ลองเข้าไปอ่านในลิงก์ด้านล่างดูนะคะ...
อาจจะทำให้พอเข้าใจอะไรบางอย่างได้
เพราะข้าน้อยไม่กล้าสรุปหรือตัดสินในประเด็นนี้
เนื่องจากความรู้ไม่รอบด้าน
แต่ที่อยากแนะนำก็คือ อะไรที่หากเราจะทำแล้วให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจ
ว่าอะล้าลหรือฮะรอมหรือเปล่านั้น ให้เราละมันเอาไว้ก่อน คือไม่ตัดสิน
มันออกไป แต่ให้เลี่ยงไว้ก่อนจนกว่าจะแน่แก่ใจว่าอะล้าลหรือฮะรอม...
แถวบ้านชอบทำไก่ย่างสีเหลือง ๆ ตอนทำบุญนะ
ถามรุ่นน้อง รุ่นน้องบอกว่า ถ้าไม่ทำบาป
เพราะโต๊ะในซอยเขาชอบกินกัน
หลาน ๆ ไม่ทำล่ะเคืองง

ข้าวเหนียวเหลือง ไก่ย่าง มี ดาดา ข้าวตอก น้ำจิ้มรสหวาน และอื่น ๆ แบบครบสูตรนั้น อร่อยแบบสุด ๆ เหมาะสำหรับทำเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญ แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีทำกันเท่าไหร่ เพราะพิธีรีตองมันเยอะ นานทีทำสักครั้งหนึ่งก็คงจะไ้ด้ ดังนั้น อาหารดังกล่าว เป็นของฮะล้าล ใครบอกว่าฮะรอมกินไม่ได้ ถือว่าแต่งตั้งตนเองขึ้นมาบัญญัติศาสนาของอัลเลาะฮ์
แต่ถ้าหากทำข้าวเหนียวเหลือง เพราะความเชื่อหนึ่ง ๆ ทำแบบเพื่อเส้นให้ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษให้รับประทาน ถือว่าเป็นความลุ่มหลง ทำให้เสี่ยงต่อหลักอะกีดะฮ์ ซึ่งปัจจุบันก็ยังหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ถ้าหากทำเพื่อต้อนรับแขกให้ทำการรับประทาน ก็ไม่เป็นไร ทำเลี้ยงแขกแบบมิได้มีความเชื่อใด ๆ ก็ถือว่าให้กระทำได้ครับ
อยากจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ัฟังสักนิดครับ คือว่า ผมเองนั้นอยากกินข้าวเหนียวเหลืองแบบครบสูตรตามที่กล่าวมาข้างต้น คืออยากรับประทานจริง ๆ และอร่อยด้วย ก่อนขึ้นมาไคโรผมก็บอกทางบ้านว่าก่อนขึ้นไปขอทำข้าวเหนียวเหลืองแบบครบสูตรเลี้ยงแขกได้ไหมและผมก็อยากกิน มันอร่อย ที่บ้านก็ตกลงจะทำให้กิน แต่มีน้าสาวคนหนึ่งเ่อ่ยขึ้้นมาว่า "ข้าวเหนียวเหลืองเนี่ยพูดแล้วต้องทำน่ะ!" ผมก็บอกว่า "หากทำเหนียวเหลือเพราะความเชื่อแบบนี้ ผมไม่ขอให้ทำและไม่กิน! เพราะที่ทำนั้นเพราะอยากกินเท่านั้นเอง มิได้ทำเพราะความเชื่อแบบนี้" น้าก็เงียบ และบอกกับผมว่า "อืม..อิมาม(มัสิดยิดบ้าน)ก็เคยห้ามเรื่องแบบนี้ไว้เหมือนกัน" ผมเองก็นึกอ๋อขึ้นมาเลยครับว่า ทำไมที่หมู่บ้านผมไ่ม่มีใครทำเหนียวเหลืองกันเลย อัลฮัมดุลิลลาฮ์
แ่ต่ถ้าทำก็เพราะอยากกินนิ่ มันหร้อยของฮะล้าลทั้งนั้น........^^
วัลลอฮุอะลัม
ส่วนหนึ่งจากลิงก์ด้านล่าง...ลองเข้าไปอ่านระหว่างรอผู้รู้มาไขข้อกระจ่างเพิ่มเติมดูนะคะ...
เพราะมันเป็นกรณีที่คล้้ายกันอยู่...
http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php/topic,2109.0.htmlปล.เนื้อแพะที่เชือดด้วยมุสลิมอย่างถูกต้องตามหลักการทุกอย่างนั้น
อะล้าลอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว แต่หากว่ามันถูกกระทำมาเพื่อ
เจตนาหรือต้องการสักการะสิ่งอื่น หรือตามความเชื่อของศาสนาอื่น
มันก็ย่อมไม่อะล้าล...เพราะความเชื่อนั้นเป็นสิ่งสำคัญ
และอีกอย่าง เจตนา(เหนียต)ของเจ้าของงานก็สำคัญด้วยเช่นกัน...
และคำว่า จัดงานเพื่อขอขมาเจ้าที่...
เจ้าที่ในที่นี้ของเจ้าของงาน เขาคงไม่ได้หมายถึง
เจ้าที่เจ้าทางหรอกใช่มั้ยคะ...
หากเขาหมายถึง เขาต้องการเลี้ยงคนในพื้นที่
เนื่องจากเขาเข้ามาประกอบกิจการในที่แห่งนั้น
โดยหวังจะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคนในพื้นที่
ที่อาศัยอยู่ อันนี้...เป็นเรื่องที่น่ายินดีนะคะ
เพราะเหมือนเราเวลาไปไหนต่างถิ่น เราก็จะพยายาม
ทำความสนิทสนมกับเจ้าถิ่น ซื้อโน่นซื้อนี่ไปฝาก
เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กันเอาไว้...จะได้อยู่ด้วยกัน
อย่างราบรื่นต่อไป...
แต่อีกกรณีนึงที่เห็นต่างศาสนิกทำกันมากก็คือ
ความเชื่อที่ว่า หากไปอยู่ที่ไหน ก็ต้องขอขมาเจ้าที่
หรือขออนุญาตเจ้าที่ก่อน ซึ่งเจ้าที่ในที่นี่ของเขา
ไม่ได้หมายถึงมนุษย์ที่อยู่ในพื้นที่นั้น แต่เป็นสิ่งที่พวกเขา
มองไม่เห็น ก็ไม่รู้ว่าเขามีความเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับ
เจ้าที่ของเขาที่เขากำลังขอขมาอยู่
คือเขามีเจตนาจะสักการะเจ้าที่แห่งนั้นที่ปกปักษ์คุ้มครอง
พื้นที่แห่งนั้นอยู่ โดยให้เราผู้อยู่ในพื้นที่ได้เข้าร่วมงานนั้นด้วย
ซึ่งคล้ายกับกรณีที่เจ้านายของข้าน้อย
จะทำการขอขมาเจ้าที่เจ้าทางทุกครั้งที่เปิดสาขาใหม่...
แล้วออกคำสั่งให้พนักงานทุกคนเข้าร่วมงาน...
และรับประทานอาหารนั้นซึ่งได้นำไปถวายให้แก่เจ้าที่เสร็จเรียบร้อยแล้วด้วยกันอย่างพร้อมหน้าเพื่อความเป็นศิริมงคล
ตามความเชื่อของเขา...
วันนั้น...ข้าน้อยปฏิเสธที่จะเข้าร่วมพิธีค่ะ คือไปร่วมงาน
แต่ไม่ได้ร่วมพิธีกรรม ไม่ได้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับความเชื่อนั้นๆ
ของพวกเขา และไม่ได้ร่วมรับประทานอาหารพวกนั้น
ด้วยกันกับพวกเขา...และข้าน้อยก็เป็นเพียงคนเดียว
ที่เป็นมุสลิม ณ ที่แห่งนั้น...
ซึ่งเราก็อธิบายไปว่าทำไม เขาก็เข้าใจ ไม่ได้ว่าหรือตำหนิอะไร
แถมยังให้คนไปซื้ออาหารเซ็ตอื่นที่ข้าน้อยกินได้มาให้กินอีก
บอกว่า มาแล้วก็ไม่อยากให้หิ้วท้องกลับบ้านไป...
อยากให้กินอาหารด้วยกัน ขอแค่บอกมาว่า อะไรกินได้
เขาจะจัดการให้...ตอนนั้นก็ซึ้งในน้ำใจของเขาที่มีให้กับเรา...
ซึ่งการไปร่วมงานนั้น เพราะตั้งใจจะไปร่วมยินดีให้กับ
สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิด แต่การจะให้เข้าร่วมพิธีกรรมทางความเชื่อ
ของเขาด้วยนั้น ข้าน้อยก็ขอเลี่ยง เพราะมันไม่ใช่
ความเชื่อของเรา เราไม่ได้เชื่อเช่นนั้น...
จะให้เราไปนั่งในห้องทำพิธีกรรมหรือกินอาหาร
ทีี่ผ่านพิธีกรรมมาด้วยคงไม่ไหว
แม้ใจจะปฏิเสธ แต่หากเรากำลังพากายของเราเข้าไปเอี่ยวด้วย
มันก็ดูไม่สวยสักเท่าไหร่ในทางปฏิบัติ...
เพราะใจกับกายต้องไปด้วยกัน ถึงจะรู้สึกดี...
ศาสนาเขาก็คือศาสนาเขา ศาสนาของเราก็คือศาสนาของเรา
บางคนเขาไม่ได้ยึดถือศาสนาอะไรเป็นพิเศษ
แต่เขาก็ยึดเอาหลักปฏิบัติของศาสนาโน้นบ้างศาสนานี้บ้าง
มาปฏิบัติตามแต่ความคิดและความเชื่อส่วนตัวของเขาจะนำพาไป
แล้วเราจะไปเดินตามหลังคนที่เขายังหาจุดยึดมั่นไม่ได้
ได้อย่างไร ในเมื่อชีวิตเรา กายของเรา ใจของเรา
ปฏิญาณเอาไว้แล้วว่า "ลาอิลาอะอิ้ลลัลลอฮฺ..."
ข้าน้อยยังรู้สึกขอบคุณอัลลอฮฺ ตะอาลาทุกครั้ง
ที่เมื่อประสบพบเจอกับเหตุการณ์หรือต้องไปอยู่ในสถานการณ์
ที่เราไม่แน่ใจว่าเราควรจะกระทำอย่างไรดี...
เพราะทุกครั้ง คำว่า "ลาอิลาอะอิ้ลลัลลอฮฺ"
จะผุดขึ้นมาเสมอ...
และเราก็รู้สึกได้ถึงพลังของคำๆนี้ว่ามันเพียงพอแล้วสำหรับเรา
เพียงพอที่เราจะยึดมั่นเอาไว้...
ดังนั้น...การเป็นคนจริง และชัดเจนต่อสิ่งที่เราศรัทธา
จะไม่ทำให้เรากลายเป็นคนที่น่าตำหนิ
แต่มันจะส่งผลให้คนอื่นเกรงเรา...ให้ความเคารพเรา
ยิ่งการกระทำ หากเราอยากให้เขาเชื่อว่าเราเป็นคนอย่างไร
เราก็ต้องปฏิบัติเช่นนั้น...
เมื่อใจกับกายตรงกันและไปด้วยกัน...ความมั่นคงบนหนทางที่เดิน
ก็จะชัดเจนขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ...
อินชาอัลลอฮฺ...
วัสลามค่ะ