ยุทธจักรท้าฟัน
โดย อัล อัค
ไม่กี่ปีก่อนผมผ่านไปในงานบรรยายแห่งหนึ่ง พอดีมีคนถามอาจารย์บนเวทีเรื่องดูเดือนเข้าบวช นักบรรยายธรรมท่านนั้นก็ประกาศชัดเจนว่า ?โต๊ะครูคนไหน ว่าให้ตามเดือนท้องถิ่น นัดเจอกับผมได้ ถ้าน็อคไม่ได้ใน 10 นาที จะเลิกสอนศาสนา? ฟังจบพวกผมก็ค่อย ๆ ขยับขยายตัวเองออกจากงานแห่งนั้นไปท่ามกลางเสียงตบมือของกองเชียร์นับร้อยคน...
ทุกวันนี้ผมยังได้ยินเสียงท้าดวลนั้นก้องอยู่ในหูเลย นี่มันถึงขั้นจะ ?น็อค? กันเลยหรือ?
นี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าคนที่เอาศาสนา ?ชอบ? โต้เถียงกัน หรือปะทะคารมโดยนำวิชาการที่ตนเองรู้มาเป็นอาวุธ ผมไม่ได้บอกว่า การโต้แย้งกับสิ่งที่เป็นเท็จและบิดเบือนไป จะกระทำไม่ได้ แต่การโต้แย้งสิ่งเหล่านี้ต้องผ่าน ?หิกมะฮฺ?(วิทยปัญญา) ซึ่งหมายถึงแบบอย่างท่านนบีฯและท่าทีที่สุภาพ แต่ที่ผมพบแต่ละฝ่ายส่งเสียงคำรามใส่กัน ยังกับว่าตัวเขาเองคือสัจธรรม(อัล-ฮักกฺ)ที่ใครจะละเมิดมิได้
การโต้แย้งกันเพื่อค้นหาความจริงไม่ใช่เรื่องเสียหาย บ่อยครั้งเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำ ยิ่งเป็นประเด็นที่เป็นเรื่องเป็นเรื่องตายเพื่อหาความถูกต้อง ก็ไม่น่าจะถูกตำหนิ แต่หลาย ๆ ครั้ง เป็นเรื่องไม่ค่อยเป็นเรื่อง และมักปะปนด้วยการท้าทาย ท้าดวลกันเสมอ ตกลงว่าเรื่องศาสนานี่มันเป็นเรื่องแบบไหนกัน !!!
ประสบการณ์พวกนี้ ผมได้พบเจออยู่เสมอ ผมจำได้ว่าสมัยสักสิบกว่าปีก่อน ผมก็ทุ่มเถียงกับคนหลายกลุ่มหลายแนวมาก บางทีผมเถียงไม่ลดละกับคนที่พูดจาไม่ดีต่ออุละมาอ์ที่ผมเคารพรัก เรียกว่าใครจุดเรื่องนี้ขึ้นมา ผมพร้อมจะลุย บางทีก็เปิดศึกเถียงเป็นครึ่งค่อนวันกับมุสลิมะฮฺสายเหยี่ยว จนสุดท้ายผมต้องตามขอมาอัฟกันแทบแย่ รวมไปถึงกลุ่มแหวกแนวอีก 3-4 กลุ่ม ที่เถียงจบแล้วแทบไม่ต้องมองหน้ากันเลย
ยิ่งกับคนมิใช่มุสลิมไม่ต้องพูดถึง เคยไล่ขยี้แบบนิ่ม ๆ เพื่อให้ยอมจำนวนต่อสัจธรรมมามากต่อมาก แม้แต่เป็นอาจารย์สอนอยู่หน้าห้องเรียนก็เถอะ ...
แต่เวลาผ่านไป ผมรู้สึกไม่ค่อยดีที่ทำอย่างนั้น สิบปีที่ผ่านมานี้จึงว่างเว้นจากการโต้เถียงเกือบสิ้นเชิง จนแทบจะเถียงใครไม่เป็น แต่ก็มีคนท้าทายเรื่อย ๆ เคยมีบางกลุ่มเปิดฉากเล่นงานผมในมัสญิดอย่างไม่รักษามารยาท ผมต้องตอบโต้ด้วยการนั่งและจบด้วยการลงนอน โดยไม่หลุดปากโต้แย้งแม้แต่คำเดียว พูดไปแล้วกลัวเก็บอาการไม่อยู่ ?
ที่ผมยุติบทบาทเช่นนั้น เพราะผมคิดว่า ศาสนาไม่ใช่เรื่องการท้าดวลกัน เราไม่ใช่พวกเคาบอยตะวันตกในหนังฮอลลีวู๊ด หรือประเภทหนังจีนกำลังภายในที่ช่วงชิงการเป็นสุดยอดในยุทธจักร กลุ่มหรือญามาอะฮฺต่างๆที่พวกเราสังกัดกันอยู่นั้น มีไว้เพื่อรับใช้งานดะอฺวะฮฺ เพื่อรับใช้อัลลอฮฺ มิใช่สำนักเส้าหลิน ง้อไบ๊ หรือบู๊ตึ้ง ที่ต้องจัดงานชุมนุมชาวยุทธ์ เพื่อประลองหาผู้นำยุทธจักรกัน
พี่น้องหลายคนปรับทุกข์กับผมคล้าย ๆ อย่างนี้ คือเราตั้งคำถามว่า เราเรียนศาสนากันเพื่ออะไร เราเรียนศาสนาเอาไว้เถียงกัน เอาไว้ชนะกันเท่านั้นหรือ? ชีวิตของคนที่อยู่ในวงการกิจกรรมหลาย ๆ คนจึงเริ่มเบื่อยุทธจักรการท้าดวล หน่ายกับการท้าทายและการขึ้นเวทีเพื่อประลอง
สิ่งที่ผมเกรงว่ามันเริ่มจะเกิดตามมาก็คือ ความเบื่อหน่ายนี้กำลังผลักดันให้จอมยุทธ์บางคนกลายเป็นพวกปลีกวิเวก มีชีวิตอยู่ลำพัง สละยุทธจักร ยิ่งบางคนได้กลายเป็นพวกจอมยุทธ์เย้ยยุทธจักร วัน ๆ ไม่ทำอะไรมาก เอาแต่เหน็บแนมผู้คนในยุทธจักร ประเภทชอบตั้งคำถามเย้ยหยันว่า เถียงกันทำไมปัญหากระดิกนิ้ว ไม่ดูบ้างสังคมมุสลิมอยู่นิ่งแทบจะกระดิกอะไรไม่ได้แล้ว? เอาชนะกันแต่เรื่องศิฟัต(คุณลักษณะ)อัลลอฮฺ ทำยังกับว่าเคยไปเห็นอัลลอฮฺมาแล้ว? ทะเลาะกันเรื่องว่าสงครามระหว่างท่านอลีกับท่านมุอาวียะฮฺ ว่าใครผิดใครถูก อยากทราบว่าพวกที่ทะเลาะมีใครอยู่ในเหตุการณ์หรือป่าว? และอื่น ๆ อีกสารพัด
แม้ผมจะเบื่อหน่ายการประลอง แต่ผมไม่ใช่พวกจอมยุทธเย้ยยุทธจักร อย่างที่บางคนเข้าใจ การคัดค้านผมต่อการโต้แย้งกันในประเด็นศาสนาในบางครั้งนั้น คือการไม่เห็นด้วยกับวิธีการในการโต้แย้ง มิใช่การปฏิเสธการโต้แย้งโดยสิ้นเชิง หลายเรื่องผมคิดว่าต้องโต้แย้งด้วยซ้ำ แต่เราน่าจะเลือกวิธีการที่ก่อให้เกิดปัญหาน้อยและมีประสิทธิภาพมาก และบางเรื่องการนิ่งคือการโต้แย้งที่ดีที่สุด นี่คือความจำเป็นต้องศึกษาและปรึกษาหารือร่วมกันในการโต้ตอบสิ่งที่เป็นเท็จหรือประเด็นศาสนาที่ถูกบิดเบือนไป
พวกคลั่งการประลอง กับพวกจอมยุทธเย้ยยุทธจักร ก็เป็นความสุดโต่งกันคนละแบบ มิใช่ว่าผมจะจงเกลียดจงชังคนสองกลุ่มนี้ จริง ๆ ผมค่อนข้างนับถือพวกชอบประลอง เพราะสามารถมองเห็นได้ว่าบางคนมีความจริงจังจริงใจต่อการปกป้องสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นสัจธรรมอย่างแรงกล้าท่ามกลางสังคมที่คนเฮไหนเฮนั้น ไม่ได้สนใจว่าสัจธรรมคืออะไร? อะไรคือถูกผิด? อะไรคือมาตรฐานของชีวิต?
ขณะเดียวกันผมก็เห็นใจพวกจอมยุทธเย้ยยุทธจักรเป็นอย่างยิ่ง เข้าใจถึงความเบื่อหน่ายของพวกเขาที่มีต่อสนามประลองจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในโลกความเป็นจริง ปล่อยให้สังคมส่วนใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนที่ทุกข์ยากลำเค็ญ ปล่อยให้เด็กกำพร้าและแม่หม้ายถูกลอยแพ ...
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าสนามการทำงานอิสลามจะต้องมีคนสองขั้วนี้ให้น้อยที่สุด เราจะต้องฝึกปรือจอมยุทธ์ที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถสูงพร้อม ๆ กับความสุภาพและถ่อมตน เน้นสำนึกความรับผิดชอบและอารมณ์ที่มั่นคง ไม่ใช่คนบ้าบิ่นที่กล้าเผชิญหน้ากับทุกคนที่ไม่เห็นด้วย ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก โดยไม่รู้จักแยกแยะระดับของปัญหา แต่ก็ไม่ใช่ประเภทขี้ประชด หนีสนามไปอยู่ลำพัง และนั่งร้องเพลงเย้ยยุทธจักรอยู่ที่ร้านชา
เราไม่ต้องกลัวว่า สัจธรรมจะไม่ดำรงอยู่ถ้าเราไม่ไปออกไปดวล สัจธรรมนั้นอัลลอฮฺพิทักษ์ไว้อย่างแน่นอน โดยผ่านกระบวนการของกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ผ่านการจัดการและการวางขั้นตอนที่ถูกต้องของพวกเขา คำถามก็คือเราได้ทำตัวให้มีคุณสมบัติของกลุ่มชนนั้นแล้วหรือยัง?
ผมบอกตรง ๆ ว่า สภาพที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็แย่มากอยู่แล้ว จนผมไม่อยากเห็นวันแดงเดือด หรือวันเลือดฉาน หรือการนัดประลองกันท่ามกลางฝูงชน โดยขณะที่เดินขึ้นเวทีมีสานุศิษย์ตะโกนตามหลังอาจารย์ขึ้นมาว่า ?น็อคให้คาเวทีเลยจารย์!!! ?
คัดลอกมาจาก
http://www.fityah.com