อาจารย์ตอบว่า... すごいค่ะ สุโค่ยที่แปลว่า "สุดยอด"
ถ้าเทียบคำวัยรุ่นบ้านเราสมัยนี้ ก็น่าจะอยู่ที่คำว่า "ฟิน"
เนื่องจากผลงานการออกแบบนั้น เคยเลียนแบบเกลียวคลื่นตอนเกิดสึนามิครั้งใหญ่ที่ไทยเมื่อปี 2004
ซึ่งหากมองเผินๆจะมองไม่ออกว่ามันคือเกลียวคลื่น แต่พอเขาถามว่าได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร
พอบอกว่าจากการมองเกลียวคลื่นยามที่มันตวัดขึ้นเป็นคลื่นยักษ์สินามิ พร้อมกับแสงสีขาวจากโคมไฟ
ที่เปรียบเสมือนแสงแห่งความหวังที่อยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่น ซึ่งมันจะพุ่งขึ้นสู่ที่สูง และสูงยิ่งกว่าเกลียวคลื่น
จนแผ่กระจายไปยังความมืดมนในรอบทิศทาง
เขาก็ถึงบางอ้อกันค่ะ...เพราะว่ามันตรงกับชื่อและหัวข้อของผลงาน...
ตอนนั้นทำเป็นโคมไฟสึนามิค่ะ
แล้ววิชานั้นก็ได้ A ส่วนผลงานชิ้นนั้นก็ติดโผได้รับรางวัลระดับภาคของ JID (Japan Interior Design)...

ซึ่งคงต้องขอบคุณคลื่นสึนามิ...และผู้สร้างสรรคลื่นสินามิมา...
มันคือการพลิกสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นความสวยงาม...
ซึ่งต่อมาพอเกิดพายุเฮอริเคนถล่มชายฝั่งพม่า ภาพพายุนั้นทำให้เกิดเป็นโคมไฟเจ้าพายุในปีต่อมาค่ะ
แต่รอบนั้นไม่ได้ขึ้นส่งชิงรางวัล เพราะทำไม่ทัน...เลยส่งขึ้นโชว์ในนิทรรศการในหอศิลป์ของจังหวัดเกียวโตแทนค่ะ
ซึ่งอาจารย์และคนเข้าชมคอมเม้นท์ให้ว่า ชอบเพราะมันแปลกตาดีเช่นกันค่ะ...
อาจารย์หลายท่านจึงตั้งคำถามว่าทำไมถึงได้ทำผลงานแนวๆนี้ออกมา
ก็เลยบอกว่า...ทุกอย่างที่เราประสบในชีวิต ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีหรือร้ายก็ตาม
แต่มันย่อมแฝงไว้ด้วยความสวยงาม ซึ่งมันขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา
และขึ้นอยู่กับเราว่าจะทำให้ภาพความเลวร้ายกลายเป็นภาพความสวยงามได้หรือไม่...
ถ้าทำได้...เราจะมองเห็นโลกนี้สวยในทุกมุมมอง...และพร้อมจะพยายามทำให้ทุกอย่างสวยงาม...
และเป็นการปลอบขวัญ ส่งกำลังใจให้คนอื่นๆว่า อีกด้านของความเลวร้ายนั้น
เราสามารถทำให้มันสวยงามได้...แค่เราเปลี่ยนความคิด...

ตอนโคมไฟเจ้าพายุ อาจารย์ยังถามว่า...เธอมองเห็นความงามในพายุได้ยังไง...
เลยตอบอาจารย์ไปว่า...หากอาจารย์มองเห็นความงามของโคมไฟที่หนูทำออกมา
นั่นแหล่ะคือภาพความงามที่หนูเห็นมันซ่อนอยู่ในภาพของพายุเฮอริเคน...
หนูคัดเฉพาะภาพความงามของพายุออกมา ส่วนความรุนแรงของมันนั้นหนูไม่ได้สัมผัสไปกับพวกเขาด้วย
เพราะคนที่ได้สัมผัสอาจจะไม่สามารถรับรู้ความงามที่ซ่อนอยู่ได้ แต่หนูมีโอกาสได้มองภาพมันจากมุมไกล...
หนูเลยแทนความรุนแรงของมันด้วยดวงไฟอันอบอุ่นของตัวไฟในโคม ซึ่งปกติเขานิยมเลือกใช้ไฟสีส้ม
แต่หนูเลือกใช้สีขาว เพราะแสงสีขาวมันมีพลังในด้านบวก ดูเหมือนแสงแห่งความหวัง...
มันดูเรืองรอง...
อาจารย์ไม่พูดอะไรต่อ นอกจากรอยยิ้มค่ะ...ปีนั้นก็เลยได้เกรดงามๆมาแปะไว้บนทรานสคริปเป็นคำตอบ...
เมื่อก่อนรู้สึกว่า...ที่ยากสุดของงานออกแบบก็คือ การใช้ความคิดและการถ่ายทอดความคิดผ่านตัวผลงานให้ออกมาตรง
ตามที่เราอยากจะสื่อที่สุด และคนรับสื่อก็รับรู้มันได้อย่างที่เราอยากให้รับรู้...คือต้องพยายามสื่อออกมาได้ตรงเป้าหมายที่สุด...
แต่ที่ค้นพบในปัจจุบันเลยก็คือ...จุดที่ยากที่สุดของการเป็นนักออกแบบก็คือ...การพยายามทำความเข้าใจคนอื่นให้ได้มากที่สุด
และการดึงสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาออกมาให้ได้ตรงตามที่เขาคิดอยู่ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะสนองตอบเขา
ให้ได้ตรงตามเป้าหมาย...จนกลายเป็นตัวผลงานที่เราจะต้องทำมันออกมาเอง...
มันคือ การใช้ EQ + IQ ในเวลาเดียวกัน และสมองต้องประมวลผลได้ในระยะเวลาไม่กี่นาทีด้วย...
การควบคุมภาวะของอารมณ์ก็สำคัญมาก...และตัวของงานจึงกลายเป็นครูของเรา...
นี่จึงเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการยกย่องให้เกียรติครูของเราค่ะ
เพราะว่า ไม่ว่าจะทำอะไรออกมา เราก็จะให้เครดิตครูเสมอค่ะ...
ไม่ว่าครูของเราจะเป็นมนุษย์หรือเป็นสิ่งใดก็แล้วแต่...
และผู้ที่ให้เกียรติครู ก็ย่อมจะได้รับการให้เกียรติกลับด้วยเสมอ...อินชาอัลลอฮฺ...
ที่สำคัญ...ผลงานจากสิ่งต่างๆที่อัลลอฮฺสร้างไว้โดยที่มนุษย์ไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยนั้น
จะไม่มีใครมาคอยอ้างเรื่องลิขสิทธิ์ใดๆค่ะ เพราะอ้างไม่ได้...
เราก็เลยลอกเลียนแบบได้อย่างสบายใจและมีอิสระในการลอกเลียนแบบจากสิ่งดังกล่าวค่ะ

แค่เราต้องลอกอย่างมีศิลปะนิดนึง เพราะถ้าลอกออกมาทั้งแถบ มันก็ไม่น่าตื่นเต้นหรือตื่นตาตื่นใจ

วัสลามค่ะ