เห็นด้วยครับ มันหมายความว่าพวกคัมภีร์เขาก็ทำการเชือดด้วยหรือครับ แล้วตอนนี้พวกเขายังทำแบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า
เพิ่งเห็นว่า อิลฮัม ถาม เหมือนกัน
ยังไง ขอความกรุณาผู้รู้ ตอบคำถาม นี้ด้วยนะคับ
ญาซากัลลอฮฯ คับ
ได้ฟังไฟล์บรรยายจากอ.อิสมาแอล วิสุทธิปราณี
อ.ได้กล่าวไว้ในไฟล์บรรยายเรื่อง"ชีวิตที่ประสบสุข"
เป็นเรื่องราวของท่านซัลมาน ฟารีซีย์
(ไม่รู้ว่าเขียนชื่อท่านถูกรึเปล่านะคะ)
ซึ่งอาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ว่า...
"คริสต์สมัยนั้นการเชือดของเขาฮาล้าลให้เรากินได้
และสัตว์อาหารของเราก็ฮาล้าลให้เขากินได้...
เพราะคริสต์ที่เขาอีหม่านตามกิตาบเตารอต อินญีล
ที่อัลลอฮฺประทานมา
คริสต์ปัจจุบันนี้คัมภีร์เตารอต อินญีล
มันถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่เหมือนคริสต์สมัยนั้น
คริสต์สมัยนั้นแต่งงานกับมุสลิมได้ การเชือดก็ฮาล้าล"
ซึ่งข้าน้อยถอดไฟล์เสียงมาได้ดังข้างบนนั้นค่ะ...
สำหรับความคิดเห็นส่วนตัว มีเพื่อนที่เป็นชาวคริสต์
เขาก็กินหมูนะคะ...กินเหล้าด้วย...
แต่ไม่ได้ถามว่า ศาสนาคริสต์นิกายที่เขายึดอยู่นั้น
ห้ามเรื่องกินหมูกับกินเหล้าไว้รึเปล่า...
เพราะจะบอกเลยว่า ศาสนาคริสต์ให้กินหมูเพราะเห็นจาก
เพื่อนชาวคริสต์ทีี่กินหมูอยู่คงจะไม่ยุติธรรมนัก...
แต่เพราะรู้ว่าสิ่งที่คัมภีร์ของคริสต์ในปัจจุบันที่เขายึดปฏิบัติกัน
มันได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
ก็เลยส่งผลให้ไม่กล้ากินสัตว์ที่เขาเชือด ไม่กล้ากินอาหารที่เขาปรุง
และไม่แน่ใจเรื่องการแต่งงานกับเขาว่ามันจะฮาล้าลด้วยน่ะค่ะ
แน่ๆคือ...ถ้าเขาเข้ารับอิสลามก็คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ที่แน่ๆก็คือ...ชาวคริสต์ในปัจจุบันมีความเชื่อหลายๆอย่าง
ที่แตกต่างจากเราอยู่เยอะเหมือนกันค่ะ...
ดังนั้น...ก็ลองใช้วิจารณญาณในการวิเคราะห์กันเอาเองนะคะ...
แต่ที่รู้ๆก็คือ...คริสต์นิกายโปรแตสเตนท์นั้น
ห้ามการร่วมประเวณีกับผู้ที่ยังไม่ได้เข้าพิธีสมรส
เหมือนศาสนาอิสลามที่ห้ามเข้าใกล้การซีนา...
และก็ห้ามแต่งตัวโป๊ โชว์สัดส่วนต่างๆด้วยน่ะค่ะ...
ขอบเขตการห้ามเรื่องการแต่งกายก็ไม่ได้แตกต่าง
จากมุสลิมะฮฺเราค่ะ เพียงแต่ไม่ได้คลุมผ้าคลุมศีรษะ
เพื่อปกปิดผมให้มิดชิด...มีแต่แม่ชีน่ะค่ะที่คลุมคล้ายๆ
พี่น้องมุสลิมเรา...
ซึ่งเพื่อนที่ทำงานเขาก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในเรื่องนี้...
และความเชื่อในพระเจ้าของเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากเรา
มากมายนัก(ฟังจากที่เขาพูดให้ฟังนะคะ)
แต่หลักอากีดะห์โดยรวมนั้นมีแตกต่างอยู่ใช้ได้เหมือนกัน
เพราะเขาแบ่งภาคให้กับพระเจ้า เขาเชื่อว่าเยซู
คือบุตรพระเจ้า คือพระเจ้าที่แบ่งภาคมา...
ข้าน้อยจึงเคยพูดกับเขาว่า สำหรับอิสลาม
พระเจ้านั้นมีความเป็นเอกะ...ไม่มีภาคีใดๆ
และทรงบริสุทธิ์จากการมีบุตรและภรรยา...
คือผู้ที่เราสามารถขออภัยโทษได้โดยตรง
โดยไม่ต้องผ่านสิ่งใด ไม่ต้องเสียเงินทอง
เพื่อขออภัยโทษ แค่มีความนอบน้อม ยอมสิโรราบ
ต่อพระองค์โดยแท้จริง เราก็สามารถเข้าหาพระองค์ได้
โดยที่ไม่ต้องใช้สื่อใดๆ ไม่ต้องมีดอกไม้ ไม่ต้องมีรูปเคารพ
และสามารถรำลึกถึงพระองค์ได้ตลอดเวลา
ไม่มีสิ่งใดจะกั้นเราจากพระองค์...
ข้าน้อยจึงเชื่อว่า ในคัมภีร์เตารอต อินญีลนั้น
ย่อมมีวจนะของพระเจ้าอยู่ด้วย
เพียงแต่โดนมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปในภายหลัง...
เลยเชื่อหมดใจว่า...
อัลกุรอ่านนั้น เป็นยอดแห่งคัมภีร์แก่ประชาชาตินี้
ซึ่งถูกปกป้องจากอัลลอฮฺองค์เดียว...
เสียดายที่ชาวคริสต์ปฏิเสธคัมภีร์เล่มสุดท้ายนี้
ปฏิเสธการเป็นรอซู้ลของนาบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัย
ฮิวะซัลลัม...
หากเขาไม่ปฏิเสธ เขาก็คงได้รู้ในสิ่งที่พระเจ้า
ได้กล่าวเอาไว้ในคัมภีร์เล่มสุดท้ายเกี่ยวกับสัจธรรม
ที่เที่ยงแท้อย่างแน่นอน...
ปล.ได้ยินเสียงอะซานแล้ว...
วัสลามค่ะ