ผู้เขียน หัวข้อ: +++เราก็คือสิ่งที่ดีที่สุดในโลก+++  (อ่าน 875 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

เจอบทความดีจากหนังสือเลยนำมาฝากกันค่ะ

เรื่องมีอยู่ว่า...

มีนักพูดท่านหนึ่งได้หยุดการสนทนาของเขา
โดยการหยิบแบงค์ 1,000 บาทขึ้นมา
ในห้องที่มีคนกว่า 200 คน
แล้วนักพูดท่านนี้ก็กล่าวว่า

"ใครอยากได้แบงค์ 1,000 บาทนี้บ้าง"
คนฟังทุกคนต่างพร้อมใจกันยกมือขึ้น
"ผมจะให้แบงค์ 1,000 บาทนี้แก่หนึ่งในพวกท่าน
แต่ก่อนอื่นผมจะทำอย่างนี้"

เขาเริ่มขยำเงินแล้วถามอีกว่า
"ใครยังอยากได้แบงค์ 1,000 บาทนี้บ้าง"
คนฟังทุกคนก็ยังยกมือขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน เขาเลยพูดต่อว่า
"ดี แล้วถ้าผมทำอย่างน้ีล่ะ" เขาทิ้งแบงค์ 1,000 บาทลง
แล้วใช้เท้าของเขาเหยียบมันอย่างบ้าคลั่ง แล้วเก็บมันขึ้นมา
ขณะนี้มันทั้งยับและสกปรกเอาเสียมากๆ

"ตอนนี้ยังมีใครต้องการมันอีกบ้าง"
ถามเสร็จทุกคนก็ยังยกมือขึ้นเหมือนเดิม

"เพื่อนๆคงได้เรียนรู้บทเรียนบทหนึ่งแล้วว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร
กับแบงค์ใบนี้ ก็ยังมีคนต้องการมันอยู่ เพราะว่ามันไม่ได้
ลดคุณค่าลงไปเลย ยังไงมันก็ยังมีค่าเป็นเงิน 1,000 บาท
เหมือนเดิม เหมือนคนเราที่ถูกเหยียบย่ำ ถูกทำให้สกปรก
โดยสิ่งที่เราตัดสินใจทำมัน และสภาพแวดล้อมที่เราเจอ
ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าของเราลดลง
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณไม่เคยสูญเสียคุณค่าของตัวคุณเอง
คุณยังเป็นคนพิเศษ เพราะฉะนั้น...จงอย่าลืมความพิเศษ
ในตัวคุณตลอดไป..."


ส่วนหนึ่งจากหนังสือ ชีวิตยังมีทางออกเสมอ
โดย จตุรภัทร หาญจริง


ยังมีแถมอีกนิดนึงค่ะ...

"เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ดูถูกตัวเอง
เมื่อนั้นเราจะเป็นฟันเฟืองที่สำคัญที่สุด
ไม่ว่าเราจะไปยืนอยู่ตรงส่วนไหนของโลกใบนี้"


"การทำร้ายตัวเองที่ร้ายแรงที่สุด
คือ การดูถูกตัวเอง
ไม่เคารพตัวเอง
และไม่รักตัวเอง..."

"อย่าหวังเพิ่มคะแนนชีวิต
หากคิดดูถูกตัวเอง..."


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: +++เราก็คือสิ่งที่ดีที่สุดในโลก+++
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ส.ค. 03, 2013, 11:12 PM »
0
เพิ่งซื้อหนังสือเล่มดังกล่าวมาอ่าน อ่านแล้วก็ทำให้นึกถึงเรื่องราว
ของตัวเองค่ะ...

ตอนใช้ชีวิตในต่างแดนในฐานะนักศึกษาต่างชาติ
ที่ต้องทำงานพิเศษด้วยนั้น...มันทำให้เราต้องสู้และเผชิญหน้ากับหลายๆอย่าง
ตอนนั้นเคยไปเป็นเด็กเสริฟในร้านอาหารไทยในญี่ปุ่น
ยังคิดเลยว่า เขาจะรับมุสลิมอย่างเราไปทำงานให้เขารึเปล่า
แต่เขาก็รับค่ะ...ซึ่งงานที่ทำนั้น ก็ไม่คิดว่าต้องทำทุกอย่างตั้งแต่ต้นน้ำ
ถึงปลายน้ำ เพราะตำแหน่งที่ไปสมัครนั้นคือ "เด็กเสริฟ"
แต่หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบนั้น คือ ทำทุกอย่างค่ะ บอกได้ว่าทุกอย่าง
เพราะตั้งแต่ขัดห้องน้ำ ขัดพื้น ล้างจาน เป็นผู้ช่วยกุ๊ก ผสมเครื่องดื่ม
บริการรับหน้าแขกตั้งแต่หน้าร้านจนถึงที่นั่ง รับออเดอร์ จัดการเรื่องที่นั่ง
เรื่องจอง และคิดเงิน จนจบด้วยการส่งแขกด้วยรอยยิ้มสดใส
มันคือ งานที่หินมากๆสำหรับข้าน้อยที่เคยเป็นคนที่มีอีโก้สูง
เอาแต่ใจเป็นที่สุด ไม่ยอมคน ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร
เมื่อวันที่ต้องมานั่งทำงานบริการให้คนอื่นพอใจ ต้องมานั่งขัดห้องน้ำให้สะอาด
อย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เขาขัดห้องน้ำให้สะอาดและเนียบนัั้น
เขาทำกันอย่างไร เพราะที่ทำๆมาก็คิดว่ามันก็สะอาดแล้ว
แต่สำหรับที่ร้านอาหารที่ไปทำนั้น แค่ที่เราเคยทำๆมา มันยังไม่เพียงพอ
มันต้องเยอะกว่านั้น เอี่ยมอ่องผ่องใสและดูดีกว่านั้น...
เขาก็เลยต้องฝึกให้เราขัดห้องน้ำอยู่หลายตลบกว่าจะขัดห้องน้ำได้สะอาด
เอี่ยมอ่อง โดนด่าว่า โดนตำหนิไปไม่ไช่น้อย แรกๆก็ว่าจะลาออกไป
ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป จะอยู่ให้เขาโขกสับไปทำไม...
แต่พอมานึกดูดีๆ ที่เขาสอนๆเราอยู่นั้นมันก็ดีกับตัวเรานะ
ต่อไปเราจะได้รู้ว่าควรจะขัดห้องน้ำอย่างไร มันคือความรู้
และได้รู้เรื่องการขัดพื้นให้สะอาดโดยประหยัดเวลาในการขัด
รู้วิธีการจัดหน้าร้าน ตกแต่งร้าน ซึ่งก็ช่วยเสริมความรู้ด้านออกแบบตกแต่ง
ภายในที่เรียนอยู่ได้ดีไม่น้อยเลย ได้รู้เรื่องการทำอาหารที่ทำไม่เป็น
จนได้เคล็ดลับดีๆมาเยอะ ได้รู้ว่าระบบของการทำร้านอาหารเป็นอย่างไร
ได้รู้วิธีการผสมเครื่องดื่ม ได้หัดพูดด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่ของเรา
ได้ฝึกสมาธิและที่สุดยอดที่สุดก็คือได้ฝึกการบริหารอารมณ์ของเรา
ทำให้เราต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ทำให้เราไม่ถือตัว
และรู้จักอดกลั้นและข่มอารมณ์ รู้จักอดทนต่อสภาวะกดดัน
บางครั้งเราไม่ได้ผิด ก็จำเป็นต้องรับผิดไป เพื่อไม่ให้เป็นปัญหายืดยาว
ไม่จบไม่สิ้น รู้จักสัมมาคารวะ และรู้จักกาลเทศะมากขึ้นกว่าเดิม

ที่นั่นเป็นเหมือนโรงเรียนอีกโรงนึงที่ทุกวันนี้ข้าน้อยยังรู้สึกขอบคุณ
เจ้านายจอมเขี้ยวและงานที่แสนยุ่งยากวุ่นวายนั่นค่ะ
เพราะมันได้ฝึกให้ข้าน้อยสามารถทำงานที่คนอื่นๆมองว่าเป็นงานต่ำต้อย
เช่นงานขัดห้องน้ำและถูพื้นได้โดยไม่รู้สึกอายใครๆกับการได้ทำหน้าที่นั้น

ทุกวันนี้ แม้จะได้ทำงานในตำแหน่งที่จัดได้ว่าดีกว่าหลายๆตำแหน่งในบริษัท
และได้รับความไว้วางใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าน้อยก็ไม่เคยลืมว่า
เมื่อใดที่เราต้องก้มลงกวาดขยะบนพ้ืนที่เราทำเปื้อน เราก็จะทำ
โดยไม่ต้องส่งเสียงเรียกแม่บ้านให้ขึ้นมาจัดการ เพราะเราทำมันเปื้อน
เราก็ต้องรับผิดชอบมัน และเราจะใช้ห้องน้ำโดยรักษาความสะอาด
เพื่อลดภาระของแม่บ้าน เวลาไปกินข้าวที่ไหนก็จะไม่เรื่องมาก
ทำน้ำหกหรือทำอาหารตกบนพื้นก็หัดรู้จักเช็ดมันให้สะอาด
จะพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ท้ิงคราบสกปรกบนโต๊ะกินข้าวให้คนข้างหลัง
ต้องลำบากเช็ดถู และจะพยายามยิ้มส่งกำลังใจไปให้เด็กเสริฟที่วิ่งหัวหมุน
คอยรับออเดอร์ลูกค้าที่แสนจะเรื่องเยอะ...จะสัั่งเมนูที่ทำง่ายๆ
เมื่อเห็นว่าลูกค้ากำลังเต็มร้าน...

และในที่สุด ทุกวันนี้ก็ได้เป็นมิตรกับเจ้าของร้านดังกล่าว
และเป็นพี่ที่เด็กเสริฟให้ความเคารพ...

แม้จะไม่เคยวาดหวังว่าต้องได้มิตรภาพกลับมา
ที่ทำเพียงเพราะเข้าใจและนึกถึงตัวเองในวันวานเท่านั้น...

แต่ก็เชื่อเสมอว่า...เหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ไม่ว่าจะร้ายจะดี มันไม่สามารถทำร้ายหัวใจเราได้
หากเราสามารถมองเห็นความสวยงามของมันอยู่...


ทุกๆปัญหาไม่ได้มีไว้ให้เราตั้งหน้าเศร้าเพื่อจะรับหน้ากับมัน
และปัญหาก็ไม่ได้มีไว้ให้เราวิ่งหนี...

แต่ปัญหามันคือเพื่อน และก็คือศัตรูในขณะเดียวกัน
อย่าผลักใสมัน หากว่ามันมาทักทายเราจะโดยบังเอิญหรือตั้งใจ
แต่จงพยายามเป็นมิตรกับมันก่อน เดี๋ยวมันก็จะโบกมือลาเราไปเอง
ไม่มีอะไรจะอยู่กับเราตลอดไป ไม่ว่าจะปัญหาหรือความทุกข์
แม้แต่ความสุข...

หรือแม้แต่คนที่เรารัก ก็ไม่แน่ว่าเขาจะจากเราไปวันไหน
และก็ไม่แน่ว่าอาจเป็นเราเสียเองที่ต้องจากเขาไป...
ไม่เขาจากเรา เราก็ต้องจากเขา

ดังนั้น...วันนี้ ที่ได้พบเจอกัน ได้รักกัน ได้ผูกพันกันอยู่
เราจึงควรทำมันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้...
วันที่ต้องจากกันจริงๆ เราจะได้ไม่เสียใจมากนัก...

แน่นอนว่า...เราต้องร้องไห้เสียใจบ้างกับการสูญเสีย
แต่มันจะไม่อยู่กับเรานานนักหรอก...
หากเราไม่ยอมจมอยู่กับมัน...



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: +++เราก็คือสิ่งที่ดีที่สุดในโลก+++
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ส.ค. 04, 2013, 12:01 AM »
0
เป็นความหดหู่ชนิดหนึ่งที่เพื่อนร่วมงานหลายๆคนค่อยๆทยอยกัน
ลาออกจากงาน...หลายๆคนที่เคยออกปากรั้งเราให้อยู่เป็นเพื่อนเขา
เมื่อยามที่เรารู้สึกท้อแท้และเจอกับปัญหาหนักจนไม่อยากจะอยู่ต่อแล้ว
แต่ตอนนั้น เพื่อนร่วมงานหลายคนได้ให้กำลังใจดีๆ ให้สู้ให้อยู่ด้วยกันต่อ
ก็เลยประคองบาดแผลจากการเผชิญหน้ากับปัญหาหนักๆมาได้หลายต่อหลายครั้ง

และเมื่อมาวันนี้ พวกเขาเหล่านั้นกลับบอกว่า ไม่ขอสู้ต่อแล้ว ไม่ไหวจะไปต่อแล้ว
ขอลาไปอยู่ที่อื่นดีกว่า...

วันที่ได้ฟังปัญหาของเพื่อนร่วมงานที่ค่อยๆทะยอยกันลาออก
บอกได้คำเดียวค่ะว่า ไม่สามารถเอ่ยปากเพื่อรั้งพวกเขาให้อยู่กับเราต่อได้
มันเหมือนกับเราเห็นแก่ตัว หากจะรั้งเขาเพื่อให้อยู่กับเรา...

และเพราะเคารพในการตัดสินใจของพวกเขา
เชื่อว่า...คนไปเขาก็มีเหตุผลของเขาที่จะไป
ส่วนคนที่อยู่ต่อก็มีเหตุผลของเขาที่จะอยู่ต่อ...

ไม่มีใครผิดและไม่มีใครถูก ไม่มีใครโง่และไม่มีใครฉลาด
ไม่มีใครชนะและไม่มีใครแพ้...

มันเป็นเพียงการพบเพื่อการจากลา...


แต่ถ้าถามว่าเหงาแค่ไหนกับการที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในที่เดิมๆอย่างปัจจุบัน
ยอมรับว่าเหงาสุดๆ แต่พยายามที่จะปลง และพยายามยืนหยัดต่อไป
ความอ่อนล้ามันเกิดขึ้นได้เสมอ แต่เราจะไม่ขอจมอยู่กับอารมณ์
และความรู้สึกที่บั่นทอนตัวเองให้นานมากนัก...
เพราะความรักในตัวเองยังมีสูง...แม้จะห่วงใยและคิดถึงคนที่จากไปแค่ไหน
แต่ตัวเราก็ต้องคิดถึงว่า...เรายังอยู่ตรงนี้...และเรายังอยู่เพื่ออะไร

เมื่อเรามีจุดยืน มีเป้าหมาย มีความมุ่งมั่นกับบางอย่างแล้ว
เราจะต้องไม่หยุดยั้ง แม้ว่าจะเจอกับสภาวะเช่นใดก็แล้วแต่...

เคยมีครั้งนึงได้บอกน้องที่ทำงานก่อนที่เขาจะลาออกไปว่า

...หากเราต้องการจะหนีปัญหานึงไป...เชื่อเถอะว่าเราหนีมันไปไม่รอด
และเราอาจจะต้องหนีมันไปตลอดชีวิต มันจะติดตามเราไปอยู่อย่างนั้น
เพราะปัญหามันซ่อนตัวอยู่ในความมืด อยู่ในซอกหลืบของหัวใจเรา
หากเราไม่ยอมเผชิญหน้าเพื่อสู้กับมัน เราจะไม่มีทางได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของมัน
และไม่ว่าการต่อสู้กับมันนั้น ผลจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่
จะแพ้จะชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญมากไปกว่า การที่เราได้สลัดความกลัวออกไปจากใจ
เพราะคนที่หนี คือ คนที่ขี้ขลาด และมีความกลัวอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
และถ้าเราไม่สามารถสลัดความกลัวนั้นออกไปได้ ต่อให้เราเดินทางไปจนสุดขอบฟ้า
ปัญหาที่เราคิดจะหนีมาตลอดมันก็จะคอยติดตามหัวใจของเราไปด้วย
แต่เมื่อเราได้ต่อสู้กับมัน ได้รู้จักมันแล้ว เราจะไม่กลัวปัญหาตัวนัั้นอีก
และเราจะได้รับความกล้าหาญเพิ่มขึ้นจากการที่เราได้สลัดความกลัวนั้นๆออกไป

ยิ่งเราเผชิญหน้ากับปัญหาซึ่งมักมาพร้อมกับความหวาดกลัวมากขึ้นเท่าไหร่...
เราก็จะยิ่งพบว่า...เรามีความหวาดกลัวและหวาดหวั่นน้อยลง
และเริ่มมีความกล้ามากขึ้น
กล้าชนิดที่ใครก็ล้มและเหยียบย่ำหัวใจเราให้หมดค่าหมดราคาไม่ได้...
ต่อให้ถูกขย้ีมาสักแค่ไหน มันก็เด้งกลับมาเข้มแข็งและลุกขึ้นสู้ใหม่ได้อีกครั้งจนได้...
พร้อมกับพลังที่เพิ่มขึ้นอีกตามตัว...

ที่เขาบอกว่า...ไม่แข่งยิ่งแพ้...นั้นจริง...

เพราะบางคนที่ไม่แข่ง เพราะกลัวว่าจะแพ้...
ซึ่งเราแพ้แล้วจริงๆตั้งแต่เรารู้สึกกลัวกับมัน...

แต่เมื่อเราได้สู้...การต่อสู้นั้นไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ...
ค่าของการต่อสู้จริงๆมันไม่ได้อยู่ที่แพ้หรือชนะ
แต่อยู่ที่เราได้สู้กับมันหรือถอยทัพอย่างคนขี้ขลาด

แค่เรากลัวจะช้ำใจ เราก็แพ้แล้ว...

บางคนกว่าจะชนะและประสบความสำเร็จได้
เขาต้องแพ้พ่ายมานับครั้งไม่ถ้วน...
บางคนมีบาดแผลเต็มตัว เต็มหัวใจ
แต่อะไรเล่าที่ทำให้เขาต่อสู้มาได้แม้จะพ่ายแพ้อย่างยับเยินมานับครั้งไม่ถ้วน

เพราะใจที่ไม่ยอมแพ้ ใจที่ยังสู้อยู่เสมอ
ใจแบบนี้จะประทับอยู่ในหัวใจของผู้กล้า ที่ไร้ความหวาดกลัว...

แต่กว่าจะได้ความกล้ามา เราต้องผ่านความกลัวมาไม่รู้กี่ชนิด
ความกลัวที่มาในหลากหลายรูปแบบ...
เมื่อเราข้ามกำแพงความกลัวหน่ึงๆมาได้
เราก็จะได้เจอกับความกลัวอีกแบบหนึ่งอีก...
และเมื่อเราผ่านมาความกลัวมาได้มากเท่าไหร่
เราก็จะเริ่มมีความกล้า...ความกลัวต่อจากนั้นจึงไม่ได้น่ากลัวนัก
แม้สำหรับคนอื่นจะหวาดหวั่นแค่ไหน แต่คนที่เคยก้าวผ่านความกลัว
ในหลายแบบมาได้แล้ว จะมองปัญหานั้นอย่างเข้าใจ...

เพราะเราต้องมองปัญหาให้เห็นปัญหา
เหมือนการมองฟ้าให้เป็นฟ้า มองคนให้เป็นคน
เมื่อเราเริ่มทำความรู้จักกับตัวตนของปัญหานั้นได้แล้ว
เราก็จะเริ่มวางแผนจัดการกับมันต่อได้...

หากเราสู้แล้วแพ้...สิ่งที่ได้ก็คือ เราแพ้เพราะอะไร
แล้วมีใครอยู่กับเราบ้างในเวลานั้น เราได้อะไรติดไม้ติดมือ
มาจากความพ่ายแพ้นั้นบ้าง...

เมื่อแพ้เราก็ต้องกล้าหาญที่จะยอมรับว่าเราแพ้
และกล้าพอที่จะแก้ไขปรับปรุง...พร้อมยืนหยัดที่จะสู้ต่อไป

เมื่อสู้แล้วชนะ...สิ่งที่ได้รับก็คือ ความภูมิใจ
แต่เราจะหดหู่นิดนึงเมื่อมองไปยังผู้แพ้...
การไม่แสดงความดีใจจนออกนอกหน้านั้น
เท่ากับเป็นการให้เกียรติผู้แพ้...และการส่งยิ้มให้ผู้แพ้
ด้วยความจริงใจ คือกำลังใจชั้นดี...และทำให้ผู้แพ้
ไม่คิดจะเป็นศัตรูกับเรา

เปรียบไปก็เหมือนกับปัญหาค่ะ
หากเราสู้กับมันแล้วเราแพ้ เราจะได้รับบทเรียนเพื่อการแก้ไข
ในคราวต่อไป

หากเราชนะมัน เราก็อย่าร้องเต้นดีใจจนออกนอกหน้านัก
อย่างน้อยๆก็ควรให้เกียรติกับปัญหานั้นที่มันยอมอ่อนข้อให้เรา
เราถึงได้ชนะมันได้...และจงยิ้มให้กับมัน
เพื่อเป็นการกระชับมิตร...การมีปัญหาเป็นมิตร
ย่อมรู้สึกดีกว่าการมีปัญหาเป็นศัตรู
เพราะศัตรูมักสร้างความรู้สึกอึดอัดใจให้กับเราตลอดเวลา
จนอาจทำให้เราไม่มีความสุขเวลามันมาทักทาย...

แน่นอนว่าถ้าเราเอาปัญหามาเป็นมิตรแล้วล่ะก็
ต่อให้มีปัญหาเรียงหน้ามาหาเรา เราก็สามารถยิ้มทักทาย
กับมันได้สบายหายห่วงค่ะ...แม้มิตรที่ว่าจะนำความยากลำบาก
ที่แสนจะทำให้เราต้องปวดขมับมาให้เราสักแค่ไหนก็ตาม...

ปัญหาสามารถเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู
ขึ้นอยู่กับทัศนะหรือมุมมองของเราที่มีต่อมันค่ะ

แต่อยากบอกว่า...

การไม่มีศัตรู เป็นลาภอันประเสริฐค่ะ...^-^


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 04, 2013, 12:06 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged