ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อวิจารณ์ เกี่ยวกับหนังสือ "อัล-อิบานะห์" ของ อบุลหะซัน อัล-อัชฮารีย์  (อ่าน 6098 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ abu-khulus

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 76
  • Respect: -3
    • ดูรายละเอียด
 salam
ผมมีข้อมูลบทสัมภาษณ์ของอุละมาอฺจังหว้ดชายแดนภาคใต้เกี่ยวกับทัศนะทที่มีต่อหนังสืออัลอิบานะฮฺของท่านอบุลหะซัน อัลอัชอารียฺ จากงานวิจัยเล่มหนึ่ง มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า อุละมาอฺสะละฟียฺ บางท่านก็ยอมรับว่าหนังสืออัลออิบานะฮฺนั้นถูกแก้ไขตัดทอน และมีอุละมาอฺอะชาอิเราะฮฺบางท่านยอมรับว่าหนังสืออัลอิบานะฮฺเป็นงานเขียนของอบุลหะซัน อัชอารียฺจริง แต่ถูกบิดเบือน และท่านมีอะกีดะฮฺแบบสะลัฟในช่วงท้ายของชีวิต (แต่ไม่ใช่สะลัฟแบบสะละฟียฺบางกลุ่ม)

อุละมาอฺเหล่านี้เป็นคนมีชื่อเสียง และพี่น้องรู้จักกันดี

ถ้าอัลลอฮฺให้มีเวลาว่าง จะนำมาเสนอให้พี่น้องได้อ่านกัน อินชาอัลลอฮฺ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 28, 2009, 08:33 AM โดย abu-khulus »

ออฟไลน์ abu-khulus

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 76
  • Respect: -3
    • ดูรายละเอียด
 salam
ต่อไปนี้เป็นข้อมูลจากวิทยานิพนธ์เรื่อง “ทัศนคติอุลาอาอ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อแนวคิดสะลัฟและคอลัฟเกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮฺ” ผมจะนำเสนอเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับหนังสืออัลอิบานะฮฺ ของท่านอบุลหะสันอัลอัชอะรียฺ เชิญอ่านได้เลยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 27, 2009, 09:35 PM โดย abu-khulus »

ออฟไลน์ abu-khulus

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 76
  • Respect: -3
    • ดูรายละเอียด
กลุ่มตัวอย่างที่สัมภาษณ์จำนวน 27 คน โดยวิธีการเฉพาะเจาะจง ได้แก่ 1. ผู้รู้จากชมรมอุลามาอฺฟาฏอนียฺดารุสสลาม 4 คน 2. ผู้รู้ที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา จังหวัดละ 1 คน รวม 5 คน 3. ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก อิสลามศึกษา 3 คน ซึ่งสอนอยู่ที่วิทยาลัยอิสลามจังหวัดยะลา และ 4. ผู้รู้ที่ได้รับมอบหมายจากร.ร.เอกชนสอนศาสนาอิสลามที่มีนักเรียนมากเป็นอันดับหนึ่ง สอง และสามของจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล โรงเรียนละ 1 คน รวม 15 คน 

ร้อยละของกลุ่มตัวอย่าง จำแนกตามความคิดเห็นเกี่ยวกับอิหม่ามอบุลหะสันอัลอัชอะรียฺ ในบั้นปลายของชีวิต ยึดตามแนวคิดสะลัฟในการอธิบายโองการและหะดีษเกี่ยวกับศิฟาต ซึ่งมีกล่าวไว้ในหนังสืออัลอิบานะฮฺ (al-Ibanah)

ผลการสัมภาษณ์ได้ข้อสรุปว่า ร้อยละ 66.67 เห็นด้วย ร้อยละ 14.81 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 18.52 ไม่ตอบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 28, 2009, 08:34 AM โดย abu-khulus »

ออฟไลน์ abu-khulus

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 76
  • Respect: -3
    • ดูรายละเอียด
เหตุผลและความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง (ผมจะนำเสนอเฉพาะบางท่านที่น่าสนใจเท่านั้น)

ชอ./01 เห็นด้วย โดยให้ความคิดเห็นว่า
“สำหรับการไม่ตีความตามแนวสะลัฟของท่านอิหม่ามอบุลหะสัน อัลอัชอะรียฺนั้นเป็นการไม่ตีความแบบละเอียด ซึ่งเรียกว่าตะอฺวีลตัฟศิลียฺ แต่ท่านมีการตีความโดยภาพรวม ซึ่งเรียกว่า ตะอฺวีลอิจมาลียฺ เช่น ท่านกล่าวว่าพระองค์ทรงมีมือ หน้า และคำอื่นๆ โดยท่านไม่ได้ระบุว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นการมอบความรู้ให้กับอัลลอฮฺพร้อมปฏิเสธคุณลักษณะดังกล่าวว่าเหมือนกับมนุษย์หรือสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นการตะอฺวีลแบบอิจมาลียฺ”

ชอ./02  เห็นด้วย โดยให้ความคิดเห็นว่า
"อิหม่ามอบุลหัน อัลอัชอะรียฺได้ให้ความหมายการอิสติวาอฺไว้ว่า “แท้จริงอัลลอฮฺทรงอิสติวาอฺบนบัลลังก์ หมายถึง การอิสติวาอฺของอัลลอฮฺนั้นทรงบริสุทธิ์จากการสัมผัส การมั่นคงอยู่ การมีตำแหน่ง การตั้งถิ่นฐาน การอาศัยอยู่ ณ สถานที่และการเคลื่อนไหว (การประทับอยู่เหมือนมนุษย์หรือสรรพสิ่ง)” ท่านหัน อัสสะกอฟ ผู้ซึ่งตะฮฺกีก หนังสือดัฟอฺ ชับฮฺ ตัตตัชบีฮฺ กล่าวว่า ข้อความส่วนนั้นเป็นข้อความหนึ่งในหนังสืออัลอิบานะฮฺ ซึ่งข้อความนี้ จะถูกตัดออก และสะละฟียฺร่วมสมัยนำมาตีพิมพ์ และมีอยู่ตามท้องตลาด” "  (ข้อความบางส่วนในบทวิทยานิพนธ์มีข้อความเป็นภาษาอาหรับด้วย ขออภัยที่ไม่ได้พิมพ์มา –abu-khulus)

ปอ./10 เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า
“ไม่เพียงแต่หนังสืออัลอิบานะฮฺ (al-Ibanah) เท่านั้น แต่มีอีก 2 เล่ม คือ อัลมะกอลาต อัลอิสลามียะฮฺ (al-Magalat al-Islamiah) และอัลลุมอฺ (al-Luma) ด้วย ที่ไม่มีการตะอฺวีล สามเล่มนี้เท่านั้น เป็นหนังสือของอิหม่ามที่ยังคงเหลืออยู่ในโลกนี้ ถึงแม้ท่านจะนิพนธ์มากมาย สำหรับมีผู้กล่าวว่าเนื้อหาในหนังสืออัลอิบานะฮฺบางส่วนถูกตัดตอนนั้น ไม่เพียงหนังสือนี้เท่านั้น หนังสืออัลมะกอลาต อัลอิสลามียะฮฺก็ถูกตัดด้วย แต่ภาพรวมหนังสืออัลอิบานะฮฺยึดตามแนวคิดสะลัฟ”

ชอ./03 ไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า
“อิหม่ามอบุลหะสัน อัลอัชอะรียฺ เป็นผู้นำมัษฮับอะฮฺลิสสุนนะฮฺ และท่านตีความโองการ และหะดีษมุตะชาบิฮาตว่าเป็นคุณลักษณะหนึ่งของอัลลอฮฺ”

ชอ./04 ไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า
“หนังสือเล่มนี้นั้น ถูกตัดตอนมากมาย”
สนง./08 ไม่ตอบ
ให้เหตุผลว่า “หนังสือเล่มนี้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นหนังสือซึ่งนิพนธ์ด้วยมือของท่านอิหม่าม”


อับดุลสุโก  ดินอะ 2544 “ทัศนคติอุลาอาอ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อแนวคิดสะลัฟและคอลัฟเกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮฺ”   วิทยานิพนธ์ปริญญาโท วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หน้า 85-86
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 28, 2009, 08:35 AM โดย abu-khulus »

ออฟไลน์ abu-khulus

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 76
  • Respect: -3
    • ดูรายละเอียด
อักษรย่อของกลุ่มตัวอย่าง
ชอ./01 หะยีอาริ จูมะ (บาบอซิ ปูโงะ) ประธานชมรมอุลามาอฺฟาฏอนียฺดารุสสลามได้รับมอบหมายจากชมรมฯ ในจังหวัดนราธิวาส
ชอ./02 หะยีอิสมาแอ ตะอาล๊ะ (บาบอหะยีอิสมะอีล เสอร์ปันญัง) รองประธานชมรมอุลามาอฺฟาฏอนียฺดารุสสลามได้รับมอบหมายจากชมรมฯ ในจังหวัดปัตตานี
ชอ./03 หะยีวันอามัด โต๊ะอาดัม เลขานุการอิหฺลิชูรอ ชมรมอุลามาอฺฟาฏอนียฺดารุสสลาม ได้รับหมายจากชมรมฯ ในจังหวัดยะลา
ชอ./04 หะยีหมัด นิยมเดชา รองประธานชมรมอุลามาอฺจะนะ ได้รับมอบหมายจากชมรมฯ ในจังหวัดสงขลา
สนง./08 หะยีดลวาหะ เล็มหวัง (บาบอหะ เกาะทาก) สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา
ปอ./10 ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา   ปริญญาเอก จากจังหวัดปัตตานี

ออฟไลน์ abu-khulus

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 76
  • Respect: -3
    • ดูรายละเอียด
 salam
โดยส่วนตัวเชื่อว่าอิหม่ามอบุลหะซัน อัลอัชอะรียฺ (เราะหีมะฮุลลอฮฺ) มีอะกีดะฮฺแบบสะลัฟในช่วงท้ายของชีวิต ทั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมในยุคสมัยของท่าน หลังจากที่ท่านได้เตาบะฮฺจากแนวคิดมุอฺตะซิละฮฺ ท่านก็ได้ทำการตอบโต้แนวคิดนี้ โดยการยึดกิตาบุลเลาะฮฺและสุนนะฮฺเป็นความจริงสูงสุด ผนวกกับวิธีการทางตรรกะเข้าช่วย เพื่อจะแสดงให้ผู้ที่นิยมในแนวคิดมุอฺตะซิละฮฺได้เห็นถึงข้อผิดพลาดของพวกเขา ด้วยความพยายามและทุ่มเทของท่าน และผู้ที่เจริญรอยตามท่าน รวมทั้งกลุ่มอะฮฺลิสสุนนะฮฺอื่นๆ อัลหัมดุลิลลาฮฺ อิทธิพลและความนิยมของกลุ่มมุอฺตะซิละฮฺจึงลดลง ด้วยเหตุนี้ ในช่วงท้ายชีวิตของท่าน จึงเปลี่ยนไปสู่การมีอะกีดะฮฺแบบสะลัฟ เนื่องจากเป็นวิธีที่ดีกว่าและปลอดภัยกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ท่านทำมาก่อนหน้านั้น จะเป็นสิ่งที่ท่านปฏิเสธและใช้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะไม่ปรากฏในประวัติของท่านว่าท่านได้ทำการเตาบะฮฺตัวเช่นที่ท่านได้ทำการเตาบะฮฺจากแนวทางมุอฺตะซิละฮฺ ดังนั้น แนวทางทั้งสองแบบที่ท่านได้ทำไว้ จึงเป็นสิ่งที่ผู้คนในยุคหลังสามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของยุคสมัยนั้น หากยุคสมัยไหนที่แนวคิดแหวกแนวของกลุ่มหลงผิดต่างๆ เช่น มุอฺตะซิละฮฺ มุชับบิฮะฮฺ มุญัสสิมะฮฺ ฯลฯ กำลังแพร่หลาย แนวทางแบบเคาะลัฟที่ท่านอบุลหะซัน อัลอัชอะรียฺได้กระทำไว้ ก็สามารถนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากอะกีดะฮฺของผู้คนเข้มแข็ง อิทธิพลของแนวคิดหลงผิดมีน้อย แนวทางแบบสะลัฟตามที่อบุลหะซัน อัลอัชอะรียฺได้กระทำไว้ ก็น่าจะดีกว่าและปลอดภัยกว่า

สิ่งที่ผมเขียนมานี้เป็นเพียงความเข้าใจส่วนตัว อัลลอฮฺย่อมรู้ดีที่สุด (วัลลอฮุอะอฺลัม) หากผิดพลาดอย่างไร พี่น้องช่วยชี้แนะด้วย (วัสตัฆฟิรุลลอฮฺ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 28, 2009, 09:03 AM โดย abu-khulus »

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ปอ./10 เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า
“ไม่เพียงแต่หนังสืออัลอิบานะฮฺ (al-Ibanah) เท่านั้น แต่มีอีก 2 เล่ม คือ อัลมะกอลาต อัลอิสลามียะฮฺ (al-Magalat al-Islamiah) และอัลลุมอฺ (al-Luma) ด้วย ที่ไม่มีการตะอฺวีล สามเล่มนี้เท่านั้น เป็นหนังสือของอิหม่ามที่ยังคงเหลืออยู่ในโลกนี้ ถึงแม้ท่านจะนิพนธ์มากมาย สำหรับมีผู้กล่าวว่าเนื้อหาในหนังสืออัลอิบานะฮฺบางส่วนถูกตัดตอนนั้น ไม่เพียงหนังสือนี้เท่านั้น หนังสืออัลมะกอลาต อัลอิสลามียะฮฺก็ถูกตัดด้วย แต่ภาพรวมหนังสืออัลอิบานะฮฺยึดตามแนวคิดสะลัฟ”

ดร. อิสมาอีล  ยืนยันว่าหนังสืออิบาดะฮ์ไม่เหมือนต้นฉบับดั่งเดิม    แต่ท่านตอบไม่รัดกุม  เพราะออกความเห็นว่าหนังสืออิบานะฮ์ถูกตัดตอนเท่านั้น  ทั้งที่ความจริงแล้ว  หนังสืออัลอิบานะฮ์ถูกเพิ่มเติมด้วย  ไม่ใช่เพียงแค่ตัดตอนอย่างเดียว   

ชอ./01 เห็นด้วย โดยให้ความคิดเห็นว่า
“สำหรับการไม่ตีความตามแนวสะลัฟของท่านอิหม่ามอบุลหะสัน อัลอัชอะรียฺนั้นเป็นการไม่ตีความแบบละเอียด ซึ่งเรียกว่าตะอฺวีลตัฟศิลียฺ แต่ท่านมีการตีความโดยภาพรวม ซึ่งเรียกว่า ตะอฺวีลอิจมาลียฺ เช่น ท่านกล่าวว่าพระองค์ทรงมีมือ หน้า และคำอื่นๆ โดยท่านไม่ได้ระบุว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นการมอบความรู้ให้กับอัลลอฮฺพร้อมปฏิเสธคุณลักษณะดังกล่าวว่าเหมือนกับมนุษย์หรือสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นการตะอฺวีลแบบอิจมาลียฺ”

ท่านนี้  ตอบได้ถูกต้องที่สุดครับ และรัดกุมมากๆ  เพราะการ  ตัฟวีฏ(มอบหมายต่ออัลเลาะฮ์นั้น) คือการตีความแบบสรุป(อิจญฺมาลีย์)  ซึ่งเป็นแนวทางส่วนมากของสะลัฟ   ส่วนการตีความแบบรายละเอียด(ตัฟซีลีย์)นั้น  เป็นแนวทางส่วนน้อยของสะลัฟและเป็นแนวทางส่วนมากของค่อลัฟ  ส่วนมัซฮับวะฮาบีนั้น  ดำเนินอยู่บนแนวทางของพวกบิดอะฮ์อัลกัรรอมียะฮ์  และพวกมุญัสสิมะฮ์(ที่เชื่ออัลเลาะฮ์ทรงมีรูปร่าง)  วะฮาบีนั้นจะไม่มอบหมาย  แต่พวกเขาจะให้ความหมายแบบคำตรงที่ผู้คนทั่วไปรู้กัน

ผมขอยกตัวอย่างดังนี้

คำว่า يد  (ยะดุน)แปลว่า  "มือ"  แต่ในภาษาอาหรับมีความหมายมากกว่าหนึ่ง  เช่น

1. ส่วนอวัยวะที่มีฝ่ามือและนิ้ว (ซึ่งเป็นความหมายคำแท้แบบ(ฮะกีกัต)ไม่ตีความ)
2. (ตีความ(ตะวัล)เป็นความหมาย)พลัง
3. (ตีความเป็นความหมาย)อำนาจ
4. (ตีความเป็นความหมาย)เนี๊ยะอฺมัต  เป็นต้น

การตีความแบบสรุป (อิจญฺมาลีย์)  คือไม่เชื่อว่าซีฟัตยะดุนของอัลเลาะฮ์นั้นอยู่ในความหมายคำแท้(คือเป็นส่วนอวัยวะที่เป็นฝ่ามือและมีนิ้ว)  แต่ความหมายที่ 1. 2. และ 3, พวกเขาไม่เจาะจงว่าอัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงประสงค์ในความหมายใด  พวกเขาจึงมอบหมายการรู้นี้ไปยังอัลเลาะฮ์ ตะอาลา  นี่คือแนวทางของสะลัฟอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  และท่านอะบูลฮะซัน อัลอัชอะรีย์  ก็อยู่ในแนวทางนี้ด้วย

การตีความแบบรายละเอียด (ตัฟซีลีย์) คือไม่เชื่อว่าซีฟัตยะดุนของอัลเลาะฮ์นั้นอยู่ในความหมายคำแท้(คือเป็นส่วนอวัยวะที่เป็นฝ่ามือและมีนิ้ว) แต่จะเจาะจงความหมายโดยสอดคล้องกับภาษาอาหรับและตรงกับหลักฐานอื่น ๆ ที่ชัดเจน  เช่น  ตีความให้อยู่ในความหมายของ "อำนาจ"  และยังสอดคล้องกับหลักฐานอัลกุรอานและซุนนะฮ์  ที่ยืนยันว่าพระองค์ทรงอำนาจเหนือทุก ๆ สิ่ง

ส่วนอะกีดะฮ์วะฮาบีนั้น  พวกเขาเชื่อในความหมายคำแท้แบบฮะกีกัตไม่ตีความ  และท่านอะบุลฮะซันอัลอัชอะรีย์ไม่ได้อยู่ในแนวนี้เหมือนกับวะฮาบีแอบอ้างเลย

สรุปคือ แนวทางการตีความแบบสรุปและการตีความแบบรายละเอียดนั้น  เป็นแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ที่มีรายงานมาจากสะละฟุศศอลิห์ครับ

เมื่อพี่น้องเข้าใจเช่นนี้แล้ว  ก็อย่าไปหลงกลการโพทนาของวะฮาบีที่บอกว่า  ท่านอะบุลฮะซันอัลอัชอะรีย์มีอะกีดะฮ์เหมือนกับพวกเขาน่ะครับ

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Wan Ahmad

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 58
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +31
    • ดูรายละเอียด
 :salam:
ผมไปเจอมาครับเลยเอามาฝาก   

วิจารณ์อิบานะฮฺที่ตะหฺกีกโดย ดร. เฟากิยะฮฺ

หลังจากที่ได้มีการเผยแพร่หนังสืออิบานะฮฺฉบับที่ตะหฺกีกโดย ดร.เฟากิยะฮฺ และได้มีการเปรียบเทียบเนื้อหากับฉบับที่ตีพิมพ์อื่นๆ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานาจากสายอะชาอิเราะฮฺ โดยเฉพาะฉบับที่พิมพ์ในประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยกล่าวหาว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ทำการบิดเบือนเนื้อหาเดิมของหนังสืออัลอิบานะฮฺ ด้วยการแก้ไขและตัดทอนเนื้อหาสำคัญของหนังสือบางส่วนออก เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของตน เพราะมีเนื้อหาสำคัญหลายส่วนที่มีระบุในฉบับที่ตะหฺกีกโดย ดร.เฟากิยะฮฺ แต่กลับไม่มีระบุในฉบับที่ตะหฺกีกและตีพิมพ์ที่ซาอุดีอาระเบีย

การกล่าวหาดังกล่าวน่าจะมีน้ำหนัก ถ้าปรากฏว่าเนื้อหาฉบับที่จัดพิมพ์ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ไม่สอดคล้องกับเนื้อหาในเมนูสคริปต์ที่มีอยู่ทั้งสามฉบับ (เลข 2,3,4) และแตกต่างจากฉบับที่จัดพิมพ์นอกประเทศซาอุดีอาระเบีย เช่นฉบับที่พิมพ์ที่อินเดีย อียิปต์ และเลบานอน เป็นต้น แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะฉบับที่จัดพิมพ์ที่ประเทศซาอุดีอาระเบียก็ยึดต้นฉบับจากมนูสคริปต์ทั้งสามหรือสองในสามดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งเป็นบรรดาเมนูสคริปต์ที่มีความแตกต่างจากเมนูสคริปต์ฉบับที่ ดร.เฟากิยะฮฺได้ยึดไว้เป็นบรรทัดฐาน ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ดังนั้น การกล่าวหาว่าผู้จัดพิมพ์แห่งประเทศซาอุดีอาระเบียไม่มีอะมานะฮฺและทำการเบี่ยงเบนและตัดทอนเนื้อหาหนังสืออิบานะฮฺ จึงไม่ถูกต้อง

ต่อไปนี้เป็นข้อสังเกตและการวิจารณ์บางประการเกี่ยวกับความผิดพลาดของหนังสืออัลอิบานะฮฺฉบับที่ตะหฺกีกโดย ดร.เฟากิยะฮฺ
1. ความผิดพลาดและเบี่ยงเบนด้านการสะกดคำอย่างมากมาย ซึ่งเป็นไปได้ว่าเกิดจากความผิดพลาดด้านการพิมพ์และไม่มีความประณีตด้านการตรวจทานต้นฉบับ หรือเกิดจากความผิดพลาดในการสะกดคำในเมนูสคริปต์ (ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างในข้อสองต่อไป) และบางครั้งผู้ตะหฺกีกได้วางคำที่ผิดอย่างชัดแจ้งไว้บนหน้าหลัก แล้ววางคำที่ถูกต้องที่มาจากเมนูสคริปต์ฉบับอื่นไว้ที่เชิงอรรถ จากข้อสังเกตข้างต้น ทำให้เกิดความยุ่งยากและเหน็ดเหนื่อยในการอ่านเนื้อหา และบางครั้งจำเป็นต้องมีหนังสืออีกฉบับหนึ่งมาวางขนาบไว้

2. การยึดเอาเมนูสคริปต์ที่มีการเขียนอย่างชัดเจน (เหมือนกับเมนูสคริปต์ที่เพิ่งเขียนขึ้นมาใหม่) ไม่มีระบุวันที่คัดลอก และมีการเพิ่มเติมเนื้อหาที่ไม่มีระบุในเมนูสคริปต์ฉบับอื่นๆอีกสามฉบับมาเป็นต้นฉบับหลักในการคัดลอกและทำการตะหฺกีก เป็นสิ่งที่น่าทบทวนอย่างยิ่ง แม้กระทั่ง ดร.เฟากิยะฮฺซึ่งเป็นผู้ตะหฺกีกเองก็ยังกล่าวให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับเมนูสคริปต์ฉบับดังกล่าวว่า

“แท้จริงฉันได้ยึดเอาเมนูสคริปต์ฉบับ (อิสกันดะริยะฮฺ) นี้เป็นต้นฉบับแม่ เพราะมันเป็นเมนูสคริปต์ที่ให้ความหมายที่สมบูรณ์ และไม่มีการฉีกขาดหรือลบเลือนที่เสียหาย ซึ่งตรงข้ามกับเมนูสคริปต์ฉบับอื่นๆ...เพียงแต่ว่า จำเป็นต้องสังเกต เพราะในเมนูสคริปต์ฉบับนี้มีการเพิ่มเติมจำนวนหนึ่งที่จำเป็นต้องทำการศึกษาทบทวนโดยละเอียด เพื่อหลีกห่างจากสิ่งที่ถูกผูกติดไว้จากสำนวนที่แฝงตัวเข้าไป (ในเนื้อหาเดิม) แท้จริงได้เป็นที่ประจักษ์ – ถึงแม้ว่าจะมีสำนวนเพิ่มเติม (แอบแฝงอยู่) ดังกล่าว- และยืนยันโดยรวมถึงการดำเนินไปตามแนวทางสะลัฟที่ ประกาศอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่ค้านกับแนวทางของสำนวนที่แฝงตัวดังกล่าว ตัวอย่างเช่น การอธิบายความหมายของ al-istiwa’ ในหน้า 81 ด้วยคำว่า al-qahr wa al-qudrah “มีอำนาจ และมีอิทธิพล” สิ่งนี้จำเป็นต้องประกาศให้ทราบ...เป็นที่สังเกตคือ เราไม่พบเจอการระบุวันที่คัดลอกจากต้นฉบับเดิมของเมนูสคริปต์ชุดดังกล่าว เนื่องเพราะไมโครฟิลม์ที่เก็บเมนูสคริปต์ดังกล่าวสิ้นสุดลงทันทีหลังจากที่เนื้อหาของหนังสือสิ้นสุดลง” (บทนำอัลอิบานะฮฺ ตะหฺกีก ดร.เฟากิยะฮฺ หน้า 188)

และในเชิงอรรถที่ 12 หน้า 107 มุหักกิกระบุว่า ในเมนูสคริปต์ฉบับอิสกนัดะริยะฮฺ มีสำนวนเพิ่มเติมในการอิธิบายความหมายอง "อิสติวาอ์" ว่า istiwa' bima'na alqahr wa alghalabah "อิสติวาอ์ด้วยความหมายของ การใช้กำลังครอบครองและมีชัยชนะ

ในกระบวนการวิพากษ์หลักฐาน (naqd nusus) เพื่อกลั่นกรอง และแยกแยะหลักฐานเท็จออกจากหลักฐานจริง เพื่อชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือระหว่างหลักฐานต่างๆที่มีมากกว่าหนึ่งและมีความเหลื่อมล้ำและแตกต่างกัน และคัดเลือกหลักฐานที่เห็นว่ามีน้ำหนักที่สุด โดยเฉพาะหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร (Maktubat/Written Records) ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของเมนูสคริปต์ หรืออักษรจารึกต่างๆ การวิจารณ์ภายนอก (al-Naqd al-Khariji) เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสรุปของชื่อผู้แต่ง สถานที่ และปีที่แต่ง วัสดุที่ใช้ ภาษาและอักษรที่ใช้ เป็นต้น หลังจากนั้น เราจึงหาข้อสรุปว่า เป็นข้อมูลชั้นต้น/ปฐมภูมิ (Primary Records) หรือว่าชั้นสอง/ทุติยภูมิ (Secondary Records) หรือชั้นสาม/ตติยภูมิ (Tertiary Records)

ผู้ตะหฺกีกเองก็ยอมรับว่าเมนูสคริปต์ฉบับอิสกันดะริยะฮฺที่ตนยึดเป็นต้นฉบับแม่นั้น
1.เป็นเมนูสคริปต์ที่ถูกคัดลอกด้วยอักษรธรรมดา (ซึ่งแสดงถึงความใหม่ของต้นฉบับ)
2.ไม่มีระบุวันที่คัดลอก (ทำให้ไม่สามารถกำหนดช่วงเวลาของการคัดลอกว่าเกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากเมนูสคริปต์อีกสามฉบับ)
3.มีการสอดแทรกเนื้อหาเพิ่มเติมจากต้นฉบับเดิมที่ไม่สอดคล้องหรือค้านกับเป้าหมายของเนื้อหาเดิม (ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าอาจจะเป็นการเพิ่มเติมของอะชาอิเราะฮฺรุ่นหลังเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางที่ตนยึดถืออยู่ ถึงแม้ว่าผู้ตะหฺกีกจะให้น้ำหนักไปทางมุอฺตะซิละฮฺก็ตาม การเพิ่มเติมดังกล่าวทำให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือของเนื้อหาในเมนูสคริปต์ดังกล่าวตกไปโดยปริยาย เมื่อเทียบกับความสอดคล้องของเมนูสคริปต์ฉบับอื่นๆทั้งสามฉบับ)

ข้อตำหนิต่างๆข้างต้น ทำให้เมนูสคริปต์ฉบับอิสกันดะริยะฮฺ อย่างดีที่สุดเป็นได้แค่ข้อมูลชั้นรองหรือชั้นสามเท่านั้น ไม่สามารถนำมาเป็นข้อมูลชั้นต้นหรือชั้นปฐมภูมิได้ ดังนั้น การที่มุหักกิกยึดเอาเมนูสคริปต์ฉบับอิสกันดะริยะฮฺที่มีข้อตำหนิและบกพร่องดังกล่าวมาเป็นต้นฉบับแม่ เพียงเพราะข้ออ้างที่ว่า “มีการเรียบเรียงสำนวนได้ดีกว่าฉบับอื่นๆ” จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องกับระเบียบวิธีการวิพากษ์หลักฐานอย่างสิ้นเชิง วัลลอฮุอะอฺลัม

ลองพิจารณาดูตัวอย่างความแตกต่างต่อไปนี้ ระหว่างเมนูสคริปต์ฉบับอิสกันดะริยะฮฺที่ผู้ตะหฺกีกใช้เป็นต้นฉบับแม่กับเมนูสคริปต์อีกสามฉบับว่ามันเหลื่อล้ำขนาดไหน
ในหนังสือ อัลอิบานะฮฺ หน้า 21 ตามเมนูสคริปต์ฉบับอิสกันดะริยะฮฺระบุว่า

وأن الله تعالى استوى على العرش على الوجه الذى قاله وبالمعني الذي أراده، استواء منزها عن الممارسة، والاستقرار والتمكن والحلول والانتقال، لا يحمله العرش، وحملته محمولون بلطف قدرته، ومقهورون في قبضته، وهو فوق العرش، وفوق كل شيء الى تخوم الثرى ، فوقية لا تزيده قربا إلي العرش والسماء، بل هو رفيع الدرجات عن العرش،كما أنه رفيع الدرجات عن الثرى وهو مع ذلك قريب من كل موجود، وهو أقرب إلى العبد من حبل الوريد، وهو علي كل شيء شهيد

ในขณะที่ผู้ตะหฺกีกได้ระบุที่เชิงอรรถว่าในเมนูสคริปต์ของอีกสามฉบับมีข้อความเพียงแค่

ك، ز، د : ((وأن الله مستو علي عرشه)): كما قال: الرحمن على العرش استوى

ซึ่งจากการสืบหาที่มาของประโยคและสำนวนดังกล่าวปรากฏว่า มีระบุในหนังสือ “อัลอัรบะอีน ฟีอุศุลิดดีน” หน้า 7-8 ของอิมามอบู หามิดอัลเฆาะซาลีย์ ชนิดคำต่อคำเลยทีเดียว ! ทำให้เรายิ่งโน้มเอียงไปทางสมมุติฐานที่ว่า “สำนวนดังกล่าวและอื่นๆ ที่มีเพิ่มเติมในเมนูสคริปต์ฉบับอิสกันดะริยะฮฺ และไม่มีในเมนูสคริปต์อีกสามฉบับ เป็นการเพิ่มเติมของกลุ่มอะชาอิเราะฮฺรุ่นหลัง” เพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตนยึดถืออยู่ วัลลอฮุลมุสตะอาน

ตัวอย่างเนื้อหาบางส่วนของหนังสือ

เพื่อให้ได้ประจักษ์ถึงความแตกต่างระหว่างอะกีดะฮฺที่อบู หะสัน อัลอัชอะรีย์ดำเนินอยู่ในห้วงสุดท้ายของชีวิตท่านกับอะกีดะฮฺที่ชาวอะชาอิเราะฮฺรุ่นหลังดำเนินอยู่และอ้างว่าเป็นแนวทางของอบู หะสัน ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างเนื้อหาบางส่วนของอะกีดะฮฺอบูหะสันที่มีบรรจุอยู่ในหนังสือ อัลอิบานะฮฺของท่าน ในส่วนเนื้อหาที่จะนำเสนอต่อไปนี้ ผู้เขียนจะยึดเอาตามหนังสืออิบานะฮฺที่ตะหฺกีกโดย ดร.เฟากียะฮฺเป็นหลัก เพราะเป็นเล่มที่คนส่วนใหญ่ให้การยอมรับ ส่วนเนื้อหาที่มีเพิ่มเติมจากเมนูสคริปต์ฉบับอิสกันดะริยะฮฺนั้น ผู้เขียนจะเตือนไว้ในวงเล็บพร้อมกับกำกับอักษร (ส) ไว้ในตอนท้าย
ส่วนเนื้อหาที่จะยกตัวอย่างต่อไปนี้ ผู้เขียนขออนุญาตยกประเด็นที่เป็นปัญหาโลกแตกที่มีการโต้แย้งกันอย่างไม่สิ้นสุดมานำเสนอ นั่นคือ
1. อิสตะวา (อยู่เหนือ) ซึ่งอะชาอิเราะฮฺรุ่นหลังจะตีความว่า “อิสเตาลา” (เข้าครอบครอง หรือ อำนาจปกครอง)
2. ยะดน/ยะดาน (พระหัตถ์) ซึ่งอะชาอิเราะฮฺรุ่นหลังจะตีความว่า “นิอฺมะฮฺ, กุววะฮฺ, กุดเราะฮฺ” (ความโปรดปราน, พลัง และอำนาจ)

วัสสลาม
أولى لك أن تتألم لأجل الصدق .. من أن تكافأ لأجل الكذب

การที่ท่านยอมเจ็บปวดเพื่อความสัจจริง มันดีเสียกว่า ที่ท่านอยู่อย่างสุขสบายเพราะการโกหกปลิ้นปล้อน

 

GoogleTagged