ผู้เขียน หัวข้อ: อยากทราบที่มาของฉายาท่านเชค.."อิบนุ หะญัร" (ลูกหิน) ครับ  (อ่าน 1555 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ hadee

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 26
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

ผมเคยรับรู้มาว่า ฉายาของท่านเชค "อิบนุ หะญัรฺ" (ซึ่ง แปลว่า ก้อนหิน) มีที่มาจากการที่ท่านนั้นมักจะอมก้อนหินไว้ในปากเสมอ
ทั้งนี้ เนื่องจาก เมื่อมีผู้มาถามปัญหากับท่านใดๆ ท่านก็จะได้คิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน แล้วจึงค่อยคายก้อนหินออกมาจากปาก
เพื่อทำการตอบคำถามดังกล่าว ครับ

ไม่ทราบว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
วอนผู้รู้ด้วยครับ

ญะซากุมุลลอฮูค็อยร็อน

วัสลาม

ออฟไลน์ BasemDeen

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 260
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
อิหม่าม อิบนุ หะญัร อัล อัสกอลานียฺ
อมีรุล มุอ์มินีน แห่งวิชาหะดีษ

 Sample Image

Fittree Al-Ashary เรียบเรียง


            วงศ์ตระกูลของ อบุล ฟัดล อะฮฺหมัด อิบนุ ฮะญัร  มีฐานเดิมในเมือง “กอบิส”  ประเทศตูนิเซีย สมาชิกบางคนของตระกูลได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์ ซึ่งพวกเขาได้อพยพอีกครั้งเมื่อต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากพวกครูเสด แต่ตัวเขาเองเกิดในอียิปต์เมื่อปี ฮ.ศ. 773 เป็นบุตรชายของนักปราชญ์คนสำคัญในสำนักนิติศาสตร์ของอิหม่าม ชาฟิอียฺผู้ซึ่งนักประพันธ์ที่ได้รับการการศึกษาสูงที่มีนามว่า “นูรุดดีน อาลี”  ทั้งพ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตในช่วงที่เขาอยู่ในวัยเด็ก เขาได้กล่าวชมเชยพี่สาวของเขา ซีตี อัล รัคบ สำหรับการทำหน้าที่เป็น ‘แม่คนที่สองของเขา’ ต่อมาเด็กทั้งสองกลายเป็นผู้ที่อยู่ในความดูแลของพี่ชายของภรรยาคนแรกของบิดาของเขา ซากี อัล-ดิน อัล คารรุบี ผู้ซึ่งส่งเด็กน้อยอิบนุ ฮะญัร เข้าเรียนโรงเรียนกุรอาน (กุตตาบ) เมื่อเขามีอายุได้ห้าขวบ
          ณ โรงเรียนแห่งนี้เขายอดเยี่ยมมาก เขาเรียนรู้ซูเราะห์มัรยัมได้ในวันเดียว และรุดหน้าในการท่องจำตำรา มุคตะศ็อร ของ อิบนุ อัล-ฮาญิบ ว่าด้วยเรื่องรากฐานศาสนา ในช่วงเวลานั้นเขาได้ติดตาม “อัล-คารรุบี” ไปนครมักกะห์ เมื่อมีอายุ 12 ปี เขามีความสามารถพอที่จะนำละหมาดตะรอวีฮฺในนครอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งเขาใช้เวลาจำนวนมากในการศึกษาและรำลึกถึงอัลลอฮฺ ท่ามกลางความพอใจในความเรียบง่ายของบ้าน “อัล-คารรุบี” สองปีต่อมาผู้ปกครองของเขาได้เสียชีวิต การศึกษาในอียิปต์ของเขาได้มอบหมายให้นักวิชาการหะดีษ ที่มีนามว่า “ชัมสุดิน อัล-อิบนุ กุตตาน”  ผู้ที่ส่งให้เขาเรียนในหลักสูตรที่กำหนดโดยนักวิชาการที่มีชื่อเสียงชาวไคโร “อัล บัลกินียฺ” (เสียชีวิตปี ฮ.ศ. 806)  และ อิบนุ อัล-มุลักกีน  (เสียชีวิตปี ฮ.ศ. 804) ในสำนักคิดชาฟิอี และ ซัยนุลดีน อัล-อิรัคกี ยฺ (เสียชีวิตปี ฮ.ศ. 806) ในวิชาหะดีษ หลังจากที่เขาได้เดินทางไปดามัสกัสและเยรูซาเล็ม ที่ซึ่งเขาได้ศึกษาภายใต้ ชัมสุดิน อัล-กอลกอชันดี (เสียปี ฮ.ศ. 809) บัดรฺ อัล-ดีน บาลิซี (เสียชีวิตปี ฮ.ศ. 803) และ ฟาติมะฮฺ บินติ อัล-มันญาล ตานุกียยะฮฺ (เสียชีวิตปี ฮ.ศ. 803) หลังจากได้เยี่ยมเยียนนครมักกะห์ นครมาดีนะฮฺ และไปเยเมน เขาก็ได้กลับไปยังอียิปต์

            นอกจากนี้ เมื่อเขาอายุ 25 ปี เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวที่สดใสและเฉลียวฉลาด อนัส คาตุน  ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหะดีษ ซึ่งได้รับอิญาซะฮฺ(การรับรอง)จาก “ซัย นุล อัด ดีน อัล อิรอกียฺ” และเธอกล่าวบรรยายในงานเลื้ยงเปิดตัวสามีของเธอต่อบรรดานักวิชาการอิสลาม ซึ่งในนั้นมีอิหม่าม “อัช ชักฮาวียฺ” อยู่ด้วย หลังจากแต่งงาน “อิบนุ หะญัร” ได้ย้ายไปที่บ้านของเธอที่ซึ่งเขาอาศัยจนกระทั่งเสียชีวิต หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเธอถึงอยู่ในหมู่คนชรา คนยากจน และคนพิการ ซึ่งเป็นประโยชน์และยินดีที่จะสนับสนุนเธอ ชื่อเสียงของเธอในด้านความมีศีลธรรมได้แผ่ขยายอย่างกว้างขวางในช่วงสิบห้าปี ของความเป็นม่าย ซึ่งเธออุทิศให้กับการทำงานที่ดีที่ เธอได้รับข้อเสนอจากอิหม่าม “อะลามะฮ อัด ดีน อัล บัลกินียฺ” ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าการแต่งงานกับผู้หญิงดังกล่าวที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และบารอกะฮฺ(ศิริมงคล) จะเป็นแหล่งที่มาของความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่

            เมื่ออาศัยอยู่ในอียิปต์ อิบนุ ฮะญัร ได้สอนในกระท่อมซูฟียฺ “คอนิเกาะฮฺ”  ของ “บิบิรซฺ” เป็นเวลาเกือบยี่สิบปี จากนั้นจึงสอนในวิทยาลัยฮะดีษที่รู้จักในนาม “หะดีษ ดารุล หะดีษ อัล กะมีลียะฮฺ” ในระหว่างปีนี้ เขาได้รับโอกาสทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้พิพากษาสำนักคิดชาฟิอียฺของอียิปต์ ณ กรุงไคโร อิหม่ามได้เขียนหนังสืออย่างเต็มที่และเขียนหนังสือที่เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในห้องสมุดของอารยธรรมอิสลาม

            ในบรรดาหนังสือเหล่านั้น คือ อัด ดุรอร อัล กามีนะฮฺ (พจนานุกรมชีวประวัติที่ชี้นำแนวคิดในศตวรรษที่แปด) อรรถาธิบายสี่สิบหะดีษของอิหม่ามอัล-นาวาวียฺ (นักวิชาการที่เขาเคารพเป็นพิเศษ) ตะอฺซีบ อัต ตะฮฺซีบ (ฉบับย่อของ ตะฮฺซีบกามาล อัล ริญาล ( สารานุกรม หะดีษ รายงานโดย อัล มิซซียฺ)  อัล อิศอบะฮฺ ฟี ตัมยีซ อัศ ศอฮาบะฮฺ (พจนานุกรมใช้กันอย่างแพร่หลายของซอฮาบะฮฺ) และบุลูฆุล มะรอม มิน อะดิละฮฺ อัล อะฮฺกาม (ในทัศนะทางสำนักคิดชาฟิอียฺ)Sample Image

            ในปี ฮ.ศ. 817 อัล อัสกอลานีย์ ได้ริเริ่มงานอันยิ่งใหญ่โดยการรวบรวมหนังสือที่ทรงคุณค่าของเขา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม ฟัตฮุล บารียฺ ด้วยการเริ่มเขียนตามคำบอกอย่างเป็นทางการให้กับนักเรียนหะดีษของเขา หลังจากที่เขาเขียนมันออกมาด้วยมือของเขาเองและหมุนเวียนไปยังกลุ่มต่างๆ ในหมู่นักเรียนของเขา ซึ่งจะพูดคุยกับเขาสัปดาห์ละครั้ง ในฐานะที่เป็นงานที่รุดหน้าและชื่อเสียงของผู้เขียนที่เพิ่มขึ้น โลกอิสลามจึงได้ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดในงานใหม่ชิ้นนี้ ในปี ฮ.ศ. 833

            อามีร ติมูร์ บุตรชายของ ชารุค ส่งจดหมายไปยังสุลต่านมัมลู๊ค อัล อัชรอฟ บารสเบย์  กำชัดให้ส่งบรรณาการจำนวนหนึ่ง รวมทั้งสำเนาของหนังสือที่จำหน่ายได้อย่างรวดเร็ว “ฟัตฮุล บารียฺ” และ อิบนุ ฮะญัร จึงส่งสามเล่มแรกให้เขา

            ในปีฮ.ศ. 839  ได้มีการขอซ้ำอีกครั้ง และเล่มต่อมาได้ถูกส่งไป จนกระทั่งในสมัยของ อัล-ซาฮีร์ ญัคมัค เนื้อหาทั้งหมดได้เสร็จสิ้น สำเนาฉบับสมบูรณ์จึงได้ถูกส่งไป เช่นเดียวกัน สุลต่านโมร็อกโค อาบู ฟาริส อับดุลอาซิส อัล-ฮัฟซี  ขอสำเนาก่อนที่จะเสร็จสมบูรณ์ เมื่อมันเสร็จสิ้น ในเดือนรอญับปี ฮ.ศ.842 การเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ได้จัดขึ้นในสถานที่กลางแจ้งใกล้กรุงไคโร ในการปรากฏตัวของบรรดานักวิชาการ ผู้พิพากษา และบุคคลสำคัญระดับแนวหน้าของอียิปต์ อิบนุ ฮะญัร นั่งบนเวทีและอ่านหน้าสุดท้ายในงานของเขา เพื่อแสดงถึงคุณค่าในความสามารถที่ไม่ธรรมดาของเขา นักกวีได้ร่ายคำสรรเสริญเยินยอ และทองคำได้ถูกแจกจ่าย ดังที่นักประวัติศาสตร์ อิบนุ อิยาส  ได้กล่าวว่า 'เป็นการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอียิปต์ในยุคนั้น

            ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ฮะญัร ได้เสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 852 งานศพ(ญะนาซะฮฺ)ของเขามีผู้เข้าร่วม “ห้าหมื่นคน” รวมไปถึงสุลต่าน และคอลีฟะฮฺ  แม้แต่ชาวคริสเตียนเองยังเสียใจ อันเนื่องจาก อิบนุ ฮะญัรได้เป็นที่จดจำว่าเป็นผู้ที่อ่อนโยน และรักการประดิษฐ์ตัวอักษร  เป็น ผู้ที่มีจิตใจเมตตาทำดีแก่ผู้ที่อธรรมต่อเขา และให้อภัยแก่ผู้ที่เขาสามารถที่จะลงโทษได้ ตลอดชีวิตที่ได้อยู่กับหะดีษ ซึ่งได้ย้อมเขาด้วยความรักอย่างลึกซึ้งต่อท่านเราะซูลของอัลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)
http://www.fityah.com/index.php?option=com_content&task=view&id=870&Itemid=33

ออฟไลน์ BasemDeen

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 260
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
"ความตั้งใจอย่างแน่วแน่คือครึ่งหนึ่งของความสำเร็จ"

ปุจฉา : ผมเรียนไม่ค่อยเก่ง ท่องหนังสือก็ไม่ค่อยจำ จะทำอย่างไรดี?..

คนเราจะเรียนเก่งหรือไม่เก่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่สติปัญญาของเราแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับความตั้งใจจริงของแต่ละบุคคลด้วย บางคนหัวไม่ดีท่องอะไรก็ไม่จำ จึงเป็นสาเหตุให้เรียนไม่เก่ง พาลให้ไม่อยากเรียนหนังสือ

ดังนั้นเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่าคนเราไม่มีครที่เก่งมาแต่เกิด? แม้จะฉลาดช้ากว่าคนอื่นแต่ก็ยังไม่โง่ไปตลอดชีวิต? คิดเอาไว้เสมอคนอื่นยังทำได้เราก็จะต้องทำให้ได้ และไม่ใช่คิดอย่างเดียวต้องทำด้วย

?

เรื่องราวของ อิบนุฮะญัร นั้นทำให้เราตระหนักได้ว่าไม่มีอะไรที่ยากไปกว่าการพยายาม

เรื่องมีอยู่ว่า ท่านอิบนุฮะญัร นักปราชญ์ในอดีต ซึ่งเดิมนั้นท่านเป็นคนหัวไม่ดี ท่องหนังสือจำได้อย่างลำบากยากเย็น ในแต่ละวันเขาต้องเดินทางผ่านป่าเขาลำเนาไพรเพื่อไปศึกษาหาความรู้จากอาจารย์ของเขาแต่ไม่ประสบผลเท่าที่ควรจึงเกิดความท้อใจ? เขาจึงปรึกษากับอาจารย์? ท่านอาจารย์จึงแนะนำให้เขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ จากนั้นเขาก็กลับบ้าน? ด้วยความเห็นดเหนื่้อยเขาจึงพักลงข้างทาง? นั่งคิดถึงสิ่งที่ท่านอาจารย์แนะนำ? พลันสายตาก็ไปพบสังเกตุเห็นหินก้อนหนึ่งที่เมื่อก่อนหน้านี้มันมีขนาดใหญ่กว่านี้ แต่ตอนนี้มันกลับมีขนาดเล็กลง เขาจึงนั่งวิเคราะห์ถึงสาเหตุ จึงพบว่าหินก้อนนี้มันถูกน้ำที่ตกลงจากยอดเขามาโดนทุกวันๆ จนมันถูกกัดกร่อนจนเหลือขนาดเล็ก? ฉับพลันนั้นเขาจึงตระหนักได้ว่า

"แม้หินก้อนนี้ที่แข็งแกร่งโดนน้ำที่หยดลงมาทุกวัน ทุกวัน กัดกร่อนจนเหลือก้อนเล็ก แล้วความพยายามของเราเล่าจะไม่สามารถละลายความยากของบทเรียนได้เชียวหรือ"

ด้วยกับคำพูดดังกล่าวที่อิบนุฮะญัรพูดกับตัวเองจนเป็นแรงผลักดันทำให้เขากลายมาเป็นนักวิชาการที่แต่งหนังสือมากมาย? และชื่อของท่าน "อิบนุฮะญัร" ที่แปลว่า "ลูกหิน" ก็มาจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั่นเอง

อ.อับดุลฆอนี เด่นตี
http://miftahbandon.org/data/index.php?option=com_content&view=article&id=121:2010-11-21-14-55-13&catid=1:2009-08-20-08-44-59&Itemid=3

 

GoogleTagged