ผู้เขียน หัวข้อ: พระนามวิจิตรของอัลเลาะฮ์ทั้ง 99 (เชิงตะเซาวุฟ)  (อ่าน 4237 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

พระนาม اَلْعَزِيْزُ (อัลอะซีซฺ) “ผู้ทรงอำนาจ”

อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า

هُوَ اللَّهُ الَّذِي لَا إِلَهَ إِلَّا هُوَ الْمَلِكُ الْقُدُّوسُ السَّلَامُ الْمُؤْمِنُ الْمُهَيْمِنُ الْعَزِيْزُ

“พระองค์คือ อัลเลาะฮ์ ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกนอกจากพระองค์ ผู้ทรงอำนาจสูงสุด ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงความศานติสุข ผู้ทรงให้การคุ้มครอง(ให้พ้นจากความกลัว)  ผู้ทรงดูแล  ผู้ทรงอำนาจ” [อัลหัชร์: 23]

หมายถึง: อัลเลาะฮ์ผู้ทรงพลังอำนาจ  ทรงเกียรติยิ่ง  ทรงพิชิตอย่างเด็ดขาด  ไม่มีผู้ใดมาพิชิตพระองค์ได้เลย  พระองค์ทรงอำนาจและทรงเกียรติยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ความคิดจะไปสัมผัสถึงความสมบูรณ์และความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้   เพราะพระองค์ทรงไม่มีสิ่งใดมาเสมอเหมือน  

อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า

وَلَهُ الْكِبْرِيَاءُ فِي السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ وَهُوَ الْعَزِيزُ

“ความยิ่งใหญ่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและในแผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เท่านั้นและพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ...” [อัลญาซียะฮ์: 37]

พระองค์ทรงตรัสเช่นกันว่า

سُبْحَانَ رَبِّكَ رَبِّ الْعِزَّةِ عَمَّا يَصِفُونَ

“มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระเจ้าของเจ้าผู้เป็นพระเจ้าแห่งอำนาจยิ่งใหญ่(เกินกว่า)จากสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวอ้าง” [อัศศ็อฟฟาต: 180]  

ท่านอิหม่ามอัลฆ่อซาลีย์กล่าวว่า “ผู้ที่มีนามว่า อัลอะซีซฺ นั้น  คือผู้ที่จะมาเสมอเหมือนเขานั้นมีน้อยเหลือเกิน, ทุกสิ่งมีความต้องการอย่างยิ่งยวดต่อการพึ่งพาเขา, และมีความยากลำบากที่จะเอื้อมไปให้ถึง  ดังนั้นสิ่งใดที่ไม่มีคุณลักษณะทั้งสามนี้  ย่อมไม่ได้ชื่อว่า  อัลอะซีซฺ...”อะบูหามิด อัลฆ่อซะลีย์, อัลมักศ่อดุลอัสนา ชัรห์ อัสมาอิลลาฮิลหุสนา, หน้า 47. , และมุฮัมมัด บิน อุมัร ฟัครุดดีน อัรรอซีย์, ละวามิอุล บัยยินาต ชัรห์ อัสมาอิลลาฮิ วัสศิฟาต, หน้า 147. , และมุฮัมมัด บิน อะห์มัด อัลกุรฏุบีย์ , อัลอัสนา ฟี ชัรห์ อัสมาอิลลาฮิล อุสนา, ตะห์กีก: อัชชะห์หาต อะห์มัด อัฏเฏาะห์ฮาน (มันซูเราะฮ์, มักตะบะฮ์ ฟัยยาฎ, ตีพิมพ์ครั้งที่ 1, ฮ.ศ. 1427/ค.ศ. 2006), หน้า 240.

ดังนั้นอัลเลาะฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่มีคุณลักษณะทั้งสามดังกล่าว  เพราะพระองค์ไม่มีผู้ใดมาเสมอเหมือนเลย  ไม่ว่าจะเป็นซาต  การกระทำ  และซีฟาต(คุณลักษณะ)ของพระองค์  และแก่นแท้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องการพึ่งพาพระองค์ทั้งนั้น  ยิ่งกว่านั้นสติปัญญาและความนึกคิดของบ่าวก็ไม่สามารถล่วงรู้ไปถึงแก่นแท้ของพระองค์ได้หรอก  เพราะฉะนั้นอัลเลาะฮ์ตะอาลาเพียงองค์เดียวนั้นที่เหมาะสมยิ่งในพระนามที่ว่า “อัลอะซีซฺ”

การสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ด้วยพระนามนี้

•  ด้านความผูกพัน(اَلتَّعَلُّقُ): ผู้ที่ผูกพันอยู่กับพระนามนี้นั้น  หัวใจของเขาจะยอมสยบต่ออำนาจความยิ่งใหญ่ของอัลเลาะฮ์  มีความรู้สึกเกรงขาม  และให้ความสำคัญกับพระองค์  ดังนั้นเมื่อเขาให้ความสำคัญต่ออัลเลาะฮ์อย่างแท้จริง  หัวใจก็จะระลึกถึงพระองค์อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เกียรติและให้ความสำคัญต่อพระองค์อย่างแท้จริง

ฉะนั้นถ้าหากเขามีความนอบน้อมและยอมสยบต่ออำนาจของอัลเลาะฮ์  แน่นอน  พระองค์ก็จะทรงประทานเกียรติและอำนาจให้แก่เขา  อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

مَنْ كَانَ يُرِيدُ الْعِزَّةَ فَلِلَّهِ الْعِزَّةُ جَمِيعًا

“ผู้ใดที่ต้องการอำนาจ(เกียรติ)  ดังนั้นอำนาจ(เกียรติ)ทั้งมวลเป็นของอัลเลาะฮ์” [ฟาฏิร: 10]

หมายถึง  อำนาจและเกียรติทั้งหมดในทั้งดุนยาและอาคิเราะฮ์ล้วนแต่เป็นของอัลเลาะฮ์
ตะอาลาทั้งสิ้น   ดังนั้นท่านก็จะแสวงหาเกียรติจากอัลเลาะฮ์ด้วยด้วยการปฏิบัติความดีงาม  มีความตักวา  มีความรู้

ท่านร่อบีอะฮ์ บิน กะอับ อัลอัสละมีย์  ได้กล่าวว่า

كُنْتُ أَبِيتُ مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَأَتَيْتُهُ بِوَضُوئِهِ وَحَاجَتِهِ فَقَالَ لِي سَلْ فَقُلْتُ أَسْأَلُكَ مُرَافَقَتَكَ فِي الْجَنَّةِ قَالَ أَوْ غَيْرَ ذَلِكَ قُلْتُ هُوَ ذَاكَ قَالَ فَأَعِنِّي عَلَى نَفْسِكَ بِكَثْرَةِ السُّجُودِ

“ฉันได้พักค้างคืนพร้อมกับท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  แล้วฉันก็ไปหาท่านร่อซูลุลเลาะฮ์พร้อมกับน้ำเพื่อทำวุฎุอฺและมีธุระเพื่อจะถามท่านร่อซูลุลเลาะฮ์  ดังนั้นท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวแก่ฉันว่า   ท่านจงถามมาซิ  ฉันจึงกล่าวว่า  ฉันขอร่วมติดตามท่านในสวรรค์  ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า  และมีอย่างอื่นจากนี้อีกไหม?  ฉันตอบว่า  คำถามของฉันมีอันนี้เท่านั้น  ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์จึงกล่าวว่า  ท่านจงช่วยฉันในการพัฒนาตัวของท่านเองด้วยการสุญูดให้มากๆ”รายงานโดยมุสลิม, อะบีดาวูด, อันนะซานีย์

การที่จะได้อยู่ร่วมกับท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมในสวรรค์นั้นเป็นเกียรติระดับสูง  ซึ่งไม่สามารถที่จะถึงมันได้นอกจากสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ในโลกดุนยาแห่งนี้ด้วยการสุญูดให้มากๆ  เพราะการสุญูดเป็นการแสดงต่ออัลเลาะฮ์ถึงความเป็นบ่าวที่ต่ำต้อย  แสดงถึงความนอบน้อมต่อพระองค์อย่างแท้จริง

ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า

مَا تَوَاضَعَ أَحَدٌ لِلَّهِ إِلَّا رَفَعَهُ اللَّهُ

“ไม่มีผู้ใดที่แสดงความนอบน้อมเพื่ออัลเลาะฮ์เว้นแต่อัลเลาะฮ์จะทรงยกเกียรติให้แก่เขา”รายงานโดยมุสลิม

ดังนั้นผู้ใดที่แสวงหาอำนาจและตำแหน่งเกียรติยศจากมนุษย์  แสดงผลงานเพื่อให้พวกเขายอมรับ  ใช้ทรัพย์สินเงินทองเป็นปัจจัยให้ได้มาซึ่งเกียรติยศตำแหน่งตามที่เขาต้องการ  แน่นอน  เขามีความตกต่ำ ณ ที่อัลเลาะฮ์ตะอาลา

•  ด้านการแสดงออก(اَلتَّخَلُّقُ): ผู้ที่ได้รับอิทธิพลจากพระนามนี้  อัลเลาะฮ์จะทรงประทานเกียรติให้เขาเป็นที่พึ่งพาของผู้คนทั้งหลายไม่ว่าในเรื่องของการดำเนินชีวิตในโลกดุนยาและโลกอาคิเราะฮ์  เกี่ยวกับการปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนให้ผู้คนทั้งหลาย  และคอยสอนชี้นำผู้คนให้มีความผูกพันกับอัลเลาะฮ์ตะอาลาและเป็นเหตุให้ได้รับความสุขในโลกอาคิเราะฮ์อันนิรันดร์  ซึ่งผู้ที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาให้เขาได้แสดงออกเช่นนี้  ถือว่ามีน้อยมาก  เพราะเป็นฐานันดรของบรรดานบี (อะลัยฮิมุสลาม),  บรรดาค่อลีฟะฮ์อัรรอชิดีน, และปวงปราชญ์ที่เป็นทายาทของนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ดังนั้นระดับขั้นของพวกเขาเหล่านั้นจะสูงแค่ใหน  ก็อยู่ที่ขนาดของความอุตสาหะอดทนในการสอนชี้นำผู้คนทั้งหลาย  เพราะฉะนั้นการที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงให้มนุษย์มีการพึ่งพาและเกลื้อหนุนต่อกันนั้น  นับว่าเป็นเนี๊ยะอฺมัตที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงประทานให้แก่มวลมนุษย์

อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

وَلِلَّهِ الْعِزَّةُ وَلِرَسُولِهِ وَلِلْمُؤْمِنِينَ

“และอำนาจนั้นเป็นของอัลเลาะฮ์  และร่อซูลของพระองค์  และบรรดาผู้ศรัทธา” [อัลมุนาฟิกีน: 8]

หมายถึง:  อำนาจและเกียรติแห่งความเป็นพระผู้อภิบาลและพระเจ้าที่ถูกสักการะอย่างแท้จริงนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลเลาะฮ์แต่เพียงผู้เดียว  และเกียรติอำนาจที่มีให้แก่ร่อซูลและบรรดาผู้ศรัทธานั้น  เป็นความโปรดปรานที่พระองค์ได้ทรงมอบให้

วัลลอฮุอะลัม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 02, 2010, 07:39 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
 :salam:

เป็นส่วนหนึ่งจากเอกสารประกอบการสอนที่ผมได้สอนในวิชาตะเซาวุฟเกี่ยวกับ พระนามอันวิจิตทั้ง 99 ของอัลเลาะฮ์ตะอาลา (เชิงตะเซาวุฟ) ซึ่งผมได้เขียนแบบสรุปและเร่งรีบ  อ้างอิงฮะดีษแบบไม่ได้ตัครีจญ์ ซึ่งอาจจะทำให้พี่น้องไม่ค่อยเข้าใจ  ก็ถามได้น่ะครับ

ส่วนไฟล์เสียงที่สอน พระนามทั้ง 99 เชิงตะเซาวุฟ ซึ่งได้อธิบายเอกสารประกอบการสอนนั้น จะขยายความได้ละเอียดยิ่งกว่า  แต่อุมมุมุฮัมมัดยังไม่ค่อยมีเวลาตัดไฟล์เสียงลงกระทู้เลยครับ

อินชาอัลเลาะฮ์  หากกระผมสอนจบทั้ง 99 พระนามแล้ว  ก็จะตรวจทานเพิ่มเติมตัครีจญ์ฮะดีษและบรรณานุกรม  แล้วตีพิมพ์เป็นหนังสือเหมือนฮิกัม  อินชาอัลเลาะฮ์
    
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 02, 2010, 07:37 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด

มีมา 1 พระนามชื่อแล้ว  ยังขาดอีก 98 สินะ..อย่าลืมเอามาลงให้หมดนะคับ..
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
พระนาม اَلْمَلِكُ (อัลมะลิก) หรือ اَلْمَالِكُ (อัลมาลิก) “ผู้มีอำนาจปกครอง”

พระองค์ผู้ทรงอำนาจปกครองและทรงสิทธิ์เหนือสรรพสิ่งทั้งมวล  พระองค์ไม่ต้องการสรรพสิ่งที่มีทั้งหลายและสรรพสิ่งทั้งหลายนั้นล้วนมีความต้องการและพึ่งพายังพระองค์  ดังนั้นพระองค์จึงทรงสิทธิ์ปกครองอย่างสมบูรณ์  

อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า:
 
قُلِ اللَّهُمَّ مَالِكَ الْمُلْكِ تُؤْتِي الْمُلْكَ مَنْ تَشَاءُ وَتَنْزِعُ الْمُلْكَ مِمَّنْ تَشَاءُ وَتُعِزُّ مَنْ تَشَاءُ وَتُذِلُّ مَنْ تَشَاءُ بِيَدِكَ الْخَيْرُ إِنَّكَ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ قَدِيرٌ

“จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่าข้าแด่อัลเลาะฮ์  ผู้ทรงสิทธิ์แห่งอำนาจทั้งปวง  พระองค์นั้นจะทรงประทานอำนาจแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์  และจะทรงถอดถอนอำนาจผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์  และจะทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์  และจะทรงให้เกิดความต่ำต้อยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์  ความดีทั้งหลายนั้น(เกิดขึ้น)ด้วยอำนาจของพระองค์  แท้จริงพระองค์ทรงอำนาจเหนือทุก ๆ สิ่ง” [อาลิอิมรอน:26]

ดังนั้นอัลเลาะฮ์ทรงปกครองและทรงสิทธิ์ทั้งดุนยาและอาคิเราะฮ์  พระองค์จะให้เกียรติแก่ผู้ที่ทรงประสงค์ด้วยการอีหม่านและปฏิบัติความดีงาม  ทรงทำให้เกิดความต่ำต้อยแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนและปฏิเสธ  หรือทรงให้เกียรติผู้ที่มีความพอเพียง  แต่จะทำให้เกิดความต่ำต้อยแก่ผู้หลงใหลและละโมบดุนยา  หรือพระองค์ทรงให้เกียรติด้วยการประทานเตาฟีกและจะทรงให้เกิดความต่ำต้อยแก่ผู้ที่เกียจคร้านในการปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติใช้  ดังนั้นบรรดาความดีงามทั้งหลายล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์เท่านั้น  เพราะว่าพระองค์ทรงมีพระนามว่า “ผู้มีอำนาจปกครอง”

การสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ด้วยพระนามนี้

•  ด้านความผูกพัน: ผู้ที่ตระหนักรู้ในพระนามนี้อย่างเสมอนั้น  ทุกสิ่งที่เขาได้ครอบครองหรือเป็นเจ้าของ  ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน  เงินทอง  ที่ดิน  บ้านหลังใหญ่  ยศตำแหน่ง  ล้วนเป็นสิ่งที่อัลเลาะฮ์ให้ยืมมาทั้งสิ้น  เพราะผู้ที่เป็นเจ้าของอย่างแท้จริงโดยสมบูรณ์ก็คืออัลเลาะฮ์แต่เพียงผู้เดียว  ดังนั้นเขาจึงยอมปฏิบัติตามคำบัญชาใช้ของอัลเลาะฮ์  ทุกสิ่งที่ได้รับมา  ก็จะนำมาใช้เพื่อแสวงหาความพึงพอพระทัยต่อผู้ทรงสิทธิ์อย่างแท้จริง  นั่นคืออัลเลาะฮ์ตะอาลา  

เมื่อตระหนักรู้ว่า สรรพสิ่งทั้งปวงเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลเลาะฮ์  เขาจะมีความหวังต่ออัลเลาะฮ์  ทุกปณิธาณความตั้งใจที่จะกระทำภารกิจใด  จิตใจของเขาก็จะมุ่งไปที่อัลเลาะฮ์เพียงผู้เดียว  เนื่องจากผู้มีอำนาจสิทธิ์ในการปกครองนั้น  สามารถที่จะบริหารจัดการและให้เป็นไปตามที่ต้องการ  อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า

لِمَنِ الْمُلْكُ الْيَوْمَ لِلَّهِ الْوَاحِدِ الْقَهَّارِ

“อำนาจปกครองในวันนี้  เป็นของผู้ใดเล่า  แน่นอนมันเป็นของอัลเลาะฮ์ผู้ทรงเอกะผู้ทรงพิชิตโดยเด็ดขาด” [ฆอฟิร: 16]

มุอฺมินที่ผูกพันอยู่กับพระนาม “ทรงอำนาจปกครอง” ของอัลเลาะฮ์นี้  เมื่อเขาเห็นบรรดามัคโลคและจักรวาลทั้งหลาย  เห็นภัยพิบัติที่ได้เกิดขึ้น  ไม่ว่าเป็นความแห้งแล้ง  แผ่นดินไหว  อุทกภัย    วาตภัย และอัคคีภัย  จิตของเขาก็จะดื่มด่ำในอายะฮ์ดังกล่าวที่ว่า “อำนาจการปกครองในวันนี้  เป็นของผู้ใดเล่า? แน่นอนมันเป็นของอัลเลาะฮ์ผู้ทรงเอกะผู้ทรงพิชิตโดยเด็ดขาด”  ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ของโลกนี้หรือวันนั้นในโลกหน้าก็ตาม  ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลเลาะฮ์  และความกลัวและเกรงขามต่อพระองค์ก็ได้เกิดขึ้นแก่หัวใจของผู้ตระหนักรู้ถึงพระนามนี้อย่างจับใจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ยืนทำละหมาด  แล้วอ่านซูเราะฮ์
อัลฟาติหะฮ์ในอายะฮ์ที่ว่า

مَالِكِ يَوْمِ الدِّينِ

“ผู้ทรงอำนาจปกครองในวันแห่งการตอบแทน” [อัลฟาติหะฮ์: 4]

ท่านอิหม่ามอัลฆ่อซาลีย์กล่าวว่า “ท่าน(ผู้ละหมาด)จงแสดงความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และความเกรงกลัวต่ออัลเลาะฮ์ให้ออกมาจากหัวใจของท่าน  เมื่ออ่านว่า “มาลิกิเยามิดดีน” (ผู้ทรงอำนาจปกครองในวันแห่งการตอบแทน) เพราะความยิ่งใหญ่นั้นไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ครอบครอง(ในวันกิยามะฮ์)ได้นอกจากอัลเลาะฮ์เพียงผู้เดียว  และความเกรงกลัวต่อพระองค์ได้เกิดขึ้นเพราะมีความโกลาหลและมีการสอบสวนเกิดขึ้นในวันกิยามะฮ์  ซึ่งพระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว” อะบู ฮามิด  มุฮัมมัด บิน มุฮัมมัด อัลฆ่อซาลีย์, เอี๊ยะห์ยาอุลูมิดดีน, ตะห์กีก: มุฮัมมัด อับดุลกอดิร อะฏอ, (ไคโร, ดารุตตักวา, พิมพ์ครั้งที่ 1,ฮ.ศ.1421/ฮ.ศ.2000), เล่ม 1, หน้า 266.

•  ด้านการแสดงออก: ผู้ที่ได้รับอิทธิพลจากพระนามนี้  เขาก็จะขอต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลาให้มีอำนาจปกครองอารมณ์ใฝ่ต่ำของตนเองได้
ท่านนบียูซุฟ อะลัยอิสลาม  ได้วอนขอดุอาต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา  ดังที่อัลกุรอานได้ระบุความว่า

رَبِّ قَدْ آَتَيْتَنِي مِنَ الْمُلْكِ

“โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์  แท้จริงพระองค์ได้ทรงประทานอำนาจปกครองแก่ข้าพระองค์” [ยูซุฟ: 11]  
  
ท่านชัยคุลอิสลาม ฟัครุดดีน อัรรอซีย์  กล่าวอธิบายว่า “ท่านนบียูซุฟประสงค์ในการขอให้มีอำนาจในการยับยั้งอารมณ์ใฝ่ต่ำของตนเองได้” มุฮัมมัด บิน อุมัร ฟัครุดดีน อัรรอซีย์, ละวามิอุล บัยยินาต ชัรห์ อัสมาอิลลาฮิ วัสศิฟาต, หน้า 139.

ท่านอิหม่ามอัลฆ่อซาลีย์ได้กล่าวว่า “ปราชญ์ร็อบบานีย์บางท่านได้พูดความจริง  ขณะที่กษัตริย์ได้พูดกับปราชญ์ท่านนั้นว่า: ท่านจงขอฉันซึ่งสิ่งที่ท่านต้องการมาซิ! ปราชญ์ท่านนั้นกล่าวว่า: ท่านพูดกับฉันกระนั้นหรือ? (หมายถึง  ท่านพูดกับฉันเช่นนี้กระนั้นหรือ?  ทั้งที่ความจริงแล้วฉันไม่ได้ต้องการขออะไรจากท่านเลย.)ปราชญ์ผู้มีธรรมท่านนั้นได้กล่าวว่า: “ฉันมีทาสอยู่ 2 คน  ซึ่งทาสทั้งสองนั้นเป็นเจ้านายของท่าน”  กษัตริย์ถามว่า:  “แล้วทาสทั้งสองที่เป็นนายของฉันนั้นเป็นผู้ใดกัน?”  ปราชญ์ผู้มีคุณธรรมตอบว่า: “คือความละโมบและอารมณ์ใฝ่ต่ำ  แท้จริงฉันได้ชนะมันทั้งสองแล้วแต่มันทั้งสองชนะท่าน, และฉันได้ปกครองมันทั้งสองแล้ว แต่ท่านถูกมันทั้งสองปกครอง” อะบูหามิด อัลฆ่อซะลีย์, อัลมักศ่อดุลอัสนา ชัรห์ อัสมาอิลลาฮิลหุสนา, หน้า 42.
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
พระนาม اَلْمُؤْمِنُ “ผู้ทรงรับรอง, คุ้มครอง”

อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

هُوَ اللَّهُ الَّذِي لَا إِلَهَ إِلَّا هُوَ الْمَلِكُ الْقُدُّوسُ السَّلَامُ الْمُؤْمِنُ

“พระองค์คือ อัลเลาะฮ์ ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกนอกจากพระองค์ ผู้ทรงอำนาจสูงสุด ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงความศานติสุข ผู้ทรงให้คุ้มครอง(ให้พ้นจากความกลัว)” [อัลหัชร์: 23]

พระนามนี้มี 2 ความหมาย

1.  ผู้ทรงให้ความปลอดภัยและคุ้มครองบรรดาปวงบ่าวของพระองค์ให้พ้นจากความหวาดกลัว  ดังนั้นไม่มีความปลอดภัยเกิดขึ้นนอกจากมาจากพระองค์เท่านั้น

2.  อัลเลาะฮ์ผู้ทรงรับรองความสัจจริงแก่พระองค์เองว่า ทรงสัจจริงในสัญญาที่ได้ให้ไว้  และทรงรับรองความสัจจริงแก่ผู้ที่บอกเล่าการงานของพระองค์ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วยการทรงเผยข้อบ่งชี้ต่างๆ ที่บ่งบอกว่าเขานั้นสัจจริง (เช่น การที่พระองค์ทรงประทานมัวะญิซาติแก่ท่านนบี) และทรงรับรอง(อิหม่าน) แก่ปวงบ่าวที่เชื่อในความเอกกะของพระองค์

อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตรัสความว่า

شَهِدَ اللَّهُ أَنَّهُ لَا إِلَهَ إِلَّا هُوَ وَالْمَلَائِكَةُ وَأُولُو الْعِلْمِ قَائِمًا بِالْقِسْطِ

“และอัลเลาะฮ์ทรงยืนยันแล้วว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์  และบรรดา
มะลาอิกะฮ์  และผู้ที่มีความรู้(ต่างก็ยืนยันเช่นเดียวกัน) โดยพระองค์ทรงดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม” [อาลิอิมรอน: 18]   

การสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ด้วยพระนามนี้

•  ด้านความผูกพัน: ผู้ที่ตระหนักรู้ในพระนามนี้อย่างเสมอนั้น  เขาจะมีจิตใจที่สงบมั่นคงกับอัลเลาะฮ์ในสิ่งที่มีอยู่ ณ ที่เขาและสิ่งที่ต้องจากไป  และเมื่อเขาได้ปฏิบัติอิบาดะฮ์ใด  ก็เพื่อให้อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงรับรองหรือยอมรับ  มิใช่ให้ผู้อื่นจากพระองค์ยอมรับ
 
ท่านอะบุลฮะซัน อัชชาซุลลีย์กล่าวว่า

لاَ تَنْشُرْ عَمَلَكَ لِيُصَدِّقَكَ النَّاسُ، وَانْشُرْهُ لِيُصَدِّقَكَ اللهُ

“ท่านอย่าเปิดเผยอะมัลของท่านเพื่อให้มนุษย์ยอมรับ  แต่ท่านจงเปิดเผยมันเพื่อให้อัลลาะฮ์ทรงยอมรับ”อะห์มัด บิน อะห์มัด อัซซัรรูก, ชัรห์ อัสมาอิลลาฮ์ อัลหุสนา, หน้า 43.

•  ด้านการแสดงออก: ผู้ที่ได้รับอิทธิพลจากพระนามนี้  เขาจะให้ความปลอดภัยแก่มัคโลคทั้งหมดโดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกเขา ทั้งนี้เพื่อปกป้องตนเองจากความเสียหายทั้งในเรื่องศาสนาและดุนยา  ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

لَا يَدْخُلُ الْجَنَّةَ مَنْ لَا يَأْمَنُ جَارُهُ بَوَائِقَهُ

“จะไม่ได้เข้าสวรรค์ผู้ที่เพื่อนบ้านของเขาไม่ปลอดภัยจากความชั่วของเขา”รายงานโดยมุสลิม

และผู้ที่ได้รับอิทธิพลจากพระนามนี้นั้น  เขาจะเป็นสาเหตุให้ผู้คนทั้งหลายปลอดภัยจากการลงโทษของอัลเลาะฮ์  ด้วยการชี้นำไปสู่หนทางของพระองค์และชี้นำสู่หนทางที่ปลอดภัย  ซึ่งดังกล่าวนี้เป็นภารกิจของบรรดานบีและอุลามาอฺ  ด้วยเหตุนี้ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า

مَثَلِي وَمَثَلُكُمْ كَمَثَلِ رَجُلٍ أَوْقَدَ نَارًا فَجَعَلَ الْجَنَادِبُ وَالْفَرَاشُ يَقَعْنَ فِيهَا وَهُوَ يَذُبُّهُنَّ عَنْهَا وَأَنَا آخِذٌ بِحُجَزِكُمْ عَنْ النَّارِ وَأَنْتُمْ تَفَلَّتُونَ مِنْ يَدِي

“อุปมาตัวฉันและตัวของพวกท่านเสมือนชายคนหนึ่ง  ที่จุดไฟ  แล้วแมลงเม่าและตัวริ้นได้ตกลงไป  แล้วเขาก็พยายามปกป้องพวกมันให้พ้นจากไฟ  และฉันก็ฉวยที่ปมผูกเอว(เข็มขัด)ของพวกท่านให้พ้นจากไฟ  แต่ทว่าพวกท่านหนีไปจากมือฉัน”รายงานอัลบุคอรีย์และมุสลิม

แมลงเม่าไม่รู้ว่าไฟร้อน และมีอันตรายมันจึงบินเข้ากองไฟและตายไปในที่สุด แม้เราจะพยายามช่วยเหลือก็ตาม ดังนั้นหากผู้ศรัทธาที่ไม่มีความรู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด เขาก็จะเข้าใกล้สิ่งที่ต้องห้ามที่นำไปสู่ไฟนรก  เพราะฉะนั้นเราต้องทำการชี้นำพี่น้องมุสลิมให้ความรู้ในศาสนาและชี้แนะหนทางที่เที่ยงตรง เพื่อมิให้พวกเขาต้องลงไฟนรก เช่นเดียวกับที่แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด

รออ่านต่อ....
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
พระนาม  اللهُ  “อัลเลาะฮ์”

พระนาม  "อัลเลาะฮ์"  นั้นเป็นชื่อซาตของพระองค์  อัลเลาะฮ์ทรงมีโดยไม่มีสิ่งใดอยู่พร้อมกับพระองค์  และพระองค์ทรงไม่ต้องการสิ่งใดและทุกสิ่งต้องการไปยังพระองค์  พระองค์ทรงตรัสว่า

اللَّهُ خَالِقُ كُلِّ شَيْءٍ

“อัลเลาะฮ์ทรงสร้างทุกๆ สิ่ง” [อัรเราะอฺด์: 16]

ดังนั้น "อัลเลาะฮ์" เป็นนามหนึ่งที่รวมไว้ซึ่งบรรดาคุณลักษณะ(ซีฟาต)ต่างๆ ไว้ทั้งหมดและทุกพระนามก็จะอยู่ภายใต้คุณลักษณะต่างๆ เหล่านั้น

هُوَ اللَّهُ الَّذِي لَا إِلَهَ إِلَّا هُوَ عَالِمُ الْغَيْبِ وَالشَّهَادَةِ هُوَ الرَّحْمَنُ الرَّحِيمُ  هُوَ اللَّهُ الَّذِي لَا إِلَهَ إِلَّا هُوَ الْمَلِكُ الْقُدُّوسُ السَّلَامُ الْمُؤْمِنُ الْمُهَيْمِنُ الْعَزِيزُ الْجَبَّارُ الْمُتَكَبِّرُ سُبْحَانَ اللَّهِ عَمَّا يُشْرِكُونَ  هُوَ اللَّهُ الْخَالِقُ الْبَارِئُ الْمُصَوِّرُ لَهُ الْأَسْمَاءُ الْحُسْنَى يُسَبِّحُ لَهُ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ وَهُوَ الْعَزِيزُ الْحَكِيمُ

“พระองค์คืออัลเลาะฮ์  ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์  ผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผย  พระองค์คือผู้ทรงกรุณาปรานี  ผู้ทรงเมตตาเสมอ,  พระองค์คืออัลเลาะฮ์  ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์  ผู้ทรงอำนาจสูงสุด  ผู้ทรงบริสุทธิ์  ผู้ทรงความศานติสุข  ผู้ทรงคุ้มครองผู้ศรัทธา  ผู้ทรงปกปักรักษาความปลอดภัย  ผู้ทรงอำนาจยิ่ง  ผู้ทรงปราบให้เรียบร้อย  ผู้ความยิ่งใหญ่  มหาบริสุทธิ์แด่อัลเลาะฮ์ให้พ้นจากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีต่อพระองค์, พระองค์คืออัลเลาะฮ์  ผู้ทรงสร้าง  ผู้ทรงให้บังเกิด  ผู้ทรงทำให้เป็นรูปร่าง  สำหรับพระองค์คือพระนามทั้งหลายที่วิจิตรงดงาม  สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินต่างแซ่ซ้องสดุดีพระองค์  และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ  ผู้ทรงปรีชาญาณ” [อัลฮัชรฺ: 22-24]

การสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ด้วยพระนามนี้

ทุกพระนามมีความหมายที่สามารถแสดงออกได้  นอกจากพระนามนี้  เพราะพระนามนี้สำหรับการแสดงความผูกพัน  และทุกๆ พระนามล้วนกลับไปหาอัลเลาะฮ์  เพราะการรู้จักอัลเลาะฮ์เป็นผลทำให้รู้จักพระนามต่างๆ

•  ด้านความผูกพัน:  ท่านอะบูฮุร็อยเราะฮ์  รายงานว่า  ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
 
إِنَّهُ وِتْرٌ يُحِبُّ الْوِتْرَ

“แท้จริงอัลเลาะฮ์ทรงจำนวนคี่  พระองค์ทรงรักจำนวนคี่” รายงานโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม

คือจงกล่าวว่า “อัลเลาะฮ์” โดยหัวใจของเขาไม่มีสิ่งใดนอกจากพระองค์!

ด้านการแสดงออก: พระนามนี้ห้ามแสดงออก(อะห์มัด บิน อะห์มัด อัซซัรรูก, ชัรห์ อัสมาอิลลาฮ์ อัลหุสนา, หน้า 26.)  ห้ามอ้างว่าตนเองคืออัลเลาะฮ์  และผู้เป็นครูมุรชิดห้ามให้ลูกศิษย์เรียกตัวเขาว่าอัลเลาะฮ์!
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด
ดังนั้นผู้ใดที่แสวงหาอำนาจและตำแหน่งเกียรติยศจากมนุษย์  แสดงผลงานเพื่อให้พวกเขายอมรับ  ใช้ทรัพย์สินเงินทองเป็นปัจจัยให้ได้มาซึ่งเกียรติยศตำแหน่งตามที่เขาต้อง การ  แน่นอน  เขามีความตกต่ำ ณ ที่อัลเลาะฮ์ตะอาลา

...เห็นภาพในสังคมมุสลิมปัจจุบันเกี่ยวกับการได้มาซึ่งตำแหน่งสำคัญๆ  บางคนมีสื่อเป็นของตนเองแล้วให้ผู้อื่นช่วยโปรโมต  อยากจะได้เกียรติตำแหน่งก็ต้องใช้เงิน แต่แผนการณ์ของอัลลอฮ์เหนือชั้นกว่า  เลยไม่ได้ตำแหน่งอะไรมาเลย...

เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น  คำตอบก็เพราะพวกเขาไม่มะรีฟัตต่ออัลลอฮ์  ไม่ผูกพันอยู่กับอัลลอฮ์  ลืมพระองค์  หลงดุนยา ไม่รู้อย่างแท้จริงว่า  อัลลอฮ์ทรงมีพระนามว่า "อัลอะซีซ" (อัลลอฮ์ทรงอำนาจยิ่ง  ทรงเกียรติยิ่ง) sad:
الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
อยากให้บังอัลฯ แจกแจงด้วยจังว่า พระนามทั้ง 99 นี้ พระนามใดที่อยู่ภายใต้ศิฟัตใดจาก 20 ที่พวกเราเรียนกันมานั้น - วัลลอฮุอะอ์ลัม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ fah

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 20
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อยากให้บังอัลฯ แจกแจงด้วยจังว่า พระนามทั้ง 99 นี้ พระนามใดที่อยู่ภายใต้ศิฟัตใดจาก 20 ที่พวกเราเรียนกันมานั้น - วัลลอฮุอะอ์ลัม
''จงอยู่ให้ได้กับความจริง''

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
อยากให้บังอัลฯ แจกแจงด้วยจังว่า พระนามทั้ง 99 นี้ พระนามใดที่อยู่ภายใต้ศิฟัตใดจาก 20 ที่พวกเราเรียนกันมานั้น - วัลลอฮุอะอ์ลัม

บังก็ตั้งใจเอาไว้เช่นนั้นนะครับ  ที่จะแยกรายละเอียดว่าพระนามใหนบ้างอยู่ในใต้ซีฟัต 20  แต่หากต้องการแบบสรุปๆ ไปก่อน  บังก็อยากจะบอกว่า  พระนามทั้ง 99 อยู่ภายใต้ ซีฟัตอัลวุญูด "อัลเลาะฮ์ทรงมี" ครับ

เพราะเมื่อเรากล่าว "อัลเลาะฮ์"  มีความผูกพันอยู่กับ "อัลเลาะฮ์"  มีความรู้สึกเกรงขามและเบิกบานใจเมื่อได้คำนึงถึง "อัลเลาะฮ์" และต้องการมะรีฟะฮ์ต่อ "อัลเลาะฮ์" อย่างแท้จริง  ต้องผ่านการเรียนซีฟาตและพระนามทั้ง 99 เสียก่อน  แต่มิใช่เรียนรู้เพียงแค่สมองหรือสติปัญญารู้  แต่ให้การเรียนรู้นั้นลงไปสู่หัวใจและความรู้สึก  แล้วหัวใจและความรู้สึกทั้งหมดของเราก็จะได้ลิ้มรสถึงการรู้จักอัลเลาะฮ์อย่างแท้จริง  ดังนั้นหากผู้ใดบอกว่าฉันมะรีฟะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์แล้ว  แต่ยังไม่เข้าใจเรื่องซีฟัต  ยังไม่เรียนรู้เรื่องพระนามทั้ง 99 และยังไม่มีความผูกพันกับพระนามเหล่านั้น  ก็ยังเชื่อไม่ค่อยได้ว่ามะรีฟะฮ์ต่อพระองค์อย่างแท้จริงตามหลักของ "อัลเอี๊ยะห์ซาน"

วัลลอฮุอะลัม  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 03, 2010, 05:06 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

ขอขุดนะคะ...

และเสริมด้วย



:salam:

     คำว่า الله นั้น คือชื่่อของซาตที่วายิบต้องมีและสมควรสำหรับทุกๆการสรรเสริญ คำว่า الله เดิมๆแล้วคือ اله (อีล่าฮุน) ตกอยู่บนวาซาน فعال (ฟีอฺ่าลุน) และคำว่า اله (อีล่าฮุน) เป็น اسم جنس สำหรับทุกๆสิ่งที่ถูกกราบไหว้ ถึงแม้ว่าจะเป็นพระเจ้าที่แท้จิงหรือไม่ก็ตาม และชาวอาหรับ(อุลามาอฺซอรอฟ)ก็ได้ทำการถอดอักษรฮัมซัฮ (الهمزة) ออก เพื่อที่จะให้คำดังกล่าวนั้นเบาขึน (ง่ายต่อการออกเสียง กล่าวคือ เวลาเติมอาลิฟลามลงไปจะได้ไม่ต้องอ่านว่า الاله (อัลอิล่าฮุ)แต่สามารถอ่านได้เลยว่า الله (อัลลอฮุ) ดังนั้นจึงกลายเป็น له (ล่าฮุน) จากนั้นอาลิฟลามก็ถูกเติมลงไปบนคำว่า  له (ล่าฮุน) เพื่อที่จะทำให้เป็นอีเซ่มมะอฺรีฟะห์ จึงกลายเป็น  الله (อัลลอฮุ) แต่อุลามาอฺซอรอฟบางท่านกล่าวว่า คำว่า الله เดิมทีแล้วคือคำว่า الاله (อัลอิล่าฮุ) จากนั้นฮัมซะห์ที่สองก็ถูกถอดออกไป เพื่อที่จะให้คำดังกล่าวนั้นเบาขึน จากนั้นลามตัวแรกก็ถูกผนวก(รวม)มาอยู่ในลามตัวที่สอง จึงกลายมาเป็น الله (อัลลอฮุ) และคำว่า الله ก็ได้ถูกใช้สำหรับพระเจ้าที่ถูกเคารพบูชาอย่างแท้จริง (المعبود بحق) เพราะคำว่า الله คืออีเซ่มที่มีความมะอฺรีฟะห์(คำนามที่ถูกเจาะจง)มากที่สุด (اعرف المعارف) วัลลอฮุอะอฺลัม


رب (ร็อบบุน) ในภาษาอาหรับแปลว่าผู้ดูแล, ผู้ปกป้อง
الله มาจากกริยา สามอักษร اله (อะลิฮะ) แปลว่ารัก
الله จึงมีความหมายว่า "ผู้ถูกรัก"

การทำอิบาดะฮฺ หรือการเคารพภักดีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้เกิดมาโดยไม่มีเหตุผล
การทำอิบาดะฮฺในอิสลามจึงเกิดมาจากความรักของบ่าวที่มีต่อพระเจ้าของเขา

....ต่อ "อัลลอฮฺ ผู้ที่ถูกรัก"

มุสลิมควรภูมิใจที่มีพระเจ้าให้เกียรติผูกพันธ์กับบ่าวของพระองค์ “ด้วยความรัก”

อิสลามเป็นประชาชาติที่มีพระเจ้าเป็น "ผู้ที่ถูกรัก"


ชุกรอนคำตอบจาก  : http://unussorn.spaces.live.com/?_c11_BlogPart_BlogPart=blogview&_c=BlogPart&partqs=amonth%3D8%26ayear%3D2005



เนื่องจากได้อ่านกระทู้ต่างๆในเว็บไซต์ที่
กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันเรื่องละคร "ฟ้าจรดทราย"
ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสังคมมุสลิมของเรา

และแน่นอนว่า...ด้วยเหตุที่ผู้ที่ประพันธ์เรื่องนั้นขึ้นมามิใช่มุสลิม
(ตามประวัติ)เพียงแต่ได้คลุกคลีกับสังคมมุสลิม
คลุกคลีกับชนชาติอาหรับมาบ้าง เลยทำให้งานเขียนชิ้นนั้น
ที่ถูกกล่าวขวัญมานานแล้วนั้น ขาดความเข้าอกเข้าใจ
และเข้าถึงในแก่นแท้ของศาสนาอิสลาม แก่นแท้ของการเป็น
ผู้นับถือศาสนาอิสลามไป...มุสลิมหลายคนที่เคยอ่านและเคยได้ดู
เรื่องราวที่เกิดขึ้นใน "ฟ้าจรดทราย" จึงอาจขัดหู ขัดตา ขัดใจ
อยู่อย่างแน่นอน...

ซึ่งน่าเสียดายที่เรื่องราวที่ถูกเรียบเรียงเอาไว้้ด้วยสำนวนที่น่าอ่าน
เช่นนั้น ได้ขาดความหมายที่แท้จริงของสังคมมุสลิม
เพราะทุกๆคำสั่ง ทุกๆการกระทำของมุสลิมเรานั้น
ย่อมมีวิทยปัญญาซ่อนอยู่ทั้งนั้น ซึ่งคนที่เขียนเรื่องนั้นขึ้นมา
ยังเข้าไม่ถึงวิทยปัญญาดังกล่าว...
สำหรับข้าน้อยจึงพูดได้แค่ว่า "ฟ้าจรดทราย"
เป็นแค่นิยายและละครที่ให้แค่ความสนุก ตื่นตาตื่นใจ
กับฉากสวยๆ และพระนางที่ชวนให้หลงใหลใฝ่ฝัน
เพียงแค่นั้นจริงๆ...


ซึ่งในกระทู้ร้อนต่างๆตามเว็บไซต์
มีส่วนหนึ่งที่ผู้ที่มิใช่มุสลิมได้ออกมาพูดในเชิงว่า
เรื่องราวในละครนั้น มิได้กล่าวถึงคำว่า "อัลลอฮฺ"เลย
แต่กล่าวถึง "พระเจ้า" "พระเป็นเจ้า"
ไม่มีอะไรที่พาดพิงไปถึง "อัลลอฮฺ"เลย
ทำไมมุสลิมถึงได้ร้อนพล่าน เดือดพล่านขนาดนั้นด้วย...

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ผู้ที่พูดนั้น ก็ยังไม่รู้เลยว่าคำว่า "อัลลอฮฺ"
ที่มุสลิมเรียกจนติดปากอยู่นั้น ตามความหมาย
และความนัย และตามความรู้สึกในจิตใจเมื่อเอ่ยคำๆนี้นั้น
คุณค่าและความหมายนั้นเป็นเช่นไร และคืออะไร
แต่ก็ยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์แบบสุดฤทธิ์สุดเดช...แบบสุดโต่ง

เพราะคำว่า "อัลลอฮฺ" นั้นเป็นภาษาอาหรับที่ถูกเจาะจงเอาไว้
เป็นการรวมตัวของคำ มีรากเดิม...มีที่มาที่ไป...
หากจะเทียบกับคำในภาษาไทย
คำว่า "พระเจ้า" ก็คงจะใกล้เคียงที่สุดแล้ว
แต่คำว่า "พระเจ้า"ในภาษาไทยนั้น ก็มิอาจครอบคลุมถึง
ความหมายที่ยิ่งใหญ่ของคำว่า "อัลลอฮฺ"ได้หมด...

เหมือนคำว่า "รอซู้ล" ที่คำว่า "ศาสนทูต" ในภาษาไทย
ก็มิอาจครอบคลุมถึงความหมายและความรู้สึกที่แท้จริง
ยามที่เราได้กล่าวคำๆนั้นออกมาได้หมด...

มุสลิมเราจึงเรียก เจ้าของพระนามอันยิ่งใหญ่ เรียกผู้เป็น
เจ้าของทุกสรรพสิ่งว่า "อัลลอฮฺ"

และเพื่อให้ต่างศาสนิกในแต่ละประเทศที่ไม่เข้าใจภาษาอาหรับ
และไม่เข้าใจในอิสลาม
เข้าใจว่าเรากำลังกล่าวถึงสิ่งใด เราจึงจำต้องเลือกใช้
คำที่ใกล้เคียงกับภาษาของคนเหล่านั้น...
ซึ่งภาษาไทยก็คือ พระเจ้า ญี่ปุ่นก็คือ คามิซาม่ะ...

ซึ่งแท้จริงแล้ว "อัลลอฮฺ" นั้น
อยู่เหนือคำว่า "พระเจ้า"ในภาษาไทย
และ คำว่า "คามิซาม่ะ" ในภาษาญี่ปุ่น
เพราะสองภาษาดังกล่าวนัั้น โดยความหมายแล้ว
ไม่สามารถครอบคลุมความหมายของคำว่า "อัลลอฮฺ"
ได้หมดนั่นเอง

การขาดการศึกษาให้ถ่องแท้ในสิ่งที่ตนนำมาเสนอ
หรือนำมาวิพากษ์วิจารณ์ให้ในที่สาธารณะทั่วไปรับรู้นั้น
หรือการจะออกมาตอบโต้ในสิ่งต่างๆโดยปราศจาก
การศึกษา หาข้อมูลก่อนล่วงหน้านั้น

นอกจากจะไม่ให้อะไรที่แท้จริงแก่ผู้อื่นแล้ว
อาจจะเป็นการสร้างความร้าวฉานในสังคมได้
โดยที่ผู้ที่กระทำก็ไม่อาจคำนวณค่าเสียหายจากการกระทำ
ดังกล่าวได้เลย...

จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ทุกวันนี้...เรายังคงทะเลาะกันด้วยเรื่องที่
บรรพบุรุษของเราก็เคยขัดแย้งกันมาก่อน

เพราะตราบใดที่เราไม่ยอมอ่าน ไม่ยอมศึกษาสิ่งที่บรรพบุรุษ
ของเราเคยมีการขัดแย้งกันมาก่อน
ให้เข้าใจด้วยใจทีี่อยากจะเข้าใจจริงๆ
ว่าทำไมสิ่งเหล่านั้นถึงได้กลายเป็นข้อขัดแย้ง...
มิใช่เพราะแค่เพียงอยากจะเอาชนะกัน...
เราก็อาจจะได้เห็นได้เข้าใจ เพื่อที่เราจะได้หยุด
และคิดทุกครัั้งก่อนทำการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนั้น
แล้วละเว้นเอาไว้ในส่วนที่เราเองก็ยังไม่เข้าใจ
และยังหาคำตอบของมันไม่ได้...

เพราะการพูดถึงสิ่งที่ได้ศึกษามา
โดยละเว้นสิ่งที่จะกล่าวในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจหรือยังไปไม่ถึง
ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับเราและผู้อื่น
ที่เราจะกล่าวบางอย่างออกไปโดยที่เราก็หาได้เข้าใจสิ่ง
เหล่านั้นเลย...

และแน่นอนว่า ทุกคนย่อมมีข้อผิดพลาดหรือเข้าใจผิดไปบ้าง
กับสิ่งที่ตัวเองศึกษามาหรือเรียนรู้มา...

ซึ่งหากเรายอมรับฟังและรับรู้สิ่งที่ผู้อื่นนำมาตักเตือน
และพยายามแก้ไขเปล่ียนแปลง ยอมรับผิดในสิ่งนั้นๆ...
สิ่งนี้ก็ย่อมเป็นเกียรติแก่เรามากกว่าที่เราจะแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ
ทั้งๆที่เราก็รู้ว่าเรานั้นเป็นผู้ผิดพลาดไปแล้ว...

และภัยที่น่ากลัวอีกอย่างก็คือ อัตตา เราหลายๆคนต่างเชื่อมั่นว่า
ตัวเรานั้น สติปัญญาของเรานั้นได้รับรู้สิ่งที่ถูกต้อง
และที่เรายึดมั่นอยู่นั้นถูกต้องแล้ว...เราจึงไม่คิดจะเชื่อหรือฟังใคร
แม้แต่เขาจะพยายามพูดในสิ่งที่ใจของเรา สติปัญญาของเรา
ก็ยอมรับว่ามันคือสิ่งที่ดีกว่า...เมื่อใดที่เรามองว่า
สิ่งทีี่เราเป็นอยู่ สิ่งที่เราคิดอยู่นั้นถูกต้องแบบร้อยเปอร์เซ็นแล้ว
เราก็ไม่ต่างจากแก้วที่มีน้ำอยู่เต็มแล้ว จะเติมอะไรไปก็ไม่ได้แล้ว

อิสลามนั้นคือ สัจธรรมร้อยเปอร์เซ็นสำหรับข้าน้อย
เพราะหัวใจของข้าน้อยเชื่อในอัลลอฮฺ
เชื่อในสิ่งที่พระองค์ยืนยันไว้...

แต่ด้วยสติปัญญาของข้าน้อยที่จะศึกษาอิสลามนั้น
ยังไม่เต็มร้อย และคงจะไม่มีวันที่จะเต็มร้อยแน่ๆ
จึงพยายามเหลือพื้นที่ในหัวสมองและหัวใจเอาไว้
เติมในส่วนท่ียังขาดเอาไว้...เผื่อเอาไว้ว่าที่เรารู้มานั้น
อาจไม่ถูกต้องเสมอไป...

เพราะเมื่อความจริงปรากฏ...ความเท็จก็จะมลายหายไป...

ซึ่งการที่เราจะแยกสติปัญญา แยกความรู้สึก(นัฟซู)
แยกหัวใจออกจากกันเพื่อจะได้พบถึงที่มาของมูลเหตุต่างๆนั้น
ว่าเกิดจากสิ่งใด ย่อมเป็นสิ่งที่ดี

แต่เราจะแยกสิ่งดังกล่าวออกจากตัวเราไปคงไม่ได้เลย...
เพราะมันอยู่ด้วยกันในตัวของเรา แม้จะแตกต่างกันก็ตาม...

การบอกว่า ใจเราศรัทธาในสิ่งหนึ่งโดยที่เราไม่ยอมให้
สติปัญญาของเราได้ไตร่ตรองและศึกษาสิ่งเหล่านั้น
โดยไม่ยอมให้อารมณ์หรือนัฟซูของเราได้คล้อยตามสิ่งเหล่านั้น
มันย่อมจะเกิดการขัดกันในตัวของเรา...
และเราอาจสับสนบนหนทางที่เราบอกกับใจเรามาเสมอว่า
เรานั้นศรัทธาในสิ่งนั้นๆอยู่ขึ้นมาก็ได้ในสักวัน...
แล้วอาจจะเกิดคำถามขึ้นมาว่า "แท้จริงแล้ว เราเป็นใคร" ขึ้นมา

มันเป็นปัญหามานักต่อนักแล้วที่คนที่ข้าน้อยรู้จัก
ได้กล่าวว่า "ทำไมวันนึงที่ฉันตื่นขึ้นมา แล้วเกิดคำถามว่า
ฉันนั้นเป็นใคร และเกิดมาทำไม..."

แน่นอนว่า หากเราได้รับการศึกษาสัจธรรมของชีวิต
คำถามดังกล่าวอาจจะไม่โผล่มาเยี่ยมเราก็ได้

เพราะว่า...แท้จริงแล้ว "อัลลอฮฺ" ได้ตอบคำถามเหล่านั้นเอาไว้
ในวจนะของพระองค์ที่อยู่ในบรรดาคัมภีร์ที่มาจากพระองค์แล้ว
ขึ้นอยู่กับเราว่า จะศึกษามันเพื่อจะได้รู้และเลิกถามคำถาม
เหล่านั้นอย่างจริงจังแล้วหรือยัง...

กระทู้นี้จึงเป็นประโยชน์อย่างมากที่จะทำให้เราได้รู้จักกับ
"อัลลอฮฺ" มากขึ้นกว่าเดิมที่เคยรู้จักมา...



ต้องขออภัยที่อาจมีเนื่อหาส่วนที่นำออกไปนอกประเด็นบ้างนะคะ

วัสลาม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 25, 2013, 11:04 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged