ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 19 สูเราะฮฺมัรฺยัม  (อ่าน 4121 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:


คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ มัรฺยัม ( مريم - ชื่อมารดาของศาสนทูตอีสา ) R4.

เป็นบัญญัติมักกียะฮฺ มี 98 อายะฮฺ
ความหมายโดยสรุปของซูเราะฮฺมัรฺยัม
   ซูเราะฮฺมัรฺยัมเป็นซูเราะฮฺมักกียะฮฺ มีจุดมุ่งหมายยืนยันเน้นหนักเรื่องอัตเตาฮีดหรือการให้ความเป็นเอกภาพ การให้ความบริสุทธิ์แด่อัลลอฮฺตะอาลา ในสิ่งที่ไม่เหมาะสมและคู่ควรต่อพระองค์ เน้นหนักในเรื่องการศรัทธาอีมานต่อวันฟื้นคืนชีพและวันแห่งการตอบแทน สาระสำคัญของซูเราะฮฺนี้กล่าวถึงเรื่องอัตเตาฮีด การศรัทธาอีมานต่อการมีอยู่ของอัลลอฮฺ และความเป็นเอกภาพของพระองค์ ตลอดจนชี้แจงวิถีทางของบรรดาผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง และวิถีทางของผู้ที่หลงผิด
   ซูเราะฮฺนี้ได้เล่าเรื่องของนะบีบางท่าน เริ่มด้วยเรื่องของนะบีซะกะรียา และบุตรของท่าน คือนบียะหฺยา ซึ่งอัลลอฮฺตะอาลาทรงประทานบุตรให้แก่ท่านเมื่อท่านเข้าสู่วัยชราแล้ว จากภรรยาของท่านซึ่งเป็นหมัน เพราะอัลลอฮฺตะอาลานั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง ทรงได้ยินการวิงวอนขอของผู้ที่อยู่ในความทุกข์ยาก ทรงตอบรับการร้องเรียนของผู้เศร้าโศกเสียใจ ดังนั้น อัลลอฮฺตะอาลา จึงทรงตอบรับการวิงวอนของท่าน และทรงประทานบุตรที่เฉลียวฉลาดแก่ท่าน
   ซูเราะฮฺนี้ได้เล่าเรื่องที่น่าประหลาดยิ่ง นั่นคือเรื่องของนางมัรยัมผู้บริสุทธิ์และการคลอดบุตรของนางโดยปราศจากบิดา ฮิกมะฮฺของพระเจ้า ทรงประสงค์ที่จะให้สิ่งปาฏิหาริย์อันนี้ปรากฏขึ้น ด้วยการให้กำเนิดอีซาจากมารดาโดยปราศจากบิดาเพื่อว่าร่องรอยแห่งเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า จะเป็นภาพลักษณ์ให้เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่สายตา ถึงความยิ่งใหญ่และความเป็นเอกะของพระองค์
   ซูเราะฮฺนี้ได้เล่าเรื่องของท่านนบีอิบรอฮีมกับบิดาของท่าน แล้วได้กล่าวชมเชยยกย่องบรรดาร่อซูลของอัลลอฮฺ คือ อิสฮาก ยะอฺกูบ มูซา ฮารูน อิสมาอีล อิดรีส และนูหฺ การกล่าวถึงบรรดารอซูลเหล่านี้ ใช้เนื้อที่ถึงสองในสามของซูเราะฮฺ จุดมุ่งหมายเช่นนั้น เพื่อเน้นหนักถึงความเป็นเอกภาพแห่งสาส์นของอัลลอฮฺ ทั้งนี้เพราะบรรดารอซศูลทั้งมวลได้รับแต่งตั้งมา เพื่อเรียกร้องเชิญชวนมนุษย์ไปสู่ความเป็นเอกานุภาพของอัลลอฮฺ และขจัดการตั้งภาคีเป็นคู่เคียงกับพระองค์และการเคารพบูชาเจว็ด
   ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงสภาพบางส่วนของวันกิยามะฮฺ และความน่าสะพรึงกลัวแห่งวันตอบแทน ในสภาพที่บรรดาผู้ฝ่าฝืนดื้อดึงปฏิเสธศรัทธาจะคุกเข่าเรียงรายรอบขุมนรก เพื่อจะถูกโยนใส่เป็นเชื้อเพลิงของนรก
   ซูเราะฮฺนี้จบลงด้วยการให้ความบริสุทธิ์แด่อัลลอฮฺจากการมีพระบุตร การตั้งภาคี การเปรียบเทียบ และโต้ตอบความหลงใหลของพวกมุชริกีน ด้วยหลักฐานที่ชัดแจ้งและแข็งแรง
   ชื่อของซูเราะฮฺ ซูเราะฮฺมัรยัมถูกตั้งชื่อนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงสิ่งปาฏิหาริย์ที่น่าทึ่ง คือการให้กำเนิดมนุษย์โดยปราศจากบิดา การที่อัลลอฮฺทรงให้ทารกแบเบาะพูดได้ และปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการกำเนิดของท่านนบีอีซาอะลัยฮิสสลาม


----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 1 - 6



คำแปล R1.
1. Kaf- Ha-Ya-'Ain-Sad. [These letters are one of the miracles of the Qur'an, and none but Allah (alone) knows their meanings].
2. (This is) a mention of the Mercy of your Lord to his slave Zakariya (Zachariah).
3. When he called out his Lord (Allah) a call in secret,
4. Saying: "My Lord! Indeed my bones have grown feeble, and grey hair has spread on my head, and I have never been unblest in my invocation to you, O my Lord!
5. "And verily! I fear my relatives after me, since my wife is barren. So give me from yourself an heir,
6. "Who shall inherit me, and inherit (also) the posterity of Ya'qub (Jacob) (inheritance of the religious knowledge and prophethood, not the wealth, etc.). and make him, my Lord, one with whom you are Well-pleased!".


คำแปล R2.
1. ก๊าฟ ฮา ยา อีน ซ๊อด
2. (นี้คือ)เรื่องราวที่เกี่ยวกับความเมตตาขององค์อภิบาลของเจ้าที่ประทานแก่บ่าวคนหนึ่งของพระองค์ คือ ซะกะรียา
3. เมื่อเขาได้วิงวอนต่อองค์อภิบาลของเขาอย่างแผ่วเบา
4. เขากล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาลอันตัวข้าพเจ้านี้ (ความชราได้คุกคามจน)กระดูกของข้าพเจ้าอ่อนเปลี้ย อีกทั้ง(เส้นผมบน)ศีรษะก็หงอกโพลนและข้าพเจ้าไม่เคยพลาดหวังในคำขอต่อพระองค์เลย โอ้องค์อภิบาล
5. “และแท้จริงข้าพเจ้าหวั่นวิตก บรรดาผู้สืบตระกูลภายหลังจากข้าพเจ้า(จะมีจำนวนน้อยและเลิกละคำสอนของพระองค์) ส่วนภริยาของข้าพเจ้าก็เป็นหมัน ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดประทาน(บุตร)ผู้(ทำหน้าที่สืบทอดการ)ปกครองให้แก่ข้าพเจ้าจากพระองค์ด้วยเถิด
6. เขาจะได้สืบทอด(การปกครองไปจาก)ข้าพเจ้า และสืบทอดจากวงศ์วานแห่งยะอฺกู๊บ และขอพระองค์ได้โปรดบันดาลเขาให้เป็นผู้ได้รับความพึงพระทัย โอ้องค์อภิบาล”


คำแปล R3.
1. กาฟ, ฮา, ยา, อีน, ซ้อด
2. นี่คือเรื่องราวแห่งความเมตตาที่พระผู้อภิบาลของเจ้าแสดงต่อซะกะรียาบ่าวของพระองค์
3. เมื่อเขาวิงวอนพระผู้อภิบาลของเขาด้วยเสียงแผ่วเบา
4. เขาได้วิงวอนว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน กระดูกของฉันผุแล้วและศีรษะของฉันก็เป็นประกายด้วยอายุขัย ข้าแต่พระผู้อภิบาล ฉันมิเคยผิดหวังในคำวิงวอนของฉันต่อพระองค์
5. แต่ตอนนี้ ฉันหวั่นกลัว(ผลของ)หนทางแห่งความชั่วของบรรดาญาติของฉันหลังจากฉันไปแล้วและภรรยาของฉันก็เป็นหมัน ดังนั้นขอพระองค์ได้ทรงประทานทายาทแก่ฉันสักคนหนึ่ง
6. ผู้จะมาเป็นทายาทของฉัน และเป็นลูกหลานยะกู๊บ และข้าแต่พระผู้อภิบาล ขอให้ทรงทำให้เขาเป็นที่ปรารถนาด้วยเทอญ”


คำแปล R4.
1. กาฟ ฮา ยา อัยน์ ศอด
2. (นี่คือ) การกล่าวถึงเมตตาธรรมแห่งพระเจ้าของเจ้า ที่มีต่อซะกะรียาบ่าวของพระองค์
3. เมื่อเขาวิงวอนต่อพระเจ้าของเขา ด้วยการวิงวอนอย่างค่อย ๆ
4. เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงกระดูกของข้าพระองค์อ่อนแล้ว และศีรษะก็มีประกายหงอกแล้ว และมิเคยปรากฏเลยว่าการวิงวอนของข้าพระองค์ต่อพระองค์นั้นไร้ผล โอ้ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
5. และแท้จริงข้าพระองค์กลัวลูกหลานของข้าพระองค์ ภายหลัง (การตายของ) ข้าพระองค์ และภริยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมันด้วย ดังนั้นขอพระองค์ทรงโปรดประทานทายาทที่ดีจากพระองค์แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
6. ผู้ซึ่งจะสืบทายาทแทนข้าพระองค์ และสืบทายาทจากตระกูลของยะอฺกูบ และขอพระองค์ทรงโปรดให้เขาเป็นที่โปรดปรานด้วยเถิด ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์


คำแปล R5.
๑.กาฟ ฮา ญา อีน ซอส อัลเลาะห์พระองค์เดียวเท่านั้นทรงรู้ดียิ่งถึงความหมายแห่งคำของพระองค์ในโองการนี้
๒. โอ้มุฮำมัด สิ่งที่เราได้อ่านให้แก่เจ้าฟังนี้เป็นการกล่าวถึงพระกรุณาธิคุณแห่งอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลของเจ้า ที่มีต่อบ่าวผู้หนึ่งของพระองค์ คือ ซะกะรียา
๓. ในขณะที่เขา (ซะกะรียา) เรียกองค์พระผู้อภิบาลของเขาอยู่อย่างแผ่วเสียงในยามค่ำคืนพร้อมกับเอื้อนคำวอนต่อพระองค์
๔. เขา(ซะกะรียา) ได้กล่าวถ้อยคำวอนขอต่อพระองค์ว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ อันที่จริงตัวของข้าพระองค์นี้กระดูกทุกชิ้นก็อ่อนลงแล้ว ทั้งผมบนหัวอีกเล่าก็ขาวโพลงไปหมด โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ก็ข้าพระองค์นี้ไม่มีเลยที่พลาดหวังไปจากที่ข้าพระองค์วอนขอต่อพระองค์ในอดีตที่ผ่าน ๆ มา ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดอย่าให้ข้าพระองค์ต้องพลาดหวังในผลที่จะวอนขอต่อพระองค์ในกาลอนาคตเลย
๕. และข้าพระองค์ (ซะกะรียา) หวั่นเกรงบรรดาญาติในสกุล มีอาทิ บรรดาบุตรของพี่ชาย หรือบรรดาลุงของข้าพระองค์ผู้อยู่เบื้องหลังถัดจากข้าพระองค์ได้ตายลงแล้วจะถอยคืนจากศาสนาเดิมไปนับถือศาสนาอื่น ดังที่ข้าพระองค์เคยพบเห็นมาแล้วในหมู่ชนแห่งสกุลอิสรออีล ทั้งภรรยาของข้าพระองค์นามว่าอชาอ์ก็เป็นหมันเสียอีก ข้าพระองค์ทั้งสองผู้เป็นสามีภรรยากันจึงไร้โอกาสอีกแล้วที่จะได้บุตรไว้สืบสกุล ฉะนั้นจึงขอต่อพระองค์ได้โปรดตัดสินลงโดยอำนาจอันไพบูลย์ของพระองค์ให้ข้าพระองค์นี้ได้บุตรด้วยเถิด
๖. เขา(บุตร) จะได้สืบทอดเอาความรู้และตำแหน่งศาสดาต่อจากข้าพระองค์และจะได้สืบทอดต่อจากวงศ์วานบางคนของยะกู๊บผู้เป็นปู่แห่งข้าพระองค์ด้วย โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ และขอพระองค์ได้โปรดให้เขา (บุตร) นั้นเป็นที่ชื่นชอบ โปรดปรานีของพระองค์ด้วยเถิด


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 7 - 10


คำแปล R1.
7. (Allah said) "O Zakariya (Zachariah)! Verily, we give you the glad tidings of a son, his name will be Yahya (John). We have given that name to none before (him)."
8. He said: "My Lord! How can I have a son, when my wife is barren, and I have reached the extreme old age."
9. He said: "So (it will be). Your Lord says; it is easy for Me. certainly I have created you before, when you had been nothing!"
10. [Zakariya (Zachariah)] said: "My Lord! Appoint for me a sign." He said: "Your sign is that you shall not speak unto mankind for three nights, though having no bodily defect."


คำแปล R2.
7. (อัลเลาะฮฺตรัสว่า) “โอ้ซะกะรียา แท้จริงเราขอแจ้งข่าวดีให้เจ้าทราบว่า(เจ้าจะได้)เด็กชายคนหนึ่ง(เป็นบุตรของเจ้า) เขาชื่อ “ยะหฺยา” ซึ่งเรามิเคยบันดาลผู้(ใดที่)ใช้นามร่วมกับเขา(เช่นนั้น)มาก่อนเลย”
8. เขากล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาล ข้าพเจ้าจะมีเด็กได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ภริยาของข้าพเจ้าเป็นหมัน และตัวข้าพเจ้าเองก็บรรลุสู่วัยชราจนถึงที่สุด”
9. พระองค์ตรัสว่า “เช่นนั้น(เจ้าไม่ต้องแปลกใจ” องค์อภิบาลของเจ้าได้ตรัสว่า “การนั้นเป็นสิ่งง่ายสุดสำหรับข้า เพราะข้าได้บันดาลเจ้ามาเมื่อก่อน(เมื่อแรกำเนิดมาเป็นมนุษย์) โดยที่เจ้าไม่เป็นสิ่งใดเลย”
10. เขากล่าวว่า “โอ้งค์อภิบาล ขอได้โปรดประทานสัญลักษณ์หนึ่งให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด(เพื่อเป็นเครื่องสังเกตว่าข้าพเจ้าจะมีบุตร)” พระองค์ตรัสว่า “สัญลักษณ์ของเจ้าคือ เจ้าจะไม่พูดกับผู้คนติดต่อกันสามคืน โดยเจ้าก็ยังปกติ(ไม่เจ็บไข้ใด ๆ)”


คำแปล R3.
7. (คำตอบคือ) “โอ้ ซะกะรียา เราจะบอกข่าวดีแก่เจ้าถึงลูกชายคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่ายะฮฺยา เราไม่เคยสร้างใครอื่นที่มีชื่อนี้มาก่อน”
8. เขากล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันจะมีลูกได้อย่างไรในเมื่อภรรยาของฉันเป็นหมัน และฉันก็แก่หง่อมถึงปานนี้แล้ว?”
9. ผู้แจ้งข่าวจึงกล่าวตอบว่า “กระนั้นก็เถิด พระผู้อภิบาลของเจ้ากล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องง่ายสำหรับฉันเหมือนกับที่ฉันได้สร้างเจ้ามาก่อนหน้านี้เมื่อเจ้ายังไม่ได้เป็นสิ่งใดเลย”
10. ซะกะรียากล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ขอได้ทรงกำหนดสัญญาณแก่ฉันด้วยเถิด” พระองค์ได้ทรงกล่าวว่า “สัญญาณของเจ้าก็คือเจ้าจะไม่พูดกับผู้คนสามคืนติดต่อกัน”

 
คำแปล R4.
7. โอ้ ซะกะรียาเอ๋ย  แท้จริงเราจะแจ้งข่าวดีแก่เจ้าซึ่งลูกคนหนึ่ง ชื่อของเขาคือยะหฺยา เรามิเคยตั้งชื่อผู้ใดมาก่อนเลย
8. เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะมีลูกได้อย่างไร ในเมื่อภริยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมัน และข้าพระองค์ได้บรรลุสู่ความแก่ชราแล้ว
9. เขา (มลัก) กล่าวว่า กระนั้นก็ดี พระเจ้าของเจ้าได้ตรัสว่า มันง่ายสำหรับข้า และแน่นอนข้าได้บังเกิดเจ้ามาก่อน เมื่อเจ้ายังมิได้เป็นสิ่งใด
10. เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดทำให้มีสัญญาณ แก่ข้าพระองค์ด้วย พระองค์ตรัสว่าสัญญาณของเจ้าคืออย่าพูดกับผู้คนเป็นเวลาสามคืน ทั้ง ๆ ที่เจ้าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์


คำแปล R5.
๗. อัลลอฮฺตรัสว่า โอ้ซะกะรียา เรา(อัลเลาะห์) จะแจ้งให้เจ้าได้ปลื้มว่า เด็กที่จะถือกำเนิดมาเป็นบุตรเพื่อสืบสกุลเจ้าตามที่เจ้าวิงวอนต่อข้านั้น ชื่อเขาคือยะห์ยา ซึ่งเมื่อก่อนจากบุตรของเจ้าผู้นี้เรา(อัลเลาะห์) มิเคยได้ตั้งชื่อใคร ๆ ไว้เป็นอย่างนั้นเลย
๘. เขา(ซะกะรียา) กล่าวว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ไยข้าพระองค์ถึงจะมีบุตรได้อีกเล่า? ทั้ง อชาอ์ภรรยาแห่งข้าพระองค์หรือก็เป็นหมันซ้ำยังมีอายุถึง ๙๘ ปี และข้าพระองค์เองก็ถึงแก่ชราจนหง่อม และมีอายุถึง หนึ่งร้อยยี่สิบปีแล้ว
๙. พระองค์ตรัสตอบคำของซะกะรียาว่า ก็เป็นอย่างข้อสัญญาแห่งข้าที่ว่าจะให้เจ้าทั้งสองบังเกิดบุตรขึ้น ทั้งที่ต่างก็อยู่ในวัยชราตามที่เจ้าปรรภนั้นได้ อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้าตรัสว่า การที่ให้เจ้าทั้งสองบังเกิดบุตรนั้นมันง่ายดายแก่ข้ายิ่งนัก คือว่าข้าจะบันดาลพละกำลังให้มีขึ้นแก่ตัวเจ้าเพื่อปฏิบัติกามกิจได้อีก ข้างฝ่ายภรรยาของเจ้าก็เช่นกัน ข้าจะให้มดลูกมีสมรรถภาพเปิดรับเชื้อพันธุ์จากเจ้าเข้าทำปฏิสนธิได้และโดยที่จริงข้า(อัลเลาะห์) นี้ ก็เคยได้สร้างเจ้าขึ้นมาก่อนแล้วล่ะ ทั้งที่ในตอนนั้นเจ้ายังมิได้เป็นเป็นอะไรอยู่เลย
๑๐. ครั้นเมื่อซะกะรียานึกขึ้นได้ว่า ที่ตนจะมีบุตรได้นั้นจะเร็วช้าสักปานใด เขา(ซะกะรียา) จึงเอ่ยขึ้นว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดแสดงสัญญาณสักอย่างหนึ่งเป็นนัดหมายแก่ข้าพระองค์ให้ได้รู้ว่า ภรรยาของข้าพระองค์ตั้งครรภ์ พระองค์ตรัสแก่ซะกะรียาว่า สัญญาณของเจ้าก็คือ เจ้าจะไม่พูดจากับผู้คนถึงสามคืนสามวัน ทั้งที่เจ้าก็ยังปกติสุขอยู่


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 11 - 15


คำแปล R1.
11. Then he came out to his people from Al-Mihrab (a praying place or a private room, etc.), he told them by signs to glorify Allah's praises in the morning and in the afternoon.
12. (It was said to his son): "O Yahya (John)! Hold fast the Scripture [the Taurat (Torah)]." and we gave him wisdom while yet a child.
13. And (made him) sympathetic to men as a mercy (or a grant) from us, and pure from sins [i.e. Yahya (John)] and he was righteous,
14. And dutiful towards his parents, and he was neither an arrogant nor disobedient (to Allah or to his parents).
15. And Salamun (peace) be on him the day he was born, the day he dies, and the day he will be raised up to life (again)!


คำแปล R2.
11. ครั้นแล้วเขาก็ออกจากห้องนมัสการมาพบกับมวลชนของเขา แล้วทำสัญญาณบอกแก่พวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงถวายสดุดีในความบริสุทธิ์ขององค์อัลเลาะฮฺทั้งในยามเช้าและยามเย็นเถิด”
12. (อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า “โอ้ยะห์ยาจงยึดถือคัมภีร์(เตารอฮฺ)ไว้ให้เข้มแข็งเถิด” และเราได้ให้เขามีความเข้าใจ(ในคัมภีร์นั้น)ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
13. และ(ให้เขามี)ความเมตตาปรานี(ต่อเพื่อนมนุษย์) และความบริสุทธิ์จากเรา และเขาเป็นผู้ยำเกรงโดยแท้จริง
14. และเขาเป็นผู้ประพฤติตัวดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองของเขา เขาไม่เคยดื้อดึงและไม่เคยฝ่าฝืน(ต่อคำบัญชาแห่งองค์อภิบาลของเขา
15. และความสันติสุขได้ประสบแก่เขาทั้งในวันที่เขาถือกำเนิดมา, ในวันที่เขาตาย, และในวันที่เขาถูกให้ฟื้นขึ้นมามีชีวิต(อีกคำรบหนึ่งในชาติหน้า)


คำแปล R3.
11. หลังจากนั้นเขาได้ออกจากสถานที่ภาวนาไปยังผู้คนของเขาและทำสัญญาณบอกคนเหล่านั้นว่า “จงสดุดีอัลลอฮฺทั้งยามเช้าและยามค่ำ”
12. “โอ้ยะฮฺยา จงยึดมั่นในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ” และเราได้ประทาน “การตัดสิน” แก่เขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก
13. และประทานความอ่อนโยนแก่เขาและความบริสุทธิ์จากเรา และเขาเป็นผู้ยำเกรง
14. และปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเขาด้วยดีและเขามิได้เป็นผู้โอหังหรือผู้ฝ่าฝืน
15. ความสันติได้มีแก่เขาในวันที่เขาถือกำเนิดและในวันที่เขาตายและในวันที่เขาฟื้นคืนชีพ


คำแปล R4.
11. แล้วเขาได้ออกจากแท่นสวดมายังหมู่ชนของเขา และเขาได้ชี้ใบ้แก่พวกของเขาว่า พวกท่านจงกล่าวสดุดีในยามเช้าและยามเย็น
12. โอ้ ยะห์ยาเอ๋ย  เจ้าจงยึดมั่นในคัมภีร์ (เตารอฮฺ) อย่างมั่นคง และเราได้ประทานความเฉลียวฉลาดให้เขา ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่
13. และความน่าสงสารจากเรา และความบริสุทธิ์แก่เขา และเขาเป็นผู้ยำเกรง
14. และเป็นผู้กระทำความดีต่อบิดามารดาของเขา และเขามิได้เป็นผู้หยิ่งยโส ผู้ฝ่าฝืน
15. และความศานติจงมีแด่เขา วันที่เขาถูกคลอด และวันที่เขาตาย และวันที่เขาถูกฟื้นขึ้นให้มีชีวิตใหม่


คำแปล R5.
๑๑. ครั้นแล้วเขา(ซะกะรียา) ได้จากมุขสถานแห่งมัสยิดสู่ประชาชนของเขาในทีท่าซึ่งผิดวิสัยคือไม่ยอมพูดกับผู้คนที่กำลังมารอคอยอยู่ เพื่อเปิดมัสยิดเข้าไปปฏิบัติละหมาดตามคำสั่งของเขาที่เคยสั่งไว้ ประชาชนได้ไต่ถามว่า “ท่านมีเรื่องอะไรหรือ? เขา(ซะกะรียา) ก็ได้แสดงให้เป็นนัยตอบแก่พวกเหล่านั้นว่า พวกท่านจงปฏิบัตินมัสการโดยพิธีละหมาดในยามเช้า(ซุบห์) และในยามเย็น(อัสร์) เถิด ประชาชนจึงทราบได้จากอาการงดพูดของซะกะรียาว่า นั่นคือนิมิตแห่งการตั้งครรภ์บุตรที่ชื่อยะห์ยา
๑๒. ภายหลังจากที่นางอชาอ์ได้คลอดบุตรแล้วสองปี อัลเลาะห์ตรัสว่า ยะห์ยาเอ๋ยจงยึดถือพระคัมภีร์เตารอตโดยจริงใจ แล้วเรา(อัลเลาะห์) ก็ได้มอบให้เขา(ยะห์ยา) เป็นศาสดา(นบี) แต่ยังเด็กมีอายุแค่สามขวบเท่านั้น
๑๓. เป็นผู้ในเอื้อเฟื้อจากเราและเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากบาปทั้งปวง ซ้ำเขาเป็นผู้มีความยำเกรงการลงโทษจากอัลเลาะห์อีก เขาจึงไม่ประพฤติผิดทำนองธรรมและแม้แต่นึกจะกระทำผิดก็หามีไม่
๑๔. และเป็นผู้ประพฤติดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองของเขาโดยมิเคยจะโอหังและทรยศต่อองค์พระผู้อภิบาลของเขาเลย
๑๕. สันติสุขจากเรา(อัลเลาะห์) ย่อมเกิดแก่เขา(ยะห์ยา) ทั้งในวันที่เขาถือกำเนิดมาสู่โลกอย่างคลาดแคล้วจากไชตอนรบกวนในวันที่เขาตายลงโดยปราศจากโทษทรมานในสุสาน และในวันที่เขาจะถูกบังเกิดชีพจากสุสานอีก ซึ่งวันทั้งสามที่กล่าวมานั้นเป็นวาระกาลน่าหวาดกลัวอันเขามิเคยได้พบเห็นมาก่อน แต่เขาได้รับความคุ้มครองจากอัลเลาะห์ให้แคล้วทุกขภัยในทั้งสามวันดังกล่าว


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 16 - 18


คำแปล R1.
16. And mention in the Book (the Qur'an, O Muhammad , the story of) Maryam (Mary), when she withdrew in seclusion from her family to a place facing east.
17. She placed a screen (to screen herself) from them; Then we sent to her our Ruh [angel Jibrael (Gabriel)], and he appeared before her in the form of a man in all respects.
18. She said: "Verily! I seek refuge with the Most Beneficent (Allah) from you, if you do fear Allah."


คำแปล R2.
16. และ(โอ้ มุฮำมัด) เจ้าจงแถลงเรื่องของมัรยัมที่มีปรากฏในคัมภีร์(อัลกุรอานนี้)เถิด เมื่อนางได้ปลีกตัวจากครอบครัวของนาง(ไปอยู่)ในที่หนึ่งทางทิศตะวันออก(ของบัยติลมักดิสเพื่อทำนมัสการ)
17. แล้วนางได้จัดทำฉากกำบังตัวนางให้พ้นจากสายตาของพวกเขา จากนั้นเราได้ว่งวิญญาณ(คือมลาอิกะฮฺยิบรออีล)ของเรามายังนาง แล้วเขาได้แปลงร่างเป็นคนธรรมดามาพบกับนาง
18. นางกล่าวว่า “แท้จริงฉันขอคุ้มครองต่อองค์ผู้ทรงเมตตา ให้พ้นจากอันตรายของท่านด้วยเถิดหากท่านเป็นผู้มีจิตยำเกรง”

 
คำแปล R3.
16. และ โอ้ มุฮัมมัด จงกล่าวถึงเรื่องราวของมัรยัมในคัมภีร์นี้ เมื่อตอนที่นางได้ปลีกตัวออกจากผู้คนของนางไปทางด้านตะวันออก
17. และนางได้แขวนม่านเพื่อซ่อนตัวนางจากพวกเขา แล้วเราได้ส่งวิญญาณของเรา (มลาอิกะฮฺ)ไปยังนาง และเขาได้ปรากฏตัวต่อหน้านางในรูปของมนุษย์ที่สมบูรณ์
18. นางจึงได้ร้องออกมาว่า “ฉันขอความคุ้มครองต่อพระผู้ทรงกรุณาให้พ้นจากท่านถ้าหากท่านเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า”


คำแปล R4.
16. และจงกล่าวถึง (เรื่องของ) มัรยัมที่อยู่ในคัมภีร์ เมื่อนางได้ปลีกตัวออกจากหมู่ญาติของนาง ไปยังมุมหนึ่งทางตะวันออก(ของบัยตุลมักดิส)
17. แล้วนางได้ใช้ม่านกั้นให้ห่างพ้นจากพวกเขาแล้วเราได้ส่งวิญญาณของเรา (ญิบรีล) ไปยังนางแล้วเขาได้จำแลงตนแก่นาง ให้เป็นชายอย่างสมบูรณ์
18. นางกล่าวว่า แท้จริงฉันขอความคุ้มครองต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานีให้พ้นจากท่าน หากท่านเป็นผู้ยำเกรง


คำแปล R5.
๑๖. โอ้มุฮำมัด และเจ้าจงกล่าวถึงประวัติของมัรยัมในพระคัมภีร์อัล-กุรอานให้ประชาชนของเจ้าได้ถือเป็นอุดมคติเถิดว่า ขณะที่นางปลีกตัวจากบ้านของนางไปอยู่อีกที่หนึ่งทางทิศบูรพา
๑๗. นางได้ชักม่านกำบังสายตาพวกเหล่านั้นไว้เพื่อมิให้แลเห็นตัวนางขณะหวีผม ขณะนอน หรือขณะนางกำลังอาบน้ำสะสางมลทินจากระดูประจำเดือน(อาบน้ำฮัยด์) เรา(อัลเลาะห์) จึงได้ส่งยิบรีลผู้เป็นทูตของเราไปหานางมัรยัม หลังจากนางจัดแจงแต่งกายเรียบร้อยแล้ว และเขา(ยิบรออีล) ได้แปลงกายเป็นมนุษย์สามัญมาที่นางด้วย
๑๘. นางมัรยัมกล่าวว่าฉันจะขอความคุ้มครองต่อ อัลเลาะห์องค์ทรงปรานียิ่งให้พ้นอันตรายจากท่าน(ยิบรออีล) ด้วย หากท่านจะเป็นผู้ผ่องแผ้วด้วยมีความยำเกรงและมีศรัทธาก็ดีซิ ท่านจงยับยั้งอย่าได้กระทำอันตรายแก่ตัวฉันเลยด้วยเถิด


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 19 - 22


คำแปล R1.
19. (The angel) said: "I am only a messenger from your Lord, (to announce) to you the gift of a righteous son."
20. She said: "How can I have a son, when no man has touched me, nor am I unchaste?"
21. He said: "So (it will be), your Lord said: 'That is easy for Me (Allah): and (We wish) to appoint him as a sign to mankind and a Mercy from us (Allah), and it is a matter (already) decreed, (by Allah).' "
22. So she conceived him, and she withdrew with him to a far place (i.e. Bethlehem valley about 4-6 miles from Jerusalem).


คำแปล R2.
19. ยิบรออีลได้กล่าวว่า “อันที่จริงฉันเป็นทูตขององค์อภิบาลของเธอ มาเพื่อให้เด็กผู้มีความบริสุทธิ์แก่เธอ”
20. นางกล่าวว่า “ฉันจะมีเด็กได้อย่างไร? ทั้ง ๆ ที่ฉันยังไม่เคยมีชายใดมาแตะต้องฉันเลย และฉันเองก็ไม่ใช่คนเสเพล(ที่ชอบคบชู้สู่ชาย)”
21. เขากล่าวว่า “เช่นนั้น” องค์อภิบาลของเธอได้ตรัสว่า “การนั้นเป็นความง่ายดายสำหรับข้ายิ่งนัก” และเพื่อเราจะได้บันดาลให้การมีบุตร(ของนาง)เป็นสัญลักษณ์สำหรับ(การตริตรองของ)มวลมนุษย์ และเป็นความเมตตาหนึ่งจากเรา และการนั้นเป็นงานที่สัมฤทธิผล
22. จากนั้นนางได้ตั้งครรภ์เขา แล้วนางก็นำเขา(ที่อยู่ในครรภ์) ปลีกตัว(จากผู้คนไปอยู่) ณ สถานที่อันห่างไกล

 
คำแปล R3.
19. เขาตอบว่า “ฉันเป็นแค่เพียงรอซูลจากพระผู้อภิบาลของเธอและฉันได้ถูกส่งมาเพื่อให้ลูกชายผู้บริสุทธิ์แก่เธอ”
20. มัรยัมได้กล่าวว่า “ฉันจะมีลูกได้อย่างไรในเมื่อไม่มีชายใดได้เคยแตะต้องฉัน และฉันก็ไม่ใช่หญิงสำส่อน ?”
21. มลาอิกะฮฺได้ตอบว่า “กระนั้นก็เถิด พระผู้อภิบาลของเธอได้ทรงกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องง่านสำหรับฉันที่จะทำ และเราจะทำเพื่อที่จะให้เด็กคนนั้นเป็นสัญญาณสำหรับผู้คนและเป็นความเมตตาจากเราและมันจะต้องเกิดขึ้น”
22. หลังจากนั้นนางก็ได้ตั้งครรภ์เด็กผู้นั้นและนางได้อุ้มครรภ์ไปยังสถานที่ห่างไกล


คำแปล R4.
19. เขา (ญิบรีล) กล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นเพียงทูตแห่งพระเจ้าของเธอ เพื่อฉันจะให้ลูกชายผู้บริสุทธิ์แก่เธอ
20. นางกล่าวว่า ฉันจะมีลูกได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ไม่มีชายใดมาแตะต้องฉันเลย และฉันก็มิได้เป็นหญิงชั่ว
21. เขา (ญิบรีล) กล่าวว่า กระนั้นก็เถิด พระเจ้าของเธอตรัสว่า มันง่ายสำหรับข้า และเพื่อเราจะทำให้เขาเป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับมนุษย์และเป็นความเมตตาจากเรา และนั่นเป็นกิจการที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
22. แล้วนางได้ตั้งครรภ์ และนางได้ปลีกตัวออกไปพร้อมกับบุตรในครรภ์ ยังสถานที่ไกลแห่งหนึ่ง


คำแปล R5.
๑๙. เขา(ยิบรออีล) กล่าวแก่นางว่า ฉันเป็นทูตของอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งเธอ เพียงจะมาให้บุตรผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งแก่เธอเท่านั้น
๒๐. นางกล่าวว่า ฉันจะมีบุตรอย่างไรทั้งที่ฉันเองก็หาได้มีชายเคยมาต้องไม่ และฉันก็ไม่ใช่คนเสเพลอีกด้วย
๒๑. เขา(ยิบรออีล) ตอบนางมัรยัมว่า ก็เป็นอย่างที่ฉันได้บอกแล้วนั้นได้ อัลเลาะห์องค์อภิบาลแห่งเธอตรัสว่า การที่เธอจะมีบุตรได้นั้น มันง่ายดายแก่ข้ายิ่งนัก คือข้าจะสั่งให้ยิบรออีลเป่าลงที่คอเสื้อของเธอ และนั่นเป็นปฐมเหตุแห่งการตั้งครรภ์ของนาง และเพื่อเรา(อัลเลาะห์) จะได้แสดงว่าการบันดาลให้นางมีบุตรได้นี้เป็นสัญญาณสำหรับมวลมนุษย์ อันแสดงให้พวกเขาได้ทราบถึงพลานุภาพอันไพบูลย์ของเรา ทั้งเป็นความปรานีจากเราและการบันดาลบุตรในลักษณะการดังนี้ยังเป็นกิจหนึ่งที่ถูกกำหนดขึ้นให้สัมฤทธิ์ผลแล้วโดยเราอีกด้วย
๒๒. ฝ่ายยิบรออีลได้เป่าลงที่คอเสื้อของนางนางจึงตั้งครรภ์เขา(อีซา) ขึ้นในทันใดแล้วได้อุ้มครรภ์หนีไปยังที่ไกลจากครอบครัว ณ ตำบลหนึ่งชื่อว่า บัยตะละห์ม่ะ (เบ็ธลีเฮม เป็นตำบลอยู่ ๑๐ กม.ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงเยรูซาเล็มในแคว้นยูเดีย) ทั้งนี้เพราะนางรู้สึกอับอายที่ต้องคลอดบุตรโดยไม่มีพ่อ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 23 - 26


คำแปล R1.
23. And the pains of childbirth drove her to the trunk of a date-palm. She said: "Would that I had died before this, and had been forgotten and out of sight!"
24. Then [the babe 'Iesa (Jesus) or Jibrael (Gabriel)] cried unto her from below her, saying: "Grieve not! Your Lord has provided a water stream under you;
25. "And shake the trunk of date-palm towards you; it will let fall fresh ripe-dates upon you."
26. "So eat and drink and be glad, and if you see any human being, say: 'Verily! I have vowed a fast unto the Most Beneficent (Allah) so I shall not speak to any human being this day.'
"

คำแปล R2.
23. ต่อมานางก็เจ็บท้องคลอด (โดยพักพิง)สู่ลำต้นอินทผลัม โดยนางรำพึง(ด้วยความเจ็บปวด)ว่า “โอ้ ฉันน่าจะตายเสีย(ให้รู้แล้วรู้รอดไป) ก่อนหน้านี้ และตัวฉันนี้ถูก(ทอดทิ้ง)ลืมอย่างสนิท (ไม่มีใครสนใจ)
24. แล้วเขา (ยิบรออีล) ได้เรียกนางจากเบื้องใต้ของนางว่า “เธออย่าได้โศกเศร้าไปเลย เพราะที่จริงแล้วองค์อภิบาลของเธอได้ทรงดลบันดาลลำน้ำไว้ ณ เบื้องใต้ของเธอ”
25. “และเธอจงเขย่าลำต้นอินทผลัมมายังตัวเธอเถิด มันจะร่วงมาให้เธอซึ่งผลอิรทผลัมสด(เพื่อเธอได้รับประทาน)”
26. “แล้วเธอจงรับประทาน, เธอจงดื่ม, และเธอจงมีความสุขสดชื่นเถิด ครั้นเมื่อเธอได้เห็นมนุษย์คนใด เธอจงกล่าวเถิดว่า “แท้จริงฉันได้บนไว้ต่อองค์ผู้ทรงเมตตาว่า จะทำการงดเว้นคำพูดทั้งปวง ดังนั้นฉันจะไม่พูดกับมนุษย์ผู้ใดทั้งสิ้นในวันนี้”


คำแปล R3.
23. แล้วความเจ็บครรภ์อย่างรุนแรงได้ทำให้นางต้องไปพักอยู่ที่ใต้ต้นอินทผลัม นางได้ร้องออกมาว่า “โอ ถ้าฉันตายไปก่อนหน้านี้และไม่ต้องมีใครจำฉันได้ก็จะดี”
24. ดังนั้นมลาอิกะฮฺที่อยู่ทางปลายเท้าของนางจึงได้กล่าวปลอบนางว่า “จงอย่าเสียใจเลย เพราะพระผู้อภิบาลของเธอได้ทรงจัดตาน้ำไว้ให้ใต้ตัวเธอนี้แล้ว
25. ส่วนอาหารนั้น เธอจงเขย่าต้นอินทผลัมนี้ แล้วอินทผลัมสุกก็จะหล่นลงมาบนตัวเธอ
26. ดังนั้น จงกินและจงดื่มและจงทำให้ดวงตาของเธอสดชื่น และถ้าหากเธอเห็นใครก็จงบอกเขาว่า “เนื่องจากฉันได้บนไว้ว่าจะถือศีลอด(ไม่พูดกับใคร)เพื่อพระผู้ทรงกรุณา ดังนั้นวันนี้ฉันจะไม่พูดกับใครเลย


คำแปล R4.
23. ความเจ็บปวดใกล้คลอดทำให้นางหลบไปที่โคนตัวต้นอินทผาลัม นางได้กล่าวว่า โอ้ หากฉันได้ตายไปเสียก่อนหน้านี้ และฉันเป็นคนไร้ค่าถูกลืมเสียก็จะดี
24. ดังนั้น เขา (มะลัก) ได้เรียกนางทางเบื้องล่างต้นอินทผลัมว่า อย่าได้เศร้าเสียใจ แน่นอน พระเจ้าของเธอทรงจัดลำธารไว้เบื้องล่างเธอแล้ว
25. และจงเขย่าต้นอินทผลัม ให้มันเอนมาทางตัวเธอ มันจะหล่นลงมาที่ตัวเธอเป็นอินทผลัมที่สุกน่ากิน
26. ฉะนั้น จงกิน จงดื่ม และจงทำจิตใจให้เบิกบานเถิด หากเธอเห็นมนุษย์คนใดก็จงกล่าวว่า ฉันได้บนการสงบนิ่งไว้ต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานีฉันจะไม่พูดกับผู้ใดเลยวันนี้


คำแปล R5.
๒๓. จากความปวดร้าวด้วยเจ็บครรภ์ นางจึงได้ไปที่ต้นอินทผลัมต้นหนึ่งที่ยืนตายอยู่ นางเอาทรวงอกแนบชิดกับลำต้น ในฉับพลันนั้นเอง ต้นอินทผลัมกลับฟื้นเป็นต้นสด แตกก้านมีใบ และผลิดอกออกผลพร้อม ๆ กับที่นางคลอดทารกอีซา นางเอ่ยว่า โอ้อกเอ๋ย ฉันนี้อยากจะตายเสียให้รู้แล้วไปก่อนหน้านี้ เพราะฉันกลัวผู้คนเขาจะโจษกันและนึกในทางอดุศลว่า ฉันประพฤติตัวน่าบัดสีในหลักศาสนา แล้วฉันจะได้ถูกลืมอย่างสนิทเหมือนกับไม่เคยเกิดเป็นตัวตนมาก่อน
๒๔. เขา (ยิบรออีล) จึงได้ร้องเรียกนางเป็นเสียงมาจากเบื้องล่างว่า เธออย่าได้โศกาเลย แน่แท้ อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลของเธอทรงได้บันดาลสายธารขึ้นที่เบื้องล่างเธอแล้ว
๒๕. และเธอจงเขย่าอินทผลัมแห้งจากบนต้นลงมาที่เธอซิ ผลของมันจะร่วงลงมาให้เธอเป็นอินทผลัมสด ๆ
๒๖. เธอจงกินผลอินทผลัม และจงดื่มน้ำจากสายธารที่ถูกบันดาลขึ้นนั้น ทั้งเธอจงอยู่เป็นขวัญตาของลูก คอยดูแลชุบเลี้ยง อย่าให้ห่างจากลูกด้วย เธออย่ามัวพะวงเรื่องอื่น เช่นพะวงกลัวว่าคนเขาจะโจษขานกันถึงเรื่องของเธอ แต่จงพะวงอยู่แต่ลูกของเธอเท่านั้น ดังนั้นหากเธอพบเห็นแม้แต่คนเดียวในเหล่าชน มาซักไซ้ไล่เลียงจะเอาความจากเธอถึงเรื่องเด็กผู้นี้ไซร้ เธอจงบอกแก่ผู้นั้นให้ได้ทราบเถิดว่า แท้จริงฉันได้บนไว้ต่อองค์ทรงมีปรานียิ่งแล้วว่าจะอมความไว้ก่อน ไม่เพียงแต่เรื่องบุตรเท่านั้น แม้เรื่องอื่น ๆ ก็จะไม่ปริปากพูดหลังจากที่พูดอยู่นี้ ฉันจึงจะไม่พูดจากับคนใดอีกเลยในวันนี้


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 27 - 33


คำแปล R1.
27. Then she brought him (the baby) to her people, carrying him. They said: "O Mary! Indeed you have brought a thing Fariya (an unheard mighty thing).
28. "O sister (i.e. the like) of Harun (Aaron) [not the brother of Musa (Moses), but he was another pious man at the time of Maryam (Mary)]! Your father was not a man who used to commit adultery, nor was your mother an unchaste woman."
29. Then she pointed to him. They said: "How can we talk to one who is a child in the cradle?"
30. "He ['Iesa (Jesus)] said: Verily! I am a slave of Allah, He has given me the Scripture and made me a prophet;"
31. "And He has made me blessed wheresoever I be, and has enjoined on me Salat (prayer), and Zakat, as long as I live."
32. "And dutiful to my mother, and made me not arrogant, unblest.
33. "And Salam (peace) be upon me the day I was born, and the day I die, and the day I shall be raised alive!"


คำแปล R2.
27. จากนั้นนางได้นำเขาออกมาพบกับกลุ่มชนของนาง โดยนางอุ้มเขา พวกเขากล่าวว่า “โอ้ มัรยัม เธอได้ก่อเรื่องอื้อฉาวขึ้นแล้ว”
28. “โอ้(มัรยัมผู้มีความประพฤติดีประหนึ่งเป็น)พี่น้องของฮารูน(ซึ่งเป็นผู้ชายที่ประพฤติดีที่สุดในสมัยนั้น มิใช่ฮารูนที่เป็นศาสดา) บิดาของเธอก็มิใช่คนประพฤติชั่วและมารดาของเธอก็มิใช่หญิงเสเพล(แล้วเหตุใดเธอจึงตั้งท้องขึ้นมาเองโดยไม่ปรากฏสามีเป็นตัวตน)”
29. แล้วนางก็ชี้ไปที่เขา พวกเขากล่าวว่า “เราจะพูดกับทารกใน(วัยอยู่)เปลได้อย่างไร?”
30. เขา(อีซา)จึงกล่าวขึ้น(ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นทารก)ว่า “แท้จริงฉันเป็นบ่าวแห่งอัลเลาะฮฺ พระองค์ทรงประทานคัมภีร์แก่ฉัน และทรงแต่งตั้งฉันให้เป็นศาสดา”
31. “และพระองค์ทรงประทานความเจริญแก่ฉันเสมอไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ใดก็ตาม และพระองค์ทรงมีคำสั่งแก่ฉันให้ทำละหมาดและบริจาคทาน ตราบเท่าที่ฉันยังมีชีวิตอยู่”
32. “และให้ฉันทำดีต่อมารดาของฉัน และพระองค์มิทรงบันดาลฉันให้เป็นผู้ยโส อีกทั้งทรยศ”
33. “และความสุขสันติ พึงประสบแก่ฉัน ในวันที่ฉันถือกำเนิด ในวันที่ฉันตาย และวันที่ฉันถูกให้ฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีก”


คำแปล R3.
27. หลังจากนั้นนางก็ได้นำลูกของนางมายังผู้คน พวกเขากล่าวว่า “โอ้ มัรยัม นี่เป็นบาปชั่วช้าที่เธอได้ทำไป
28. น้องสาวของฮารูนเอ๋ย พ่อของเธอก็มิได้เป็นคนชั่ว และแม่ของเธอก็มิได้เป็นหญิงสำส่อน”
29. (เพื่อเป็นการตอบ)นางจึงได้ชี้ไปยังทารก ผู้คนจึงกล่าวว่า “เราจะพูดกับเด็กที่อยู่ในเปลได้อย่างไร?”
30. แล้วเด็กนั้นก็ได้พูดออกมาว่า “ฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ พระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์แก่ฉันและได้ทรงแต่งตั้งฉันให้เป็นนบี
31. และพระองค์ได้ทรงทำให้ฉันเป็นที่ได้รับความจำเริญไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ใด พระองค์ได้ทรงสั่งฉันให้นมาซและจ่ายซะกาต ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิต
32. และได้ทรงให้ฉันปฏิบัติรับใช้แม่ของฉัน และมิได้ทรงทำให้ฉันเป็นผู้ก้าวร้าวและจิตใจแข็งกระด้าง
33. สันติได้มีแก่ฉันในวันที่ฉันเกิดและสันติจะมีแก่ฉันในวันที่ฉันตาย และวันที่ฉันถูกทำให้ฟื้นคินชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง”


คำแปล R4.
27. แล้วนางใดพาเขามายังหมู่ญาติของนางโดยอุ้มเขามา พวกเขากล่าวว่า โอ้ มัรยัมเอ๋ย  แท้จริงเธอได้นำเรื่องประหลาดมาแล้ว
28. โอ้ น้องหญิงของฮารูน พ่อของเธอมิได้เป็นชายชั่ว และแม่ของเธอก็มิได้เป็นหญิงไม่บริสุทธิ์
29. นางชี้ไปทางเขา พวกเขากล่าวว่า เราจะพูดกับผู้ที่อยู่ในเปลที่เป็นเด็กได้อย่างไร
30. เขา (อีซา) กล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ พระองค์ทรงประทานคัมภีร์แก่ฉันและทรงให้ฉันเป็นนะบี
31. และพระองค์ทรงให้ฉันได้รับความจำเริญ ไม่ว่าฉันจะอยู่ ณ ที่ใด และทรงสั่งเสียให้ฉันทำการละหมาดและจ่ายซะกาตตราบที่ฉันมีชีวิตอยู่
32. และทรงให้ฉันทำดีต่อมารดาของฉันและจะไม่ทรงทำให้ฉันเป็นผู้หยิ่งยโส ผู้เลวทรามต่ำช้า
33. และความศานติจงมีแด่ฉัน วันที่ฉันถูกคลอด และวันที่ฉันตาย และวันที่ฉันถูกฟื้นขึ้นให้มีชีวิตใหม่


คำแปล R5.
๒๗. แล้วนางจึงออกสู่ยังปวงชนของนางโดยอุ้มเขา(ผู้เป็นบุตร) มาด้วย ปวงชนนั้นต่างก็ได้เห็นบุตรของนางพวกเขากล่าวแก่มัรยัมว่าโอ้มัรยัมเธอนี้ได้ก่อเรื่องอื้อฉาวขึ้นแล้วที่นำเอาลูกไม่มีพ่อมาด้วย
๒๘. โอ้มัรยัม นางผู้คล้ายฮารูนในด้านไม่มีเสเพล บิดาของเธอมิใช่คนชั่วและมารดาของเธอก็มิใช่หญิงเสเพล เที่ยวทำการประเวณีนออนุญาต(ซินา)แล้วลูกชายของเธอนี้มาจากไหนกัน
๒๙. นางจึงชี้ใบ้ไปที่เขา (บุตร) เป็นนัยให้พวกเขานั้นพูดกับทารกดูเอง พวกเขากล่าวขึ้นว่า เราจะพูดกับผู้ยังเป็นทารกอยู่ในเปลได้อย่างไรกัน
๓๐. เขา(บุตร) จึงเอ่ยว่า แน่แท้ ฉันคือบ่าวแห่งอัลเลาะห์ ซึ่งพระองค์ทรงมอบคัมภีร์อินยีลให้แก่ฉัน และทรงแต่งฉันขึ้นเป็นศาสดา(นบี) ด้วย
๓๑. ทั้งทรงให้ฉันเป็นผู้มีคุณ ประโยชน์แก่มวลมนุษย์ ไม่ว่าฉันจะอยู่ ณ หนใด และพระองค์ยังทรงสั่งฉันให้ทำการละหมาดและบริจาคซะกาต ตราบเท่าฉันมีชีวิตอยู่อีกด้วย
๓๒. และทรงให้ฉันเป็นผู้ประพฤติดีต่อผู้บังเกิดเกล้าของฉัน แต่พระองค์หาได้ทรงให้ฉันเป็นคนโอหังและทรยศต่อพระองค์ไม่
๓๓. สันติสุขจากอัลเลาะห์พึงมีแก่ฉัน ทั้งในวันที่ฉันถือกำเนิด ในวันที่ฉันตายและในวันที่ฉันถูกกำเนิดให้มีชีพอีกจากแหล่งสุสาน ซึ่งวันทั้งสามนี้เป็นวาระกาลอันน่าสยองอันไม่เคยได้พบเห็น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 34 - 36


คำแปล R1.
34. Such is 'Iesa (Jesus), son of Maryam (Mary). (It is) a statement of truth, about which they doubt (or dispute).
35. It befits not (the Majesty of) Allah that He should beget a son [This refers to the slander of Christians against Allah, by saying that 'Iesa (Jesus) is the son of Allah]. Glorified (and exalted be He above all that they associate with Him). When He decrees a thing, He only says to it, "Be!" and it is.
36. ['Iesa (Jesus) said]: "And verily Allah is my Lord and your Lord. So worship Him (alone). That is the Straight Path. (Allah's Religion of Islamic Monotheism which He did ordain for all of his Prophets)." [Tafsir At-Tabari]


คำแปล R2.
34. เขาผู้นั้นคืออีซาบุตรมัรยัม เป็นสัจจะวาจาซึ่งพวกเขา(ชาวยิว)พากันสงสัยในเรื่องของเขา(โดยกล่าวว่า อีซาเป็นบุตรของอัเลาะฮฺ)
35. ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่อัลเลาะฮฺจะยกย่องผู้ใดขึ้นเป็นบุตร พระองค์ทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก เมื่อพระองค์ทรงกำหนดกรณีหนึ่งกรณีใด พระองค์ก็จะเพียงแต่ตรัสแก่สิ่งนั้นว่า “จงเป็นขึ้นเถิด” มันก็เป็นขึ้นทันที
36. และแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงเป็นผู้อภิบาลของฉันและผู้อภิบาลของพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจงนมัสการพระองค์เถิด นี้เป็นแนวทางอันเที่ยงตรง


คำแปล R3.
34. นั่นคืออีซา บุตรของมัรยัม นี่คือความจริงที่พวกเขาสงสัย
35. มันมิใช่เป็นเรื่องของอัลลอฮฺที่จะทรงมีบุตรเพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากเรื่องนี้ เมื่อพระองค์ทรงกำหนดสิ่งใด พระองค์เพียงแต่ทรงกล่าวว่า “จงเป็น” แล้วในก็จะเป็นขึ้นมา
36. (และอีซาได้ประกาศว่า) “อัลลอฮฺทรงเป็นพระผู้อภิบาลของฉัน และพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ดังนั้นจงเคารพภักดีพระองค์ นี่คือหนทางที่เที่ยงตรง”


คำแปล R4.
34. นั่นคืออีซาบุตรของมัรยัม มันเป็นคำบอกเล่าที่จริง ซึ่งพวกเขายังมีความสงสัยกันอยู่
35. ไม่เป็นการบังควรสำหรับอัลลอฮ์ ที่พระองค์จะทรงตั้งผู้ใดเป็นพระบุตร มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ท่าน เมื่อพระองค์ทรงกำหนดกิจการใด พระองค์จะตรัสแก่มันว่า จงเป็น แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมา
36. และแท้จริงอัลลอฮ์คือพระเจ้าของฉันและพระเจ้าของพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงเคารพภักดีพระองค์เถิด นี่คือทางอันเที่ยงตรง


คำแปล R5.
๓๔. อัลเลาะห์ตรัสแก่มุฮำมัดว่า โอ้มุฮำมัด ผู้นี้แหละคืออีซาบุตรของมัรยัมหาใช่บุตรของยูซุฟช่างไม้ตามที่พวกยะฮูดีกล่าววาจาเป็นสัจซึ่งพวกเหล่านั้นผู้เป็นชนชาวนะซอรอเคยได้สงสัยในตัวเขาอยู่หลังจากที่เขาถูกนำขึ้นสู่ฟ้าแล้ว พวกนี้กล่าวหาว่าอีซาคือบุตรของอัลเลาะห์
๓๕. ในการให้กำเนิดบุตรนั้นหาได้มีข้อสมควรสำหรับอัลเลาะห์ไม่ เพราะถือว่านั่นเป็นเรื่องที่ปัญญาไม่ยอมรับ มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ผู้ซึ่งไม่ทรงวิสัยแห่งการมีบุตร ในเมื่อพระองค์ทรงหมายการใดจะให้มีขึ้น พระองค์ก็ทรงสร้างมันขึ้นในฉับพลัน เหมือนกับทรงมีประกาศิตแก่สิ่งนั้นว่า จงมี มันก็มีขึ้นในบัดดล เช่น ในกรณีกำเนิดอีซา
๓๖. โอ้อีซา และเจ้าจงกล่าวแก่ปวงประชาชนของเจ้าให้รู้เถิดว่า แน่แท้อัลเลาะห์คือองค์พระผู้อภิบาลของฉัน และองค์อภิบาลของพวกเจ้า ฉะนั้นพวกเจ้าจงเคารพสักการะพระองค์ ถ้อยคำกล่าวถึงเรื่องเอกภาพแห่งพระองค์ก็ดี การปฏิเสธเรื่องบุตรก็ดีและภรรยาก็ดี ออกพ้นไปจากพระองค์ นี้แหละคือวิถีทางอันเที่ยงตรงไปสู่สรวงสวรรค์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 37 - 40


คำแปล R1.
37. Then the sects differed [i.e. the Christians about 'Iesa (Jesus)], so woe unto the disbelievers [those who gave false witness by saying that 'Iesa (Jesus) is the son of Allah] from the meeting of a great Day (i.e. the Day of Resurrection, when they will be thrown in the blazing Fire).
38. How clearly will they (polytheists and disbelievers in the Oneness of Allah) see and hear, the day when they will appear before us! But the Zalimun (polytheists and wrong-doers) today are in plain error.
39. And warn them (O Muhammad) of the day of grief and regrets, when the case has been decided, while (now) they are In a state of carelessness, and they believe not.
40. Verily! We will inherit the earth and whatsoever is thereon. And to us they all shall be returned,


คำแปล R2.
37. ต่อจากนั้นบรรดากลุ่มต่าง ๆ ระหว่างพวกเขา (ชาวคริสต์)ก็พิพาทกัน(ในเรื่องราวของนบีอีซา บ้างก็ว่านบีอีซาเป็นพระเจ้า บ้างก็ว่าเป็นบุตรพระเจ้า และบางกลุ่มก็ว่านบีอีซาเป็นหนึ่งในพระเจ้าสามองค์) ดังนั้นความหายนะจึงประสบแก่บรรดาผู้ไร้ศรัทธาทั้งหลาย นับตั้งแต่การปรากฏของวันอันยิ่งใหญ่ (คือวันชาติหน้า)
38. พวกเขา(เหล่าผู้ไร้ศรัทธาทั้งหลาย) ช่างมองเห็นและช่างได้ยินเสียนี่กระไร ในวันที่พวกเขามาหาเรา(ในวันชาติหน้า) หากแต่บรรดาพวกที่ทุจริตทั้งหลายในวันนี้ (คือในโลกหน้า)ล้วนตกอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง
39. และเจ้าจงตักเตือนพวกเขาเถิด (ให้พวกเขาตระหนักถึง) วันแห่งความเศร้าสลด เมื่อ การงานได้ถูกสัมฤทธิผล โดยพวกเขาอยู่ในความหลงลืม และพวกเขาไม่ศรัทธา
40. แท้จริงเราจะสืบทอดมรดกแผ่นดินและผู้ที่อยู่บนแผ่นดิน (แต่เพียงผู้เดียว ส่วนทุกสรรพสิ่งจะต้องพินาศสิ้น ไม่เหลือสิ่งใดไว้เลย) และพวกเขาจะต้องถูกส่งตัวกลับมาสู่เรา (เพื่อการพิจารณาความประพฤติของแต่ละคน


คำแปล R3.
37. แต่กระนั้นก็ตาม หลายพวกก็เริ่มมีความขัดแย้งกันในหมู่พวกเขา ดังนั้นบรรดาผู้ปฏิเสธจะได้รับความวิบัติอันน่าสะพรึงกลัวเมื่อพวกเขาได้พบกับวันอันยิ่งใหญ่
38. ในวันนั้นเมื่อพวกเขาจะปรากฏต่อหน้าเรา หูของพวกเขาจะได้ยินและตาของพวกเขาจะได้เห็นอย่างชัดเจน แต่ว่าในวันนี้เหล่าคนผู้อธรรมได้ตกอยู่ในการหลงทางอย่างชัดเจน
39. โอ้ มุฮัมมัด คนเหล่านี้ไม่ใส่ใจและไม่เชื่อ ดังนั้นจงตักเตือนพวกเขาถึงความน่าสะพรึงกลัวของวันนั้นเมื่อการตัดสินจะมีขึ้น
40. ในที่สุดแล้ว เราเองต่างหากที่จะเป็นผู้ครองแผ่นดินและทุกสิ่งที่อยู่บนนั้นต่อ และพวกเขาจะถูกนำกลับมายังเรา


คำแปล R4.
37. คณะต่าง ๆ ได้ขัดแย้งระหว่างกันเองดังนั้น ความหายนะจงประสบแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา เมื่อมีการชุมนุมแห่งวันอันยิ่งใหญ่เถิด
38. พวกเขาจะได้ฟังอย่างชัดแจ้งและเห็นอย่างชัดอะไรอย่างนั้น วันที่พวกเขาจะมาหาเรา แต่วันนี้บรรดาผู้อธรรมอยู่ในการหลงผิดที่ชัดแจ้ง
39. และเจ้าจงเตือนสำทับพวกเขาถึงวันแห่งความเสียใจ เมื่อกิจการนั้นถูกตัดสิน และพวกเขาอยู่ในหลงลืม และพวกเขาไม่ศรัทธา
40. แท้จริง เราเป็นผู้ครอบครองมรดกแผ่นดินและที่อยู่บนแผ่นดิน และพวกเขาจะถูกนำกลับมายังเรา


คำแปล R5.
๓๗. หลังจากอีซาถูกนำขึ้นสู่ฟ้า แล้วบรรดากลุ่มชนจากพวกเหล่านั้น(นะซอรอ) ได้มีความเห็นขัดแย้งกันอยู่เป็นสามกลุ่มชน กลุ่มนัซตูรียะห์ บอกว่าอีซาเป็นบุตรของอัลเลาะห์ กลุ่มมะล่ากานียะฮฺ บอกว่าอีซาเป็นพระเจ้าองค์ที่สาม ส่วนกลุ่มยะกูบียะห์บอกว่าอีซานั่นแหละคืออัลเลาะห์ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นฝ่ายมุสลิม เขาเหล่านี้ถือว่าอีซาเป็นบ่าวผู้หนึ่งของอัลเลาะห์ เป็นศาสนทูต (ร่อซูล)ของพระองค์ และเป็นบุตรของนางมัรยัม แต่มิใช่บุตรของยูซุฟช่างไม้อย่างที่ชนยะฮูดีอ้าง และมิใช่บุตรของอัลเลาะห์อย่างที่ชนนะซอรอบางกลุ่มอ้าง ดังนั้น ความร้ายกาจแห่งการลงทัณฑ์จึงตกแก่บรรดาชนผู้ไร้ศรัทธาต่อเรื่องดังกล่าว ซึ่งพวกเขาต่างเห็นขัดแย้งกัน โทษทั้งนี้นับแต่เริ่มเผชิญสู่วัน(กิยามะห์) อันใหญ่หลวง และเริ่มสู่สภาพอันโกลาหลของวันนั้นด้วย
๓๘. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงฉงนเถิด พวกเขาช่างได้ยินและช่างมองเห็นในวันที่พวกเขามาสู่หายังเรา และสภาพการลงโทษที่เรา(อัลเลาะห์)จัดการแก่พวกนั้นในวันปรภพ ซึ่งพวกนั้นจะมาสู่หายังเราอีก แต่ทว่าในวัน(ภพดุนยา) นี้เหล่าผู้ร้ายนั้นได้ตกอยู่ในความงมงายอันชัดแจ้ง ความงมงายนี้คืออาการหนวกและบอดนั่นเอง โอ้มวลมนุษย์ มันน่าประหลาดใจยิ่งนักที่ในภาคภพนี้ พวกนั้นมีอาการทั้งหนวกและบอดอยู่ แต่พอถึงภพหน้าพวกนั้นกลับได้ยินและได้เห็น
๓๙. โอ้มุฮำมัด และเจ้าจงตักเตือนพวกเหล่านั้นที่เป็นกาฟิรชาวนครมักกะห์ให้กลัววันกิยามะห์อันเป็นวันแห่งการเศร้าสลดของพวกเหล่านั้นเอง เนื่องด้วยในภาคภพดุนยานี้พวกตนมิเคยได้สั่งสมบุญกุศลไว้เลย คือขณะที่ได้มีการตัดสินผลแห่งบรรดากิจของพวกเหล่านั้นขึ้นแล้วในวันดังกล่าว โดยที่พวกเหล่านั้นต่างงงหลงว่าพวกตนยังอยู่ภพดุนยาและต่างก็ไม่เชื่ออีกด้วยว่าเป็นวันกิยามะห์
๔๐. แน่แท้เรา (อัลเลาะห์) จะกระจายความพินาศให้ทั่วแผ่นดิน และทั่วถึงมวลมนุษย์รวมทั้งอื่น ๆ ผู้ซึ่งอยู่ ณ ที่แผ่นดินนั้น แล้วในวันกิยามะห์พวกเหล่านั้นจะถูกนำคืนสู่เราเพื่อการตอบสนองผลแห่งกรรมที่ได้กระทำมาอีกด้วย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 41 - 45


คำแปล R1.
41. And mention in the Book (the Qur'an) Ibrahim (Abraham). Verily! He was a man of truth, a Prophet.
42. When He said to his father: "O my father! Why do you worship that which hears not, sees not and cannot avail you in anything?
43. "O my father! Verily! There has come to me of knowledge that which came not unto you. So follow me. I will guide you to a Straight Path.
44. "O my father! Worship not Shaitan (Satan). Verily! Shaitan (Satan) has been a rebel against the Most Beneficent (Allah).
45. "O my father! Verily! I fear lest a torment from the Most Beneficent (Allah) overtake you, so that you become a companion of Shaitan (Satan) (in the Hell-fire)." [Tafsir Al-Qurtubi]


คำแปล R2.
41. และเจ้าจงแถลง(แก่มนุษยชาติ)ถึงเรื่องราวของอิบรอฮีมในคัมภีร์(อัลกุรอาน)เถิด เพราะแท้จริงเขาเป็นผู้มีสัจจะยิ่งนัก เขาเป็นศาสดาผู้หนึ่ง
42. เมื่อครั้งที่เขาได้กล่าวแก่บิดาของเขาว่า “โอ้คุณพ่อ เพราะอะไรท่านจึงกราบไหว้สิ่งซึ่งไม่ได้ยินและมองไม่เห็น และไม่สามารถป้องกันท่านได้เลยแม่แต่สิ่งเดียว?
43. โอ้คุณพ่อ แท้จริงข้าพเจ้าได้รับรู้ในสิ่งที่ท่านไม่เคยรู้มาก่อน (นั่นคือโองการจากอัลเลาะฮฺ)ดังนั้นท่านจึงตามข้าพเจ้าเถิด แน่นอนข้าพเจ้าจะนำท่านสู่ทางอันเที่ยงธรรม”
44. “โอ้คุณพ่อ ท่านโปรดอย่านมัสการมารร้าย เพราะแท้จริงมารร้ายนั้นมันเป็นผู้ทรยศต่อองค์ผู้ทรงเมตตา”
45. “โอ้คุณพ่อ แท้จริงข้าพเจ้าหวั่นกลัวเหลือเกินว่า การลงโทษจะประสบแก่ท่านจากองค์ผู้ทรงเมตตา อันเป็นเหตุให้ท่านต้องเป็นสหายกับมาร”


คำแปล R3.
41. และจงเล่าถึงเรื่องราวของอิบรอฮีมในคัมภีร์นี้ แท้จริงแล้วเขาเป็นผู้สัตย์จริงและเป็นนบี
42. (จงเตือนพวกเขาให้นึกถึง)เมื่อตอนที่เขากล่าวแก่พ่อของเขาว่า “พ่อครับ ทำไมพ่อถึงได้เคารพสิ่งที่ไม่ได้ยินและไม่เห็นและไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้?
43. พ่อครับ ฉันได้รับความรู้ที่พ่อไม่ได้รับ ดังนั้นขอให้พ่อปฏิบัติตามฉันเถิดครับ และฉันจะนำพ่อสู่หนทางที่ถูกต้อง
44. พ่อครับ จงอย่าสักการะชัยฏอน เพราะชัยฏอนนั้นไม่เชื่อฟังพระผู้ทรงปรานี
45. พ่อครับ ฉันกลัวเหลือเกินว่าพ่อจะได้รับการลงโทษจากพระผู้ทรงปรานีและกลายเป็นสหายของชัยฏอน”


คำแปล R4.
41. และจงกล่าวถึง (เรื่องของ) อิบรอฮีมที่อยู่ในคัมภีร์ แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ เป็นนะบี
42. และจงรำลึกถึงเมื่อเขากล่าวแก่บิดาของเขาว่า โอ้พ่อจ๋า ทำไมท่านจึงเคารพบูชาสิ่งที่ไม่ได้ยินและไม่เห็น และไม่ให้ประโยชน์อันใดแก่ท่านเลย
43. โอ้พ่อจ๋า แท้จริงความรู้ได้มีมายังฉันแล้ว ซึ่งมิได้มีมายังท่าน ดังนั้น จงเชื่อฟังปฏิบัติตามฉันเถิด ฉันจะชี้แนะท่านสู่ทางที่ราบรื่น
44. โอ้พ่อจ๋า  อย่าเคารพบูชาชัยฏอนเป็นอันขาด แท้จริงชัยฏอนนั้นมันดื้อรั้นต่อพระผู้ทรงกรุณาปราน
45. โอ้พ่อจ๋า แท้จริง ฉันกลัวว่าการลงโทษจากพระผู้ทรงกรุณาปรานีจะประสบแก่ท่านแล้วท่านก็จะเป็นสหายของชัยฎอน


คำแปล R5.
๔๑. โอ้มุฮำมัด และเจ้าจงเล่าถึงประวัติของอิบรอฮีมซึ่งมีกล่าวระบุอยู่ในคัมภีร์อัล-กุรอานให้ได้รู้กันโดยทั่วถึงในหมู่ชนเถิดว่า แน่แท้เขา(อิบรอฮีม) เป็นผู้สัจจริงเป็นพระศาสดา(นบี)
๔๒. ในขณะที่เขา(อิบรอฮีม) ได้กล่าวแก่บิดาของเขาชื่ออาซัรผู้เคารพบูชาเทวรูปว่า บิดาเอ๋ยไฉนท่านถึงได้เคารพบูชาเหล่าเทวรูปผู้ซึ่งมิได้ยิน มิแลเห็น ทั้งมิอาจคุ้มตัวท่านให้พ้นอันตรายและให้ได้รับประโยชน์ได้เลยสักอย่างเดียว?
๔๓. บิดาเอ๋ย แน่แท้โองการจากอัลเลาะห์ที่ไม่เคยมีมายังท่านได้มาถึงฉันแล้ว ฉะนั้นฉันขอว่าบิดาจงตามฉันเถิด ฉันจะได้ชี้นำท่านในวิถีทางเที่ยงธรรม
๔๔. บิดาเอ๋ย ท่านอย่าได้เคารพบูชาเหล่าเทวรูปโดยเชื่อฟังตามสั่งของพวกไซตอนเลย แท้จริงไซตอนคือผู้ทรยศต่อพระเจ้า องค์ทรงเมตตายิ่งของฉัน
๔๕. บิดาเอ๋ย ฉันเกรงว่าโทษทัณฑ์จากอัลเลาะห์องค์ทรงเมตตายิ่งจะมาประสบกับท่านเข้า หากท่านไม่กลับใจแล้วเลิกเคารพบูชาเหล่าเทวรูปไซร้ ท่านย่อมเป็นสหายกับไซตอนอยู่ในขุมนรกแน่ ๆ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 46 - 50


คำแปล R1.
46. He (the father) said: "Do you reject my gods, O Ibrahim (Abraham)? If you stop not (this), I will indeed stone you. So get away from me safely before I punish you."
47. Ibrahim (Abraham) said: "Peace be on you! I will ask forgiveness of my Lord for you. Verily! He is unto me, ever Most Gracious.
48. "And I shall turn away from you and from those whom you invoke besides Allah. And I shall call on my Lord; and I hope that I shall not be unblest in my invocation to my Lord."
49. So when he had turned away from them and from those whom they worshipped besides Allah, we gave Him Ishaque (Isaac) and Ya'qub (Jacob), and each one of them we made a Prophet.
50. And we gave them of Our Mercy (a good provision in plenty), and we granted them honour on the tongues (of all the nations, i.e. everybody remembers them with a good praise).


คำแปล R2.
46. เขา(บิดา)ได้กล่าวว่า “เจ้ารังเกียจบรรดาพระเจ้าของข้ากระนั้นหรือ โอ้ อิบรอฮีม? หากแม้นเจ้าไม่ยุติ(การก้าวร้าวต่อพระเจ้าของข้า) ข้าก็จักขว้างเจ้าเป็นแน่ และเจ้าจงแยกทางกับข้าตลอดไปเถิด”
47. อิบรอฮีมกล่าวว่า “(ถ้าท่านไม่เชื่อข้าพเจ้า) ท่านก็จงมีความสุขสันติเถิด ข้าพเจ้าจะขออภัยจากองค์อภิบาลของข้าพเจ้าให้แก่ท่าน เพราะแท้จริงพระองค์ทรงเอื้เฟื้อแก่ข้าพเจ้าเสมอ”
48. “และข้าพเจ้าจะปลีกตัวจากท่าน และจากสิ่งที่พวกท่านวอน(นมัสการ)นอกจากอัลเลาะฮฺ และข้าพเจ้าจะวอน(นมัสการ)ต่อองค์อภิบาลของข้าพเจ้า(โดยเฉพาะพระองค์เดียว) หวังว่าเพราะการวอนนมัสการต่อองค์อภิบาลของข้าพเจ้าคงจะไม่ทำให้ข้าพเจ้าเป็นผู้สูญเสียเป็นแน่
49. ครั้นเมื่อเขาได้ปลีกตัวออกจากพวกเขาและจากสิ่งที่พวกเขานมัสการนอกจากอัลเลาะฮฺ เราก็ให้เขามี(ลูกสองคนคือ) อิสหากและยะอฺกู๊บ และทั้งหมดนั้นเราได้แต่งตั้งให้เป็นศาสดา
50. และเราได้ให้แก่พวกเขา(ทั้งสาม)จากความเมตตาของเรา และเราได้บันดาลแก่พวกเขาให้ได้รับคำสัจจะ(สดุดี)อย่างสูง(ในเหล่าประชาชาติทุกยุค)


คำแปล R3.
46. พ่อของเขาตอบว่า “นี่ อิบรอฮีม เจ้าละทิ้งเทวรูปบูชาของฉันเสียแล้วกระนั้นหรือ? ถ้าหากเจ้าไม่หยุดยั้งเรื่องนี้ ฉันจะเอาหินขว้างเจ้าให้ตาย ไปไกล ๆ เลย และอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
47. อิบรอฮีมกล่าวว่า “ขอความสันติจงมีแด่พ่อ ฉันจะวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของฉันให้ทรงอภัยท่าน เพราะพระองค์ทรงเอ็นดูฉัน
48. ฉันขอหลีกห่างจากพวกท่านและสิ่งที่พวกท่านวิงวอนขอแทนอัลลอฮฺ และฉันจะวิงวอนต่ออัลลอฮฺเท่านั้น ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว้าการวิงวอนขอต่อพระผู้อภิบาลของฉันจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง
49. หลังจากนั้นเมื่อเขาหลีกห่างจากผู้คนเหล่านั้นและจากสิ่งที่พวกเขาเคารพสักการะแทนอัลลอฮฺ เราก็ได้ประทานลูกหลานแก่เขา อย่างเช่น อิสฮากและยะกู๊บ และเราได้ทำให้แต่ละคนเป็นนบี
50. และเราได้ประทานความเมตตาแก่เขาและทำให้พวกเขาเป็นที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงส่ง


คำแปล R4.
46. เขา (บิดา) กล่าวว่า เจ้ารังเกียจพระเจ้าทั้งหลายของฉันกระนั้นหรือ โอ้อิบรอฮีมเอ๋ย หากเจ้าไม่หยุดยั้ง (จากการตำหนิ) แน่นอนฉันจะขว้างเจ้า (ด้วยก้อนหิน) และเจ้าจงไปให้พ้นจากฉันตลอดไป
47. เขา (อิบรอฮีม) กล่าวว่า ขอความศานติจงมีแด่ท่าน ฉันจะขออภัยโทษจากพระเจ้าของฉันให้แก่ท่าน แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตากรุณาแก่ฉันมาก
48. และฉันจะปลีกตัวออกจากพวกท่านและสิ่งที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮฺ และฉันจะวิงวอนขอพระเจ้าของฉัน หวังว่าด้วยการวิวอนขอต่อพระเจ้าของฉัน จะไม่ทำให้ฉันได้รับความทุกข์
49. ครั้นเมื่อเขาปลีกตัวออกไปจากพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮฺแล้ว เราได้ให้แก่เขา อิสฮาก และยะอ์กูบ และแต่ละคนเราได้แต่งตั้งให้เป็นนะบี
50. และเราได้ให้ความเมตตาของเราแก่พวกเขา และเราได้ทำให้พวกเขาได้รับการกล่าวขวัญที่ดี (ในหมู่มวลมนุษย์)


คำแปล R5.
๔๖. เขา(อาซัร ผู้เป็นบิดาของอิบรอฮีม) กล่าวว่าอิบรอฮีมเอ๋ย ท่านชิงชังบรรดาเทวรูปอันเป็นที่เคารพบูชาของฉันนักหรือ? ฉันขอกล่าวโดยสัจจริงว่าหากท่านมิยับยั้งถ้อยคำของท่านที่ถากถางเหล่าเทวรูปของฉันจริง ๆ แล้ว ฉันจักขว้างท่านด้วยก้อนหินเป็นแน่จงเกรงฉันด้วยซิ และให้ท่านงดพูดกับฉันจงเรื่อยไป
๔๗. เขา(อิบรอฮีม) กล่าวต่อบิดาของตนว่า สันติสุขพึงมีแก่ท่าน ฉันจะไม่กล่าวร้ายให้เป็นที่เกลียดชังขึ้นแก่ท่านอีกแล้ว ฉันจะขอต่ออัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลของฉันได้โปรดชักนำท่านสู่ทางธรรมด้วย แน่แท้พระองค์นั้นทรงเป็นองค์เอื้อเฟื้อต่อฉันอยู่ ในอันที่จะทรงสนองต่อคำขอของฉัน
๔๘. และฉันจะปลีกจากพวกท่านและจากเหล่าเทวรูปที่พวกท่านเคารพบูชาต่างอัลเลาะห์อยู่ โดยจะเดินทางออกจากแผ่นดินกูซา ไปยังแผ่นดินบัยตุลมักดิส ฉันจะเคารพบูชาอัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลของฉัน หวังใจว่าฉันอาจไม่ใช่ผู้ชั่วช้าต่อการเคารพบูชาองค์พระผู้อภิบาลของฉัน เหมือนดั่งที่ฉันได้หยามเหยียดพวกท่านที่เคารพบูชาเหล่าเทวรูปก็ได้
๔๙. ครั้นเมื่อเขา (อิบรอฮีม) ได้ปลีกไปจากพวกเหล่านั้น และจากเหล่าเทวรูปที่พวกเหล่านั้นเคารพบูชาต่างอัลเลาะห์และได้เข้าสู่ดินแดนแห่งบัยคุลมักดิสแล้ว เรา(อัลเลาะห์) จึงให้เขา(อิบรอฮีม) ได้อิสฮากและยะกู๊บไว้เป็นขวัญใจและแต่ละคนนี้เรา(อัลเลาะห์) ก็ให้เขาทั้งอิสฮากและยะกู๊บได้เป็นศาสดา (นบี) อีกด้วย
๕๐. และเรา(อัลเลาะห์) ได้ให้พวกเขาทั้งสาม (อิบรอฮีมและบุตรสองคน) ได้รับส่วนแห่งทรัพย์อันไพบูลย์ ตลอดถึงบรรดาบุตรหลานซึ่งเป็นความปรานีจากเรา อีกทั้งเรายังให้พวกเขาได้รับคำสดุดีอย่างสูงโดยจริงใจจากปวงประชากรทั้งสิ้นตราบถึงวันกิยามะห์ด้วย กล่าวคือบรรดาผู้นับถือศาสนาไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชนใดต่างน้อมแสดงความปีติยินดีและมีหัวใจอ่อนอารีต่ออิบรอฮีม อิสฮาก และยะกูบเสมอ นี้แหละจะได้เป็นข้อติเตียนกาฟิรชาวมักกะห์ เพื่อผลแห่งความยินดีและคำสดุดี จะได้ชักนำชาวนครมักกะห์ให้หันมาเจริญตามเขาทั้งสามนี้ด้วย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 51 - 53



คำแปล R1.
51. And mention in the Book (this Qur'an) Musa (Moses). Verily! He was chosen and he was a Messenger (and) a Prophet.
52. And we called him from the right side of the mount, and made him draw near to us for a talk with him [Musa (Moses)].
53. And we bestowed on him his brother Harun (Aaron), (also) a Prophet, out of Our Mercy.


คำแปล R2.
51. และจงแถลงเรื่องราวของมูซาในคัมภีร์(อัลกุรอาน)เถิด เพราะแท้จริงเขาเป็นผู้บริสุทธิ์(พ้นมลทินแห่งการกราบไหว้บูชาวัตถุเคารพ)และเขาเป็นทั้งศาสนทูตอีกทั้งเป็นศาสดา
52. และเราได้เรียกเขาจากเบื้องขวาของภูเขาฏูรซีนา(ใกล้บัยติลมักดิส)และเราได้ให้เขาเข้ามาใกล้ชิด(เรา)โดยให้เขาได้สนทนา(กับเราด้วยการรับบัญญัติสิบประการ)
53. และเราได้มอบแก่เขาจากความเมตตาของเราให้พี่ชายของเขาคือฮารูนเป็นศาสดา (ผู้ช่วยเขาในการประกาศศาสนา)


คำแปล R3.
51. และจงเล่าเรื่องของมูซาในคัมภีร์นี้: เขาเป็นบุคคลที่ถูกคัดเลือกและเขาเป็นทั้งรอซูลทั้งนบี
52. เราได้เรียกเขาจากทางด้านขวาของภูเขาตูรฺ และได้ให้เกียรติเขาด้วยการพูดแบบลับ ๆ
53. และด้วยความเมตตาที่เราได้ทำให้พี่ชายของเขาคือฮารูน เป็นนบี (เพื่อเป็นผู้ช่วย)


คำแปล R4.
51. และจงกล่าวถึงเรื่องมูซาที่อยู่ในคัมภีร์ แท้จริงเขาเป็นผู้ได้รับคัดเลือก และเขาเป็นรอซูลเป็นนะบี
52. และเราได้ร้องเรียกเขาจากทางด้านขวาของภูเขาฎูร และเราได้ให้เขาเข้ามาใกล้ชิดเพื่อบอกความลับ
53. และเราได้ให้ความเมตตาของเราแก่เขาคือพี่ชายของเขา ฮารูน เป็นนะบี


คำแปล R5.
๕๑. โอ้มุฮำมัด และเจ้าจงเล่าถึงประวัติของมูซา ซึ่งมีกล่าวระบุอยู่ในคัมภีร์อัล-กุรอานให้ได้รู้กันโดยทั่วถึงในหมู่ชนเถิดว่า แน่แท้เขา(มูซา) คือผู้บริสุทธิ์ยิ่งต่อการเคารพบูชาในอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งเขา แล้วอัลเลาะห์ทรงชำระจิตของเขาให้ปราศพ้นมลทินทั้งเขายังเป็นศาสนทูต(รอซูล) ด้วยและศาสดา(นบี) ด้วย
๕๒. และเรา(อัลเลาะห์) ได้ร้องเรียกเขา(มูซา) จากภูเขาตูร(ซึ่งตั้งอยู่ใกล้บัยตุลมักดิส) ทางเบื้องขวา ขณะมูซาเดินมุ่งตรงสู่อียิปต์ ว่ามูซา แน่แท้เรานี้คืออัลเลาะห์ ทั้งเรา(อัลเลาะห์) ให้เขา(มูซา) ได้เข้าใกล้ชิดเพื่อเจรจา
๕๓. และเรา(อัลเลาะห์) ให้พี่ชายของเขา(มูซา) ชื่อว่าฮารูนเป็นศาสดาอันเป็นส่วนแห่งความปรานีจากเราแก่เขาด้วย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 54 - 58


คำแปล R1.
54. And mention in the Book (the Qur'an) Isma'il (Ishmael). Verily! He was true to what he promised, and he was a Messenger, (and) a Prophet.
55. And He used to enjoin on his family and his people As-Salat (the prayers) and the Zakat, and his Lord was pleased with him.
56. And mention in the Book (the Qur'an) Idris (Enoch).Verily! He was a man of truth, (and) a Prophet.
57. And we raised him to a high station.
58. Those were they unto whom Allah bestowed his Grace from among the Prophets, of the offspring of Adam, and of those whom we carried (in the ship) with Nuh (Noah), and of the offspring of Ibrahim (Abraham) and Israel and from among those whom we guided and chose. When the Verses of the Most Beneficent (Allah) were recited unto them, they fell down prostrating and weeping.


คำแปล R2.
54. และเจ้า(มุฮำมัด)จงแถลงเรื่องของอิสมาอีลในคัมภีร์(อัลกุรอาน)เถิด เพราะแท้จริงเขาเป็นผู้มีสัจจะในสัญญาและเขาเป็นศาสนทูต อีกทั้งเป็นศาสดา
55. และเขาได้ใช้ให้ครอบครัวของเขาทำละหมาดและบริจาคทานซะกาต อีกทั้งตัวเขานั้นเป็นที่พึงพระทัยแห่งองค์อภิบาลของเขา
56. และเจ้าจงแถลงเรื่องราวของอิดรีสในคัมภีร์(อัลกุรอาน)เถิด เพราะแท้จริงเขาเป็นผู้มีสัจจะยิ่งนัก อีกทั้งเป็นศาสดา
57. และเราได้ยกย่องเขาไว้ในสถานอันสูงส่ง
58. บรรดาพวกเหล่านั้นล้วนเป็นศาสดาซึ่งอัลเลาะฮฺได้ทรงโปรดปรานแก่พวกเขา บ้างก็เป้นผูสืบตระกูลแห่งอาดัม(โดยตรง คือนบีอิดรีส)บ้างก็(เป็นผู้สืบตระกูล)จากผู้ที่เราได้บรรทุกเขาไว้(บนเรือ)พร้อมกับนูห์ บ้างก็สืบตระกูลมาจากอิบรอฮีม และ(บ้างก็สืบตระกูลมาจาก)อิสรออีล(นบียะอ์กู๊บ) และมีบางคนที่เราได้ชี้นำและเลือกเฟ้นไว้ เมื่อบรรดาโองการแห่งองค์ผู้ทรงเมตตาถูกอัญเชิญแก่พวกเขา พวกเขาก็ทรุดกายลงกราบและร่ำไห้


คำแปล R3.
54. และจงเล่าเรื่องราวของอิสมาอีลในคัมภีร์นี้: เขาเป็นผู้ซื่อตรงต่อสัญญาและเขาเป็นทั้งรอซูลทั้งนบี
55. เขากำชับคนของเขาให้นมาซและจ่ายซะกาตและเขาเป็นที่โปรดปรานแก่พระผู้อภิบาลของเขา
56. และจงเล่าเรื่องราวของอิดรีสในคัมภีร์นี้: เขาเป็นคนสัตย์จริงและเป็นนบี57. และเราได้ยกย่องเขาให้มีตำแหน่งอันสูงส่ง
58. คนเหล่านี้เป็นนบีส่วนหนึ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานความโปรดปราน พวกเขามาจากลูกหลานของอาดัม และจากที่เราได้บรรทุกไว้ในเรือร่วมกับนูฮฺ และจากเชื้อสายของอิบรอฮีมและอิสรออีล พวกเขาอยู่ในหมู่ผู้ที่เราได้นำทางและได้คัดเลือก พวกเขามีความอ่อนโยนจนเมื่อใดก็ตามที่อายะฮฺของพระผู้ทรงกรุณาปรานีได้ถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขาก็จะก้มลงกราบและร้องให้


คำแปล R4.
54. และจงกล่าวถึงเรื่องของอิสมาอีลที่อยู่ในคัมภีร์ แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อสัญญา และเขาเป็นรอซูลเป็นนะบี
55. และเขาใช้หมู่ญาติของเขาให้ปฏิบัติละหมาดและจ่ายซะกาต และเขาเป็นที่โปรดปราน ณ ที่พระเจ้าของเขา
56. และจงกล่าวถึงเรื่องของอิดรีสที่อยู่ในคัมภีร์ แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ เป็นนะบี
57. และเราได้เทิดเกียรติเขาซึ่งตำแหน่งอันสูงส่ง
58. ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงโปรดปรานพวกเขาให้เป็นนะบี ที่มีเชื้อสายจากอาดัม และจากเชื้อสายผู้ที่เราบรรทุกไว้ในเรือกับนูห์ และจากเชื้อสายของอิบรอฮีม และอิสรออีลและจากเชื้อสายผู้ที่เราได้ชี้แนะทางและเราได้คัดเลือกไว้ เมื่อบรรดาโองการของพระผู้ทรงกรุณาปรานีถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขาจะก้มลงสุญูดและร้องให้


คำแปล R5.
๕๔. โอ้มุฮำมัด และเจ้าจงเล่าถึงประวัติของอิสมาอีล ซึ่งมีกล่าวไว้อยู่ในคัมภีร์อัล-กุรอานให้ได้รู้กันโดยทั่วถึงในหมู่ชนเถิดว่า แน่แท้เขา(อิสมาอีล) คือผู้มีสัจจะในคำมั่น เขาจะมีคำมั่นสัญญาที่ล้วนแต่ต้องปฏิบัติตามข้อสัญญานั้น ๆ อย่างครบถ้วนทุกประการ และเขาสามารถรอคอยคู่สัญญาของเขาที่ให้ไว้ต่อกัน บางทีเพียงสามวันและบางทีก็ถึงปี จนกระทั่งคู่สัญญาผู้นั้นกลับมาหาเขาและเขา(อิสมาอีล) ยังเป็นทั้งศาสนทูตและศาสดาด้วย
๕๕. แล้วเขา(อิสมาอีล) ได้ใช้ครอบครัวของเขาให้ดำรงละหมาด และจ่ายทรัพย์สินเป็นซะกาต ทั้งเขาเป็นที่ปีติยินดีแห่งองค์พระผู้อภิบาลของเขาอีกด้วย
๕๖. โอ้มุฮำมัด และเจ้าจงเล่าถึงประวัติของอิดรีสผู้มีนามเดิมว่าอุคนูค ซึ่งมีกล่าวระบุอยู่ในคัมภีร์อัล-กุรอานให้ได้รู้กันโดยทั่วถึงในหมู่ชนเถิดว่า แน่แท้เขา(อิดรีส) เป็นผู้มีสัจจริง เป็นพระศาสดา
๕๗. และเรา(อัลเลาะห์) ได้ส่งเขาขึ้นสู่สถานอันสูงคือฟ้าชั้นที่สี่ภายหลังจากเขาตายลงแล้ว ก็กลับมีชีพขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
๕๘. บรรดาชนผู้ที่อัลเลาะห์ทรงอำนวยความผาสุกให้อันได้แก่ปวงศาสดาตามที่ได้ออกชื่อจำนวนสิบท่าน คือ ซะกะรียา ยะห์ยา อีซา มูซา ฮารูน อิบรอฮีม อิสมาอีล อิสฮาก ยะกู๊บ และอิดรีส ซึ่งบ้างก็เป็นลูกหลานของอาดำ เช่นอิดรีส บ้างเป็นผู้ที่เราเคยให้โดยสารเรือร่วมกับนูห์ เช่น อิบรอฮีมผู้เป็นบุตรหลานของนูห์ และที่เป็นลูกหลานของอิบรอฮีม อาทิเช่น อิสมาอีล อิสฮากและยะกู๊บ ที่เป็นอนุชนของยะกู๊บ ต้นสกุลอิสรออีลก็มีเช่น มูซา ฮารูน ซะกะรียา ยะห์ยาและอีซา และบ้างก็เป็นผู้ที่เราชี้แนวธรรมให้ได้สู่วิถีทางเที่ยงแท้ และที่เราได้เลือกสรรแล้วเหล่านี้แหละ เมื่อบรรดาโองการแห่งอัลเลาะห์ องค์ผู้เมตตายิ่ง อันถูกดลมาจำเพาะแก่แต่ละศาสดา ได้ถูกอ่านขึ้นที่พวกเขาทั้งหลายดังได้ออกชื่อนี้ พวกเขาต่างก็ยอมลงคารวะโดยแสดงในรูปของการละหมาดและร้องไห้ ทั้งนี้เพราะการถ่อมกายและใจตลอดถึงมีความยำเกรงและสังวรอีกด้วย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ มัรฺยัม อายะฮฺที่ 59 - 63


คำแปล R1.
59. Then, there has succeeded them a posterity who have given up As-Salat (the prayers) [i.e. made their Salat (prayers) to be lost, either by not offering them or by not offering them perfectly or by not offering them in their proper fixed times, etc.] and have followed lusts. So they will be thrown in Hell.
60. Except those who repent and believe (in the Oneness of Allah and his Messenger Muhammad), and work righteousness. Such will enter Paradise and they will not be wronged in aught.
61. (They will enter) 'Adn (Eden) Paradise (everlasting Gardens), which the Most Beneficent (Allah) has promised to his slaves in the unseen: Verily! His promise must come to pass.
62. They shall not hear therein (in Paradise) any Laghw (dirty, false, evil vain talk), but only Salam (salutations of peace). And they will have therein their sustenance, morning and afternoon. [See (V.40:55)].
63. Such is the Paradise which we shall give as an inheritance to those of our slaves who have been Al-Muttaqun (pious and righteous persons - see V.2:2).


คำแปล R2.
59. จากนั้นได้มีกลุ่มชนหนึ่งอุบัติขึ้นทดแทนภายหลังจากพวกเขา(ได้จากโลกนี้ไปแล้ว) ซึ่งพวกเขาละเลยต่อการละหมาดและพวกเขาตมอารมณ์ (ใฝ่ต่ำ)ดังนั้นพวกเขาจะต้องประสบกับเหวนรก
60. ยกเว้นผู้สาสรภาพผิด และมีศรัทธา อีกทั้งประพฤติความดี แน่นอนพวกเหล่านั้นจะได้เข้าสวรรค์โดยพวกเขาไม่ถูกฉ้อฉลเลยแม้สักสิ่งเดียว
61. เป็นสวรรค์อันอมตะ ซึ่งองค์ผู้ทรงเมตตาได้ทรงสัญญาไว้ แก่ข้าทาสของพระองค์โดยเร้นลับ แท้จริงสัญญาของพระองค์ย่อมได้รับการลุล่วงเสมอ
62. พวกเขาไม่ได้ยินสิ่งไร้สาระในนั้นเลยนอกจากคำประสาทพรเท่านั้น และพวกเขาได้รับปัจจัยยังชีพในนั้นทั้งยามเช้าและยามเย็น
63. นั้นเป็นสวรรค์ ซึ่งเราจักสืบทอดแก่ผู้มีจิตยำเกรงจากมวลข้าทาสของเรา


คำแปล R3.
59. แล้วหลังจากพวกเขาก็มีคนชั่วที่การนมาซของพวกเขาได้หายไปและปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขา ดังนั้นในไม่ช้าพวกเขาจะได้พบกับความหายนะ
60. ยกเว้นบรรดาผู้ปรับปรุงตัวหลังจากสำนึกผิดและมีความศรัทธาและประกอบการดี คนเหล่านี้จะได้เข้าสวรรค์ และพวกเขาจะไม่ถูกอยุติธรรมแต่อย่างใด
61. พวกเขาจะได้สวนสวรรค์อันสถาพรซึ่งพระผู้ทรงกรุณาปรานีได้สัญญาไว้แก่บ่าวของพระองค์ในขณะที่พวกเขายังไม่เห็นมัน และแน่นอนที่สัญญาของพระองค์จะต้องเป็นจริง
62. ที่นั่น พวกเขาจะไม่ได้ยินคำพูดไร้สาระ นอกจากจะได้รับแต่สิ่งดีงามและความสงบ และพวกเขาจะได้รับปัจจัยยังชีพประจำ ทั้งในยามเช้าและยามค่ำ
63. นั่นคือสวรรค์ที่เราจะให้เป็นมรดกแก่บ่าวของเราที่ดำเนินชีวิตห่างไกลจากความชั่ว


คำแปล R4.
59. ภายหลังจากพวกเขา ชนรุ่นชั่วก็ได้สืบต่อมา พวกเขาได้ทิ้งละหมาด และปฏิบัติตามความใคร่ ต่อมาพวกเขาก็จะประสบความหายนะ
60. เว้นแต่ผู้ขอลุแก่โทษและศรัทธา และกระทำความดี ชนเหล่านั้นจะได้เข้าสวนสวรรค์และพวกเขาจะไม่ได้รับความอธรรมแต่อย่างใด
61. สวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพร ซึ่งพระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงสัญญาแก่ปวงบ่าวของพระองค์ด้วยความเร้นลับ แท้จริงสัญญาของพระองค์นั้นจะมีมาอย่างแน่นอน
62. พวกเขาจะไม่ได้ยินสิ่งไร้สาระในนั้น นอกจากคำทักทายที่เป็นศานติ และสำหรับพวกเขาจะได้รับเครื่องยังชีพของพวกเขาในนั้น ทั้งในยามเช้าและยามเย็น
63. นั่นคือสวนสวรรค์ซึ่งเราให้เป็นมรดกแก่ปวงบ่าวของเรา ผู้ที่มีความยำเกรง


คำแปล R5.
๕๙. และถัดมาจากพวกเขา ที่ออกชื่อแล้วทั้งสิบท่าน ก็เกิดมีคณะชนรุ่นหลังอีกคณะหนึ่ง ได้ละเลยต่อการปฏิบัติละหมาดแล้วเจริญตามกิเลส ต่อไปในภาคภพอาคิเราะห์ พวกเหล่านั้น(คณะชนรุ่นหลัง) จะถูกโยนลงห้วงเหวแห่งขุมนรกยะฮันนำ
๖๐. เว้นแต่ผู้ลุแก่โทษ ทั้งได้มีศรัทธาและประพฤติชอบเท่านั้น พวกเหล่านี้แหละจะเข้าสรวงสวรรค์ โดยที่บุญกุศลของพวกเขามิถูกคดโกงด้วยให้หย่อนลงเลยสักแม้นิดเดียว
๖๑. สรวงสวรรค์ที่กล่าวถึงนี้เป็นสวรรค์อัดนิ์ที่อัลเลาะห์องค์พระผู้เมตตายิ่งทรงได้มีสัญญาแก่ปวงบ่าวของพระองค์ไว้แต่หนหลังในครั้งเมื่อบ่าวทั้งหลายของพระองค์ยังยืนชีพอยู่ภพดุนยา แน่แท้สัญญาแห่งการตอบแทนสวรรค์ให้แก่ปวงบ่าวของพระองค์นั้น นำผลให้แล้วแก่ชาวสวรรค์
๖๒. ซึ่ง ณ สวรรค์แห่งนั้น พวกเขาผู้เป็น ชาวสวรรค์ จะไม่ได้ยินเลยซึ่งบรรดาถ้อยคำเหลวไหล นอกจากจะมีแต่วาจาเป็นคำอวยพรจากมวลมลาอิกะห์หรือจากเหล่าชาวสวรรค์ด้วยกันว่า สันติสุข และ ณ สรวงสวรรค์แห่งนั้น พวกเขายังได้รับโภคลาภทั้งในยามเช้าและยามเย็น อันเวลาระหว่างทั้งสองภาคนี้นับนานเหมือนเวลาเช้ากับเย็นเหมือนเวลาในภพดุนยา อีกทั้งในสรวงสวรรค์ย่อมไม่มีกลางวันและกลางคืน จะมีอยู่แต่รัสมีสว่างเรืองรองเป็นนิจกาล
๖๓. นั่นคือสวรรค์ที่เรา (อัลเลาะห์) ได้มอบให้แก่ปวงบ่าวของเรา ใครก็ได้ที่เป็นผู้ยำเกรงเรา โดยประพฤติปฏิบัติตามบัญชางดเว้นจากข้อห้ามของเรา


 

GoogleTagged