ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 17 อัลอิสรออ์ หรือ บะนีอิสรออีล  (อ่าน 5370 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ (  الإسراء - การเดินทางปาฏิหาริย์ หรือ بني إسرائيل วงศ์วานอิสราเอล) R4.

เป็นบัญญัติมักกียะฮฺ มี 111 อายะฮฺ
ความหมายโดยสรุปของซูเราะอฮฺอัลอิสรออฺ

   ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺเป็นซูเราะฮฺมักกียะฮฺที่ให้ความสนใจในเรื่องของอะกีดะฮฺ เรื่องราวต่าง ๆ ที่มีอยู่ในซูเราะฮฺนี้ มีส่วนคล้ายคลึงกับเรื่องราวของซูเราะฮฺมักกียะฮฺทั้งหลายที่ความสนใจในเรื่องเกี่ยวกับหลักการของศาสนา โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับความเป็นเอกภาพ การเผยแพร่สาสน์และการฟื้นคืนชีพ แต่ภาพหลักที่เด่นชัดของซูเราะฮฺนี้ก็คือ บุคลิกลักษณะของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และสิ่งที่อัลลอฮฺตะอาลาทรงให้ความสนับสนุนท่านด้วยสิ่งปาฏิหาริย์อย่างชัดแจ้ง และหลักฐานที่บ่งชัดที่แสดงถึงความสัจจะของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ปาฏิหาริย์การเดินทางในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์แห่งการให้เกียรติของพระเจ้าแก่ท่านนะบีและร่อซูลคนสุดท้าย และเป็นสัญลักษณ์อันชัดแจ้งที่บ่งถึงอานุภาพของอัลลอฮฺตะอาลา ในการให้มีขึ้นซึ่งสิ่งปาฏิหาริย์และสิ่งมหัศจรรย์
และได้กล่าวถึงบะนีอิสรออีล และสิ่งที่อัลลอฮฺตะอาลาทรงกำหนดให้พวกเขาต้องระเหเร่ร่อนไปในแผ่นดินถึงสองครั้ง ทั้งนี้เพราะความเกี้ยวกราด การก่อความเสียหาย และการฝ่าฝืนของพวกเขาต่อพระบัญชาของอัลลอฮฺตะอาลา
และเราได้แจ้งให้แก่บนีอิสรออีล ในคัมภีร์ว่า แน่นอน พวกเจ้าจะก่อการเสียหายในจแผ่นดินสองครั้ง
ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงสัญญาณต่าง ๆ แห่งจักรวาล ที่บ่งชี้ถึงความยิ่งใหญ่และความเป็นเอกภาพ และได้กล่าวถึงระบบอันละเอียดอ่อนที่ควบคุมเวลากลางคืนและกลางวัน เพื่อให้ดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับกฎเกณฑ์อันแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
และเราได้ทำให้กลางคืนและกลางวันเป็นสองสัญญาณ และเราได้กำจัดสัญญาณกลางคืนให้มืดมัว
     ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงมารยาททางสังคมและมารยาทอันดีงามโดยสนับสนุนและเรียกร้องให้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อที่จะให้มีขึ้นซึ่งสังคมตัวอย่างที่ดี เริ่มตั้งแต่พระดำรัสที่ว่า
    และพระเจ้าของเจ้าได้บัญชาว่า พวกท่านอย่าได้เคารพอิบาดะฮฺอื่นใด นอกจากพระองค์เท่านั้น
และได้กล่าวถึงการหลงผิดของพวกมุชริกีน โดยอุปโลกน์คู่เคียงและพระบุตรให้แก่อัลลอฮฺตะอาลา เป็นที่ประหลาดยิ่งในการกระทำของพวกเขา ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเกลียดลูกผู้หญิง แต่พวกเขาก็อุปโลกน์มันให้แก่พระผู้ทรงสูงสี่งและทรงยิ่งใหญ่ พระผู้บริสุทธิ์จากการเปรียบเทียบและการคู่เคียง
    พระเจ้าของท่านทรงเลือกลูกผู้ชายให้กับพวกท่าน และพระองค์ทรงเลือกเอามะลาอิกะฮฺเป็นลูกผู้หญิงกระนั้นหรือ แท้จริงพวกท่านกล่าวคำพูดอันมหันต์
   ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน ซึ่งได้มีการโต้เถียงกันมากในเรื่องนี้ พร้อมกับได้นำหลักฐานมายืนยันถึงความเป็นไปได้ และได้กล่าวถึงการดื้อรั้นของพวกมุชริกีนในข้อเสนอแนะของพวกเขา โดยเรียกร้องขอสิ่งปาฏิหาริย์อื่นจากอัลกุรอาน เช่น ขอให้มีแม่น้ำลำธาร ให้นครมักกะห์มีเรือกสวนร่มรื่นเขียวชอุ่ม
   และพวกเขากล่าวว่า เราจะไม่ศรัทธาต่อท่านจนกว่าท่านจะทำให้แผ่นดินแตกแยกเป็นธารน้ำแก่พวกเรา
   ซูเราะฮฺนี้จบลงด้วยการให้ความบริสุทธิ์แด่อัลเลาะฮฺ จากการตั้งภาคีและพระบุตรและลักษณะที่บกพร่อง
   จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า การสรรเสริญทั้งหลายเป็นของอัลลอฮฺ ซึ่งไม่ทรงตั้งพระบุตร และไม่มีภาคีใด ๆ กับพระองค์ในอำนาจ และไม่มีผู้ช่วยเหลือใด ๆ แก่ พระองค์ให้พ้นจากความต่ำต้อย และจงให้ความเกรียงไกรแด่พระองค์อย่างกึกก้อง
   ชื่อของซูเราะฮฺ ซูเราะฮฺนี้ถูกเรียกว่า ซูเราะฮฺอัลอิสรออฺ เพราะสิ่งปาฏิหาริย์อันน่าทึ่ง คือ การปฏิหาริย์แห่งการเดินทางในเวลากลางคืน ซึ่งอัลลอฮฺตะอาลา ทรงให้มีขึ้นโดยเฉพาะแก่นะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม


----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 1 - 3



คำแปล R1.
1. Glorified (and exalted) be He (Allah) [above all that (evil) they associate with Him] [Tafsir Qurtubi,Vol. 10, Page 204] who took his slave (Muhammad) for a journey by night from Al-Masjid-al-Haram (at Makkah) to the farthest mosque (in Jerusalem), the neighbourhood whereof we have blessed, in order that we might show him (Muhammad) of our Ayat (proofs, evidences, lessons, signs, etc.). Verily, He is the All-Hearer, the All-Seer.
2. And we gave Musa (Moses) the Scripture and made it guidance for the Children of Israel (saying): "Take not other than Me as (your) Wakil(Protector, Lord, or Disposer of your affairs, etc).
3. "O offspring of those whom we carried (in the ship) with Nuh (Noah)! Verily, he was a grateful slave."


คำแปล R2.
1. ทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก อัลเลาะฮฺผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์ (มุฮำมัด) ให้เดินทางในยามค่ำจากมัสยิดอัลหะรอมสู่มัสยิดอักอักซอซึ่งเราได้ให้ความสิริมงคลแก่รอบ ๆ ของมัน ทั้งนี้เพื่อเราจะทำให้เข่มองเห็นบางส่วนแห่งสัญลักษณ์ของเรา แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง
2. และเราได้มอบคัมภีร์(เตารอฮฺ)แก่มูซา และเราดลบันดาลคัมภีร์นั้นให้เป็นสิ่งชี้นำแก่พวกวงศ์วานของอิสรออีลว่า “พวกเจ้าทั้งหลายอย่าได้ยึดเอาผู้อื่นจากข้ามาเป็นที่มอบหมาย”
3. โอ้เผ่าพันธุ์ของผู้ที่เราบรรทุกไว้(ในเรือ)พร้อมกับนูห์(ในยุคก่อน ซึ่งเป็นมนุษย์ที่เหลือรอกจากมหาอุทกภัยและขยายเผ่าพันธุ์ต่อเนื่องมาจาถึงปัจจุบัน) แท้จริงเขานั้นเป็นบ่าวผู้หนึ่งที่กตัญญู


คำแปล R3.
1. มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ทรงนำบ่าวของพระองค์เดินทางในคืนหนึ่งจากมัสญิดหะรอมไปยังมัสญิด(อักศอ)อันไกลโพ้น ซึ่งบริเวณรอบ ๆ มันเราได้ประทานความจำเริญ ทั้งนี้เพื่อที่เราจะได้แสดงสัญญาณบางอย่างของเราให้เขาได้เห็น แท้จริงพระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงเห็น
2. ก่อนหน้านี้เราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซา และได้ทำให้มันเป็นทางนำสำหรับพวกอิสรออีลด้วยคำบัญชานี้ว่า “จงอย่ายึดถือผู้ใดอื่นเป็นผู้คุ้มครองนอกจากฉัน
3. สูเจ้าคือวงศ์วานของบรรดาผู้ที่เราได้บรรทุกไว้ในเรือพร้อมกับนูฮฺและเขาเป็นบ่าวผู้กตัญญูอย่างแท้จริง”


คำแปล R4.
1. มหาบริสุทธิ์ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์เดินทางในเวลากลางคืน จากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดอัลอักซอ ซึ่งบริเวณรอบมันเราได้ให้ความจำเริญ เพื่อเราจะให้เขาเห็นบางอย่างจากสัญญาณต่าง ๆ ของเรา แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น
2. และเราได้ให้คัมภีร์แก่มูซา และเราได้ทำให้มันเป็นทางนำแก่วงศ์วานของอิสรออีลว่าอย่ายึดถือผู้ใดอื่นจากข้าเป็นผู้คุ้มครองอย่างเด็ดขาด
3. โอ้ เผ่าพันธุ์ของเราได้บรรทุก (ไว้ในเรือ) กับนูหเอ๋ย! แท้จริงเขาเป็นบ่าวผู้กตัญญู


คำแปล R5.
๑. มหาบริสุทธิ์ สะอาดปราศจากสิ่งมัวหมองอันไม่ควรแก่พระองค์ แก่คุณสมบัติ แก่บรรดากิจของพระองค์ แก่พระนาม และแก่พระคำบัญญัติแห่งพระองค์นั้น ฉันก่อกล่าวขึ้นเฉพาะแด่องค์ผู้ทรงยังบ่าวแห่งพระองค์ ชื่อว่ามุฮำมัด ซล. ให้เดินทางในราตรีหนึ่งจากมัสยิดอัล-หะรอม ณ นครมักกะห์ สู่มัสยิดอัล-อักซอ ณ ไบตุลมักดิส ซึ่ง สถานแห่งนี้เรา (อัลเลาะห์) ยังความอุดมให้โดยรอบด้าน ทั้งภายนอกให้มีแม่น้ำลำธาร ต้นไม้และพืชผลไม้เป็นต้น ณ ภาคโลกนี้ ส่วนภายในของสองมัสยิด คือมัสยิดอัลหะรอมกับมัสยิดอัล-อักซอ ก็ให้ล้วนไปด้วยภาคผลบุญอันเกิดแต่การเคารพสักการะต่ออัลเลาะห์ที่พึงได้รับในภาคปรภพ แต่ภาคผลอันจะได้รับเพราะการเคารพสักกาะต่อพระองค์ ณ มัสยิดอัลหะรอมย่อมมากว่าที่มัสยิดอัล-อักซอถึงสองร้อยเท่า ที่เรา (อัลเลาะห์) ให้มุฮำมัดเดินทางในราตรีตามที่กล่าวนี้เพื่อเราจะให้เขา (มุฮำมัด) ได้แลเห็นสัญญาณ อันประหลาดบางอย่าง แสดงถึงอานุภาพของเรา แน่แท้พระองค์ทรงเป็นองค์ได้ยินยิ่ง ทรงเป็นองค์แลเห็นยิ่ง คือทรงทราบถึงถ้อยคำและการกระทำของมุฮำมัด ซล. การเดินทางในราตรีหนึ่งของมุฮำมัดที่เรียกว่า อิสรออ์นั้น เป็นปรากฏการณ์จริงโดยมีหลักฐานจากพระคัมภีร์อัล-กุรอาน และจากอัลหะดีสยืนยันอยู่อย่างแจ้งชัด แม้เรื่องการขึ้นสู่ฟ้าของมุฮำมัด คือที่เรียกว่า อัล-เมียะรอจ ก็เป็นปรากฏการณ์จริงโดยมีหลักฐานจากพระคัมภีร์อัล-กุรอานและอัล-หะดีสที่รู้แพร่หลายอีกด้วยเช่นกัน ฉะนั้นหากมุสลิมคนใดปฏิเสธปรากฏการณ์จริงข้อแรก(อิสรออ์) ถือว่าผู้นั้นเป็นมุรตัด (ขาดสภาพความเป็นมุสลิม) บุญกุศลอันเขาสั่งสมไว้สักกี่มากน้อยย่อมสูญสลาสิ้น ส่วนผู้ปฏิเสธเรื่องอัล-เมียะรอจ ผู้นั้นตกเป็นเพียงคนฟาซิก บุญกุศลที่เขาสั่งสมไว้ยังคงอยู่ปรกติ จะมีสูญเสียบ้างก็เพียงสิทธิบางอย่างเกี่ยวกับศาสนา เช่น ถูกตัดสิทธิในการทำหน้าที่เป็นพยานในการสมรส เป็นต้น
๒. และเรา (อัลเลาะห์) ได้มอบคัมภีร์ เตารอตลงมายังมูซา และเราได้ให้พระคัมภีร์นั้นเป็นแนวธรรมแก่เผ่าพงศ์อิสรออีล(บุตรหลานของยะกู๊บ) ได้ไปสู่หนทางอันเที่ยงแท้ เพื่อมิให้พวกเจ้า (บุตรหลานของยะกู๊บ) นับถือผู้ที่นอกจากข้า (อัลเลาะห์) เป็นที่มอบหมาย ในกิจทั้งปวงของพวกเจ้า
๓. โอ้อนุชนของ เหล่าชนผู้ที่เรา (อัลเลาะห์) ให้โดยสาร เรือไปกับนูห์ พวกเจ้าจงน้อมในการเป็นบ่าว เป็นผู้เจริญตามและรู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ ดังเช่นนูห์เถิด แท้จริงเขา (นูห์) คือบ่าวผู้หนึ่งที่ยิ่งด้วยความสำนึกในพระคุณ แห่งอัลลอฮฺอันมีต่อเขา ทั้งเป็นผู้มีแต่สรรเสริญในทุกกรณี


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 4 - 6


คำแปล R1.
4. And we decreed for the Children of Israel in the Scripture, that indeed you would do mischief on the earth twice and you will become tyrants and extremely arrogant!
5. So, when the promise came for the first of the two, we sent against you slaves of ours given to terrible warfare. They entered the very innermost parts of your homes. And it was a promise (completely) fulfilled.
6. Then we gave you once again, a return of victory over them. And we helped you with wealth and children and made you more numerous in man power.


คำแปล R2.
4. และเราได้บัญญัติแก่พวกวงศ์วานของอิสรออีลในคัมภีร์นั้นว่า “ขอยืนยัน แท้จริงพวกเจ้านั้นจะบ่อนทำลายในแผ่นดิน(ปาเลสไตน์)ถึงสองครั้ง และพวกเจ้าจะหยิ่งกำเริบยิ่งนัก (พวกยิวนับแต่สมัยนั้นจวบจนปัจจุบันพยายามขยายลัทธิชาตินิยมรุนแรง และหยิ่งในชาติตนว่าสูงกว่าชาติอื่น)
5. ดังนั้นเมื่อสัญญา(คือการลงโทษ)ครั้งแรกจากทั้งสองครั้งได้มาประสบแก่พวกเขา กลุ่มบ่าวของเราที่มีพิษสงมหาศาล (ได้แก่กษัตริย์บาบิโลนและกองทัพได้เข้ามา) แล้วพวกนั้นก็บุกตลุยสู่ใจกลางของบ้านเรือน (เพื่อค้นหาและฆ่าฟันพวกเจ้า) และนั่นเป็นสัญญาที่ถูกกระทำ(จนสำเร็จผล)
6. หลังจากนั้น(เมื่อพวกเจ้าได้สารภาพผิด) เราก็คืนกลับแก่พวกเจให้มีพลังอำนาจเหนือกว่าพวกนั้นอีกครั้งหนึ่ง และเราได้มอบทรัพย์สินและลูก ๆ อันมากมายแก่พวกเจ้า และเราทำให้พวกเจ้ามีรี้พลเป็นจำนวนมากขึ้น(กว่าเดิม)

   
คำแปล R3.
4. นอกจากนี้แล้ว เราได้เตือนพวกอิสรออีลไว้ในคัมภีร์ด้วยว่า:สูเจ้าจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงขึ้นสองครั้งในแผ่นดินและจะกลายเป็นผู้ยโสโอหังที่กำเริบเสิบสานยิ่ง
5. และเมื่อความเสียหายหนึ่งในสองครั้งได้มาถึง เราได้ให้บ่าวของเราที่มีอำนาจเข้มแข็งขึ้นมาเป็นศัตรูต่อสูเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงได้บุกเข้าไปยังทุกส่วนในบ้านเมืองของสูเจ้า นี่คือคำเตือนที่ได้ถูกสัญญาไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้นจริง
6. แล้วหลังจากนั้นเราก็ได้ให้โอกาสแก่สูเจ้า มีอำนาจเหนือพวกเขาและเราได้ช่วยสูเจ้าด้วยความมั่งคั่งและลูก ๆ และได้ทำให้สูเจ้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมากมาย


คำแปล R4.
4. และเราได้แจ้งแก่วงศ์วานของอิสรออีลในคัมภีร์ว่า พวกเจ้าจะก่อการเสียหายในแผ่นดินสองครั้ง และแน่นอน พวกเจ้าจะโอหังยโสยิ่ง
5. ดังนั้น เมื่อสัญญาหนึ่งในสองครั้งได้มาถึง เราได้ส่งบรรดาบ่าวของเราผู้มีอำนาจเข้มแข็งเข้าครอบครอง พวกเจ้า แล้วพวกเขาได้บุกเข้าค้นตามบ้านเรือน และมันเป็นสัญญาที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
6. และเราได้ให้พวกเจ้ากลับมีอำนาจเหนือพวกเขา และเราได้ให้พวกเจ้ามีทรัพย์สินและบุตรหลาน และเราได้ทำให้พวกเจ้ามีรี้พลมากมาย


คำแปล R5.
๔. ทั้งเรา (อัลเลาะห์) ยังได้บอกแก่เผ่าพงศ์อิสรออีล (บุตรหลานของยะกู๊บ) ไว้ในคัมภีร์ เตารอตด้วย ถึงเรื่อง “ก่อความหายนะ” ที่เกิดแต่พวกเจ้าว่า แน่ทีเดียวพวกเจ้าย่อมจะก่อหายนะขึ้น ณ แผ่นดิน แห่งนครซีเรีย(ชาม) ด้วยการทรยศถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือฆ่าพระศาสดาซะกะรียา อัลเลาะห์จึงทรงเอาโทษพวกเขา ต่อแต่นั้นก็ทรงรับการขอลุแก่โทษของพวกเขา ส่วนครั้งหลังคือฆ่าพระศาสดายะห์ยา ผู้เป็นบุตรของพระศาสดาซะกะรียา พระองค์ทรงเอาโทษพวกเขาอีก และต่อมาก็ทรงรับการขอลุแก่โทษของพวกเขา และว่าพวกเจ้าย่อมวางตัวสูงยิ่งนัก
๕. ดังนั้นเมื่อสัญญา แห่งการลงทัณฑ์คราวแรกของทั้งสอง ในครั้งที่พวกเจ้าสังหารพระศาสดาซะกะรียามีมา เรา (อัลเลาะห์) ได้ส่งปวงบ่าวผู้ทรงพลัง ในศึกสงครามและเป็นมือปราบจากเรามายังพวกเจ้า แล้วพวก มือปราบเหล่านั้นต่างมาวกวน ตามหาตัวพวกเจ้าอยู่ ณ กลางเมือง เพื่อจะสังหารพวกเจ้าบ้างและจับพวกเจ้าไปเป็นเชลยบ้าง การที่เหล่ามือปราบเที่ยวค้นหาตัวพวกเจ้าผู้เป็นศัตรูนั่นแหละคือสัญญาอันสัมฤทธิ์ผลแล้ว ความจริงของเรื่องมีว่า คณะชนผู้อยู่ในสกุลอิสรออีล(บนีอิสรออีล)นั้นได้ก่อความหายนะขึ้น ครั้งแรกด้วยการสังหารพระศาสดาซะกะรียา เมื่อเป็นอย่างนี้ ยาลูต(โกลัยอัต)กับเหล่านี้พลจำนวนหนึ่งจึงถูกส่งมาปราบยาลูตกับพวกได้สังหารคนในสายสกุลอิสรออีลตายลงบ้าง และจับลูกหลานของพวกนั้นเป็นเชลยบ้างก็มี ทั้งยังได้เข้าไปทำลายศาสนสถานไปตุลมักดิสอีกด้วย
๖. ครั้นต่อมา อีกหนึ่งร้อยปี เรา (อัลเลาะห์) ก็ให้พวกเจ้ากลับมีชัยเหนือพวก มือปราบ(ยาลูตกับพวกรี้พล) เหล่านั้นอีก โดยยาลูตถูกฆ่า หลังจากที่พวกเจ้าถูกพวกเหล่านั้นปล้นทรัพย์ไปจนหมดสิ้น กับพวกลูกหลานถูกจับไปเป็นเชลยนั้น เรา (อัลเลาะห์) ยังได้ให้พวกเจ้ามีทรัพย์สมบัติและลูกหลานเรื่อยมา และให้พวกเจ้ามีกำลังพลมากมายเหมือนในครั้งอดีตอีกด้วย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 7 - 10


คำแปล R1.
7. (And we said): "If you do good, you do good for your ownselves, and if you do evil (you do it) against yourselves." then, when the second promise came to pass, (We permitted your enemies) to make your faces sorrowful and to enter the mosque (of Jerusalem) as they had entered it before, and to destroy with utter destruction all that fell in their hands.
8. [And we said in the Taurat (Torah)]: "It may be that your Lord may show Mercy unto you, but if you return (to sins), we shall return (to Our punishment). And We have made Hell a prison for the disbelievers.
9. Verily, this Qur'an guides to that which is most just and right and gives glad tidings to the believers (in the Oneness of Allah and his Messenger, Muhammad , etc.). Who work deeds of righteousness, that they shall have a great reward (Paradise).
10. And that those who believe not in the Hereafter (i.e. they disbelieve that they will be recompensed for what they did in this world, good or bad, etc.), for them we have prepared a painful torment (Hell).


คำแปล R2.
7. หากพวกเจ้าทำดี แน่นอนพวกเจ้าก็ทำดีแก่ตัวของพวกเจ้าเอง และหากพวกเจ้าทำชั่ว มันก็เป็นของตัวพวกเจ้าเอง (เหมือนกัน) ต่อมาเมื่อสัญญา (การลงโทษ)ในครั้งสุดท้าย (จากสองครั้งนั้น) ได้มาประสบ (แก่พวกเขา) เพื่อพวกเขาทำความเศร้าโศกแก่ใบหน้าของพวกเจ้า และเพื่อพวกเขาได้เข้าสู่มัสยิด (บะยติลมักดิส อีกครั้งหนึ่ง) เหมือนเช่นที่พวกเขาเคยเข้ามาแล้วในครั้งแรก และเพื่อพวกเขาจะได้ทำลายล้างแก่สิ่งที่พวกเขายึดครองจนพินาศสิ้น
8. หวังว่าองค์อภิบาลของพวกเจ้าจะทรงเมตตาพวกเจ้า (หากพวกเจ้าสารภาพผิด) และหากพวกเจ้าย้อนกลับ(ไปเนรคุณอีก) แน่นอนเราก็จักคืนกลับ (การลงโทษแก่พวกเจ้า) และเราสร้างนรกไว้เป็นคุกกักกันแก่มวลผู้ไร้ศรัทธาทั้งหลาย
9. แท้จริงอัลกุรอานนี้ ชี้นำทางอันเที่ยงตรงที่สุด และเป็นคัมภีร์ที่แจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้มีศรัทธาที่ประพฤติแต่ความดีทั้งหลายให้ปีติว่า ที่จริงพวกเขาต้องได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่
10. และแท้จริงบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อโลกหน้า เราได้เตรียมการลงโทษอันทรมานยิ่งแก่พวกเขา


คำแปล R3.
7. (จงจำไว้) ถ้าหากสูเจ้ากระทำดี มันก็จะเป็นผลดีต่อตัวสูเจ้าเอง แต่ถ้าสูเจ้ากระทำชั่ว มันก็จะเป็นผลร้ายต่อตัวสูเจ้าเอง ดังนั้น เมื่อเวลาสำหรับคำเตือนครั้งที่สองเป็นจริงมาถึง เราได้สร้างศัตรูให้แก่สูเจ้า เพื่อที่พวกเขาจะฉีกหน้าของสูเจ้าและเข้าไปในวิหารเช่นเดียวกับที่บรรดาศัตรูก่อนหน้านี้ได้เข้าไปและทำลายทุกสิ่งที่พวกเขายึดครองได้อย่างย่อยยับ
8. ตอนนี้พระผู้อภิบาลของสูเจ้าอาจจะเมตตาสูเจ้าอีก แต่ถ้าหากสูเจ้าแสดงพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของสูเจ้าอีก เราก็จะกลับมาเยี่ยมสูเจ้าอีกพร้อมกับการลงโทษของเรา เพราะเราได้เตรียมนรกไว้เป็นคุกสำหรับคนเนรคุณไว้แล้ว
9. แท้จริง กุรอานนี้ได้แสดงให้เห็นถึงหนทางที่เที่ยงตรงยิ่ง มันแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีว่าจะมีรางวัลตอบแทนอันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา
10.และมันได้เตือนบรรดาผู้ไม่เชื่อในโลกหน้าถึงการลงโทษอันเจ็บปวดที่ได้ถูกเตรียมไว้สำหรับพวกเขา


คำแปล R4.
7. หากพวกเจ้าทำความดี พวกเจ้าก็ทำเพื่อตัวของเจ้าเอง และหากว่าพวกเจ้าทำความชั่วก็เพื่อตัวเอง ดังนั้น เมื่อสัญญาอีกข้อหนึ่งได้มาถึง เพื่อพวกเขาก่อความอับอายขายหน้าแก่พวกเจ้า และเพื่อเข้าไปในมัสยิดเช่นที่พวกเขาได้เข้าไปแล้วในครั้งแรก และเพื่อทำลายสิ่งที่พวกเขาได้ชัยชนะอย่างหมดสิ้น
8. หวังว่าพระเจ้าของพวกเจ้าจะทรงเมตตาแก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้ากลับมา (ก่อกวน) อีกเราก็โต้กลับ และเราได้ให้นรกเป็นที่คุมขังสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธา
9. แท้จริง อัลกุรอานนี้นำสู่ทางที่เที่ยงตรงยิ่ง และแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ประกอบความดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับการตอบแทนอันยิ่งใหญ่
10. และแท้จริงบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อโลกหน้านั้น เราได้เตรียมไว้สำหรับพวกเขาแล้วซึ่งการลงโทษอันเจ็บแสบ


คำแปล R5.
๗. เรา(อัลเลาะห์)กล่าวว่า หากพวกเจ้าปฏิบัติดีงาม โดยกระทำตามคำบัญชาใช้และงดเว้นจากข้อห้าม พวกเจ้าก็ปฏิบัติดีงามเพื่อตัวเอง เพราะบุญกุศลอันเกิดแต่ปฏิบัติดีงาม ย่อมได้แก่เจ้าตัวผู้ปฏิบัติเอง แล้วถ้าหากพวกเจ้าปฏิบัติชั่วโดยกระทำหายนะสูญเสียผลแห่งกรรมชั่วของพวกเจ้าก็จะตกแก่ตัวพวกเจ้าเอง ครั้นเมื่อสัญญาแห่งการลงทัณฑ์คราวหลังที่พวกเจ้าสังหารพระศาสดายะห์ยามีมา เรา(อัลเลาะห์)ได้ส่งปวงบ่าวผู้ทรงพลังยิ่งในการทำศึกสงครามและเป็นมือปราบจากเรามาถึงพวกเจ้า พวกมือปราบนั้นแหละที่จะทำให้พวกเจ้าเศร้าสลด ที่จะเข้าสู่มัสยิด ไบตุลมักดิสเพื่อทำลายเหมือนดั่งที่เคยเข้าไปทำลายมาแล้วในครั้งแรก และที่จะทำลายล้างให้แหลกลาญซึ่งบ้านเมืองที่พวกเขา(บนีอิสรออีล) คุมอำนาจอยู่ ความจริงแห่งเรื่องนี้มีว่าคนในวงศ์สกุลอิสรออีลได้ก่อความหายนะขึ้นในคราวที่สองนี้โดยการสังหารพระศาสดายะห์ยา บุตรของซะกะรียา ดังนั้นบุคตะนัซซ็อร จึงถูกส่งมาปราบ บุคตะนัซซ็อรได้ฆ่าคนเหล่านี้เสียหลายพันคน ส่วนบุตรหลานของชนพวกนี้ ก็ถูกจับตัวเป็นเชลยศึก ยิ่งกว่านั้นยังได้เข้าทำลายมัสยิดอีกด้วย
๘. เรา(อัลเลาะห์)ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์เตารอตว่า หวังใจว่าอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้าอาจโปรดปรานีต่อพวกเจ้าหลังจากพวกเจ้าก่อความหายนะในครั้งหลังก็ได้ แต่ถ้าพวกเจ้าหวนคืนสันดานไปก่อความหายนะอีก เรา(อัลเลาะห์) ก็จะคืนโทษกลับสู่พวกเจ้าด้วย ครั้นแล้วกลับปรากฏว่าพวกนี้ได้ก่อพินาศขึ้นอีกด้วยคำกล่าวหามุฮำมัด ซล. ซึ่งอยู่ในฐานะปกครองพวกนี้ว่าเป็นผู้เท็จ ด้วยการฆ่าพวกยะฮูดีก็รีเฏาะห์และด้วยการเนรเทศพวกยะฮูดีนะดีรออออกนอกประเทศ ทั้งยังเรียกเก็บเงินรายหัวเป็นประจำปีจากพวกที่เหลือจากการถูกฆ่าและถูกเนรเทศในอัตราสำหรับผู้ยากจนหนึ่งเหรียญทอง ผู้ฐานะปานกลางสองเหรียญทอง และผู้มั่งมีสี่เหรียญทองอีกด้วย แล้วเรา(อัลเลาะห์) ก็ให้นรกยะฮันนำเป็นแหล่งขังกาฟิรเสียเลย
๙. แท้จริงพระคัมภีร์อัล-กุรอานนี้ จะชี้ไปสู่แนวธรรมอันเที่ยงแท้และถูกต้องยิ่ง ทั้งจะแจ้งแก่เหล่าผู้มีศรัทธา(มุอ์มิน) ที่ประพฤติชอบให้ปลื้มอีกว่า พวกเขาย่อมได้รับค่าตอบแทนที่ยิ่งใหญ่และจะแจ้งอีกว่า
๑๐. และบรรดาชนผู้มิได้ศรัทธาต่อวันอวสาน(อาคิเราะห์) นั้นเรา(อัลเลาะห์) ได้เตรียมโทษทัณฑ์อันเจ็บแสบในขุมนรกไว้สำหรับพวกเขาแล้ว


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 11 - 13


คำแปล R1.
11. And man invokes (Allah) for evil as he invokes (Allah) for good and man is ever hasty [i.e., if he is angry with somebody, he invokes (saying): "O Allah! Curse him, etc." and that one should not do, but one should be patient].
12. And we have appointed the night and the day as two Ayat (signs etc.). then, we have made dark the sign of the night while we have made the sign of day illuminating, that you may seek bounty from your Lord, and that you may know the number of the years and the reckoning. and we have explained everything (in detail) with full explanation.
13. And we have fastened every man's deeds to his neck, and on the Day of Resurrection, we shall bring out for him a Book which he will find wide open.


คำแปล R2.
11. และมนุษย์พากันวอนขอในสิ่งเลวร้ายเหมือนกับที่เขาวอนขอในสิ่งดีงาม และมนุษย์นั้นเป็นผู้(มีธรรมชาตินิสัยอัน)ร้อนรน
12. และเราสร้างกลางคืนและกลางวันให้เป็นสัญลักษณ์ (อันแสดงถึงเดชานุภาพของเรา) ครั้นแล้วเราก็ลบล้างสัญลักษณ์แห่งกลางคืน (เพื่อพักผ่อน) และเราได้ทำสัญลักษณ์แห่งกลางวันให้เป็นที่มองเห็นได้ชัดเจน เพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาความโปรดปรานจากองค์อภิบาลของพวกเจ้า (ด้วยการประกอบอาชีพต่าง ๆ) และเพื่อพวกเจ้าจะได้รู้จำนวนปีและการคำนวณ และทุก ๆ สิ่งนั้น เราได้จำแนกไว้อย่างชัดเจนที่สุด
13. และทุก ๆ มนุษย์นั้น เราได้คล้องภาระหน้าที่ของเขาไว้ในต้นคอของเขาแล้ว และเราจะนำออกมาแสดงต่อเขาในวันชาติหน้า ซึ่งบัญชีบันทึกความประพฤติที่เขาได้พบมันถูกเปิดไว้เรียบร้อย


คำแปล R3.
11. มนุษย์วิงวอนขอความชั่วแทนที่จะวิงวอนขอความดี ทั้งนี้เพราะเขารีบร้อนและไม่อดทน
12. จงจำไว้ เราได้สร้างกลางคืนและกลางวันเป็นสองสัญญาณ เราได้ทำให้สัญญาณแห่งกลางคืนหมดแสงไป และเราได้ทำให้สัญญาณแห่งกลางวันสว่างไสวเพื่อที่สูเจ้าจะได้แสวงหาความโปรดปรานของพระผู้อภิบาลของสูเจ้าและเพื่อที่สูเจ้าจะได้นับเดือนและปี ดังนั้นเราจึงได้ทำทุกสิ่งให้เป็นที่ละเอียด ชัดเจน
13. เราได้ผูกชะตากรรมของมนุษย์ทุกคนไว้ที่คอของเขาแล้ว และในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ เราจะนำบันทึกออกมาให้เขาเห็นเหมือนกับหนังสือที่เปิดกางอยู่


คำแปล R4.
11. และมนุษย์นั้นวิงวอนขอความชั้ว เยี่ยงการวิงวอนขอของเขาเพื่อความดี และมนุษย์นั้นเป็นผู้รีบร้อนเสมอ
12. และเราได้ทำให้กลางคืนและกลางวันเป็นสองสัญญาณ ดังนั้น เราทำให้สัญญาณของกลางคืนมืดมน และเราได้ทำให้สัญญาณของกลางวันมีแสงสว่าง เพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาความโปรดปรานจากพระเจ้าของพวกเจ้า และเพื่อพวกเจ้าจะได้รู้จำนวนปีทั้งหลายและการคำนวณและทุกๆสิ่งเราได้แจกแจงมันอย่างละเอียดแล้ว
13. และมนุษย์ทุกคน เราได้ให้การงานของเขาแขวนติดไว้ที่ติดไว้ที่คอของเขา และในวันกิยามะฮฺ เราจะเอาบันทึกออกมาให้เขาพบมันในสภาพที่กางแผ่


คำแปล R5.
๑๑. และมนุษย์นั้นจะวอนขอสิ่งชั่ว ๆ เพื่อตนและครอบครัวของตนเป็นการประชด มีความทุกข์โศกมีขึ้นแก่ตัวเขาและครอบครัวของตน เป็นการประชดเมื่อความทุกข์โศกเกิดขึ้นแก่ตัวเขาและครอบครัว เหมือนกับเขาวอนขอความดีเพื่อตนและครอบครัว อันมนุษย์นั้นย่อมเป็นผู้รีบร้อนในการประชดแช่งตัวเองและครอบครัว โดยไม่คำนึงผลว่าในที่สุดจะเป็นอย่างไร
๑๒. และเรา(อัลเลาะห์)ได้กำหนดให้กลางคืนกับกลางวันเป็นสัญญาณสองอย่างครั้นแล้วเราก็ลบรัศมีแห่งสัญญาณของกลางคืนเสียด้วยให้เกิดมีความมือเพื่อให้พวกเจ้าพักผ่อน และเรา(อัลเลาะห์) กลับให้สัญญาณแห่งกลางวันเป็นที่แลเห็นได้เพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาโชคลาบจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้าในตอนกลางวันและเพื่อพวกเจ้าจะได้ทราบจำนวนปีและการคิดคำนวณกำหนดเวลา อันทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเรา (อัลเลาะห์)ได้แจงมันโดยละเอียดและถูกต้องแล้ว
๑๓. อันมนุษย์แต่ละคนนั้น เรา(อัลเลาะห์)ได้ให้เขามีภาระแห่งการงานแบกติดอยูนบ่าของเข้าสมอ แล้วในวันกิยามะห์ เรา(อัลเลาะห์)จะนำสารบบบันทึกผลกรรมมาแสดงแก่เขา ซึ่งเขาจะพบมันถูกกางแผ่ออก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 03, 2013, 10:34 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 14 - 15


คำแปล R1.
14. (It will be said to him): "Read your book. you yourself are sufficient as a reckoner against you this day."
15. Whoever goes right, then he goes right only for the benefit of his own self. And whoever goes astray, then he goes astray to his own loss. No one laden with burdens can bear another's burden. And we never punish until we have sent a Messenger (to give warning).


คำแปล R2.
14. (เราตรัสแก่เขาว่า) “เจ้าจงอ่านบันทึกของเจ้าซิ! ในวันนี้เพียงตัวเจ้าก็พอแล้วที่จะคำนวณเกี่ยวกับ(ผลกรรมของ)เจ้าเอง”
15. ผู้ใดได้รับการชี้นำ ความจริงแล้วเขาก็รับการชี้นำเพื่อตัวเขาเอง และผู้ใดหลงผิดความจริงเขาก็หลงผิดบนตัวของเขาเอง และผู้ที่ทำบาปย่อมไม่ต้องรับผิดชอบในบาปของคนอื่น ๆ และเรา(อัลเลาะฮฺ)ไม่เคยลงโทษ(กลุ่มชนใด) จนกว่าเราจะแต่งตั้งศาสนทูต(ให้มาประกาศศาสนาแก่กลุ่มชนนั้น แล้วเขาไม่ยอมรับฟังจึงจะจัดการลงโทษพวกเขา)!


คำแปล R3.
14. (เขาจะถูกกล่าวว่า) “จงอ่านบันทึกของสูเจ้า วันนี้ตัวของสูเจ้าเองก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นผู้ชำระบัญชีต่อตัวของสูเจ้าเอง
15. ใครก็ตามที่รับแนวทางที่ถูกต้องการประพฤติปฏิบัติถูกต้องก็จะเป็นผลดีแก่ตัวเขาเอง แลใครก็ตามที่หลงทางออกไป การหลงทางของเขาก็จะนำมาซึ่งผลของมันแก่เขา ไม่มีผู้แบกภาระผู้ใด จะแบกภาระของอีกคนหนึ่งได้ และเราจะไม่ลงโทษจนกว่าเราจะส่งรอซูลมา (เพื่อแยกความจริงออกจากความเท็จ)


คำแปล R4.
14. เจ้าจงอ่านบันทึกของเจ้า พอเพียงแก่ตัวเจ้าแล้ววันนี้ที่จะเป็นผู้ชำระของตัวเจ้าเอง
15. ผู้ใดได้พบแนวทางที่ถูกต้อง แท้จริงเขาจะอยู่ในทางนั้นเพื่อตัวเขาเอง และไม่มีผู้แบกภาระใดที่จะแบกภาระของผู้อื่นได้ และเรามิเคยลงโทษผู้ใด จนกว่าเราจะแต่งตั้งรอซูลมา


คำแปล R5.
๑๔. เขาถูกสั่งว่า จงอ่านสารบบของเจ้าเถิด ณ วันนี้ตัวของเจ้าก็เพียงพอจะสสอบสวนตัวเองได้แล้ว
๑๕. ผู้ใดได้รับแนวธรรมให้ได้สู่วิถีทางอันเที่ยงแท้ แน่นอนเขาย่อมได้รับแนวธรรมเพื่อตัวเขาเอง เพราะบุญกุศลแห่งการได้รับแนวธรรมจะมีแก่ผู้ได้รับแนวธรรมเท่านั้น แล้วถ้าผู้ใดหลงหนทางอันเที่ยงธรรม ##invalid input##แห่งการหลงหนทางนั้นก็ตกแก่ตัวเขาเอง เพราะบาปแห่งการเป็นผู้หลงหนทางจะตกแก่ผู้หลงหนทางเท่านั้น##invalid input##แห่งบาปย่##invalid input##แห่งบาปของผู้อื่นเลย ส่วนโองการที่ว่า มัยยัชฟะสะฟาอะตันหะสะนะห์ ฯลฯ จากซูเราะห์ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ใดสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความดีเช่น ใช้ให้เขาทำละหมาดเป็นต้น ภาคผลแห่งความดีก็มีส่วนแก่เขาด้วย และจากโองการที่ว่า มัยยัชฟะชะฟาอะตันไซยิอะห์ ฯลฯ จากซูเราะห์ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ใดสนับสนุน(ให้)ผู้อื่นกระทำความชั่ว เช่นใช้ให้เขาเสพสุราเป็นต้น ผลแห่งความชั่วนั้นก็มีส่วนอแก่เขาด้วย และจากโองการที่ว่า “ลิยะห์มิลูเอาซาร่อฮุม ฯลฯ จากซูเราะห์ อัล-นะห์ลุ ซึ่งมีความหมายว่า “พวกเขาจึงต้องภาระแห่งบาปของพวกตน....ที่พวกตนทำ....” เช่นบิดามารดากราบไหว้เทวรูปให้ลูกหลานหลงกระทำตาม ทั้งเรา(อัลเลาะห์)จะไม่ลงโทษใครจนกว่าเราจะแต่งตั้งศาสนทูตมา เพื่อชี้แจงถึงข้อบัญญัติทั้งใช้และห้ามแก่ผู้นั้นเสียก่อน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 03, 2013, 10:39 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 16 - 19


คำแปล R1.
16. And when we decide to destroy a town (population), we (first) send a definite order (to obey Allah and be righteous) to those among them [or we (first) increase in number those of its population] who are given the good things of this life. Then, they transgress therein, and thus the word (of torment) is justified against it (them). Then we destroy it with complete destruction.
17. And how many generations have we destroyed after Nuh (Noah)! And sufficient is your Lord as an All-Knower and All-Beholder of the sins of his slaves.
18. Whoever wishes for the quick-passing (transitory enjoyment of this world), we readily grant him what we will for whom we like. Then, afterwards, we have appointed for him Hell, he will burn therein disgraced and rejected, ( far away from Allah's Mercy).
19. And whoever desires the Hereafter and strives for it, with the necessary effort due for it (i.e. do righteous deeds of Allah's obedience) while he is a believer (in the Oneness of Allah Islamic Monotheism), then such are the ones whose striving shall be appreciated, thanked and rewarded (by Allah).


คำแปล R2.
16. และเมื่อเราประสงค์ที่จะทำลายล้างเมืองใด เราก็บัญชาแก่บัญชาแก่บรรดาผู้มั่งมีศรีสุขแห่งเมืองนั้น แต่แล้วพวกเขาก็กลับฝ่าฝืน(คำบัญชา)ในเมืองดังกล่าว จากนั้นประกาศิต(แห่งการลงโทษ)ก็จะปรากฏจริงแก่เมืองนั้น แล้วเราก็ทำลายล้างพวกเขาจนพินาศสิ้น
17. และเท่าใดแล้วที่เราทำลายล้าง(ประชาชาติ)จากศตวรรษต่าง ๆ ภายหลังจากนูห์ และโดยองค์อภิบาลของเจ้า(เพียงองค์เดียว)ที่ทรงตระหนัก อีกทั้งทรงมองเห็นในมวลบาปแห่งข้าทาสของพระองค์ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว(ที่จะนำตัวพวกเจ้ามารับการลงโทษเนื่องจากบาปเหล่านั้น)
18. ผู้ใดมุ่งหวังโลกรีบด่วน(คือโลกนี้)เราก็จักรีบมอบแก่เขาในนั้นตามที่เราประสงค์แก่ผู้ที่เราประสงค์ แต่หลังจากนั้นเราก็จัดนรกไว้ให้เขา ซึ่งเขาจะเข้าไปในนั้นอย่างถูกประนารมอีกทั้งถูกขับไส (ไล่ส่งลงไป)
19. ผู้ใดปรารถนาโลกหน้า และพากเพียรไว้เพื่อมัน ด้วยความประพฤติที่เหมาะสมกับมัน โดยที่ตัวเขามีศรัทธา (เป็นอันดี) แน่นอนพวกเหล่านี้ การพากเพียรของพวกเขาจักได้รับการขอบคุณ (ด้วยการมอบรางวัลให้)


คำแปล R3.
16. เมื่อเราต้องการที่จะให้เมืองใดถูกทำลาย เราจะบัญชาคนที่กินอยู่อย่างสุขสบายของเมืองนั้นและพวกเขาจะฝ่าฝืน แล้วเมืองนั้นก็จะได้รับการลงโทษที่ยุติธรรมของเรา และเราจะทำลายมันจนหมดสิ้น
17. ดูซิว่าประชากรกี่รุ่นแล้วที่ถูกทำลายไปโดยคำบัญชาของเราหลังจากนูฮฺ พระผู้อภิบาลของสูเจ้านั้นทรงรู้ดีถึงความผิดบ่าวของพระองค์และทรงเห็นทุกสิ่ง
18. ถ้าหากใครปรารถนาสิ่งดีแห่งชีวิตโลกนี้ เราจะให้เขาในสิ่งที่เขาปรารถนา แล้วเราก็จะกำหนดคนผู้นั้นไว้ยังนรก ซึ่งที่นั่น เขาจะถูกเผา ถูกสาปแช่ง และไม่ได้รับความเมตตา
19. (ในทางตรงข้าม) ผู้ใดปรารถนาชีวิตแห่งโลกหน้าและดิ้นรนต่อสู้เพื่อมันอย่างถึงที่สุดและเขาเป็นผู้ศรัทธาความพยายามของคนเช่นนั้นจะได้รับการชมเชย


คำแปล R4.
16. และเมื่อเราปรารถนาที่จะทำลายหมู่บ้านใด เราได้บัญชาให้พวกฟุ่มเฟือยของมัน แล้วพวกเขาก็ฝ่าฝืนดังนั้น พระดำรัส(การลงโทษ)สมควรแล้วแก่มัน ฉะนั้นเราจะได้ทำลายมันอย่างพินาศ
17. และกี่ศตวรรษแล้วหลังจากนูหที่เราได้ทำลาย และพอเพียงกับพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงรอบรู้ ทรงเห็นความผิดของปวงบ่าวของพระองค์
18. ผู้ใดปรารถนาชีวิตชั่วคราว (ในโลกนี้) เราก็จะเร่งให้เขาได้รับมัน ตามที่เราประสงค์แก่ผู้ที่เราปรารถนาแล้วเราได้เตรียมนรกไว้สำหรับเขา เขาจะเข้าไปอย่างถูกเหยียดหยามถูกขับไส
19. และผู้ใดปรารถนาปรโลก และขวนขวายเพื่อมันอย่างจริงจัง โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธาชนเหล่านั้น การขวนขวายของพวกเขาจะได้รับการชมเชย


คำแปล R5.
๑๖. และเมื่อเรา (อัลเลาะห์) ประสงค์จะทำลายแว่นแคว้นหนึ่ง เราก็บัญชาแก่หัวหน้า ณ แว่นแคว้นแห่งนั้นให้ประพฤติตามใช้และงดเว้นจากข้อห้ามตามที่ศาสนทูตอบรมสั่งสอนไว้ พวกเขาก็ฝ่าฝืนคำบัญชาของเรา ดังนั้นคำประกาศเป็นข้อสัญญาลงโทษ จึงปรากฏเป็นจริงขึ้นแก่พวกเขา แว่นคว้นแห่งนั้น แล้วเราก็ทำลายสถานที่และปวงชนแห่งแว่นแคว้นนั้นพินาศย่อยยับ
๑๗. และหลังจากนูห์ เรา(อัลเลาะห์) ก็ได้ทำลายประชากรมาแล้วหลายสมัย มีองค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้าทรงเป็นองค์รู้ยิ่ง ทรงเห็นยิ่งถึงบาปโทษทั้งภายในและภายนอกแห่งปวงบ่าวของพระองค์ก็เพียงพออยู่แล้ว
๑๘. ถ้าผู้ใดประสงค์เอาภาคภพดุนยานี้ เราจะให้คนนั้นที่เราประสงค์ได้สิ่งซึ่งตามแต่เราปรารถนาจะให้โดยเร็วในพิภพนี้ ครั้นต่อไปในภาคภพหน้า เรา(อัลเลาะห์) ก็ให้เขาได้นรกยะฮันนำอันเขาจะเข้าไปอย่างน่าอดสูและถูกผลักใสออกห่างจากความเมตตา
๑๙. และถ้าผู้ใดประสงค์เอาภาคภพหน้า(อาคิเราะห์) แล้วเขาก็อุตส่าห์ขนขวายด้วยปฏิบัติตนตามคำบัญชาใช้และห้ามเพื่อภพนั้นโดยเขาเป็นศรัทธาชน(มุอ์มิน) อยู่ ความอุตสาหะของเขาเหล่านั้นย่อมอยู่ในความรับรองจากอัลเลาะห์ที่จะทรงสนองกุศลให้


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 20 - 22


คำแปล R1.
20. To each these as well as those we bestow from the Bounties of your Lord. And the Bounties of your Lord can never be forbidden.
21. See how we prefer one above another (in this world) and verily, the Hereafter will be greater in degrees and greater in preference.
22. Set not up with Allah any other Ilah (God), (O man)! (This verse is addressed to Prophet Muhammad , but its implication is general to all mankind), or you will sit down reproved, forsaken (in the Hell-fire).


คำแปล R2.
20. ทุกสิ่ง เราได้มอบให้พวกเหล่านี้ (พวกโลกนี้) และพวกเหล่านี้ (พวกโลกหน้า) จากของประทานแห่งองค์อภิบาลของเจ้านั้นย่อมไม่ถูกจำกัด
21. จงพิจารณาเถิด อย่างไรบ้างที่เราได้ให้พวกเจ้าบางคนเหนือกว่าอีกบางคน(ในด้านปัจจัยยังชีพและอื่น ๆ) และขอยืนยันว่า ในโลกหน้านั้นมีฐานันดรอันใหญ่ยิ่งโดยแท้จริง และมีความเลิศเลอที่ยิ่งใหญ่(กว่าในโลกนี้มากนัก
22. เจ้าอย่าอุปโลกน์พระเจ้าอื่น ๆ ร่วมกับอัลเลาะฮฺ อันจะทำให้เจ้าต้องอยู่แบบถูกประณาม อีกทั้งถูกละเลย


คำแปล R3.
20. สำหรับปัจจัยยังชีพแห่งชีวิตโลกนี้นั้น เราได้ประทานสิ่งเหล่านี้และสิ่งเหล่านั้นแก่พวกเขา นี่เป็นการประทานของพระผู้อภิบาลของสูเจ้าและไม่มีใครที่จะมายับยั้งการประทานให้ ของพระผู้อภิบาลของสูเจ้า
21. แต่ถึงกระนั้นแล้วก็ตาม สูเจ้าก็สามารถเห็นได้ว่า เราได้ทำให้พวกเขาบางคนเหนือกว่าคนอื่น และในโลกหน้านั้นฐานะเหล่านี้จะยิ่งใหญ่กว่ากันมากนัก และความประเสริฐของพวกเขาก็จะเหนือกว่ากันมากมาย
22. จงอย่าตั้งพระเจ้าอื่นเทียบเคียงกับอัลลอฮฺ มิเช่นนั้นแล้วสูเจ้าจะถูกทำให้ตกต่ำลง เป็นที่เกลียดชังและช่วยตัวเองไม่ได้


คำแปล R4.
20. ทั้งหมด เราช่วยเขาเหล่านี้และเขาเหล่าโน้น จากการประทานให้ของพระเจ้าของเจ้า และการประทานให้ของพระเจ้าของเจ้านั้นมิถูกห้าม (แก่ผู้ใด)
21. จงดูเถิด  เราได้ทำให้บางคนในหมู่พวกเขาดีเด่นกว่าอีกบางคนอย่างไร?  และแน่นอนปรโลกนั้นมีฐานะยิ่งใหญ่กว่าหลายชั้น และยิ่งใหญ่กว่าในทางดีเด่น
22. เจ้าอย่าตั้งพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮมิฉะนั้นเจ้าจะกลายเป็นผู้ถูกเหยียดหยามถูกทอดทิ้ง


คำแปล R5.
๒๐. พวกเหล่านั้นฝ่ายหนึ่งที่ประสงค์เอาภาคภพดุนยาและอีกฝ่ายหนึ่งที่ประสงค์เอาภพอาคิเราะห์ แต่ละฝ่ายนี้เรา (อัลเลาะห์) ก็จะให้ได้รับความอำนวยจากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้า อาทิ เช่น ปัจจัยยังชีพและเกียรติยศ ณ ภพดุนยา อันความอำนวยจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้าในภาคภพดุนยานี้ ไม่มีเลยที่จะถูกคนใดไม่ว่าจะเป็นชนมุอ์มินหรือกาฟิรยับยั้งได้
๒๑. โอ้มุฮำมัด จงพิเคราะห์ดูเถิด ทำไมเรา(อัลเลาะห์) จึงเทิดพวกเขาบางพวกให้เหนือกว่าอีกพวกหนึ่งในด้านให้มีปัจจัยยังชีพและเกียรติยศมากกว่า แต่ทว่าภาคปรภพนั้นยิ่งใหญ่กว่า ภาคภพดุนยาถึงหลายชั้น และประเสริฐเลิศกว่าภพดุนยา อีกด้วย นั่นคือในภาคภพอาคิเราะห์มีสรวงสวรรค์และขุมนรกเป็นเครื่องแสดงถึงความเหลื่อมล้ำกว่ากัน ฉะนั้นจึงควรจะใฝ่ใจหาตาภาคภพอาคิเราะห์ให้ยิ่งกว่าภาคภพดุนยา
๒๒. โอ้มุฮำมัด เจ้าอย่าได้นับถือพระเจ้าอื่นคู่กับอัลเลาะห์เลย เจ้าจะได้ไม่อยู่ในฐานะถูกตำหนิจากชาวชนทั้งปวง และถูกทอดทิ้งความช่วยเหลือจากองค์พระผู้สร้าง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 03, 2013, 10:09 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 23 - 27


คำแปล R1.
23. And your Lord has decreed that you worship none but Him. And that you be dutiful to your parents. If one of them or both of them attain old age in your life, say not to them a word of disrespect, nor shout at them but address them in terms of honour.
24. And lower unto them the wing of submission and humility through Mercy, and say: "My Lord! Bestow on them your Mercy as they did bring me up when I was small."
25. Your Lord knows best what is in your inner-selves. If you are righteous, then, verily, He is ever Most forgiving to those who turn unto Him again and again in obedience, and in repentance.
26. And give to the kindred his due and to the Miskin(poor) and to the wayfarer. but spend not wastefully (your wealth) In the manner of a spendthrift . [Tafsir. At-Tabari, Vol. 10, Page 158 (Verse 9: 60)].
27. Verily, spendthrifts are brothers of the Shayatin (devils), and the Shaitan (Devil - Satan) is ever ungrateful to his Lord.


คำแปล R2.
23. องค์อภิบาลของเจ้าได้บัญชาไว้ว่า “พวกเจ้าทั้งหลายอย่านมัสการสิ่งใดนอกจากพระองค์เท่านั้น และจงทำความดีต่อผู้ให้กำเนิดทั้งสอง แม้นว่ามีคนหนึ่งจากทั้งสองหรือทั้งสองคนก็ตามได้บรรลุวัยชราอยู่กับเจ้า เจ้าก็จงอย่ากล่าวแก่ทั้งสองว่า “อุฟ” (คำอุทานแสดงความเบื่อ ความรำคาญและรังเกียจ)” เจ้าจงอย่าขู่ตะคอกแก่ทั้งสอง และจงพูดกับทั้งสองด้วยคำพูดที่ยกย่อง
24. และเจ้าจงลดปีกแห่งความนอบน้อมแด่ทั้งสองด้วยความเมตตา และจงกล่าวขอพระแก่ทั้งสองว่า “โอ้ องค์อภิบาล! โปรดเมตตาท่านทั้งสอง ประดุจเดียวกับท่านทั้งสองได้ชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามาแต่ยามเยาว์วัย”
25. อันองค์ของเจ้าทั้งหลายทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเจ้า หากแม้นพวกเจ้าเป็นคนดี แน่นอนที่สุดพระองค์ทรงให้อภัยแก่บรรดาผู้หมั่นสารภาพผิด
26. และจงมอบสิทธิ (อันพึงได้)แก่ญาติสนิท, แก่คนอนาถา และแก่คนเดินทาง และจงอย่าสุรุ่ยสุร่ายนัก
27. แท้จริงบรรดาผู้สุรุ่ยสุร่ายย่อมเป็นญาติของมารร้าย และมารร้ายนั้นเป็นผู้อกตัญญูต่อองค์อภิบาลของมันเอง


คำแปล R3.
23. พระผู้อภิบาลของสูเจ้า ได้บัญชาสูเจ้าไว้ดังนี้ว่าสูเจ้าจงอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้น และจงปฏิบัติดีต่อพ่อแม่ถ้าหากว่าผู้ใดในทั้งสองอยู่กับสูเจ้าในวัยชรา จงอย่ากล่าวแม้แต่คำว่า “อุฟ” แก่ท่านและจงอย่าตวาดท่านแต่จงพูดแก่ท่านทั้งสองด้วยถ้อยคำที่ให้เกียรติ
24. จงปฏิบัติต่อท่านทั้งสองด้วยความนอบน้อมและเมตตาและจงวิงวอนว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉันโปรดทรงเมตตาแก่ท่านทั้งสอง เช่นเดียวกับที่ท่านทั้งสองได้เลี้ยงดูฉันเมื่อครั้งเยาว์วัย”
25.พระผู้อภิบาลของสูเจ้าทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของสูเจ้า ถ้าสูเจ้าเป็นผู้ทำความดี แน่นอนพระองค์ก็จะทรงให้อภัยและหันมายังคนที่สำนึกผิดและเชื่อฟัง
26. จงปฏิบัติหน้าที่ของสูเจ้าที่มีต่อญาติของสูเจ้าและต่อผู้ขัดสนและผู้เดินทางให้ครบถ้วนและจงอย่าฟุ่มเฟือย
27. แท้จริงผู้ที่ฟุ่มเฟือยนั้นคือพี่น้องของเหล่ามาร และมารนั้นเนรคุณต่อพระผู้อภิบาลของมัน


คำแปล R4.
23. และพระเจ้าของเจ้าบัญชาว่า พวกเจ้าอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้นและจงทำดีต่อบิดามารดา เมื่อผู้ใดในทั้งสองหรือทั้งสองบรรลุสู่วัยชราอยู่กับเจ้า ดังนั้นอย่ากล่าวแก่ทั้งสองว่า อุฟ  และอย่าขู่เข็ญท่านทั้งสอง และจงพูดแก่ท่านทั้งสองด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน
24. และจงนอบน้อมแก่ท่านทั้งสอง ซึ่งการถ่อมตนเนื่องจากความเมตตา และจงกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของฉัน ทรงโปรดเมตตาแก่ท่านทั้งสองเช่นที่ทั้งสองได้เลี้ยงดูฉันเมื่อเยาว์วัย
25. พระเจ้าของพวกเจ้าทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเจ้า หากพวกเจ้าเป็นคนดี ดังนั้นพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยแก่บรรดาผู้กลับเนื้อกลับตัวอย่างแน่นอน
26. และจงให้สิทธิแก่ญาติที่ใกล้ชิด และผู้ขัดสน และผู้เดินทาง และอย่าสุรุ่ยสุร่ายอย่างฟุ่มเฟือย
27. แท้จริงบรรดาผู้สุรุ่ยสุร่ายนั้นเป็นพวกพ้องของเหล่าชัยฏอน และชัยฏอนนั้นเนรคุณต่อพระเจ้าของมัน


คำแปล R5.
๒๓. และโอ้ มูฮำมัด อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้ากำหนดไว้ว่า มิให้พวกเจ้าเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์และต่อบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองก็ปฏิบัติให้จงดี หากใครคนหนึ่งหรือทั้งสอง(บิดามารดา) ถึงแก่ชราภาพอยู่ในภาระแห่งการรับผิดชอบของเจ้าแล้วไซร้ เจ้าอย่าพูดคำที่ไม่สมควรพูดให้สะเทือนแก่ทั้งสองเลย ทั้งเจ้าอย่าได้ขู่ตะคอกทั้งสองอีกด้วย จงพูดกับทั้งสองด้วยสุภาพอ่อนโยนเถิด
๒๔. ทั้งเจ้าจงน้อมตนลงอยู่เบื้องต่ำ ฐานที่เจ้าได้รับเมตตาจากท่านทั้งสองเมื่อครั้งเจ้ายังเยาว์อยู่และจงเอ่ยคำอำนวยพรแก่เขาทั้งสองด้วยว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ขอได้โปรดปรานีต่อบิดามารดาทั้งสองแห่งข้าพระองค์เหมือนดั่งที่ทั้งสองเคยปรานีเลี้ยงดู และอบรมข้าพระองค์มาแต่ยังเป็นเด็กด้วยเถิด
๒๕. อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้าทรงทราบดีถึงภาวะแห่งกตัญญุตาและอกตัญญุตาอันมีอยู่ภายในจิตใจของพวกเจ้า หากพวกเจ้าเป็นเหล่าผู้ประพฤติชอบด้วยปฏิบัติตามข้อบัญญัติใช้และเว้นข้อบัญญัติของอัลเลาะห์ที่เกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติต่อบิดามารดาแล้วไซร้ แน่นอน พระองค์คือองค์ทรงอภัยยิ่งแก่เหล่าชนผู้ขอลุแก่โทษ อันเป็นโทษซึ่งเกิดขึ้นเพราะความพลั้งเผลอในหน้าที่พึงปฏิบัติต่อบิดามารดาทั้งที่ในใจของพวกเขาจะมีเนรคุณซ่อนเร้นอยู่ก็หามิได้ แล้วพวกเขาก็หันกลับมาประพฤติตามข้อบัญญัติดังกล่าวของพระองค์
   เมื่อพระองค์ทรงบรรยายถึงสิทธิอันบิดามารดาพึงได้รับจากผู้บุตรแล้ว พระองค์ก็ทรงบรรยายถึงสิทธิของวงศ์ญาติและบรรดาผู้ยากไร้ซึ่งเป็นคนอื่นดังโองการต่อไปว่า
๒๖. และเจ้าจงยื่นให้แก่วงศ์ญาติได้รับซึ่งสิทธิของเขาจะเป็นการอำนวยคุณในทางทรัพย์สินก็ดีและด้วยการกระชับไมตรีต่อวงศ์ญาติก็ดี หรืออื่น ๆ ก็ดี ทั้งจงยื่นให้แก่ผู้ยากเข็นด้วย และแก่ผู้เดินทางด้วย แต่เจ้าอย่าจ่ายอย่างฟุ่มเฟือยนัก โดยการจ่ายแม้กระทั่งมิใช่เพื่อภักดีต่ออัลเลาะห์
๒๗. แท้จริงเหล่าชนผู้ฟุ่มเฟือยในทางละเมิดนั้นเป็นคณะญาติของไชตอนฐานที่เจริญรอยตามมัน อันไชตอนนั้นเล่าคือผู้ทรยศยิ่งต่อองค์พระผู้อภิบาลของมัน ดังนั้นผู้ฟุ่มเฟือยที่ถูกอุปมาว่าเป็นคณะญาติของมันก็ย่อมจะทรยศต่อพระองค์ด้วยเช่นกัน


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 28 - 30


คำแปล R1.
28. And if you (O Muhammad) turn away from them (kindred, poor, wayfarer, etc. whom we have ordered you to give their rights, but if you have no money at the time they ask you for it) and you are awaiting a Mercy from your Lord for which you hope, then, speak unto them a soft kind word (i.e. Allah will give me and I shall give you).
29. And let not your hand be tied (like a miser) to your neck, nor stretch it forth to its utmost reach (like a spendthrift), so that you become blameworthy and in severe poverty.
30. Truly, your Lord enlarges the provision for whom He wills and straitens (for whom He wills). Verily, He is ever All-Knower, All-Seer of his slaves.


คำแปล R2.
28. และหากเจ้าถูก(ความจำเป็นบังคับ)ให้หันห่างจากพวกนั้น เพราะการแสวงหาความการุณย์จากองค์อภิบาลของเจ้า ซึ่งเจ้ามุ่งหวังที่จะได้มันมา เจ้าก็จงกล่าวคำพูดอันประโลมใจแก่พวกเขา
29. และเจ้าอย่านำมือของเจ้าคล้องไว้ที่ต้นคอด้วยความตระหนี่) และอย่าแบมือจนสุดเหยียด(ด้วยความฟุ้งเฟ้อสุรุ่ยสุร่าย) อันเป็นเหตุให้เจ้าต้องถูกตำหนิอีกทั้งสิ้นเนื้อประดาตัว
30. แท้จริงองค์อภิบาลของเจ้าทรงเผื่อแผ่โชคผลแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงจำกัด(โชคผลแก่บุคคลที่พระองค์ประสงค์) แท้จริงพระองค์ทรงตระหนักอีกทั้งทรงมองเห็นต่อมวลข้าทาสของพระองค์


คำแปล R3.
28. ถ้าหากสูเจ้าจำต้องบอกปัด(คนขัดสน)เพราะสูเจ้าเองก็ยังคอยความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่สูเจ้าเองก็กำลังหวัง ก็จงบอกปัดพวกเขาด้วยความนุ่มนวล
29. จงอย่าผูกมือของสูเจ้าเข้ากับคอของสูเจ้าและจงอย่าแบมือกว้างออกจนหมด มิฉะนั้นสูเจ้าจะตกเป็นผู้ถูกครหาและไม่มีอะไรเหลือ
30. แท้จริงพระผู้อภิบาลของสูเจ้าทรงประทานปัจจัยอย่างมากมายแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงระงับปัจจัยของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เช่นกัน เพราะพระองค์ทรงรู้ดีถึงสภาพของบ่าวของพระองค์และทรงเฝ้าดูเขาอย่างใกล้ชิด


คำแปล R4.
28. และหากเจ้าผินหลังให้พวกเขา เพื่อแสวงหาความเมตตาจากพระเจ้าของเจ้า โดยหวังมันอยู่ ดังนั้น จงกล่าวแก่พวกเขาด้วยถ้อยคำที่นิ่มนวล
29. และอย่าให้มือของเจ้าถูกตรึงอยู่ที่คอของเจ้า และอย่าแบมันจนหมดสิ้น มิฉะนั้นเจ้าจะกลายเป็นผู้ถูกประนาม เศร้าโศกเสียใจ
30. แท้จริง พระเจ้าของเจ้าทรงเพิ่มพูนปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงให้คับแคบ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ เป็นผู้ทรงเห็นปวงบ่าวของพระองค์


คำแปล R5.
๒๘. ถึงเจ้าจะยั้งหยุด มิหยิบยื่นให้แก่พวกเหล่านั้น จะเป็นวงศ์ญาติก็ดี ผู้ยากเข็นก็ดี หรือผู้เดินทางก็ดี เพราะเจ้าเองยังรอจะได้โภคลาภจากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้าอยู่ แล้วเจ้าจึงจะหยิบยื่นให้แก่พวกเหล่านั้น ก็จงพูดจากับพวกเขานั้นให้อ่อนโยนด้วยคำมั่นว่า เมื่อมีโภคลาภแล้วจะจ่ายให้เป็นแน่ หรือช่วยขอวิงวอนต่ออัลเลาะห์ทรงให้อำนวยโภคลาภในทางอื่นแก่พวกเขาเหล่านั้นก็ได้
๒๙. ทั้งอย่าได้ยั้งมือของเจ้าให้เหนียวแน่นนัก เพื่อจะไม่ยอมสละเสียเลย และอย่าได้แผ่ฝ่ามือของเจ้าให้กว้างนักเพื่อการเสียสละจนมากล้น เจ้าจะได้ไม่ตกอยู่ในฐานะถูกตำหนิและสิ้นเนื้อประดาตัว
๓๐. แน่แท้อัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลของเจ้าจะทรงแผ่โภคลาภอย่างกว้างขวางยื่นให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์และจะทรงจำกัดในการให้โภคลาภแก่ผู้ที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์ก็ได้ ด้วยว่าพระองค์นั้นทรงเป็นองค์รอบรู้ยิ่ง ทรงเห็นยิ่งถึงปวงบ่าวของพระองค์ ทั้งภายในและภายนอก


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 31 - 33


คำแปล R1.
31. And kill not your children for fear of poverty. We provide for them and for you. Surely, the killing of them is a great sin.
32. And come not near to the unlawful sexual intercourse. Verily, it is a Fahishah [i.e. anything that transgresses its limits (a great sin)], and an evil way (that leads one to Hell unless Allah forgives him).
33. And do not kill anyone which Allah has forbidden, except for a just cause. And whoever is killed (intentionally with hostility and oppression and not by mistake), we have given his heir the authority [(to demand Qisas, Law of Equality in punishment or to forgive, or to take Diya (blood money)]. But let him not exceed limits in the matter of taking life (i.e. he should not kill except the killer only). Verily, he is helped (by the Islamic law).


คำแปล R2.
31. และเจ้าทั้งหลายอย่าฆ่าลูก ๆ ของพวกเจ้าเพราะกลัวจน เพราะเราให้โชคผลแก่พวกเขาและพวกเจ้า แท้จริงการฆ่าพวกเขาเป็นบาปมหันต์
32. และเจ้าทั้งหลายอย่าเข้าใกล้การประเวณีนอกสมรส เพราะมันเป็นความอนาจารและเป็นหนทางอันชั่วร้าย
33. และพวกเจ้าอย่าฆ่าชีวิตซึ่งอัลเลาะฮฺได้ทรงบัญญัติห้ามไว้ ยกเว้นโดยสิทธิอันชอบธรรม (คือการประหารชีวิตตามบทลงโทษของกฎหมาย) และผู้ใดถูกฆ่าโดยได้รับความอธรรม แน่นอนเราได้กำหนดอำนาจแห่งทายาทของเขา (ให้ฟ้องร้องเพื่อขอให้ฆ่าตกตามกันไป) แต่เขาจะต้องไม่ละเมิดกฎหมายในการฆ่า แท้จริงเขาเป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือ (ให้รับคำฟ้องของเขาเพื่อจัดการแก่ฆาตกรไปตามตัวบทกฎหมาย)


คำแปล R3.
31. และจงอย่าฆ่าลูก ๆ ของสูเจ้าเพราะกลัวความยากจน เพราะเราต่างหากที่เป็นผู้ประทานปัจจัยแก่พวกเขาและสูเจ้าด้วย แท้จริง การฆ่าพวกเขานั้นเป็นความผิดบาปอย่างร้ายแรง
32. และจงอย่าเข้าใกล้การผิดประเวณีเพราะมันเป็นการลามกและหนทางชั่วช้า
33. และจงอย่าฆ่าชีวิตใดที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามไว้ ยกเว้นด้วยความถูกต้อง และถ้าผ๔ใดถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรม เราก็ได้ให้สิทธิในการที่จะแก้แค้นแก่ผู้ปกครองของเขา ดังนั้น จงอย่าละเมิดขอบเขตในการประหารให้ตายตกไปตามกัน เพราะเขาจะได้รับการช่วยเหลือ


คำแปล R4.
31. และพวกเจ้าอย่าฆ่าลูกๆ ของพวกเจ้าเพราะกลัวความยากจน เราให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาและแก่พวกเจ้าโดยเฉพาะ แท้จริงการฆ่าพวกเขานั้นเป็นความผิดอันใหญ่หลวง
32. และพวกเจ้าอย่าเข้าใกล้การผิดประเวณี แท้จริงมันเป็นการลามกและทางอันชั่วช้า
33. และพวกเจ้าอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้ เว้นแต่ด้วยความเที่ยงธรรม และผู้ใดถูกฆ่าอย่างอยุติธรรม ดังนั้น เราได้ให้อำนาจแก่ผู้ปกครองของเขา ฉะนั้น อย่าได้ล่วงเกินขอบเขตในเรื่องการฆ่า แท้จริงเขา (ผู้ถูกอธรรม) จะได้รับความช่วยเหลือ


คำแปล R5.
๓๑. โอ้ปวงชนผู้มั่งมีทรัพย์ และพวกเจ้าอย่าฆ่าลูก ๆ ของพวกเจ้าด้วยการฝังทั้งเป็นเพราะเกรงความยากจนเลย เรา(อัลเลาะห์) นี้จะอำนวยโภคลาภให้ทั้งพวกเขาและพวกเจ้าด้วย แน่แท้การฆ่าพวกเขา(ลูก ๆ)  นั้นเป็นบาปยิ่งใหญ่นัก
๓๒. ทั้งพวกเจ้าอย่าย่างใกล้สิ่งยั่วยวนให้ทำ การประเวณีนอกอนุญาตกับหญิง อาทิเช่น กระทบ จุมพิต และมองดูเป็นต้น ด้วยว่าการกระทำชั่วเช่นนั้นกับผู้หญิงเป็นความเลวทรามและเป็นแนวทางที่ชั่วนัก
๓๓. พวกเจ้าอย่าฆ่าชีวิตซึ่งอัลเลาะห์ทรงตราห้ามไว้ว่าเป็นบาป นอกจากโดยมีสิทธิอันชอบธรรม เช่นสิทธิในการประหารผู้สิ้นสภาพเป็นมุอ์มินริดดะห์) ผู้ทำประเวณีนอกอนุญาต ทั้งที่มีภรรยาแล้วหรือสิทธิในการประหารฆาตกรที่ทำการฆ่ามุอ์มินผู้บริสุทธิ์โดยเจตนา และถ้าผู้ใดถูกฆ่าโดยมิชอบธรรม แน่นอนเรา(อัลเลาะห์) จะให้ผู้เป็นทายาทของเขามีอำนาจเหนือตัวฆาตกร แต่มิให้ผู้เป็นทายาทของผู้ถูกฆ่านั้นกระทำล่วงล้ำขอบเขตแห่งอำนาจฆ่า ด้วยฆ่าผู้มิใช่ฆาตกรหรือฆ่าด้วยอาวุธต่างจากที่ใช้ฆ่าผู้ตาย แน่แท้ผู้เป็นทายาทของผู้ถูกฆ่านั้น ย่อมได้รับการช่วยเหลือด้วยให้มีการตอบแทนโทษ และด้วยอาศัยอำนาจแห่งผู้พิพากษาให้ผู้นั้นได้รับผลสำเร็จในการทดแทน


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 34 - 36


คำแปล R1.
34. And come not near to the orphan's property except to improve it, until he attains the age of full strength. And fulfill (every) covenant. Verily! The covenant will be questioned about.
35. And give full measure when you measure, and weigh with a balance that is straight. That is good (advantageous) and better in the end.
36. And follow not (O man i.e., say not, or do not or witness not, etc.) that of which you have no knowledge (e.g. one's saying: "I have seen," while in fact he has not seen, or "I have heard," while he has not heard). Verily! The hearing, and the sight, and the heart, of each of those you will be questioned (by Allah).


คำแปล R2.
34. และพวกเจ้าอย่าเข้าใกล้ทรัพย์สินของลูกกำพร้ายกเว้นในกรณีที่เป็นคุณแก่เขา จนกว่าเขาจะบรรลุสู่วัยฉกรรจ์ (ก็มอบทรัพย์สินนั้นให้เขาครอบครองด้วยตัวเขาเอง) และพวกเขจ้าจงทำตามสัญญาให้ครบถ้วน แท้จริงสัญญา (ทุกอย่าง)ต้องถูกสอบสวน
35. และเจ้าทั้งหลายจงตวงให้ครบตามพิกัดเมื่อพวกเจ้าทำการตวงและจงชั่งด้วยตาชั่งที่เที่ยงตรง นั้นเป็นความดีและเป็นผลบั้นปลายที่งดงามยิ่ง
36. และเจ้าอย่าถือตาม (อย่าออกความเห็นใน) สิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ เพราะแท้จริงหู, ตา, และจขิตใจ ทั้งหมดเหล่านั้นจะต้องถูกสอบสวนทั้งสิ้น


คำแปล R3.
34. จงอย่าเข้าใกล้ทรัพย์สินของเด็กกำพร้าเว้นแต่ในลักษณะที่ดีที่สุด จนกว่าเขาจะบรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่ และจงปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วนเพราะสูเจ้าจะต้องรับผิดชอบต่อสัญญาที่สูเจ้าได้ทำไว้
35. และจงตวงให้ครบตามจำนวนเมื่อสูเจ้าตวงและจงชั่งให้ถูกต้องเที่ยงตรงเมื่อสูเจ้าชั่ง นี่คือวิธีการที่ดี และจะเห็นว่ามันดีกว่าในบั้นปลาย
36. และจงอย่าปฏิบัติตามสิ่งที่สูเจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นเพราะสูเจ้าจะถูกสอบถามในเรื่อง(การใช้)ตา หู และความคิด


คำแปล R4.
34. และพวกเจ้าอย่าเข้าใกล้ทรัพย์สินของเด็กกำพร้า เว้นแต่โดยวิธีที่ดียิ่ง จนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะ และจงให้ครบตามสัญญา (เพราะ) แท้จริงสัญญานั้นจะถูกสอบสวน
35. และจงตวงให้เต็ม เมื่อพวกเจ้าตวงและจงชั่งด้วยตาชั่งที่เที่ยงตรง นั่นเป็นการดียิ่งและเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่า
36. และอย่าติดตามสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงหู และตา และหัวใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกสอบสวน


คำแปล R5.
๓๔. และพวกเจ้าอย่าย่างใกล้ทรัพย์ของกำพร้าไม่ว่าจะโดยนัยใด นอกจากโดยนัยที่เป็นคุณยิ่ง เช่น จัดการทรัพย์นั้นให้มีผลเพิ่มขึ้นแก่กำพร้า และเมื่อจะจ่ายทรัพย์ของกำพร้าก็ต้องจ่ายไปในทางกุศลตามปกติวิสัยทั้งนี้จนกว่าเขา(กำพร้า) จะบรรลุวัยหนุ่มฉกรรจ์ ซึ่งสามารถดำเนินกิจการด้วยทรัพย์ของตนเองได้ดีตามปกติด้วยสติปัญญาและไหวพริบ เมื่อเช่นนี้แล้วย่อมถือว่าผู้อื่นย่อมสิ้นอำนาจปกครองทันที ถ้ามิเช่นนั้น กำพร้าดังกล่าวจะต้องอยู่ในความปกครองของผู้อื่นต่อไป อีกทั้งพวกเจ้าจงปฏิบัติให้บริบูรณ์ตามสัญญา ในเมื่อพวกเจ้ามีสัญญาไว้ต่ออัลเลาะห์ เช่นที่เกี่ยวกับข้อบัญญัติใช้ต่าง ๆ ของพระองค์ มีการปฏิบัติละหมาดเป็นต้นหรือมีสัญญาต่อมนุษย์ด้วยกัน แน่แท้การปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืนสัญญานั้นย่อมถูกไต่ถาม ทั้งในผู้ปฏิบัติบริบูรณ์ตามสัญญาและผู้ฝ่าฝืนสัญญา
๓๕. ทั้งพวกเจ้าจงปฏิบัติให้บริบูรณ์ในเรื่องตวงในเมื่อพวกเจ้าจะทำการตวง และจงชั่งด้วยตราชั่งที่เที่ยงตรง การปฏิบัติให้บริบูรณ์ทั้งในการตวงก็ดี และในการชั่งด้วยตาชั่งที่เที่ยงตรงก็ดี นั่นแหละเป็นการดียิ่งสำหรับในภาคภพนี้ ทั้งนี้เพื่อเป็นทางหนึ่งที่ชวนให้ลูกค้าสนใจอยู่แต่พ่อค้าผู้มีความสุจริต และเป็นผลได้รับอันดีงามยิ่งในภาคภพอาคิเราะห์
๓๖. พวกเจ้าอย่าได้ยุติการใด ๆ ทั้งที่เจ้ามิได้รู้ในสิ่งนั้น เช่นเจ้ากล่าวว่า “ฉันเห็น ฉันได้ยิน ฉันรู้ และฉันเป็นนักศาสนวิจัย(มุจตะฮิด)” ทั้ง ๆ ที่เจ้ามิได้เห็น มิได้ยิน มิได้รู้และเป็นเพียงผู้เจริญตาม(มุก็อลลิด)” แน่แท้ประสาทสัมผัสแห่งการได้ยินด้วยหู เห็นด้วยตา และรู้ด้วยใจทั้งสิ้นนี้แหละที่จะถูกไต่ถามถึงเจ้าตัวแห่งประสาทสัมผัสทั้งสามนั้นในวันปรภพว่า “เจ้าตัวเคยใช้พวกเจ้า(หู ตา และใจ)ทำหน้าที่ใดบ้าง”


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 37 - 39


คำแปล R1.
37. And walk not on the earth with conceit and arrogance. Verily, you can neither rend nor penetrate the earth, nor can you attain a stature like the mountains in height.
38. All the bad aspects of these (the above mentioned things) are hateful to your Lord.
39. This is (part) of Al-Hikmah (wisdom, good manners and high character, etc.) which your Lord has inspired to you (O Muhammad). And set not up with Allah any other Ilah (God) lest you should be thrown into Hell, blameworthy and rejected, (from Allah's Mercy).


คำแปล R2.
37. และเจ้าจงอย่าเดินบนพื้นปฐพีนี้ในอาการจองหอง เพราะเจ้าไม่อาจแยกแผ่นดินออกได้ และเจ้าไม่อาจทำตัวให้สูงเท่าเทียมกับภูเขาได้หรอก
38. ทุก ๆ สิ่งนั้น (ตามที่กล่าวมาตั้งแต่อายะฮฺที่ 12 – 37) ความเลวร้ายของมันเป็นสิ่งถูกรังเกียจ ณ องค์อภิบาลของเจ้า
39. นั้น! เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการที่องค์อภิบาลของเจ้าได้ดลมายังเจ้า และเจ้าอย่าอุปโลกน์พระเจ้าอื่นใดขึ้นร่วมกับอัลเลาะฮ์ แล้วเจ้าจะถูกโยนลงไปในนรกอย่างถูกประณามและถูกขับไส


คำแปล R3.
37. จงอย่าเดินวางท่าผยองในแผ่น เพราะสูเจ้าไม่สามารถที่จะแยกแผ่นดินและขึ้นสูงถึงภูเขาได้เลย
38. ความเลวของแต่ละสิ่งนี้เป็นที่น่ารังเกียจยิ่งในสายตาของพระผู้อภิบาลของสูเจ้า
39. นี่คือส่วนหนึ่งจากวิทยปัญญาที่พระผู้อภิบาลของสูเจ้าได้ทรงประทานแก่สูเจ้า และสูเจ้าจงอย่าตั้งพระเจ้าอื่นใดมาเคียงคู่กับอัลลอฮฺ มิฉะนั้นสูเจ้าจะถูกโยนเข้าไปในนรกที่ถูกสาปแช่งและไม่ได้รับสิ่งดี


คำแปล R4.
37. และอย่าเดินบนแผ่นดินอย่างเย่อหยิ่งแท้จริงเจ้าจะแยกแผ่นดินไม่ได้เลย และจะไม่บรรลุความสูงของภูเขา
38. ทั้งหมดนั้น ความเลวของมันเป็นที่รังเกียจยิ่ง ณ พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า
39. นั่นคือส่วนหนึ่งจากที่พระเจ้าของเจ้าทรงประทานฮิกมะฮแก่เจ้า และเจ้าอย่าตั้งพระเจ้าอื่นใดเคียงคู่กับอัลลอฮมิฉะนั้นเจ้าจะถูกโยนลงในนรกญะฮันนัม เป็นผู้ถูกครหา ถูกขับไล่


คำแปล R5.
๓๗. ทั้งเจ้าอย่าเดิน ณ ภาคพิภพนี้ด้วยลำพองและโอหังนักเลย ใช่ว่าเจ้านั้นจะถล่มแผ่นดินได้ด้วยแค่เอาเท้ากระทืบแรง ๆ ก็หาไม่ และใช่ว่าเจ้าจะสูงเทียมภูเขาก็เปล่า แล้วจะเย่อหยิ่งไปใย ?
๓๘. รวมทั้งสิ้น ๒๕ ประการที่กล่าวมาตั้งแต่โองการที่ ๒๒ – ๓๗ คือ ๑. เจ้าอย่าได้นับถือพระเจ้าอื่นคู่กับอัลเลาะห์ ๒-๓. องค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้ากำหนดไว้ว่ามิให้เคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์ ๔. และต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองก็ปฏิบัติให้จงดี ๕. เจ้าอย่าพูดกระชากแก่ทั้งสองเลย ๖. ทั้งอย่าได้ขู่ตะคอกทั้งสองอีกด้วย ๗. จงพูดแก่ทั้งสองด้วยสุภาพอ่อนโยนเถิด ๘. ทั้งเจ้าจงน้อมตนลงอยู่เบื้องต่ำฐานที่ได้รับเมตตาจากทั้งสอง ๙. และจงเอ่ยว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดปรานีต่อทั้งสอง ๑๐. และเจ้าจงยื่นให้แก่วงศ์ญาติได้รับซึ่งสิทธิ์ของเขา ๑๑. แก่ผู้ยากเข็นด้วย ๑๒. และแก่ผู้เดินทางด้วย ๑๓. แต่เจ้าอย่าจ่ายฟุ่มเฟือยนัก ๑๔. จงพูดจากับพวก(วงศ์ญาติ ผู้ยากเข็น ผู้เดินทาง)เหล่านั้นให้อ่อนโยน ๑๕. ทั้งเจ้าอย่าได้ยั้งมือของเจ้าให้เหนียวแน่นนัก ๑๖. และอย่าได้แผ่ฝ่ามือของเจ้าให้กว้างนัก ๑๗. พวกเจ้าอย่าฆ่าลูก ๆ ของพวกเจ้า ๑๘. ทั้งพวกเจ้าอย่าย่างใกล้การทำประเวณีนอกอนุญาต ๑๙. พวกเจ้าอย่าฆ่าชีวิตซึ่งอัลเลาะห์ทรงตราห้ามไว้ ๒๐. แต่มิให้ผู้เป็นทายาทของผู้ถูกฆ่านั้นกระทำล่วงล้ำอำนาจฆ่าและพวกเจ้าอย่าย่างใกล้ทรัพย์ของกำพร้า ๒๑. ทั้งพวกเจ้าจงปฏิบัติให้บริบูรณ์ตามสัญญา ๒๒. พวกเจ้าจงปฏิบัติให้บริบูรณ์ในเรื่องตวง ๒๓. และพวกเจ้าจงชั่งด้วยตาชั่งที่เที่ยงตรง ๒๔. พวกเจ้าอย่าได้ยุติการใด ๆ ทั้งที่เจ้ามิได้รู้ในสิ่งนั้น ๒๕. และเจ้าอย่าเดิน ณ ภาคพิภพนี้ด้วยลำพองนักเลย เหล่านี้มีที่เป็นข้อบัญญัติห้ามสิบสองประการ ซึ่งความเลวร้ายของมันได้ถูกตราห้ามไว้ โดยองค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้า ส่วนนอกนั้นเป็นข้อบัญญัติใช้ ซึ่งคุณธรรมของมันเป็นที่ยินดีและได้รับความชมเชยยิ่งนักจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้า
๓๙. โอ้ มุฮำมัดเรื่องที่กล่าวตั้งแต่โองการที่ ๒๒ เรื่อยมานี้ คือส่วนหนึ่งแห่งคำเตือนที่อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้าทรงดลกระแสโองการมายังเจ้า (มุฮำมัด) แล้ว ทั้งเจ้าอย่าได้นับถือพระเจ้าอื่นคู่กับอัลเลาะห์เลย เจ้าจะได้ไม่ถูกโยนลงนรกยะฮันนำอย่างน่าอดสูและถูกผลักใสออกห่างจากเมตตาแห่งอัลเลาะห์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 40 - 44


คำแปล R1.
40. Has then your Lord (O pagans of Makkah) preferred for you sons, and taken for himself from among the angels daughters. Verily! You utter an awful saying, indeed.
41. And surely, we have explained [Our Promises, Warnings and (set forth many) examples] in this Qur'an that they (the disbelievers) may take heed, but it increases them in naught save aversion.
42. Say (O Muhammad to these polytheists, pagans, etc.): "If there had been other A’liha (gods) along with Him as they assert, then they would certainly have sought out a way to the Lord of the Throne (seeking his pleasures and to be near to Him).
43. Glorified and High be He! From 'Uluwan Kabira (the great falsehood) that they say! (i.e. forged statements that there are other gods along with Allah, but He is Allah, the one, the Self-Sufficient master, whom all creatures need. He begets not, nor was He begotten, and there is none comparable or coequal unto Him).
44. The seven heavens and the earth and all that is therein, glorify Him and there is not a thing but glorifies his praise. But you understand not their glorification. Truly, He is ever forbearing, Oft-Forgiving.


คำแปล R2.
40. แล้วองค์อภิบาลของเจ้าได้ทรงคัดเลือกบุตรชายให้แก่พวกเจ้าและพระองค์ทรงเอามลาอิกะฮฺมาเป็นบุตรหญิงของพระองค์เอง(ตามความเข้าใจของพวกเจ้า)กระนั้นหรือ แท้จริงพวกเจ้าพูดในเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก
41. ขอยืนยัน! แท้จริงเราได้ชี้แจงไว้ในอัลกุรอานนี้ (รายละเอียดในด้านต่าง ๆ ) เพื่อพวกเจ้าจะได้สำนึก แต่มิได้เพิ่มพูนแก่พวกเขาเลยนอกจากความหน่ายแหนงเท่านั้น
42. จงประกาศเถิด! มาดแม้นมีพระเจ้าต่าง ๆ เป็นภาคีร่วมกับพระองค์เหมือนที่พวกเขาพูดแล้วไซร้ แน่นอนพวกเหล่านั้นก็ต้องใฝ่หาหนทาง(เพื่อยกระดับตัวเองให้มีฐานะเทียบเท่า)ถึงอัลเลาะฮฺ ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งบัลลังก์
43. พระองค์ทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก! และทรงสูงส่งเกินกว่าสิ่งที่พวกเขาพูด เป็นความสูงส่งอันยิ่งใหญ่(ไม่มีสิ่งใดเทียมทาน)
44. ฟากฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินรวมทั้งสรรพสิ่งในมันเหล่านั้นต่างแซ่ซ้องสดุดีในพระบริสุทธิคุณแห่งพระองค์และไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ๆ ก็ตาม นอกจากจะแซ่ซ้องสดุดีพระบริสุทธิคุณพร้อมกับการสรรเสริญพระองค์ และแต่ทว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจการแซ่ซ้องของพวกนั้น แท้จริงพระองค์ทรงไว้ซึ่งความสุขุมยิ่ง อีกทั้งทรงให้อภัย


คำแปล R3.
40.อะไรนะ พระผู้อภิบาลของสูเจ้านั้นหรือที่จะทรงให้ลูก ๆ ผู้ชายแก่สูเจ้าและทรงเอามลาอิกะฮฺเป็นลูกสาวของพระองค์? โกหกอย่างมหันต์ชัด ๆ ที่สูเจ้ากล่าวมา
41. เราได้ตักเตือนผู้คนด้วยวิธีการต่าง ๆ ในกุรอานเพื่อที่พวกเขาจะได้รับการตักเตือน แต่พวกเขากลับวิ่งห่างออกไปจากสัจธรรมมากขึ้น
42. (โอ้มุฮัมมัด) จงบอกพวกเขาเถิดว่าถ้าหากมีพระเจ้าอื่น ๆ เคียงคู่กับพระองค์ดังที่พวกเขากล่าว แน่นอนพวกมันน่าจะพยายามหาทางไปให้ถึงเจ้านายแห่งบัลลังก์
43. มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ผู้ทรงปลอดพ้นและสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับพระองค์
44. ชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินและทุกสรรพสิ่งในนั้นต่างกำลังกล่าวแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์พร้อมกับยกย่องสดุดีพระองค์ แต่สูเจ้าไม่เข้าใจการแซ่ซ้องสรรเสริญของพวกมัน แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงขันติและผู้ทรงให้อภัย


คำแปล R4.
40. พระเจ้าของพวกเจ้าทรงเลือกลูกผู้ชายให้แก่พวกเจ้า และพระองค์ทรงเลือกเอามะลาอิกะฮเป็นลูกผู้หญิงกระนั้นหรือ  แท้จริงพวกเจ้านั้นกำลังกล่าวคำพูดที่ร้ายกาจอย่างแน่นอน
41. และโดยแน่นอน เราได้ชี้แจงในอัลกุรอานนี้ เพื่อพวกเขาจะได้รำลึก แต่มันมิได้เพิ่มสิ่งใดแก่พวกเขา นอกจากการเตลิดหนี
42. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด หากมีพระเจ้ามากหลายคู่เคียงกับพระองค์เช่นที่พวกเขากล่าวเมื่อนั้นแน่นอนพวกมันจะแสวงหาทางไปสู่พระผู้ทรงครองบัลลังก์
43. มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ และพระองค์ทรงสูงส่งเหนือจากที่พวกเขากล่าว ทรงสูงส่งอย่างใหญ่หลวง
44. ชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินและที่อยู่ในนั้นสดุดีสรรเสริญแด่พระองค์ และไม่มีสิ่งใดเว้นแต่จะสดุดีด้วยการสรรเสริญพระองค์แต่ว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจคำสดุดีของพวกเขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงหนักแน่น ผู้ทรงอภัยเสมอ


คำแปล R5.
เมื่ออัลเลาะห์ทรงบัญชาใช้ให้ถือฝนเรื่องแห่งเอกภาพของพระองค์และทรงห้ามการปลูกฝังการถือภาคีในพระองค์เสร็จแล้ว พระองค์จึงทรงบรรยายตามด้วยการกล่าวถึงหนทางแห่งความหายนะของผู้ซึ่งอ้างว่าพระองค์มีบุตร พระองค์จึงได้ตรัสว่า
๔๐. โอ้ชนชาวนครมักกะห์ ไม่น่าเลยที่พวกเจ้าจะพอใจในอันที่จะเจาะจงว่า องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้ามีบุตรชายและว่าพระองค์ทรงมีบางมลาอิกะห์เป็นบุตรหญิง เป็นข้อน่าตำหนิยิ่งนักที่พวกเจ้าคาดคะเนคิดเช่นนั้น แน่แท้พวกเจ้านี้พูดจาใหญ่ยิ่งนัก ที่อ้างคำเกี่ยวกับบุตรหญิงไปยังอัลเลาะห์ตามความเชื่อถือและแนวความคิดของพวกเจ้า
๔๑. และขออ้างเป็นสัจจะว่า แน่นอนเรา(อัลเลาะห์) ได้แจกแจงข้อเปรียบเทียบตลอดจนสัญญาแห่งการตอบสนองกุศลและสัญญาแห่งการตอบสนองโทษไว้ในอัล-กุรอานนี้แล้ว เพื่อพวกเขาผู้เป็นชาวนครมักกะห์จะได้นอบน้อมในคำเตือนที่มีระบุไว้ในอัล-กุรอาน ทั้งพระองค์มิได้ทรงเพิ่มความพยศอันใดให้หนักขึ้นแก่พวกเขาเลย นอกจากความเหินห่างความจริงแท้เท่านั้น
๔๒. โอ้ มุฮำมัด จงกล่าวเถิดแก่ปวงชนชาวนครมักกะห์ หากมีพระเจ้าอื่นใดอีกหลายองค์คู่กับพระองค์ด้วยตามที่พวกเจ้าอ้างแล้ว พวกพระเจ้าเหล่านั้นก็จะใฝ่หาหนทางไปถึงอัลเลาะห์ องค์ผู้ครองอัรช์ เพื่อทำการรณรงค์กับพระองค์ให้จงได้ในทันใดนั้นเทียว ประดุจธรรมเนียมในแว่นแคว้นหนึ่ง ๆ ที่มีพระราชาสองพระองค์ขึ้นไป ย่อมต้องมีการสู้รบและทำลายล้างกัน แต่ไม่เป็นที่ปรากฏว่ามีพระเจ้าอื่น ๆ องค์ใดพยายามใฝ่หาหนทางดังกล่าว ก็ลงเนื้อความได้เลยว่า พวกพระเจ้าทั้งหลายทั้งปวงไม่มี
๔๓. มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ผู้ซึ่งปราศพ้นความมัวหมองอันจะคู่เคียงกับพระองค์หาได้ไม่ ไม่ว่าจะในด้านองค์แห่งพระองค์ ในด้านคุณลักษณะ ในด้านกิจทั้งปวง ในด้านพระนาม ตลอดถึงในด้านบทแห่งบัญญัติของพระองค์ และพระองค์ทรงเลิศล้นเกินกว่าเหล่าเทวรูปที่พวก(กาฟิรชาวมักกะห์) เหล่านั้นจะกล่าวว่าสูงส่ง

เมื่ออัลเลาะห์ทรงกล่าวลบล้างถ้อยคำของบรรดาชนที่อ้างว่า “มลาอิกะห์คือบุตรแห่งอัลเลาะห์” และพระองค์ก็ทรงกล่าวแสดงในบริสุทธิคุณของพระองค์ โต้คำอ้างของพวกกาฟิรชาวมักกะห์แล้ว พระองค์จึงทรงแสดงพระคำเสริมขึ้นว่า
๔๔. บรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ด ผืนแผ่นดิน และ มวลมนุษย์ เหล่ามลาอิกะห์ เหล่าสัตว์ ตลอดทั้งบรรดาวัตถุ รวมถึงเทวรูปทั้งปวงด้วย ที่อยู่ ณ แหล่งเหล่านั้น ต่างถวายความบริสุทธิ์สะอาดต่อพระองค์อยู่ และไม่ว่าสิ่งใด ๆ จะเป็นมนุษย์ ยิน มลาอิกะห์ ตลอดทั้งเหล่าสัตว์ และบรรดาวัตถุธาตุ มีแต่จะกล่าวสดุดีสรรเสริญพระองค์เท่านั้น แต่ทว่าพวกเจ้าหาได้เข้าใจในคำสดุดีของพวกเหล่านั้นไม่ ด้วยว่าคำสดุดีดังกล่าวมิได้ใช้ภาษาของพวกเจ้า แต่เป็นภาษาที่พวกเจ้าไม่อาจเข้าใจได้ เพราะพวกเจ้าถูกสกัดไว้ด้วยกำแพงแห่งเสียง แน่แท้พระองค์ทรงเป็นองค์สุขุมยิ่ง ทรงเป็นองค์อภัยยิ่ง ด้วยพระองค์ไม่ทรงเร่งลงโทษพวกเจ้าในทันทีเลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 45 - 49


คำแปล R1.
45. And when you (Muhammad) recite the Qur'an, we put between you and those who believe not in the Hereafter, an invisible veil (or screen their hearts, so they hear or understand it not).
46. And we have put coverings over their hearts lest, they should understand it (the Qur'an), and in their ears deafness. And when you make mention of your Lord alone [La Ilaha ill-Allah (none has the right to be worshipped but Allah) Islamic Monotheism] in the Qur'an, they turn on their backs, fleeing in extreme dislikeness.
47. We know best of what they listen to, when they listen to you. And when they take secret counsel, behold the Zalimun (polytheists and wrong-doers, etc.) say: "You follow none but a bewitched man."
48. See what examples they have put forward for you. So they have gone astray, and never can they find a way.
49. And they say: "When we are bones and fragments (destroyed), should we really be resurrected (to be) a new creation?"


คำแปล R2.
45. และเมื่อเจ้าอ่านอัลกุรอานเราก็ดลบันดาลให้มีฉากกำบังไว้ระหว่างเจ้าและระหว่างพวกที่ไม่ศรัทธาต่อโลกหน้า
46. และเราบันดาลฝาครอบบนหัวใจของพวกนั้น )เป็นอุปสรรค)ที่พวกเขาจะเข้าใจในคัมภีร์นั้น และในหูของพวกเขามีความตึง (ฟังอะไรไม่รู้เรื่อง) และเมื่อเจ้าได้กล่าวถึงองค์อภิบาลของเจ้าในอัลกุรอานแต่พระองค์เดียว พวกเหล่านั้นก็หันหลังหนีไปอย่างหน่ายแหนง
47. เรารอบรู้สิ่งที่พวกเขาฟัง(ว่ามีเป้าหมายอย่างไร?) เมื่อพวกเขาฟังเจ้าอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน) และเมื่อพวกเขาได้แอบซุบซิบกันเอง บรรดาพวกฉ้อฉล(ทรยศ)ก็กล่าวว่า “พวกท่านมิได้ตาม(ผู้ใดเลย)นอกจากชายคนหนึ่งที่ถูกกระทำทางมายากล”
48. จงพินิจเถิด! พวกเขายกอุทาหรณ์ต่าง ๆ แก่เจ้าอย่างไรบ้าง แล้วพวกเขาก็หลงผิด แล้วพวกเขาก็ไม่มีความสามารถ(อยู่ใน)หนทาง(อันถูกต้องเลย
49. และพวกเขากล่าวว่า “เมื่อพวกเราได้(ตายไป) เหลือแต่กระดูก และเป็นผุยผงไปแล้ว เราจะยังถูกฟื้นขึ้นมาในกำเนิดใหม่อีกกระนั้นหรือ ?”


คำแปล R3.
45.เมื่อเจ้าอ่านกุรอาน เราได้กั้นม่านที่มองไม่เห็นระหว่างเจ้ากับบรรดาผู้ไม่เชื่อในโลกหน้า
46. และเราได้ปิดคลุมหัวใจของพวกเขาไว้เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่เข้าใจและเราได้ทำให้หูของเขาไม่ได้ยิน
และเมื่อเจ้าเอ่ยถึงพระผู้อภิบาลของเจ้าในกุรอานเพียงองค์เดียว พวกเขาก็จะหันหน้าไปทางอื่นด้วยความเกลียดชัง
47. เรารู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกเขาอยากจะได้ยินเมื่อพวกเขาฟังเจ้า และสิ่งที่พวกเขาพูดเมื่อพวกเขานั่งร่วมปรึกษากันอย่างลับ ๆ พวกคนทำผิดเหล่านี้กล่าวต่อกันและกันว่า “คนที่พวกท่านกำลังตามอยู่นี้เป็นผู้ที่ถูกคาถาอาคมจริง ๆ”
48. ดูซิว่าพวกเข้าใช้ฉายาอะไรกับเจ้าบ้าง พวกเขาหลงทางไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถหาหนทางที่ถูกต้องได้
49. พวกเขากล่าวว่า “อะไรนะ จริงหรือที่เราจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งเมื่อเราเหลือแต่กระดูกและผุป่นแล้ว?”


คำแปล R4.
45. และเมื่อเจ้าอ่านอัลกุรอาน เราได้กางม่านที่ถูกซ่อนไว้ กั้นระหว่างเจ้าและบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อวันปรโลก
46. และเราได้ทำฝาปิดบนหัวใจของพวกเขาเพื่อมิให้พวกเขาเข้าใจมัน (อัลกุรอาน) และในหูของพวกเขานั้นหนวก และเมื่อเจ้ากล่าวถึงพระเจ้าของเจ้าในอัลกุรอานเพียงองค์เดียว พวกเขาก็ผินหลังของพวกเขาเตลิดหนี
47. เรารู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกเขาฟังมัน ขณะที่พวกเขาเงี่ยหูฟังเจ้า และขณะที่พวกเขาปรึกษากันลับๆ โดยพวกอธรรมกล่าวว่า พวกท่านมิได้ตามผู้ใด นอกจากผู้ถูกเวทมนต์เท่านั้น
48. จงดูเถิด  พวกเขายกอุทาหรณ์แก่เจ้าอย่างไร ดังนั้นพวกเขาได้หลงแล้ว พวกเขาไม่สามารถหาทางใดๆ ได้
49. และพวกเขากล่าวว่า เมื่อเราเป็นกระดูกและร่วนยุ่ยแล้ว แท้จริงเราจะถูกให้ฟื้นขึ้นเพื่อกำเนิดใหม่แน่หรือ


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้
   มีลงมาในคราวที่อบูยะฮัลกับอุมมุยะมีลภรรยาอบูยะฮัลมีเจตนาจะลอบสังหารพระนบีมุฮำมัด จึงมีโองการลงมาว่า

๔๕. โอ้มุฮำมัด และเมื่อเจ้าได้อ่านพระคัมภีร์อัล-กุรอานโดยทั่วไปหรือในสามแห่ง จากโองการที่รู้กันแพร่หลายคือโองการที่ ๑๐๘ ซูเราะห์อัล-นะห์ลุ โองการที่ ๕๗ ซูเราะห์อัล-กะห์ฟุ และโองการที่ ๒๓ ซูเราะห์อัลยาซิยะห์อยู่นั้น เรา(อัลเลาะห์) ได้ให้มีฉากกำบังไว้ระหว่างเจ้ากับบรรดาชนที่มิได้ศรัทธาต่อวันปรภพด้วย เพื่อกันไม่ให้ชนเหล่านั้นแลเห็นเจ้า
๔๖. ทั้งเรา(อัลเลาะห์) ยังได้ให้มีฝาครอบหัวใจกันมิให้พวกเหล่านั้นเข้าใจในพระคัมภีร์อัล-กุรอาน พวกเหล่านั้นจึงไม่สามารถเข้าใจใจพระคัมภีร์อัล-กุรอาน และยังที่หูของพวกเหล่านั้นอีก เรา(อัลเลาะห์) ก็ให้มีอาการหูตึงถึงขนาดไม่อาจได้ยินเสียงจากการอ่านพระคัมภีร์อัล-กุรอานได้ฉับไว เมื่อเจ้า(มุฮำมัด) กล่าวถึงอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลของเจ้าในพระคัมภีร์อัล-กุรอานว่ามีพระองค์เดียว พวกเหล่านั้นกลับผินหนีไม่สนใจสดับฟังเลย
๔๗.เรา (อัลเลาะห์) เป็นผู้รู้ดีถึงท่าทีแห่งการดูถูกและคำกล่าวหาที่ว่า เจ้าเป็นผู้เท็จในขณะที่พวกเหล่านั้นกำลังสดับเจ้าอ่านพระคัมภีร์อัล-กุรอานอยู่ และในขณะที่พวกเหล่านั้นกำลังคุยกัน คือในตอนที่พวกเหล่าร้ายบอกว่า “พวกท่านหาได้เจริญรอยตามใครไม่ นอกจากบุรุษหนึ่งที่ถูกครอบด้วยวิทยาคม” ซึ่งปัญญาของเขาตกอยู่ภายใต้วิชานี้
๔๘. โอ้มุฮำมัด จงแลดูด้วยพินิจพิเคราะห์เถิดว่า ทำไมพวกเหล่านั้นจึงได้ชักคำเปรียบตัวเจ้าเป็นเชิง(ผู้ถูกวิทยาคมครอบงำ, เป็นนักทำนายและกวี) นั้น พวกเหล่านั้นหลงงมงายในหนท่านเที่ยงแท้เสียแล้วที่เปรียบตัวเจ้าเป็นเช่นที่กล่าว พวกเหล่านั้นจึงไม่สามารถจะสู่หนทางอันเที่ยงแท้ได้เลย
๔๙.ทั้งพวกเหล่านั้นกล่าวเป็นนัยปฏิเสธเรื่องการฟื้นชีพใหม่จากสุสานว่า “ก็ในเมื่อพวกเรานี้เป็นกระดูกและป่น เป็นผุยผงแล้ว พวกเราจะยังถูกบังเกิดขึ้นใหม่จากหลุมสุสารอีกหรือ ?” ซึ่งไม่เป็นการสมควรเลยที่พวกเหล่านั้นจะพูดอย่างนี้


 

GoogleTagged