เมื่อก่อนติดเนตชนิดเข้าขั้นรุนแรงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวมากค่ะ
สำหรับตอนนั้นเอามันทุกอย่าง เอามันทุกทาง...
จนกลับมาอยู่กับบ้าน(ติดอยู่กับหมง)เลยไม่ค่อยมีอินเตอร์เนต
ที่ทั้งเร็วและแรง แถมยังแพงแสนแพงอีก ทำให้ต้องคิดหนัก
เวลาจะเล่นเนตสักที ตอนนั้นรู้ตัวว่ากำลังลงแดง...
แถมยังหงุดหงิดที่เน็ตแถวบ้านไม่แรงดั่งใจ...
เพราะที่ญี่ปุ่นนั้น เนตแรงชนิดที่โหลดหนังเรื่องเดียวเสร็จภายในไม่กี่นาที
เข้าดูคลิปใน youtube ไม่มีสะดุดแม้แต่นิดเดียว...
แถมเมื่อก่อนนั้น เวลาจะไปไหนทำอะไรก็คอยแต่จดๆจ้องๆโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา
คอยดูคอยเช็คว่าใครโพสต์อะไร ใครส่งอะไรมาบ้างในความถี่แบบนาทีต่อนาที
คือสายตาไม่ยอมลดละไปจากโทรศัพท์และโน้ตบุ๊คเลย...
ราวกับระลึกนึกถึงมันอยู่ตลอดเวลา เข้าขั้นหมกมุ่นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
พอมาเจอที่บ้านตอนนั้นหงุดหงิดและร่ำๆว่าอยากให้มันมีการเปลี่ยนแปลง
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
สุดท้าย...ในเมื่อเปลี่ยนสิ่งอื่นไม่ได้ ก็เลยเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองแทน
มันน่าจะง่ายกว่ากันเยอะ จากที่ลงแดงจนต้องออกไปหาเนตแรงๆ
ในร้านเนตในทุกๆวัน ก็ค่อยๆปรับไม่ให้ถี่เกินไป ค่อยๆลดค่อยๆหาย
และพยายามทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน เช่น ปลูกผัก ทำสวน ทำไร่
กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำกับข้าว ปั่นจักรยานต์ไปตามทุ่งนา
และสอนหนังสือเด็ก...เลยหายเซ็ง หายหงุดหงิด หายเบื่อเนตแรงเต่าไปได้
และไม่มีอาการลงแดงอีก...
กลับมารอบนี้ เลยตั้งสติได้มากกว่าครั้งก่อน ว่าเราจะไม่กลับไปเสพมัน
ด้วยอารมณ์ด้วยสภาพเหมือนแต่ก่อนอีก...
แต่ก็ยังคงกลับมาโพสต์โน่นโพสต์นี่ในเว็บแห่งนี้อยู่ในยามที่ไม่อยาก
ออกไปนอกเคหะสถาน...และทำงานบ้านเสร็จแล้ว...^^
จึงคิดว่า...คงมีใครอีกหลายคนที่เสพติดอินเตอร์เนตเข้าขั้นรุนแรง
โดยไม่รู้ตัวอีกเยอะ และยังหาวิธีจัดการกับมันไม่ได้...
ซึ่งข้างบนที่เขียนไป อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยได้บ้าง...
และแน่นอนว่า ไม่มีอะไรจะทำให้เราหลุดจากสิ่งหนึ่งที่เสพติดมาอย่างยาวนาน
ได้สำเร็จเท่ากับการ "หักดิบ"
เมื่อเรา "หักดิบ" ได้สำเร็จ กลับมามองมันอีกที
เราจะมองเห็นสิ่งเดิมๆที่เราเคยทำด้วยมุมมองใหม่ที่แตกต่างขึ้น
อย่างน้อยๆ ทุกวันนี้เวลานั่งรถไปไหนมาไหร
ก็ไม่ได้ก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์เหมือนแต่ก่อนแล้ว
แต่ได้เปิดตา มีเวลาหันมองดูออกไปนอกรถ
ได้เห็นอะไรที่ไม่มีโอกาสได้เปิดตามอง
และความคิดสร้างสรรค์ก็ผุดขึ้นมาให้เราได้คิดโน่นคิดนี่
อยู่ตลอดเวลา...ได้มีโอกาสสร้างสรรค์สิ่งนั้นสิ่งนี้
เพราะเกิดจากเราเลิกจมจ่อกับอะไรเดิมๆ ซ้ำๆซากที่เคยได้ทำ
ได้สำเร็จแล้ว...
เคร่ื่องมือสื่อสารและการสื่อสารทุกชนิดในปัจจุบัน
มีดีอยู่ในตัวของมัน
ขึ้นอยู่กับเราว่า จะจัดการกับมันอย่างไร
เราต้องจัดการมันให้ได้ก่อนที่มันจะจัดการเราจนเราติดกับมัน
และถอนตัวไม่ขึ้น...
ทุกๆที่มีหลุมดำที่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นกับดักที่ถูกสร้างขึ้นมา...
ใครตกเข้าไปในหลุมดำนั้นแล้ว ก็ยากที่จะหลุดออกมา...
คนญี่ปุ่นเป็นโรคปิดตัวเองจากโลกภายนอก (โรคฮิคิโคโมริ)
กันมาก...ซึ่งคนประเภทนี้จะเก็บตัว ไม่ออกไปไหน
อยู่กับที่ เอาแต่เล่นเนต เล่นเกม ข้าวปลาอาหารไม่ค่อยสนใจ
จะกิน ไม่แยแสคนรอบตัว ไม่สนใจออกไปทำกิจกรรมข้างนอก
ตัดขาดโลกภายนอก แต่สมองไม่เคยหยุดนิ่ง...
ซึ่งสมองคิดแต่กายหยุดนิ่งกับที่...มีอวัยวะไม่กี่ส่วนที่เคล่ือนไหว
และทำงาน...
โรคนี้เป็นมากในหมู่คนญี่ปุ่น และอัตราการเสพติดอินเตอร์เนต
ของคนญี่ปุ่นก็อยู่ในขั้นสูง (Internet Fever) กันเลยทีเดียว
เพราะญี่ปุ่นเล่นเนตถูก เร็ว ทั้งโทรศัพท์มือถือและคอมพ์นั้น
สามารถลิงก์ข้อมูลถึงกันได้หมด ทุกคนถึงได้จมจ่ออยู่กับ
หน้าจอสี่เหลี่ยมตรงหน้ากัน แทบไม่ค่อยมีใครเงยหน้าขึ้นมอง
มนุษย์ผู้กำลังหิ้วของหนักๆอยู่ข้างกายเพื่อจะได้ช่วยเหลือเขา
เขาไม่ได้เจตนาหรือใจดำ แต่ใจเขาลอยไปสู่โลกอีกโลกนึง
ซึ่งคือโลกไซเบอร์เสียแล้วนั่นเอง...และเขาไม่ได้มองมา
ข้างกายหรือให้ความสนใจกับสิ่งรอบกาย...
เขาจึงสูญเสียโอกาสที่จะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ไปโดยละม่อม
ใครว่าอินเตอร์เนตไม่น่ากลัว ข้าน้อยขอฟันธงว่ามันอาจเป็น
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเลิกแยแสสิ่งรอบกายโดยไม่ได้เจตนา...
เพราะไม่รู้ตัวว่าได้ลืมสิ่งที่อยู่ข้างกายไปแล้วนั่นเอง...
ญี่ปุ่นเดินนำหน้าเราเรื่องการสื่อสารไปได้หลายก้าวอยู่เสมอ
แต่ความผิดพลาดของเขาจะเป็นครูให้กับเรา...
และเราจะไม่เดินไปตามทางที่เรามองเห็นแล้วว่า
มันเคยพาสังคมของเขาไปสู่อะไร...
และอะไรเป็นผลพวง เป็นเหตุนำไปสู่ความผิดพลาดนั้น...
เราจะปรับเปลี่ยนมันเพื่อจะได้ไม่ผิดไม่พลาดเหมือนเขา...
เขียนเสียยาวเลย...ไม่รู้จะมีใครเพ่งอ่านรึเปล่า...เฮะๆ
วัสลามค่ะ