การใช้ประโยชน์จากตัวอ่อน
และการทำลายตัวอ่อนที่ผสมแล้ว (stem cells)
Stem cells เป็นเซลล์ที่มีความสามารถที่จะแบ่งตัวให้เกิดเป็นเซลล์
ที่มีรูปร่างเหมือนเดิม(โคลนนิ่ง) หรือเปลี่ยนแปลงให้เป็นเซลล์ชนิดอื่นก็ได้
จากการวิจัยทางการแพทย์เชื่อกันว่าสามารถใช้ stem cells
ไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย หรือเอาไปใช้สร้างอวัยวะของร่างกาย
ขึ้นมาใหม่ได้
การศึกษาค้นคว้าเรื่อง stem cells เพิ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ.. 1960
Stem cells แบ่งออกเป็นหลายชนิด ตามต้นกำเนิดของมัน
แต่ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างจริงจัง มี 2 ชนิดคือ
stem cells จากตัวอ่อน หรือ embryonic stem cells
กับ stem cells ที่นำมาจากเลือดจากรกของแม่
หรือจากสายสะดือทารกแรกเกิด (cord blood stem cells )
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในสังคมปัจจุบัน
และดูเหมือนว่าจะเดินหน้าต่อไปในทางลบมากกว่าจะเป็นทางบวก
เพราะหากเราสังเกตดูสังคมปัจจุบัน มนุษย์ให้ความสำคัญ
กับรูปร่างหน้าตามากถึงมากที่สุด เพราะ...
1. คนที่เกิดมามีหน้าตาสมบูรณ์แบบ มีรูปร่างสมส่วนปราณีตมาแต่เดิม
คือ ไม่ได้พิกลพิการแต่อย่างใด มีอวัยวะทุกอย่างครบ
กลับเดินเข้าสถาบันเสริมความงาม เปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลลอฮฺ
ทั้งๆที่สิ่งที่อัลลอฮฺประทานให้มาแต่เดิมมันก็ดีอยู่แล้ว
หรือว่าพวกเขาไม่รู้...และสิ่งที่ติดตามมาหลังการเปลี่ยนแปลงการสร้าง
ที่พบส่วนใหญ่ก็คือ ความไม่สมดุล ร่างกายขาดสมดุล ต้องไปซ่อมแซม
และเสียเงินทอง เสียเวลา บางคนถึงกับเสียน้ำตาด้วยความเสียใจ
เมื่อกาลเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนั้นส่งผลตอบกลับมาในด้านลบ
สำหรับข้าน้อยมองว่า...การที่อัลลอฮฺประทานสิ่งต่างๆมาให้เราแต่เดิมนั้น
ย่อมมีวิทยปัญญาอยู่ในนั้นอยู่แล้ว หน้าที่เราคือ ศึกษาว่า เรามีดีอย่างไร
มิใช่ คิดแต่จะเปลี่ยนแปลงมัน เพราะเราจะรู้ได้อย่างไรว่า
การเปลี่ยนแปลงที่เราจะทำขึ้นนั้น มันดีกว่าจริงๆ หรือมันจะทำให้เรา
เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่าจริงๆ...
บางครั้งการยอมรับและพอใจกับสิ่งที่ได้ถูกประทานมานั้น
มันเป็น "ความสุขใจ" และหากเรามองตัวเองอย่างถ่องแท้จริงๆ
เราก็จะรู้ว่า พระเจ้าเมตตาเราแค่ไหนที่สร้างให้เรามาเป็นแบบนี้
แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงการสร้างของพระองค์ไปทำไม
ในเมื่อมันดีอยู่แล้ว...เราต้องขอบคุณกับการที่พระองค์ให้เราเกิดมามีสีผิวนั้น
สีผิวนี้ เพราะมันบ่งบอกว่า ไม่ว่าเราจะมีสีผิวใด เราก็ดูดีได้ด้วยความพึงพอใจ
ในสิ่งที่เรามี...ผู้ที่พอใจ ย่อมหมายความว่า ผู้นั้นพอเพียงแล้ว
จึงไม่มีสิ่งใดให้ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะพอใจแล้ว
ส่วนผู้ที่ขวนขวายอยู่ ย่อมไม่พบกับความพอเพียง
ต่อให้ผู้คนมองว่าสวยและดูดีสักแค่ไหน เขาก็ว่ายังไม่เพียงพออยู่ดี
2.มนุษย์ที่ไม่ยินยอมหรือไม่ยอมรับกับความร่วงโรยของสังขารณ์
เราจะเห็นว่า เดี๋ยวนี้ธุรกิจความงามได้แพร่ขยายอาณาจักร
ออกไปอย่างกว้างขวาง และดูจะสร้างผลกำไรอย่างมากมาย
ให้กับเจ้าของกิจการ เพราะความทุกข์ใจของคนสมัยนี้ก็คือ
การมองกระจกแล้วเห็นร่องรอยแห่งประสบการณ์ที่พาดผ่าน
ลงบนใบหน้า ที่เมื่อก่อนมันเคยเต่งตึง และสดใสเปล่งประกาย
มาบัดนี้ มันเหี่ยวและหดลงจนเห็นเป็นเส้น พวกเขายอมรับ
กับสิ่งที่ปรากฎบนใบหน้าและเรือนร่างนั้นไม่ได้ จนต้องขวนขวาย
เพื่อให้ร่องรอยดังกล่าวหายไปจากใบหน้าและเรือนร่างให้ได้
ต่อให้ต้องเจ็บแค่ไหนก็ยอม หรือต่อให้ต้องเสียเงินมากมายสักเท่าใด
ก็ไม่ใช่ปัญหา
เมื่อเงินที่เสียไปสามารถทำให้ใบหน้าและรูปร่างกลับมาเต่งตึงได้
สิ่งที่ติดตามมาก็คือ คนเหล่านั้นจะเริ่มเห็นความสำคัญของเงินมากขึ้น
มองว่ามีเงินก็สามารถบันดาลทุกอย่างได้ แม้แต่ความชรา
ก็ไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้ เขาจึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมา
แล้วใช้เงินเป็นตัวตอบสนองรับอารมณ์ สุดท้ายเงินจึงกลายเป็นใหญ่
เป็นพระเจ้าที่สามารถบันดาลทุกอย่างให้พวกเขาได้ไปในที่สุด...
โดยที่เขาลืมไปสนิทว่า...พระเจ้าที่สร้างเขามาจริงๆนั้น
รักและเมตตากับเขาแค่ไหน...แต่พวกเขากลับไม่รับรู้...
กลับไปเทิดทูนสิ่งอื่นที่มันไม่ใช่...
3.การขโมยอวัยวะของผู้อื่นหรือการปลูกถ่ายอวัยวะโดยผิดหลักจริยธรรม
ด้วยเพราะต้องการหนีความตายหรือยืดระยะแห่งความตายออกไปอีก
มนุษย์เราจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อหนีความตายไปให้ได้...
แม้จะรู้ว่าหนีไม่ได้ ก็อยากจะหนีและอยากจะหลุดพ้น
จึงต้องค้นหายาอายุวัฒนะ...อะไรที่รู้ว่าจะทำให้อายุยืนขึ้น
หรือเป็นการต่ออายุ พวกเขาจะรีบคว้าหนทางนั้นมาทันที
แม้กระทั่งการโคลนนิ่งคนขึ้นมาเพื่อนำอวัยวะของตัวโคลนนิ่ง
มาปลูกถ่าย ทั้งๆที่ชีวิตที่ถูกโคลนนิ่งมาก็คืออีกหนึ่งชีวิต
พวกเขาก็ฆ่าและทำลายได้ เพียงเพื่อหนีตาย เพียงเพื่อต้องการ
อะไหล่หรืออวัยวะจากชีวิตนั้นซึ่งมีเนื้อเยื่อที่คล้ายคลีงกัน
มาต่อชีวิตตัวเองอย่างไร้มนุษยธรรม...ซ้ำบางประเทศยังมีการกินเนื้อ
ของเด็กทารกที่ถูกทำแท้ง ซึ่งการทำแท้งดังกล่าวมีทั้งที่เจตนาทำ
และไม่เจตนา แต่การกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันมันส่อให้เห็นว่า
บุคคลผู้นั้นขาดจิตวิญญาณแห่งการมีชีวิตไปแล้ว...
เพียงเพราะเชื่อว่า การกินเนื้อเด็กทารกนั้นจะทำให้อายุยืน
เขาก็เชื่อและทำตาม
โดยไม่รู้เลยว่า จริงๆแล้ว ความสั้นยาวของชีวิตไม่ได้ยิ่งใหญ่
หรือมีความสำคัญกว่า การใช้ชีวิตหรือใช้ช่วงเวลาแห่งการมีชีวิต
อย่างมีค่าและมีความหมาย...พวกเขาต้องการมีชีวิตยืนยาวเพื่อสิ่งใด
ทั้งๆที่รู้ว่าอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี...หรือการกินเนื้อเด็กทารก
จะทำให้เราอยู่ยงคงกระพัน และการมีชีวิตอยู่ยาวนาน มันให้อะไรเราบ้าง
หากเราลองจินตนาการว่า เราต้องอยู่บนโลกนี้ไปอีกหนึ่งพันปี
เราจะอยากอยู่มั้ย...ข้าน้อยคนนึงที่อยากบอกเหลือเกินว่า
ดุนยาไม่ได้น่ารื่นรมย์อีกแล้ว การมีชีวิตอยู่เพื่อมองความเสื่อมของโลก
ความเสื่อมของจิตใจคน มันไม่ได้สร้างความสุขในจิตใจให้ได้เลย
ก็เลยตั้งใจว่า จะไม่คิดหนีความตาย แม้ความตายจะน่ากลัวแค่ไหน...
สิ่งสำคัญที่คิดอยู่ ณ วันนี้คือ...เราจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
และจะเผชิญหน้ากับชีวิตหลังความตายได้ด้วยวิธีใดบ้าง
เพื่อที่จะไม่ทรมานเมื่อชีวิตหลังความตายมาเยือน...
เราต้องมีสัมภาระอะไรติดตัวไปบ้างเพื่อเผชิญหน้ากับชีวิตหลังความตาย
เพราะความตาย ไม่ใช่จุดสิ้นสุด...แต่มันคือจุดเริ่มต้นของอีกอย่าง...
แน่นอนว่า แค่คิดถึงว่าต้องตาย เราก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า เราไม่พร้อม
เรายังมีความดีน้อยไป น้อยไปที่จะเผชิญหน้ากับโลกหลังความตาย...
หากการมีชีวิตยืนยาวเป็นประโยชน์ต่อเราก็คงจะดีกว่าการต่อชีวิต
เพียงเพื่อได้หายใจรดโลกไปวันๆ...
ซึ่งวิธีต่ออายุนั้น อัลลอฮฺได้บอกเราเอาไว้ผ่านศาสนทูตมาแล้ว
และแน่นอนว่าเราไม่ต้องไปทำร้ายใครหรือต้องถึงกับกินเลือดกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน
แค่เรายกมืออ้อนวอนขอ และเชื่อมสัมพันธไมตรีกับบรรดาญาติพี่น้อง
อินชาอัลลอฮฺ...
อาจเป็นเพราะเราไม่ได้ศึกษาคู่มือการใช้ชีวิตจากผู้ที่สร้างเรามาจริงๆ
เราถึงต้องเดินทางผิด ใช้ชีวิตผิดๆ จนทำร้ายทำลายผู้อื่น
เพียงเพราะเข้าใจผิดไป...บางคนกว่าจะได้คิดก็สายเกิน...
...ชีวิตอมตะคือภาพลวงตา ความชราและความตายคือเรื่องจริง...
เมื่อใจเรายอมรับกับความจริงนี้ได้...ชีวิตที่หนักก็จะเบาลง...
ความสับสนในจิตใจก็จะค่อยๆจางหายไป...
เราไม่มีทางเอาชนะอัลลอฮฺหรือกำหนดของอัลลอฮฺได้อย่างแน่นอน...
และสิ่งที่สวยงามกว่าการเอาชนะสิ่งดังกล่าวก็คือ การยอมสยบด้วยจิตคารวะ...
วัลลอฮุอะลัม
ปล.หากที่เขียนไปผิดพลาดประการใด ชี้แนะและตักเตือนด้วยนะคะ
วัสลามค่ะ