ผู้เขียน หัวข้อ: สอบถามเรื่องญะมาอะฮฺตับลีฆ  (อ่าน 3377 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ deanzorla

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 1
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
สอบถามเรื่องญะมาอะฮฺตับลีฆ
« เมื่อ: ก.พ. 06, 2013, 02:01 PM »
0

อัสสลามุอลัยกุม วรอมาตุลลอฮฺ วะบารอกกาตุฮฺ

พอดีผมเห็นมีการแชร์กันในเฟสบุคเกี่ยวกับกลุ่มญะมาอะฮฺตับลีฆ(ดะวะห์)

เนื้อความมาจากที่นี่ครับ - http://www.mureed.com/mr_talk/bview.asp?id=3029
ผมขอก็อบมาให้อ่านกัน

คำถาม อาจารย์ ออกมาญิฮาดกับนัฟซูเราเถอะครับ ดังที่ท่านนบี บอกถึงสงครามครั้งสุดท้ายคือ สงครามนัฟซูนะครับ อย่าต้านเลย ยิ่งต้านงานดะอฺวะฮฺยิ่งโตครับ มีแต่สุนนะฮฺกลับใจมาดะอฺวะฮฺกันหมดเลยครับ?

คำตอบ คืออย่างนี้นะครับ นี่คือตัวอย่างข้อบกพร่องของบุคคลที่อยู่ในกลุ่มญะมาอะฮฺตับลีฆ หรือกลุ่มดะอฺวะฮฺที่บรรดานักวิชาการทั่วไปเขาตำหนิกัน และการตำหนินั้นเป็นการตำหนิเพื่อให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขภายในองค์กรของตนเอง แต่สุดท้ายก็ยังคงอยู่ในมิติเดิมๆ คือไม่เคยแก้ไขเลยแม้แต่น้อย

ประเด็นแรก คุณอับดุลเราะห์มานเชิญชวนผมออกญิฮาดกับนัฟซู โดยอ้างว่า "ท่านนบีบอกถึงสงครามครั้งสุดท้ายคือ สงครามนัฟซู" ผมขอถามว่าหะดีษข้างต้นไปเอามาจากไหน? เพราะหะดีษที่เกี่ยวกับการญิฮาดกับตนเอง หรือญิฮาดกับนัฟซูล้วนเป็นหะดีษเฎาะอีฟ, หะดีษเฎาะอีฟญินดัน หรือหะดีษเมาฎูอฺ นี่ไงละครับที่ผมบอกข้างต้นแล้วว่า เราจะเรียกร้องให้ผู้อื่นเข้าใจศาสนา แต่ตนเองก็ยังไม่เข้าใจศาสนา อีกทั้งยังระบุสิ่งที่ไม่มีในคำสอนของศาสนาแล้วอ้างว่าเป็นเรื่องของศาสนา นี่คือความบกพร่องที่ยังคงอยู่ในกลุ่มญะมาอะฮฺตับลีฆ แล้วเช่นนี้จะให้ผมร่วมกิจกรรมกับกลุ่มตับลีฆได้อย่างไร? ในเมื่อผม หรือบุคคลอื่นที่เข้าไปในองค์กรตับลีฆแล้วจะมีสิ่งใดรับประกันได้ว่าจะไม่ได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด,คลาดเคลื่อนเช่นนั้นอีก

ประการที่สอง คุณอับดุลเราะห์มานอ้างว่า "อย่าต้านเลย ยิ่งต้านงานดะอฺวะฮฺยิ่งโตครับ" ผมว่าคุณอัลดุลเราะห์เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ผมมิได้ต่อต้านงานดะอฺวะฮฺเลยแม้แต่น้อย ผมไม่เคยต่อต้านองค์กรตับลีฆ แต่ผมต่อต้านสิ่งผิดหลักการศาสนาที่องค์กรตับลีฆนำมาอ้างว่าเป็นศาสนา ตัวอย่างเช่น กลุ่มตับลีฆอ้างว่า "ภรรยาที่จัดกระเป๋าให้กับสามีออกไปตับลีฆ (หรือออกดะอฺวะฮฺ) นางจะเข้าสรรค์ก่อนสามี 500 ปี" ผมก็ต้องต่อต้านคำสอนข้างต้น เพราะสิ่งข้างต้นไม่มีในหลักการของอิสลาม และคำสอนข้างต้นจะไม่มีผู้ใดรู้ได้นอกจากท่านนบีเท่านั้น แต่คำพูดข้างต้นกลับกลายเป็นคำพูดของเมาลานา มุหัมมัด ซาอิด คานซึ่งเขาไม่ใช่คำพูดของท่านนบี เมื่อเมาลานา มุหัมมัด ซาอิด คานไม่ใช่นบีแล้วรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันกิยามะฮฺได้อย่างไร?

ประการที่สาม คุณอับดุลเราะห์มานอ้างว่า "สุนนะฮฺกลับใจมาดะอฺวะฮฺกันหมดเลยครับ" คำพูดข้างต้นถือว่าคลาดเคลื่อนนะครับ กล่าวคือ คนที่ปฏิบัติสุนนะฮฺจริงๆ นั้นไม่มีหนทางไหนที่จะเข้าไปร่วมกับกลุ่มญะมาอะฮฺตับลีฆอย่างแน่นอน เพราะอะไร?

ก็เพราะสิ่งที่องค์กรตับลีฆสอนอยู่นั้นมีหลายประการที่ขัดแย้งกับสุนนะฮฺของท่านนบีมุหัมมัด (صلى الله عليه وسلم ) ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตามสุนนะฮฺจริงๆ จะเข้ากลุ่มตับลีฆนะครับ,
ประเด็นต่อมา สมมติว่ามีผู้ที่เป็นสุนนะฮฺบางคน หรือทั้งหมดเข้าไปทำงานในองค์กรตับลีฆ นั่นก็มิได้หมายรวมว่าเขาผู้นั้นจะเป็นเครื่องหมายการค้าที่มายืนยันความถูกต้องขององค์กรตับลีฆนะครับ เพราะตัวบุคคลไม่ใช่หลักฐาน ( دليل ) แต่สิ่งที่เป็นอัลกุรฺอานและหะดีษเศาะหี้หฺต่างหากที่เป็นหลักฐานของศาสนา, หวังว่าคงเข้าแล้วนะครับ

ส่วนคุณอับดุลเราะห์มานยังข้องใจประเด็นไหนอีกก็เขียนเขามาใหม่ได้นะครับ ซึ่งความจริงแล้วผมมีข้อมูลของกลุ่มญะมาอะฮฺตับลีฆมากพอสมควร ซึ่งผมเองศึกษาแม้กระทั่งแนวคิด และที่มาการเริ่มก่อตั้งของเมาลานา มุหัมมัด ซะกะรียาด้วยซ้ำไปนะครับ. والله أعلم



เลยอยากสอบถามท่านผู้รู้หรือท่านสมาชิกที่สามารถอิงหลักฐานหรือตอบตามหลักฐานเกี่ยวกับการทำตับลีฆ(ออกดะวะห์)

ผมก็ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ไปเจอ คำฟัตวาของเชค มุหัมมัด นาศิรุดดีน อัลบานีย์  เกี่ยวกับกลุ่มญะมาอัตตับลีฆฺ

ก็เลยอยากสอบถามความเห็นจากหลักฐานที่มีอยู่หน่อยครับ

ขอบคุณมากครับ วัสสลาม

อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว

ออฟไลน์ BasemDeen

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 260
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
Re: สอบถามเรื่องญะมาอะฮฺตับลีฆ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.พ. 07, 2013, 06:56 AM »
0
"อคติทำให้คนรับเหตุผลแค่ข้างเดียว" พูดได้น่าฟังครับ
และผมก็เคยได้ยินต่อมาอีกครับว่า "การแกล้งทำเป็นไม่อคติทำให้สามารถรับเอาเหตุผลที่เข้าข้างฝ่ายตัวเองได้" ฟังดูแปลกไหมเอ่ย
 
อันนี้ อ้างมาจากท่านอาจาลมุดริด ท่านอาจารคนที่เขียนหนังสือ "เชิญโต๊ละแบไปกินบุญ" ใช่ไหมครับ
แล้ว เชค ท่านที่อ้างถึงนั้นนะครับ เค้าเป็นคนที่ไหนเหรอครับ ใช้กลุ่มวาซาบิป่าว แต่คงไม่หรอกเห็นแกฟัตวาโดยอ้างอัรรอชิดีน

ออฟไลน์ sidsid

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 41
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: สอบถามเรื่องญะมาอะฮฺตับลีฆ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พ.ค. 03, 2013, 07:21 PM »
0
คนที่ต้านงานดะวะห์กลับไปคิดให้ดี ความผิดเล็กน้อยของคนออกดะวะห์ มันก็ต้องมีบ้าง ค่อยปรับปรุงกันไป คนมาทำงานดะวะห์ มีทั้งโต๊ะครู บางคนเคยเป็นโจน ขี้คุก คนไม่เคยเรียนศาสนา บ้างไม่เคยละหมาดเลย ได้มาอยู่ร่วมกัน มาเรียนและพูดกันแต่เรื่องศาสนา คนมีความรู้สอนคนไม่รู้ นี้แหละเป้าหมายงานดะวะห์ ไปชวนพี่น้องมุสลิมเราทีไม่ได้ละหมาด ให้มาละหมาด แต่สรุปว่างานดะวะห์สอนให้คนที่ไม่ได้เรียนตอนเด็กๆได้เรียนศาสนา คนเกเรได้กลับมาเป็นคนดีเพราะมาร่วมงานดะวะห์ หมู่บ้านที่กำลังจะเป็นพุทธได้กลับมารับอิสลามอีก ส่วนไม่ดีก็มีบ้างแก้ไขกันไป แต่มาค้านงานดะวะห์นี้ไม่ถูกแน่ คนด้านดะวะห์ ชอบพูดว่านบีไม่ได้ทำ ถ้าอยางนั้นอย่าขี่เครื่องบินน๊ะเพราะนบีไม่ได้ขี หลักฐานของตัวเองไม่มี แล้วมาว่าหลักฐานของกลุ่มเก่า ว่าผิด สอนทางจานดำ ถ้ามีกลุ่มใหม่นี้มากขึ้นอันตรายน๊ะ ดูง่ายๆขอพรต่อพระเจ้าก็ไม่ยกมือ พอเอาหลักฐานมาให้บอกว่าปลอม ของตัวเองไม่ใช่มี พวกใหม่นี้พูดเก่ง ชอบพูดว่านบีไม่ทำ จริงๆสิ่งที่นบีไม่ได้ทำก็ทำได้ถ้าไม่ผิกหลักการ ของให้พี่น้องคิดให้มากๆ กลุ่มใหม่ ไม่เข้าใจเรื่อง บิดอะห์ บอกว่าบิดะอะห์ทีดีไม่มี แต่ทีเขาทำนั้นบิดดะอะห์ทั้งนั้นแต่เป็นสิ่งดี และไม่รู้วาหลังสงครามโลกครั้งที1อังกฤษตั้งซาอุกับวะฮาบีครองซาอุ ตกลงกันว่าไร ไปศึกษากลุ่มนี้ให้ดี ว่ามีแผนร้ายอย่างไร เช่นให้ห่างจากอัลเลาห์และนนบี ไม่ให้ยกมือและทำเมาลิต โดยบอกว่า บิดดะอะห์ทีดีไม่มี วัสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 02, 2015, 08:37 PM โดย sidsid »

ออฟไลน์ sidsid

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 41
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: สอบถามเรื่องญะมาอะฮฺตับลีฆ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ก.ย. 28, 2013, 10:15 PM »
0
ดนที่ชอบพูดว่าตัวเองเป็นพวกซุนนะ จริงๆแล้วเขาไม่ได้ทำตามซุนนะ พวกที่ทำตามซุนนะคือพวกดะวะห์นีแหละ ยกตัวอย่าง เช่น คนดะวะห์ เดินไปตามหมู่บ้านต่างๆเผิยแพร่ ศาสนาแบบนบี แต่กลุ่มใหม่ อยู่กับที่สอนทางจานดำ แล้วใครซุนนะ กันแน่  นบีใช่ให้ทำ ทำในสิ่งที่ดี นบีไม่ได้ห้าม แต่กลุ่มใหม่มาห้าม เขาทำเหลือหรือเกินนบีหนรือเป่ลา  งานดะวะห์ ที่ทำอยู่ในปัจจุบันเกิดครั้งแรกที่อินเดีย ตรงกับ พศ.2477 กลุ่มคนอิหม่าน ได้ร่วมกันคิดว่าทำอย่างไรให้คนทีออกนอกลู่นอกทางกลับมาอิหม่าน เขาก็ทำแบบนบี คือออกไปบอก และผลดีคือได้ไปเรียนศาสนาเพิ่มเติมจากผู้รู้ แบบอยางนี้ นบีไม่ได้ห้าม แต่ค้านก็เหมือนห้ามทางออ้ม ตรงไหมไม่ดี ก็มาช่วยกันแก้ไขได้ไหม การทำเมาลิด การทำเปาะเนาะ โรงเรียนสอนศาสนา การพิมกุรอ่าน การออกดะวห์ชวนคนมุสลิมมาละหมาด สอนศาสนาทางทีวี ทางจาน เหล่านี้ คือ บิดะอะห์ทีดี ทำได้ และก่อนนิกะ ต้องไปเรียนทีจัดให้ก่อนถึงนิกะได้ สิงนี้นบีไม่ได้ทำแต่ทำได้และอีกมาก ที่เป็นสิ่งที่ดี จะเอาสิ่งที่นบีทำเท่านั้นมันไม่ถูก ถ้านบีห้ามได้ มึฮะดีสหนึ่งว่า ถ้าสิ่งใดไม่มีในกุรอานและฮาดีส ถ้าท่านคิดว่าสิงนั้นถูกก็จงทำเถอดเพราะมันเป็นสิ่งถูก ไม่เอานักวิชาการ ที่เราเรียนมา ต่อๆกันมา จะเอา ที่มีในกุรอานกับฮาดีสเท่านั้นมันไม่ถูก ขอร้องต่อไปอย่าเรียกตัวเองว่าซุนนะ อีกน๊ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 29, 2016, 07:08 AM โดย sidsid »

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สอบถามเรื่องญะมาอะฮฺตับลีฆ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ก.ย. 28, 2013, 11:00 PM »
0
ชอบคำคมหนึ่งมากค่ะ...เลยอยากจะเอามาแปะไว้ในกระทู้นี้...

...คนอื่นมักมองเห็นความเป็นไปไม่ได้...
...แต่เรากำลังทำให้มันเป็นไปได้...


และหากจะเทียบกับสมัยที่รอซุลลุ้ลลอฮฺยังมีชีวิตอยู่...
ท่านก็ได้ทำหลายๆอย่างที่ดูจะเป็นไปไม่ได้เห็นเป็นไปได้...

หากเราทั้งหลายไม่ประมาทในศักยภาพของตัวเอง
และพร้อมจะสละเวลา...ไม่ว่าจะเดินออกไปหรือจะนั่งอยู่กับที่...
หากมันจะช่วยประกาศคำสอนของอิสลามหรือประกาศความจริงออกไปได้
โดยพยายามอย่างยิ่งให้มนุษย์เลิกล้มที่จะกราบไหว้หรือสักการะสิ่งอื่น
ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของพวกเขาได้ ก็จงทำเถิดค่ะ...

อย่างน้อยก็ให้เขาได้รู้ความจริง...ส่วนเขาจะได้รับทางนำหรือไม่...
นั่นคือหน้าที่และเป็นภารกิจของอัลลอฮฺ...


การประกาศศาสนาสมัยนี้ที่ดูยากกว่าสมัยท่านรอซุลุ้ลลอฮฺอยู่นั้น
ตามมุมมองข้าน้อยมองว่า...

มนุษย์ปัจจุบันเลิกสนใจศาสนาแล้ว ไม่ว่าจะศาสนาใด...
ไม่เหมือนคนสมัยก่อนที่เขาจะรักศาสนาเขาอย่างมากมาย
ใครจะหยามก็ไม่ได้ พอใครมากล่าวว่าที่เขาทำอยู่มันงมงาย
เขาก็ถึงกับลุกฮือ...และออกมาต่อสู้เพื่อสิ่งที่เขาเคารพบูชา...
แต่คนเช่นนั้น เขามีศาสนา มีจิตใจที่ยังรู้จักผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง...

แต่คนสมัยนี้...ท่านลองตรองดูดีๆสิคะ...ทุกคนดูจะไม่สนใจ
ไม่แยแสต่อสิ่งใดเสียแล้ว ผิดชอบชั่วดีก็ไม่สนแล้ว...

มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้คนที่ไม่แยแส ไม่ใส่ใจไม่สนใจต่อสิ่งใด
นอกจากวัตถุหรือเครื่องอำนวยความสะดวกสบายหันมายึดมั่นกับหลักการ
ของศาสนา...

เพราะมนุษย์ในยุคนี้ถูกทำให้ชินกับอิสระเสรีจนเกือบจะหมดสภาพของความเป็น
มนุษย์อยู่รอมร่อแล้วน่ะค่ะ...

หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพเลยก็คือ...มนุษย์สมัยก่อนไม่ว่าจะ
เป็นผู้ที่นับถือศาสนาใด เขาก็ไม่นิยมโกหกกัน...อ่านได้จากประวัติศาสตร์
ช่วงสมัยที่ท่านรอซุลุ้ลลอฮฺยังมีชีวิตอยู่ได้ค่ะ ขนาดศัตรูของท่าน
ก็ยังไม่อาจโกหกให้ร้ายท่านได้ ไม่อาจบอกคนอื่นได้ว่า ท่านรอซุลุ้ลลอฮฺนั้น
เป็นคนโกหก...เพราะหากเขาพูดไปเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเขานั่นแหล่ะที่เป็นคนโกหกเสียเอง

จึงเป็นภาพอดีตที่ฉายให้เห็นว่า อย่างไรเสียคนในอดีตก็ยังมีคุณธรรมมากกว่าคนสมัยนี้
อยู่อย่างมากมายนัก...

คนทุกวันนี้อยากทำอะไรก็ทำ ไม่สนใจไม่แคร์สายตาใคร...
อยากทำอะไรประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะก็ทำ...
ซึ่งนั่นมันเกิดจากเราเลียนแบบนิสัยของสัตว์ที่รักอิสระ ไม่รู้จักขอบเขต...
ไม่รู้จักกาลเทศะ...อัลลอฮฺสร้างกฎมาให้มนุษย์เพื่อจะให้มนุษย์
สูงส่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน แต่หลายคนกลับปฏิเสธ เลือกที่จะเป็นอิสระ แหกมันทุกกฎ...
แล้วสุดท้ายเราก็กลายเป็นอะไรสักอย่างที่เราต้องลองถามตัวเราเอาเอง...

สัตว์เวลามันหิวมันก็แย่งชิงอาหารกัน ไม่สนใจหรอกว่าตัวอื่นจะเป็นอย่างไร
ขอแค่มันได้อิ่มท้องก่อนก็พอ...ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
ตัวอ่อนแอก็จะกลายเป็นอาหารของตัวที่แข็งแรง...
แม้แต่เผ่าพันธุ์เดียวกัน พ่อแม่เดียวกันมันก็ฆ่า
และกินเนื้อกันเองได้...

แล้วเรามนุษย์นั้นถูกสั่งให้มีมารยาทที่ดี ให้คิดถึงคนอื่น
ให้รู้จักให้กับผู้อื่น...รู้จักช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า...
พอเราไม่มีตรงนี้ เราปลดสิ่งนี้ออกจากตัวเรา...
แล้วเรายังจะบอกกับคนอื่นได้อย่างไรว่าเราสูงส่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน...
ในเมื่อทุกวันนี้ เวลาอยู่ในสังคม ข้าน้อยเผลอมองเห็นมนุษย์กลายเป็นฉลาม
เหมือนในสารดีที่พ่อเคยให้ดูเกี่ยวกับชีวิตของฉลามไม่มีผิด...

แค่การคิดจะเอาความเป็นมนุษย์ของเขากลับมาก็ว่ายากแล้ว
แล้วเราจะเอาศาสนา เอาความจริงไปให้เขา...
มันก็ดูจะเป็นไปได้ยากยิ่ง...และคิดว่าคงเหนื่อยอยู่ไม่น้อย
แม้สมัยนี้เราจะไม่ต้องจับดาบขึ้นมาฟาดฟันกันอีกแล้วก็ตาม
แต่เชื่อมั้ยคะว่า...สงครามไม่เคยสิ้นสุดเลยจริงๆ...
มนุษย์ยังคงต่อสู้กันอยู่ทุกวัน...แค่เปลี่ยนวิธีการ เปลี่ยนกลยุทธ
และเปลี่ยนอาวุธเท่านั้นเอง...

แต่ไม่ว่าการประกาศความจะยากอย่างไร...เราก็จะทำมัน!


ปล.หากไม่เหมาะสมอย่างไร ตักเตือนกันได้นะคะ
พร้อมน้อมรับทุกคำตักเตือนค่ะ

วัสลามค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged