ผู้เขียน หัวข้อ: เด็กชาวยิวได้รับความช่วยเหลือ  (อ่าน 1644 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺมิได้จำกัดการเชิญชวนผู้คนสู่อิสลามไว้แค่เพียงคนมีอายุเท่านั้น
แต่ท่านยังเผยแผ่อิสลามไปสู่เด็กด้วย

ครั้งหนึ่งท่านรอซุลุ้ลลอฮฺได้ยินว่าเด็กชาวยิวคนหนึ่งป่วยหนักและกำลังใกล้จะเสียชีวิต
ท่านจึงได้ไปเยี่ยมเด็กคนนั้นและหาโอกาสที่จะทำให้เด็กคนนั้นเป็นมุสลิมก่อนเสียชีวิต

ท่านเข้าไปหาเด็กคนนั้นและบอกเขาว่า

"จงกล่าว ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ" เด็กคนนั้นมองหน้าท่านรอซุลุ้ลลอฮฺ

ดังนั้น พ่อของเด็กจึงบอกว่า

"จงฟังอบูกอเซ็ม" (ชื่อที่พวกชาวอาหรับเรียกท่านนบีมุฮัมหมัด)

ดังนั้น เด็กชาวยิวจึงกล่าวตาม เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านรอซุลุ้ลลอฮฺก็ดีใจ
เพราะเด็กชาวยิวคนนั้นได้รับการปกป้องให้พ้นจากไฟนรกแล้ว

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เด็กชาวยิวได้รับความช่วยเหลือ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พ.ย. 17, 2013, 01:49 PM »
0
นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นห่วงของท่านรอซุลุลลอฮฺในเรื่องความปลอดภัยในโลกหน้า
ท่านต้องการให้ทุกคนได้ลิ้มรสความสุขในอิสลามและได้รับความสำเร็จอันยั่งยืน

ดูเอาก็แล้วกันว่า แม้แต่ในตอนที่ท่านรอซูลุลลอฮฺและอบูบักรฺหลบซ่อนพวกกุเรซฺอยู่ในถ้ำ
ท่านก็มิได้ยุติบทบาทของการเป็นนบี มด ความร้อน ฝุ่น ความเหนื่อยล้า ความหิว
และความกดดันอย่างหนักจากการถูกตามล่า ก็มิอาจหยุดยั้งท่านรอซูลุลลอฮฺ
จากการเชิญชวนชาวอาหรับสู่อิสลาม...


ที่มา : จากหนังสือ ไข่มุกแห่งวิทยาปัญญา
โดย: อุมมุลค็อยร์
บรรจง บินกาซัน แปล:
หน้าที่51

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เด็กชาวยิวได้รับความช่วยเหลือ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พ.ย. 17, 2013, 02:17 PM »
0
อ่านตรงนี้แล้วทำให้นึกถึงฝันของตัวเองเมื่อหลายวันก่อน...

ตอนนั้นฝันไปว่า...

พี่สาวคนนึงที่รู้จักกันในที่ทำงาน เราสนิทกันมาก
ในฝันพี่เขาตั้งครรภ์และกำลังจะคลอด
ตอนที่คลอดออกมานั้น ข้้าน้อยก็อยู่ข้างๆพี่เขา แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้...
พี่เขาคลอดลูกคนแรกออกมาเสร็จก็วางไว้บนอะไรสักอย่างที่เหมือนถาด
แล้วก็คลอดลูกอีกคน พอลูกอีกคนคลอดออกมาแล้ว
พี่เขาก็วางไว้ใกล้ๆกับคนแรก...ปรากฎว่าลูกคนแรกของพี่เขาหยุดหายใจไปแล้ว
พี่เขาก็เสียใจที่เขามัวแต่คลอดลูกอีกคน จนไม่มีโอกาสได้ดูแลคนที่คลอดออกมาก่อนหน้า
และเหมือนว่าลูกแฝดที่คลอดออกมาทีหลังก็ดูจะไม่รอดเช่นกัน
พี่เขาส่งลูกแฝดที่ยังไม่เสียชีวิต แต่นิ่งจนเหมือนจะตายไปแล้ว เพราะเด็กไม่ร้องไห้เลย
ก่อนจะหันไปจัดการกับศพของลูกคนแรก...

ข้าน้อยรับเด็กทารกมาไว้ในอุ้งมือและประคองเอาไว้
ตาของเด็กทารกคนนั้นปิดสนิท ปากก็ปิดสนิท ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา
ข้าน้อยก็กังวลว่าเด็กคนนั้นอาจจะไม่รอด จึงเอาหูแนบตรงที่ตำแหน่งของหัวใจของเด็ก
ว่ามันยังเต้นอยู่รึเปล่า เสียงหัวใจนั้นเต้นแผ่วเบามาก
ตอนนั้นให้นึกสงสาร มองหน้าเด็กทารกแล้วก็ไม่รู้จำทำอย่างไรให้เด็กคนนั้นฮึดสู้
เพื่อให้มีชีวิตรอด รู้สึกเหมือนเด็กคนนั้นไม่มีแรงจะสู้ต่ออย่างไรก็อย่างนั้น...

ข้าน้อยก็เลยก้มลงกระซิบข้างๆหูเด็กคนนั้นเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจ
ด้วยคำว่า

"อัสสลามุอะลัยกุม"

และเพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงใสๆของเด็กผู้ชายกล่าวตอบกลับมาว่า

"วะอะลัยกุมมุสลาม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ..."

เป็นการตอบรับสลามที่ยาวกว่าที่ข้าน้อยได้ให้ไป
จนข้าน้อยต้องหันมามองหน้าเด็กว่า เป็นไปได้อย่างไรที่เด็กเพิ่งคลอดออกมา
จะตอบรับสลามเป็น เขารู้ได้อย่างไร เขาศึกษามาจากที่ใด...
และที่สำคัญ ตาและปากของเขาก็ยังปิดสนิทอยู่เลย

แล้วข้าน้อยก็หันไปทางแม่ของเด็กซึ่งเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ
บอกกับพี่เขาว่า

"เมื่อกี้ลูกของพี่ตอบรับสลามของหนูด้วยแหล่ะ..."

พี่เขาก็ยิ้มรับ บอกว่า ลูกพี่พูดได้ซะทีไหน พี่ไม่เห็นได้ยิน...

ก็เลยนึกเพียงว่า เสียงนั้นเป็นเสียงที่ข้าน้อยกับเด็กทารกคนนั้นสื่อสารเป็นการเฉพาะเพียงแค่นั้น
คนอื่นหาได้รับรู้ไม่

และเมื่อต้องคืนเด็กให้แม่ของเด็ก ก็รู้สึกใจหาย เพราะรู้สึกเป็นห่วงว่าเด็กทารกคนนี้
จะต้องโตมากับแม่เป็นชาวพุทธ กังวลว่าเขาจะต้องกลายเป็นพุทธ
และจะปฏิเสธอิสลาม ทั้งๆที่เมื่อกี้เขาก็เพิ่งรับสลามไปหมาดๆ...
มันเลยไม่อาจยอมรับได้ ไม่อยากคืนลูกให้แม่ของเด็ก
แต่เพราะเราไม่มีปัญญาเลี้ยงเด็ก และการพรากลูกพรากแม่ก็มิใช่สิ่งที่ควรจะทำ
มันเป็นบาป...จึงตัดใจคืนลูกให้แม่ของเด็ก เด็กจะได้ดื่มนมแม่
เพราะตัวเราไม่มีนมให้เด็กดื่ม อีกทั้งยังไม่ใช่แม่ของเขา...

แน่นอนว่าแม่ของเขาย่อมต้องรักลูกของตัวเอง แต่ที่ข้าน้อยหวั่นเกรงก็คือ
เกรงว่าเด็กคนนี้จะต้องโตไปเป็นอย่างอื่น...

แต่มีเสียงนึงบอกกับส่วนลึกในหัวใจของข้าน้อยว่า...อย่าได้เป็นกังวลไปเลย
เพราะเธอได้ให้สลามแก่เด็กทารกคนนี้ไปแล้ว แล้วเด็กคนนี้รับสลามจากเธอแล้ว
ไม่ว่าใครจะชักนำเขาไปยังทิศทางใด แต่สุดท้ายแล้วเขาจะต้องกลับมา...
ด้วยศรัทธาจากจิตวิญญาณของเขา...เพราะเขารับสลามด้วยจิตวิญญาณของเขา
หาใช้ด้วยกับปากของเขาไม่...

ก็เลยยอมปล่อยเด็กคนนั้นให้กลับคืนสู่อ้อมอกของแม่ของเขา...
รอเวลาเมื่อเขาโตขึ้น...


จากความฝันดังกล่าวทำให้ได้คิดว่า...เด็กทารกนั้นบริสุทธิ์
และสิ่งที่ได้อีกอย่างนึงเลยก็คือ การให้สลามนัั้น เหมือนเป็นการส่งกระแสจิต
เป็นการส่งกำลังใจ มิใช่แค่หูทีี่ได้รับฟัง แต่จิตวิญญาณนั้นสามารถรับรู้ได้...
เด็กยังพูดไม่ได้ แต่เขารับรู้ได้ด้วยจิตวิญญาณของเขา...
และจิตวิญญาณของเด็กนั้น รู้จักอัลลอฮฺ รู้จักการให้สลามและรับสลาม...

ตอนเล่าให้พ่อฟัง พ่อบอกว่า นั่นเป็นสิ่งที่ดี และขอให้รู้ว่าเราได้รับดุอาอฺจากเด็กคนนั้นแล้ว...
ในขณะที่เราดุอาอฺเพียงสั้น(สลามเพียงสั้นๆ)ให้ไป แต่สิ่งที่ถูกตอบรับกลับมามันมากกว่า
เพราะเด็กคนนั้น ตอบรับสลามแบบยาวอย่างสมบูรณ์แก่เรา...

ดังนั้น แม้เพียงสิ่งเล็กๆที่เราได้กระทำไป แต่สิ่งนั้นอาจมีค่ามหาศาลได้...
ขอจงทำแม้มันเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ...เพราะสิ่งทีี่จะได้รับจากนั้น
เรามิอาจคำนวณได้...


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เด็กชาวยิวได้รับความช่วยเหลือ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พ.ย. 17, 2013, 02:50 PM »
0
นำมาฝากค่ะ...





สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 86 - 87


คำอ่าน
86. วะอิซาหุยยีตุม..บิตะหี้ยะติน..ฟะหัยยูบิอะห์สะนิมินฮาเอารุดดูฮา อิน..นัลลอฮะกานะอะลากุลลิชัยอินหะสีบา
87. อัลลอฮุ ลา..อิลาฮะอิลลาฮู ละยัจญมะอัน..นะกุม อิลาเยามิลกิยามะติ ลาร็อยบะฟีฮิ วะมันอัศดะกุมินัลลอฮิหะดีษา


คำแปล R1.
86. When you are greeted with a greeting, greet in return with what is better than it, or (at least) return it equally. Certainly, Allah is ever a careful account taker of all things.
87. Allah! La ilaha illa Huwa (none has the right to be worshiped but He). Surely, He will gather you together on the Day of Resurrection about which there is no doubt. And who is truer in statement than Allah?


คำแปล R2.
86. และเมื่อเจ้าทั้งหลายได้รับความคารวะใด ๆ (จากผู้หนึ่ง) พวกเจ้าก็จงคารวะ (ผู้นั้น)ให้ดีงามกว่านั้น หรือมิฉะนั้นก็จงตอบคารวะนั้น (โดยเท่าเทียมกัน) แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงเป็นผู้คำนวณแก่ทุก ๆ สิ่ง
87. อัลเลาะฮฺ ไม่มีพระเจ้านอกจากพระองค์ ขอสาบาน แน่นอนยิ่ง พระองค์จะทรงรวบรวมพวกเจ้าทั้งหลายสู่วันชาติหน้าโดยไม่มีข้อสงสัยใน (วัน) นั้นเลย และใครเล่าที่จะจำนรรจ์สัจจะได้ยิ่งกว่าอัลเลาะฮฺ


คำแปล R3.
86. และเมื่อใครทักทายสูเจ้าด้วยความเคารพ ก็จงทักทายด้วยความเคารพที่ดีกว่าหรืออย่างน้อยที่สุดก็ตอบการทักทายกลับโดยเท่าเทียมกัน แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงชำระทุกสิ่งเสมอ
87. อัลลอฮฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ พระองค์ทรงรวบรวมสูเจ้าในวันฟื้นขึ้น ซึ่งการมาของวันนั้นไม่มีข้อคลางแคลงสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น และถ้อยคำของผู้ใดเล่าที่จะเป็นจริงยิ่งกว่าถ้อยคำของอัลลอฮฺ


คำแปล R4.
86. และเมื่อพวกเจ้าได้รับคำอวยพรจะด้วยคำอวยพรใด ๆ ก็ตามก็จงกล่าวคำอวยพรตอบที่ดีกว่านั้นหรือไม่ก็กล่าวคำอวยพรนั้นตอบกลับไปแท้จริงอัลลอฮฺทรงคำนวณนับในทุก สิ่งทุกอย่าง
87. อัลลอฮฺนั้นคือไม่มีผู้ที่ควรได้รับเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น แน่นอน พระองค์จะทรงรวบรวมพวกเจ้าทั้งหลายสู่วันกิยามะฮฺ ซึ่งไม่มีการสงสัยใด ๆ ในวันและใครเล่าที่จะมีคำพูดจริงยิ่งกว่า   อัลลอฮฺ


คำแปล R5.
๘๖. แหละในเมื่อพวกเจ้าถูกเขาแสดงคารวะให้หนหนึ่งเช่น มีผู้เอ่ยถ้อยคำแก่พวกเจ้าว่า “อัซสะลามุอะไลกุม” ก็ให้พวกเจ้าตอบคารวะที่ดีกว่าที่เขาให้ความคารวะมาก่อน โดยให้พวกเจ้าตอบคำคารวะนั้นว่า “วะอะไลกุมุซสะลามุวะเราะห์มะตุลเลาะห์”แต่ถ้าผู้แสดงคำคารวะแก่พวกเจ้าก่อนเอ่ยว่า “อัซสะลามุอะไลกุมวะเราะห์มะตุลเลาะห์” พวกเจ้าพึงตอบว่า “วะอะไลกุมุซสะลามุวะเราะห์มะตุลลอฮิวะบะร่อกาตุห์” หรือจงตอบคารวะเพียงทวนคำให้เท่ากับประโยคที่เขาแสดงไว้ก่อน จึงเป็นอันว่าการตอบรับคารวะนั้นจะแสดงเป็นโวหารที่ยาวกว่าหรือเท่ากันนั้นย่อมถือว่าเป็นการจำเป็น(วายิบ)สำหรับผู้รับคารวะ ส่วนการตอบรับด้วยโวหารที่ยาวกว่านั้นย่อมจะดียิ่งกว่า เว้นไว้แต่คน ๖ ประเภทซึ่งจะได้กล่าวต่อไปนี้ หากเขาจะเป็นฝ่ายเสนอคำแสดงคารวะแก่พวกเจ้าก่อน ศาสนาก็อนุญาตว่าไม่จำเป็นที่พวกเจ้าจะต้องตอบรับคารวะของผู้นั้นแต่ประการใด คือ ๑. ผู้ไม่ศรัทธา (กาฟิร) ๒. มุบตะดิอ์ (ผู้ปฏิบัติศาสนกิจขัดแย้งกับ อัล-กุรอาน อัล-หะดีธ คำของสาวก อาจริยมติ (อิจมาอ์อุละมาอ์)ในยุค ๓๐๐ปี ๓. ผู้มีบาปหนา (ฟาซิก) ๔. ผู้กำลังเปลื้องธุระอยู่ เช่น กำลังอุจจาระ ปัสสาวะ ๕. ผู้อยู่ในห้องน้ำ ๖. ผู้ที่กำลังมีอาหารอยู่ในปาก ในจำนวนทั้งหกประเภทที่ว่านี้ หากคนใดคนหนึ่งเป็นฝ่ายแสดงความคารวะก่อน ศาสนาถือว่าไม่จำเป็นที่จะต้องตอบรับ แต่ถ้าตอบรับก็ถือว่ามักรูห์ (คือพฤติกรรมที่เมื่อกระทำไม่ได้กุศล เมื่อละเว้นได้กุศล) ยกเว้นคนในประเภทที่หก ศาสนาถือว่าการตอบรับคารวะของเขาไม่มักรูห์เพราะแท้จริงอัลเลาะห์คือองค์ทรงยิ่งในการวินิจฉัยทุกสิ่งทุกอย่างแล้วก็จะทรงตอบสนองให้ในทุก ๆ ประการที่ว่านั้น ซึ่งการตอบรับคารวะก็จัดว่าเป็นส่วนหนึ่งจากทุก ๆ สิ่งที่พระองค์จะตอบแทนด้วยเช่นเดียวกัน
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ โองการต่อไปนี้ ลงมาเพื่อแจ้งแก่พวกกาฟิรที่ปฏิเสธการเกิดใหม่จากสุสาน ดังนี้
๘๗. อัลเลาะห์นั้น ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอันควรแก่การสักการะโดยแท้จริงเว้นไว้แต่พระองค์เท่านั้นทรงให้สัตย์ปฏิญาณด้วยพระนามของพระองค์ว่าแน่แท้พระองค์จะทรงจัดให้เจ้าหน้าที่มาต้อนพวกเจ้าจากหลุมสุสานและให้พวกเจ้าไปรวมกันในวันกิยามะห์อันเป็นวาระที่ไม่สงสัยเลย แล้วย่อมไม่มีผู้ใดที่จะมีถ้อยคำสัจจริงยิ่งกว่าอัลเลาะห์




วัสสลาม

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged