ผู้เขียน หัวข้อ: อิสลามต้องรับผิดชอบในความหล้าหลังของบรรดามุสลิมหรือไม่?  (อ่าน 4327 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

อิสลามต้องรับผิดชอบในความหล้าหลังของบรรดามุสลิมหรือไม่?

1. ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสนา  ได้ชี้ชัดโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า  ในช่วงระยะเวลาอันสั้นนั้น  อิสลามมีศักยาภาพในการทำให้ประจักษ์ถึงการสร้างบรรดาอารยธรรมอันโดดเด่นขึ้นมา  ซึ่งเป็นอารยธรรมที่มีอายุยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลก  และหลักยืนยันต่าง ๆ ในสิ่งดังกล่าว  ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจน  ในสิ่งที่บรรดามุสลิมีนได้มอบเป็นมรดกตกทอดเอาไว้  จากวิทยาการอันมากมายในหลากหลายสาขาวิชา  และบรรดาหอสมุดระดับโลกได้ประมวลผลงานการประพันธ์ต่าง  ๆ  ไว้เป็นพัน ๆ ที่มาจากผลงานการประพันธ์ดั้งเดิมของอาหรับอิสลามที่เขียนด้วยมือ  ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่า บรรดามุสลิมนั้นมีอารยธรรมดั้งเดิมอันมีเกียรติ   นอกเหนือจากนั้น  โบราณวัตถุของอิสลามได้แพร่หลายไปทั่วโลกอิสลามทั้งหมด และยังยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของศีลปกรรมของอิสลาม

อารยธรรมอิสลามของอิสลามได้แผ่คลุมไปถึงสเปนและเอกลักษณ์ต่าง ๆ ของอารยธรรมอิสลามยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังเป็นหลักยืนยันดังกล่าวให้เห็นในยุโรปเช่นเดียวกัน  และแท้จริง  ยุโรปได้มีการขับเคลื่อนผลงานการแปลวิทยาการของมุสลิมีน  ในช่วงศตวรรษที่ 12 และ13  และดังกล่าวนั้น  คือพื้นฐานที่ยุโรปนำมาสร้างอารยธรรมสมัยใหม่

2.  อัลกุรอานอันทรงเกียรติให้กล่าวถึงความมีเกียรติอันยิ่งใหญ่ของวิชาความรู้และนักปราชญ์ผู้ทรงความรู้  และยังส่งเสริมให้วิเคราะห์และศึกษาเกี่ยวกับจักรวาล  และพัฒนาฟื้นฟูผืนแผ่นดิน  บรรดาห้าโองการแรกที่ถูกประทานลงมาจากพระเจ้าได้เตือนให้ตระหนักถึงความสำคัญของวิชาความรู้  การอ่าน  และการวิเคราะห์ใคร่ครวญ (คือ โองการที่ว่า จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงบังเกิด ,  ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด , จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง ,  ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา , ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้) นี้คือ  คำบัญชาใช้ที่มีข้อบ่งชี้อันสำคัญให้บรรดามุสลิมีนมีความตระหนักตั้งแต่แรกแล้ว  และเช่นเดียวกันนี้  คือการที่อิสลามได้ริเริ่มความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรม  โดยนัยที่ครอบคลุมทั้งในแง่ของนามธรรมและรูปธรรมอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องการหลักยืนยันใดทั้งสิ้น

3.  สำหรับความล้าหลังของมุสลิมมีนในปัจจุบันนี้   อิสลามไม่จำเป็นต้องแบกรับความผิดนั้นแต่อย่างใด  เพราะอิสลามต่อต้านทุกรูปแบบของความล้าหลัง  และในขณะที่มุสลิมีนมีความล้าหลังในเข้ารับรู้ถึงความหมายต่าง ๆ ที่แท้จริงของอิสลาม  พวกเขากลับมีความล้าหลังในการดำเนินชีวิต  ท่านมาลิก บิน นะบีย์  นักคิดชาวญะซาอิร  ผู้ล่วงลับไปแล้ว  ได้กล่าวสำนวนที่เป็นความสัจจริงว่า  "แท้จริงความล้าหลังที่บรรดามุสลิมีนได้ทุกข์ระทมอยู่ในปัจจุบันนี้  ไม่ใช่สาเหตุมาจากอิสลาม  แต่มันเป็นการลงโทษที่มุสลิมีนสมควรได้รับจากอิสลาม  เนื่องจากพวกเขาได้ละเลยและไม่ยึดหลักการของอิสลาม ซึ่งมันเสมือนกับความคิดของผู้โง่เขลา"   ดังนั้น  ระหว่างอิสลามกับความล้าหลังของมุสลิมีนย่อมไม่เกี่ยวข้องกันแต่ประการใด

4.  อิสลามยังเป็นผู้ริเริ่มในความเจริญก้าวหน้าของทุกอารยธรรมซึ่งครอบคลุมถึงความดีงามของมนุษย์  และในขณะที่บรรดามุสลิมีนทำการพิสูจน์สาเหตุต่าง ๆ ที่เป็นแก่นแท้ของความล้าหลังของพวกเขานั้น  แน่นอนว่า  พวกเขาจะไม่พบเลยว่าอิสลามได้อยู่ในบรรดาสาเหตุดังกล่าว 

แต่ดังกล่าวนั้น  ยังมีสาเหตุจากภายนอก  ซึ่งในด้านที่สำคัญหนึ่งนั้น  คือเหตุในช่วงสมัยของการล่าอาณานิคมได้ทำการหน่วงเหนี่ยวให้บรรดาประเทศอิสลามจากการเคลื่อนไหวในเชิงบวก  และส่วนหนึ่งจากสาเหตุจากภายในคือ  บรรดามุสลิมีนหลงลืมองค์ประกอบและคุณค่าต่าง ๆ  ในเชิงบวกที่เป็นตัวผลักดันเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินชีวิตในอิสลาม

5.  ไม่อนุญาตให้สร้างความสับสนระหว่างอิสลามกับความตกต่ำของโลกอิสลามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน  ดังนั้น  ความล้าหลังที่บรรดามุสลิมกำลังทุกข์ระทมในปัจจุบันนั้น นับว่าเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์เท่านั้น  ไม่ใช่หมายความว่า  บรรดามุสลิมจะอยู่ในสภาพดังกล่าวเสมอไปตลอดจนสิ้นสุดประวัติศาสตร์  และไม่อนุญาตให้กล่าวหาว่าอิสลามได้อยู่เบื้องหลังในสิ่งดังกล่าว  ซึ่งเหมือนกับการไม่อนุญาตให้กล่าวหาว่าศาสนาคริสตร์อยู่เบื้องหลังในความล้าหลังของประเทศลาติอเมริกา 

ความมีคุณธรรมในเชิงวิชาการ  ทำให้เข้าใจว่า  การตัดสินจุดยืนของอิสลามเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางอารยธรรม  ต้องขึ้นอยู่กับการศึกษาวิจัยอย่างเป็นธรรมต่อรากฐานต่าง ๆ ของอิสลาม  ไม่ใช่ด้วยพื้นฐานของการเล่าลือ  กล่าวหา  และตัดสินทึกทักขึ้นมาเองโดยไม่มีรากฐานของความเป็นจริง

-----------------------

อ้างอิง จากหนังสือ حقائق إسلامية فى مواجهة حملات التشكيك "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอิสลาม ในการเผชิญต่อการสร้างความสงสัย" ของท่าน ศาสตราจารย์ มะหฺมูด หัมดีย์ ซักซูก หน้า 94 - 95 - 96 ตีพิมพ์ อัลมัตตะบะฮ์ อัชชุรูก อัดเดาลียะฮ์ 2003 ค.ศ. - 1425 ฮ.ศ.

http://islamic-council.org/lib/FACTS-A-PDF/p5-110.pdf
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^

ยะซากัลลอฮฺ
แต่สงสัยนิดนึง



อิสลามต้องรับผิดชอบในความหล้าหลังของบรรดามุสลิมหรือไม่?

1. ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสนา  ได้ชี้ชัดโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า  ในช่วงระยะเวลาอันสั้นนั้น  อิสลามมีศักยาภาพในการทำให้ประจักษ์ถึงการสร้างบรรดาอารยธรรมอันโดดเด่นขึ้นมา  ซึ่งเป็นอารยธรรมที่มีอายุยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลก  และหลักยืนยันต่าง ๆ ในสิ่งดังกล่าว  ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจน  ในสิ่งที่บรรดามุสลิมีนได้มอบเป็นมรดกตกทอดเอาไว้  จากวิทยาการอันมากมายในหลากหลายสาขาวิชา  และบรรดาหอสมุดระดับโลกได้ประมวลผลงานการประพันธ์ต่าง  ๆ  ไว้เป็นพัน ๆ ที่มาจากผลงานการประพันธ์ดั้งเดิมของอาหรับอิสลามที่เขียนด้วยมือ  ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่า บรรดามุสลิมนั้นมีอารยธรรมดั้งเดิมอันมีเกียรติ   นอกเหนือจากนั้น  โบราณวัตถุของอิสลามได้แพร่หลายไปทั่วโลกอิสลามทั้งหมด และยังยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของศีลปกรรมของอิสลาม

อารยธรรมอิสลามของอิสลามได้แผ่คลุมไปถึงสเปนและเอกลักษณ์ต่าง ๆ ของอารยธรรมอิสลามยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังเป็นหลักยืนยันดังกล่าวให้เห็นในยุโรปเช่นเดียวกัน  และแท้จริง  ยุโรปได้มีการขับเคลื่อนผลงานการแปลวิทยาการของมุสลิมีน  ในช่วงศตวรรษที่ 12 และ13  และดังกล่าวนั้น  คือพื้นฐานที่ยุโรปนำมาสร้างอารยธรรมสมัยใหม่

2.  อัลกุรอานอันทรงเกียรติให้กล่าวถึงความมีเกียรติอันยิ่งใหญ่ของวิชาความรู้และนักปราชญ์ผู้ทรงความรู้  และยังส่งเสริมให้วิเคราะห์และศึกษาเกี่ยวกับจักรวาล  และพัฒนาฟื้นฟูผืนแผ่นดิน  บรรดาห้าโองการแรกที่ถูกประทานลงมาจากพระเจ้าได้เตือนให้ตระหนักถึงความสำคัญของวิชาความรู้  การอ่าน  และการวิเคราะห์ใคร่ครวญ (คือ โองการที่ว่า จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงบังเกิด ,  ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด , จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง ,  ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา , ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้) นี้คือ  คำบัญชาใช้ที่มีข้อบ่งชี้อันสำคัญให้บรรดามุสลิมีนมีความตระหนักตั้งแต่แรกแล้ว  และเช่นเดียวกันนี้  คือการที่อิสลามได้ริเริ่มความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรม  โดยนัยที่ครอบคลุมทั้งในแง่ของนามธรรมและรูปธรรมอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องการหลักยืนยันใดทั้งสิ้น

3.  สำหรับความล้าหลังของมุสลิมมีนในปัจจุบันนี้   อิสลามไม่จำเป็นต้องแบกรับความผิดนั้นแต่อย่างใด  เพราะอิสลามต่อต้านทุกรูปแบบของความล้าหลัง  และในขณะที่มุสลิมีนมีความล้าหลังในเข้ารับรู้ถึงความหมายต่าง ๆ ที่แท้จริงของอิสลาม  พวกเขากลับมีความล้าหลังในการดำเนินชีวิต  ท่านมาลิก บิน นะบีย์  นักคิดชาวญะซาอิร  ผู้ล่วงลับไปแล้ว  ได้กล่าวสำนวนที่เป็นความสัจจริงว่า  "แท้จริงความล้าหลังที่บรรดามุสลิมีนได้ทุกข์ระทมอยู่ในปัจจุบันนี้  ไม่ใช่สาเหตุมาจากอิสลาม  แต่มันเป็นการลงโทษที่มุสลิมีนสมควรได้รับจากอิสลาม  เนื่องจากพวกเขาได้ละเลยและไม่ยึดหลักการของอิสลาม ซึ่งมันเสมือนกับความคิดของผู้โง่เขลา"   ดังนั้น  ระหว่างอิสลามกับความล้าหลังของมุสลิมีนย่อมไม่เกี่ยวข้องกันแต่ประการใด

4.  อิสลามยังเป็นผู้ริเริ่มในความเจริญก้าวหน้าของทุกอารยธรรมซึ่งครอบคลุมถึงความดีงามของมนุษย์  และในขณะที่บรรดามุสลิมีนทำการพิสูจน์สาเหตุต่าง ๆ ที่เป็นแก่นแท้ของความล้าหลังของพวกเขานั้น  แน่นอนว่า  พวกเขาจะไม่พบเลยว่าอิสลามได้อยู่ในบรรดาสาเหตุดังกล่าว 

แต่ดังกล่าวนั้น  ยังมีสาเหตุจากภายนอก  ซึ่งในด้านที่สำคัญหนึ่งนั้น  คือเหตุในช่วงสมัยของการล่าอาณานิคมได้ทำการหน่วงเหนี่ยวให้บรรดาประเทศอิสลามจากการเคลื่อนไหวในเชิงบวก  และส่วนหนึ่งจากสาเหตุจากภายในคือ  บรรดามุสลิมีนหลงลืมองค์ประกอบและคุณค่าต่าง ๆ  ในเชิงบวกที่เป็นตัวผลักดันเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินชีวิตในอิสลาม

5.  ไม่อนุญาตให้สร้างความสับสนระหว่างอิสลามกับความตกต่ำของโลกอิสลามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน  ดังนั้น  ความล้าหลังที่บรรดามุสลิมกำลังทุกข์ระทมในปัจจุบันนั้น นับว่าเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์เท่านั้น  ไม่ใช่หมายความว่า  บรรดามุสลิมจะอยู่ในสภาพดังกล่าวเสมอไปตลอดจนสิ้นสุดประวัติศาสตร์  และไม่อนุญาตให้กล่าวหาว่าอิสลามได้อยู่เบื้องหลังในสิ่งดังกล่าว  ซึ่งเหมือนกับการไม่อนุญาตให้กล่าวหาว่าศาสนาคริสตร์อยู่เบื้องหลังในความล้าหลังของประเทศลาติอเมริกา 

ความมีคุณธรรมในเชิงวิชาการ  ทำให้เข้าใจว่า  การตัดสินจุดยืนของอิสลามเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางอารยธรรม  ต้องขึ้นอยู่กับการศึกษาวิจัยอย่างเป็นธรรมต่อรากฐานต่าง ๆ ของอิสลาม  ไม่ใช่ด้วยพื้นฐานของการเล่าลือ  กล่าวหา  และตัดสินทึกทักขึ้นมาเองโดยไม่มีรากฐานของความเป็นจริง


-----------------------

อ้างอิง จากหนังสือ حقائق إسلامية فى مواجهة حملات التشكيك "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอิสลาม ในการเผชิญต่อการสร้างความสงสัย" ของท่าน ศาสตราจารย์ มะหฺมูด หัมดีย์ ซักซูก หน้า 94 - 95 - 96 ตีพิมพ์ อัลมัตตะบะฮ์ อัชชุรูก อัดเดาลียะฮ์ 2003 ค.ศ. - 1425 ฮ.ศ.

http://islamic-council.org/lib/FACTS-A-PDF/p5-110.pdf




เข้าใจว่าคงไม่ได้หมายถึงมุสลิมีน อย่างเดียวใช่ป่าวคะ
แต่มันต้องมีเหตุผลซิ น่า ว่าทำไมถึงใช้คำว่ามุสลิมีนบ่อย ๆ
กระทู้นี้ยังมีเลย .. 



http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=65.0


อ้างถึง
เงื่อนไขในการเสวนา

1. ห้ามเผยแพร่สิ่งที่ขัดแยังอย่างชัดเจนกับหลักการของศาสนาอิสลาม

2. ห้ามมีการด่าทอระหว่างผู้เสวนาและหมิ่นเกียรติ

3. ห้ามทำการกล่าวตักฟีร(กล่าวกาเฟร) กับบรรดามุสลิมีน ไม่ว่าจะเป็นอุลามาอ์ มัซฮับต่าง ๆ หรือบรรดาผู้นำ

4. ห้ามโฆษณาเชิญชวน ไปสู่แนวทางที่สร้างความแตกแยกในประเทศ





يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ sufriyan

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 526
  • เพศ: ชาย
  • 0000
  • Respect: +16
    • ดูรายละเอียด
สลามครับ คุณลั๊ลลาชาดำ (หรือชาดำเย็น)
ถ้าผมเดาไม่ผิดคุณคงสงสัยว่าทำไมถึงมีแต่มุสลีมีนไม่มี มุสลิมะฮ์บ้างเลยไช่ไหมครับ ถ้าผมจำไม่ผิด มุสลิมีนในบางความหมายจะครอบคลุมรวมไปถึงมุสลิมะฮ์ด้วย เพราะพระนางฮาวามาจากซี่โครงของนาบีอาดำครับ การเรียกมุสลิมีนในบางโอกาส ก็รวมถึงมุสลีมะฮ์ด้วยอย่างไม่ตอ้งสงสัยและไม่ต้องน้อยใจครับ รึคนอื่นๆว่าไงครับ  หือ  คุณอัลฯ

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
น้องลั้ลลาชา(อุรูซะฮ์) ครับ  การที่อิสลามเน้นกล่าวถึงผู้ชายมากกว่านั้น  นัยหนึ่งก็คือ  สตรีเป็นเพศที่พึงปกปิดมากกว่าบุรุษ  น้องลองพิจารณาตรงประเด็นนี้ซิครับ  อิสลามกล่าวไว้ว่า  ผู้ชายจะได้แต่งงานกับนางฟ้าในสรวงสวรรค์  แต่ทำไมอิสลามไม่กล่าวว่า สตรีที่ไม่ได้แต่งงานในโลกนี้จะได้แต่งงานกับชายหนุ่มในสรวงสวรรค์  ก็เพราะการที่ไม่ได้กล่าวหลักการดังกล่าวนี้ไว้นั้น  อันเนื่องจากสตรีมีความละอาย อิสลามได้ปกปิดและสงวนท่าทีของพวกนางเอาไว้  โดยกล่าวเพียงเฉพาะผู้ชายอย่างเดียว ;D   

أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^

อ่ออ  จริงด้วย ยะซากัลลอฮฺ
^^ ไม่ได้น้อยใจ แต่สงสัยเฉย ๆ ว่าทำไมใช้คำว่ามุสลิมีน
ส่วนที่ว่ากุรอ่าน ได้ปกปิดและสงวนท่าทีของผ้หญิงเอาไว้
ฮิกมะฮฺ ชัด ๆ เนอะ  ;D

ขออัลลอฮฺ ซบ. ตอบแทน ( ขอเอาไปเผยแพร่ต่อนะ )
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ musalmarn

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 796
  • เพศ: ชาย
  • สักวัน... ฉันจะขี่ม้า
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมศาสนศึกษา แผนกอิสลาม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
น้องลั้ลลาชา(อุรูซะฮ์) ครับ  การที่อิสลามเน้นกล่าวถึงผู้ชายมากกว่านั้น  นัยหนึ่งก็คือ  สตรีเป็นเพศที่พึงปกปิดมากกว่าบุรุษ  น้องลองพิจารณาตรงประเด็นนี้ซิครับ  อิสลามกล่าวไว้ว่า  ผู้ชายจะได้แต่งงานกับนางฟ้าในสรวงสวรรค์  แต่ทำไมอิสลามไม่กล่าวว่า สตรีที่ไม่ได้แต่งงานในโลกนี้จะได้แต่งงานกับชายหนุ่มในสรวงสวรรค์  ก็เพราะการที่ไม่ได้กล่าวหลักการดังกล่าวนี้ไว้นั้น  อันเนื่องจากสตรีมีความละอาย อิสลามได้ปกปิดและสงวนท่าทีของพวกนางเอาไว้  โดยกล่าวเพียงเฉพาะผู้ชายอย่างเดียว ;D   



แต่เท่าที่ทราบมาจากผู้รู้และอาวุโสบางท่าน

จริงอยู่... ที่อิสลามกล่าวถึงบุรุษว่าจะได้แต่งงานกับนางฟ้า หรือ แถวบ้านผมเรียกว่า บีดาลดารี แต่ทำไม... อิสลามไม่ได้บอกถึงสตรีล่ะ ว่าผลตอบแทนจะได้อะไร

ก็เพราะว่า... สตรีที่ซอลีฮะฮที่เป็นภรรยาของเรา ณ ปัจจุบัน จะ 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4  ;) ก็ตามที นางจะเป็นหัวหน้าของ บีดาลดารี ที่อยู่ภายใต้อาณัติของเรา

บีดาลดารี สวยงามขนาดไหนไม่ต้องพูดถึง ถึงขนาดอุลามาอบางท่านกล่าวไว้ว่า "หากแม้นนางยื่นนิ้วชี้แค่ข้อเดียวลงสู่บนโลก เมื่อนั้นเหล่าบุรุษทั้งหลายจะต้องตกตลึงกับความงามของนางจนขนาดที่ว่าบางคนเป็นบ้า บางคนไม่ยอมทำอะไร (จะบอกให้รู้ว่าสวยอย่างมากๆ)"

เมาลานา ตอรีก ญามิล อาวุโสทางด้าน... (มาอัฟด้วยผมจำไม่ได้ระหว่างฮาดิษหรือตะเซาวุฟเนี่ยะแหละ) จากปากีสถาน ท่านสำเร็จการศึกษาจากมัรกัสไรวินด์ ละฮอร์ ปากีสถาน อาวุโสท่านนี้ได้บรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวของ บีดาลดารี จนขนาดที่ว่า คนที่นั่งฟังต้องลุกขึ้นไปอาบน้ำ (ฆุศ็อล) ยกฮาดัศใหญ่เลยทีเดียว

มาชาอัลลอฮ

นั่น บีดาลดารี แล้วบรรดาภรรยาของเราล่ะ ที่ซื่อสัตย์ต่อสามี ซื่อสัตย์ทุกๆ เรื่อง ฏออัตทุกกระเบียดนิ้ว จะได้เป็นหัวหน้าของเหล่า บีดาลดารี มาชาอัลลอฮ จงนึกภาพเถิดว่า ภรรยา หรือ อะฮลีของเราจะสวยงามขนาดไหน

ดังนั้น... สิ่งที่ผมแนะนำต่อเหล่ามุสลีมะฮคือ มีโอกาสก็แต่งงานเลย  :P

ผมคงไม่ได้แนะนำผิดไปใช่ไหม

เพราะ... การแต่งงานถือว่าเป็นซุนนะฮอย่างนึง

นั่นแค่ความรู้อันน้อยนิดของผม ที่ผมอยากบอก ก็แค่นั้นเอง มาอัฟด้วยหากมีอะไรผิดพลาด

ออฟไลน์ salamah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 761
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
น้องลั้ลลาชา(อุรูซะฮ์) ครับ  การที่อิสลามเน้นกล่าวถึงผู้ชายมากกว่านั้น  นัยหนึ่งก็คือ  สตรีเป็นเพศที่พึงปกปิดมากกว่าบุรุษ  น้องลองพิจารณาตรงประเด็นนี้ซิครับ  อิสลามกล่าวไว้ว่า  ผู้ชายจะได้แต่งงานกับนางฟ้าในสรวงสวรรค์  แต่ทำไมอิสลามไม่กล่าวว่า สตรีที่ไม่ได้แต่งงานในโลกนี้จะได้แต่งงานกับชายหนุ่มในสรวงสวรรค์  ก็เพราะการที่ไม่ได้กล่าวหลักการดังกล่าวนี้ไว้นั้น  อันเนื่องจากสตรีมีความละอาย อิสลามได้ปกปิดและสงวนท่าทีของพวกนางเอาไว้  โดยกล่าวเพียงเฉพาะผู้ชายอย่างเดียว ;D   



แต่เท่าที่ทราบมาจากผู้รู้และอาวุโสบางท่าน

จริงอยู่... ที่อิสลามกล่าวถึงบุรุษว่าจะได้แต่งงานกับนางฟ้า หรือ แถวบ้านผมเรียกว่า บีดาลดารี แต่ทำไม... อิสลามไม่ได้บอกถึงสตรีล่ะ ว่าผลตอบแทนจะได้อะไร

ก็เพราะว่า... สตรีที่ซอลีฮะฮที่เป็นภรรยาของเรา ณ ปัจจุบัน จะ 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4  ;) ก็ตามที นางจะเป็นหัวหน้าของ บีดาลดารี ที่อยู่ภายใต้อาณัติของเรา

บีดาลดารี สวยงามขนาดไหนไม่ต้องพูดถึง ถึงขนาดอุลามาอบางท่านกล่าวไว้ว่า "หากแม้นนางยื่นนิ้วชี้แค่ข้อเดียวลงสู่บนโลก เมื่อนั้นเหล่าบุรุษทั้งหลายจะต้องตกตลึงกับความงามของนางจนขนาดที่ว่าบางคนเป็นบ้า บางคนไม่ยอมทำอะไร (จะบอกให้รู้ว่าสวยอย่างมากๆ)"
เมาลานา ตอรีก ญามิล อาวุโสทางด้าน... (มาอัฟด้วยผมจำไม่ได้ระหว่างฮาดิษหรือตะเซาวุฟเนี่ยะแหละ) จากปากีสถาน ท่านสำเร็จการศึกษาจากมัรกัสไรวินด์ ละฮอร์ ปากีสถาน อาวุโสท่านนี้ได้บรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวของ บีดาลดารี จนขนาดที่ว่า คนที่นั่งฟังต้องลุกขึ้นไปอาบน้ำ (ฆุศ็อล) ยกฮาดัศใหญ่เลยทีเดียว

มาชาอัลลอฮ

นั่น บีดาลดารี แล้วบรรดาภรรยาของเราล่ะ ที่ซื่อสัตย์ต่อสามี ซื่อสัตย์ทุกๆ เรื่อง ฏออัตทุกกระเบียดนิ้ว จะได้เป็นหัวหน้าของเหล่า บีดาลดารี มาชาอัลลอฮ จงนึกภาพเถิดว่า ภรรยา หรือ อะฮลีของเราจะสวยงามขนาดไหน

ดังนั้น... สิ่งที่ผมแนะนำต่อเหล่ามุสลีมะฮคือ มีโอกาสก็แต่งงานเลย  :P

ผมคงไม่ได้แนะนำผิดไปใช่ไหม

เพราะ... การแต่งงานถือว่าเป็นซุนนะฮอย่างนึง

นั่นแค่ความรู้อันน้อยนิดของผม ที่ผมอยากบอก ก็แค่นั้นเอง มาอัฟด้วยหากมีอะไรผิดพลาด


                                                                                                       :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :)
ถึงไม่รอบรู้ทุกด้าน    แต่ขอเป็นมุสลิมะห์ที่ดีก็พอ

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
แต่ก็อย่าลืมว่า บรรดาผู้ที่ศรัทธา นั้น
ในวันกิยามะ พวกเขาจะมีใบหน้า รูปร่างลักษณะ แบบของเขา ที่ดีกว่านี้ นับร้อย นับพัน เท่า
คงไม่ต้องบอกว่า เป็น พันเท่าขนาดไหน
เพราะผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน  -..-

วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม...

ออฟไลน์ salamah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 761
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
แต่ก็อย่าลืมว่า บรรดาผู้ที่ศรัทธา นั้น
ในวันกิยามะ พวกเขาจะมีใบหน้า รูปร่างลักษณะ แบบของเขา ที่ดีกว่านี้ นับร้อย นับพัน เท่า
คงไม่ต้องบอกว่า เป็น พันเท่าขนาดไหน
เพราะผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน  -..-
วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม...

อ้าว............แล้วไงต่อล่ะคุณ  Goddut  แค่นี้เหรอคะ...... :D :D :D
ถึงไม่รอบรู้ทุกด้าน    แต่ขอเป็นมุสลิมะห์ที่ดีก็พอ

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
แค่สวยกว่าเดิม 10 เท่า

ก็หาที่ไหนเทียบไม่ได้แล้วครับ

แล้วไอ้พันเท่าที่ว่า  ผมเลยไม่ทราบว่าจะวิจิตพิสดารขนาดไหน

...

ออฟไลน์ salamah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 761
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
แค่สวยกว่าเดิม 10 เท่า

ก็หาที่ไหนเทียบไม่ได้แล้วครับ

แล้วไอ้พันเท่าที่ว่า  ผมเลยไม่ทราบว่าจะวิจิตพิสดารขนาดไหน

...

ค่ะ.......สำหรับมุสลิมีนและมุสลิมะฮ์ผู้ศรัทธาทั้งหลาย......พระองค์อัลเลาะฮ์ก็จะทรงตอบแทนสิ่งที่ดีกลับมาให้เสมอใช่ไหมคะ........คุณ   Goddut
ถึงไม่รอบรู้ทุกด้าน    แต่ขอเป็นมุสลิมะห์ที่ดีก็พอ

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
 salam

ญะซากัลลอฮุคอยรอนค่ะ

นานแล้วที่ไม่ได้อ่าน...พอมาอ่านอีกทีก็นึกอะไรขึ้นมาได้อีกอย่่าง
ลืมไปเลยกับบางๆเรื่อง...


 loveit:

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio

ผ่านตามาได้ไงไม่รุ้...

ออฟไลน์ ActionMask

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 250
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
โลกปัจจุบันนี้ เจริญได้ก็เพราะอิสลามนี่แหละครับ เพราะอิสลามจะขจัดความโง่เขลา งมงาย ป่าเถื่อนออกไปจากสังคม มนุษย์จึงได้ลืมตาอ้าปากจากความป่าเถื่อนได้ เมื่ออัลลอฮ์ประทานอิสลามมาให้

ความเจริญในสังคมปัจจุบันคงยังมีไม่ได้ถ้าผู้คนยังคง เหยียดผิวกัน ถ้าผู้คนยังกราบไหว้รูปปั้น บูชาดวงดาว และบนบานศาลกล่าวกับสิ่งเทียมเท็จ

แต่อิสลามขจัดรากฐานแห่งความโสมมนี้ออกไป มนุษย์จึงได้รู้จักกับวิทยปัญญา จนในที่สุดก็เป็น จุดเริ่มต้นแห่งความเจริญในทุกสาขา

ตัวอย่างที่ง่ายๆ ที่ผมเคยอ่านเจอคือเรื่องสูตรของปีทากอรัส เป็นสูตรคณิตศาสตร์ ซึ่งมีการค้นพบมานานแล้ว แต่แทบจะไม่มีประโยชน์ในการนำมาใช้เลย นั่นเพราะบรรดาลูกศิษย์ของปีทากอรัส นับถือปีทากอรัสจนเป็นลัทธิ คำสอนนี้ก็กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วห้ามเผยแพร่ออกไป

จะเห็นได้ว่าการค้นพบของมนุษย์นั้นมีมาเรื่อยๆ แต่ว่า ก่อนสมัยแห่งอิสลาม ความรู้เหล่านั้นไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับมนุษย์เท่าใดนัก เพราะความป่าเถื่อนยังมากมาย จนเมื่ออิสลามแผ่ขยายแสงสว่างออกไป สิ่งต่างๆ จึงกลับมามีประโยชน์กับมนุษย์ได้

ยุโรปเองก็เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการได้ก็เพราะได้รับเอาความเจริญจากมุสลิมไปนี่แหละครับ

ดังนั้นอิสลามนอกจากจะไม่ใช่เหตุผลของความตกต่ำแล้ว กลับกันอิสลามนี่แหละที่เป็นแสงสว่างนำทางให้กับมนุษย์ซึ่งอัลลอฮ์ประทานมาให้ อยู่ที่เราจะนำมาใช้หรือเปล่า ทำอย่างถูกวิธีไหมนั่นแหละ

ออฟไลน์ ActionMask

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 250
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
อ้างถึง
น้องลั้ลลาชา(อุรูซะฮ์) ครับ  การที่อิสลามเน้นกล่าวถึงผู้ชายมากกว่านั้น  นัยหนึ่งก็คือ  สตรีเป็นเพศที่พึงปกปิดมากกว่าบุรุษ  น้องลองพิจารณาตรงประเด็นนี้ซิครับ  อิสลามกล่าวไว้ว่า  ผู้ชายจะได้แต่งงานกับนางฟ้าในสรวงสวรรค์  แต่ทำไมอิสลามไม่กล่าวว่า สตรีที่ไม่ได้แต่งงานในโลกนี้จะได้แต่งงานกับชายหนุ่มในสรวงสวรรค์  ก็เพราะการที่ไม่ได้กล่าวหลักการดังกล่าวนี้ไว้นั้น  อันเนื่องจากสตรีมีความละอาย อิสลามได้ปกปิดและสงวนท่าทีของพวกนางเอาไว้  โดยกล่าวเพียงเฉพาะผู้ชายอย่างเดียว

เป็นการอธิบายที่สุดยอดมากครับอ่านปุ๊บ เก็ทขึ้นมาปั๊บเลย ผมคิดว่าใช่จริงๆ นั่นแหละ ถ้าบอกว่าสตรีที่ไม่ได้แต่งงานจะได้แต่งงานกับชายหนุ่มในสวรรค์ล่ะก็ อายกันแย่เลย ทำอะไรก็คงจะขวยเขินกันมากๆ

แยบยลจริงๆ เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ง่ายๆ แต่ผมไม่ทันได้คิด

สุดยอดๆ

 

GoogleTagged