بسم الله الرحمن الرحيم
الحمد لله رب العالمين و الصلاة والسلام على سيدنا محمد وعلي اله وصحبه أجمعين
การซอดาเกาะฮ์หรือการบริจาคท่านให้แก่พวกกุฟฟารนั้น นักปราชญ์ฟิกห์มีทัศนะที่แตกต่างกัน มัซฮับอัชชาฟิอีย์และมัซฮับอัลฮัมบะลีย์ มีทัศนะว่า อนุญาติให้ทำการบริจาคทานสมัครใจ(สุนัต)ให้แก่พวกกาเฟรได้โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ไม่ว่ากาเฟรนั้นจะอยู่ในสนทธิสัญญาอยู่ร่วมในประเทศมุสลิมหรือเป็นการเฟรคู่สงครามก็ตาม และไม่ว่าเป็นกาเฟรที่ได้รับสัญญาการคุ้มครองหรือไม่ได้รับสัญญาการคุ้มครองก็ตาม หลักการดังกล่าว คือหลักฐานจากอัลกุรอานตามนัยยะความหมายโดยครอบคลุมที่ว่า
وَيُطْعِمُونَ الطَّعَامَ عَلَى حُبِّهِ مِسْكِيناً وَيَتِيماً وَأَسِيراً
"และพวกเขาได้ให้อาหาร ทั้งที่มีความยากได้อาหารนั้น ให้แก่คนอนาถา , เด็กกำพร้า , และเชลยศึก" อัลอินซาน : 8
ท่านอิบนุกุดามะฮ์กล่าวว่า "ในวันนั้นไม่มีเฉลยศึกนอกจากเป็นคนกาเฟรเท่านั้น" และเพราะหลักฐานคำกล่าวของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ความว่า "ในทุก ๆ ตับที่สดนั้น ย่อมมีผลการตอบแทน" และได้มีรายงานหะดิษว่า "อัสมาอฺ บินติ อะบีบักรอัศศิดดีก กล่าวว่า มารดาได้มาหาฉัน โดยที่นางเป็นมุชริกตอนที่อยู่ในสมัยท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้น ฉันถึงขอคำฟัตวาจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ฉันกล่าวถามว่า แท้จริงมารดาของฉันได้มาหาฉันโดยที่นางมีความต้องการ จะให้ฉันเชื่อมสัมพันธไมตรีกับมารดาของฉันหรือไม่? ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ กล่าวว่า "ใช่แล้ว เธอจงเชื่อมสัมพันธไมตรีกับนางเถิด" และการเชื่อมสัมพันธไมตรีนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับการสรรเสิรญในทุกศาสนาและการมอบของขวัญของกำนัลให้แก่ผู้อื่นนั้น ย่อมเป็นส่วนหนึ่งจากจรรยามารยาทที่มีเกียรติ" อ้างอิงจาก :
อัลเมาซูอะฮ์อัลฟิกฮียะฮ์ท่านอิมามอัลกุรฏุบีย์ กล่าวว่า "การให้อาหารแก่เฉลยศึกที่เป็นพวกตั้งภาคีนั้น เป็นการสร้างความใกล้ชิดต่ออัลเลาะฮ์ตาอาลา ซึ่งต้องเป็นทานสุนัตเท่านั้น ส่วนทานฟัรดู(เช่นซะกาต) ถือว่าไม่เป็นการสร้างความใกล้ต่ออัลเลาะฮ์ตาอาลา...วัลลอฮุอะลัม" ตัฟซีรกุรฏุบีย์ ซูเราะฮ์อัลอินซาน อายะฮ์ที่ 8
ส่วนกรณีการโขมยทรัพย์สินของกาเฟรนั้น ไม่เป็นที่อนุญาตนะครับ เพราะว่าการที่มุสลิมอนุญาตให้โขมยทรัพย์สินของกาเฟรนั้น ถือว่าเป็นความน่าอับอายและความเสื่อมเสียของหลักการอิสลาม
รายงานจากอัลมุฆีเราะฮ์ บิน ชั๊วะอฺบะฮ์ ซึ่งเขาได้เคยเดินทางร่วมกับชนกลุ่มหนึ่งในสมัยญาฮิลียะฮ์ แล้วเขาได้ทำการฆ่าและเอาทรัพย์สินของพวกเขา หลังจากนั้นเขาได้มา(หาท่านนบี) และทำการเข้ารับอิสลาม ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า "สำหรับอิสลามนั้นฉันขอน้อมรับ แต่สำหรับทรัพย์สินนั้น ฉันไม่ต้องการมันสักสิ่งใดเลย" รายงานโดยอัลบุคอรีย์ (2583)
ท่านอัลหาฟิซฺ อิบนุ หะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ อธิบายว่า "สิ่งที่ได้รับจากหะดิษนี้คือ ไม่อนุญาตให้เอาทรัพย์สินของพวกกาเฟรในยามสงบปลอดสงครามอย่างทุจริต เพราะการร่วมเดินทางต้องอยู่พร้อมกับอะมานะฮ์(มีความไว้วางใจได้) และอะมานะฮ์นั้นต้องปฏิบัติต่อเจ้าของอะมานะฮ์นั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นมุสลิมหรือกาเฟรก็ตาม และทรัพย์สินของกาเฟรที่อนุญาตให้เอาได้นั้น คืออยู่ในช่วงทำสงคราม" ฟัตหุลบารีย์ 5/341
สำหรับการทำร้ายคนกาเฟรหรือดูถูกเหยียดหยามพวกเขานั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่หะรอมต้องห้ามนะครับ เพราะอิสลามส่งเสริมให้มุสลิมมีจรรยามารยาทที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์
รายงานจากมะอาซฺ บิน ญะบัล ว่า ท่านร่อซูลลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
خَالِقِ النَّاسَ بِخُلُقٍ حَسَنٍ
"ท่านจงปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ ด้วยจรรยามารยาทที่งดงาม" อัตติรมีซีย์ (1988) ท่านอัตติรมีซีย์กล่าวว่า "เป็นหะดิษหะซัน"
แต่สำหรับกรณีที่มีสงครามก็สามารถต่อสู้คนกาเฟรได้ตามกฏแห่งสงครามครับ
والله أعلى وأعلم