เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

ผู้ที่นำแสงสว่างสู่ชีวิตคน(ครู)

(1/5) > >>

noor:
Tweet
ไม่ว่าศาสนาไหนๆก็ถือว่าครูเป็นบุคคลที่สำคัญ ผู้ซึ่งทำให้มนุษย์เรารู้จักคิดรู้จักแยกกแยะสิ่งไหนดีสิ่งไหนชั่ว
ซึ่งผมอยากรู้ว่าทัศนของอิสลามเกี่ยวผู้ที่ทำหน้าที่เป็นครูแล้วแต่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองผลจะเป็นอย่างไร และสำหรับผู้ที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่ดีควรจะปฏิบัติตนอย่างไรกับครูบาอาจารย์

del_dangerous:
ท่านนบีมูฮัมมัด ศ็ฮลลอลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
เป็นคุณครูผู้ยิ่งใหญ่

การเป็นครู
ก็เหมือนเราได้ทำตามแบบฉบับของท่านนบี

วัสลาม

al-azhary:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ท่านผู้เกียรติพึงทราบเถิดครับว่า  ผู้ที่แสวงหาความรู้นั้น  เขาจะไม่ได้รับความรู้และไม่สามารถนำความรู้มาใช้เป็นประโยชน์ได้  นอกจากต้องให้เกียรติวิชาความรู้  ให้เกียรติผู้มีความรู้  และให้เกียรติและยกย่องครูบาอาจารย์

มีนักปราชญ์กล่าวว่า   บุคคลหนึ่งจะไม่ได้รับสิ่งที่ตนเองปรารถนานอกจากด้วยการให้เกียรติ  และเขาย่อมพลาดหวังสิ่งที่ตนจะได้รับเพราะเขาละทิ้งการให้เกียรติและให้ความสำคัญ

นักปราชญ์บางส่วนกล่าวเช่นกันว่า  การให้เกียรติย่อมดีกว่าการฏออัต  ไม่เห็นดอกหรือว่ามนุษย์ไม่ได้กุฟุรด้วยการฝ่าฝืน  แต่ทว่าเขากุฟุรเพราะทิ้งการให้เกียรติ   เพราะการการฝ่าฝืนคำสั่งของอัลเลาะฮ์นั้นเขาก็ยังมีจิตสำนึก  แต่หากเขาไม่ให้เกียรติคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮ์  โดยไม่ให้ความสำคัญ  ความกุฟุรก็จะบังเกิด 

ดังนั้น  ส่วนหนึ่งจากการให้เกียรติวิชาความรู้  ก็คือการให้เกียรตครูบาอาจารย์  ท่านอิมามอะลี  ร่อฏอยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า  "ฉันจะเป็นทาสของผู้ที่สอนฉันแม้เพียงหนึ่งอักษร  ซึ่งหากเขาต้องการที่จะขายฉัน  ก็กระทำเถิด  หากเขาต้องการที่จะปลดปล่อยให้เป็นอิสระ  เขาก็จงทำเถิด  หรือหากเขาจะจับฉันมาเป็ทาสเชลยเพื่อนำมาเป็นผู้รับใช้  เขาก็จงกระทำเถิด"   และท่านอิมามอะลีได้กล่าวเช่นกันว่า "ฉันเห็นว่าสิทธิ์ที่ต้องให้ความสำคัญยิ่งคือสิทธิของครูบาอาจารย์  และสิทธิ์นั้นจำเป็นต้องรักษาไว้สำหรับมุสลิมทุกคน  ซึ่งแท้จริงแล้วต้องมอบให้หนึ่งพันเหรียญเงินให้แก่ครูบาอาจารย์เพียงเพราะเป็นเกียรติที่ได้สอนแม้เพียงอักษรเดียว  ดังนั้นผู้ใดที่สอนท่านเพียงหนึ่งอักษรเกี่ยวกับเรื่องศาสนาที่ท่านต้องการ  เขาก็ย่อมเป็นบิดาของท่านในศาสนา"

โปรดติดตามต่อไป....อินชาอัลเลาะฮุตาอาลา

กูปีเยาะฮฺสะอื้น:
يرفع الله الدين آمنوا والدين أوتوا العلم درجات

del_dangerous:
     บทบาทครูสอนวิชาศาสนาอิสลาม     

          ครูส่วนใหญ่เข้าใจว่า ครู ก็คือ ครู ไม่จำเป็นจะต้องมีบทบาทและภารกิจอะไรที่มากมาย เคยสอนมาอย่างไรก็ต้องสอนไปอย่างนั้น โดยมิได้คำนึงถึงสภาพทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ว่าจะมีวิธีการอย่างไรในอันที่จะเพิ่มกลยุทธ และพัฒนาความเป็นครูให้เด่นชัด และพัฒนาสังคมให้บรรลุสู่เจตนารมณ์แห่งอัลอิสลาม แน่นอนครูสอนศาสนาจะต้องมีบทบาทและภารกิจที่ไม่อยู่กับที่ แต่จะต้องมีพัฒนาการสู่จุดที่สังคมนั้นจะต้องรุดหน้าด้วยกับหลักการแห่งอัลอิสลาม อย่างเป็นลำดับ


          ครู ในทัศนะอิสลามกับความรับผิดชอบของครูสอนศาสนา ในสังคมปัจจุบันมีความรับผิดชอบกันมากน้อยขนาดไหน อย่างไร ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และมีความหมายในการสอนภาคฟัรฎูอีนเป็นอย่างมาก แต่ว่าวิธีการที่เราจะเสริมสถานภาพในการเป็นครูนั้นย่อมมีความแตกต่างกันในแต่ละยุคแต่ละสมัย ปัจจัยที่เอื้ออำนวย ในการที่จะส่งผลผลิตที่ชัดเจน ให้แก่ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนนั้น ให้มีการพัฒนา มีปัจจัยหลายๆอย่าง ที่จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง การเสริมสร้างสถานภาพของครู เพื่อมุ่งผลให้แก่ผู้ศึกษาเล่าเรียน ได้รับรับประโยชน์อย่างจริงจังนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ประการด้วยกัน อันสืบเนื่องมาจากสภาวการณ์ทางสังคมที่มีความแตกต่างกันออกไป
         

          ในแง่ของหลักการที่ครูจำเป็นจะต้องบรรจุคุณสมบัติของตัวเอง ให้ตรงกับเจตนารมณ์ตามหลักการแห่งอัลอิสลาม สองประการนี้ เป็นปัจจัยสำคัญมากที่จะฝากให้กับครู ในอันที่จะเสริมสร้างให้นักเรียนที่กำลังเรียนอยู่ ในสภาวะทางสังคม หากเราจะดูวิธีการสอนเหมือนกับวิธีการสอนที่มีอยู่เดิมในสมัยที่ผ่านพ้นมานั้นมันไม่เหมาะสมกับยุคสมัยนี้เสียแล้ว


          ในยุคสมัยนี้มีการวิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราไปดูสภาพทางสังคมในสังคมมุสลิมไทยเมื่อประมาณ 20 ปีเศษมานั้น แน่นอนไม่เหมือนกับยุคปัจจุบัน เราจะพบเกณฑ์เฉลี่ยการดำเนินชีวิตของประชาชนมุสลิมไทยในอดีตตั้งมั่นอยู่ในศิลธรรมเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบภาคกลางมีการรับรับวัฒนธรรมซึ่งได้เคยถือปฏิบัติกันในแถบ 4 จังหวัดภาคใต้มาก่อน เพราะอันที่จริงมุสลิมในแถบภาคกลางก็มีเชื้อสายมาจากแถบ 4 จังหวัดภาคใต้ 


          ดังนั้นความรักความหวงแหนในทางศาสนามันจึงมีการสืบทอดกันมา กาลเวลาได้ล่วงเลยมาวัฒนธรรมอันหลากหลายได้ระบาดเข้ามามีการยอมรับเอาวัฒนธรรมทางตะวันตกมาใช้กันอย่างดาษดื่น พยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ มีการดิ้นรนในทางเศรษฐกิจจนกระทั่งไม่สนในอิบาดะห์ หรือการที่จัดบุคลิกภาพของตนเองให้เป็นคนที่ทันสมัยตามวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมต่างประเทศได้แพร่ระบาดเข้ามา ทำให้ประชาชาติมุสลิมต้องเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่สูญเสียไป หากเราไม่มีการแก้ไขปรับปรุง การเป็นแบบอย่างที่ดีงามในอันที่จะยืนอยู่ในโลกนี้ โดยรวมไปถึงแบบฉบับอันเป็นปูชนียบุคคลในอันที่จะมอบให้แก่ประชาชนหรือบรรดาลูกศิษย์นั้น เราจะสังเกตุได้ว่าครูในอดีตนั้นเป็นผู้ที่มีชีวิตสะอาดหมดจดและเสียสละผลประโยชน์เพื่อส่วนรวมมาโดยตลอด แต่เมื่อได้ตกทอดมาถึงยุคปัจจุบัน เราต้องยอมรับว่าครูบางคนได้มาทำลายจรรยาบรรณอันนี้ ซึ่งเราก็เคยได้ทราบข้อมูลในทำนองนี้กันมาบ้างแล้ว เขาได้ทำลายบุคลิกภาพและภาพพจน์ของครูส่วนใหญ่ให้มัวหมอง


          ทำให้ภาพพจน์ของครูเกิดขึ้นมาใหม่ ในความรู้สึกของประชาชนว่าเดิมครูเป็นผู้ที่ไว้วางใจได้ แต่ปัจจุบันหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้นหากเรายังคงยึดถือแบบแผนในอดีตว่าเรายังคงทำการสอนกันไปอย่างนั้นแล้ว แน่นอนที่ท่าทีเด็กจะได้รับเนื้อหาวิชาการก็จะไม่ดีเท่าที่ควร เพราะสิ่งที่สูญเสียไป เราต้องยอมรับว่าคือการเป็นแบบอย่างที่ดีของครูและการเป็นแบบอย่างที่ดีงามของผู้ปกครอง และเช่นเดียวกัน ดังกล่าวนั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กอย่างมาก เด็กนั้นแม้จะมีความรู้มากน้อยเพียงใดก็ตาม หากผู้ปกครองหรือครูไม่เป็นแบบอย่างที่ดีแล้ว


          ในอันที่จะให้เด็กเกิดการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปสู่วิธีที่ดีงาม แน่นอนการที่จะทำให้บรรลุผลย่อมไม่บังเกิด นี้คือข้อแตกต่างที่เกิดขึ้น เราต้องมีการสร้างภาพพจน์ใหม่ ต้องหันไปประสานกับอิสลามในบางจุด โดยหลักการในชั้นที่จะแก้ไขมุสลิมในปัจจุบัน เราต้องมีการรณรงค์ในทุกๆภาคทั้งเยาวชนและผู้ปกครอง ให้มีความเคร่งครัดในศาสนา แต่ผู้ปกครองต้องมาเป็นอันดับแรก


          เพื่อเป็นพลังหนุนให้เด็กสามารถประพฤติปฏิบัติในทางความรู้ที่ตนได้เรียนไป ถ้าหากผู้ปกครองของชุมชนนั้นไม่ได้รับการปฏิบัติ แม้ว่าการสอนของครูจะมีประสิทธิภาพสักเพียงใดก็ตาม ทว่าสิ่งที่เด็กจะได้รับ ดูเหมือนจะเป็นเพียงความรู้เท่านั้น แต่การที่เด็กจะเอาความรู้ไปปฏิบัติออกจะเป็นเรื่องที่ยากทีเดียว เพราะไม่มีบรรยากาศใดๆ ในอันที่จะเอื้ออำนวยให้เขายินดีในการที่จะปฏิบัติตามคำสอนแน่นอนสิ่งต่างๆเหล่านี้ ย่อมไม่สัมฤทธิ์ผลในทางการศึกษาอิสลามย่อมไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฉะนั้นดังกล่าวย่อมเป็นสิ่งที่ท้าทายในการต่อสู้ของครูสอนศาสนาในภาคฟัรฎูอีน แม้ว่าเราจะมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อปัญหาเยาวชน แต่ถ้าเราจะเอาความรับผิดชอบทำนอนเดียวกัน  ความหวังในเรื่องที่เราจะเปลี่ยนแปลงสังคมย่อมเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยเราต้องศึกษาตัวเองอีกจุดหนึ่งเพื่อเป็นตัวถ่วงหรือเหนี่ยวรั้งไม่ให้การปฏิบัติของเด็กนั้นมิให้บรรลุผลตามข้อมูลวิชาการที่ได้เรียนรู้ไปก็คือสภาพโดยสังคมส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของท่านพ่อแม่หรือใครก็แล้วแต่เป็นเรื่องสำคัญ


          ปัญหาต่อไปก็คือต้องกลับไปสู่จิตวิญญาณแห่งการเป็นครูสอนศาสนาโดยเฉพาะบรรลุเป้าหมายว่าหน้าที่ที่เราจะก้าวเข้าไปเปลี่ยนแปลงคนมันมีหน้าที่กี่ประการด้วยกัน อันนี้ถ้าหากว่าเราไปมองถึงภารกิจอันสำคัญของท่านนบีมุฮำมัด(ซ.ล.)  ภารกิจอันสำคัญของท่านร่อซูลนั้นอัลกุรอานได้แจกแจง ขยายให้ประชาชาติในทุกยุคทุกสมัยได้ทราบว่าการที่พระองค์ได้แต่งตั้งท่านนบีมุฮำมัด ให้เป็นศาสนทูตนั้นมีเป้าหมายสั้นๆ เพื่อง่ายต่อการรับรู้ และการปฏิบัติอยู่เพียงสองประการเพียงเท่านั้น ซึ่งมีระบุในอัลกุรอาน ดังมีใจความว่า ?พระองค์ผู้ทรงแต่งตั้งศาสนทูตจากบุคคลที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เพื่ออัญเชิญโองการของพระองค์แก่พวกเขาให้รู้จักพระคัมภีร์คำสอนของคัมภีร์และวิทยปัญญาทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาอยู่ในความหลงผิดอย่างชัดแจ้ง?
          จากโองการ เราได้เห็นเจตนารมณ์ของอัลลอฮ์ที่ได้มอบภารกิจอันสำคัญให้กับท่านนบีไว้สองประการ

          ในประการที่ 1 คือการชำระขัดเกลา เป็นหน้าที่ของพวกเราผู้ซึ่งจะต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านร่อซู้ลที่จะต้องทำหน้าที่ชำระข้อบกพร่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในส่วนผู้ปกครอง หรือเด็ก หรือแม้กระทั่งในครอบครัวของเราก็ตามที บุคคลใดที่เหมาะสมในการที่จะเป็นปูชนียบุคคล แล้วเราก็จะต้องขจัดออกไปโดยเริ่มจากที่เราเป็นอันดับแรก(การตัซกียะห์)

          ในประการที่ 2 คือการชำระให้บริสุทธิ์อย่างเดียวโดยมิได้มอบแนวทางที่ชัดเจนและถูกต้อง ให้เขาได้ใช้การดำเนินชีวิตแน่นอนทำให้เขาไม่สามารถบรรลุในการเดินทางไปสู่เป้าหมายของเขาได้

          ปัญหาต่อไปก็คือ สอนให้เขาได้รู้จักคำสอนแห่งอัลกุรอาน และวิทยปัญญาตรงนี้ เราจะเห็นได้ว่ามันเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงของครูทุกคนซึ่งถือว่าเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของท่านร่อซูลลุลลอฮ์(ซ.ล.) จะต้องเอาหลักสองประการนี้มาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของครู คือการ ?ตัซกียะห์? และการให้ข้อมูลในทางวิชาการชี้แนะในการเดินไปสู่หนทางอันถูกต้อง การตัซกียะห์นั้น ถ้าการมองให้ลึกลงไปแล้วมันก็คือการปฏิบัติการควบคุมการเปลี่ยนแปลง ควบคุมพฤติกรรมของชนทุกหมู่เหล่าในการบกพร่องที่ปรากฏอยู่ในสังคมสู่แนวทางอันต่อเนื่อง การต่อสู้อย่างนี้มันทำให้เกิดผลขึ้นมาว่า ถ้าหากเราต่อสู้จนบรรลุผลสำเร็จแล้ว สังคมเราก็จะไม่มีแหล่งแห่งความชั่วใด ที่จะดูดเอาแนวร่วมที่มีปัญญาอ่อนทั้งหลายมาให้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ใช่หลักการอิสลาม แต่ถ้าหากว่าแหล่งหรือปัญหาต่างๆ เหล่านี้ยังไม่มีการชำระแล้ว มันก็จะกลายเป็นพลังทางสังคม เป็นจุดที่จะทำให้เกิดการสั่งสมแนวร่วมทั้งหลาย เข้ามาแล้วก็พัฒนาคนชั่วให้มีอยู่ในสังคมมากขึ้นไปอีก


          จุดที่สอง สอนอัลกุรอานพร้อมวิทยปัญญาให้ทุกคนได้รู้ หมายถึงการถ่ายทอดความเข้าใจในคำสอนแห่งอัลกุรอานให้เหมาะสมตามยุคสมัยจำเป็นที่คัดมา มีการวิเคราะห์วิจารณ์ดึงเอาประสพการณ์ต่างๆ ซึ่งสังคมในปัจจุบันนั้น เราทราบอยู่เป็นอันดี มาทำการเสนอและให้คำสอนอรรถาธิบายชี้ให้เห็นถึงอันใดเป็นความถูกต้องค่านิยมใดในทางสังคม แม้ว่าคนส่วนใหญ่เขาจะมีการยอมรับก็ตาม แต่มันมีผลเสียต่อการดำเนินชีวิตอย่างไรบ้าง อันนี้เราเรียกว่าเป็นการปฏิบัติการให้ความรู้ ในขณะเดียวกันได้มีการต่อต้านความชั่วที่แพร่ระบาดขึ้นอีกด้วย มิให้เป็นค่านิยมเป็นที่ยอมรับในหมู่ชนมุสลิมจากจุดนี้ ครูจึงต้องเป็นคนที่ติดตามข่าวสาร เป็นคนที่ทันเหตุการณ์อยู่เสมอ


          เมื่อเด็กมีการยอมรับความเข้าใจในคำสอนแห่งอัลกุรอานและฮิกมะห์(วิทยปัญญา)แล้ว ผลที่ออกมาก็คือเด็กจะมีแนวความคิดต่อต้านยับยั้งความชั่วที่มันปรากฏขึ้นมา แต่ถ้าว่าเราให้เขารู้แต่หลักการแต่เพียงประการเดียว โดยที่ไม่ทราบถึงเหตุผล เด็กจะได้รับแต่เพียงความรู้ แต่พลังในอันที่จะต่อต้านจะไม่เกิดขึ้นกับเยาวชนเลย


          ปัจจุบันนี้ เราได้พบว่าคนที่สำเร็จการศึกษามักจะมองเป้าหมายในการดำเนินชีวิตอยู่ที่การที่จะพบกับผลประโยชน์ที่จะพึงได้รับจากการที่ได้อุทิศตนให้เป็นประโยชน์ในทางสังคม ดังนั้นคนที่เรียนมาสูงๆ จึงมิได้มีโอกาสก้าวเข้ามาสอนในภาคฟัรฎูอีน แต่จะไปจับงานที่มันใหญ่กว่า ฟัรฎูอีนนี้ก็เลยโอนมาให้ใครก็ได้ที่จะมาทำการสอน เพราะถือว่าสวัสดิการเพียงเล็กๆน้อยๆ ฉะนั้นนักการศาสนาเป็นผู้ที่จบการศึกษาระดับสูงๆ หากมีความรู้สึกทำนองนี้แล้ว แน่นอนระบบการศึกษามันก็จะไม่ก้าวหน้า เพราะเจตจำนงในการที่จะก้าวเข้ามาเป็นครูนั้นมันได้เกิดขึ้นในวันที่ที่จะก้าวเข้ามาทำหน้าที่สอน แต่ถ้าพวกเราไปย้อนดูในการสวมวิญญาณการเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงสังคมเป็นนักต่อสู้ในหน้าประวัติศาสตร์อิสลามแล้ว เราจะไม่พบเลยว่าปัญหาสวัสดิการค่าตอบแทนจะมาเกี่ยวข้องต่อการสอนศาสนา อย่างเช่นท่านนบีมุฮำมัด(ซ.ล.) คอลีฟะห์ทั้งสี่ เป็นต้น เขาเหล่านี้รับใช้สังคมไปตามอุดมการณ์แห่งอัลอิสลามและถือว่าการทำงานในลักษณะนี้ จะได้รับผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่ ซึ่งมิใช่ผลตอบแทนใดๆที่ออกมาในลักษณะรูปธรรม
          ดังนั้น การวางตนเพื่อที่จะให้เป็นผู้รับใช้สังคมมุสลิมนั้น จึงเป็นการตอบสนองเจตนารมณ์แห่งอิสลามโดยมอบภาระในเรื่องริซกีนั้นให้เป็นดุลยพินิจของอัลลอฮ์อย่างแน่วแน่ เพราะพระองค์เป็นผู้กำหนดอยู่แล้ว


          ?ไม่มีสัตว์ตัวใดในพื้นพิภพ นอกจากอัลลอฮ์จะเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพให้แก่มัน? หากว่าเราไม่สมมารถเปลี่ยนแปลงแนวความคิดอันนี้ได้แล้ว ก็เท่ากับเราได้มาเริ่มต้นอยู่ในจุดที่มีความบกพร่อง สิ่งที่จะทำต่อไปนั้นก็จะขาดบาร่อกัต และก็จะมีปัญหาที่ติดตามมาอย่างมากมาย  แต่มิได้หมายความว่า มิได้เหลียวแลครูในเรื่องส่วนของสวัสดิการ แต่ครูต้องมีอุดมการณ์อย่างจริงจังในอันที่จะสร้างสรรค์สังคมโดยมุ่งหวังผลตอบแทนจากอัลลอฮ์เป็นประการสำคัญ ไม่อยากให้ครูต้องมีความรู้สึกว่าสอนเพียงเพื่อหวังผลตอบแทนหรือหวังผลประโยชน์จากมัคลู๊ก(สิ่งถูกสร้าง) หากไม่เป็นไปตามความรู้สึกนั้น ครูจะไม่ดำเนินการสอนหรืออาจจะสอน แต่อย่างไรก็ตาม การสอนชนิดนี้เป็นการสอนที่ขาดจิตวิญญาณ การสอนจึงไม่บรรลุผล เพราะครูมีจิตสำนึกว่าต้องสอนเพื่อผลตอบแทนอะไรทำนองนั้น


          ดังนั้นการเผยแพร่ของท่านนบีมุฮำมัด(ซ.ล.) จึงไม่มีการเสริมสร้างในปัญหาต่างๆเหล่านี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นก็คือ ?การเป็นแบบอย่าง? ดังฮะดีษบทหนึ่ง ?เจ้าจงทำการละหมาดเหมือนกับท่าที่เราละหมาด? หรือในการประกอบพิธีฮัจย์ ?การประกอบพิธีฮัจย์ของพวกเจ้า จงยึดเอาตามแบบฉบับของข้าพเจ้า? ชี้ให้เห็นว่าการถ่ายทอดที่ลึกซึ้ง จงใจให้เกิดการปฏิบัติและสามารถที่จะสัมฤทธิ์ผลได้ก็คือ การสอนด้วยการเป็นแบบอย่าง ทีนี้ เรามาพิจารณากันว่าหากว่าผู้สอนสอนแต่เพียงคำสอน โดยที่ผู้สอนมิได้ให้เป็นไปตามแบบอย่างแห่งหลักการอิสลามแล้ว ความรู้สึกของผู้เรียนในอันที่จะปฏิบัติตามคำสอนนั้น จะไม่ได้รับแรงหนุนช่วยจากสิ่งแวดล้อมเลย หรือในเชิงจิตวิทยาก็มิได้ช่วยให้เขาปฏิบัติได้เลย  ดังนั้นเรื่องการเป็นปูชนียบุคคลจึงเป็นเรื่องจำเป็น อัลลอฮ์ได้ตรัสไว้ ดังมีใจความว่า ?แน่แท้ได้ปรากฏแบบอย่างอันดีงามสำหรับสูเจ้าในตัวของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์แล้ว? นี่คือการชี้ให้เห็นถึงการเผยแพร่ศาสนาของร่อซูล(ซ.ล.) หน้าที่อันนี้ถึงแม้ว่าอัลลอฮ์จะเป็นผู้กำหนดให้แก่ท่านร่อซู้ลเป็นการเฉพาะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นหน้าที่ของร่อซู้ลเท่านั้น อันใดเป็นสิ่งที่ร่อซู้ลประพฤติปฏิบัตินั้นก็คือภารกิจของประชาชาติมุสลิมที่จะต้องประพฤติปฏิบัติด้วย


          ดังนั้นการที่เราจะเสริมสร้างบทบาทให้แก่ตนเองนั้น เพียงแต่เราจะดูจากจุดเล็กๆน้อยๆ ตรงนี้ภารกิจของท่านร่อซู้ลมีกี่ประการ ตลอดจนวิธีการสอนเน้นที่การเป็นแบบอย่าง ซึ่งทำให้เกิดเป็นปูชนียบุคคลขึ้นมา เป็นที่เคารพและเกิดการยอมรับ อันจะทำให้เป็นพลังใจอันสำคัญในการที่ก้าวเข้าไปเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็ก รวมไปถึงการเข้าไปมีบทบาทในส่วนของผู้ปกครองอีกด้วย นั้นเป็นการที่จะก้าวเข้าไปแก้ไขที่เรียกได้ว่าเกือบจะครบวงจร ซึ่งแน่นอนครูก็คือผู้ที่ต้องสวมวิญญาณในความเป็นครูตามอุดมการณ์แห่งอัลอิสลามอย่างแท้จริง

อับดุลหะกีม วันแอเลาะ
ศาสนบัณฑิตมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร
กรรมการบริหารสมาคมคุรุสัมพันธ์

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version