เป็นความหดหู่ชนิดหนึ่งที่เพื่อนร่วมงานหลายๆคนค่อยๆทยอยกัน
ลาออกจากงาน...หลายๆคนที่เคยออกปากรั้งเราให้อยู่เป็นเพื่อนเขา
เมื่อยามที่เรารู้สึกท้อแท้และเจอกับปัญหาหนักจนไม่อยากจะอยู่ต่อแล้ว
แต่ตอนนั้น เพื่อนร่วมงานหลายคนได้ให้กำลังใจดีๆ ให้สู้ให้อยู่ด้วยกันต่อ
ก็เลยประคองบาดแผลจากการเผชิญหน้ากับปัญหาหนักๆมาได้หลายต่อหลายครั้ง
และเมื่อมาวันนี้ พวกเขาเหล่านั้นกลับบอกว่า ไม่ขอสู้ต่อแล้ว ไม่ไหวจะไปต่อแล้ว
ขอลาไปอยู่ที่อื่นดีกว่า...
วันที่ได้ฟังปัญหาของเพื่อนร่วมงานที่ค่อยๆทะยอยกันลาออก
บอกได้คำเดียวค่ะว่า ไม่สามารถเอ่ยปากเพื่อรั้งพวกเขาให้อยู่กับเราต่อได้
มันเหมือนกับเราเห็นแก่ตัว หากจะรั้งเขาเพื่อให้อยู่กับเรา...
และเพราะเคารพในการตัดสินใจของพวกเขา
เชื่อว่า...คนไปเขาก็มีเหตุผลของเขาที่จะไป
ส่วนคนที่อยู่ต่อก็มีเหตุผลของเขาที่จะอยู่ต่อ...
ไม่มีใครผิดและไม่มีใครถูก ไม่มีใครโง่และไม่มีใครฉลาด
ไม่มีใครชนะและไม่มีใครแพ้...
มันเป็นเพียงการพบเพื่อการจากลา...
แต่ถ้าถามว่าเหงาแค่ไหนกับการที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในที่เดิมๆอย่างปัจจุบัน
ยอมรับว่าเหงาสุดๆ แต่พยายามที่จะปลง และพยายามยืนหยัดต่อไป
ความอ่อนล้ามันเกิดขึ้นได้เสมอ แต่เราจะไม่ขอจมอยู่กับอารมณ์
และความรู้สึกที่บั่นทอนตัวเองให้นานมากนัก...
เพราะความรักในตัวเองยังมีสูง...แม้จะห่วงใยและคิดถึงคนที่จากไปแค่ไหน
แต่ตัวเราก็ต้องคิดถึงว่า...เรายังอยู่ตรงนี้...และเรายังอยู่เพื่ออะไร
เมื่อเรามีจุดยืน มีเป้าหมาย มีความมุ่งมั่นกับบางอย่างแล้ว
เราจะต้องไม่หยุดยั้ง แม้ว่าจะเจอกับสภาวะเช่นใดก็แล้วแต่...
เคยมีครั้งนึงได้บอกน้องที่ทำงานก่อนที่เขาจะลาออกไปว่า
...หากเราต้องการจะหนีปัญหานึงไป...เชื่อเถอะว่าเราหนีมันไปไม่รอด
และเราอาจจะต้องหนีมันไปตลอดชีวิต มันจะติดตามเราไปอยู่อย่างนั้น
เพราะปัญหามันซ่อนตัวอยู่ในความมืด อยู่ในซอกหลืบของหัวใจเรา
หากเราไม่ยอมเผชิญหน้าเพื่อสู้กับมัน เราจะไม่มีทางได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของมัน
และไม่ว่าการต่อสู้กับมันนั้น ผลจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่
จะแพ้จะชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญมากไปกว่า การที่เราได้สลัดความกลัวออกไปจากใจ
เพราะคนที่หนี คือ คนที่ขี้ขลาด และมีความกลัวอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
และถ้าเราไม่สามารถสลัดความกลัวนั้นออกไปได้ ต่อให้เราเดินทางไปจนสุดขอบฟ้า
ปัญหาที่เราคิดจะหนีมาตลอดมันก็จะคอยติดตามหัวใจของเราไปด้วย
แต่เมื่อเราได้ต่อสู้กับมัน ได้รู้จักมันแล้ว เราจะไม่กลัวปัญหาตัวนัั้นอีก
และเราจะได้รับความกล้าหาญเพิ่มขึ้นจากการที่เราได้สลัดความกลัวนั้นๆออกไป
ยิ่งเราเผชิญหน้ากับปัญหาซึ่งมักมาพร้อมกับความหวาดกลัวมากขึ้นเท่าไหร่...
เราก็จะยิ่งพบว่า...เรามีความหวาดกลัวและหวาดหวั่นน้อยลง
และเริ่มมีความกล้ามากขึ้น
กล้าชนิดที่ใครก็ล้มและเหยียบย่ำหัวใจเราให้หมดค่าหมดราคาไม่ได้...
ต่อให้ถูกขย้ีมาสักแค่ไหน มันก็เด้งกลับมาเข้มแข็งและลุกขึ้นสู้ใหม่ได้อีกครั้งจนได้...
พร้อมกับพลังที่เพิ่มขึ้นอีกตามตัว...
ที่เขาบอกว่า...ไม่แข่งยิ่งแพ้...นั้นจริง...
เพราะบางคนที่ไม่แข่ง เพราะกลัวว่าจะแพ้...
ซึ่งเราแพ้แล้วจริงๆตั้งแต่เรารู้สึกกลัวกับมัน...
แต่เมื่อเราได้สู้...การต่อสู้นั้นไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ...
ค่าของการต่อสู้จริงๆมันไม่ได้อยู่ที่แพ้หรือชนะ
แต่อยู่ที่เราได้สู้กับมันหรือถอยทัพอย่างคนขี้ขลาด
แค่เรากลัวจะช้ำใจ เราก็แพ้แล้ว...
บางคนกว่าจะชนะและประสบความสำเร็จได้
เขาต้องแพ้พ่ายมานับครั้งไม่ถ้วน...
บางคนมีบาดแผลเต็มตัว เต็มหัวใจ
แต่อะไรเล่าที่ทำให้เขาต่อสู้มาได้แม้จะพ่ายแพ้อย่างยับเยินมานับครั้งไม่ถ้วน
เพราะใจที่ไม่ยอมแพ้ ใจที่ยังสู้อยู่เสมอ
ใจแบบนี้จะประทับอยู่ในหัวใจของผู้กล้า ที่ไร้ความหวาดกลัว...
แต่กว่าจะได้ความกล้ามา เราต้องผ่านความกลัวมาไม่รู้กี่ชนิด
ความกลัวที่มาในหลากหลายรูปแบบ...
เมื่อเราข้ามกำแพงความกลัวหน่ึงๆมาได้
เราก็จะได้เจอกับความกลัวอีกแบบหนึ่งอีก...
และเมื่อเราผ่านมาความกลัวมาได้มากเท่าไหร่
เราก็จะเริ่มมีความกล้า...ความกลัวต่อจากนั้นจึงไม่ได้น่ากลัวนัก
แม้สำหรับคนอื่นจะหวาดหวั่นแค่ไหน แต่คนที่เคยก้าวผ่านความกลัว
ในหลายแบบมาได้แล้ว จะมองปัญหานั้นอย่างเข้าใจ...
เพราะเราต้องมองปัญหาให้เห็นปัญหา
เหมือนการมองฟ้าให้เป็นฟ้า มองคนให้เป็นคน
เมื่อเราเริ่มทำความรู้จักกับตัวตนของปัญหานั้นได้แล้ว
เราก็จะเริ่มวางแผนจัดการกับมันต่อได้...
หากเราสู้แล้วแพ้...สิ่งที่ได้ก็คือ เราแพ้เพราะอะไร
แล้วมีใครอยู่กับเราบ้างในเวลานั้น เราได้อะไรติดไม้ติดมือ
มาจากความพ่ายแพ้นั้นบ้าง...
เมื่อแพ้เราก็ต้องกล้าหาญที่จะยอมรับว่าเราแพ้
และกล้าพอที่จะแก้ไขปรับปรุง...พร้อมยืนหยัดที่จะสู้ต่อไป
เมื่อสู้แล้วชนะ...สิ่งที่ได้รับก็คือ ความภูมิใจ
แต่เราจะหดหู่นิดนึงเมื่อมองไปยังผู้แพ้...
การไม่แสดงความดีใจจนออกนอกหน้านั้น
เท่ากับเป็นการให้เกียรติผู้แพ้...และการส่งยิ้มให้ผู้แพ้
ด้วยความจริงใจ คือกำลังใจชั้นดี...และทำให้ผู้แพ้
ไม่คิดจะเป็นศัตรูกับเรา
เปรียบไปก็เหมือนกับปัญหาค่ะ
หากเราสู้กับมันแล้วเราแพ้ เราจะได้รับบทเรียนเพื่อการแก้ไข
ในคราวต่อไป
หากเราชนะมัน เราก็อย่าร้องเต้นดีใจจนออกนอกหน้านัก
อย่างน้อยๆก็ควรให้เกียรติกับปัญหานั้นที่มันยอมอ่อนข้อให้เรา
เราถึงได้ชนะมันได้...และจงยิ้มให้กับมัน
เพื่อเป็นการกระชับมิตร...การมีปัญหาเป็นมิตร
ย่อมรู้สึกดีกว่าการมีปัญหาเป็นศัตรู
เพราะศัตรูมักสร้างความรู้สึกอึดอัดใจให้กับเราตลอดเวลา
จนอาจทำให้เราไม่มีความสุขเวลามันมาทักทาย...
แน่นอนว่าถ้าเราเอาปัญหามาเป็นมิตรแล้วล่ะก็
ต่อให้มีปัญหาเรียงหน้ามาหาเรา เราก็สามารถยิ้มทักทาย
กับมันได้สบายหายห่วงค่ะ...แม้มิตรที่ว่าจะนำความยากลำบาก
ที่แสนจะทำให้เราต้องปวดขมับมาให้เราสักแค่ไหนก็ตาม...
ปัญหาสามารถเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู
ขึ้นอยู่กับทัศนะหรือมุมมองของเราที่มีต่อมันค่ะ
แต่อยากบอกว่า...
การไม่มีศัตรู เป็นลาภอันประเสริฐค่ะ...
