ผู้เขียน หัวข้อ: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง  (อ่าน 3564 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« เมื่อ: ก.ย. 04, 2007, 03:20 PM »
0



ปฏิบัติการเงียบบุกมัสยิดแดง








เมื่อเจรจาไกล่เกลี่ยไม่เป็นผล การเผชิญหน้าคุมเชิงระหว่างกองกำลังความมั่นคงปากีสถาน กับกลุ่มหัวรุนแรงทางศาสนาที่ปักหลักอยู่ภายในมัสยิดแดง ในเมืองหลวงกรุงอิสลามาบัดก็ถึงขั้นแตกหัก ฝ่ายแรกใช้กำลังบุกเข้าจัดการขั้นเด็ดขาด
 
ใช้เวลา 2 วัน รหัส “ปฏิบัติการเงียบ” อังคาร-พุธ บุกยึดควบคุมสถานที่ได้เรียบร้อย เบื้องต้นพบศพผู้เสียชีวิตฝ่ายหัวรุนแรง 75 ศพ ฝ่ายทหารสูญเสีย 11 ศพ รวม 86 ศพ
 
มัสยิดแดง หรือลาล มัสยิด ตั้งอยู่ใจกลางย่านที่อยู่อาศัยแถบชานกรุงอิสลามาบัด ห่างจากย่านสถานทูตต่างชาติและบ้านพักของ ประธานาธิบดี พล.อ.เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ผู้นำประเทศราวกิโลเมตรเศษ แต่ที่อยู่ใกล้กว่าคือสำนักงานใหญ่หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งว่ากันว่ามีความสัมพันธ์ในเชิงลึกกับมัสยิดแดงมานาน
 
ภายในอาณาบริเวณมัสยิดแดง มีมาทราสหรือโรงเรียนสอนศาสนาอยู่ด้วย 2 แห่งคือ ยามิอะห์ ฮัฟซา ของนักเรียนหญิง และอีกแห่งของนักเรียนชาย แยกกันอยู่คนละส่วนคล้ายโรงเรียนกินนอน รวมนักเรียนของสองสำนักนี้ 5,039 คน ชายราว 2,000 คน ที่เหลือเป็นผู้หญิง
 
โรงเรียนทั้งสองแห่งนี้ดำเนินการและควบคุมดูแลโดยครูสอนศาสนา 2 พี่น้อง นายอับดุล อาซิซ กาห์ซี และน้องชายอับดุล ราชิด กาห์ซี ซึ่งเป็น 1 ใน 75 ศพ ที่เจ้าหน้าที่พบเสียชีวิตภายในมัสยิดขณะเข้าเคลียร์พื้นที่


อับดุล อาซิซ ผู้พี่ถูกจับตัวได้ขณะพยายามหลบหนีออกจากมัสยิดก่อนหน้านี้ โดยพรางตัวแฝงกายซ่อนในชุดเบอร์กา ชุดคลุมสีดำมิดชิดของสตรีมุสลิม แต่ไม่รอดสายตาเจ้าหน้าที่ที่ตรึงกำลังปิดล้อมอยู่รอบด้าน
 
ระหว่างการเข้าเคลียร์พื้นที่พบอาวุธหนักอยู่ข้างในจำนวนมาก ในจำนวนนี้รวมถึงปืนกลมือ 6 กระบอก เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 4 ชุด ระเบิดต่อต้านรถถัง ชุดเสื้อระเบิดฆ่าตัวตาย ระเบิดเพลิง ปืนไรเฟิลจู่โจมหลายสิบกระบอก ในบริเวณมีการขุดสนามเพลาะ หลุมบังเกอร์ คล้ายเตรียมพร้อมรับมือการบุกจู่โจมเต็มที่
 
ต้นตอของปัญหาที่ดำเนินมาจนถึงจุดแตกหัก เริ่มจากมัสยิดแดงออกโรงเรียกร้องให้รัฐบาลนำชาเรียห์หรือศาสนบัญญัติ มาบังคับใช้เป็นกฎหมายปกครองประเทศ เพื่อให้เป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์ ตามแบบอย่างที่กลุ่มตาลีบันเคยใช้ปกครองอัฟกานิสถานก่อนหน้านี้
 




ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วเป็นต้นมา มัสยิดแดงส่ง “หน่วยพิทักษ์ศีลธรรม” นักเรียนในสังกัดออกไปปฏิบัติการทำลายความชั่วร้าย และส่งเสริมศีลธรรมตามหลักศาสนาในเขตเมืองหลวง
 
ตามภาพข่าวจากปากีสถานที่เห็นเป็นระยะ นักเรียนของมัสยิดแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นชาย ไปกันเป็นกลุ่มมีแขนงไม้ไผ่ท่อนเขื่องเป็นอาวุธถือติดมือเกือบทุกคน ตระเวนไปตามถนนสายต่าง ๆ ข่มขู่ประชาชนที่พบเห็นว่ามีการกระทำขัดต่อหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม



 
ที่โดนหนักเห็นจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายสินค้าเกี่ยวกับความบันเทิง แผ่นซีดีเพลงหรือหนังลามก โดยเฉพาะสินค้าวัฒนธรรมตะวันตก บุกสถานเซาน่าอาบอบนวดลักพาตัวพนักงานไป โดยระบุว่าลักลอบขายตัวเป็นโสเภณี
 
เจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้แต่จับตามองความเคลื่อนไหว ยังไม่กล้าดำเนินการกำราบ เพราะกลัวจะบานปลายกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เมื่อเป็นอย่างนี้หน่วยพิทักษ์ศีลธรรมของมัสยิดแดงจึงเหิมเกริมหนักข้อ ตอนหลังถึงขั้นสะสมอาวุธหนัก มัสยิดแดงกลายเป็นเสมือนกองบัญชาการกองกำลังติดอาวุธแห่งหนึ่ง
 


ปัจจุบันปากีสถานมีโรงเรียนสอนศาสนาอยู่ทั่วประเทศราว 20,000 แห่ง อันนี้เป็นตัวเลขการประเมินของกลุ่มวิกฤติสากลแห่งกรุง บรัสเซลส์ โดยนับถึงเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา และเฉพาะในกรุงอิสลามาบัดมี 88 แห่ง นักเรียนนักศึกษามากกว่า 16,000 คน นั่นหมายถึงมาทราส 2 แห่งในมัสยิดแดงมีนักเรียนเกือบ 1 ใน 3 ของมาทราสทั้งหมดในเขตเมืองหลวง
 


จำนวนมาทราสในปากีสถานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ส่วนใหญ่ที่เปิดใหม่ในช่วงนั้นมีเป้าหมายแอบแฝง กล่าวคือเพื่อใช้เป็นฐานเกณฑ์นักรบอาสาสมัครมูจาฮีดีน ข้ามแดนไปร่วมต่อสู้ขับไล่กองทัพโซเวียตที่เข้ายึดครองอัฟกานิสถานระหว่างปี 2522-2532 และมาทราสในมัสยิดแดงก็ก่อตั้งในช่วงนั้น
 


แน่นอนมาทราสเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว ได้รับทุนสนับสนุนจากชาติตะวันตกและกลุ่มชาติอาหรับ โดยผ่านหน่วยงานของปากีสถานที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงดำเนินการคือสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ
 


โรงเรียนสอนศาสนาแต่ละแห่งจะสอนไปตามหลักการของนิกายที่ตนเองศรัทธายึดมั่น ซึ่งรวมถึงนิกายสุดขั้ว สุหนี่ ดีโอบันดี ที่มัสยิดแดงยึดถือด้วย นิกายนี้ต่อต้านตะวันตก และสนับสนุนแนวทางจีฮัดหรือสงครามศักดิ์สิทธิ์ การต่อสู้เพื่อปกป้องศาสนา
 

เสร็จเป้าหมายขับไล่กองทัพโซเวียตออกจากอัฟกานิสถาน และช่วยกลุ่มตาลีบันขึ้นครองอำนาจปกครองอัฟกานิสถาน แต่มาทราสแห่งต่าง ๆ ในปากีสถานที่ก่อตั้งเพื่อการนี้ยังคงอยู่ และเปิดสอนต่อไปตามแนวทางเดิม ที่สำคัญโรงเรียนนิกายสุหนี่ ดีโอบันดีแหล่งรวมกลุ่มหัวรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต เฉพาะปีที่แล้ว (2549) เพิ่มขึ้นถึงสองเท่า
 


มัสยิดแดงกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเผยแพร่เรื่องการจีฮัดมาตั้งแต่นั้น อิหม่ามคนแรกของมัสยิดแดงคือมูลานา อับดุลลาห์ มักเป็นข่าวอบรมสั่งสอนเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ 
 

และมัสยิดแดงในอดีตยังเป็นที่ประกอบศาสนกิจของผู้นำประเทศ เจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้ง  ข้าราชการทหารและตำรวจ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทุกระดับของสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ เดินทางไปทำละหมาดที่นี่
 


ช่วงปลายทศวรรษ 1990 มูลานา อับดุลลาห์ ถูกลอบสังหารปริศนาภายในมัสยิดแดง ลูกชายทั้งสองคนคือ อับดุล อาซิซ และอับดุล ราชิด จึงสืบทอดควบคุมดูแลมัสยิดแดงต่อมา และทำให้กลายเป็นศูนย์กลางของการสอนตามหลักการนิกายสุหนี่ ดีโอบันดี และประกาศตัวต่อต้านรัฐบาลอย่างเปิดเผย
 


สองพี่น้องเคยให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์วินาศกรรมสหรัฐอเมริกา 9/11 ว่า รู้จักสนิทสนมเป็นอย่างดีกับระดับแกนนำของเครือข่ายก่อการร้ายอัล-เคดา รวมทั้งโอซามา บิน ลาเดน หัวหน้าใหญ่ และช่วงหลัง ๆ ได้แสดงท่าทีเปิดเผยมาตลอดในการสนับสนุนจีฮัดต่ออเมริกาและ พล.อ.เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ผู้นำประเทศ
 

ด้วยแรงกดดันส่วนหนึ่งจากอเมริกาและชาติตะวันตก ปี 2545 มูชาร์ราฟออกคำสั่งปฏิรูป จัดระเบียบใหม่โรงเรียนสอนศาสนาทั้งหมดในประเทศ ท่ามกลางการต่อต้านอย่างหนักของโรงเรียนเหล่านี้ รวมทั้งหลายกลุ่มองค์กรศาสนาที่เป็นแนวร่วม


 
นักเรียนต่างชาติราว 1,400 คนถูกคำสั่งทางการปากีสถานขับออกนอกประเทศภายในเดือน ก.ค. 2548 แต่มีประมาณ 700 คนได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อ หลังจากรัฐบาลประเทศของนักเรียนเหล่านั้นให้คำรับรอง
 
(ผู้ชายคนนี้ใครอ่ะ)


หลังเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ คงจะมีภาคสองและภาคสามต่อไปอีกหลายยก เพราะแนวร่วมมัสยิดแดงทั้งในและนอกปากีสถานจำนวนมากคงไม่นิ่งดูดายแน่ อับดุล อาซิซ ผู้พี่ซึ่งถูกควบคุมตัวไปร่วมพิธีฝังศพน้องชายเมื่อวันก่อน กล่าวทำนายว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นแรงผลักดันให้ปากีสถานไปสู่ “การปฏิวัติอิสลาม”
 

ขณะที่มูชาร์ราฟเองก็ประกาศพร้อมจะกวาดล้างกลุ่มหัวรุนแรงทางศาสนาทั่วประเทศหนักหน่วงขึ้นอีก และดำเนินการจัดระเบียบมาทราส แบบมัสยิดแดงอีกรอบ.



สุพจน์ อุ้ยนอก



ที่มา http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=42655&NewsType=2&Template=1


***จบการนำเสนอข่าวจากสื่อไทย ***

يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.ย. 04, 2007, 03:30 PM »
0



บทสัมภาษณ์มุสลิมะฮฺผู้ร่วมอยู่ในมัสยิดแดง :
“มันคือการฆาตรกรรมหมู่มุสลิมะฮฺ 1,500 คน”






17 กรกฎาคม 2007



“มุสลิมะฮฺประมาณ 1,500 คนถูกสังหารภายในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ”
“ไม่มีใครถูกจับเป็นตัวประกัน”
“ไม่มีทั้ง ‘กลุ่มหัวรุนแรง’ และ ‘ผู้ก่อการร้าย’ อยู่ในมัสยิด”
“รัฐบาลได้ซ้อนเร้นร่างของผู้เสียชีวิต”
“ความกลัวตายหมดสิ้นไปเมื่อได้เห็นร่างไร้วิญญาณของบรรดาพี่น้องมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺ”
“การปฏิวัติฟื้นฟูอิสลามด้วยกำลังเลือดเนื้อเป็นสิ่งจำเป็น”


…นี่คือคำให้การของมุสลิมะฮฺผู้รอดชีวิตจากมัสยิดแดง



[บันทึกจากผู้เรียบเรียง (ภาษาอังกฤษ) :
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ที่เราได้รับโอกาสให้เผยแพร่บทสัมภาษณ์นักศึกษามุสลิมะฮฺที่รอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ฆาตรกรรมแห่งมัสยิดแดง
ซึ่งนำเสนอโดย urdupoint.com …ถ้าโลหิตของคุณยังไม่ได้เดือดพล่านมาก่อนหน้านี้ มันก็จะต้องได้เดือดภายหลังจากอ่านบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้]


อิสลามาบัด : นักศึกษามุสลิมะฮฺผู้รอดชีวิตจากการฆาตกรรมที่กองกำลังนอกศาสนาของปากีสถานกระทำ ณ มัสยิดแดง ได้ให้สัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นถึงประสบการณ์อันเลวร้ายที่พวกเธอได้ประสบมา


อะมามะฮฺ, มุสลิมะฮฺผู้รอดชีวิตได้เล่าว่าในวันที่ 6 ของการปิดล้อมมัสยิดแดง เธอจำต้องยอมออกมาจากบริเวณมัสยิด ในขณะนั้นมีพี่น้องมุสลิมะฮฺอยู่ในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ (ซึ่งอยู่ภายในบริเวณของมัสยิดแดง) ประมาณ 1,500 คน เธอยืนยันว่าผู้คุมมัสยิดไม่ได้ใช้การกดดันใดใดทั้งสิ้นเพื่อให้นักศึกษาคงอยู่ภายในบริเวณที่ถูกปิดล้อม และไม่มีใครถูกจับเป็นตัวประกันแม้แต่คนเดียว



อะมามะฮฺบอกว่ามุสลิมะฮฺทุกคนในนั้นมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นชะฮีด
และทุกคนก็หวังว่าร่างของตนจะถูกฝังไว้ในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ ไม่มีใครเต็มใจจะละทิ้งที่นั่นออกมา อุมมุฮัซซานผู้เป็นครูใหญ่สั่งให้พวกเธอออกมาจากที่นั่น แต่ทุกคนก็ปฏิเสธที่จะทำตาม



อะมามะฮฺเล่าต่อไปว่า “เรายอมออกจากบริเวณมัสยิดมาก็เมื่ออุมมุฮัซซานบอกกับเราว่าให้พวกเราออกมาก่อน แล้วเธอจะตามออกมาทีหลัง…แต่เมื่อเราออกมาแล้ว ก็พบว่าทั้งอุมมุฮัซซานและครอบครัวของเธอไม่ได้ตามเราออกมา…นี่คือสิ่งที่เราทุกคนรู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก”



หลังจากการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้จบลง หน่วยข่าวกรองของรัฐบาลนอกศาสนาก็เข้ามาควบคุมความเคลื่อนไหวของบรรดามุสลิมะฮฺที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์มัสยิดแดงอย่างใกล้ชิด ทำให้สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นอื่น ๆ ยกเลิกแผนที่จะสัมภาษณ์พวกเธอไป



อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ อะมามะฮฺได้เปิดเผยว่า


“ในวันที่หกของการปิดล้อมซึ่งพวกเราจำต้องยอมจำนนออกมานั้น มีพี่น้องมุสลิมะฮฺของเราประมาณ 100 คน
และพี่น้องมุสลิมีนอีกราว ๆ 200 คน ตายชะฮีดไปแล้วภายในบริเวณที่ถูกปิดล้อม
ห้องเรียนของเราเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณของบรรดาชุฮะดาอฺทั้งมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺ…
บรรดามุสลิมีนพยายามต่อต้านกองกำลังของมารร้ายด้วยปืน เอ.เค.47 ที่มีอยู่เพียง 15 กระบอก พวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการยืนหยัดเพื่อสัจธรรมนั้นต้องการเพียงความเชื่อมั่นและความศรัทธาที่มั่นคง
ไม่ใช่อาวุธยุทโธปกรณ์หรือกำลังพล”



อะมามะฮฺยังได้ปฏิเสธคำโฆษณาชวนเชื่ออันตลบตะแลงของรัฐบาลมุชาราฟที่กล่าวหาผู้คนในมัสยิดแดงเป็นพวกผู้ก่อการร้ายด้วยว่า

“นักสู้ทุกคนในมัสยิดแดงคือนักศึกษามุสลิมีนของพวกเรา และถ้าข้อกล่าวหาของรัฐบาลเป็นความจริงแล้ว ทำไมถึงไม่ยอมให้บรรดาสื่อมวลชนเข้ามาทำข่าวภายในบริเวณที่ถูกปิดล้อมล่ะ?”

อะมามะฮฺได้ร้องไห้ขณะกล่าวต่อไปว่า

“ขณะที่พี่น้องมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺของเราอ้าแขนรับการตายชะฮีดนั้น
ขวัญและกำลังใจของเราได้เพิ่มพูนขึ้น เราไม่หวั่นเกรงเลยต่อลูกปืน และความเสียหายที่มันได้สร้างขึ้น”




สำหรับข้อกล่าวหาที่ว่ามีแหล่งที่ซ่อนอาวุธหนักอยู่ภายในมัสยิดแดงนั้น เธอกล่าวว่า

“มันเป็นการกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงอย่างสิ้นเชิง รัฐบาลได้ปล่อยข่าวว่าถ้าเราไม่มีคลังแสงเก็บอาวุธอยู่ภายในแล้ว เราจะต่อต้านกองกำลังของพวกเขาอย่างรุนแรงแข็งขันเช่นนี้ได้อย่างไร?…
ความจริงก็คือพวกเราได้รับความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ พระองค์ได้ทำให้สัญญาของพระองค์เป็นความจริง…สัญญาที่ว่า ผู้ใดที่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺนั้น อัลลอฮฺจะประทานความช่วยเหลือลงมาให้กับเขา แม้ว่ามันจะเป็นความช่วยเหลือที่มองไม่เห็นก็ตาม…อัลลอฮฺได้ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับสงครามบัดรฺและอุฮุดกลับคืนมา บรรดากองกำลังทรราชย์เหล่านั้นไม่ได้ถูกฆ่าโดยอาวุธของพี่น้องมุสลิมีนของเรา…อัลลอฮฺต่างหากที่ฆ่าพวกเขา!”



ฟาติมะฮฺ, นักศึกษามุสลิมะฮฺอีกคนหนึ่งที่ให้สัมภาษณ์ร่วมกับอะมามะฮฺเล่าว่า

“พี่น้องมุสลิมะฮฺของเราได้ตายชะฮีดไปราว ๆ 1,500 คน แต่รัฐบาลรายงานว่าพวกเขาตายเพียง 200 คน ครอบครัวของเพื่อนรักคนหนึ่งของเราได้ถามถึงลูกสาวของเขา เราไม่รู้จะบอกพวกเขาอย่างไร…อันที่จริงแล้วมีทารกและเด็กหลายคนรวมอยู่ในบรรดาชุฮะดาอฺด้วย…
เด็ก ๆ เหล่านั้นอายุประมาน 2-8 ขวบเท่านั้น”



ฟาติมะฮฺยังได้โจมตีรัฐบาลนอกศาสนาด้วยว่า
“ร่างของนักศึกษาผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นชะฮีดนั้นถูกดูหมิ่น
พวกเขาพยายามซ่อนเร้นร่างเหล่านั้นเพื่ออำพรางอาชญากรรมที่พวกเขาได้ก่อขึ้น ฉันขอเรียกร้องไปยังศาลพิจารณาคดีสูงสุดให้เปิดเผยอาชญากรรมอันโหดเหี้ยมป่าเถื่อนครั้งนี้ออกมา…
ประเทศปากีสถานถูกสถาปนาขึ้นในนามของกะลีมะฮฺอันสูงส่ง นั่นคือคำปฏิญาณว่า “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ” แต่หกสิบปีที่ผ่านมา กะลีมะฮฺนี้ถูกล่วงละเมิดครั้งแล้วครั้งเล่า…
การปฏิวัติด้วยกำลังเลือดเนื้อจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการประกาศใช้กฎหมายของอัลลอฮฺในประเทศนี้…
เลือดของบรรดานักศึกษาทั้งมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺที่นี่ต้องไม่สูญเปล่า”


“ที่จริงแล้ว…รัฐบาลมุชาราฟสังหารหมู่นักศึกษาที่นี่ก็เพื่อจะปกป้องตัวเอง และเพื่อเอาความดีความชอบจากสหรัฐอเมริกา หลักฐานในเรื่องนี้ก็คือการที่อเมริกาได้จัดเตรียมเครื่องบิน เอฟ16 ไว้ให้รัฐบาลปากีสถานแล้วถึง 2 ลำ”

ฟาติมะฮฺตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติม



อะมีนะฮฺ เป็นนักศึกษามุสลิมะฮอีกคนหนึ่งซึ่งถูกแยกมาให้มาให้สัมภาษณ์ต่างหาก
เธอได้ยืนหยัดต่อสู้อยู่ในญามิอะฮฺฮัฟเซาฮฺจนกระทั่งถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2007 ก่อนจะจำยอมออกมาจากบริเวณที่ถูกปิดล้อม ด้วยคำสั่งเด็ดขาดของอุมมุฮัซซานผู้เป็นครูใหญ่ เธอได้บอกเล่าช่วงเวลาอันเป็นเสมือนประสบการณ์อันแสนสาหัสของชีวิตเธอ
และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในมัสยิดแดง…มีน้ำตาไหลเอ่ออกมาจากดวงตาของเธอเกือบตลอดการให้สัมภาษณ์ โดยชื่อจริงของอะมีนะฮฺจะถูกปิดบังไว้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย และนี่คือประสบการณ์จากคำบอกเล่าของเธอ :


ผู้สัมภาษณ์ : คุณอายุเท่าไหร่ และเรียนอะไรบ้างในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ?
อะมีนะฮฺ : ฉันอายุ 17 ปี เรียนเกี่ยวกับอัล-กุรอาน, อัล-หะดีษ และวิชาอื่น ๆ ในญามิอะฮฺฮัฟเซาฮฺมาได้ 3 ปีแล้ว


ผู้สัมภาษณ์ : ขอถามตรง ๆ ว่า คุณยืนยันจะอยู่ภายในโรงเรียนของคุณด้วยความสมัครใจ หรือว่าคุณถูกบังคับ?
อะมีนะฮฺ : ไม่เลย! ไม่มีใครบังคับฉัน ฉันยืนยันจะยู่ในนั้นด้วยความเต็มใจของฉันเอง ฉันต้องการจะอยู่สู้ต่อไปด้วยซ้ำ แต่อุมมุฮัซซานใช้อุบายหลอกให้ฉันออกมาในวันที่สามของการปิดล้อม พี่น้องมุสลิมะฮฺของเราราว ๆ 95 คน และมุสลิมีนอีก 75 คน เป็นชะฮีดไปแล้วขณะที่ทำการต่อสู้ พวกเราทุกคนช่วยกันเก็บร่างของบรรดาชุฮะดาอฺเหล่านี้ มือของฉันกลายเป็นสีแดงด้วยเลือดของพวกเขา และในขณะที่เรากำลังเก็บร่างผู้เป็นชะฮีดไปแล้วนั้น ก็จะมีพี่น้องมุสลิมะฮฺของเราเป็นชะฮีดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กุรอานที่พวกเรามีอยู่ถูกเปิดทิ้งไว้โดยไม่รู้ว่าจะมีใครได้ปิดมันหรือไม่ เราไม่มีอาวุธอะไรเลยนอกจากจำนวนเล็กน้อยที่บรรดามุสลิมีนใช้ พวกเราทำหน้าที่ขนส่งน้ำไปให้บรรดามุญาฮิดีนมุสลิมีนของเรา


กิจวัตรของเราดำเนินไปเช่นนี้เป็นเวลาประมาน 3 วัน อุมมุฮัซซานก็แจ้งให้เราทราบว่า
ขณะนี้มีพี่น้องมุสลิมะฮฺอยู่ร่วมกันที่นี่ประมาน 1,500 คน และไม่มีอาหารเพียงพอสำหรับจะรับประทาน
อุมมุฮัซซานเรียกพวกเราไป และขอร้องให้เราออกไปจากที่นี่ เธอยังได้ขอร้องให้รุ่นพี่มุสลิมะฮฺส่วนหนึ่งรับผิดชอบดูแลให้รุ่นน้องไปถึงบ้านโดยปลอดภัย
แต่มุสลิมะฮฺทุกคนรวมทั้งฉันปฏิเสธที่จะออกไปจากที่นี่
อุมมุฮัซซานจึงบอกว่าให้พวกเราออกไปก่อน แล้วเธอจะตามออกไป
เมื่อเธอยืนยันเช่นนี้อีกครั้ง พวกเราจึงยอมออกมา แต่แล้วเธอก็ไม่ได้ตามเราออกมา (เช็ดน้ำตา) พวกเราทุกคนไม่มีใครอยากออกมาจากที่นั่น…ทุกคนได้เขียนความปรารถนาสุดท้ายของตนเอาไว้แล้ว นั่นคือการเป็นชะฮีด และทุกคนก็หวังว่าร่างของตนจะถูกฝังเอาไว้ในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ



มีต่อ

يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.ย. 04, 2007, 03:35 PM »
0





ผู้สัมภาษณ์ : บอกเราหน่อยเถิดอะมีนะฮฺว่ามีมุสลิมะฮฺเหลืออยู่กี่คน ขณะที่คุณออกมาจากที่นั่น?
อะมีนะฮฺ : มีนักศึกษามุสลิมะฮฺอยู่ที่นั่นราว ๆ 1,800 คน กลุ่มที่ออกมาพร้อมกับฉันมีประมาณ 300 คน ในขณะนั้นมีพี่น้องมุสลิมะฮฺของเราเป็นชะฮีดไปแล้วประมาน 100 คน ในจำนวนนี้มีเด็ก ๆ ที่อายุเพียง 2 ขวบรวมอยู่ด้วย มุสลิมะฮฺหลายคนถึงกับเป็นลมหมดสติไปขณะเก็บร่างไร้วิญญาณของเด็ก ๆ เหล่านี้

ผู้สัมภาษณ์ : คุณบอกว่ามีมุสลิมะฮฺเพียง 300 คนที่ออกมาตามคำสั่งของอุมมุฮัซซาน แล้วที่เหลือไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ?
อะมีนะฮฺ : นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนและผู้ปกครองผู้สิ้นหวังในการตามหาลูกสาวของตัวเองอยากจะรู้ ฉันมั่นใจว่าไม่มีพี่น้องมุสลิมะฮฺคนไหนอยากจะออกมาจากที่นั่น และทุกคนก็พร้อมที่จะเสียสละชีวิตของตนเอง พี่น้องมุสลิมะฮฺของเราถูกพวกเขาสังหารหมู่อย่างไร้ความเมตตา
แล้วพวกเขาก็เร่งรีบนำร่างของพวกเธอไปฝังท่ามกลางความมืดมิดของกลางคืน
มีมุสลิมะฮฺเหลืออยู่ในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺประมาน 1,500 คน…พวกเธอทั้งหมดนั้นเป็นชะฮีด!



ผู้สัมภาษณ์ : คุณช่วยเล่าความเป็นไปภายในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ให้พวกเราฟังได้ไหม?
อะมีนะฮฺ : เราใช้ชีวิตประจำวันกันที่นี่ เหมือน ๆ กับตอนที่เราอยู่บ้าน เราจัดเตรียมทุกสิ่งไว้ภายในญามิอะฮฺ และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ครอบครัวของฉันส่งฉันมาเรียนที่นี่ หลังละหมาดอัสริ์เราจะมาเล่นกันที่สนามหญ้าพร้อม ๆ กับบรรดาลูกสาวของอุมมุฮัซซานกับเมาลานาอับดุลอะซีซ
แต่หลังจากรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวและตัดน้ำตัดไฟภายในญะมิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ เราก็มีปัญหาเพิ่มขึ้น
แต่ขวัญและกำลังใจของเรายังคงมีอยู่สูงมาก



ฉันรู้สึกเหมือนพวกเรากำลังอยู่ในสมรภูมิรบ แม้ว่าสภาพการณ์ภายในญามิอะฮฺจะยากลำบากเหลือทนเมื่อกองกำลังของรัฐบาลระดมยิ่งแก๊สน้ำตาและระเบิดเข้ามา แต่เราก็ยังสามารถอยู่หลังจากนั้นได้ถึงสามวัน ขณะที่พี่น้องมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺที่เหลือของเราสามารถยืนหยัดต่อสู้อยู่ภายในนั้นได้อีกเกือบสัปดาห์




ผู้สัมภาษณ์ : แล้วคุณวางแผนไว้ยังไงกับอนาคตของคุณหลังจากนี้?
อะมีนะฮฺ : ฉันต้องการจะแบกรับภาระในฐานะตัวแทนของอัลลอฮฺต่อไป สำหรับชีวิตของฉัน…การตายชะฮีดคือเป้าหมายสูงสุดที่มาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด

หลังการกระทำครั้งนี้ของรัฐบาล ปากีสถานดูเหมือนจะไม่ใช่ประเทศมุสลิมอีกต่อไป ฉันรู้สึกว่าพี่น้องมุสลิมะฮฺโดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ
ที่อายุเพียง 2-8 ขวบนั้นโชคดีเหลือเกินที่ได้สละชีวิตของพวกเขาไปในหนทางของอัลลอฮฺ ในการต่อสู้เพื่อจะทำให้กฎหมายของอัลลอฮฺถูกประกาศใช้


เวลานี้…ฉันไม่มีความปรารถนาที่จะรับประทานอาหารหรือทำงานอะไรเลย ฉันได้แต่เฝ้าขอดุอาอฺหลังละหมาดทุกเวลาให้ฉันได้ตายชะฮีดในหนทางของอัลลอฮฺ
ฉันเชื่อว่าแม้เมาลานาอับดุรรอชีดจะเสียชีวิตไปแล้ว
แต่การเคลื่อนไหวเพื่อให้กฎหมายของอัลลอฮฺถูกประกาศใช้จะไม่มีวันจบลง
และการปฏิวัติอิสลามจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน



ฉันรู้สึกเหมือนปากีสถานไม่ใช่ประเทศของมุสลิมอีกต่อไป แม้มันจะถูกเรียกว่า “รัฐอิสลาม” ฉันรู้สึกราวกับว่าพวกเราเป็นชาวอิรักที่ถูกกองทัพอเมริกันโจมตี



เมาลานาอับดุรรอชีดจะยังคงมีชีวิตอยู่หลังจากการเป็นชะฮีด
และเขาจะเป็นเสมือนเสียงเรียกร้องในหัวใจของฉัน
การเคลื่อนไหวเพื่อการปกครองในระบอบอิสลามจะต้องดำรงอยู่ต่อไป
และการปฏิวัติเพื่อจัดตั้งระบอบอันนั้นจะต้องมาถึงในวันหนึ่งอย่างแน่นอน



ผู้สัมภาษณ์ : ช่วยเล่าเหตุการณ์ขณะที่ญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺถูกโจมตีให้เราฟังหน่อย
อะมีนะฮฺ : (ร้องไห้) มือทั้งสองของฉันกลายเป็นสีแดงด้วยเลือดขณะที่ช่วยกันเก็บร่างของบรรดาชุฮะดาอฺ
ฉันเคยได้ฟังคุตบะฮฺ และเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับพี่น้องมุสลิมะฮฺที่ต้องคอยเก็บศพบรรดาชุฮะดาอฺในแคชเมียร์ แต่ตอนนี้พี่น้องมุสลิมะฮฺที่นี่รวมทั้งฉันได้ทำให้คำบอกเล่านั้นกลายมาเป็นภาพจริงที่ในมัสยิดแดง และญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ



พวกเราแต้มสีให้แก่มือของเราด้วยเลือดของบรรดาชุฮะดาอฺ
ฉันไม่สามารถอธิบายประสบการณ์ในช่วงเวลาแบบนั้นออกมาเป็นคำพูดได้
เมื่อกองกำลังรักษาความปลอดภัยเปิดฉากโจมตีเรา มันเป็นเหมือนวันโลกาวินาศสำหรับพวกเราเลยทีเดียว ฉันเรียนหนังสือที่นี่มาเป็นระยะเวลาพอสมควร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องพบกับสถานการณ์ที่ตัวเองถูกเรียกว่า
“ผู้ก่อการร้าย” ในดินแดนที่ถูกเรียกว่า “ประเทศมุสลิม”



ห้องเรียนทั้งหลายภายในญามิอะฮฺถูกปกคลุมด้วยกลุ่มควันตลอดสามวัน ทำให้พี่น้องมุสลิมะฮฺจำนวนหนึ่งเริ่มสำลักควัน เราทุกคนตัดสินใจแล้วว่าตายด้วยลูกกระสุนปืนย่อมดีกว่าตายเพราะสำลักควัน
แต่บรรดามุสลิมีนก็ขอร้องไม่ให้เราออกไปร่วมรบในแนวหน้า
ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังยืนกรานอย่างแข็งขันที่จะต่อสู้หรือไม่ก็ตายในการต่อสู้



จนกระทั่งอุมมุฮัซซานได้มาส่งเราออกไปจากที่นี่ ขณะนั้นกุรอานบางเล่มของเราหล่นจากตู้ลงมาอยู่บนโต๊ะ โดยที่ฉันไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าจะมีใครเก็บมันใส่กลับเข้าตู้หรือเปล่า…ที่ส่วนหน้าของอาคารญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ มีกุรอานหลายเล่มตกอยู่ในบริเวณที่มีการเปิดฉากยิงใส่กัน มีพี่น้องมุสลิมะฮฺของเราหลายคนพยายามที่จะเข้าไปเก็บมันขึ้น…
โปรดเชื่อฉันเถิดว่า ขณะนั้นเองที่พวกเธอถูกกราดกระสุนใส่ และเสียชีวิตลงบนตักของพวกเราที่เหลือนี่เอง

(ถึงตรงนี้…อะมีนะฮฺก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก)



มีต่อ

يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ก.ย. 04, 2007, 03:38 PM »
0





พี่น้องมุสลิมะฮฺผู้ศรัทธาของเราจำนวนหนึ่งยังคงตกอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลนอกศาสนา ขณะที่ครอบครัวของพวกเธอยังคงรอคอยการกลับมาของพวกเธออยู่ เจ้าหน้าที่รัฐบาลบอกว่าลูกสาวของพวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวออกมาในไม่ช้า แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่…เกียรติยศของพวกเธอจะไม่ได้รับการประกันความปลอดภัยเลย ตราบใดที่พวกเธอยังต้องตกอยู่ในมือของบรรดาอาชญากรผู้ทรยศต่อศาสนาเหล่านั้น



มัสยิดแดงได้ถูกโจมตีจนเสียหายแล้วโดยกองกำลังนอกศาสนาของปากีสถาน เลือดอันบริสุทธิ์ของพี่น้องมุสลิมะฮฺได้ถูกชำระทำความสะอาดแล้วจากที่นั่น และร่างของพวกเธอก็ถูกเคลื่อนย้ายสู่สุสานอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืน



การฆาตรกรรมอันโหดเหี้ยมและการทำลายล้างอย่างไร้ความปรานีที่ถูกกระทำ ณ มัสยิดแดง
และญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺได้แสดงให้เห็นแล้วว่า บรรดาทรราชนอกศาสนาจะดำเนินนโยบายอันไร้ศีลธรรมของพวกเขาต่อไป




ไม่มีผู้ชายที่กล้าหาญเหลืออยู่เลยหรือในปากีสถาน

…ขณะที่เลือดของมุสลิมะฮฺได้รินหลั่ง

บรรดาทหารมุสลิมไปอยู่เสียที่ไหน

…ในขณะที่เสียงเรียกร้องไปสู่อิสลามถูกทำลายอย่างโหดร้าย

โอ้ประเทศปากีสถาน!

…จงลุกขึ้นและล้มล้างพวกนอกศาสนาที่ล่วงละเมิดคำสั่งของอัลลอฮฺเถิด

โอ้อุละมาอฺแห่งปากีสถาน!

…จงมาเถิด มาร่วมมือกับบรรดาผู้บริสุทธิ์แห่งมัสยิดแดง เพื่อปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากความหวาดกลัวต่อบรรดาทรราช

โอ้ประชาชาติอิสลามแห่งปากีสถาน!

…จงละทิ้งความคลุมเครือในจุดยืนของพวกท่านไปเสียเถิด แน่นอนว่าพวกท่านจะต้องถูกสอบถาม ณ ที่อัลลอฮฺ
โอ้หนุ่มสาวแห่งปากีสถาน!

…จงลุกขึ้น และจงเตรียมให้พร้อมซึ่งการญิฮาดกับมารร้ายตัวใหญ่ นั่นคือสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลของมุชาราฟซึ่งเป็นโฉมหน้าของผู้ที่สับปลับที่สุดในโลก

โอ้อัลลอฮฺ!

โปรดประทานความช่วยเหลือแก่ผู้หญิงที่ถูกข่มเหง และบรรดาเด็ก ๆ ที่ถูกสังหารในหนทางของพระองค์ โดยน้ำมือของกองกำลังของบรรดามุนาฟิกีนด้วยเถิด

โอ้อัลลอฮฺ!

โปรดทำลายล้างกองทัพของพวกมารและแทนที่อำนาจของพวกเขาด้วยบรรดาผู้ศรัทธา
และโปรดประทานความเข้มแข็งให้แก่บรรดามุญาฮิดีนด้วยเถิด


ขออัลลอฮฺโปรดทำลายล้างบรรดาไพร่พลของพวกมุนาฟิกีนซึ่งสนับสนุนรัฐบาลทรราชทั้งที่เปิดเผยและที่ซ่อนเร้น และขออัลลอฮฺโปรดทำลายล้างการรายงานข่าวโดยสื่อมวลชนของพวกเขาและแผนการชั่วร้ายต่าง ๆ ของพวกเขาด้วยเถิด




*****
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ก.ย. 04, 2007, 03:42 PM »
0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 04, 2007, 04:04 PM โดย อรูชาห์^^ »
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ก.ย. 04, 2007, 04:19 PM »
0
جزاكِ الله خيراَ  สำหรับการนำเสนอครับ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ musalmarn

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 796
  • เพศ: ชาย
  • สักวัน... ฉันจะขี่ม้า
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมศาสนศึกษา แผนกอิสลาม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ก.ย. 04, 2007, 07:14 PM »
0
แล้วฉันจะไป ...

อีกครั้ง

อินชาอัลลอฮ  :'(

ออฟไลน์ sufriyan

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 526
  • เพศ: ชาย
  • 0000
  • Respect: +16
    • ดูรายละเอียด
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ก.ย. 04, 2007, 07:38 PM »
0
เรื่องนี้ผมก็อยากรู้มานานแล้ว ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ คนจำเป็น

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 115
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ก.ย. 04, 2007, 10:24 PM »
0
ญะซากัลลอฮฺ น้องอรูชา ครับ

ข้อมูลที่นำเสนอ แน่นมาก
อ่านประโยคนึงจาก อะมีนะฮฺ  เธอบอกว่า ไม่สมควร จะเรียก ประเทศปากีสถาน เป็นประเทศมุสลิม
ฟังแล้ว สะเทือนใจมากครับ  ผุ้นำคนเดียว เปลี่ยนแปลงโลกมุสลิมได้ขนาดนี้

 :'( :'(

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ก.ย. 05, 2007, 02:59 PM »
0
อ่านแล้วหัวใจมันรุ้มร้อนตาแดง
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ almadany

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 346
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ก.ย. 05, 2007, 08:15 PM »
0
ได้อ่านแล้ว...รู้สึกว่าอยากจะไปอยู่ในมัสยิดแดงด้วย...

ออฟไลน์ น้องปุ้มปุ้ยเองค่ะ ^^

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 27
  • เพศ: หญิง
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ก.ย. 06, 2007, 11:47 AM »
0
ได้อ่านแล้ว...รู้สึกว่าอยากจะไปอยู่ในมัสยิดแดงด้วย...


หนูขอติดไปด้วยนะคะ พี่ kowee   :D


อ่านแล้วเศร้าปนแค้น นิด ๆ เลยนะคะ พี่ๆ หนูไม่เข้าใจว่า ทำไมมุสลิมด้วยกันต้องมาฆ่า มุสลิมด้วยกันเองด้วย
ก็ไหนว่า พี่น้องกัน ทำไม ต้องฆ่าแกง อย่างโหดร้าย เพื่อ เอาผลประโยชน์ ทางดุนยา
ทำไม ๆๆๆๆๆๆ ???

แต่หนูไม่ถามอย่างเดียวหรอกนะคะ  หนูแอบขอดุอา ให้พี่น้องหนูเรียบร้อยแล้วค่ะ
 ;D

หน้าตาดี เพราะจิตใจงาม ^^

ออฟไลน์ ILMUKALIL..

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 8
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ก.ย. 06, 2007, 12:11 PM »
0
หนึ่งคนกับหนึ่งคำสั่ง ตาย
     BY MUSHARAF   >:( ???
ผู้ศรัธาจะไม่รู้สึกอิ่มในมวลสรรพวิชา..

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ก.ย. 15, 2007, 11:10 PM »
0


เวทีวิพากษ์ : เลือดทามัสยิดแดง สงครามตัวแทนบุช - อุสามะห์ ...!

 
19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 10:00:00


 
มัสยิดแดงในกรุงอิสลามาบัด ปากีสถาน ไม่เพียงเป็นศาสนสถานในการประกอบศาสนกิจเท่านั้น หากยังมีฐานะเป็นมัดรอซะห์ หรือปอเนาะในการบ่มเพาะอุดมการณ์การต่อสู้ของนักรบอิสลามด้วย

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : และที่นี้นี่เอง เป็นแหล่งผลิตนักรบตอลีบัน ซึ่งเข้าไปยึดครองอัฟกานิสถานยุคก่อนที่สหรัฐจะส่งกองกำลังทหารไปไล่ล่าอุสามะห์ บิน ลาเดน แห่งขบวนการอัล-กออิดะห์ รวมทั้งเป็นแหล่งผลิตนักรบภายใต้ร่มธงแห่งการญิฮาดที่ส่งออกไปยังทุกสมรภูมิรบ



ฉะนั้น 50 ศพ ที่ถูกหน่วยคอมมานโดสังหารที่มัสยิดแดง ภายใต้คำบัญชาของพล.อ.เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ประธานาธิบดีปากีสถาน จึงเป็นเสมือนการประกาศสงครามระหว่างสหรัฐ ที่เป็นเงาร่างของมูชาร์ราฟ และอุสามะห์ บิน ลาเดน ผู้นำขบวนการก่อการร้ายหมายเลขหนึ่ง ผู้มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับมัสยิดแดง นับจากยุคของมูฮัมหมัด อับดุลเลาะห์ ผู้ก่อตั้งแล้ว



วิดีโอเทปชุดใหม่ที่ปรากฏเสียงของอุสามะห์ บิน ลาเดน สนับสนุนผู้นำอัล-กออิดะห์ คนใหม่ในอัฟกานิสถาน ยาวหนึ่งนาทีล่าสุด หลังจากที่เขาหายหน้าไปกว่าปี คล้ายประกาศสงครามครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐกับนักรบมุญาดีน

นักรบศักดิ์สิทธิ์ ที่ผลิตจาก 'มัดรอซะห์' โรงงานแห่งการก่อการร้าย อาจมีความเชื่อในศาสนาแตกต่างไปจากความเชื่อโดยทั่วไป

เขาเชื่อว่าอิสลามมิใช่ศาสนา หากแต่เป็นวิถีชีวิต (Way of life) ที่ครอบคลุมทั้งกระบวนการของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย

โครงสร้างหลักของอิสลาม ประกอบด้วยส่วนที่เป็นหลักศรัทธา หรือจินตภาพ 6 ประการ หลักปฏิบัติหรือกายภาพ 5 ประการ
เรียกกันว่ารุกุ่นอีหม่าน และรุกุ่นอิสลาม

การศรัทธาในพระเจ้า ศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮ์ ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ ศรัทธาในบรรดาศาสนทูต ศรัทธาในวันพิพากษา และศรัทธาในกฎกำหนดสภาวการณ์ เหล่านี้รวมเรียกว่ารุกุ่นอีหม่าน

เมื่อเชื่อและศรัทธาแล้ว ก็ต้องปฏิบัติเพื่อยืนยันความเชื่อนั้น ด้วยการปฏิญาณตน ถือศีลอด บริจาคซะกาต ประกอบพิธีฮัจญ์ นมาซ นมัสการ หรือละหมาด 5 เวลา ในภาพเป็นอิริยาบถหนึ่งของการละหมาด อันเป็นเสาหลักสำคัญของศาสนา

ภาพของอุสามะห์ บิน ลาเดน แห่งอัล-กออิดะห์ อาจเป็นหัวหน้าใหญ่ของขบวนการก่อการร้าย หรือมหาโจรที่เป็นภัยคุกคามต่อความสงบสุขของพลโลก จากฐานข้อมูลของซีเอ็นเอ็นและสื่อตะวันตก แต่เขาคือฮีโร่ของคนมุสลิมกลุ่มหนึ่ง

คำประกาศต่อสู้อันเด็ดเดี่ยวต่อชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐ การเรียกร้องคืนแผ่นดินปาเลสไตน์ให้กับเจ้าของแผ่นดิน อาจมิได้ทำให้อุสามะห์โดดเด่นกว่าบรรดาผู้นำอิสลามยุคใหม่ หากแต่วิถีชีวิตที่เรียบง่าย บุคลิกภาพแบบอิสลามที่อ่อนโยน
แต่แฝงด้วยความมุ่งมั่น ถูกออกแบบมาเป็นเช่นเดียวกับศาสดาแห่งอิสลาม

อุสามะห์ มีทรัพย์สินเงินทองระดับมหาเศรษฐี เขาสามารถเลือกที่จะมีชีวิตอย่างสุขสบายได้ แต่ผืนทรายแห้งแล้ง ร้อนระอุ กลับเป็นที่นอน เถื่อนถ้ำคือที่พำนัก ที่เขาหลบเร้นกายจากการไล่ล่าของสหรัฐมานานหลายปี

ศาสดาก็เป็นเช่นนี้..


หลังปักธงแห่งอิสลามลงบนผืนทะเลทรายกว้างใหญ่ บนดินแดนญาฮิลียะห์ ในยุคแห่งความป่าเถื่อน โง่เขลา ศาสดาครองทั้งอาณาจักรและศาสนจักรทั่วทั้งคาบสมุทรอารเบีย เป็นทั้งจอร์จ บุช และโป๊ปในเวลาเดียวกัน แต่จนวันนี้ไม่มีแม้แต่เศษซาก อิฐหัก กากปูนสักชิ้นหนึ่ง ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของมุฮำมัด ไม่มีปราสาทราชวัง ปราศจากถาวรวัตถุใดๆ นอกจากบ้านหลังเล็กๆ ที่มะดีนะฮ์ เมืองที่มุฮำมัดอพยพลี้ภัยไปพำนักอยู่


ที่มะดีนะฮ์นี่เอง คือเมืองต้นแบบ รวมทั้งแหล่งความรู้เรื่องมนุษย์ต้นแบบของอิสลาม

ภารกิจแรกของศาสดา คือการสร้างมัสยิด

ศาสดาทำงานก่อสร้างเอง ไม่ต่างจากกรรมกร

มัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่แรกที่มุสลิมมาทำละหมาดร่วมกัน

ศาสดามุฮำมัด ได้ใช้ความพยายามยกเลิกลัทธิการถือเผ่าพันธุ์ โดยรวมชาวมะดีนะฮ์เข้าเป็นกลุ่มเดียวกันภายใต้ชื่ออันศอร

อันศอรและมุฮาญิรูน เป็นเสมือนเมล็ดพันธุ์แห่งอิสลามที่เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ วงปีของชีวิตที่ผ่านมานับพันปี สร้างให้พลโลกมุสลิมเป็นไม้ที่แข็งแกร่งดุจหินผา

เอกภาพที่ถูกย้ำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่เอง ย่อมเป็นอาวุธอันทรงพลานุภาพยิ่งในการต่อสู้กับทหารแห่งกองทัพทุน ที่กำลังอ่อนเปลี้ยเสียขาในอิรัก อัฟกานิสถาน และทุกหนแห่งในโลก

จักรกฤษ เพิ่มพูล chakkrish@nationgroup.com






http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/19/WW06_0610_news.php?newsid=84937
อีกมุมมอง !!!!
 
 
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: ความจริง 2 ด้านที่มัสยิดแดง
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ก.ย. 16, 2007, 02:53 AM »
0
ญะซากัลลอฮ์สำหรับน้องชาฯที่ติดตามสถานการณ์แบบติดๆ แล้วนำมาเสนอแก่พี่น้อง

 

GoogleTagged