คำว่า na~ กับ ne~ ที่ตามหลังคำ อย่างเช่น tenki desu ne
ใช้ต่างกันอย่างไรค่ะ
ทั้งสองเป็นคำที่เป็นคำช่วยลงท้ายในประโยค ที่มีหน้าที่
คือ ขอความเห็นชอบจากผู้ฟัง หรือ ขอคำยืนยันจากผู้ฟัง...จ้าาาาา
หากถามว่า ใช้ต่างกันอย่างไร...
ね~ อ่านว่า เน้ (เป็นคำช่วยท้ายประโยค) นั้นจะใช้เป็นส่วนมากค่ะ
ส่วนคำว่า
な〜 อ่านว่า น้าาาาาา นั้นพี่ยังนึกไม่ออกว่าจะใช้กับประโยคแบบไหนได้บ้าง
น้องต้องยกตัวอย่างมาให้พี่ดูค่ะ...เพราะแถบฝั่งคันไซ(ภาคตะวันตกของญี่ปุ่น
เช่น โอซาก้า เกียวโต )จะใช้คำว่า な〜 มากกว่าคำว่า ね〜
เช่นคำว่า そうやな〜 อ่านว่า โซ่ยะน้า
ซึ่งภาษากลางหรือชาวโตเกียวจะพูดว่า そうだね〜 จ๊ะ
เช่น อีกประโยคหนึ่ง
見たいな〜 อ่านว่า มิไต้น้า แปลว่า อยากเห็นเนอะ
ซึ่งคนโอซาก้าจะพูดกัน
ส่วนทางฝั่งโตเกียวเขามักจะพูดว่า
見たいね〜อ่านว่า มิไต้เน้ แปลว่า อยากไปเนอะ
ซึ่งพี่ไม่ถึงกับชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นที่จะกล้าฟันธงว่ามันจะต้องใช้
เป็นการเฉพาะอย่างไรบ้าง แต่หากยกตัวอย่างมาให้พี่ดู
พี่อาจจะบอกได้ว่าภาษามันแปล่งๆหรือไม่อย่างไร...
เพราะถ้าไม่ได้ดูตัวอย่างประโยคพี่ก็จะไม่สามารถ
อธิบายได้ค่ะ...
ปล.พี่เรียนโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่โตเกียว ซึ่งอยู่ฝั่งคันโต
(ฝั่งภาคตะวันออกหรือฝ่ังทะเลตะวันออกของญี่ปุ่น)
เป็นเวลาปีครึ่ง แล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่จังหวัดเกียวโต
ซึ่งอยู่ฝั่งคันไซ(ฝั่งภาคตะวันตกหรือฝั่งทะเลตะวันตกของญี่ปุ่น)
อีก 4 ปี เพื่อนๆมักใช้ภาษาท้องถิ่นผสมกับภาษากลาง
(ที่คนโตเกียวใช้พูดกัน)กับพี่บ่อยๆ พี่เลยติดสำนวนคันไซ
มาบ้าง...แต่ก็พอแยกออกค่ะว่าอะไรเป็นอะไร...
แต่บอกตามตรงว่าชอบภาษาท้องถิ่นทางแถบคันไซ
หรือที่เขาเรียกกันว่า คันไซเบ็ง มากกว่าค่ะ
มันดูน่าฟัง และดูหวานๆและจริงใจดีในความรู้สึกค่ะ...
วันก่อนลูกค้าเจ้านายมาจากญี่ปุ่นและรู้ว่าเขามาจาก
เมืองโอซาก้าพี่ก็เลยซัดคันไซเบ็งไปกับเขาพอเรียกน้ำย่อย
กลายเป็นว่าการสนทนาจากที่คิดว่าจะต้องเครียดแน่ๆ
ก็ไม่เครียดอย่างที่คิดเลย...เขาดูจริงใจและเปิดเผย
ไม่ดูขึงขังอย่างที่คาดคิดไว้ตามหัวข้อของการพบปะ...
เลยคิดว่า...อย่างไรเราก็ได้เปรียบคนที่เรียนเฉพาะในแถบ
คันโตตลอดขึ้นมา...เพราะเราได้ภาษาท้องถิ่น
ติดไม้ติดมือมาด้วย...
เปรียบเหมือนการได้ภาษาใต้ ได้ภาษาอีสานบ้านเรา
เจอคนอีสานเราก็พูดไทยแบบอีสานประมาณนั้นน่ะจ๊ะ
ทำให้คิดว่า....การเลือกไปเรียนมหาวิทยาลัยต่อที่อีกฟากฝั่งหนึ่งในตอนนั้นเป็นกำไรชีวิตจริงๆ
แม้จะถูกล้อว่าเลือกไปอยู่บ้านนอกจนกลายเป็นเด็กบ้านนอก
ช่วงนึงก็เถอะค่ะ...เพราะจริงๆแล้วไม่ว่าอยู่ที่ไทยหรืออยู่ที่ญีปุ่น
พี่ก็เป็นเด็กบ้านนอกอยู่ดี... ^^
ไม่เคยได้เป็นเด็กนอกกับเขาหรอกค่ะ เพราะลุ๊คไม่ให้...
เพราะุถ้าเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ไปเรียนด้วยกัน
หรือรุ่นน้องที่จบตามหลังมา...
สภาพพี่ที่เป็น ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเป็นเด็กจบนอก...
ก็ยังแต่งตัว เหมือนเด็กบ้านนอกที่คนชอบพูดอยู่ดี ^^
แถมยังนั่งรถเมล์ไปทำงานแทบทุกวัน(หากไม่มีเหตุฉุกเฉิน
ต้องรีบเดินทาง) ไปติดต่องานบางทีก็นั่งรถเมล์
หัวไม่ฟูเพราะว่าเรามีผ้าคลุมหัวแล้ว...เสื้อผ้าไม่ยับยุ่ง
เพราะว่ายืนเป็นส่วนใหญ่...ไม่ต้องเบียดใคร
เพราะใครก็ไม่กล้าเบียด...แต่เสี่ยงหน่อยตรงร้องเท้า
ที่มีส้นน้อยๆ เนื่องจากเอาไว้เป็นอาวุธประจำกาย
มากกว่าจะใช้เป็นฐานส่งเสริมส่วนสูง...
น้อยคนจะหยั่งรู้ว่า ร้องเท้ามีส้นคืออาวุธชั้นดีของผู้หญิง...เฮะๆ
(ขอนอกเรื่องนิดนึง) เฮะๆ