กระทู้นี้ผมได้ชี้แจงแบบเปิดเผยและชัดเจนโดยไม่ได้เอ่ยชื่อผู้ใด แต่มีคนร้อนตัวและพาไปโต้กับเฟสตัวเองแบบพัลวันโดยไม่อ่านในสิ่งที่ผมได้ชี้แจงไปทั้งหมดและไม่เข้าใจหลักการศาสนาที่ชี้แจงเกี่ยวกับการตัฟซีรของท่านอิหม่ามอะบุลอับบาส อัลมุรซีย์
อัลลอฮฺตะอาลาทรงตรัสว่า
يَحْسَبُونَ كُلَّ صَيْحَةٍ عَلَيْهِمْ هُمُ الْعَدُوُّ فَاحْذَرْهُمْ قَاتَلَهُمُ اللَّهُ أَنَّى يُؤْفَكُونَ
“พวกเขาคิดว่าทุกๆ เสียงร้องนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา พวกเขาคือศัตรู ดังนั้นจงระวังพวกเขา ขออัลลอฮฺทรงให้ความอัปยศแก่พวกเขา ทำไมเล่าพวกเขาจึงหันเหออกไป(จากสัจธรรม)” [63:4]
อนึ่ง ท่านอิหม่ามอะบุลอับบาส อัลมัรซีย์ เป็นวะลียุลลอฮ์ ศิษย์เอกของท่านอิหม่ามอะบุลหะซันอัชชาซุลลีย์และเป็นอาจารย์ของท่านอิหม่ามอิบนุอะฏออิลลาฮ์
แต่คนที่เป็นปรปักษ์ต่อวะลียุลลอฮ์อย่างท่านอิหม่ามอะบุลอับบาส อัลมุรซีย์ในเชิงพฤติกรรมที่ปรากฏให้เราได้เห็น และกล่าวหาว่าท่านเพี้ยนในการอธิบายอัลกุรอาน โดยไปก็อบอ้างอิงจากเว็บอาหรับแนวทางสุดโต่งและหลงไปว่าแนวทางของตนเองเท่านั้นที่ถูก ขนาดอ้างอิงชื่อหนังสือก็ยังอ่านผิด บอกว่า “ดู ละฏออิฟ อัลมะนัน” ทั้งที่ชื่อหนังสือที่ถูกต้องคือ “ละฏออิฟ อัลมินัน”
ผู้เป็นปรปักษ์เขาบอกว่า “คำว่า “อายะฮ์” ในซูเราะฮ์อัลบะก่อเราะฮ์ อายะฮ์ที่ 106 นั้น ชัดเจนอยู่แล้วคือโองการของอัลกุรอาน จะเปลี่ยนไปเป็นคำว่า “วะลียุลลอฮ์” ได้อย่างไร สะลัฟคนไหนอธิบายแบบนี้” แล้วเขาก็หยิบการอธิบายของสะลัฟตามหลักชะรีอัตว่า สิ่งที่ถูกยกเลิกคือฮุกุ่มของอายะฮ์ หรืออายะฮ์อัลกุรอานถูกยกเลิกไป เป็นต้น แล้วผู้เป็นปรปักษ์ก็พยายามที่บอกให้ทราบว่า ท่านอิหม่ามอะบุลอับบาส อัลมุรซีย์นั้น อธิบายขัดแย้งกับสะลัฟ”
ขอชี้แจงดังนี้
คำพูดของคนปรปักษ์คนนี้ออกมาจากความเขลาและไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมได้นำเสนอและไม่เข้าใจหลักการของตัฟซีรอัลอิชารีย์
กล่าวคือตัฟซีรอัลอิชารีย์นั้น ไม่ใช่เป็นการอธิบายถ้อยคำของอัลกุรอาน แต่เป็นความเข้าใจตัวบทของอัลกุรอานอย่างลึกซึ้ง
เพราะผมได้อ้างอิงคำพูดของท่านอิหม่ามอิบนุอะญีบะฮ์ไปแล้วเกี่ยวกับการอธิบายอัลกุรอานของปราชญ์ซูฟีย์ ก็คือ
وَهُوَ تَفْسِيْرُ إِشَارَةٍ لاَ تَفْسِيْرُ مَعْنَى اللَّفْظِ
“มันคือการอธิบายเชิงบ่งชี้อันล้ำลึกไม่ใช่เป็นการอธิบายตามความหมายของถ้อยคำ” อิบนุอะญีบะฮ์, อีกอซุลฮิมัม ชัรหุมัตนิลหิกัม, 366.
ดังนั้นคำพูดของผู้เป็นปรปักษ์จึงผิดอย่างชัดเจนที่บอกว่า ““คำว่า “อายะฮ์” ในซูเราะฮ์อัลบะก่อเราะฮ์ อายะฮ์ที่ 106 นั้น ชัดเจนอยู่แล้วคือโองการของอัลกุรอาน จะเปลี่ยนไปเป็นคำว่า “วะลียุลลอฮ์” ได้อย่างไร?”
คือผู้เป็นปรปักษ์เขาคิดว่า ท่านอิหม่ามอะบุลอับบาสอัลมุรซีย์นั้น อธิบายและเปลี่ยนถ้อยคำ “อายะฮ์” ว่าเป็น “วะลียุลลอฮ์” ซึ่งเป็นความเข้าใจที่โง่เขลาและไม่รู้หลักศาสนาเกี่ยวกับเรื่องตัฟซีรอัลอิชารีย์ เพราะการตัฟซีรอัลอะชารีย์นั้น ไม่ใช่เป็นการอธิบายถ้อยคำหรือเปลี่ยนถ้อยคำของอัลกุรอาน เนื่องจากการอธิบายถ้อยคำของอัลกุรอานนั้น เป็นการอธิบายตามหลักชะรีอะฮ์ที่ปราชญ์ซูฟีย์ให้การยอมรับเป็นเบื้องต้นหรือเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว
ท่านอิหม่ามอัสสะยูฏีย์ ปราชญ์มัซฮับชาฟิอีย์และตะเซาวุฟแนวทางอัชชาซุลลีย์ กล่าวถ่ายทอดคำพูดของท่านอิหม่ามอิบนุอะฏออิลลาฮ์ว่า
وَلَكِنّ ظَاهِرَ الآيَةِ مَفْهُوْمٌ مِنْهُ مَا جَلَبَتِ الآيَةُ لَهَ وَدَلَّتْ عَلَيْهِ فِيْ عُرْفِ اللِّسَانِ وَثَمَّ أَفْهَامٌ بَاطِنَةٌ تُفْهَمُ عِنْدَ الآيَةِ وَالْحَدِيْثِ لِمَنْ فَتَحَ اللهُ قَلْبَهُ وَقَدْ جَاءَ فِي الْحَدِيْثِ لِكُلِّ آيَةٍ ظَهْرٌ وَبَطْنٌ
“แต่ความหมายผิวเผินของอายะฮ์นั้น จะถูกเข้าใจตามที่อายะฮ์ได้บ่งชี้ตามหลักภาษาอาหรับ แต่ ณ ที่นั่น ยังมีบรรดาความเข้าใจแบบล้ำลึกที่ถูกเข้าใจจากตัวบทอายะฮ์อัลกุรอานและหะดีษที่มีให้กับผู้ที่อัลลอฮฺทรงเปิดหัวใจของเขา โดยมีหะดีษได้ระบุมาว่า ทุกๆอายะฮ์นั้นมีทั้งความหมายผิวเผิน(ความหมายนอก)และความหมายล้ำลึก(ภายใน)” อัสสะยูฏีย์, อัลอิตกอน ฟี อุลูมิลกุรอาน, เล่ม 2, หน้า 488, และดู อิบนุอะฏออิลลาฮ์, ละฏออิฟ อัลมินัน, หน้า 136-137.
ท่านอิหม่ามอิบนุอะฏออิลลาฮ์ ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า
1. อัลกุรอานนั้นต้องเข้าใจถ้อยคำตามหลักภาษาอาหรับเป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการอธิบายถ้อยคำอัลกุรอานตามหลักของชะรีอะฮ์ ตามที่ผู้ปรปักษ์ได้ยกคำอธิบายของสะลัฟมานั่นแหละ
2. แต่ยังมีบรรดาความเข้าใจ ณ อายะฮ์อัลกุรอานที่อัลลอฮฺตะอาลาได้เปิดให้เข้าใจแก่พวกเขา ซึ่งความเข้าใจนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการตัฟซีรถ้อยคำอัลกุรอาน
และท่านอิบนุอะญีบะฮ์ กล่าวไว้ชัดเจนในการตัฟซีรอัลกุรอานของปราชญ์ซูฟีย์ว่า
وَالصُّوْفِيَّةُ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمْ يُقِرُّوْنَ الظَّاهِرَ عَلَى ظَاهِرِهِ وَيَقْتَبِسُوْنَ إِشَارَاتٍ خَفِيَّةً لاَ يَعْرِِفُ مَقْصُوْدَهُمْ غَيْرُهُمْ
“และบรรดาปราชญ์ซูฟีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ้ม ยอมรับในความหมายผิวเผินและพวกเขาได้ถอดข้อบ่งชี้อันล้ำลึกที่ผู้อื่นจากปราชญ์ซูฟีย์ไม่เข้าใจเป้าหมายของพวกเขา”อิบนุอะญีบะฮ์, อีกอซุลฮิมัม ชัรหุมัตนิลหิกัม, 366.
คำพูดของท่านอิหม่ามอิบนุอะญีบะฮ์มีความชัดเจนแล้วว่า
1. ปราชญ์ซูฟีย์นั้น ยอมรับในการตัฟซีรโดยอธิบายถ้อยคำตามตัวอักษร คืออายะฮ์ที่ 106 ซูเราะฮ์อัลบะก่อเราะฮ์ เกี่ยวกับการยกเลิกอายะฮ์อัลกุรอานหรือหุกุ่มของอายะฮ์อัลกุรอาน
2. แต่ปราชญ์ซูฟีย์ถอดข้อบ่งชี้อันล้ำลึกของอายะฮ์อัลกุรอานที่อัลลอฮฺได้เปิดให้พกวเขาเข้าใจด้วย
ผมขอยกตัวอย่างการอธิบายของท่านอิหม่ามอิบนุอะญีบะฮ์ ผู้เป็นปราชญ์ซูฟีย์แนวทางอัชชาซุลลีย์ ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ในตัฟซีรของท่านที่ว่า อัลบะห์รุลมะดี๊ด ที่มีการอธิบายอัลกุรอานซูเราะฮ์อัลบะก่อเราะฮ์อายะฮ์ที่ 106 แบบปกติทั่วไปและอธิบายเชิงตะเซาวุฟ(อัลอิชารีย์)เสริมเข้ามาด้วย ดังนี้
فَأَجَابَ اللهُ عَنْهُمْ بِقَوْلِهِ : { مَا نَنْسَخْ مِنْ آيَةٍ } أَيْ : نُزِيْلُ لَفْظَهَا أَوْ حُكْمَهَا أَوْ هُمَا مَعاً ، { نَأْتِ بِخَيْرٍ مِّنْهَا } فِي الْخِفَّةِ أَوْ فِي الثَّوَابِ
“ดังนั้นอัลลอฮฺทรงตอบพวกเขา(คือพวกยะฮูดี) ด้วยคำตรัสของพระองค์ที่ว่า ‘โองการใดที่เรายกเลิก’ หมายถึง เราได้ทำให้ถ้อยคำของโองการนั้นหายไปหรือทำให้ฮุกุ่มของโองการนั้นหายไปหรือทำให้ถ้อยคำและฮุกุ่มของโองการนั้นหายไปพร้อมๆ กัน ‘เราจะนำสิ่งที่ดีกว่าโองการนั้นมา’ ในแง่ของความผ่อนเบา(ไม่ตกหนักจนเกินไป)หรือในด้านของผลบุญที่ดีกว่า....” อิบนุอะญีบะฮ์, ตัฟซีรอัลบะห์รุลมะดี๊ด, เล่ม 1, หน้า 148.
หลังจากนั้นท่านอิหม่ามอิบนุอะญีบะฮ์ ได้หยิบยกตัฟซีรอิชารีย์ของปราชญ์ซูฟีย์ที่มีความเข้าใจต่ออายะฮ์นี้ว่า
اَلإِشَارَةُ : قاَلَ الشَّيْخُ أَبُو الْعَبَّاسِ الْمُرْسِيُّ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ فِي تَفْسِيْرِهَا : مَا نَذْهَبْ مِنْ بَدَلٍ إِلاَّ وَنَأتِ بِخَيْرٍ مِنْهُ أَوْ مِثْلِهِ . ه . وَمَعْنَاهُ : مَا نَذْهَبْ بِوَلِيٍّ إِلاَّ وَنَأْتِ بِخَيْرٍ مِنْهُ أَوْ مِثْلِهِ إِلَى يَوْمِ الْقِيَامَةِ ، وَبِهَذَا يُرَدُّ عَلَى مَنْ زَعَمَ أَنَّ شَيْخَ التَّرْبِيَّةِ اِنْقَطَعَ؛ فَإِنَّ قُدْرَةَ اللهِ عَامَّةٌ
“อัลอิชาเราะฮ์(อธิบายเชิงข้อบ่งชี้อันลึกซึ้ง)คือ ท่านชัยค์อะบุลอับบาส อัลมุรซีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวอธิบายอายะฮ์นี้ว่า ‘เราจะมิให้จากไปจากวะลียุลลอฮ์คนหนึ่งนอกจากเราจะนำมาซึ่งวะลียุลลอฮ์ที่ดีกว่า(มาแทนที่)หรือวะลียุลลอฮ์ที่เหมือนๆ กับเขา’ ซึ่งความหมายก็คือ เราจะไม่ให้วะลียุลลอฮ์คนหนึ่งจากไปนอกจากเราจะนำมาซึ่งวะลียุลลอฮ์ที่ดีกว่า(มาแทนที่)หรือวะลียุลอฮ์ที่เหมือนๆ กับเขาจนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ์ และด้วยการอธิบายของท่านอะบุลอับบาสอัลมุรซีย์นี้ เพื่อตอบโต้ผู้ที่อ้างว่า ‘ชัยค์ที่ทำการขัดเกลาจิตวิญญาณนั้นจะได้ขาดตอนไปแล้ว’ เพราะความเดชานุภาพของอัลลอฮฺนั้นแผ่คลุม(ในทุกยุคสมัยซึ่งพระองค์สามารถทำให้วะลียุลลอฮ์ผู้ขัดเกลาจิตวิญญาณมีในทุกยุคสมัยได้ไม่ใช่ไปคิดไปครูของฉันตายไปแล้วและสิ้นสุดโดยไม่มีผู้ใดมาแทนได้อีกแล้ว)”อิบนุอะญีบะฮ์, ตัฟซีรอัลบะห์รุลมะดี๊ด, เล่ม 1, หน้า 149.
ดังนั้นการอธิบายอัลกุรอานแบบอิชารีย์ของปราชญ์ซูฟีย์ในบางอายะฮ์นั้น ไม่ใช่เป็นการอธิบายถ้อยคำของอายะฮ์อัลกุรอาน แต่เป็นการเข้าใจอายะฮ์อัลกุรอานในเชิงเปรียบเทียบ(กิยาส)
เช่น อัลลอฮฺตะอาลาทรงตรัสว่า “โองการใดที่เรายกเลิก หรือเราทำให้มันลืมเลือนไปนั้น เราจะนำสิ่งที่ดีกว่าโองการนั้นมา หรือสิ่งที่เท่าเทียมกับโองการนั้น”
ปราชญ์ซูฟีย์ ได้ทำการเทียบเคียงอายะฮ์นี้ว่า “อัลลอฮฺตะอาลาจะไม่ให้วะลียุลลอฮ์คนใดจากไปนอกจากพระองค์จะนำวะลียุลลอฮ์ที่ดีกว่าหรือเท่าเทียมกันมาทดแทน”
ซึ่งถือว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกับหลักการของความเป็นจริงที่วะลียุลลอฮ์ จะยังคงมีอยู่จนถึงวันกิยามะฮ์
นี่ก็คือหลักการที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ์เอง ก็ได้บอกเอาไว้เกี่ยวกับตัฟซีรแบบอิชารีย์ว่า
وَأَمَّا أَرْبَابُ الْإِشَارَاتِ الَّذِينَ يُثْبِتُونَ مَا دَلَّ اللَّفْظُ عَلَيْهِ وَيَجْعَلُونَ الْمَعْنَى الْمُشَارَ إلَيْهِ مَفْهُومًا مِنْ جِهَةِ الْقِيَاسِ وَالِاعْتِبَارِ فَحَالُهُمْ كَحَالِ الْفُقَهَاءِ الْعَالِمِينَ بِالْقِيَاسِ ؛ وَالِاعْتِبَارِ وَهَذَا حَقٌّ إذَا كَانَ قِيَاسًا صَحِيحًا لَا فَاسِدًا وَاعْتِبَارًا مُسْتَقِيمًا لَا مُنْحَرِفًا
“สำหรับปราชญ์ซูฟีย์ที่ยืนยันข้อบ่งชี้ของถ้อยคำ(อัลกุรอาน)และพวกเขาทำให้ความหมายที่ถูกบ่งชี้นั้น เข้าใจได้ในด้านของการเทียบเคียงและหลักวิเคราะห์พิจารณา ดังนั้นสภาพของพวกเขาก็คือสภาพของนักปราชญ์ฟิกห์ที่รู้เกี่ยวกับหลักการเทียบเคียง(กิยาส)และการวิเคราะห์พิจารณา และดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเมื่อมีการเทียบเคียงที่ถูกต้องโดยไม่เสื่อมเสียและเป็นการวิเคราะห์พิจารณาที่เที่ยงตรงไม่เบี่ยงเบน” มัจญฺมูอฺ อัลฟะตาวา, เล่ม 2, หน้า 28.
ซึ่งการตัฟซีรอิชารีย์ดังกล่าวนี้ ท่านอิบนุตัยมียะฮ์เองนำมาใช้ เช่น คำตรัสของอัลลอฮฺตะอาลาที่ว่า “จะไม่สัมผัสมัน(คือเล่มอัลกุรอาน เป็นต้น) นอกจากผู้ที่สะอาด” แล้วท่านอิบนุตัยมียะฮ์ได้อธิบายอายะฮ์นี้แบบอิชารีย์และเทียบเคียงว่า “บรรดาความหมายของอัลกุรอานนั้น จะไม่สามารถลิ้มรสมันได้หรอกนอกจากผู้ที่มีหัวใจสะอาด” ดู อิบนุตัยมียะฮ์, มัจญฺมูอฺ อัลฟะตาวา, เล่ม 13, หน้า 242.
ผมจึงอยากถามผู้เป็นปรปักษ์กับวะลียุลลอฮ์ในเชิงพฤติกรรม ว่า มีสะลัฟท่านใดบ้างที่อธิบายอัลกุรอานแบบท่านอิบนุตัยมียะฮ์นี้และการอธิบายอัลกุรอานนั้นถูกจำกัดและแช่แข็งเพียงแค่การอธิบายแบบสะลัฟเท่านั้นใช่หรือไม่? และการอธิบายอัลกุรอานเชิงวิทยาศาสตร์และเชิงการเมือง เป็นบิดอะฮ์ลุ่มหลงหรือไม่เพราะไม่มีในยุคสะลัฟ?
ดังนั้นผู้เป็นปรปักษ์จงเข้าใจและเลิกให้ร้ายกับวะลียุลลอฮ์ อะบุลอับบาส อัลมุรซีย์ ได้แล้วครับ
วัลลอฮุอะลัม