ผู้เขียน หัวข้อ: ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์กับหลักการอิสลาม  (อ่าน 6265 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
วะอะลัยกุมุสสลามวะเราะฮฺมะตุลลอฮฺวะบะรอกาตุฮฺ

ญาซากิลลาฮุค็อยรอน "น้องน้ำค้างยามดึกแห่งแดนซากุระ"  loveit:

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากคะ ไว้จะมาอ่านนะคะ (ตอนนี้ขอปั่นงานก่อน) อิงชาอัลลอฮฺ

ในสาขาที่ก๊ะเรียนอยู่มีวิชา GENE TECH และ BIOCHEM ENGINEERING เป็นวิชาบังคับที่ต้องลงเรียนตามหลักสูตร

ซึ่งจะมีเนื้อหาในส่วนที่น้องนำเสนอด้วยคะ ตอนเรียนรู้สึกขัดใจมาก เพราะคิดมาตลอดว่า มันเป็นสิ่งที่จะขัดกับหลักอิสลามมั้ย

ทั้ง ๆ ที่เป็นวิชาที่น่าเรียนและน่าสนใจคะ สงสัยเมื่ออ่านบทความที่น้องน้ำค้างนำเสนอจบ ก๊ะคงต้องกลับไปอ่านเนื้อหาที่เคยเรียนใหม่แล้ว

จะได้มีความรู้อย่างแจ่มแจ้งมากขึ้น ไม่ใช่สักแค่ว่ารู้แบบงู-งู ปลา-ปลา หรือแค่เรียนให้ผ่านไป  no:

วัสสลามุอะลัยกุมวเราะฮฺมะตุลลอฮฺวะบะรอกาตุฮฺ


 salam

พีี่กอ-กล้วยเรียนจบอะไรมานาาาาาาา...
และกำลังวิจัยอะไรอยู่นาาาาาาาา ::) ;D

เคยสงสัยเหมือนกันค่ะว่า...การตัดมดลูกทิ้งนี่ อิสลามมีทัศนะว่าอย่างไร
เพราะว่า เท่าที่เห็นในปัจจุบันนั้น หญิงอายุ40-50กว่าๆ
มักจะมีปัญหาเรื่องมะเร็งปากมดลูกและอะไรๆเกี่ยวกับมดลูก
จนแพทย์แนะนำให้ตัดมดลูกทิ้ง ซึ่งหญิงในวัยนั้นปกติก็ไม่สามารถ
มีบุตรได้แล้ว เลยไม่รู้ว่าการตัดมดลูกทิ้งจะผิดหลักศาสนาหรือไม่อย่างไร
(อันนี้ไม่รู้จริงๆค่ะ) ส่วนในรายที่ยังอยู่ในวัยที่ยังไม่หมดประจำเดือน
ยังสามารถมีบุตรได้ แต่หากมีปัญหาจนถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้ง
อันนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรค่ะ...แต่ที่เคยเห็นมา...
มีคนรู้จักที่เป็นมุสลิมเรา มีปัญหาจนต้องตัดมดลูกทิ้ง
ซึ่งเขาเองก็ยังไม่มีบุตรและอยากมีบุตร...
และอย่างที่เรารู้กันว่า หากตัดมดลูกทิ้งก็ไม่สามารถมีบุตรได้
ยิ่งตัดรังไข่ทิ้งด้วยย่ิงน่่าเห็นใจมากเลยค่ะ...
โดยเฉพาะเรื่องปัญหาครอบครัว...เลยไม่รู้ว่าหากจำเป็นต้องตัดมดลูกทิ้งจริงๆ
อิสลามมีทัศนะอย่างไรกับเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ....

ปล.ได้ข่าวว่าวิทยาการสมัยใหม่มีการส่องกล้องผ่าตัดมดลูกได้ด้วย...
ทำให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดมดลูกไม่ต้องพักฟื้นนาน...
ปัญหาเรื่องมดลูกเป็นอะไรที่ผู้หญิงวิตกกังวล...
แม่ข้าน้อยบอกว่า...เมื่อก่อนแม่ไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้
เช่นการท้องนอกมดลูก มะเร็งที่ปากมดลูก การตัดมดลูกทิ้ง
แต่แปลกที่ปัจจุบันกลับมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น...อย่ากลัวไปเลย...
หากอัลลอฮฺประสงค์ เราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้...หากไม่แล้ว
แม่ก็สามารถมีลูกได้ต้ังหลายคน
และยังไม่มีปัญหาเรื่องมดลูกเลย...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...

ปล.2 สงสัยคงต้องรอคุณหมอมาเสริมความรู้ให้อ่านเสียแล้วค่ะ ;D

วัสลามค่ะ





"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 salam

เคยสงสัยเหมือนกันค่ะว่า...การตัดมดลูกทิ้งนี่ อิสลามมีทัศนะว่าอย่างไร
เพราะว่า เท่าที่เห็นในปัจจุบันนั้น หญิงอายุ40-50กว่าๆ
มักจะมีปัญหาเรื่องมะเร็งปากมดลูกและอะไรๆเกี่ยวกับมดลูก
จนแพทย์แนะนำให้ตัดมดลูกทิ้ง ซึ่งหญิงในวัยนั้นปกติก็ไม่สามารถ
มีบุตรได้แล้ว เลยไม่รู้ว่าการตัดมดลูกทิ้งจะผิดหลักศาสนาหรือไม่อย่างไร
(อันนี้ไม่รู้จริงๆค่ะ) ส่วนในรายที่ยังอยู่ในวัยที่ยังไม่หมดประจำเดือน
ยังสามารถมีบุตรได้ แต่หากมีปัญหาจนถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้ง
อันนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรค่ะ...แต่ที่เคยเห็นมา...
มีคนรู้จักที่เป็นมุสลิมเรา มีปัญหาจนต้องตัดมดลูกทิ้ง
ซึ่งเขาเองก็ยังไม่มีบุตรและอยากมีบุตร...
และอย่างที่เรารู้กันว่า หากตัดมดลูกทิ้งก็ไม่สามารถมีบุตรได้
ยิ่งตัดรังไข่ทิ้งด้วยยิ่งน่าเห็นใจมากเลยค่ะ
โดยเฉพาะเรื่องปัญหาครอบครัว...เลยไม่รู้ว่าหากจำเป็นต้องตัดมดลูกทิ้งจริงๆ
อิสลามมีทัศนะอย่างไรกับเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ....

ปล.ได้ข่าวว่าวิทยาการสมัยใหม่มีการส่องกล้องผ่าตัดมดลูกได้ด้วย...
ทำให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดมดลูกไม่ต้องพักฟื้นนาน...
ปัญหาเรื่องมดลูกเป็นอะไรที่ผู้หญิงวิตกกังวล...
แม่ข้าน้อยบอกว่า...เมื่อก่อนแม่ไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้
เช่นการท้องนอกมดลูก มะเร็งที่ปากมดลูก การตัดมดลูกทิ้ง
แต่แปลกที่ปัจจุบันกลับมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น...อย่ากลัวไปเลย...
หากอัลลอฮฺประสงค์ เราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้...หากไม่แล้ว
แม่ก็สามารถมีลูกได้ไงตั้งหลายคนคน
และยังไม่มีปัญหาเรื่องมดลูกเลย...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...

ปล.2 สงสัยคงต้องรอคุณหมอมาเสริมความรู้ให้อ่านเสียแล้วค่ะ ;D

วัสลามค่ะ

หมอมุสลิมท่านหนึ่งให้ข้อมูลว่าหญิงวัยเจริญพันธุ์มีโอกาสเป็นเนื้องอกมดลูกถึงร้อยละ 20-25
แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องได้รับการรักษาด้วยการตัดมดลูก
เนื้องอกนี้เกิดจากอะไรไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ก็คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิง ทำให้เนื้องอกเจริญมากขึ้น
รวมทั้งไฟโตเอสโตรเจนที่มีอยู่ในพืชบางชนิด เช่น ถั่วเหลือง ก็เป็นตัวกระตุ้นให้เนื้องอกโตขึ้น
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า ห้ามผู้หญิงดื่มนมถั่วเหลือง แต่หมายความว่า ผู้หญิงที่เป็นเนื้องอกมดลูก ไม่ควรบริโภคถั่วเหลือง
เนื้องอกมดลูกขนาดเล็ก ๆ มักไม่มีอาการ ตรวจพบโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง(Ultrasound)ทางหน้าท้องหรือทางช่องคลอด
ในรายที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่ อาจมีอาการเหล่านี้ได้ (๑) ปวดท้องน้อย (๒) ประจำเดือนมาผิดปกติ (๓)ท้องผูกเรื้อรัง (๔) กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย ๆ
(๕) ตั้งครรภ์ยาก (๖)มีโอกาสแท้งบุตรสูง (๗) มีโอกาสเปลี่ยนแปลงเป็นเนื้อร้าย(มะเร็ง) ๑ใน๑๐,๐๐๐
การรักษา (๑) สังเกตอาการ ถ้าไม่มีอาการผิดปกติเลย และอยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือน ให้รอไปจนหมดประจำเดือน เพราะเนื้องอกจะมีขนาดเล็กลง(หมดฮอร์โมน)
(๒) การรักษาโดยการผ่าตัด มี ๒ แบบ คือ ถ้าต้องการมีบุตรอยู่อีก ผ่าตัดเฉพาะตัวเนื้องอก ถ้าไม่ต้องการมีบุตรแล้ว ผ่าตัดมดลูกทิ้งไปเลย
การผ่าตัดก็ทำได้หลายวิธี คือ (๑) ผ่าตัดทางหน้าท้อง เป็นวิธีโบราณแต่ยังทำได้ผลดีอยู่ (๒) ผ่าตัดโดยใช้กล้องผ่านหน้าท้อง (๓) ผ่าตัดโดยใช้กล้องผ่านโพรงมดลูก
แต่ละวิธีมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบ ขึ้นกับขนาดเนื้องอก ตัวผู้ป่วยฯลฯ ถ้าเป็นโรคนี้ ควรปรึกษาและทำความเข้าใจแต่ละวิธีกับแพทย์ผู้รักษา แล้วจึงตัสินใจเลือกวิธี
(๓) การรักษาด้วยยาเป็นยาที่ออกฤทธิ์ทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ดังนั้นเรื้องอกจึงมีขนาดลดลง แต่ต้องประสบกับภาวะหญิงวัยทองแทน
(๔) การรักษาด้วยวิธีทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงเนื้องอกอุดตัน(ขออนุญาตไม่อธิบายรายละเอียด)
จำเป็นต้องผ่าตัดเมื่อ เนื้องอกมีขนาดใหญ่และโตเร็ว เกรงว่าอาจเป็นเนื้อร้ายและมีอาการรุนแรง เช่น มีประจำเดือนนานและมากจนเกิดภาวะโลหิตจาง
การตัดมดลูกนั้น ถ้าทำโดยมีข้อบ่งชี้ชัดเจนว่าเป็นการลดอันตรายหรือเป็นการรักษาชีวิตผู้ป่วย อิสลามอนุมัติให้ทำได้แน่นอนตราบใดที่ไม่ใช้ของหะรอมในการรักษา
تَدَاوَوْا فَـإِنَّ اللهَ لَمْ يَضَعْ دَاءً إِلاَّ وُضِعَ لَهُ دَوَاءٌ غَيْرَدَاءٍ وَاحِدٍ أَلْهَرَمُ
"พวกเจ้าจงรักษาเถิด เพราะอัลลอฮฺมิได้ทรงให้โรคใดลงมา เว้นแต่พระองค์จะให้การรักษาลงมาพร้อม ๆ กัน ยกเว้นโรคเดียว คือ ความตาย"
บันทึกโดยอะหฺมัดและบรรดาเจ้าของสุนัน อัตติรฺมิซียฺรับรองว่า เศาะหี้หฺ
 والسلام
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 08, 2009, 10:48 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 salam
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องมีการรักษาด้วยการตัดมดลูกก็คือ มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก เกิดจาก การติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า HPV (Human Papilloma Virus)
ผู้หญิงที่เซลล์บริเวณปากมดลูกติดเชื้อนี้ และร่างกายไม่สามารถกำจัดไปได้ จะทำให้เซลล์เปลี่ยนแปลง
เซลล์บุผิวปากมดลูกเจริญผิดปกติ กลายเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งอาจแพร่กระจายเฉพาะที่และแพร่กระจายทั่วร่างกาย เป็นอันตรายแก่ชีวิต
การตรวจการเปลี่ยนแปลงของเซลล์บุผิวปากมดลูกทำได้โดยการตรวจภายในและเขี่ยเอาเซลล์จากเยื่อบุปากมดลูกมาย้อมด้วย วิธี Papanicolau (Pap smear)
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV ได้แก่
•การมีเพศสัมพันธ์กับชายสำส่อน ซึ่งอาจรับเชื้อไวรัส HPV เข้าสู่ร่างกายจากสตรีอื่นมาแล้ว
•การมีคู่นอนหลายคน ทำให้เสี่ยงต่อการรับเชื้อไวรัส HPV มากขึ้น
•การมีเพศสัมพันธ์ขณะอยู่ในวัยเด็กหรือวัยรุ่น เนื่องจากปากมดลูกในระยะนี้ไวต่อการติดเชื้อ HPV
•การสูบบุหรี่หรือขาดสารอาหารบางชนิด ทำให้ร่างกายมีความบกพร่องของกลไกป้องกันไวรัส HPV
ใครที่มีแนวโน้มว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูก
•อายุอยู่ในช่วง 30 – 50 ปี
•มีเพศสัมพันธ์ขณะอายุยังน้อย
•มีคู่นอนหลายคน
•สามีเที่ยวโสเภณี
•ติดโรคทางเพศสัมพันธ์บ่อย ๆ เช่น หูดหงอนไก่ เริม
•สูบบุหรี่
•ไม่เคยตรวจภายในเลย
อาการของมะเร็งปากมดลูก
•ในมะเร็งระยะเริ่มต้นส่วนมากจะไม่มีอาการใด ๆ เลย
•ในรายที่มะเร็งมีอาการลุกลามมากแล้วทำให้เกิดอาการ
•เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
•เลือดออกทางช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจำเดือน
•ตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีหนองหรือเลือดปน
•ซีด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูก
- ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV ปัจจุบันมีให้บริการในโรงพยาบาลเอกชนทั่วไป
   ต้องได้รับวัคซีนก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้ตั้งแต่อายุ 9 ปี
   (รายละเอียดของจำนวนครั้งและราคา ปรึกษาแพทย์ประจำตัวของท่าน)
- ไม่สำส่อนทางเพศ ไม่ว่าจะเป็น ซินา หรือ นิกาหฺมุตอะฮฺ
อัลลอฮฺดำรัสว่า
وَلاَ تَقْرَبُواالزِّنَا إِنَّهُ كَانَ فَاحِشَةً وَّسَاءَ سَبِيْلاً
“และจงอย่าเข้าใกล้การประเวณีนอกสมรส แท้จริงสิ่งนั้นคือ หนทางอันลามกและเลวร้าย”
การรักษามะเร็งปากมดลูก มีตั้งแต่การตัดมดลูกรวมทั้งรังไข่ การฉายรังสี การฝังแร่กัมมันตรังสี การใช้เคมีบำบัด
ขึ้นกับระยะของโรค ชนิดของเซลล์มะเร็งและเคมีบำบัด เป็นต้น
ดังนั้น โอกาสที่มุสลิมะฮฺทั้งหลายจะถูกตัดมดลูกจึงมีน้อย สาว ๆ (ที่อยู่บนคาน)ทั้งหลายอย่าเพิ่งกังวลใจโดยไม่มีเหตุผล
والسلام

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
 salam

ญะซากัลลอฮุคอยรอนค่ะแช

เดินตามทางที่ศาสนาวางไว้ ปลอดภัยไร้กังวล
นอกจากสิ่งนั้นอัลลอฮฺจะประสงค์เพื่อเป็นบททดสอบให้กับเรา
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...

แสดงว่า เรื่องปัญหาการตัดมดลูกทิ้งเพื่อลดอันตรายนั้น
ศาสนาอนุมัติตราบเท่าที่ไม่ใช้ของหะรอมในการรักษา...

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความรู้ค่ะ...
เพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัว เราจะได้ไม่กลัวโดยไม่มีสาเหตุ และเหตุผล
ดังนั้นต้องทราบสาเหตุก่อน จะได้ไม่วิตกจริตเกินไปใช่มั้ยคะแช ;D

วัสลามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 08, 2009, 12:38 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

 salam

ข้าน้อยเพิ่งไปอ่านเจอมาค่ะ...


โสด-ไม่โสดเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก


แพทย์แนะหญิงอายุตั้งแต่ ๒๐ ปีขึ้นไป ควรตรวจหามะเร็งปากมดลูก
แม้ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากเชื้อไวรัสเอชพีวี ติดได้ทางเพศสัมพันธ์
และทางอ้อม จากการสัมผัสเชื้อไวรัสในสิ่งแวดล้อม เข้าส้วมไม่สะอาด
มือสกปรก ทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้ กลุ่มหญิงอาชีพพิเศษ
มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย มีคู่นอนหลายคน
เพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูกถึง ๓๐ เท่า
ชายสูบบุหรี่น้ำอสุจิมีสารก่อมะเร็ง คู่นอนมีความเสี่ยง


นพ.พนิตย์ จิวะนันทประวัติ แพทย์สูตินรีเวช ให้สัมภาษณ์ว่า
สาเหตุการเกิดเร็งปากมดลูกยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่า
เชื้อไวรัสฮิวแมน แพ็พพิวโลมา หรือไวรัสเอชพีวี
ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก นอกจากนั้นยังพบมะเร็งปากมดลูก
ในหญิงอาชีพพิเศษมีมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย ๆ มีคู่นอนหลายคน

จากการเก็บข้อมูลเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว พบมะเร็งปากมดลูกในเด็กหญิงอายุ ๑๒ ปี
ประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ ซึ่งหญิงกลุ่มนี้มีความเสี่ยง
ต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกถึง ๓๐ เท่า ผู้ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่
มีโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกเช่นกัน
เพราะไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่เป็นสายพันธุ์เดียวกับไวรัสเอชพีวี
เชื้อไวรัสชนิดนี้ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงจากการมีเพศสัมพันธ์
การติดต่อโดยอ้อม เช่นมือไปสัมผัสเชื้อนี้จากบันไดเลื่อนลิฟท์
ประตูห้องน้ำสาธารณะแล้วมาสัมผัสอวัยวะเพศ
ดังนั้น หากต้องใช้ห้องน้ำสาธารณะ ควรดูความสะอาดก่อน


นพ.พนิตย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีอัตราผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก
เท่ากับ ๒๓.๔ ต่อประชากรแสน คน หรือประมาณ ๖,๐๐๐ รายต่อปี
พบมากในสตรีที่อายุตั้งแต่ ๓๐ ปีขึ้นไป จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ เชียงใหม่
อัตรา ๒๙.๗ ต่อประชากรแสนคน
รองลงคือขอนแก่น ๒๓.๙ ต่อประชากรแสนคน
กรุงเทพฯ ๒๐.๙ ต่อประชากรแสนคนและสงขลา ๑๘.๕ ต่อประชากรแสนคน
ซึ่งการตรวจภายในคัดกรองมะเร็งปากมดลูกช่วยให้ค้นหาโรคได้ตั้งแต่ระยะแรก
แพทย์ทำการผ่าตัดจนหายขาดได้ หากพบในระยะรุนแรง
อาจต้องใช้การรักษาหลายอย่างร่วมกันทั้งผ่าตัด รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด


“โรคนี้ในระยะแรก ๆ แทบสังเกตด้วยตาเปล่าไม่เห็น ระยะที่ ๒
จนถึงระยะลุกลามจึงจะ ปรากฏอาการ เช่น มีก้อนมะเร็งที่ปากมดลูก
เวลามีเพศสัมพันธ์แล้วมีเลือดไหล ผู้หญิงอายุตั้งแต่ ๒๐ ปีขึ้นไป
ทั้งที่เคยมีเซ็กส์ และไม่เคยมีเซ็กส์ควรตรวจหามะเร็งปากมดลูก
ตรวจง่าย ไม่เจ็บ เพราะเชื้อไวรัสเอชพีวีติดต่อได้โดยตรงกับโดยอ้อม
กลุ่มเสี่ยงควรตรวจทุกปี หรือปีเว้นปี

การรณรงค์ให้ตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก ๕ ปี อาจช้าเกินไป
ตรวจพบในระยะที่รักษาไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย”นพ.พนิตย์ กล่าว


แพทย์สูตินรเวช กล่าวด้วยว่า การป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่ได้ผลคือ
การตัดปากมดลูกและมดลูกทิ้ง ซึ่งมดลูกเป็นอวัยวะสำหรับการตั้งครรภ์
หากมีบุตรเพียงพอแล้ว มดลูกก็ไม่มีความสำคัญ
การตัดทิ้งไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย แต่ผู้หญิงหลายคนคิดว่า
มดลูกทำให้เป็นสาว แก่ช้า อายุยืน ซึ่งไม่เกี่ยวกัน
เพราะฮอร์โมนสร้างมาจากรังไข่ ไม่ใช่มดลูก
ผู้ที่มีโอกาสตัดมดลูกทิ้งไม่ต้องกลัวผลกระทบ
การตัดมดลูกเป็นการตัดวงจรมะเร็งปากมดลูกได้เด็ดขาด
และไม่ต้องกลัวว่าจะมีผลต่อเพศสัมพันธ์


“สามีที่สูบบุหรี่จัด น้ำอสุจิมีสารก่อมะเร็ง เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้หญิง
เป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่โรคเอดส์ระบาด ผู้หญิงใช้ถุงยางอนามัย
เป็นการลดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์รวมทั้งมะเร็งปากมดลูกด้วย
ผู้ชายที่ขลิบอวัยวะเพศ พบว่าภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูกน้อยลง”
นพ.พนิตย์ กล่าว

ที่มา: http://www.samunpai.com


เอามาเสริมต่อจากแช...
แสดงว่าโรคมะเร็งปากมดลูกที่แชเอ่ยมาในกระทู้ข้างต้นนั้น
มีโอกาสเป็นได้ทางอ้อมด้วยใช่มั้ยคะแช

 natural:

วัสลามค่ะ



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 salam
อ้างถึง
ดร.มุฮัมมัด ซัยยิด ตอนตอวีย์ ผู้นำมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร
ได้ออกคำฟัตวาเหมือนๆ กันนี้ โดยกล่าวว่าการตายที่เกิดจากสมองตาย
ยังไม่ถือเป็นการตายอย่างสมบูรณ์ จำเป็นต้องปรากฏเครื่องหมายความตายอื่นๆ
และได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่มีความตายที่เรียกว่า ตายด้วยความเมตตา
(merci killing )

คำว่า Mercy killing นั้น บางคนก็ใช้คำว่า การุณยฆาต คือ ฆ่าด้วยความปราณี
หมอท่านหนึ่งเล่าว่า ท่านเคยทำการุณยฆาต คือ ผู้ป่วยรายหนึ่งเจ็บป่วยด้วยโรคแรงดันเลือดสูงและมีโรคแทรกซ้อนคือ หลอดเลือดสมองแตกในตำแหน่งที่ผ่าตัดไม่ได้
นอนรักษาตัวอยู่นานโดยไม่รู้สึกตัว ไม่มีกล้ามเนื้อส่วนใดขยับเขยื้อนรูม่านตาขยาย(แสดงว่าสมองตาย)
ให้อาหารทางสายยาง ขับถ่ายปัสสาวะโดยคาสายไว้ อุจจาระมีบ้างนาน ๆ ครั้ง (ต้องให้ผู้ช่วยพยาบาลใส่ถุงมือล้วง)
หายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ หัวใจทำงานโดยต้องให้ยากระตุ้นผ่านทางน้ำเกลือตลอดเวลา
เมื่อหมออธิบายให้ญาติฟัง ญาติขอให้ใช้ยาและอุปกรณ์ช่วยเหลือไปก่อนจนกว่าพี่ชายคนโตจะมาดูใจ
เมื่อพี่ชายคนโตมาแล้ว ทุกคนมีความเห็นร่วมกันว่า สมองตาย ไม่สามารถช่วยให้ฟื้นคืนชีพได้อีก
จึงขอให้หมอปิดเครื่องช่วยหายใจและหยุดยากระตุ้นหัวใจ ในที่สุด ผู้ป่วยก็ถึงแก่ชีวิต
หมอท่านนี้ ผิดหรือถูก

 
ข้อมูลจากวิกิพีเดีย

การุณยฆาต หรือ ปรานีฆาต (อังกฤษ: euthanasia หรือ mercy killing; การุณยฆาตเป็นศัพท์ทางนิติศาสตร์ ส่วนปรานีฆาตเป็นศัพท์ทางแพทยศาสตร์) หรือ แพทยานุเคราะหฆาต (อังกฤษ: physician-assisted suicide) หมายถึง
1. การทำให้บุคคลตายโดยเจตนาด้วยวิธีการที่ไม่รุนแรงหรือวิธีการที่ทำให้ตายอย่างสะดวก หรือ
2. การงดเว้นการช่วยเหลือหรือรักษาบุคคล โดยปล่อยให้ตายไปเองอย่างสงบ
ทั้งนี้ เพื่อระงับความเจ็บปวดอย่างสาหัสของบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลนั้นป่วยเป็นโรคอันไร้หนทางเยียวยา อย่างไรก็ดี การุณยฆาตยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและเป็นความผิดอาญา
อยู่ในบางประเทศ กับทั้งผู้ไม่เห็นด้วยกับการฆ่าคนชนิดนี้ก็เห็นว่าเป็นการกระทำที่เป็นบาป
อนึ่ง การุณยฆาตยังหมายถึง การทำให้สัตว์ตายโดยวิธีการและในกรณีดังข้างต้นอีกด้วย
การจำแนกประเภทตามเจตนา
1. บุคคลซึ่งเจ็บป่วยสาหัสหรือได้รับทุกขเวทนาจากความเจ็บป่วยเป็นต้นสามารถแสดงเจตนาให้บุคคลอื่นกระทำการุณยฆาตแก่ตนได้ การนี้เรียกว่า "การุณยฆาตโดยด้วยใจสมัครใจ"
หรือ "การุณยฆาตสมัครใจ" หรือ การุณยฆาตจงใจ ( อังกฤษ: voluntary euthanasia)
2. ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวไม่อยู่ในฐานะจะแสดงเจตนาเช่นว่า ผู้แทนโดยชอบธรรม กล่าวคือ ทายาทโดยธรรม ผู้ใช้อำนาจปกครอง ผู้พิทักษ์ หรือผู้อภิบาลตามกฎหมาย ตลอดจนศาลอาจพิจารณาใช้อำนาจตัดสินใจให้กระทำการุณยฆาตแก่บุคคลนั้นแทนได้ การนี้เรียกว่า "การุณยฆาตโดยไม่เจตนา" หรือ "การุณยฆาตโดยไม่สมัครใจ" (อังกฤษ: involuntary euthanasia)
อย่างไรก็ดี การุณยฆาตโดยไม่จำนงยังคงเป็นที่ถกเถียงถึงความชอบธรรมตามกฎหมายอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากไม่มีหนทางที่ทุกฝ่ายจะมั่นใจได้ว่า ผู้เจ็บป่วยต้องการให้กระทำการุณยฆาต
แก่ตนเช่นนั้นจริง
การจำแนกประเภทตามวิธีฆ่า
1. "อกัมมันต์การุณยฆาต" (อังกฤษ: passive euthanasia) คือ การุณยฆาตที่กระทำโดยการตัดการรักษาให้แก่ผู้ป่วย วิธีนี้ได้รับการยอมรับมากที่สุดและเป็นที่ปฏิบัติกันในสถานพยาบาลหลาย
แห่ง(เช่น ไม่ให้ยารักษาระดับแรงดันเลือด เอาเครื่องช่วยหายใจหรือท่อออกซิเจนออกจากผู้ป่วย : ผู้โพสต์)
2. "การุณยฆาตโดยตัดปัจจัยดำรงชีวิต" (อังกฤษ: non-aggressive euthanasia) คือ การุณยฆาตที่กระทำโดยการหยุดให้ปัจจัยดำรงชีวิตแก่ผู้ป่วย ซึ่งวิธีนี้เป็นที่ถกเถียงอยู่ในปัจจุบัน(เช่น การ
งดอาหารทางสายยาง :ผู้โพสต์)
3. "การุณยฆาตก้าวร้าว" หรือ "การุณยฆาตห้าวหาญ" (อังกฤษ: aggressive euthanasia) หรือ "การุณยฆาตมีฤทธิ์" หรือ "กัมมันต์การุณยฆาต" (อังกฤษ: active euthanasia) คือ การุณยฆาต
ที่กระทำโดยการให้สารหรือวัตถุใด ๆ อันเร่งให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตาย ซึ่งวิธีนี้เป็นที่ถกเถียงอยู่ในปัจจุบันเช่นกัน(เช่นการฉีดสารบางชนิดให้แก่ผู้ป่วย:ผู้โพสต์)
 ประเทศไทย
พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการแสดงเจตจำนงของผู้ป่วยที่จะไม่รับการรักษาดังต่อไปนี้พร้อมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 12 บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้
การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด และให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
"บริการสาธารณสุข" หมายความว่า บริการต่าง ๆ อันเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันและควบคุมโรคและปัจจัยที่คุกคามสุขภาพ การตรวจวินิจฉัยและบำบัดสภาวะความเจ็บป่วย และการฟื้นฟูสมรรถภาพของบุคคล ครอบครัว และชุมชน
"ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข" หมายความว่า ผู้ประกอบวิชาชีพตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล
มาตรา 4 ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตาม

พุทธศาสนา
ตามพุทธศาสนา ฆราวาสถือเบญจศีลข้อหนึ่งเกี่ยวกับปาณาติบาตคือการห้ามทำลายชีวิตไม่ว่าของผู้อื่นหรือของตนก็ตาม กับทั้งห้ามยินยอมให้ผู้อื่นทำลายชีวิตของตนด้วย
พุทธศาสนายังถือว่าชีวิตเป็นของประเสริฐสุดที่บุคคลพึงรักษาไว้อีกด้วย โดยมีพุทธวัจนะหนึ่งว่า "ให้บุคคลพึงสละทรัพย์สมบัติเพื่อรักษาอวัยวะ ให้บุคคลพึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต" และ "ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ตราบนั้นชีวิตก็ยังมีค่า ไม่ควรที่ใครจะไปตัดรอนแม้ว่าชีวิตนั้นกำลังจะตายก็ตาม หากไปเร่งเวลาตายเร็วขึ้นแม้จะเพียงแค่วินาทีเดียวก็เป็นบาป"
นอกจากนี้ ภิกษุเถรวาทถือวินัยข้อหนึ่งซึ่งปรากฏในปาฏิโมกข์ว่า "ภิกษุทั้งหลายไม่พึงพรากชีวิตไปจากมนุษย์ หรือจ้างวานฆ่าผู้นั้น หรือสรรเสริญคุณแห่งมรณะ หรือยั่วยุผู้ใดให้ถึงแก่ความตาย ดังนั้น ท่านผู้เจริญแล้วเอ๋ย ท่านหาประโยชน์อันใดในชีวิตอันลำเค็ญและน่าสังเวชนี้กัน ความตายอาจมีประโยชน์สำหรับท่านมากกว่าการมีชีวิตอยู่ หรือด้วยมโนทัศน์เช่นนั้น ด้วยวัตถุประสงค์เช่นนั้น ถึงแม้ท่านไม่สรรเสริญคุณแห่งมรณะหรือยั่วยุผู้ใดให้ถึงแก่ความตาย ผู้นั้นก็จักถึงแก่ความตายในเร็ววันอยู่แล้ว"
ด้วยเหตุนี้ ว่าโดยหลักแล้วพุทธศาสนาถือว่าการุณยฆาตเป็นบาป
คริสต์ศาสนา
ในคัมภีร์ไบเบิล ปรากฏความตอนหนึ่งว่า "...พระเจ้าได้กำหนดวันแห่งความตาย...การเร่งความตายถือเป็นการกบฏต่อพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า..."
ทั้งนี้ ตามนิกายออร์โทด็อกซ์ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขที่ให้ยาแก่ผู้ป่วยเกินขนาดจนถึงตายถือว่ามีความผิดและเป็นบาป แต่ในสถานการณ์เดียวกัน หากมีเจตนาเพื่อระงับบรรเทาความเจ็บปวด แม้จะยังผลให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตาย ก็ไม่ถือเป็นผิดและเป็นบาป
ส่วนศาสนาอิสลาม
ถ้าอ่านจากความเห็นของเชคอัซฮัรฺ เชคฎอนฎอวียฺ การุณยฆาตก็เป็นสิ่งผิดบัญญัติอิสลาม
ถ้าเช่นนั้น หมอคนที่ผมยกตัวอย่างมาต้องเตาบะฮฺกันครั้งใหญ่ (เพราะไม่ใช่มีรายนั้นรายเดียว)
 mycry
والسلام

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

 salam

เห็นเกี่ยวกันเลยเอามาเสริมค่ะ...

อ้างจากกระทู้ในหัวข้อ "การดึงสายออกซิเจนออกจากผู้ป่วยระยะสุดท้าย"

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=2141.0


อ้างถึง
การถอดสายอ๊อกซิเจนหรือเครื่องช่วยหายใจออกจากผู้ป่วยใกล้ตายนั้น 
หากผู้ป่วยอยู่ในสภาวะที่เซลล์สมองตายแล้ว 
หมายถึง  เซลล์สมองที่ควบคุมการรับรู้และความรู้สึก 
ก็ถือว่าอนุญาตให้ถอดเครื่องช่วยหายใจได้ 
เพราะสภาวะดังกล่าว  ถือว่าภายในของผู้ป่วยได้ตายแล้ว 
แต่ภายนอกยังมีการหายใจและมีเลือดไหลเวียนอยู่
ก็เพราะมีเครื่องช่วยหายใจคอยประวิงเวลาการตายอย่างสมบูรณ์แบบอยู่ 
และการประวิงเวลาให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะดังกล่าว 
อาจจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเกิดความสามารถที่เราจะรับได้ 
ดังนั้น  ท่านชัยค์ อัลลามะฮ์  ด๊อกเตอร์  มุฮัมมัด สะอีด รอมะดอน อัลบูฏีย์ 
ฟัตวาไว้ความว่า

"อนุญาตให้ถอดเครื่องช่วยหายใจได้ 
เมื่อผู้ป่วยอยู่ในสภาวะสมองตายแล้ว"
 

ฟัตวาชัยค์ ด๊อกเตอร์ รอมะดอน อัลบูฏีย์

ข้อความระวัง  การถอดเครื่องช่วยหายนั้น 
ต้องได้รับการรับรองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว 
และทายาทให้การเห็นด้วย  และผู้ถอดต้องเป็นทายาท 
เพื่อมิให้มีการกล่าวหาเกิดขึ้นในภายหลัง



วัสลามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 11, 2009, 10:12 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 salam

อ้างถึง
"อนุญาตให้ถอดเครื่องช่วยหายใจได้ 
เมื่อผู้ป่วยอยู่ในสภาวะสมองตายแล้ว" 

ค่อยยังชั่วหน่อย

ที่ประเทศหนึ่งเขามีวิธี การุณยฆาต อย่างนี้ครับ

แพทย์ ผู้ป่วย(ถ้ารู้สึกตัว) ญาติ ในฐานะพยาน ทำความเข้าใจกันว่า ผู้ป่วยได้รับความทุกข์ทรมานด้วยโรคที่รักษาไม่หาย

ไม่ประสงค์จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ขอให้แพทย์ให้ยาเพื่อให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

แพทย์จะเป็นผู้เตรียมยาให้ ควบคุมการฉีดยาด้วยคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์จะให้ผู้ป่วยยืนยันความต้องการ

ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ และเมื่อคอนเฟิร์มเป็นครั้งที่ ๓ เครื่องฉีดยาจึงจะเดินยาโดยอัตโนมัติ

ถ้าเป็นวิธีนี้ ซายอก็ไม่เอาด้วยหรอกจ้ะ

والسلام

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ซายอนาระ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ a d n a n

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 698
  • เพศ: ชาย
  • "และคำพูดที่ดี เป็นซอดาเกาะฮฺ" (บุคอรียฺ , มุสลิม)
  • Respect: +13
    • ดูรายละเอียด
ซายอนาระ

มาจาก คำ ๆ นี้ ใช่มั้ย ซายอ -> ฉัน , นาระ -> น่ารัก

เนียนแท้  ::)
หากมาอย่าง " ผึ้ง " ก็จะได้ ~o น้ำหวาน o~ กลับไป oOo หากมาอย่าง " แมลงวัน " ก็จะไม่ได้อะไร นอกจาก

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
คนเป็นหมอได้เนี่ย นับถือจิงๆ นอกจากเรื่องของวิชาความรู้แล้ว
จิตใจจะต้องเด็ดเดี๋ยวจิงๆๆ
เพาะมันเกี่ยวข้องกะเรื่องชีวิตคนๆนึงเลยนะเนี่ย เหอๆๆ

อืม...เห็นด้วยจ่ะ...

 loveit: loveit: loveit:

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


 salam

กระทู้ที่เกี่ยวข้องกันค่ะ...

"การบริจาคเลือดและการรับการให้เลือด"

อ้างจาก

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=2707.0


อ้างถึง
อยากถามว่า

1. การบริจาคเลือดนั้นอนุญาตให้กระทำได้หรือไม่
มีคนเเย้งว่า เลือดเราอาจจะเข้าไปอยู่ในคนชั่ว ทำให้เราบาปด้วย
เเละยังอ้างว่าอวัยวะของเราจะไปให้คนอื่นไม่ได้

2. รับการให้เลือดนั้นอนุญาตให้รับได้หรือไม่
มีคนบอกว่าเขาเกิดอุบัติเหตุเสียเลือด
หมอจะทำการให้เลือดเเต่เขาปฏิเสธ
โดยให้เหตุผลว่า อาจเป็นเลือดของกาฟิร
ซึ่งสกปรกเพราะกาฟิรกินของสกปรก

ช่วยอธิบายเเละหาหลักฐานประกอบด้วยนะครับ  ขอบคุณครับ



คำตอบ


อ้างถึง
อิสลามเป็นศาสนาที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อมนุษยชาติ
ไม่ว่าจะเอื้อเฟื้อแบบทางตรงกับมุสลิมและแบบทางอ้อมกับกาเฟร 
ดังนั้นการบริจาคเลือดนั้นอนุญาตให้กระทำได้ 
แต่ไม่อนุญาตให้ขายครับ 

คำว่า  เลือดนั้น  เป็นส่วนอภัยวะของร่างกายที่ไม่คงที่
คือจะมีปริมาณที่เพิ่มและลดและร่างกายจะผลิตขึ้นมาทุกวัน 
ซึ่งไม่เหมือนกับส่วนอวัยวะอื่น ๆ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง 
เช่น  สองมือหรือสองเท้า  เป็นต้น 

ดังนั้น  เราจะบอกว่าเอาอวัยวะที่เป็นเลือดไปให้คนอื่น
โดยเปรียบเทียบกับอวัยวะแขนหรือขานั้นไม่ได้นะครับ


การที่มุสลิมคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุเสียเลือดมาก 
แล้วปฏิเสธการบริจาคเลือดจากกาเฟรโดยเชื่อว่าเลือดกาเฟรสกปรก
เพราะกินของสกปรกนั้น  ถือเป็นความเข้าใจที่ผิดต่อเจตนารมณ์
ของอิสลามนะครับ  เพราะหากเราเชื่อว่าเขาเป็นมนุษย์ 
แน่นอนว่าอัลเลาะฮ์ทรงให้เกียรติมนุษย์

พระทรงตรัสความว่า

???????? ?????????? ????? ?????


"แท้จริง เราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานอาดัม" อัลอิสรออฺ : 70


แต่ถ้าหากตามทัศนะนิกายของชีอะฮ์อิมาม 12 นั้น 
พวกเขาเชื่อว่ากาเฟรเป็นนะยิสสกปรกครับ 


ส่วนกรณีการบริจาคเลือดให้แก่คนกาเฟรนั้น 
เป็นสิ่งที่อนุญาตให้กระทำได้และได้ผลบุญด้วย 
แต่มีเงื่อนไขว่าต้องไม่ใช่กาเฟรที่เป็นคู่สงครามหรือทำการต่อต้านเรา 


อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า

??? ??????????? ??????? ???? ????????? ???? ?????????????? ??? ???????? ?????? ???????????? ???? ??????????? ??? ???????????? ???????????? ?????????? ????? ??????? ??????? ??????????????


"อัลลอฮ์มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้า
ในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า
ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักผู้มีความยุติธรรม" อัลมุมตะฮินะฮ์ : 8

ดังนั้น  การบริจาคเลือด  หากเป็นการช่วยชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง
ให้รอดพ้นจากความตายหรือการเจ็บป่วย 
และบรรดาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้การรับรองว่า 
การบริจาคเลือดนั้นไม่เป็นโทษแก่ผู้บริจาค  ไม่มีผลกระทบต่อชีวิต
สุขภาพของร่างกาย  และต่อการทำงาน  ก็ถือว่าไม่มีข้อห้ามใด ๆ
ที่จะผ่อนปรนให้ทำการบริจาค 
เพราะสิ่งดังกล่าวนั้นถือเป็นสิ่งที่อนุญาตตามหลักของศาสนา
เนื่องจากเป็นการเสียสละช่วยชีวติผู้อื่น 
ดังที่อัลเลาะฮ์ทรงตรัสไว้ความว่า

????????????? ????? ??????????? ?????? ????? ?????? ????????? ????? ????? ????? ???????? ???????????? ???? ??????????????


"และพวกเขาได้ให้ความสำคัญ(เสียสละให้)แก่พวกเขา 
เหนือกว่าตัวของพวกเขาเองและมาตร์แม้นว่า
พวกเขาจะประสบความขัดสนสักปานใดก็ตาม 
และผู้ใดที่ระงับความละโมบของตัวเองให้ได้
(ทั้งที่เขามีความต้องการสิ่งนั้น)
แน่นอนพวกเขาย่อมเป็นผู้สมหวังโดยแท้จริง" อัลอัซรุ : 19


ท่านชัยค์ ด๊อกเตอร์ อะลี ญุมอะฮ์  มุฟตีแห่งประเทศอียิปต์
ได้วางเงื่อนไขการบริจาคเลือดไว้  ดังต่อไปนี้


1. ต้องมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดขณะที่ทำการบริจาค 
เช่น  มีบุคคลบางส่วนมีความต้องการปริมาณของเลือดอย่างยิ่งยวด
เพื่อกอบกู้ชีวิตของพวกเขาจากความเสียหายและความตาย 
เช่น  เกิดจากอุบัติเหตุหรือเพื่อการผ่าตัด  เป็นต้น

2. การบริจาคเลือดต้องมีผลประโยชน์ที่แน่ชัดตามทัศนะของแพทย์
และต้องไม่เกิดโทษแก่ผู้ที่บริจาค

3. การบริจาคเลือดต้องไม่ทำให้เกิดโทษต่อผู้บริจาค 
ไม่ว่าจะเกิดโทษต่อร่างกายโดยรวมหรือว่าบางส่วนก็ตาม 
หรือต้องไม่ทำให้ลดหย่อนสมถภาพในการดำเนินชีวิตทั้งด้านวัตถุและจิตใจ 
หรือต้องไม่มีผลกระทบในเชิงลบต่อผู้บริจาคทั้งในปัจจุบัน
และอนาคตด้วยการยืนยันที่แน่นอนทางการแพทย์


4. ต้องแน่ชัดว่าจากการตรวจสอบทางการแพทย์ว่า 
เลือดต้องไม่ติดโรคหรือทำให้เกิดโทษต่อมนุษย์คนอื่น 


5. ผู้บริจาคเลือดต้องมีคุณสมบัติพร้อม  คือ  ต้องบรรลุศาสนภาวะ 
มีสติปัญญาสมบูรณ์ 



วัสลามค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


การใช้ประโยชน์จากตัวอ่อน
และการทำลายตัวอ่อนที่ผสมแล้ว  (stem cells)

       Stem cells เป็นเซลล์ที่มีความสามารถที่จะแบ่งตัวให้เกิดเป็นเซลล์
ที่มีรูปร่างเหมือนเดิม(โคลนนิ่ง) หรือเปลี่ยนแปลงให้เป็นเซลล์ชนิดอื่นก็ได้

จากการวิจัยทางการแพทย์เชื่อกันว่าสามารถใช้ stem cells
ไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย หรือเอาไปใช้สร้างอวัยวะของร่างกาย
ขึ้นมาใหม่ได้

การศึกษาค้นคว้าเรื่อง stem cells เพิ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ.. 1960
Stem cells แบ่งออกเป็นหลายชนิด ตามต้นกำเนิดของมัน
แต่ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างจริงจัง มี 2 ชนิดคือ
stem cells จากตัวอ่อน หรือ embryonic stem cells
กับ stem cells ที่นำมาจากเลือดจากรกของแม่
หรือจากสายสะดือทารกแรกเกิด (cord blood stem cells )



เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในสังคมปัจจุบัน
และดูเหมือนว่าจะเดินหน้าต่อไปในทางลบมากกว่าจะเป็นทางบวก

เพราะหากเราสังเกตดูสังคมปัจจุบัน มนุษย์ให้ความสำคัญ
กับรูปร่างหน้าตามากถึงมากที่สุด เพราะ...

1. คนที่เกิดมามีหน้าตาสมบูรณ์แบบ มีรูปร่างสมส่วนปราณีตมาแต่เดิม
    คือ ไม่ได้พิกลพิการแต่อย่างใด มีอวัยวะทุกอย่างครบ
    กลับเดินเข้าสถาบันเสริมความงาม เปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลลอฮฺ
    ทั้งๆที่สิ่งที่อัลลอฮฺประทานให้มาแต่เดิมมันก็ดีอยู่แล้ว
    หรือว่าพวกเขาไม่รู้...และสิ่งที่ติดตามมาหลังการเปลี่ยนแปลงการสร้าง
    ที่พบส่วนใหญ่ก็คือ ความไม่สมดุล ร่างกายขาดสมดุล ต้องไปซ่อมแซม
    และเสียเงินทอง เสียเวลา บางคนถึงกับเสียน้ำตาด้วยความเสียใจ
    เมื่อกาลเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนั้นส่งผลตอบกลับมาในด้านลบ

   สำหรับข้าน้อยมองว่า...การที่อัลลอฮฺประทานสิ่งต่างๆมาให้เราแต่เดิมนั้น
   ย่อมมีวิทยปัญญาอยู่ในนั้นอยู่แล้ว หน้าที่เราคือ ศึกษาว่า เรามีดีอย่างไร
   มิใช่ คิดแต่จะเปลี่ยนแปลงมัน เพราะเราจะรู้ได้อย่างไรว่า
   การเปลี่ยนแปลงที่เราจะทำขึ้นนั้น มันดีกว่าจริงๆ หรือมันจะทำให้เรา
   เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่าจริงๆ...

  บางครั้งการยอมรับและพอใจกับสิ่งที่ได้ถูกประทานมานั้น
  มันเป็น "ความสุขใจ" และหากเรามองตัวเองอย่างถ่องแท้จริงๆ
  เราก็จะรู้ว่า พระเจ้าเมตตาเราแค่ไหนที่สร้างให้เรามาเป็นแบบนี้
  แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงการสร้างของพระองค์ไปทำไม
  ในเมื่อมันดีอยู่แล้ว...เราต้องขอบคุณกับการที่พระองค์ให้เราเกิดมามีสีผิวนั้น
  สีผิวนี้ เพราะมันบ่งบอกว่า ไม่ว่าเราจะมีสีผิวใด เราก็ดูดีได้ด้วยความพึงพอใจ
  ในสิ่งที่เรามี...ผู้ที่พอใจ ย่อมหมายความว่า ผู้นั้นพอเพียงแล้ว
  จึงไม่มีสิ่งใดให้ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะพอใจแล้ว
  ส่วนผู้ที่ขวนขวายอยู่ ย่อมไม่พบกับความพอเพียง
  ต่อให้ผู้คนมองว่าสวยและดูดีสักแค่ไหน เขาก็ว่ายังไม่เพียงพออยู่ดี
 
2.มนุษย์ที่ไม่ยินยอมหรือไม่ยอมรับกับความร่วงโรยของสังขารณ์
   เราจะเห็นว่า เดี๋ยวนี้ธุรกิจความงามได้แพร่ขยายอาณาจักร
   ออกไปอย่างกว้างขวาง และดูจะสร้างผลกำไรอย่างมากมาย
   ให้กับเจ้าของกิจการ เพราะความทุกข์ใจของคนสมัยนี้ก็คือ
   การมองกระจกแล้วเห็นร่องรอยแห่งประสบการณ์ที่พาดผ่าน
   ลงบนใบหน้า ที่เมื่อก่อนมันเคยเต่งตึง และสดใสเปล่งประกาย
   มาบัดนี้ มันเหี่ยวและหดลงจนเห็นเป็นเส้น พวกเขายอมรับ
   กับสิ่งที่ปรากฎบนใบหน้าและเรือนร่างนั้นไม่ได้ จนต้องขวนขวาย
   เพื่อให้ร่องรอยดังกล่าวหายไปจากใบหน้าและเรือนร่างให้ได้
   ต่อให้ต้องเจ็บแค่ไหนก็ยอม หรือต่อให้ต้องเสียเงินมากมายสักเท่าใด
   ก็ไม่ใช่ปัญหา

   เมื่อเงินที่เสียไปสามารถทำให้ใบหน้าและรูปร่างกลับมาเต่งตึงได้
   สิ่งที่ติดตามมาก็คือ คนเหล่านั้นจะเริ่มเห็นความสำคัญของเงินมากขึ้น
   มองว่ามีเงินก็สามารถบันดาลทุกอย่างได้ แม้แต่ความชรา
   ก็ไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้ เขาจึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมา
   แล้วใช้เงินเป็นตัวตอบสนองรับอารมณ์ สุดท้ายเงินจึงกลายเป็นใหญ่
   เป็นพระเจ้าที่สามารถบันดาลทุกอย่างให้พวกเขาได้ไปในที่สุด...

   โดยที่เขาลืมไปสนิทว่า...พระเจ้าที่สร้างเขามาจริงๆนั้น
   รักและเมตตากับเขาแค่ไหน...แต่พวกเขากลับไม่รับรู้...
   กลับไปเทิดทูนสิ่งอื่นที่มันไม่ใช่...


3.การขโมยอวัยวะของผู้อื่นหรือการปลูกถ่ายอวัยวะโดยผิดหลักจริยธรรม
   ด้วยเพราะต้องการหนีความตายหรือยืดระยะแห่งความตายออกไปอีก
   มนุษย์เราจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อหนีความตายไปให้ได้...
   แม้จะรู้ว่าหนีไม่ได้ ก็อยากจะหนีและอยากจะหลุดพ้น
   จึงต้องค้นหายาอายุวัฒนะ...อะไรที่รู้ว่าจะทำให้อายุยืนขึ้น
   หรือเป็นการต่ออายุ พวกเขาจะรีบคว้าหนทางนั้นมาทันที
   แม้กระทั่งการโคลนนิ่งคนขึ้นมาเพื่อนำอวัยวะของตัวโคลนนิ่ง
   มาปลูกถ่าย ทั้งๆที่ชีวิตที่ถูกโคลนนิ่งมาก็คืออีกหนึ่งชีวิต
   พวกเขาก็ฆ่าและทำลายได้ เพียงเพื่อหนีตาย เพียงเพื่อต้องการ
   อะไหล่หรืออวัยวะจากชีวิตนั้นซึ่งมีเนื้อเยื่อที่คล้ายคลีงกัน
   มาต่อชีวิตตัวเองอย่างไร้มนุษยธรรม...ซ้ำบางประเทศยังมีการกินเนื้อ
   ของเด็กทารกที่ถูกทำแท้ง ซึ่งการทำแท้งดังกล่าวมีทั้งที่เจตนาทำ
   และไม่เจตนา แต่การกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันมันส่อให้เห็นว่า
   บุคคลผู้นั้นขาดจิตวิญญาณแห่งการมีชีวิตไปแล้ว...
   เพียงเพราะเชื่อว่า การกินเนื้อเด็กทารกนั้นจะทำให้อายุยืน
   เขาก็เชื่อและทำตาม

   โดยไม่รู้เลยว่า จริงๆแล้ว ความสั้นยาวของชีวิตไม่ได้ยิ่งใหญ่
   หรือมีความสำคัญกว่า การใช้ชีวิตหรือใช้ช่วงเวลาแห่งการมีชีวิต
   อย่างมีค่าและมีความหมาย...พวกเขาต้องการมีชีวิตยืนยาวเพื่อสิ่งใด
   ทั้งๆที่รู้ว่าอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี...หรือการกินเนื้อเด็กทารก
   จะทำให้เราอยู่ยงคงกระพัน และการมีชีวิตอยู่ยาวนาน มันให้อะไรเราบ้าง
   หากเราลองจินตนาการว่า เราต้องอยู่บนโลกนี้ไปอีกหนึ่งพันปี
   เราจะอยากอยู่มั้ย...ข้าน้อยคนนึงที่อยากบอกเหลือเกินว่า
   ดุนยาไม่ได้น่ารื่นรมย์อีกแล้ว การมีชีวิตอยู่เพื่อมองความเสื่อมของโลก
   ความเสื่อมของจิตใจคน มันไม่ได้สร้างความสุขในจิตใจให้ได้เลย
   ก็เลยตั้งใจว่า จะไม่คิดหนีความตาย แม้ความตายจะน่ากลัวแค่ไหน...
   
   สิ่งสำคัญที่คิดอยู่ ณ วันนี้คือ...เราจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
   และจะเผชิญหน้ากับชีวิตหลังความตายได้ด้วยวิธีใดบ้าง
   เพื่อที่จะไม่ทรมานเมื่อชีวิตหลังความตายมาเยือน...
   เราต้องมีสัมภาระอะไรติดตัวไปบ้างเพื่อเผชิญหน้ากับชีวิตหลังความตาย
   เพราะความตาย ไม่ใช่จุดสิ้นสุด...แต่มันคือจุดเริ่มต้นของอีกอย่าง...
   แน่นอนว่า แค่คิดถึงว่าต้องตาย เราก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า เราไม่พร้อม
   เรายังมีความดีน้อยไป น้อยไปที่จะเผชิญหน้ากับโลกหลังความตาย...
   
   หากการมีชีวิตยืนยาวเป็นประโยชน์ต่อเราก็คงจะดีกว่าการต่อชีวิต
   เพียงเพื่อได้หายใจรดโลกไปวันๆ...

ซึ่งวิธีต่ออายุนั้น อัลลอฮฺได้บอกเราเอาไว้ผ่านศาสนทูตมาแล้ว
และแน่นอนว่าเราไม่ต้องไปทำร้ายใครหรือต้องถึงกับกินเลือดกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน
แค่เรายกมืออ้อนวอนขอ และเชื่อมสัมพันธไมตรีกับบรรดาญาติพี่น้อง

อินชาอัลลอฮฺ...

อาจเป็นเพราะเราไม่ได้ศึกษาคู่มือการใช้ชีวิตจากผู้ที่สร้างเรามาจริงๆ
เราถึงต้องเดินทางผิด ใช้ชีวิตผิดๆ จนทำร้ายทำลายผู้อื่น
เพียงเพราะเข้าใจผิดไป...บางคนกว่าจะได้คิดก็สายเกิน...

...ชีวิตอมตะคือภาพลวงตา ความชราและความตายคือเรื่องจริง...

เมื่อใจเรายอมรับกับความจริงนี้ได้...ชีวิตที่หนักก็จะเบาลง...
ความสับสนในจิตใจก็จะค่อยๆจางหายไป...

เราไม่มีทางเอาชนะอัลลอฮฺหรือกำหนดของอัลลอฮฺได้อย่างแน่นอน...
และสิ่งที่สวยงามกว่าการเอาชนะสิ่งดังกล่าวก็คือ การยอมสยบด้วยจิตคารวะ...


วัลลอฮุอะลัม

ปล.หากที่เขียนไปผิดพลาดประการใด ชี้แนะและตักเตือนด้วยนะคะ

วัสลามค่ะ






   
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged