อิสลามต้องรับผิดชอบในความหล้าหลังของบรรดามุสลิมหรือไม่?
1. ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสนา ได้ชี้ชัดโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในช่วงระยะเวลาอันสั้นนั้น อิสลามมีศักยาภาพในการทำให้ประจักษ์ถึงการสร้างบรรดาอารยธรรมอันโดดเด่นขึ้นมา ซึ่งเป็นอารยธรรมที่มีอายุยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลก และหลักยืนยันต่าง ๆ ในสิ่งดังกล่าว ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจน ในสิ่งที่บรรดามุสลิมีนได้มอบเป็นมรดกตกทอดเอาไว้ จากวิทยาการอันมากมายในหลากหลายสาขาวิชา และบรรดาหอสมุดระดับโลกได้ประมวลผลงานการประพันธ์ต่าง ๆ ไว้เป็นพัน ๆ ที่มาจากผลงานการประพันธ์ดั้งเดิมของอาหรับอิสลามที่เขียนด้วยมือ ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่า บรรดามุสลิมนั้นมีอารยธรรมดั้งเดิมอันมีเกียรติ นอกเหนือจากนั้น โบราณวัตถุของอิสลามได้แพร่หลายไปทั่วโลกอิสลามทั้งหมด และยังยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของศีลปกรรมของอิสลาม
อารยธรรมอิสลามของอิสลามได้แผ่คลุมไปถึงสเปนและเอกลักษณ์ต่าง ๆ ของอารยธรรมอิสลามยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังเป็นหลักยืนยันดังกล่าวให้เห็นในยุโรปเช่นเดียวกัน และแท้จริง ยุโรปได้มีการขับเคลื่อนผลงานการแปลวิทยาการของมุสลิมีน ในช่วงศตวรรษที่ 12 และ13 และดังกล่าวนั้น คือพื้นฐานที่ยุโรปนำมาสร้างอารยธรรมสมัยใหม่
2. อัลกุรอานอันทรงเกียรติให้กล่าวถึงความมีเกียรติอันยิ่งใหญ่ของวิชาความรู้และนักปราชญ์ผู้ทรงความรู้ และยังส่งเสริมให้วิเคราะห์และศึกษาเกี่ยวกับจักรวาล และพัฒนาฟื้นฟูผืนแผ่นดิน บรรดาห้าโองการแรกที่ถูกประทานลงมาจากพระเจ้าได้เตือนให้ตระหนักถึงความสำคัญของวิชาความรู้ การอ่าน และการวิเคราะห์ใคร่ครวญ (คือ โองการที่ว่า จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงบังเกิด , ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด , จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง , ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา , ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้) นี้คือ คำบัญชาใช้ที่มีข้อบ่งชี้อันสำคัญให้บรรดามุสลิมีนมีความตระหนักตั้งแต่แรกแล้ว และเช่นเดียวกันนี้ คือการที่อิสลามได้ริเริ่มความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรม โดยนัยที่ครอบคลุมทั้งในแง่ของนามธรรมและรูปธรรมอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องการหลักยืนยันใดทั้งสิ้น
3. สำหรับความล้าหลังของมุสลิมมีนในปัจจุบันนี้ อิสลามไม่จำเป็นต้องแบกรับความผิดนั้นแต่อย่างใด เพราะอิสลามต่อต้านทุกรูปแบบของความล้าหลัง และในขณะที่มุสลิมีนมีความล้าหลังในเข้ารับรู้ถึงความหมายต่าง ๆ ที่แท้จริงของอิสลาม พวกเขากลับมีความล้าหลังในการดำเนินชีวิต ท่านมาลิก บิน นะบีย์ นักคิดชาวญะซาอิร ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้กล่าวสำนวนที่เป็นความสัจจริงว่า "แท้จริงความล้าหลังที่บรรดามุสลิมีนได้ทุกข์ระทมอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่สาเหตุมาจากอิสลาม แต่มันเป็นการลงโทษที่มุสลิมีนสมควรได้รับจากอิสลาม เนื่องจากพวกเขาได้ละเลยและไม่ยึดหลักการของอิสลาม ซึ่งมันเสมือนกับความคิดของผู้โง่เขลา" ดังนั้น ระหว่างอิสลามกับความล้าหลังของมุสลิมีนย่อมไม่เกี่ยวข้องกันแต่ประการใด
4. อิสลามยังเป็นผู้ริเริ่มในความเจริญก้าวหน้าของทุกอารยธรรมซึ่งครอบคลุมถึงความดีงามของมนุษย์ และในขณะที่บรรดามุสลิมีนทำการพิสูจน์สาเหตุต่าง ๆ ที่เป็นแก่นแท้ของความล้าหลังของพวกเขานั้น แน่นอนว่า พวกเขาจะไม่พบเลยว่าอิสลามได้อยู่ในบรรดาสาเหตุดังกล่าว
แต่ดังกล่าวนั้น ยังมีสาเหตุจากภายนอก ซึ่งในด้านที่สำคัญหนึ่งนั้น คือเหตุในช่วงสมัยของการล่าอาณานิคมได้ทำการหน่วงเหนี่ยวให้บรรดาประเทศอิสลามจากการเคลื่อนไหวในเชิงบวก และส่วนหนึ่งจากสาเหตุจากภายในคือ บรรดามุสลิมีนหลงลืมองค์ประกอบและคุณค่าต่าง ๆ ในเชิงบวกที่เป็นตัวผลักดันเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินชีวิตในอิสลาม
5. ไม่อนุญาตให้สร้างความสับสนระหว่างอิสลามกับความตกต่ำของโลกอิสลามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ดังนั้น ความล้าหลังที่บรรดามุสลิมกำลังทุกข์ระทมในปัจจุบันนั้น นับว่าเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์เท่านั้น ไม่ใช่หมายความว่า บรรดามุสลิมจะอยู่ในสภาพดังกล่าวเสมอไปตลอดจนสิ้นสุดประวัติศาสตร์ และไม่อนุญาตให้กล่าวหาว่าอิสลามได้อยู่เบื้องหลังในสิ่งดังกล่าว ซึ่งเหมือนกับการไม่อนุญาตให้กล่าวหาว่าศาสนาคริสตร์อยู่เบื้องหลังในความล้าหลังของประเทศลาติอเมริกา
ความมีคุณธรรมในเชิงวิชาการ ทำให้เข้าใจว่า การตัดสินจุดยืนของอิสลามเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางอารยธรรม ต้องขึ้นอยู่กับการศึกษาวิจัยอย่างเป็นธรรมต่อรากฐานต่าง ๆ ของอิสลาม ไม่ใช่ด้วยพื้นฐานของการเล่าลือ กล่าวหา และตัดสินทึกทักขึ้นมาเองโดยไม่มีรากฐานของความเป็นจริง
-----------------------
อ้างอิง จากหนังสือ حقائق إسلامية فى مواجهة حملات التشكيك "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอิสลาม ในการเผชิญต่อการสร้างความสงสัย" ของท่าน ศาสตราจารย์ มะหฺมูด หัมดีย์ ซักซูก หน้า 94 - 95 - 96 ตีพิมพ์ อัลมัตตะบะฮ์ อัชชุรูก อัดเดาลียะฮ์ 2003 ค.ศ. - 1425 ฮ.ศ.
http://islamic-council.org/lib/FACTS-A-PDF/p5-110.pdf