ผู้เขียน หัวข้อ: กำเนิดตะเซาวุฟ  (อ่าน 5291 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
กำเนิดตะเซาวุฟ
« เมื่อ: ต.ค. 26, 2006, 02:44 AM »
0

กำเนิด "วิชาตะเซาวุฟ"
 
    ดร. อะหมัด อัลวัซ ( د.أحمد علوش ) ได้กล่าวว่า มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ถามถึงสาเหตุที่ไม่มีการเรียกร้องเชิญชวนไปสู่ "ตะเซาวุฟ" ในสมัยต้นๆของอิสลาม และการเชิญชวนนั้นเพิ่งจะเกิดขึ้นหลังจากยุคของศอฮาบะฮ์และตาบีอีน ?

   คำตอบก็คือ เพราะว่าไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะเรียกร้องไปสู่ตะเซาวุฟในยุคต้นๆของอิสลาม เนื่องจากว่าคนในยุคนั้นตามธรรมชาติและนิสัยของพวกเขาแล้ว พวกเขาเป็นผู้ที่ยำเกรง สงบมั่น และเพียรพยายามในเรื่องของอีบาดะห์อยู่แล้ว และด้วยกับความใกล้ชิดกับท่านศาสดา (ซ.ล)พวกเขามีการแข็งขันกันในเรื่องของความดีตามรอยศาสดา (ซ.ล) ทั้งหมด เลยไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเรียกร้องและสอนในสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติอยู่แล้ว เพราะดังกล่าวถือว่าเป็นตะเซาวุฟในตัวของมันอยู่แล้ว  ดังนั้นจึงเปรียบเทียบคนยุคต้นๆของอิสลามประหนึ่งกับชาวอาหรับที่บริสุทธิ์ (ไม่ปะปนกับชนชาติอื่น) พวกเขาสามารถรับรู้ภาษาอาหรับพร้อมหลักวาทศิลป์ด้วยกับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษรุ่นต่อรุ่น จนพวกเขาสามารถที่จะร่ายบทกวีอย่างมีวาทศิลป์ และสละสลวยเป็นธรรมชาติสอดคล้องกับหลักไวยากรณ์ ทั้งๆที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยได้ทราบไม่เคยได้ศึกษา หลักไวยากรณ์ หลักวาทศิลป์ และกฎเกนทางบทกวีเลย

   จนกระทั้งยุคสมัยมันเปลี่ยนไป พร้อมกับการเวลาที่พรากเอาหลายๆอย่างไปจากที่เป็นอยู่ กอปรกับมีการผสมปนเประหว่างชนชาติอาหรับและชนชาติที่ไม่ใช่อาหรับ ความจำเป็นที่จะต้องศึกษาค้นคว้าและทำความเข้าใจในภาษาอาหรับสำหรับคนที่ไม่ใช่อาหรับ ก็มีมากยิ่งขึ้น หลักไวยากรณ์จึงกลายเป็นความจำเป็นหนึ่งของสังคม ซึ่งเสมือนกับวิชาการอื่นๆที่ทยอยเกิดขึ้นตามกาลสมัยและเวลา ตะเซาวุฟ ก็เป็นดังที่กล่าวมาเช่นกัน เมื่อผู้คนเริ่มมีข้อแม้ในการอีบาดะห์มากยิ่งขึ้น ความจำเป็นที่จะสร้างความเข้าใจ ในเรื่องของความบริสุทธิ์ใจต่อพระเจ้าก็กลายเป็นความจำเป็นหนึ่งของสังคม

    ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ในยุคของศอฮาบะฮ์ และตาบีอีนนั้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกเรียกว่า "นักซูฟีย์"  และคำว่าตะเซาวุฟจะไม่เป็นที่ทราบในสมัยนั้น แต่พวกเขาก็เป็นนักซูฟีย์ในแง่ของการปฏิบัติ เพราะคำว่า " ตะเซาวุฟ " นั้น ไม่ได้มีความหมายเหนือไปกว่าการที่คนๆหนึ่งนั้นได้มีชีวิตและดำรงชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าของเขา อาภรณ์ตัวเองด้วยความสันโดษ สำนึกถึงความเป็นบ่าวอย่างต่อเนื่องพร้อมกับผินหน้าเข้าหาพระองค์ ด้วยหัวใจและจิตวิญญาณในทุกสภาวะของการเวลาและลมหายใจ ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง

   และความสมบูรณ์แบบทั้งหมดเหล่านี้ที่กล่าวมา ก็มีในตัวของศอฮาบะฮ์ ในยุคต้นๆของอิสลาม โดยที่พวกเขาจะยกระดับจิตวิญญาณไปสู่ระดับที่สูงส่ง และพวกเขาจะไม่หยุดอยู่แค่เพียงหลักศรัทธาและหลักปฏิบัติแค่เพียงผิวเผิน แต่พวกเขาจะพยายามที่จะไห้มีอารมณ์ความรู้สึกแห่งศรัทธาผนวกเข้าไปพร้อมๆกันกับหลักศรัทธาและหลักปฏิบัติของพวกเขา และพวกเขายังได้เพิ่มกิจที่เป็นสุนัตและไม่ข้องแวะกับสิ่งที่น่ารังเกียจ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ต้องห้ามฮารอมทั้งปวง จะกระทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยรัศมีแห้งวิทยปัญญา และเอ่อนองไปด้วยเหตุผลต่างๆแห่งพระผู้เป็นเจ้า

   ฉะนั้นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ด้วยกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและกาลเวลาที่พรากเอาหลายๆอย่างไปจากที่เคยมีในยุคอดีตทีศอฮาบะฮ์เคยปฏิบัติ กอปรกับมนุษย์เริ่มลืมเลือน เริ่มขาดจิตสำนึกของความเป็นบ่าว ในแง่ของศรัทธาและหลักปฏิบัติ เริ่มมีเงื่อนไขในหลักการปฏิบัติมากขึ้น เลยกลายเป็นความจำเป็นต่อผู้ที่มองเห็นถึงความสูญเสียอันนี้ ที่จะต้องดึงมันกลับมา ด้วยจิตสำนึกถึงความเป็นบ่าวและความสูงส่งของ อัลอิสลาม พวกเขาเลยเริ่มที่จะเรียกร้องเชิญชวน ด้วยคำพูดบ้าง ด้วยการเขียนเป็นตำราบ้าง เพื่อให้มนุษย์ได้ผินกลับเข้าหาพระผู้เป็นเจ้าด้วยจิตสำนึกแห่งความเป็นบ่าว และต่อมาได้ตั้งชื่อ วิชาการนี้ว่า "ตะเซาวุฟ" ซึ่งเป็นที่ทราบกันอย่างแพร่หลายในศตวรรษที่สาม  ท่านอิบนุตัยมียะห์และบรรดาอูลามาอ์ส่วนใหญ่ มีความเห็นว่า ชื่อของตะเซาวุฟนั้นเริ่มปรากฏ ในช่วงศตวรรษที่สองของฮิจเราะห์ แต่เป็นที่ทราบกันอย่างแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่สามของฮิจเราะห์ ดู مجموع فتاوي ابن تيمية เล่ม 11 /

   สำหรับสถานที่ ที่ปรากฏตะเซาวุฟครั้งแรกนั้น ท่าน อิบนุ ตัยมียะห์ มีทัศนะว่า สถานที่แรกที่ปรากฏตะเซาวุฟนั้นคือเมืองบัศเราะห์ และบุคคลแรกที่สร้างสถานที่พักนักซูฟีย์ ก็คือสานุศิษย์ของท่าน อับดุลวาเฮด บิน เซด และท่านอับดุลวาเฮด ก็เป็นหนึ่งจากสานุศิษย์ ของท่านฮาซัน ซึ่งในบัศเราะห์นั้น มีผู้ที่สันโดษ ผู้อิบาดะห์ และผู้ที่ยำเกรงอัลลอฮ์และฯลฯ อย่างยิ่งยวด ซึ่งไม่เคยปรากฏในเมืองอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เอง มักมีคนกล่าวว่า " ฟิกฮ์ต้องกูฟะห์ อิบาดะห์ต้องบัศเราะห์ " หมายความว่า หากเรืองฟิกฮ์ (นิติศาสตร์อิสลาม) ต้องยกให้ชาวกูฟะห์ หากเรื่องอิบาดะห์ ต้องยกให้ชาวบัศเราะห์    ดู  التصوف الإسلامي والأخلاق  หน้า 30

   แต่นักวิชาการและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า สถานที่แรกที่ปรากฏตะเซาวุฟนั้นคือ เมืองกูฟะห์ เฉกเช่นกับคำว่า " الزهد " (สันโดษ) ซึ่งได้เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองกูฟะห์เช่นกัน ต่อมาก็กระจายไปสู่โลกแห่งอิสลาม และทัศนะที่มีน้ำหนักก็คือทัศนะของปราชญ์ส่วนใหญ่ คือ สถานที่แรกที่เกิดตะเซาวุฟคือกูฟะห์ ส่วนเรื่องของอีบาดะห์ ความสันโดษ และเรื่องของความยำเกรงอัลลอฮ์นั้น ไม่มีใครเหนือกว่าใครเพราะทั้งสองเมืองมีสิ่งเหล่านั้นเหมือนกัน ดู التصوف الإسلامي والأخلاق  หน้า 32

   และเราขอกล่าวเสริมว่า รากฐานของตะเซาวุฟนั้นเป็นบทบัญญัติแห้งพระเจ้าและเป็นรากฐานของศาสนาข้อที่สามที่ศาสดา ( ซ.ล) ได้นำมาบอก อันได้แก่ อัลอิสลาม อัลอีหม่าน และอัลเอี๊ยะห์ซาน ดังฮาดีษที่บ่งบอกถึงเรื่องราวของยิบรี้ลมาพูดคุยเรื่องศาสนากับท่านศาสดาที่ว่า

عن عمر بن الخطاب رضي الله عنه قال : بينما نحن جلوس عند رسول الله صلى الله عليه وسلم ذات يوم إذ طلع علينا رجل شديد بياض الثياب شديد سواد الشعر , لا يرى عليه أثر السفر , ولا يعرفه منا أحد حتى جلس إلى النبي صلى الله عليه وسلم فأسند ركبته إلى ركبتيه ووضع كفيه على فخذيه , وقال : يا محمد أخبرني عن الإسلام , فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم " الإسلام أن تشهد أن لا إله إلا الله وأن محمدا رسول الله وتقيم الصلاة وتؤتي الزكاة وتصوم رمضان وتحج البيت إن استطعت إليه سبيلا " قال صدقت فعجبا له يسأله ويصدقه , قال : أخبرني عن الإيمان قال " أن تؤمن بالله وملائكته وكتبه ورسله واليوم الآخر وتؤمن بالقدرخيره وشره " قال : صدقت , قال : فأخبرني عن الإحسان , قال " أن تعبد الله كأنك تراه , فإن لم تكن تراه فإنه يراك " قال ,فأخبرني عن الساعة , قال " ما المسئول بأعلم من السائل " قال فأخبرني عن اماراتها . قال " أن تلد الأمة ربتها وأن ترى الحفاة العراة العالة رعاء الشاء يتطاولون في البنيان " . ثم انطلق فلبث مليا , ثم قال " يا عمر , أتدري من السائل ؟ " , قلت : الله ورسوله أعلم , قال " فإنه جبريل أتاكم يعلمكم دينكم . رواه مسلم  

   ความว่า" เล่าจากท่าน อุมัร อิบนิ ค๊อฎต๊อบ รอดิยั้ลลอฮุอันฮุ ว่า ขณะที่พวกเรานั่งอยู่พร้อมกับท่านศาสดา ศ้อลลั้ลลอฮุอะลัยฮีวาซั้ลลัม  ในวันหนึ่ง  ปรากฏมีชายผู้หนึ่งแต่งกายสีขาวสะอาด ผมดำขลับ ไม่ปรากฏร่องรอยของการเดินทางจากตัวเขา และไม่มีบุคคลใดในหมู่พวกเรารู้จักเขาเลย กระทั่งชายคนนั้นมานั่งใกล้ท่านศาสดาแล้วพาดหัวเข่าของเขากับหัวเข่าท่านศาสดา และวางสองฝ่ามือของเขาบนสองขาของท่านศาสดา และกล่าวว่า "โอ้ มูฮัมหมัด จงบอกฉันเกี่ยวกับอิสลาม ? ท่านศาสดา (ซ.ล) กล่าวตอบว่า อิสลามก็คือ การที่ท่านต้องปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ ท่านต้องปฏิบัติละหมาดห้าเวลา ท่านต้องออกซะกาต ท่านต้องถือศีลอดรอมาฏอน และท่านต้องไปทำฮัจญ์ ณ บัยตุ้ลลอฮ์ หากท่านมีความสามารถ"  ชายคนนั้นกล่าวว่า ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว (คำดังกล่าว) ได้สร้างความฉงน ( แก่เรายิ่งนัก) เขาถามแล้วเขาก็กล่าวยืนยันว่าถูกต้อง   แล้วชายคนนั้นก็ถามต่อว่า จงบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องอีหม่าน?  ท่านศาสดา (ซ.ล) กล่าวตอบว่า " อีหม่านก็คือ การที่ท่านต้องศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ศรัทธาต่อมาลาอีกะห์ของพระองค์ ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ ศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูตของพระองค์ ศรัทธาต่อวันปรภพ และศรัทธาว่าการกำหนดสภาวะแห่งความดีและความชั่วมาจากพระองค์" ชายคนนั้นกล่าวว่า ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว แล้วชายคนนั้นก็ถามต่อว่า ท่านจงบอกฉันเกี่ยวเรื่องเอี๊ยะห์ซาน ? ท่านศาสดากล่าวตอบว่า "เอี๊ยะห์ซานก็คือ การที่ท่านสักการะต่ออัลลอฮ์ ประหนึ่งว่าท่านเห็นพระองค์ หากแม้ว่าท่านไม่เห็นพระองค์ (ก็จงระลึกเสมอว่า) พระองค์ก็ทรงเห็นท่าน"  ชายคนนั้นก็กล่าวต่อว่า ท่านจงบอกฉันถึงวันปรภพ ท่านศาสดากล่าวตอบว่า ผู้ถูกถามนั้นย่อมไม่รู้ดีไปกว่าผู้ที่ถามหรอก ชายคนนั้นกล่าวต่อว่า ดังนั้นท่านจงบอกถึงสัญลักษณ์ต่างๆของมัน ท่านศาสดากล่าวว่า สัญลักษณ์ของมัน คือ ทาสหญิงจะคลอดบุตรออกมาเป็นนายของนาง และท่านจะเห็นผู้เปลือยเท้า(ไม่ใส่รองเท้า) ผู้เลี้ยงแพะจะแข่งขันกันสร้างอาคารบ้านเรือน  ต่อมาชายคนนั้นก็จากไป โดยที่ท่านศาสดาพักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นท่านศาสดาก็ถามท่าน อุมัรว่า โอ้ อุมัร ท่านทราบไหมว่าคนที่ถามนั้นเป็นใคร ฉัน(อุมัร) ก็กล่าวตอบว่า อัลลอฮ์และรอซุ้ล ทรงรอบรู้ยิ่ง ท่านศาสดากล่าวว่า แท้ที่จริงแล้วเขาคือ ยิบรี้ล เขามาหาพวกท่านเพื่อสอนศาสนาแก่พวกท่าน .  รายงานโดย มุสลิม

   จากตัวบทข้างต้น เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า "ตะเซาวุฟ" นั้นไม่ใช่เรื่องเรื่องที่อุตริขึ้นใหม่ที่ไร้ที่มาทางศาสนา ดังที่ศรัตรูอิสลาม พวกนักบูรพาคดีและสานุศิษย์ พยายามใส่ไคร้ต่ออิสลาม โดยพยายามโยงใยตะเซาวุฟอิสลามเข้ากับลัทธินอกรีด และอ้างว่าตะเซาวุฟนั้นมีที่มาจากพระของชาวพุทธบ้าง จากพราหมณ์ของอินเดียบ้าง จากนักบวชคริสต์บ้าง ฯลฯ แล้วแต่จะสรรหามาอ้างเพื่อทำลายอิสลาม แง่หนึ่งก็เพื่อสร้างความคลุมเครือให้เกิดขึ้นต่อ " ตะเซาวุฟอิสลาม" อีกแง่หนึ่ง ก็เพื่อสร้างความเข้าใจที่ผิดว่าแหล่งที่มาของตะเซาวุฟนั้นได้มาจากความเชื่ออันเก่าแก่ และปรัชญาที่งมงาย

   แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่ศรัทธาและรอบรู้ในบทบัญญัติอย่างแท้จริง พวกเขาจะไม่ยอมให้กระแสแห่งความคิดของพวกเหล่านี้ซึมซับเข้ามาทำลาย ตะเซาวุฟอิสลาม อย่างเด็ดขาด
     
http://www.muslimeen.tk/
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged