
ความเป็นมา
ด้วยกับกระแสการฟื้นฟูและการตื่นตัวของโลกอิสลาม เมื่อเดือนธันวาคม 2010 การประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ได้เริ่มขึ้นที่ประเทศตูนีเซีย ภายหลังได้แพร่กระจายไปทั่วโลกอาหรับ นำมาซึ่งการโค่นล้มทรราชและการแทนที่ด้วยรัฐบาลที่มีอุดมการณ์อิสลามของหลายประเทศเช่นตูนีเซีย โมร็อคโค อียิปต์ และลิเบีย เป็นที่รู้จักกันในชื่อปรากฏการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) ซึ่งรวมถึงซีเรียในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 เมื่อประชาชนได้เริ่มออกมาประท้วงโดยสงบ โดยต้องการเพียงให้รัฐบาลทำการปฏิรูปทางการเมือง แต่รัฐบาลของบัชชาร อะสัด กลับใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุมและผู้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลอย่างโหดเหี้ยมมาโดยตลอด การปราบปรามประชนอย่างโหดเหี้ยมและรุนแรงในครั้งนี้แทนที่จะทำให้ประชาชนชาวซีเรียหวาดกลัวและไม่กล้าออกมาต่อต้านรัฐบาลกลับให้ผลตรงกันข้าม ประชาชนชาวซีเรียตามเมืองต่างๆทั่วประเทศต่างออกมาประท้วงกันมากขึ้น รัฐบาลก็เพิ่มระดับความรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุม จนกระทั่งเริ่มมีทหารของรัฐบาลที่รับไม่ได้กับการสั่งฆ่าประชาชนเริ่มแปรพักตร์มาช่วยปกป้องประชาชน และได้ก่อตัวขึ้นเป็นกองกำลังซีเรียเสรี (Free Syrian Army) ในภายหลัง
ใครคือรัฐบาลซีเรีย
รัฐบาลซีเรียปัจจุบันปกครองโดยพรรคบะอฺซีย์ (Ba'ath Party) เป็นพรรคที่มีอุดมการณ์แบบเซคคิวลาร์ไม่เอาศาสนา ขึ้นสู่อำนาจด้วยการปฏิวัติในปี 1966 และเกิดการปฏิวัติโค่นล้มผู้นำอีกครั้งในปี 1970 โดยนายฮาฟิส อัลอะสัด (พ่อของบัชชาร อัลอะสัด ประธานาธิบดีซีเรียคนปัจจุบัน) เขาเป็นนายพลที่มาจากครอบครัวที่มีความเชื่อตามลัทธิอะละวีย์ (หรือนุศอยรียะฮฺ ) ผู้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในสมัยนั้นและหลังการปฏิวัติเขาได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดีแห่งซีเรีย และดำรงตำแหน่งนี้จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 2000 โดยมีบัชชาร อัลอะสัดผู้เป็นลูกชายได้สืบทอดต่ำแหน่งประธานาธิบดีปกครองซีเรียมาจนถึงปัจจุบันรวมระยะเวลากว่า 42 ปี ในตลอดยุคสมัยของฮาฟิส อัลอะสัด ได้มีการกดขี่ข่มเหง และเข่นฆ่าบรรดาผู้รู้และนักเคลื่อนไหวศาสนาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังก่อเหตุสังหารหมู่ประชาชนหลายต่อหลายครั้ง เช่นเหตุการณ์สังหารหมู่ที่หะมาฮฺในเดือนกุมภาพันธ์ 1982 โดยฮาฟิส อัลอะสัดได้สั่งการให้ทำการปิดล้อมเมืองนี้ก่อนที่จะให้บรรดาทหารเข้าไปทำการสังหารเข่นฆ่าสังหารหมู่ผู้คนอย่างโหดเหี้ยมโดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ การสังหารหมู่ในครั้งนี้นั้นได้รับการขนานนามว่าเป็นการปฏิบัติกหารที่โหดเหี้ยมที่สุดที่รัฐบาลๆหนึ่งกระทำต่อประชาชนของตนเองในยุคใหม่ของตะวันออกกลาง ส่งผลให้บรรดาขบวนการเคลื่อนไหวอิสลามโดยเฉพาะกลุ่มอิควานอัลมุสลิมูนต้องหยุดชะงักลง หากไม่ถูกสังหารก็ต้องหลบซ่อนหรือหนีออกนอกประเทศ ซีเรียตลอดยุคฮาฟิส อัลอะสัดได้ใช้วีธีการปราบปรามฝ่ายต่อต้านด้วยความรุนแรงและโหดเหี้ยมเช่นนี้ตลอดมาและได้รับการสืบทอดต่อโดยลูกชายของเขาที่ชื่อบัชชาร อัลอะสัด
พวกอะละวียะฮฺหรือนุศอยรียะฮ
ฮาฟิสและบัชชาร อัลอะสัด มาจากตระกูลที่นับถือลัทธิชีอะฮฺอะละวียะฮฺ ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยในประเทศซีเรีย มีสัดส่วนประชากรเพียง 12% แต่คนกลุ่มนี้ได้มีอำนาจปกครองประเทศซีเรียที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมซุนหนี่มายาวนานกว่า 40 ปี พวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งสำคัญๆทางการเมืองต่างๆเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะตำแหน่งด้านการทหารในระดับสูงล้วนเป็นของพวกอะละวีย์ทั้งสิ้น บรรดาพวกอะละวีย์ในซีเรียเป็นกลุ่มที่จงรักภักดีอย่างที่สุดและเป็นกลุ่มที่เป็นแกนหลักในการสนับสนุนรัฐบาลของอะสัดมาโดยตลอด โดยเฉพาะสถาณการณ์ในซีเรียปัจจุบันนั้น นอกจากบรรดาทหารในระดับผู้บังคับบัญชาและทหารในระดับปฏิบัติการจะเป็นพวกชีอะฮฺอะละวียะฮฺแล้ว รัฐบาลของบัชชาร อัลอะสัด ยังได้ทำการว่าจ้างชาวบ้านจากหมู่บ้านของพวกชีอะฮฺอะละวียะฮฺ โดยมอบอาวุธ และให้พวกเขามีอำนาจเหนือกฎหมาย ที่เป็นที่รู้จักกันในนาม "ชับบีฮะฮฺ" ซึ่งพวกชับบีฮะฮฺเหล่านี้ได้กลายมาเป็นกองกำลังหลัก (บรรดาทหารที่เป็นซุนหนี่จำนวนมากแปรพักตร์และส่วนที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่ได้รับความไว้วางใจ) ปฏิบัติหน้าที่ควบคู่ไปกับทหารในการกดขี่ข่มเหง ทรมาน ข่มขืนและเข่าฆ่าประชาชนที่ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาล
อะละวียะฮฺหรือนุศอยรียะฮ คือพวกชีอะฮฺสุดโต่งนิกายหนึ่ง นับถือท่านอะลี อิบนุอบีฏอลิบเป็นพระเจ้า พวกเขาฉลองวันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ของพวกนิกายโซโรแอสเตอร์(พวกบูชาไฟ) อนุญาติการดื่มเหล้าและทำซินา ชัยคฺ ดร. ยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวีย์กล่าวว่า "พวกนุศอยรียะฮฺนั้นไม่ใช่มุสลิม พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอิสลามเลยนอกจากชื่อของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาไม่มีมัสยิด ไม่ยึดถือกุรอาน ไม่ทำฮัจย์ ไม่ทำอุมเราะห์ ไม่ถือศีลอด ไม่มีการจ่ายซะกาต ไม่ละหมาด พวกเขาไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับอิสลามเลย" ท่านอิหม่ามอิบนุตัยมียะฮฺได้กล่าวไว้ตั้งแต่สมัยฮิจเราะห์ศักราชที่ 7 ว่า “กลุ่มชนที่เรียกตนว่า อัน-นุศ็อยรียะฮฺนั้น พวกเขาทั้งหมดและพวกอัล-เกาะรอมิเฏาะฮฺ อัล-บาฏินียะฮฺ เป็นพวกที่ปฏิเสธศรัทธาร้ายแรงยิ่งกว่าชาวยิวและคริสเตียนเสียอีก ซ้ำยังปฏิเสธศรัทธายิ่งกว่าชาวมุชริกีน ความอันตรายร้ายกาจของพวกเขายิ่งกว่ากุฟฟารฺที่รุกรานชาวมุสลิมอย่างพวกตะตาร์ (Tatars) และพวกฝรั่ง พวกเขาจะอยู่เคียงข้างศัตรูของชาวมุสลิมเสมอ พวกเขาเคียงข้างกับชาวคริสต์ในการรุกรานมุสลิม ความเจ็บปวดที่รุนแรงสำหรับพวกเขาคือการที่ชาวมุสลิมมีชัยชนะเหนือพวกตะตาร์ เนื่องจากพวกเขาอยู่เคียงข้างตะตาร์ ทุกครั้งที่พวกตะตาร์ยกทัพมารุกรานประเทศมุสลิมและสังหารเคาะลีฟะฮฺ ณ กรุงแบกแดดหรือกษัตริย์อื่นๆ ของชาวมุสลิมนั้นก็ด้วยความช่วยเหลือสนับสนุนจากพวกอัน-นุศ็อยรียะฮฺ”
(อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลัทธิอะละวียะฮฺหรือนุศอยรียะฮได้ที่[ftphttp://www.thai4syria.com/shia-nusayriyah][/ftp])
ผู้อยู่เบื้องหลัง
ลำพังความกระหายอำนาจของบัชชาร อัลอะสัด เพียงอย่างเดียวนั้นคงไม่สามารถทำให้เขาอยู่ในอำนาจและเข่นฆ่าประชาชนชาวซีเรียมาได้เิน่นานขนาดนี้ หากปราศจากการสนับสนุนจากรัสเซียและจีนผู้ใช้สิทธิยับยั้ง(วีโต้)ทุกครั้งที่มีการออกความเห็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางการทหารใดๆต่อประเทศซีเรียในสหประชาชาติ และรัสเซียยังได้ทำการส่งอาวุธให้ประเทศซีเรียอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ตัวการที่สำคัญที่สุดที่อยู่เบื้องหลังการเฆ่นฆ่ามุสลิมชาวซีเรียในครั้งนี้คือประเทศอิหร่าน และบรรดาบริวารผู้อยู่ใต้การบังคับบัญชาของอิหร่านคือ กลุ่มชีอะฮฺฮิสบุลลอฮฺในประเทศเลบานอน รัฐบาลชีอะฮฺแห่งประเทศอิรัค และกลุ่มชีอะฮฺติดอาวุธกลุ่มต่างๆ เนื่องจากความต้องการในการรักษาและขยายอำนาจของพวกชีอะฮฺในดินแดนตะวันออกกลางรวมถึงการที่ซีเรียเป็นที่สำหรับขนถ่ายอาวุธให้กับกลุ่มชีอะฮฺฮิซบุลลอฮฺเพียงแห่งเดียว ทำให้พวกชีอะฮฺที่มีอีหร่านเป็นแกนนำเหล่านี้ได้พยายามทุกวีถีทางเพื่อให้บัชชาร อัลอะสัด ผู้รักษาผลประโยชน์ของพวกชีอะฮฺในซีเรียอยู่ในอำนาจต่อไป ทั้งการส่งอาวุธ กำลังคนและปัจจัยอื่นๆในทุกๆด้านอย่างเต็มที่ สงครามในซีเรียขณะนี้จึงเป็นการต่อสู้กันระหว่างซุนหนี่และชีอะฮฺอย่างชัดเจน
สภาพของพี่น้องชาวซีเรียในปัจจุบัน
ด้วยกับเทคโนโลยีต่างๆที่ก้าวหน้าไปมาก สงครามในประเทศซีเรียในปัจจุบันเป็นครั้งแรกที่เหตุการณ์ต่างๆถูกบันทึกไว้โดยผู้อยู่ในเหตุการณ์อย่างละเอียด วีดีโอจำนวนมากมายมหาศาลได้ถูกอัพโหลดลงในเว็บไซต์เช่น youtube และแพร่กระจายผ่านสื่อต่างๆโดยเฉพาะทางโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างรวดเร็ว ทำให้เราได้เห็นถึงสภาพอันแสนหดหู่ที่พี่น้องมุสลิมชาวซีเรียต้องประสบมาเป็นเวลามากกว่า 2 ปี ชาวบ้านถูกถล่มด้วยอาวุธสงครามแทบทุกชนิดตั้งแต่ปืนครก ระเบิดจากเครื่องบินรบ มิสไซล์ระยะไกล ไปจนกระทั่งอาวุธเคมี เกิดการสังหารหมู่มากมายหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน มีการจงใจทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่ทำขนมปัง ผู้คนมากมายถูกจับขังโดยไร้ข้อกล่าวหา เด็กๆถูกเชือดคออย่างทารุณ
บรรดาผู้บาดเจ็บไม่สามารถไปโรงพยาบาลของรัฐได้เนื่องจากไปแล้วถูกจับ ถูกทรมานหรือถูกฆ่า จึงต้องอาศัยห้องพยาบาลจำเป็นที่ขาดแคลนอุปกรณ์และยารักษาโรคอย่างหนัก อีกทั้งแพทย์และพยาบาลยังถูกหมายหัวและถูกฆ่าด้วยเช่นกัน แพทย์จำนวนมากไม่กล้ารักษาและหลบหนีออกนอกประเทศ แพทย์จึงขาดแคลนอย่างหนักเช่นกัน ผู้มีความรู้ที่สุดในห้องพยาบาลจำเป็นเหล่านั้นหากไม่มีแพทย์ที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่ออยู่รักษาผู้บาดเจ็บในสภาพที่ขาดแคลนและยากลำบากแล้ว บางที่ก็จำต้องอาศัยนักศึกษาแพทย์ พยาบาล หรือแม้กระทั้งหมอฟัน
เนื่องจากซีเรียไม่มีน้ำมันจึงไม่มีชาติตะวันตกชาติใดสนใจจะเข้าไปช่วยเหลือด้านการทหารแม้กระทั่งห้ามส่งอาวุธเข้าไปให้ฝ่ายต่อต้านโดยข้ออ้างที่ว่ากลัวอาวุธจะตกไปอยู่ในมือของพวกกลุ่มหัวรุนแรงและจะถูกนำมาใช้โจมตีชาติตะวันตกในภายหลัง กองทัพซีเรียเสรีขาดแคลนอาวุธอย่างหนัก หลายเมืองที่มุญาฮิดีนต้องถอยร่นเนื่องจากไม่มีกระสุนจะต่อสู้เป็นผลให้ทหารของรัฐบาลและพวกชับบีฮะฮฺเข้ามาสังหารหมู่ประชาชนอย่างเลือดเย็น
พี่น้องที่ไม่สามารถหลบหนีออกนอกประเทศได้ ต้องอยู่อย่างยากลำบาก เด็ก ผู้หญิงและคนชราไม่เคยถูกงดเว้นจากสไนเปอร์ของรัฐบาล บางคนต้องไปอาศัยอยู่ตามตามถ้ำตามเขาเพราะกลัวระเบิด รัฐบาลของบัชชาร อะสัด ตัดน้ำตัดไฟและไม่อนุญาติให้มีการลำเลียงอาหารเข้าไปในหลายพื้นที่ ไม่อนุญาติให้นักข่าวเข้าไปทำข่าว ไม่อนุญาติหน่วยกาชาดช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ทำให้มีเด็กอดตาย ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต้องล้มตายเพราะไม่มียารักษา
ไม่นับรวมผู้ลีภัยนับล้านคนที่อยู่ในเต้นท์ตามชายแดนอย่างแออัดอดอยากและอันตราย เด็กๆที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เงินช่วยเหลือจากต่างชาติไม่เคยได้อย่างเพียงพอ ทนทุกข์ทรมานอยู่กับสภาพที่แสนยากลำบากและเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดของพวกเขา