ผู้เขียน หัวข้อ: การบริจาคที่ไม่ได้ผลบุญ  (อ่าน 4095 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Haytham

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 91
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
การบริจาคที่ไม่ได้ผลบุญ
« เมื่อ: ก.ย. 01, 2007, 11:21 AM »
0

        ญาซากัลลอฮ. สำหรับทุกๆคำถามที่บัง Al-azhari ตอบ
          มีคำถามใหม่ดังนี้    คือมีเพื่อนต่างศาสนิกเขาเดือดร้อนขัดสนเรื่องเงิน ขอความช่วยเหลือ มุสลิมอย่างเราก็ช่วยโดยมีเจตนาเพื่อหวังการตอบแทนและความโปรดปรานจากอัลลอฮ.  ปรากฏว่ามีพี่น้องมุสลิม(แวดวงตระเวณพักตามมัสยิดของชุมชนต่างๆ)มาให้ขอมูลความรู้ศาสนาเพิ่มเติมว่า
สิ่งที่เราทำนั้นสูญเปล่า ไม่ถือว่าเป็นการซอดาเกาะฮ เพราะเป็นการให้กับกาฟีร การช่วยเหลือกาฟีรไม่ได้รับผลบุญ
        เพื่อให้คำสอนของอิสลามไม่แปดเปื้อน ผมจึงอยากให้ บังช่วยยืนยันว่าจริงเท็จหรือไม่ 
          ถ้าจริงให้อธิบายพร้อมยกหลักฐานว่าทำไม หากกาฟีรรู้คำสอนข้อนี้แล้ว  เพื่อแสดงเหตุผลว่ามุสลิมไม่ใช่คนใจแคบ
  (  ตรงกันข้ามการกระทำใดๆที่ส่งผลเสียต่อกาฟีร เช่น ลักขโมย ดูถูกเหยียดหยาม ทำร้ายร่างกาย เป็นมุบาหรือแค่มักโระฮ(ไม่ฮารอม)จริงหรือ  ยกหลักฐานด้วย)   

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: การบริจาคที่ไม่ได้ผลบุญ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.ย. 03, 2007, 05:22 AM »
0
بسم الله الرحمن الرحيم

الحمد لله رب العالمين و الصلاة والسلام على سيدنا محمد وعلي اله وصحبه أجمعين

การซอดาเกาะฮ์หรือการบริจาคท่านให้แก่พวกกุฟฟารนั้น  นักปราชญ์ฟิกห์มีทัศนะที่แตกต่างกัน  มัซฮับอัชชาฟิอีย์และมัซฮับอัลฮัมบะลีย์  มีทัศนะว่า  อนุญาติให้ทำการบริจาคทานสมัครใจ(สุนัต)ให้แก่พวกกาเฟรได้โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ  ไม่ว่ากาเฟรนั้นจะอยู่ในสนทธิสัญญาอยู่ร่วมในประเทศมุสลิมหรือเป็นการเฟรคู่สงครามก็ตาม  และไม่ว่าเป็นกาเฟรที่ได้รับสัญญาการคุ้มครองหรือไม่ได้รับสัญญาการคุ้มครองก็ตาม  หลักการดังกล่าว  คือหลักฐานจากอัลกุรอานตามนัยยะความหมายโดยครอบคลุมที่ว่า

وَيُطْعِمُونَ الطَّعَامَ عَلَى حُبِّهِ مِسْكِيناً وَيَتِيماً وَأَسِيراً

 "และพวกเขาได้ให้อาหาร  ทั้งที่มีความยากได้อาหารนั้น  ให้แก่คนอนาถา , เด็กกำพร้า , และเชลยศึก" อัลอินซาน : 8

ท่านอิบนุกุดามะฮ์กล่าวว่า "ในวันนั้นไม่มีเฉลยศึกนอกจากเป็นคนกาเฟรเท่านั้น"  และเพราะหลักฐานคำกล่าวของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ความว่า "ในทุก ๆ ตับที่สดนั้น  ย่อมมีผลการตอบแทน"  และได้มีรายงานหะดิษว่า "อัสมาอฺ บินติ อะบีบักรอัศศิดดีก กล่าวว่า  มารดาได้มาหาฉัน  โดยที่นางเป็นมุชริกตอนที่อยู่ในสมัยท่านร่อซูลุลเลาะฮ์  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ดังนั้น  ฉันถึงขอคำฟัตวาจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ฉันกล่าวถามว่า  แท้จริงมารดาของฉันได้มาหาฉันโดยที่นางมีความต้องการ   จะให้ฉันเชื่อมสัมพันธไมตรีกับมารดาของฉันหรือไม่?  ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์  กล่าวว่า "ใช่แล้ว  เธอจงเชื่อมสัมพันธไมตรีกับนางเถิด"  และการเชื่อมสัมพันธไมตรีนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับการสรรเสิรญในทุกศาสนาและการมอบของขวัญของกำนัลให้แก่ผู้อื่นนั้น  ย่อมเป็นส่วนหนึ่งจากจรรยามารยาทที่มีเกียรติ" อ้างอิงจาก : อัลเมาซูอะฮ์อัลฟิกฮียะฮ์

ท่านอิมามอัลกุรฏุบีย์  กล่าวว่า "การให้อาหารแก่เฉลยศึกที่เป็นพวกตั้งภาคีนั้น  เป็นการสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ตาอาลา ซึ่งต้องเป็นทานสุนัตเท่านั้น  ส่วนทานฟัรดู(เช่นซะกาต) ถือว่าไม่เป็นการสร้างความใกล้ต่ออัลเลาะฮ์ตาอาลา...วัลลอฮุอะลัม" ตัฟซีรกุรฏุบีย์ ซูเราะฮ์อัลอินซาน อายะฮ์ที่ 8

ส่วนกรณีการโขมยทรัพย์สินของกาเฟรนั้น  ไม่เป็นที่อนุญาตนะครับ  เพราะว่าการที่มุสลิมอนุญาตให้โขมยทรัพย์สินของกาเฟรนั้น ถือว่าเป็นความน่าอับอายและความเสื่อมเสียของหลักการอิสลาม

รายงานจากอัลมุฆีเราะฮ์ บิน ชั๊วะอฺบะฮ์  ซึ่งเขาได้เคยเดินทางร่วมกับชนกลุ่มหนึ่งในสมัยญาฮิลียะฮ์  แล้วเขาได้ทำการฆ่าและเอาทรัพย์สินของพวกเขา  หลังจากนั้นเขาได้มา(หาท่านนบี) และทำการเข้ารับอิสลาม  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า "สำหรับอิสลามนั้นฉันขอน้อมรับ  แต่สำหรับทรัพย์สินนั้น  ฉันไม่ต้องการมันสักสิ่งใดเลย" รายงานโดยอัลบุคอรีย์ (2583)

ท่านอัลหาฟิซฺ อิบนุ  หะญัร อัลอัสเกาะลานีย์  อธิบายว่า "สิ่งที่ได้รับจากหะดิษนี้คือ  ไม่อนุญาตให้เอาทรัพย์สินของพวกกาเฟรในยามสงบปลอดสงครามอย่างทุจริต  เพราะการร่วมเดินทางต้องอยู่พร้อมกับอะมานะฮ์(มีความไว้วางใจได้) และอะมานะฮ์นั้นต้องปฏิบัติต่อเจ้าของอะมานะฮ์นั้น  ไม่ว่าเขาจะเป็นมุสลิมหรือกาเฟรก็ตาม  และทรัพย์สินของกาเฟรที่อนุญาตให้เอาได้นั้น คืออยู่ในช่วงทำสงคราม" ฟัตหุลบารีย์ 5/341

สำหรับการทำร้ายคนกาเฟรหรือดูถูกเหยียดหยามพวกเขานั้น  ถือว่าเป็นสิ่งที่หะรอมต้องห้ามนะครับ  เพราะอิสลามส่งเสริมให้มุสลิมมีจรรยามารยาทที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์

รายงานจากมะอาซฺ บิน ญะบัล  ว่า  ท่านร่อซูลลุลเลาะฮ์  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

خَالِقِ النَّاسَ بِخُلُقٍ حَسَنٍ

"ท่านจงปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ ด้วยจรรยามารยาทที่งดงาม" อัตติรมีซีย์ (1988) ท่านอัตติรมีซีย์กล่าวว่า "เป็นหะดิษหะซัน"

แต่สำหรับกรณีที่มีสงครามก็สามารถต่อสู้คนกาเฟรได้ตามกฏแห่งสงครามครับ
   
والله أعلى وأعلم   
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged