัยครั้งนั้น ท่านยังมีชีวิตต่อไปอีก ๖๐ ปี ศิริอายุของท่านจึงรวมเป็น ๑,๐๕๐ ปี
๗๘. โอ้มุฮำมัด และจงระลึกถึงประวัติของดาวุดและสุไลมาน เมื่อเขาทั้งสองร่วมกันตัดสินกรณีพิพาทในไร่พืชเมื่อฝูงแพะของชุมชนนั้นได้ลอบเข้ามาหากินในนั้นในเวลากลางคืนได้ โดยไม่มีผู้เลี้ยงคอยควบคุมมัน และมันได้เข้ามากินพืชไร่นั้นในเวลากลางคืน และเราเป็นสักขีพยานแก่การตัดสินพวกเขา โดยคนทั้งสอง กล่าวคือมีชายสองคนได้มาหาท่านนบีดาวุด คนหนึ่งเป็นเจ้าของไร่และอีกคนหนึ่งเป็นเจ้าของแพะ ทั้งสองได้ยกกรณีพิพาทระหว่างกันให้ท่านนบีดาวุดตัดสิน โดยฝ่ายเจ้าของไร่แจ้งข้อหาว่า ชายเจ้าของแพะแกล้งปล่อยฝูงแพะให้เข้าไปกินพืชในไร่ของตนเสียหายหมด เป็นการจงใจทำลายทรัพย์สินของเขา ท่านนบีดาวุดจึงตัดสินไปในทันทีทันใดว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้ากลับไปได้แล้ว ข้าตัดสินให้ฝูงแพะของคนนั้นเป็นของเจ้า “เมื่อเจ้าของเดิมกลับบ้านได้พบกับนบีสุไลมานซึ่งอายุเพียง ๑๑ ปี เขาจึงเล่าให้นบีสุไลมานฟัง นบีสุไลมานจึงขึ้นมาพบกับนบีดาวุดและทักท้วงว่า “ท่านนบีของอัลเลาะห์ การตัดสินที่ถูกต้องจะต้องเป็นไปอย่างอื่น ไม่ใช่แบบที่ท่านได้ตัดสินลงไปหรอก” นบีดาวุดถามว่า “และจะตัดสินอย่างไร?” นบีสุไลมานตอบว่า “ให้มอบฝูงแพะแก่เจ้าของไร่เป็นการชั่วคราว เพื่อเจ้าของไร่จะได้รับประโยชน์จากแพะฝูงนั้น ส่วนเจ้าของแพะก็ให้ไปทำไร่นั้นจนกว่าไร่จะฟื้นงอกงามในระดับเดียวกับที่ถูกทำลาย ก็ให้เจ้าของไร่ส่งคืนฝูงแพะแก่เจ้าของเดิมของมัน และเจ้าของแพะก็มอบไร่นั้นแก่เจ้าของเดิม เพื่อเก็บเกี่ยวประโยชน์อันพึงได้ต่อไป” เมื่อท่านนบีดาวุดได้รับฟังเช่นนั้น ท่านก็ยกเลิกคำตัดสินเดิมของท่าน และใช้คำตัดสินของนบีสุไลมานแทน
๗๙. แท้จริงเราได้ประทานความเข้าใจในการพิพากษาชี้ขาดแก่สุไลมานในเรื่องขัดแย้งดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งดาวุดก็หันมาใช้คำพิพากษาของสุไลมานแทนคำพิพากษาเดิมของตน และแก่คนทั้งสองนั้น เราได้ประทานวิทยญาณและความรอบรู้แก่เขาอย่างกว้างขวางในกิจการศาสนาและกิจการทางโลกและเราได้บังคับภูเขาและนกให้สดุดีพระวิสุทธิคุณแห่งพระองค์อัลเลาะห์พร้อมกับดาวุด เพราะดาวุดได้ใช้ให้ภูเขาและนกร่วมกันสดุดีเมื่อท่านอ่อนเพลีย เพื่อท่านจะได้กระฉับกระเฉงในการกล่าวสดุดี และเราย่อมเป็นผู้กระทำได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ว่านี้หรือกรณีอื่น ๆ ก็ตาม ทุกสิ่งที่เราประสงค์จะกระทำย่อมสำเร็จเสมอ ไม่มีสิ่งใดขัดขืนได้
๘๐. และเราได้สอนเขา (ดาวุด) ถึงวิธีการทำเสื้อเกราะสำหรับพวกเจ้าทั้งมวล เพื่อเราจะได้ป้องกันพวกเจ้าให้พ้นไปจากอันตรายของพวกเจ้า ในขณะออกทำสงคราม แล้วพวกเจ้าทั้งหลายได้ขอบคุณในความกรุณาของเรานั้นหรือ ? เจ้าทั้งหลายจักต้องขอบคุณเราในการที่เราได้ดลให้ดาวุดได้รู้จักการทำเสื้อเกราะป้องกันตนเองเป็นคนแรก โดยแต่ก่อนนั้นยังไม่มีใครคิดทำขึ้นเลย ถ้าจะมีอยู่บ้างก็เพียงแต่ใช้เหล็กเป็นแผ่น ๆ มาผูกติดกับร่างกาย ตั้งแต่ดาวุดเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ มนุษย์ก็รู้จักทำเสื้อเกราะใช้ จนพวกเจ้าทั้งหลายเองก็ตาม


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอ์ อายะฮฺที่ 81 - 86


คำแปลR1.
81. And to Sulaiman (Solomon) (We subjected) the wind strongly raging, running by his command towards the land which we had blessed. And of everything we are the All-Knower.
82. And of the Shayatin (devils) (from the jinns) were some who dived for him, and did other work besides that; and it was we who guarded them.
83. And (remember) Ayub (Job), when he cried to his Lord: "Verily, distress has seized me, and you are the Most Merciful of Aall those who show mercy."
84. So we answered his call, and we removed the distress that was on him, and we restored his family to him (that he had lost), and the like thereof along with them, as a mercy from ourselves and a reminder for all who worship us.
85. And (remember) Isma’il (Ishmael), and Idris (Enoch) and Dhul-Kifl (Isaiah), all were from among As-Sabirin (the patient ones, etc.).
86. And we admitted them to Our Mercy. Verily, they were of the righteous.


คำแปล R2.
81. และ(เราได้อำนวยการ)แด่สุลัยมาน ให้มีลมที่พัดอย่างรุนแรง มันจะวิ่งไปตามคำสั่งของเขาสู่แผ่นดินที่เราได้ดลความจำเริญในนั้นและเราย่อมรอบรู้เสมอในทุก ๆ สิ่ง
82. และมีมารร้ายบางตนที่อาสาดำน้ำให้แก่เขา(เพื่องมสิ่งมีค่าใต้ท้องทะเล) และทำงานอื่นจากนั้นอีก (ตามแต่นบีสุลัยมานจะออกคำสั่ง)และเราได้พิทักษ์พวกเหล่านั้นไว้ (ให้ทำตามคำสั่งของนบีสุลัมานตลอดเวลา)
83. และ(จงระลึกถึงประวัติของนบี)อัยยู๊บ เมื่อเขาได้วิงวอนต่อองค์อภิบาลของเขาว่า “แท้จริงได้มีเภทภัยมาสัมผัสแก่ข้าพเจ้า และพระองค์เท่านั้นที่ทรงความเมตตายิ่งกว่าบรรดาผู้เมตตาทั้งหลาย”
84. แล้วเราก็สนองตอบคำขอของเขา แล้วเราได้คลี่คลายเภทภัยที่ประสบแก่เขานั้นเสีย และเราได้ให้เขามีครอบครัวของเขา และที่เหมือนกับพวกเขาพร้อมพวกเขา(อีกด้วย) เป็นเมตตาธรรมจากเราและเป็นข้อเตือนใจสำหรับบรรดาผู้น้อมนมัสการ(อัลเลาะฮฺ จะได้นำมาไตร่ตรอง)
85. และ(จงระลึกถึงประวัติของนบี)อิสมาอีล และอิดรีส และซุลกิฟลี ทั้งหมดนั้นเป็นหนึ่งจากกลุ่มบุคคลที่มีขันติธรรม
86.และเราได้ให้พวกเขาเข้าสู่ความเมตตาของเรา แท้จริงพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาคนดีทั้งหลาย


คำแปล R3.
81. และเราได้ให้อำนาจสุลัยมานในการควบคุมลมพายุที่พัดตามคำสั่งของเขาไปยังแผ่นดินที่เราได้ประทานความจำเริญแก่ที่นั่น เราะเรามีความรู้ในทุกสรรพสิ่ง
82. และเราได้ให้อำนาจเขาควบคุมชัยฏอนบางตนที่ดำลงไปในทะเลให้เขาและทำงานอื่น ๆ นอกไปจากนั้นอีก และเราได้เฝ้าดูพวกมันทั้งหมด
83. และ (เราได้ประทานวิทยปัญญาและความรู้เช่นเดียวกันนี้) แก่อัยยูบ เมื่อเขาวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของเขาว่า “ฉันได้รับความทรมานจากโรคภัย และพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตาที่สุดในบรรดาผู้เมตตาทั้งหลาย
84. เราได้ยินคำวิงวอนของเขาและได้ปลดเปลื้องความทรมานไปจากเขา และเราได้ให้ครอบครัวของเขากลับคืนไปยังเขา และมากไปกว่านั้นพร้อมกับพวกเขาด้วยในฐานะเป็นความเมตตาจากเรา ทั้งนี้เพื่อที่มันจะได้เป็นข้อตักเตือนต่อบรรดาผู้เคารพภักดีเรา
85. (และความจำเริญเช่นเดียวกันนี้ก็ได้ถูกประทานแก่) อิสมาอีลและอิดรีส และซุลกิฟล์ เพราะพวกเขาทุกคนเป็นผู้มีขันติธรรม
86. และเราได้รับพวกเขาสู่ความเมตตาของเรา เพราะพวกเขาเป็นผู้มีคุณธรรม


คำแปล R4.
81. และสำหรับสุลัยมาน เราได้ทำให้ลมกลายเป็นพายุ ตามคำบัญชาของเขา ไปยังดินแดนซึ่งเราได้ให้ความจำเริญ ณ ที่นั้น และเราเป็นผู้รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
82. และเราได้ให้ชัยฎอนบางตัวดำน้ำให้สุลัยมาน และพวกเขาทำงานอื่นจากนั้น และเราเป็นผู้คุ้มกันรักษาพวกเขาเหล่านั้น
83. และจงรำลึกถึงเรื่องราวของอัยยูบเมื่อเขาได้ร้องเรียนพระเจ้าของเขาว่า แท้จริงข้าพระองค์นั้น ความทุกข์ยากได้ประสบแก่ข้าพระองค์และพระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทรงเมตตายิ่ง ในหมู่ผู้เมตตาทั้งหลาย
84. ดังนั้น เราได้ตอบรับการร้องเรียนของเขาแล้วเราได้ปลดเปลื้องสิ่งที่เป็นความทุกข์ยากแก่เขา และเราได้ให้ครอบครัวของเขาแก่เขา และเช่นเดียวกับที่เขาได้เคยมีมาก่อน (เช่น บุตรหลานและพวกพ้อง) เป็นความเมตตาจากเรา และเป็นข้อตักเตือนแก่บรรดาผู้ที่เคารพภักดี
85. และจงรำลึกถึงเรื่องราวของอิสมาอีลและอิดรีส และซัลกิฟลิ แต่ละคนอยู่ในหมู่ผู้อดทนขันติ
86. และเราได้ให้พวกเขาเข้าอยู่ในความเมตตาของเรา แท้จริงพวกเขาอยู่ในหมู่คนดีมีคุณธรรม


คำแปล R5.
๘๑. และเราได้บังคับลมให้มันพัดแรงในบางครั้งและพัดเบาในบางครั้ง สำหรับสุไลมานจะใช้มันให้สนองประโยชน์ของเขา ซึ่งลมมันจะพัดไปตามคำสั่งของเขาสู่แผ่นดินซึ่งเราประทานความมิ่งมงคลในนั้น อันได้แก่ประเทศชาม (ซีเรีย) ในวาระใดก็ตาม เมื่อสุไลมานกับเพื่อน ๆ ปรารถนาจะไปทางใด ท่านจะวางกระดานรองนั่งแล้วบรรจุสรรพสัมภาระลงบนกระดานนั้นรวมทั้งตัวท่านเองและเพื่อน ๆ จากนั้นท่านจะสั่งให้ลมพัดนำกระดานรองนั่งนั้นลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วสั่งให้ลมพัดไปตามทิศใดก็ตาม ตลอดเวลาจะมีนกบินเป็นร่มให้ท่านมิให้ท่านร้อนจากเปลวแดด เมื่อถึงจุดหมายท่านก็ลงแล้วเก็บเครื่องมือต่าง ๆ เหล่านั้นไปสู่ที่ที่ท่านประสงค์ และเราเป็นผู้รอบรู้ในทุกสิ่ง ดังนั้นที่เราได้ประทานแก่สุไลมานให้เขาเป็นผู้ปกครองแคว้น, ให้เป็นศาสนทูต, ให้เขาได้เรียกลมมารับใช้เขาตามแต่เขาต้องการ ทั้งหมดที่เราได้ประทานแก่เขาเพราะเรารู้ดีว่ามันเป็นเคล็ดลับและเป็นการสร้างสรรค์อันยังประโยชน์ในด้านการเผยแพร่กิตติคุณของเรา บรรดาพวกพ้องของเขาจะได้สำนึกในพระกรุณาธิคุณของเรา และพวกเขาจะได้แสดงความขอบคุณและคารวะต่อเรา
๘๒. และเราได้บังคับให้มารบางตนมารับใช้สุไลมาน ซึ่งมารที่ยอมตนมารับใช้นั้นเป็นผู้ที่ดำลงไปในทะเลเพื่อสนองคำสั่งของเขา มารนั้นได้ไปเก็บเอาอัญมณีล้ำค่าภายใต้ท้องทะเลขึ้นมาให้เขา และมารนั้นยังยอมปฏิบัติการงานอื่นจากนั้นอีกด้วย เช่นช่วยก่อสร้างค่าย ก่อสร้างปราสาท เป็นต้น และเราเป็นผู้พิทักษ์พวกเขา (มารบางตนนั้น) มิให้ทำความเสียหายในการงานดังกล่าว งานที่พวกมารทำจึงสำเร็จลุล่วงเรียบร้อยสมบูรณ์ไปด้วยดีทุกประการ
๘๓. โอ้ มุฮำมัด และเจ้าจงรำลึกถึงประวัติของนบีไอยูบและบอกแจ้งให้พวกพ้องของเจ้าได้รับทราบเพื่อเป็นอุทาหรณ์และเป็นการเตือนสติของทุก ๆ คน เมื่อเขาได้วิงวอนต่อองค์พระผู้อภิบาลของเขาว่า “แท้จริงตัวของข้าพเจ้านี้ได้มีภัยพิบัติมาสัมผัสข้าพเจ้าเสียแล้ว และพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตายิ่งจากบรรดาผู้เมตตาทั้งหลาย นบีไอยูบเป็นบุตรของ “อัมวัศ” แต่เดิมท่านมีทรัพย์สมบัติและลูกมาก ต่อมาท่านก็ได้พบกับภัยชีวิตของท่าน โดยพระองค์อัลเลาะห์ได้ทรงทดสอบท่าน ให้ลูก ๆ ของท่านเสียชีวิต, ให้ทรัพย์สินเสียหายและต้องทรมานกับความเจ็บป่วยติดต่อกัน ๑๘ ปี ขณะนั้นท่านมีอายุ ๗๐ ปี ตลอดเวลา ผู้คนได้ปลีกตัวออกไปจากท่าน มีเพียงภริยาของท่านเท่านั้นที่คอยปรนนิบัติท่าน ภริยาของท่านชื่อ “เราะห์มะห์” บุตรีของ “อับรอซีบ” บุตรของ “ยูซุฟ” บุตรของ “ยะกู๊บ” โดยชีวิตอันคับแค้นดังกล่าวนั้น ท่านจึงได้วิงวอนขอต่อพระองค์อัลเลาะห์
๘๔. ดังนั้นเราจึงสนองตอบแก่เขาไปตามคำขอนั้น แล้วเราได้ขจัดภัยพิบัติที่ประสบแก่เขานั้นจนคืนแก่สภาพปกติ โดยให้ท่านนบีไอยูบหายจากโรคประจำตัวของท่านโดยเด็ดขาด และเราได้ประทานครอบครัวของเขาให้แก่เขา โดยให้เขามีลูกเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก เล่ากันว่าท่านมีลูก ๑๔ หรือ ๑๖ คน ส่วนทรัพย์สมบัติของท่านก็ได้รับอย่างกว้างขวาง จากการทำไร่สาลีและข้าวโพดของท่าน ท่านทำลานนวดไว้ที่หน้าบ้านของท่าน และเราได้ประทานแก่เขาให้เขามีลูกที่เหมือนพวกนั้นเพิ่มขึ้นมาพร้อมกันกับพวกนั้น จำนวนเดิมของลูก ๆ ของท่าน พระองค์ทรงประทานให้จนครบและประทานเพิ่มเติมมากขึ้นไปอีก โดยทรงบันดาลปาฏิหาริย์ให้เกิดแก่ท่าน ให้ภรรยาของท่านสาวขึ้นกว่าเดิม เพื่อเป็นแดนกำเนิดสำหรับลูก ๆ ของท่าน ที่เราได้บันดาลให้เป็นไปเช่นนั้นเพราะเมตตาธรรมจากเราที่หลั่งแก่เขา และเป็นอนุสติแก่บรรดาผู้กราบไหว้ต่อพระผู้เป็นเจ้า เพื่อพวกเขาจักได้มีความอดทนและได้รับการตอบสนองด้วยกุศลผลบุญอันมากมายมหาศาล
๘๕. โอ้มุฮำมัด และจงระลึกถึงประวัติของอิสมาอีลและอิดรีสและซัลกิฟลี พร้อมกับเล่าแจ้งประวัตินั้นให้บรรดาพวกพ้องของเจ้าเพื่อเป็นอุทาหรณ์และข้อเตือนใจ ทุกคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้มีขันติธรรมทั้งหลาย พวกเขามีความอดทนในการประกอบกรรมดี หลีกเลี่ยงกรรมชั่วและไม่ยอมทรยศต่อคำบัญชาของอัลเลาะห์
๘๖. และเราได้นำพวกเขาเข้ามาอยู่ภายในเมตตาธรรมของเรา เพราะพวกเขาทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของบรรดาคนดีทั้งหลาย อันเหมาะสมที่เราจะเลือกเขาให้เป็นศาสนทูตเผยแผ่ศาสนาต่อไป


 

GoogleTagged