หายนะของ "ความทะนงตน"
เขียนโดย ชารีฟา คารโล
สตรีมุสลิมะฮฺกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในมัสยิดพวกเธอเหล่านั้นมีความงดงามตามแบบฉบับของสตรีมุสลิม การแต่งกายของพวกเธอแลดูเรียบร้อยพวกเธอต่างปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดด้วยญิลบาบ หรืออะบายะฮฺ และบางคนในหมู่พวกเธอนั้นปิดหน้าสวมถุงมือ พวกเธอถือเป็นภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบแห่งอิสลามและเมื่อยามที่พวกเธอทำการละหมาด พวกเธอต่างทำด้วยความอ่อนน้อมและสวยงาม อีกทั้งพวกเธอยังอ่านอัลกุรอานด้วยความไพเราะ
ขณะที่พวกเธอกำลังจะเดินทางกลับจากมัสยิดหนึ่งในหมู่พวกเธอได้มองเห็นสตรีนางหนึ่งที่กำลังทำการละหมาดอยู่ในมัสยิดและเธอก็คิดในใจว่า "ไม่สมควรที่ใครจะเรียกผู้หญิงคนนี้ว่า"มุสลิม" เลย เพราะเธอไม่เคยแม้แต่จะสวมใส่ฮิญาบเว้นแต่เวลาที่เธอมามัสยิดเท่านั้น"
"เธอ" ที่คิดเช่นนั้นกำลังทำร้ายตัวเธอเอง --แน่นอนว่า อิสลามคือการแสดงออกด้วยภาพลักษณ์ภายนอก และนี่ถือเป็นเหตุผลและเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากในศาสนาอิสลามหากแต่ว่า "จิตใจ" "พฤติกรรม" รวมทั้ง "จิตวิญญาณ" ก็เป็นส่วนที่สำคัญเช่นกัน -- "เธอ"อาจมิได้ทำการนินทาหรือใส่ร้ายสตรีที่ไม่ได้คลุมหิญาบนั้นด้วยเพราะว่าเธอไม่ได้กล่าวอะไรออกมาทางวาจาหากแต่ว่าเธอได้กระทำบางอย่างที่มีความร้ายแรงและเลวร้ายยิ่งกว่านั้น นั่นคือ "ความหลงตัวเอง และความทะนงตน" ที่เกิดกับตัวเธอเธอยอมให้การกระทำเช่นนั้นเกิดขึ้นกับเธอเพื่อที่ว่ามันจะทำให้เธอรู้สึกว่าเธอนั้นมีความเหนือกว่าดีกว่า และมีความปลอดภัย (จากไฟนรก) มากกว่า หากแต่ว่าไม่มีใครสามารถรับรองสิ่งเหล่านี้ให้กับเธอได้เลย -- เราทุกคนต่างทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อสร้างความพอใจต่ออัลลอฮฺตะอาลาแต่เราก็ต้องพึ่งพาและหวังในความเมตตาของพระองค์เช่นกันอีกทั้งเราไม่สามารถที่จะตัดสินได้ว่าใครจะได้รับความปลอดภัยจากไฟนรก เราไม่สามารถรู้ได้ว่าอัลลอฮฺประสงค์สิ่งใด
เช่นนั้นแล้ว..การดูถูกเหยียดหยาม"ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกันกับเรา" ถือว่าเป็น "ความหลงตัวเอง"และเราจำต้องหลีกเลี่ยงจากการกระทำเช่นนี้
รายงานโดยท่านอับดุลลอฮฺอิบนุ มัสอูด ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ซล) ให้ความเห็นว่า, ผู้ใดที่หัวใจของเขานั้นมี"ความทะนงตน" เท่ากับเมล็ดมัสตาด จะไม่ได้เข้าสู่สวนสวรรค์ ดังนั้นบุคคลหนึ่ง (ที่อยู่บริเวณนั้น) ได้กล่าวขึ้นมาว่า, แท้จริงแล้วผู้ที่รักในเสื้อผ้าของเขาก็ไม่น่าจะถือว่าเป็นผู้ทะนงตนและผู้ที่รักรองเท้าของเขาก็ไม่น่าจะถือว่าเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ท่านนบีจึงกล่าวต่อว่า"แท้จริงแล้วอัลลอฮฺนั้นมีความงดงาม และพระองค์ทรงรักความงดงาม หากแต่ "ความทะนงตน" นั้นคือการปฏิเสธความจริงรวมถึงการสบประมาทผู้อื่น (ศอเฮี้ยะฮฺ มุสลิมเล่มที่ 1 ลำดับที่ 0164)
ในหมู่ศอฮาบะฮฺบางคนนั้นเคยมีความกลัวอย่างมากว่าพวกเขานั้นจะทำความดีไม่มากพอ -- บางครั้งพวกเขาก็เป็นลมล้มพับไป ในขณะที่พวกเขาทำการละหมาดยามค่ำคืนและในวันเวลาที่ถือศีลอดอุทิศตนต่ออัลลอฮฺ ด้วยเพราะว่าพวกเขานั้นมีความกลัวต่ออัลลอฮฺ
แล้ว "เรา" เป็นใครกันเหล่า ถึงเชื่อว่าชีวิตเรานั้นได้รับการรับรอง!!
ฮะดีษก่อนหน้านี้ท่านรอซูลลุลลอฮฺได้ตักเตือนเราอย่างชัดแจ้งว่าเรานั้นไม่มีสิทธิที่จะดูถูกดูหมิ่นกัน ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็ตามแม้ว่าในความเป็นจริงพวกเขาจะเป็นคนบาป เราก็ไม่มีสิทธิที่จะตัดสินใครลองดูตัวอย่างของบุรุษท่านหนึ่งที่ได้รับการลงโทษบุรุษท่านนี้ได้สารภาพความผิดและถูกขว้างด้วยก้อนหินจนสิ้นชีวิต
"....ขณะนั้นท่านศาสนทูตได้ยินศอฮาบะฮฺท่านหนึ่งกำลังพูดคุยกับบุคคลคนหนึ่งว่า "ดูชายคนนี้สิ ความผิดของเขาได้รับการปกปิดโดยอัลลอฮฺ แต่ใครเหล่าจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยเหตุนี้ เขาถึงถูกขว้างด้วยก้อนหินเหมือนกับสุนัขตัวหนึ่ง" (เมื่อได้ยินเช่นนั้น) ท่านนบีมิได้กล่าวสิ่งใดต่อพวกเขาท่านเดินต่อไป จนกระทั่งท่านได้เดินมาถึงตรงที่มี ซากศพของลาและขาของมันชี้ขึ้นฟ้าท่านจึงกล่าวขึ้นว่า "ท่านพวกนั้นอยู่ที่ใด" พวกเขากล่าวขึ้นว่า "พวกเราอยู่ที่นี่แล้วท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะศัลลัม) ท่านจึงกล่าวว่า "ก้มลงไปและกินซากศพของลาตัวนี้สิ" พวกเขาตอบว่า "โอ้ท่านศาสนทูต ใครจะไปกินสิ่งนี้ได้เหล่า" ท่านตอบว่า "ความอัปยศที่ท่านเพิ่งจะแสดงแก่พี่น้องของท่านนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าการกินบางส่วนของซากศพนี้เสียอีก" ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของมูฮัมมัด อยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์พระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางแม่น้ำหลายสายบนสวนสวรรค์และกระโดดลงไปในน้ำนั้น (สุนัน อาบูดาวูด เล่มที่ 38ลำดับที่ 4414)
ดูจากตัวอย่างนี้บุรุษท่านนั้นได้กระทำบาปใหญ่ และเขาได้สารภาพผิด อีกทั้งการสำนึกผิดของเขานั้นมีความบริสุทธิ์จริงใจเราจึงไม่ควรทำการตัดสินผู้อื่น หากพบว่าเขาได้กระทำบาปเพราะการตัดสินนั้นเป็นอำนาจของอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว -- "มนุษย์เช่นเรานั้น"สามารถทำการลงโทษต่อเขาตามที่อัลลอฮฺกำหนดไว้เท่านั้น และการที่เขาจะได้รับการอภัยโทษหรือไม่ถือเป็นอำนาจหน้าที่ของอัลลอฮฺแต่เพียงพระองค์เดียวที่จะตัดสิน-- เราไม่มีสิทธิที่จะตัดสินผู้อื่น และเราไม่อาจรับรู้ได้ถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา-- หากแต่เราสามารถที่จะพูดคุยกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักการที่ศาสนากำหนดเช่นการสวมฮิญาบ การไว้เครา หรือการหลีกเลี่ยงการฟังเพลง ดนตรี หรือเรื่องอื่นๆ --
ทั้งนี้เราไม่ควรที่จะเชื่อว่า"เรานั้นดีกว่าพี่น้องของเรา" ด้วยเพราะว่าเราไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์ใด หรือเขามีอะไรอยู่ในใจหรือแม้แต่โชคชะตาของเขานั้นจะเป็นอย่างไร เพราะนี่เป็นอำนาจของอัลลอฮฺ
ลองดูจากตัวอย่างของโสเภณีนางหนึ่งหากเราพบเห็นเธอบนท้องถนน เราจะมีความคิดต่อเธอเช่นไร? แต่แม้ว่าเธอจะเป็นโสเภณีเธอก็ได้รับสวนสวรรค์เป็นรางวัลสำหรับการกระทำดีเพียงเล็กน้อยของเธอ
รายงานโดย ท่านอบู ฮูรอยเราะฮฺ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺกล่าวว่า "โสเภณีนางหนึ่งได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮฺด้วยเพราะว่า เธอเดินผ่านสุนัขตัวหนึ่งที่กำลังหายใจหอบและใกล้จะตายเนื่องจากความกระหายน้ำจากนั้นนางจึงถอดรองเท้าของนางและผูกมันไว้กับผ้าคลุมหัวของนางและเธอได้ตักน้ำด้วยรองเท้านั้นให้แก่มัน ด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺจึงทรงให้การอภัยโทษต่อบาปของนาง" (ศอเฮี้ยะ บุคอรีย์ บทที่ 4 เล่มที่ 54 ลำดับที่ 538)
เราคงไม่มีทางที่จะรู้สึกเป็นสุขได้เพราะบาปของเธอหากแต่เราต้องสอน ตักเตือนเธอ หรือลงโทษเธอ (ตามหลักการที่อัลลอฮฺกำหนด) เราไม่ควรที่จะต่อว่าเธอหรือแน่ใจว่าเรานั้นดีกว่าเธอหลายเท่า -- อีกทั้งเราควรที่จะใช้เวลาทำความรู้จักเป็นเพื่อนกับผู้ที่เราพบว่าเขากำลังยุ่งเกี่ยวกับบาป (หากว่าเราสามารถทำได้) --บางทีคนเหล่านั้นอาจจะขาดซึ่งความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักการศาสนาเราจึงควรพยายามที่จะสอนพวกเขาเพราะบางทีเราอาจจะได้บางสิ่งบางอย่างจากความพยายามนี้และอาจจะเป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความดีงามแก่เรา
ฉัน (ผู้เขียน)ขอเพิ่มเติมบางอย่างที่ฉันได้ประสบ ฉันค่อนข้างที่จะแปลกใจอย่างมากเมื่อพบว่าพี่น้องมุสลิมนั้นดูถูกผู้อื่นด้วยสาเหตุของ"ชนชั้น" "เชื้อชาติ"หรือด้วยเพราะว่าเขาเหล่านั้นมีฐานะที่ยากจนหรือแม้แต่ด้วยสาเหตุที่ว่าพวกเขานั้นมีฐานะร่ำรวย -- ฉันได้พบเจอสตรีมุสลิมะฮฺอาหรับที่ดูถูกและสบประมาทสตรีชาวอเมริกันที่เพิ่งเข้ารับอิสลามด้วยเหตุเพราะว่าพวกเธอไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ก่อนที่จะเข้ารับอิสลามแต่กระนั้นสตรีเหล่านี้ต่างมีความศรัทธาที่เข้มแข็ง มากกว่าบรรดาสตรีอาหรับที่สบประมาทพวกเธอเสียอีก นอกจากกรณีนี้ ฉันยังได้พบกับชาวปากีสถานบางคนที่ดูถูกมุสลิม..ด้วยเพราะชายผู้นั้นเป็นคนดำหากแต่เขาเป็นผู้ที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺมากกว่าชาวปากีสถานที่ดูถูกเขาเสียอีก -- อีกทั้ง ฉันได้พบเห็นมุสลิมชาวอเมริกันที่ด่าทอชาวอาหรับและชาวปากีสถานที่มีฐานะร่ำรวยอย่างเสียหายด้วยเพราะว่าพวกเขาไม่เคยเห็นคนร่ำรวยเหล่านั้นทำการบริจาคต่อผู้ยากไร้แต่กระนั้นไม่มีใครที่จะรู้ได้ว่าพวกคนรวยเหล่านั้นได้กระทำความดีอันใดที่ปกปิดเป็นความลับบ้าง ด้วยเหตุนี้ เราจึงจำเป็นต้องหยุดการเป็นผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ที่ดีอยู่คนเดียว-- "เรา" ในฐานะ "มุสลิม" ต่างหาหนทางที่จะทำให้เราหันห่างออกจากกันทั้งๆ ที่เราควรจะหาหนทางที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
"....และพวกจงช่วยเหลือกันในสิ่งที่เป็นคุณธรรมและความยำเกรง และจงอย่าช่วยกันในสิ่งที่เป็นบาปและเป็นศัตรูกันและพึงกลัวเกรงอัลลอฮฺเถิดแท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ" 5:2
เมื่อเราหยาบคายต่อกันดูถูกซึ่งกันและกัน นั่นอาจหมายถึงการที่เรากำลังผลักดันความอ่อนแอของเราให้เข้าสู่การกระทำบาปมากขึ้น ลองตระหนักถึงสิ่งนี้ให้ดี-- เราจะยอมรับคำแนะนำตักเตือนจากผู้ที่สบประมาท หรือด่าทอเราหรือไม่?แน่นอนว่า "ไม่"-- ด้วยเหตุนี้ เราต่างต้องรู้สึกเคารพและมีความชอบในตัวของผู้ที่เราจะรับคำแนะนำตักเตือนจากเขาใช่หรือไม่ ดังนั้นไม่ว่าการกระทำของมุสลิมคนหนึ่งคนใดจะดูเลวร้ายสำหรับเราเราจำต้องลบความคิดที่ว่า "เรานั้นมีดีกว่าเขาและมีสิทธิ์ที่จะด่าทอ ต่อว่าหรือแม้แต่ดูถูกเขา" ลองดูตัวอย่างของท่านศาสนทูตผู้มีความเมตตาของเรา
รายงานโดยท่านอนัสบิน มาลิก "ชาวเบดูอินผู้หนึ่งได้เข้ามาในมัสยิดและได้ปัสสาวะตรงมุมหนึ่งของมัสยิดผู้คนต่างตะโกนต่อว่าเขา แต่ท่านนบีได้ห้ามปรามพวกเขาและรอจนกระทั่งชาวเบดูอินผู้นั้นปัสสาวะจนเสร็จจากนั้นท่านนบีได้สั่งให้พวกเขาสาดน้ำชำระล้างบริเวณดังกล่าว และพวกเขาก็ทำตามคำสั่ง" ศอเฮี้ยะ บุคอรี บทที่ 1 เล่มที่ 4 ลำดับที่ 221)
การที่บรรดามุสลิมตะโกนต่อว่าชาวเบดูอินเช่นนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ผิด ในขณะที่ท่านศาสนทูต ผู้มีความเมตตา และความเฉลียวฉลาดทราบดีว่าการกระทำของพวกเขานั้นไม่ใช่วิธีการที่ดีที่จะสามารถอบรมสั่งสอนชายผู้นั้นได้
อดีตอาจารย์คนหนึ่งของฉัน(ผู้เขียน) ท่าน ฆัสสัน อัล บารอกอวี (Ghassan Al Baraqawi) เคยบอกกับฉันว่า"การสอน ไม่ใช่การเทศนาต่อผู้คนเหมือนกับการอธิบาย และไม่ใช่การตรวจสอบเปรียบเทียบ"นี่เป็นคำคมยิ่งนัก ดังนั้น เราจำต้องตระหนักให้ดีเกี่ยวกับสิ่งที่เราคิดและพูดตามนั้นเพื่อที่เราจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ไม่ใช่การทำร้ายกัน
ไม่มีใครในหมู่พวกเราที่จะเป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุดและไม่มีใครในหมู่พวกเราที่จะสามารถรับรองได้ว่า "เขา"หรือ "เธอ" จะได้เข้าสู่ญันนะฮฺปราศจากบททดสอบหรือการลงโทษเราจะต้องไม่ช่วงชิงบทบาทอำนาจหน้าที่ของอัลลอฮฺด้วยการตัดสินกันและกัน
ความทะนงตนเป็นสิ่งที่อันตราย เราต้องหลีกเลี่ยงความรู้สึกทะนงตน หลงตัวเอง แม้แต่ความรู้สึกดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับศาสนาก็ตามดูตัวอย่างความรอบคอบ ระมัดระวังของท่านรอซูล ลุลลอฮฺ
รายงานโดยท่านอับดุลลอฮฺบิน อุมัร ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺกล่าวว่า "ในวันแห่งการตัดสิน อัลลอฮฺจะไม่มองผู้ที่ดึงเชือก(ไว้ข้างหลัง) ด้วยความความทะนงตน" ท่านอบูบักรกล่าวว่า "เชือกของฉันข้างหนึ่งหย่อนลงเว้นเสียแต่ว่าฉันจะระมัดระวังมันอย่างดี"ท่านนบีจึงกล่าวว่า "แต่ท่านไม่ได้กระทำเช่นนั้นด้วยความทะนงตน" (ศอเฮี้ยะบุคอรี บทที่ 5 เล่มที่ 57 ลำดับที่ 17)
ความทะนงตนและความหลงตัวเองเป็นเครื่องมือของชัยตอนเมื่อมันได้รับพระบัญชาให้ก้มคำนับต่ออดัมและมันได้ตอบปฏิเสธที่จะไม่ทำตามอัลลอฮฺทรงตรัสว่า
และเราได้กล่าวแก่มลาอิกะฮ์ว่า"จงคำนับอาดัม" มลาอิกะฮ์ทั้งหมดได้คำนับนอกจากอิบลีสที่ปฏิเสธไม่ยอมทำ มันยโสโอหังและเป็นผู้ปฏิเสธ 2:34
หากท่านพบว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับท่านจงตระหนักให้ดีถึงการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยตัวเอง ดูจากตัวอย่างของชัยตอนและการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตัวมันเองเมื่ออัลลอฮฺทรงสอบถามมันเกี่ยวกับเหตุผลที่มันปฏิเสธการคำนับต่ออดัม
อะไรที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสูญูดขณะที่ข้าได้ใช้เจ้า มันกล่าวว่า ข้าพระองค์ดีกว่าเขาโดยที่พระองค์ทรงบังเกิดข้าพระองค์จากไฟ และได้บังเกิดเขาจากดิน พระองค์ตรัสว่าจงลงจากสวนนั้นไปเสีย ไม่สมควรแก่เจ้าที่จะทำโอหังในนั้นจงออกไปให้พ้นแท้จริงเจ้านั้นอยู่ในหมู่ผู้ต่ำต้อย 7:12-13
เราอย่ายอมให้ตัวเรานั้นตกอยู่ในกับดักอันชั่วร้ายของชัยตอนนี้เราอย่าปล่อยให้ตัวเราเองคิดว่า "เราดีกว่า"ด้วยเพราะว่าบาปของการมีความทะนงตนนั้นเป็นบาปที่หนักยิ่ง อัลลอฮฺตรัสว่า
และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่าจงเกรงกลัว (การลงโทษของ) อัลลอฮฺ ความผยองก็เกาะกุมเขาและชักนำให้เขาทำบาปสำหรับคนพวกนี้ นรกคือที่ ๆ เหมาะสมสำหรับพวกเขา และมันเป็นที่พำนักอันแสนชั่วร้าย2:206
เช่นนั้นแล้วพี่น้องมุสลิมทั้งหลาย หากท่านพบว่าใครคนใดคนหนึ่งกำลังทำสิ่งที่ผิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกหรือการกระทำใดๆ ก็ตาม จงตระหนักให้ดีก่อนที่ท่านจะมีความคิดที่ว่า "ท่านนั้นดีกว่า(พวกเขา)"
และหากท่านสามารถทำได้ ก็ให้เดินเข้าไปหาผู้ที่กระทำความผิดผู้นั้นด้วยความอ่อนโยนและด้วยอัธยาศัยที่ดีอย่าคิดถึงสิ่งที่เลวร้ายกับเขา ให้นึกถึงข้ออ้างสัก 70 ข้ออ้างถึงสาเหตุของการกระทำผิดของเขาและพยายามให้ความช่วยเหลือแก่เขา ทำให้เขามีความเข้าใจถึงความเลวร้ายของการกระทำดังกล่าวและอย่าคาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลงจากเขา เพียงให้คำแนะนำตักเตือนและมอบหมายต่ออัลลอฮฺ ทั้งนี้ เขาอาจจะมีความขุ่นเคืองและพยายามที่จะหาเรื่องทะเลาะกับท่านหากเป็นเช่นนั้นท่านก็อย่าตกลงไปในกับดักของชัยตอน แต่จงให้หลักฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺที่น่าเชื่อถือแก่เขาเพียงเท่านั้นถึงตอนนั้นก็ให้เป็นการตัดสินใจของเขาที่จะ "ยอมรับ"หรือ "ปฏิเสธ" คำตักเตือนของท่าน และถือว่าท่านได้ทำหน้าที่ของท่านเรียบร้อยแล้ว-- แต่ท่านก็อย่าปล่อยให้เขาคิดว่าท่านนั้นดีกว่าเขา
อีกทั้งหากท่านได้พบเห็นใครคนใดคนหนึ่งที่มาจากพื้นฐานหรือวัฒนธรรมที่ต่างกันจากท่าน ก็จงอย่าตัดสินพวกเขาโดยใช้ความเชื่อส่วนตัวของท่านเป็นมาตรฐานการตัดสินเกี่ยวกับกลุ่มคนกลุ่มนั้นแต่ให้ดูเป็นรายบุคคล จงพูดคุยกับเขาเพราะอาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะให้คำแนะนำอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อตัวท่าน-- และขณะเดียวกัน ในการที่ท่านแต่งกายแสดงออกถึงความเป็น "อิสลาม"ได้ดีกว่าเขา ก็อาจเป็นไปได้ว่าเขานั้นมีมารยาทในแบบอิสลามที่ดีกว่าท่านก็เป็นได้ ขอให้ท่านอย่าคิดเอาเองว่า การที่ท่านนั้นดูเป็น "มุสลิม"มากกว่าจะทำให้ท่านเป็นมุสลิมที่ดีกว่า
ความทะนงตนและความยโสที่ท่านรู้สึกอาจจะเป็นตัวที่สร้างความหายนะแก่ท่าน
จงยำเกรงต่ออัลลอฮฺพี่น้องทั้งหลาย จงยำเกรงต่อพระองค์ และให้ความยุติธรรมแก่พี่น้องของท่านอย่างที่ฉัน(ผู้เขียน) ได้กล่าวบ่อยครั้งมาก่อนหน้าที่ว่า "ที่สุดของความชั่วร้ายและความเลวทรามในหมู่พวกเรานั้นดีกว่า ที่สุดของความดีงามของกาเฟรฺ"และมันเป็นหน้าที่ของเราที่จะให้คำแนะนำตักเตือนซึ่งกันและกันเพื่อที่จะดึงพวกเราออกจากความมืดมนและความโสมมแห่งบาปมาสู่แสงสว่างและความบริสุทธิ์แห่งการเชื่อฟังอัลลอฮฺตะอาลา
ยา อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงทำให้เรามีความรักต่อกัน
ยา อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงทำให้เราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ยา อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงปกป้องเราจากการทำร้ายกันและกัน
ยา อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงทำให้เราเป็นพี่น้องต่อกัน
ทรงทำให้เราเป็นดังหนึ่งร่างกายและหนึ่งจิตใจ อามีน
แหล่งที่แปล A Matter of Pride Writtenby Shariffa Carlo
www.idealmuslimah.comหากการแปลมีความผิดพลาดประการใดขออภัยมาณ ที่นี่
Bint Al Islam
25ตุลาคม 2551
"สูเจ้าจงอย่าท้อ สูเจ้าจงอย่าระทม สูเจ้าจะเหนือกว่า หากสูเจ้าศรัทธา" 3:139
And be not infirm, and be not grieving, and you shall have the upper hand if you are believers.
--
หมายเหตุ: หากต้องการ Forward เมลล์ต่อ กรุณาลบอีเมลของผู้รับก่อนหน้านั้น เพื่อไม่ให้ปรากฏในอีเมลของบุคคลที่สาม และกรุณาอย่าส่งต่อให้กับพี่น้องที่ท่านยังไม่ได้ขออนุญาตในการส่งเมลล์ให้
وَلاَ تَهِنُوا وَلاَ تَحْزَنُوا وَأَنتُمُ الأَعْلَوْنَ إِن كُنتُم مُّؤْمِنِينَ
"และพวกท่านจงอย่าท้อแท้ และจงอย่าเสียใจ
พวกท่านจะเป็นผู้ที่สูงส่ง หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา"
[อาลิอิมรอน 3:139]
รู้จักกลุ่มบะนาตุลฮุดาที่นี่>>>
www.banatulhuda.com รวบรวมตอบปัญหาหญิงหญิงและทั่วไป(ไฟล์เสียง) >>>://banatulhuda.blogspot.com/
สนใจร่วมสนับสนุนกิจกรรมกลุ่มผ่านบัญชี
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย สาขาคลองตัน
ชื่อบัญชี " นางสาวกฤษณา มงคลประเสริฐหรือนางสาวอุรุษา แทนขำ"
เลขที่บัญชี 001-1-05315-1
جزا كم الله خيرا พี่น้องทุกท่านที่ร่วมเพิ่มความดีบนตราชู^^