al-farookอ้างจากบังอะสัน
ข้อความของน้อง al-farook
أنه لا يجوز التقرب إلى الله تعالى بعمل ليس له مستند شرعي.
"ไม่อนุญาติให้ทำการสร้างความใกล้ชิด ต่ออัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ด้วยการปฏิบัติ ที่ไม่มีหลักฐานที่มาของหลักศาสนา"
วิจารณ์
หลักฐานของหลักศาสนานั้น คือการกิยาสด้วยนะครับบังอะสัน ซึ่งมันเป็นทัศนะของ ซอฮาบะฮ์และสะละฟุสศอลิหฺ หากจะยกคำกล่าวของผมแล้ว กรุณยกมาให้ครบถ้วนจะดีมากครับ กรุณาอย่ายกบางส่วนเหมือนกับที่บังอะสันชอบกระทำมากับคำพูดของอิมามอัชชาฟิอีย์ เพราะมันอาจจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด
อ้างจากบังอะสัน
แล้วที่ว่าได้บุญ นั้น ได้บุญจากใคร และใครรับรองการกล่าวคำเนียตที่เพิ่มขึ้นมา และจำเป็นอะไรหรือ ที่ต้องทำอย่างนี้
วิจารณ์
เราทำอิบาดะฮ์ไม่เน้นผลบุญครับ เราทำตามเพียงหน้าที่ของผู้เป็นบ่าวเท่านั้น และบังอะสันพูด หากมันเป็นสุนัตที่ทำแล้วได้บุญละทิ้งไม่ได้รับโทษ แต่หลังจากคำพูดนี้ บังอะสันกลับพูดแบบไม่เข้าใจถ้อยความว่า ?และจำเป็นอะไรหรือที่ต้องทำอย่างนี้? อะไรกันครับบังอะสัน ผมอีกตั้งหลายครั้งแล้วว่า มันไม่ใช่วายิบ และไม่ใช่จำเป็น ผมสงสัยบังอะสันจะยกคำกล่าวของผมแบบท่อนๆยังไม่พอ ดันยังมาวกวนกับคำพูดของตนเองอยู่อีก
asanน้อง al-farook กล่าวว่า
เราทำอิบาดะฮ์ไม่เน้นผลบุญครับ เราทำตามเพียงหน้าที่ของผู้เป็นบ่าวเท่านั้น และบังอะสันพูด หากมันเป็นสุนัตที่ทำแล้วได้บุญละทิ้งไม่ได้รับโทษ แต่หลังจากคำพูดนี้ บังอะสันกลับพูดแบบไม่เข้าใจถ้อยความว่า ?และจำเป็นอะไรหรือที่ต้องทำอย่างนี้? อะไรกันครับบังอะสัน ผมอีกตั้งหลายครั้งแล้วว่า มันไม่ใช่วายิบ และไม่ใช่จำเป็น ผมสงสัยบังอะสันจะยกคำกล่าวของผมแบบท่อนๆยังไม่พอ ดันยังมาวกวนกับคำพูดของตนเองอยู่อีก


?.
ตอบ
ครับ จึงสรุปคำตอบของน้อง al-farookได้ว่า ที่กล่าวคำว่า ?อุศอ็ลลี?ก่อนละหมาดนั้น ไม่วาญิบ ไม่จำเป็น และ การทำอิบาดะฮนั้น ไม่เน้นเรื่อง ผลบุญ คือ ได้ก็เอา ไม่ได้ก็ไม่เอา แบบคนมักน้อย อยากประกาศให้ใครก็ตาม ที่บอกว่า ฉันจะไม่ละหมาดตามพวกไม่กล่าวอุศอ็ลลี ทราบโดยทั่วกันว่า พวกท่านจงคิดใหม่ ทำไหม่ได้แล้ว
น้อง al-farook กล่าวว่า
บังอะสันและมิตรสหายครับ การพูดอ้างว่าตามท่านซุนนะฮ์ท่านนบี(ซ.ล.)นั้นง่ายเหมือนกล้วยปลอกเข้าใจ ซึ่งเด็กๆเขาพูดกันได้ แต่การดำเนินตามหลักการของสะลัฟจริงๆ นั่นซิครับ มันอยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา เหมือนกับที่บังอะสันกำลังเป็นอยู่นี่แหละ
ตอบ
อ้าว..เป็นงั้นไป แต่บังว่า การตามสุนนะฮของท่านบี (ศอลฯ)มันง่าย แต่ที่ยาก เพราะมีคนมาทำเรื่องง่าย ให้เป็นภูเขา เลย กลายเป็นเรื่องหนักใจและยุ่งยากกับชาวบ้าน เรื่อง ละหมาด หากอยู่ในกรอบหรือ ภายใต้ขอบเขตของคำว่า
{لقد كان لكم في رسول الله أسوة حسنة} [سورة الأحزاب آية 21.]
แท้จริงในศาสนทูตของอัลลอฮนั้น เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พวกเจ้า ? อัลอะหซาบ/21
(صلوا كما رأيتموني أصلي)
พวกท่านจงละหมาดดั่งเช่นที่พวกท่านเห็นฉันละหมาด
[الإمام أحمد 5/53 والإمام البخاري 1/154 مطابع الشعب 1387 هـ.] رواه البخاري في صحيحه
ยกตัวอย่าง การทำนุ่นให้เป็นภูเขา เช่น
ในขณะทีกล่าว คำว่า ?อัลลอฮุอักบัร?นั้น ต้องการเนียตจะต้องพร้อมกับตักบีร โดยให้มี 1. เกาะศอ็ด 2. ตะอฺรอฎ 3. ตะอยีน แล้วคำว่า พรอ้ม(มุกอเราะนะฮ)กับการตักบีรนั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. มุกอเราะนะฮอุรฟียะฮ
2. มุกอเราะนะฮเตาซีอียะฮ
3. มุกอเราะนะฮกะมาลียะฮ
คนเรียนปอเนาะตัวจริง ต้องได้เรียนมาแล้วแบบนี้
................................
เห็นไหมละครับ มันยากแค่ใหน เวลา ตักบีร เลยต้องลากเสียงยาว จนเกือบจะสิ้นลมปราณ น่าสงสารชาวบ้านจริงๆ บางคนตักบีรถึง สามสี่ครั้ง เพราะเนียตไม่ติด ซุบฮานั้ลลอฮ
..........................
ข้อความอ้างอิงของ น้องบ่าวal-farook
และหะดิษ เช่นท่าน อะนัสกล่าวว่ารายงานว่า
سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم أهل بهما جميعا : لبيك عمرة وحجا . لبيك عمرة وحجا
"ฉันได้ยิน ท่านร่อซูล(ซ.ล.) ทำการเริ่มกล่าวโดยเสียงดัง(ในขณะเริ่มครองอิหฺรอม) ด้วยการทำฮัจญฺและอุมเราะฮ์พร้อมๆกันว่า "ข้าพเข้าได้สนองคำเรียกร้องต่อพระองค์ด้วยด้วยการทำอุมเราะฮ์และฮัจญฺ" ซอฮิหฺมุสลิม หะดิษที่ 214
หรืออีกรายงานหนึ่งรายงานว่า ท่านอะนัสได้ยินท่านร่อซูลกล่าว(ตอนเริ่มเข้าอิหฺรอม) ว่า
لبيك بعمرة وحج
"ข้าพเข้าได้สนองคำเรียกร้องต่อพระองค์ด้วยด้วยการทำอุมเราะฮ์และฮัจญฺ" ซอฮิหฺมุสลิม หะดิษที่ 215
นั่นคือคำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.) ในขณะที่เริ่มเข้าทำฮัจญฺ โดยกล่าวตามที่ท่านได้เจตนาเหนียตไว้ว่า ท่านจะทำอะไร ? เช่นมีซอฮาบะฮ์ท่านหนึ่ง ได้ทำการกล่าวคำเหนียตการทำฮัจญีแทนพี่น้องหรือญาติของเขาในขณะที่เริ่มเข้าครองอิหฺรอมว่า
عن ابن عباس أن النبى صلى الله عليه وسلم سمع رجلا يقول : لبيك عن شبرمة ، قال : من شبرمة ؟ قال : أخ لى أو قريب لى ، فقال : حججت عن نفسك ؟ قال : لا ، قال : حج عن نفسك ثم حج عن شبرمة . رواه أبوداود وابن ماجه وصححه الحاكم والراجح عند احمد وقفه
" จากท่านอิบนุอับบาส แท้จริงท่านนบี(ซ.ล.) ได้ยินชาคนหนึ่ง กล่าวว่า" ข้าพเจ้าได้สนองคำเรียกร้องต่อพระองค์(ในการทำฮัจญฺ)แทน ชุบรุมะฮ์" ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า "ชุบรุมะฮ์เป็นใครหรือ? เขาตอบว่า "เขาคือพี่น้องฉัน หรือ ญาติใกล้ชิดของฉัน" ดังนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า "ท่านทำฮัจญฺให้ตัวท่านหรือยัง" ? เขาตอบว่า "ยัง" ท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวว่า " ท่านจงทำฮัจญฺให้กับตัวท่านก่อน จากนั้น ท่านก็จงทำฮัจญฺแทนชุบรุมะฮ์ " รายงานโดย อบูดาวูด และ อิบนุมะฮ์ และท่านหากิมถือว่าหะดิษนี้ซอฮิหฺ แต่ที่มีน้ำหนักตามทัศนะของท่านอะหฺมัดนั้น คือหะดิษนี้เมากูฟ (แต่ที่แน่ๆคือสายรายงานนี้ซอฮิหฺครับผม) (ดู บุลูฆุลมารอม หน้า 131)
ตอบ
อ่านแล้ว ไม่มีตรงใหนเลยที่บ่งบอกว่า สุนัตให้กล่าวคำเนียต ในการอาบน้ำละหมาด การอาบน้ำวาญิบ การละหมาด การถือศีลอด และการทำฮัจญ คิดได้ยังไงเนี่ย
ท่านอิบนุตัยมียะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
قد جاء الحديث : > أيها الناس كلكم يناجي ربه فلا يجهرن بعضكم على بعض بالقراءة < فكيف حال من يشوش على الناس بكلامه بغير قراءة بل يقول : نويت أصلي أصلي فريضة كذا وكذا في وقت كذا وكذا من الأفعال التي لم يشرعها رسول الله صلى الله عليه وسلم
แท้จริงได้ปรากฏหะดิษว่า ? โอ้บรรดามนุษย์ทั้งหลาย พวกท่านทุกคน กำลังกระซิบกับพระผู้อภิบาลของเขาตามลำพัง ดังนั้น พวกท่านอย่าทำเสียงดังรบกวนซึ่งกันและกัน ด้วยการอ่าน?- แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า กับสภาพของคนที่รบกวนผู้คน ด้วยคำพูดของเขา อื่นจากการอ่าน แต่ทว่า เขากล่าวว่า ? ข้าพเจ้าเจตนาละหมาด ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูนั้น ฟัรดูนี่ ในเวลานั้น เวลานี้ ที่มาจากส่วนหนึ่งของการกระทำ ที่ท่านรซูลุลอฮ ศอ็ลลอลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมไม่ได้มีบัญญัตเอาไว้ ดู كتاب الفتاوى الكبرى، الجزء 2، صفحة 218

??..
อยากจะถามว่าสมมุติว่า คนหนึ่งจะละหมาดแล้วเผลอกล่าวคำเนียต ว่า ?ข้าพเจ้าเจตนาเอาน้ำละหมาด?แต่ในใจเนียตว่า ข้าพเจ้าละหมาด..? การละหมาดนั้นใช้ได้หรือไม่?
..................
บังอะสัน
Konyakrooต่อไปนี้ขอทำความเข้าใจกับพี่น้องวะฮาบีย์ทุกคนก่อนว่า บทความแต่ละบทที่นำมาถ่ายทอดให้พี่น้องต่างมัสหับที่ได้เห็นอยู่นี้ ล้วนถูกนำมาจากบรรดาชนสลัฟ และอุลามะของผู้เดินทางในแนวชนสลัฟทั้งสิ้น เพื่อให้สมเจตนารมฌ์ ของพี่น้องวะฮาบีย์ที่เขาชอบอ้างว่ายึดตามแนวชนสลัฟ
เป็นบัรนทัดฐานในการดำเนินชีวิตมาตลอด
--ท่านอีหม่ามชาฟีอี(รฮ) เป็นชนสลัฟที่ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างซุนนะท่านนบีมาตลอดซึ่งเป็นที่ยอมรับของบรรดาปวงปราชญ์ทั้งหลายในอดีต ท่านเป็นคนที่มีความรู้รอบในทุกๆด้าน และตระกูลของท่านสืบเชื้อสายมาจากท่านนบีทั้ง 2 ฝ่าย..
ท่านอีหม่ามอัชชาฟีอีเสียชีวิตในฮศ.204....โดยที่ชื่อเสียงของท่านเป็นที่ยอมรับณ.ทุกวันนี้.
ท่านกล่าวว่า
บิดอะฮืนั้นแบ่งบิดอะฮ์ออกเป็น2 ประเภท คือบิดอะที่ดี(ฮาซานะ)และบิดอะที่เลว(ฎอลาละ)และคำว่าบิดอะครอบคลุมไปถึงทุกอย่างที่มีขึ้นในสมัยท่านบีและหลังสมัยของท่านนบีและคุลีฟะทั้ง4 และยุคซอฮาบะที่อยุ่ในแบบฉบับของท่าน
ท่านกล่าวว่า
อุตริกรรมต่างๆมีสองประเภท
1.สิ่งที่เสกสรรขึ้นมาแล้วไปขัดแย้งกับคัมภีร์และซุนนะและการอิตมาฮ์ของปรวงปารชญ์หรือการปฏิบัติของบรรดาสสาวกทั้งหลาย
อันนี้คือ บิดอะฮืที่ล่มหลง และไม่มีในแบบอย่างของศาสนามาก่อน
2.และสิ่งใดที่ก็ตามที่เป็นการกระทำที่ดีโดยได้สอดคล้องกับคัมภีร์และซุนนะหรืทิอมติปวงปราชญ์หรือมีแบบอย่างจากบรรดาสาวกและมีทั่มาจากรากฐานเดิมของศาสนา นั้นคือ บิดอะที่ดี
และเป็นเป็นอุตริกรรมที่ไม่น่าตำหนิหรือไม่ใช่สิ่งเลว
ทีกล่าวมานี้คือการกระทำของอุลามะในยคุสลัฟตัวจริง โดยที่ท่านมีจุดยืนมาจากอัลกรุอานและวุนนะท่านนบีและการอิมาอะของปวงปราชญทที่มีความรู้ทั้
ฮาดีสที่ท่านเอาฮาดีสมาเป็นบันทัดฐานในการแบ่งแยกบิดอะมีดังนี้.
จากซัรห์มุสลิม เล่มที่12หน้า16 และเล่มที่17หน้า 266และศอเหียะมุสลิมเล่ม1หน้า242
ซึ่งท่านอีหม่ามมาลีกี(รฮ)ท่านก็ได้ยอมรับและได้บันทึกเก็บไว้ในมุวัฏเฏาะเล่มที่1หน้า136-137
ทั้ง3ฮาดิสนี้ เป็นสิ่งอ้างอิงที่ท่านอีหม่ามชาฟีอี(รฮ)ได้นัชำมาแบ่งแยกบิดอะฮ์ออกเป็น2.
ท่านอีหม่ามสุญุตี1ในมัสหับชาฟีอีท่านได้เรียบเรียงหนังสือ ตีชันวีรุลมาลิกซัรห์ มุวัฏเฏาะมาลิกในสุนัน (ท่านนะซาอี เสียชีวิตฮศ.32)รวบรวมและเรียบเรียงหนังสือตัฟซีรญะลาลัยน์ท่านกล่าวว่า
---แต่เดิมบิดอะหมายถึงสืงที่ถูกริเริ่มขึ้นโดยไม่มีตัวอย่างหรือแบบอย่างแต่คำนี้ถูกมาใช้ในแง่ของศาสนาหรือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามจากศาสนาคือไม่เคยปรากฎมีในสมัยท่านรอซุลและต่อมาได้แบ่งไปสู่กฏเกณท์ทั้งห้าของศาสนานั้น...
สิ่งที่ไม่เคยมีในสมัยท่านรอซุล เช่นการรวบรวบอัลกรุอ่านเป็นเล่ม การเพิ่มบาริสหรือสระพยัญชนะของอัลกรุอาน การอะซานเพิ่มในละหมาดวันศุกร์การประดับประดามัสยิดให้สวยงาม
ฯลฯ และทุกอย่างที่กล่าวมานี้ล้วนมีมาจากรากฐานของศานสนาที่ศาสนาส่งเสริมให้กระทำทั้งสิ้น...
สำหรับในแนวทางของอีหมามชาฟีอีนั้นเป็นที่ชัดเจนที่ในการแบ่งบิดอะออกเป็น 5 ประเภท เพราะกิจกรรมทุอย่างนั้นต่องเกี่ยวพันกับเรื่องศาสนาเกือบทุกอย่าง
สำหรับฮาดีสที่รายงานโดยมุสลิมที่ว่า ท่านนบีกล่าว่า
ผู้ใดอุตริกรรมในกิจการ(ศาสนา)แห่งเราซึ่งไม่ใช่เรื่องราวของศาสนานั้น สิ่งนั้นย่อมถูกปฏิเสธ
คำว่ากิจการนั้น ท่านอิบนุหะญัร อัลอัสกอลี กล่าวว่า มันหมายถึงเรื่องของศาสนาที่มีอยู่แล้ว..ทั้งนี้เพราะท่านนบีถูกส่งมาเพื่อประกาศศาสนาดดยตรงแล้ว ฉนั้นใครที่มาแอบอ้างหรือเสกสรรเพิ่มเติมดดยที่ไม่มีรากฐานที่มานั้นย่อมถูกปฎิเสธและถือว่า เป็นเรื่องที่เลว
สรุปแล้วในทัศนะหรือความคิดของอีหม่ามชาฟีอีซึ่งเป็นชนยุคสลัฟตัวจริงนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเสนอหรือแนะนำให้ประชารกรอิสลามนั้นล้วนมีที่มาจากแบบอย่างท่านนบีและซุนนะคอลีฟะ และซอฮาบะ เพราะช่วระยะเวลา ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ในปี ฮศ.204นั้น นักปราญช์ทั้งหลายล้วนมีความรู้กันอย่างมากมายและทุกคนล้วนทำงานศานสนาอย่างขะมักขะเม้น เป็นที่แน่นอนว่า การวินิจฉัย เรื่องราวของศนาสนาต่างที่ตกมายังเราในยุคปัจจุบันนี่ ย่อมไม่มีอะไรแอลแฝงหรือผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น แป็นที่ทราบกันว่าในยุคอดีตนั้น แนวทางทั้ง4 เป็นที่ยอมรับและเลื่องลือทั่วโลกมาตลอด
ถ้าจะเปรียบเทียบผลงานและการให้ความยอมรับของปรวงปารชณ์ในอดีตกับท่านนอิหม่ามชาฟีอีอและบรรดาลูกศิษย์กับท่านอีหม่ามอิบนุตัยมียะและบรรดาสานุศิยษ์ที่เจริญรอยตามแล้ว ก็พอจะสรุปข้อย่อยๆได้ดังนี้
-ท่านอีหม่ามชาฟีอี(รฮ)คือ1 ใน4 แนวทางที่ถูกต้องของมัสหับทั้ง4 และเป็นที่รู้จัก ของปรวงปราชญ์ทั้งหลาย
-บรรดาสานุศิษย์ของท่านยอมเป็นที่รุ้จักเป็นที่ยอมรับของบรรดาอุลามะในมัสหับทั้ง3เป็นอย่างดี
ท่านอีหม่ามชาฟีอี (รฮ) เสียชีวิตในปีฮศ204
ท่านอิบนุตัยมียะฮส.724 และไม่ที่รู้จักของปรวงปราญน์ในยุคของอีหม่ามทั้ง4 และผลงานบางเล่มของท่านได้รับการคัดค้านเป็นส่วนมากเพราะท่านไม่ใช่เป็นคนที่มีความรู้เรื่องทุกวิชา
โดยเฉพาะอกีดะของท่านถือว่า ถูกตำหนิและไม่เเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างจากอุลามะในสมัยนั้น
-บรรดาลูกศิษย์ของท่านไม่ว่า อิบนุกอยยิม ฯลฯ ล้วนที่ไม่เป็นที่รู้จักของบรรดานักวิชาการของมัสหับทั้ง4 และไม่ได้เป็นจากยุคสลัฟ
ถ้าบวกลบอายุความน่าเชื่อถือระหว่างท่านอิหม่ามชาฟีอิกับท่านอิหม่ามอิบนุตัยมียะแล้วห่างประมาณ 500 ปีกันแล้ว
และจะเห็นว่าระหว่างความน่าเชื่อถือในการรับรายงานการกระทำนั้น ผู้ที่ใช้ชีวิตในยุคสลัฟนั้นย่อมจะได้รับการน่าเชื่อถือมากกว่า
ทุกอย่างที่ท่านอีหม่ามวินิจฉัยเป็นตัวบทย่อมนำบันทัดฐานมาจากอัลกรุอ่านและซนนะท่านนบีและรวมทั้งบรรดาซอฮาบะของท่าน และมติของปรวงปราญช์ทั้งหลายที่มีความรู้ ในสมัยนั้นมาเป็นมาตรฐาน
ส่วนอิหมามิบนุตัยมียะนั้นบางอย่าง ท่านก็รับมาจาก อีหม่ามทั้4 และสิ้งใดที่สอดคลฃ้องกับแนวทางของตนก็นำมันมา เช่นการฟัตวาว่า การหย่าร้างด้วยการสาบานนั้น หากไม่ปฏิบัติตามถือว่าไม่ตกหย่า เพียงแต่ผู้สาบานนั้นจ่ายกัฟฟาเราะก็พอ (ทั้งที่การสาบานได้ถูกเอ่ยนามก็ตามถือว่าเป็นโมฆะ) การหย่าร้างสามครั้งโดยกล่าวครั้งเดียวถือว่าตกแค่ครั้งเดียว การไปเยี่ยมกุโบร์ ของท่านอิบรอฮีม คอลีลและท่านนบีมูฮำมัด(ศ)ถือว่าเป็นมักโระฯลฯ
นี่คือตัวอย่างการผิดพลาดที่อุลามะทั่วไปไม่ยอมรับท่าน
ที่ยกมานี้เพิ่อให้พี้น้องได้เห้นว่า
ระหว่างการตะฮัศสุบที่ยึดความเห็นใดๆจากท่านอินุตัยมียะเป็นมาตรฐานในการดำเนินชีวิตแล้วมันย่อมอันตรายกว่าการยึดตามอีหม่ามที่รู้และเป็นคนในยุคสลัฟและปลอดภัยกว่าด้วยเหตุผลต่างๆที่กล่าวมาแล้ว
วัสลาม
--
Konyakrooคุณอาดีล
หลักฐานจากอัลกุรอ่านไม่มี
หลักฐานจากฮะดีสก็ไม่มี
การกระทำของศอฮาบะฮ์ก็ไม่มีเช่นกัน
บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ก็ไม่ได้ทำและไม่ได้สอนไว้
เมื่อไม่มีหลักฐานตรงๆ ก็หันไปใช้หลักกิยาสอย่างนี้ใช่ใหม
1.ผมขอถามคุณบ้างว่า การกิยาสได้ห้ามใช้ ในอัลกรุอ่านหรือไม่
2.ผมขอถามคุณบ้างว่า การกิยาสได้ห้ามใช้ ในอัลฮาดีส หรือไม่
3.ผมขอถามคุณบ้างว่า การกิยาสได้ห้ามใช้ จากซฮาบะหรือไม่
ผมขอถามคุณบ้างว่า การกิยาสได้ห้ามใช้ จากอิห่ามทั้4หรือไม่
4.
ตอบด้วยครับและกรุณานำหลักฐานที่คุณมีมาเสนอด้วยขอบคุณล่วงหน้า