ผู้เขียน หัวข้อ: ราชวงค์ออตโตมาน  (อ่าน 5963 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ philosophy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 94
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ราชวงค์ออตโตมาน
« เมื่อ: ส.ค. 24, 2007, 12:23 PM »
0

السلام عليكم
วันนี้ขอเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับราชวงค์ออตโตมาน...เพิ่มเติมได้นะครับท่านผู้รู้ทั้งหลาย...
  สุลต่านอุษมานที่ 1 (Sultan Osman I )
 
                ในเรื่องชีวประวัติและเชื้อสายของผู้ก่อตั้งอาณาจักรออตโตมานค่อนข้างมีความ สับสนพอสมควร ทั้งนี้เพราะว่าเรื่องราวที่สำคัญบางส่วนในยุคต้นของการสถาปนาถูกเขียนขึ้นมาที่หลัง  จากการพิสูจน์ทางชาติพันธุ์ ประเพณี และบทบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่เชื่อว่าผู้ก่อตั้งอาณาจักรออตโตมานสืบเชื้อสายจากเผ่าโอฆุส (Oguz) สายโบซุก (Bozuk) แขนงกาเยอ (Kayi) ซึ่งเป็น 1 ใน 24 แขนงของเผ่าโอฆุส (M. Fuad Koprulu, 1944 : 219)  กาเยอหมายถึงผู้มีอำนาจ ผู้มีพลัง  ตามประวัติศาสตร์เล่าว่าชาวกาเยอเข้ามาตั้งรากฐานในแถบเมิร์ฟ (Merw) มาฮัน (Mahan) (ในประเทศเปอร์เซีย) พร้อมๆ กับชาวเซลจูก (Seljuk) ในคริสต์ศตวรรษที่ 9 แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าชาวกาเยอเข้ามาในอนาโตเลียตั้งแต่เมื่อไร  อย่างไรก็ตามหลังจากสงครามมาลาซเกอร์ต (Malazgirt) ในปี ค.ศ.1072  ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวเซลจูก ( Great Seljuks ) เรืองอำนาจเหนืออนาโตเลียปรากฏว่ามีเผ่าโอฆุสแขนงต่างๆ เข้ามาพึ่งพิงชาวเซลจูกอาศัยอยู่ในอนาโตเลีย  ซึ่งบรรดาเผ่าโอฆุสแขนงต่างๆ เหล่านั้นเข้าใจว่าชาวกาเยอก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่สามารถระบุแน่ชัดว่าชาวกาเยอตั้งรกรากอยู่ที่ไหนในอนาโตเลีย  ตามประวัติศาสตร์ของออตโตมานในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวกาเยอปรากฏอยู่ในพื้นที่ต่างๆ เช่น แอร์ซูรูม  สีวัส  อะมัสยา  อังการา  โบซุก  (ปัจจุบันคือเมืองโยซกัต)  เกอร์ชาฮีร อักซาราย  โจรุม  กัสตาโมโน  ซัมซุน  จันเกอเรอ  โบลู  แอสกีชาฮีร  กุนยา  บุรซา   จุกุโรวา  อิสปาร์ตา  บุรดุร  เดนิซลี  มุฆลา  และ    ไอดึน  จากการค้นพบนี้แสดงให้เห็นถึงเส้นทางการอพยพของชาวกาเยอนั้นมาจากทางทิศตะวันออกสู่ทางทิศตะวันตกของอนาโตเลีย

                มีหลักฐานหลายเล่มกล่าวถึงเชื้อสายสุลต่านอุษมานผู้ก่อตั้งราชวงค์ออตโตมานว่าสืบเชื้อสายมาจากโอฆุส และจากโอฆุสจนถึงท่านศาสดานูหฺ อะลัยฮิสะลาม  แต่หลักฐานเหล่านี้ไม่อาจพิสูจน์ได้  แม้แต่ข้อมูลสำคัญบางอย่างในช่วงเริ่มแรกถึงการมีบทบาททางการเมืองของ ราชวงค์ออตโตมานในอนาโตเลียก็ไม่อาจล่วงรู้ได้  อย่างไรก็ตามสิ่งที่       นักประวัติศาสตร์รู้ชัดเจนคือ บิดาของสุลต่านอุษมานมีชื่อว่า ?แอร์ตุฆรูล เบย์ (Ertugrul Bey)?  ส่วนปู่ของพระองค์นั้นไม่เป็นที่แน่ชัดว่าคือใครกันแน่  แต่ตามหลักฐานชั้นต้นมีการกล่าวถึงปู่ของพระองค์อยู่สองทัศนะ  ทัศนะแรกมีความเห็นว่าปู่ของพระองค์มีชื่อว่า ?สุไลมาน ชาห์ (Sulaiman Shah)?  ส่วนทัศนะที่สองมีความเห็นว่าปู่ของพระองค์มีชื่อว่า ?กุนดุษ  อัลฟ์  (Gunduz Alp)?

                สายรายงานที่กล่าวว่าสุไลมาน ชาห์เป็นบิดาของแอร์ตุฆรูล เบย์นั้นจะนำเสนอชีวประวัติที่คล้ายคลึงกับสุไลมาน ชาห์ บุตรของกุตัลมิซ ผู้ก่อตั้งรัฐเซลจูกแห่งอนาโตเลีย ซึ่งเสียทีถูกทหารของสุลต่านมาลิกชาห์ฆ่าเสียชีวิตในปี ค.ศ.1086  ศพของท่านถูกฝังไว้หน้าประตูเมืองฮาเล็ป (Halep)  ต่อมาเรื่องราวของท่านมีการเล่ากันมาจนกลายเป็นตำนาน  ซึ่งในหลักฐานยุคต้นของประวัติศาสตร์

ออตโตมานจะอิงตำนานเหล่านี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า   สุไลมาน ชาห์เป็นปู่ของสุลต่านอุษมาน โดยจะเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิต  จากการเสียชีวิตระหว่างสงครามมาเป็นการจมน้ำตายในแม่น้ำยูเฟรตีส (Euphrates) เรื่องราวดังกล่าวนี้มีการเล่ากันนับศตวรรษจนเป็นตำนานของบรรพบุรุษชาวเติร์ก  แม้ว่าไม่มีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์แน่ชัดว่าสุไลมาน ชาห์เป็นปู่ของสุลต่านอุษมาน  แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าท่านเป็นบรรพบุรุษของชาวเติร์กอีกท่านหนึ่ง  ตำนานของท่านอาจปะปนและสับสนกับ   สุไลมาน ชาห์ บุตรของกุตัลมิซผู้สถาปนาอาณาจักรเซลจูกแห่งอนาโตเลีย  สำหรับสายรายงานที่กล่าวว่ากุนดุษ อัลฟ์เป็นปู่ของสุลต่านอุษมานนั้นน่าจะใกล้ความจริงมากที่สุดประกอบกับเมื่อเปรียบเทียบระหว่างสองทัศนะนี้แล้ว ปรากฏว่าสายรายงานที่กล่าวว่า     กุนดุษ อัลฟ์เป็นปู่ของสุลต่านอุษมานนั้นส่วนใหญ่มาก่อนสายรายงานที่กล่าวว่าสุไลมาน ชาห์เป็นปู่ของสุลต่านอุษมาน

                      

  การขึ้นเป็นผู้นำของแอร์ตุฆรูล เบย์ (Ertugrul Bey)

                เป็นที่ทราบกันดีว่าหลังจากสงครามมาลาซเกอร์ต (Malazgirt) ในปี ค.ศ.1072 เติร์กมันเผ่าต่างๆ ได้อพยพเข้ามาในแถบอนาโตเลียเป็นจำนวนมาก  ส่วนเผ่ากาเยอนั้นส่วนใหญ่จะตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณชายแดนทางทิศตะวันตกของอนาโตเลีย ในสมัยสุลต่านอลาอฺอุดดีน ไกกุบาตที่ 1 แห่งอาณาจักรเซลจูกรูมี เผ่ากาเยอซึ่งเป็นเผ่าของสุลต่านอุษมานตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บริเวณการาจาดาฆ (Karacadag) ทางทิศตะวันตกของเมืองอังการา (Ankara)  เผ่านี้เข้ามาในบริเวณนี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่เป็นที่ทราบแน่นอน สิ่งที่นักประวัติศาสตร์รู้แน่ชัดคือ กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 แอร์ตุฆรูล เบย์ บิดาสุลต่านอุษมานขึ้นเป็นผู้นำและปกครองบริเวณโซฆุต (Sogut)  และโดมานิช (Domanic)  ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านชายแดนทางทิศตะวันตกติดกับโรมและไบแซนทีน  โดยเป็นรัฐใต้อาณัติของเซลจูกรูมี  เนื่องจากเป็นเมืองหน้าด่าน แอร์ตุฆรูล เบย์ ต้องเผชิญกับทหารโรมันและไบแซนทีนตลอดเวลา  นับว่าเป็นกองหน้ากล้าตาย ทำให้กองกำลังมีความเข้มแข็งและมีบทบาททางการเมืองอย่างโดดเด่นมากยิ่งขึ้น  ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการสถาปนาอาณาจักรออตโตมานต่อไป

 

       การขึ้นเป็นผู้นำของสุลต่านอุษมาน

                แอร์ตุฆรูล เบย์ เสียชีวิตประมาณปี ค.ศ.1280  มีอายุประมาณ  90  ปี  สุสานของท่านอยู่ที่โซฆุต (Sogut) หลังจากท่านเสียชีวิตแล้วน้องชายของท่านชื่อว่า ?ดุนดาร (Dundar)?  ต้องการเป็นผู้นำแทน  แต่อุษมานซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กของแอร์ตุฆรูล เบย์ มีความกล้าหาญและมีคุณธรรมเป็นที่ยอมรับของคนในเผ่ามากกว่าจึงขึ้นมาเป็นผู้นำแทนบิดาของท่าน  ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุเพียง  23  ปี   ในช่วงแรกที่อุษมานขึ้นมาเป็นผู้นำนั้น  เผ่าของเขาขึ้นอยู่กับเผ่าโจบัน (Coban)  ซึ่งเป็นเผ่าหน้าด่านของอาณาจักรเซลจูกแห่งอนาโตเลีย  เพื่อปกป้องเขตแดนจากการรุกรานจากรัฐข้างเคียง เช่น การรุกรานของชาวโรมและชาวไบแซนทีน  ซึ่งรุกรานบริเวณชายแดนอยู่ตลอดเวลา  เผ่าหน้าด่านอื่นๆ ไม่อาจปกป้องชายแดนจากการรุกรานดังกล่าวได้  ในขณะที่เผ่าของอุษมานไม่เพียงสามารถต้านทานการ     รุกรานของทหารโรมันและไบแซนทีนในแนวชายแดนได้เท่านั้น  แต่พวกเขายังสามารถโจมตีและรุกล้ำเข้าไปยึดพื้นที่ของทหารโรมันและไบแซนทีนในแนวชายแดนได้อีกด้วย  ด้วยพระปรีชาสามารถของอุษมานจึงทำให้ชื่อเสียงของท่านโด่งดังไปยังเผ่าอื่นๆ จึงมีนักรบที่กล้าหาญจากเผ่าอื่นๆ อาสาเข้ามาอยู่ร่วมภายใต้การนำของอุษมานมากมาย  เช่น  อับดุรรอมาน  กาซี (Abdurraman Gazi)  อักจา  โกชา (Akca  Koca)  โกนูร  อัลฟ์ (Konur Alp)   และตุรฆุต  อัลฟ์ (Turgut Alp)  เป็นต้น  

                ด้วยชื่อเสียงที่เต็มไปด้วยความปรีชาสามารถของท่านอุษมานทำให้ท่านใกล้ชิดกับท่านอะฮี ระอีซีย์ เชค  แอแดบาเลอ  (Ahi Reisi Shaikh Edebali)    ซึ่งเป็นผู้นำเติร์กมันเผ่าอะฮีในสมัยนั้นซึ่งพึงพอใจต่อท่านอุษมานเป็นอย่างมาก    และได้ยกลูกสาวของท่านให้แก่อุษมานพร้อมกับแต่งตั้งให้อุษมานเป็นหัวหน้าดูแลเมืองหน้าด่านอย่างเป็นทางการ อุษมาน ออกทัพรบชนะทหารโรมันหลายครั้งจึงได้รับสมญานามว่า ?กาซี (Gazi)?  จึงมีการเรียกชื่อท่านว่า ?อุษมาน กาซี  (Osman Gazi)?

                หลังจากได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าดูแลเมืองหน้าด่านแล้ว  ผลงานของอุษมาน กาซีก็ได้ปรากฏเด่นชัดมากขึ้น  ชื่อเสียงของท่านนับวันก็ทวีเพิ่มมากขึ้น  ท่านได้ดำเนินนโยบายตามบิดาของท่าน ท่านให้ความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเพื่อนบ้านชาวโรมันในหัวเมืองต่างๆ  แต่อย่างไรก็ตามชาวโรมันไม่ค่อยสบายใจมากนักในความเข้มแข็งของท่าน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าเมืองอินิโกล  (Inegol)  ซึ่งส่งสาส์นไปยังหัวเมืองเพื่อนบ้านชาวโรมัน  เพื่อบ่งบอกถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเพราะความเข้มแข็งของอุษมาน กาซี  พวกเขาได้รวมตัวกันกดดันชาวเติร์กเผ่าต่างๆที่ภักดีต่ออุษมาน  เมื่อเรื่องราวต่างๆ ทราบถึงอุษมาน  ท่านจึงตัดสินใจเข้าพิชิตหัวเมืองอินิโกลในปี ค.ศ.1284  แต่ว่าเมืองอินิโกลมีกำแพงเมืองที่แข็งแรงมาก เจ้าเมืองอินิโกลได้ยกทัพมาดักโจมตีกองทัพของอุษมานที่เมืองแอรแมนิเบลี (Ermenibeli) ในระหว่างการสู้รบอย่างดุเดือดที่สมรภูมิแอรแมนิเบลีนั้น  อุษมานต้องสูญเสียหลานชายหนึ่งคนชื่อว่า ?เบย์  โฮจา (Bey Hoca)?  ทำให้ท่านโศกเศร้ามากและตัดสินใจถอยทัพก่อนเป็นการชั่วคราว  ต่อมาอุษมานตัดสินใจยกทัพมาพิชิตเมืองอินิโกลใหม่  การยกทัพของอุษมานในครั้งนี้ท่านสามารถบุกเข้าไปทำลายกำแพงเมืองดังกล่าวได้ และสามารถพิชิตได้สำเร็จในปี ค.ศ.1287  หลังจากนั้นหนึ่งปีอุษมาน กาซีได้กรีฑาทัพยึดหัวเมืองการาจาฮิษาร์ (Karacahisar) ต่อ จากการพิชิตสองหัวเมืองดังกล่าวนี้ทำให้บทบาททางการเมืองของอุษมานในอนาโตเลียเพิ่มความเด่นชัดมากขึ้น และได้รับธงการปกป้องชายแดนจากกษัตริย์เซลจูกแห่งอนาโตเลีย

                กองทัพอุษมานนับวันยิ่งทวีความเข้มแข็งมากขึ้นและเริ่มพิชิตดินแดนใหม่ๆ มากขึ้นตามลำดับ  ซึ่งสร้างความหนักใจแก่ชาวโรมันและชาวไบแซนทีนเป็นอย่างมาก  พวกเขาได้วางแผนที่จะกำจัดอุษมาน กาซี  โดยถือโอกาสเชิญท่านเข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งงานของราชธิดาแห่งเมืองยารฮีษาร์  (Yarhisar)  และพวกเขาตั้งใจจะกำจัดอุษมานในงานเลี้ยงดังกล่าว  เมื่อแผนการณ์อันชั่วร้ายนี้ทราบถึงอุษมาน ท่านไม่เพียงแต่ไม่ไปงานเลี้ยงดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังเตรียมแผนจะพิชิตเมืองดังกล่าวพร้อมกับหัวเมืองบิแลจิก (Bilecik) อีกด้วย  ในปี ค.ศ.1293 กองทัพอุษมานสามารถพิชิตและยึดครองหัวเมืองทั้งสองได้  ต่อมาในปี ค.ศ.1300 เมืองกุฟรูฮิษาร์ (Kopruhisar) และเมืองเยนีซาฮีร์ (Yenisehir) ก็ถูกกองทัพอุษมานพิชิตด้วย (Uzuncarsili, 1972 ; 3) หลังจากเมืองเยนีซาฮีร์ตกเป็นเมืองขึ้นของท่านอุษมานแล้ว  ชาวเติร์กมันได้อพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งในเมืองนี้อย่างหนาแน่น จนเมืองนี้กลายเป็นศูนย์เมืองหน้าด่าน  ผลจากการพิชิตดินแดนของกองทัพอุษมานทำให้เส้นทางทางบกระหว่างเมืองบุรซา (Bursa)  และเมืองอิซนิก (Iznik-Nicea) ซึ่งเป็นหัวเมืองสำคัญของไบแซนทีนถูกตัดขาดและควบคุมโดยชาวเติร์ก

                มีรายงานว่าหลังจากอุษมานสามารถขยายดินแดนได้มากขึ้นก็ประกาศเป็นรัฐอิสระจากอาณาจักรเซลจูลเติร์กแห่งอนาโตเลียในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13  แต่ในความเป็นจริงแล้วในช่วงดังกล่าวนั้นถึงแม้ว่าอาณาจักรเซลจูกถูกควบคุมอยู่ใต้อาณัติของมงโกลก็ตาม  แต่อาณาจักรเซลจูกยังไม่ล่มสลายอย่างสิ้นเชิง  หลังจากอาณาจักรเซลจูกถูกโค่นล้มในปี ค.ศ.1308  อุษมานก็เหมือนกับเติร์กมันเผ่าอื่นๆ ที่ยอมรับการเป็นรัฐใต้อาณัติของมงโกลโดยการส่งเครื่องบรรณาการเป็นรายปีและบางครั้งก็ต้องส่งทหารไปให้แก่มงโกลอีกด้วย  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านอุษมานสามารถประกาศเป็นรัฐอิสระในปลายศริสต์ศตวรรษที่ 13 ได้  อย่างไรก็ตามอาจกล่าวได้ว่าในปลายศตวรรษนี้  กองทัพอุษมานสามารถขยายดินแดนไปสู่เขตโรมันและเขตไบแซนทีนได้สำเร็จ  ทำให้บทบาททางการเมืองของ อุษมานในอนาโตเลียเริ่มเด่นชัดมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการจุดประกายของการสถาปนาอาณาจักรออตโตมานในเวลาต่อมา

 

 กองทัพอุษมานเผชิญหน้ากับกองทัพไบแซนทีน ณ สมรภูมิโกยุนฮิษาร์

                การขยายดินแดนของกองทัพอุษมานไม่เป็นที่พึงพอใจแก่ชาวโรมันและไบแซนทีนเป็นอย่างมาก จักรพรรดิไบแซนทีนทรงมีกระแสรับสั่งให้ปกป้องหัวเมืองอิซนิก (Iznik- Nicea) จากเงื้อมมืออุษมาน เพราะหัวเมืองดังกล่าวเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของไบแซนทีน

                ในปี ค.ศ.1301 พระองค์ได้ส่งกองทัพอันเกรียงไกร  เพื่อข่มขู่และปกป้องเมือง     ดังกล่าวจากเงื้อมมือกองทัพอุษมาน  กองทัพอุษมานได้เผชิญหน้ากับกองทัพแห่งจักรพรรดิไบแซนทีน ณ สมรภูมิโกยุนฮิษาร์  สงครามครั้งนี้นับว่าเป็นสงครามที่สำคัญยิ่งและเป็นครั้งแรกที่กองทัพอุษมานต้องเผชิญหน้าอย่างเต็มกำลังกับกองทัพแห่งจักรพรรดิไบแซนทีน  สงครามได้ดำเนินไปอย่างดุเดือด  จนสุดท้ายกองกำลังแห่งจักรพรรดิไบแซนทีนไม่สามารถเอาชนะกองทัพอุษมานได้  จนต้องถอยทัพกลับไปในที่สุด  หลักฐานทางประวัติศาสตร์ร่วมสมัยบางเล่มเริ่มกล่าวถึงอุษมานอย่างเด่นชัดหลังจากมีชัยในสมรภูมิโกยุนฮิษาร์นี้

                การปราชัยของกองทัพจักรพรรดิไบแซนทีนในครั้งนี้เป็นการเปิดช่องทางให้กองทัพอุษมานขยายดินแดนไปยังรอบๆ หัวเมืองอิซนิก (Iznik) และหัวเมืองบุรซา (Bursa) และควบคุมเส้นทางสู่สองเมืองทั้งสองถึงสามทิศ พร้อมกับตัดกำลังสนับสนุนจากเมืองหลวงสู่เมืองทั้งสอง  อีกทั้งเส้นทางระหว่างเมืองอิซนิก (Iznik)  และเมืองอิซมิต (Izmit) ผ่านที่ราบลุ่มสะการียา (Sakariya) ก็ถูกควบคุมโดยกองกำลังของอุษมานด้วยเช่นกัน และในปี ค.ศ.1308 กองทัพอุษมานได้บุกเข้าพิชิตเมืองการาฮิษาร์ (Karahisar) ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของเมืองอิซนิก   หลังจากนั้นกองทัพอุษมานได้เข้าไปล้อมรอบเมืองอิซนิกและเมืองบุรซา  เพื่อตัดกำลังสนับสนุนจากเมืองข้างนอก  บุรซาเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญเมืองหนึ่งของอาณาจักรไบแซนทีน  ซึ่งมีกำแพงเมืองและป้อมปราการที่แข็งแรงมากยากต่อการพิชิต  ถึงแม้ว่าจะถูกตัดขาดการติดต่อกับเมืองอื่นๆ แต่ก็ยังได้รับการสนับสนุนกำลังทหารและเสบียงอาหารจากเมืองหลวงโดยผ่านทางทะเล

                ในช่วงดังกล่าวนี้อาณาจักรไบแซนทีนอยู่ในภาวะที่คับขันมาก ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพถึง 2 ด้าน คือด้านหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับกองทัพของอุษมาน  ส่วนอีกด้านหนึ่งคือทางทิศตะวันตกของอนาโตเลียต้องเผชิญหน้ากับชาวเติร์กมัน (Turkman) เผ่าไอดึน (Aydin) และแมนแตแซ (Mentese) ที่พยายามรุกรานอาณาเขตตลอดเวลา  เพื่อปกป้องอาณาจักรจากการรุกรานของชาวเติร์กมัน  จักรพรรดิแอนโดรนิเคอุสที่ 2 (Andronicaus II) แห่งไบแซนทีนได้พยายามสร้างมิตรภาพกับกษัตริย์อิลฮานิด (Ilhanid) โดยการยกน้องสาวที่ชื่อว่า ?มาเรีย (Maria)?  ให้แก่กษัตริย์กาซัน มะฮ์มูด  ฮัน (Gazan Mahmud Han)  ทั้งนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ฉันเครือญาติกับชาวมงโกล  และยุติการรุกรานของชาวเติร์ก    แต่ว่ากษัตริย์กาซัน มะฮ์มูด ฮันได้เสียชีวิตก่อนที่มาเรียจะเดินทางมาถึง  ต่อมากษัตริย์โอลจัยตู ฮัน (Olcaytu Han) ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนกษัตริย์กาซัน มะฮ์มูด ฮัน  และกษัตริย์โอลจัยตู  ฮันไม่ค่อยสนใจต่อข้อเสนอของจักรพรรดิไบแซนทีนมากนัก ประกอบกับช่วงดังกล่าวอาณาจักรอิลฮานิด (Ilhanid) มีปัญหาภายในต้องเผชิญหน้ากับอาณาจักรมัมลูก (Mumluk) ใน อียิปต์  จึงไม่มีโอกาสที่จะมาช่วยอาณาจักรไบแซนทีนได้

                กองทัพอุษมานไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทองครั้งนี้หลุดลอยไป  จึงสั่งให้กองทัพของเขาพยายามรุกหน้าตลอด และสามารถยึดครองพื้นที่บางส่วนในที่ราบลุ่มสะการียา (Sakariya) และแถบมาร์มารา (Marmara)  เป้าหมายของกองทัพอุษมานต้องการพิชิตสามหัวเมืองหลักคือ เมืองอิซนิก  เมืองอิซมิต  และเมืองบุรซา  กองทัพอุษมานเริ่มล้อมเมืองบุรซาตั้งแต่ปี ค.ศ.1314 และดำเนินกว่า 10 ปีก็ไม่อาจบุกผ่านป้อมปราการเมืองดังกล่าวได้  ประกอบกับเมืองดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนทั้งกำลังทหาร  อาวุธยุทโธปกรณ์  และเสบียงอาหารจากเมืองหลวงผ่านเส้นทางทางทะเลได้  จนกระทั่งในปี ค.ศ.1321 กองทัพ  อุษมานสามารถยึดท่าเรือมูดันยา (Mudanya) ได้  จนทำให้เมืองบุรซาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

 

        อุษมานสิ้นพระชนม์

                ในระหว่างที่กองทัพอุษมานล้อมเมืองบุรซานั้น  ท่านอุษมานเกิดอาการล้มป่วยและได้แต่งตั้งลูกชายของท่านที่ชื่อว่า ?อรฮาน (Orhan)? ดำเนินการล้อมเมืองดังกล่าวต่อไป  และท่านได้สั่งเสียอย่างหนักแน่นให้ลูกชายของท่านพยายามพิชิตเมืองบุรซาให้ได้ และในปี ค.ศ.1326 ท่านอุษมานก็สิ้นพระชนม์ลงก่อนที่การพิชิตเมืองบุรซาจะประสบความสำเร็จ  ศพของท่านนั้นเดิมฝังไว้ที่เมืองโซฆุต ต่อมาเมื่ออรฮานพิชิตเมืองบุรซาได้ก็ได้ย้ายศพของท่านมาฝังไว้ที่เมืองบุรซาในสุสานที่เรียกว่า ?ฆูมุซลู กุนเบต (Gumuslu  Kunbet)?
เดี๋ยวมาต่อกันใหม่ครับ
MJ  والسلام



ออฟไลน์ น้องปุ้มปุ้ยเองค่ะ ^^

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 27
  • เพศ: หญิง
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ราชวงค์ออตโตมาน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ส.ค. 24, 2007, 03:06 PM »
0
Assalamฯ  ค่ะ

นี่ก็ เรื่องประวัติสาด  น่าสนใจทั้งนั้นเลยค่ะ
จะติดตามนะคะ พี่ ชือ่คล้าย ยี่ห้อเครื่องสำอาง เยย  ;D
หน้าตาดี เพราะจิตใจงาม ^^

ออฟไลน์ philosophy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 94
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ราชวงค์ออตโตมาน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ส.ค. 29, 2007, 03:00 PM »
0
السلام عليكم
มาแว้ว...
2.  สุลต่านอรฮาน ( Sultan Orhan)
     เมื่อสุลต่านอุษมานสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ.1326 อรฮานราชโอรสองค์ที่สองได้ขึ้นครองราชย์เป็นสุลต่านองค์ที่ 2 แห่งอาณาจักรออตโตมาน พระองค์ทรงกำเนิดประมาณปี ค.ศ. 1281 พระราชมารดามีนามว่ามาล  ฮาตูน (Mal  Hatun) บุตรีของอุมัร  อับดุลอาซีซ  วิเซียร์แห่งอาณาจักรเซลจูก พระองค์ขึ้นครองราชย์ขณะที่มีพระชนมายุได้ประมาณ 45 ชันษา  พระองค์มีความเข้มแข็งกล้าหาญในการรบ  ได้รับคำสั่งสอนที่ดีจากพระราชบิดาและพระอัยกา (ปู่) เคยเป็นแม่ทัพในการสงครามหลายครั้ง  พระองค์ทรงรักความเจริญก้าวหน้า กล้าหาญ ชอบต่อสู้เพื่อหนทางของอัลลอฮฺ มีความสามารถในการปกครองและชอบสำรวจสังคม 

2.1 พิชิตหัวเมืองบุรซา (Bursa)

                สุลต่านอรฮานได้สานต่อนโยบายในการพิชิตหัวเมืองบุรซาโดยไม่หยุดยั้งตามคำสั่งเสียของพระราชบิดาของพระองค์ พระองค์ได้รวบรวมเหล่าแม่ทัพที่เก่งกาจ เช่น โกแซ     มิฮาล  ตุรฆุต  อัลฟ์  เชคมะห์มูดและอะฮี หะสัน มาประชุมวางแผนร่วมกันในการพิชิตหัวเมืองบุรซา จนในที่สุดเมืองบุรซาถูกล้อมรอบและตัดขาดการช่วยเหลือจากเมืองหลวงและโลกภายนอก ทำให้เมืองบุรซาอ่อนกำลังลงเพราะขาดทั้งกำลังทหาร เสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์ จนต้องยอมแพ้และสยบต่อกองกำลังชาวเติร์กอย่างสิ้นเชิงในปี ค.ศ. 1326   การที่สุลต่านอรฮานสามารถพิชิตหัวเมืองบุรซาได้สำเร็จนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่อาณาจักรออตโตมันจะก้าวไปเป็นมหาอำนาจในดินแดนอนาโตเลียในเวลาต่อมา พระองค์ได้มีกระแสรับสั่งให้บูรณะและฟื้นฟูเมืองบูรซาพร้อมกับย้ายเมืองหลวงจากโซฆุตมายังเมืองบุรซาพร้อมกับประกาศเป็นรัฐเอกราชจากอาณาจักรเซลจูกและมงโกล และเข้าใจว่าพระองค์ได้สถาปนาตนเองเป็นสุลต่านอย่างสมบูรณ์หลังจากอาณาจักรมงโกลในอิหร่าน(Ilhanid) ล่มสลายไปในปี ค.ศ. 1336

                พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งให้อลาอฺอุดดีน  พระเชษฐาธิราช เป็นแกรนด์วิเซียร์ (Sadr Azam)  ซึ่งมีอำนาจรองจากพระองค์  นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มีระบบแกรนด์วิเซียร์มาใช้ในอาณาจักรออตโตมาน อลาออุดดีนมีบทบาทมากในการช่วยเหลือราชการของสุลต่านอรฮาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางระเบียบกฎหมายในการบริหารรัฐและการจัดตั้งกองทหารแจนิสเซรีขึ้น (Janissaries)เพื่อเป็นกองทหารที่พิทักษ์สุลต่าน  เป็นกองทหารที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี  มีความสามารถในการรบอย่างดีเยี่ยม

                ในปี ค.ศ.1327  สุลต่านอรฮานได้มีกระแสรับคำสั่งให้ผลิตเงินตราของตนเองแทนเงินตราของอาณาจักรเซลจูกและไบแซนทีน โดยที่เงินดังกล่าวได้ด้านหนึ่งเขียนคำว่า  ?ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ มุฮัมมัดรอซูลุลลอฮฺ? พร้อมกับรายนามเคาะลีฟะฮฺอัรรอชิดูนทั้ง 4 ท่าน  และอีกด้านหนึ่งเขียนชื่อสุลต่านอรฮาน บุตร อุษมาน  ชื่อเมืองบุรซา พร้อมกับประทับตราของเผ่ากาเยอและปีการผลิตเงิน (ฮิจเราะฮ์ศักราช 727)  พระองค์ทรงจัดระบบการทหารให้เป็นทางการ โดยให้มีเครื่องแบบเฉพาะและจัดที่พักอาศัยให้แก่ทหาร     นอกจากนี้พระองค์ทรงสร้างสาธารณประโยชน์หลายอย่าง เช่น สร้างโรงเรียน  มัสยิด ที่ดื่มน้ำสาธารณะ มหาวิทยาลัยที่เมืองบุรซา   จนทำให้มีนักกวีและนักวิจัยมากขึ้น
ไว้มาต่อใหม่นะคร้าบ...
والسلام
 :o :o :o


ออฟไลน์ กูปีเยาะฮฺสะอื้น

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1679
  • เพศ: ชาย
  • ที่สุดแห่งชีวิต
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: ราชวงค์ออตโตมาน
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ส.ค. 30, 2007, 01:58 PM »
0
แล้วจารออ่านต่อน่ะ
มีหลักเกณฑ์ ยึดหลักการ มีหลักฐาน มั่นหลักธรรม

ออฟไลน์ philosophy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 94
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ราชวงค์ออตโตมาน
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ก.ย. 25, 2007, 03:32 PM »
0
السلام عليكم
ขอมาอัฟ...ที่ห่างหายไป

  พิชิตหัวเมืองอิซนิก (Iznik-Nicea) และหัวเมืองอิซมิต (Izmit ? Nicomedia)

                ในปี ค.ศ. 1329 สุลต่านอรฮานได้กรีฑาทัพมุ่งหน้าไปยังหัวเมืองอิซนิกซึ่งเป็นหัวเมืองรองจากเมืองหลวงและเป็นเมืองอุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลมาร์มารา (Marmara) ที่สำคัญแห่งหนึ่งของอาณาจักรไบแซนทีน ทั้งเพื่อตัดกำลังสำคัญของกองกำลังไบแซนทีนในแถบชายฝั่งทะเลมาร์มารา และเพื่อแสดงแสนยานุภาพกองกำลังชาวเติร์กที่เหนือกว่ากองกำลังไบแซนทีน เมื่อข่าวดังกล่าวทราบถึงจักรพรรดิอันโดรนิคัส ที่ 3 (Andronicus III ครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 1328-1341) พระองค์ทรงยกทัพอันมหึมาด้วยพระองค์เองเพื่อปกป้องเมืองอิซนิกจากเงื้อมมือสุลต่านอรฮาน กองทัพทั้งสองได้รบกันอย่างดุเดือด ณ สมรภูมิมัลแตแป (Maltepe - Palekonon) กองทัพไบแซนทีนไม่สามารถต้านกองกำลังของสุลต่านอรฮานได้ ประกอบกับจักรพรรดิได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ จึงจำเป็นต้องถอยทัพกลับไปยังเมืองหลวง    และทำให้กองทัพสุลต่านอรฮานสามารถเข้าไปพิชิตและยึดเมือง  อิซนิกได้สำเร็จในที่สุด                       

                หลังจากเมืองอิซนิกตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว สุลต่านอรฮานได้นำทัพมุ่งหน้าต่อไปยังหัวเมืองอิซมิตและได้ปิดล้อมเมืองอิซมิตในปี ค.ศ. 1331 สภาพภูมิศาสตร์ของหัวเมืองอิซมิตนอกจากเป็นเมืองท่าที่สำคัญแล้วยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทะเลที่สำคัญยิ่ง ทั้งนี้เพราะว่ามีสภาพเป็นอ่าวลึก เป็นที่กำบังลมพายุ   สุลต่าน อรฮานทรงตระหนักดีว่า การที่จะพิชิตเมืองคอนสแตนติโนเปิลได้นั้นต้องอาศัยฐานทัพเรือเป็นที่สำคัญ และเมืองอิซมิตนี้เหมาะสมที่สุดที่จะสะสมและเสริมสร้างกองกำลังทางเรือ  เมื่อจักรพรรดิไบแซนทีนทรงทราบการปิดล้อมเมืองอิซมิตของกองทัพออตโตมาน พระองค์ทรงขอเจรจาสงบศึกกับสุลต่านอรฮานและขอให้ยุติการปิดล้อมเมืองอิซมิต  สุลต่านอรฮาน ทรงรับเงื่อนไขของพระองค์และได้ทรงถอนกำลังไปในที่สุด ในปีดังกล่าวนี้อลาอฺอุดดีน  พระเชษฐาธิราช  ซึ่งเป็นแกรนด์วิเซียร์ (Sadr Azam) คนแรกแห่งราชวงศ์ออตโตมานได้เสียชีวิต พระองค์ทรงแต่งตั้งราชโอรสคือสุไลมาน ปาชา ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ต่อมาในปี ค.ศ. 1337 สุลต่านอรฮานได้กรีฑาทัพมุ่งหน้ามายังหัวเมืองอิซมิตอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพิชิตเมืองอิซมิตและพื้นที่แหลมโกจาแอลี (Kocaeli) ทั้งหมดได้สำเร็จและได้ทรงมอบให้แกรนด์วิเซียร์สุไลมาน ปาชา เป็นผู้ดูแลบริเวณดังกล่าวนี้  สุลต่านอรฮานทรงมีกระแสรับสั่งให้บูรณะและฟื้นฟูเมืองอิซมิตและเมืองอิซนิก พระองค์ทรงมีนโยบายเคลื่อนย้ายชาวเติร์กเผ่าต่างๆ ในดินแดนอนาโตเลียมาตั้งหลักแหล่งในดินแดนที่ได้พิชิตใหม่เหล่านี้ ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงในดินแดนดังกล่าว พระองค์ทรงเปลี่ยนโบสถ์เซนต์โซเฟีย (Ayasofya) แห่งเมืองอิซนิกเป็นมัสยิด ทรงสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ และทรงสร้างสถาบันการศึกษาชั้นสูง (Madrasah) ณ เมืองอิซนิก นับว่าเป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงแห่งแรกในราชวงศ์ออตโตมาน พระองค์ทรงแต่งตั้งนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงดูแลสถาบันดังกล่าวนี้ เช่น ฟากิฮ ดาวูด กัยแซรี   ตาญุดดีน กุรดี    อะลาอัดดีน อัสวัด เป็นต้น และได้ผลิตนักปราชญ์  อุลามาอ นักกวีมากมาย
والسلام
 ;D ;D ;D

 

GoogleTagged