บทสัมภาษณ์มุสลิมะฮฺผู้ร่วมอยู่ในมัสยิดแดง :
“มันคือการฆาตรกรรมหมู่มุสลิมะฮฺ 1,500 คน”
17 กรกฎาคม 2007
“มุสลิมะฮฺประมาณ 1,500 คนถูกสังหารภายในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ”
“ไม่มีใครถูกจับเป็นตัวประกัน”
“ไม่มีทั้ง ‘กลุ่มหัวรุนแรง’ และ ‘ผู้ก่อการร้าย’ อยู่ในมัสยิด”
“รัฐบาลได้ซ้อนเร้นร่างของผู้เสียชีวิต”
“ความกลัวตายหมดสิ้นไปเมื่อได้เห็นร่างไร้วิญญาณของบรรดาพี่น้องมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺ”
“การปฏิวัติฟื้นฟูอิสลามด้วยกำลังเลือดเนื้อเป็นสิ่งจำเป็น”…นี่คือคำให้การของมุสลิมะฮฺผู้รอดชีวิตจากมัสยิดแดง
[บันทึกจากผู้เรียบเรียง (ภาษาอังกฤษ) :
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ที่เราได้รับโอกาสให้เผยแพร่บทสัมภาษณ์นักศึกษามุสลิมะฮฺที่รอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ฆาตรกรรมแห่งมัสยิดแดง
ซึ่งนำเสนอโดย urdupoint.com …ถ้าโลหิตของคุณยังไม่ได้เดือดพล่านมาก่อนหน้านี้ มันก็จะต้องได้เดือดภายหลังจากอ่านบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้]
อิสลามาบัด : นักศึกษามุสลิมะฮฺผู้รอดชีวิตจากการฆาตกรรมที่กองกำลังนอกศาสนาของปากีสถานกระทำ ณ มัสยิดแดง ได้ให้สัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นถึงประสบการณ์อันเลวร้ายที่พวกเธอได้ประสบมา
อะมามะฮฺ, มุสลิมะฮฺผู้รอดชีวิตได้เล่าว่าในวันที่ 6 ของการปิดล้อมมัสยิดแดง เธอจำต้องยอมออกมาจากบริเวณมัสยิด ในขณะนั้นมีพี่น้องมุสลิมะฮฺอยู่ในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ (ซึ่งอยู่ภายในบริเวณของมัสยิดแดง) ประมาณ 1,500 คน เธอยืนยันว่าผู้คุมมัสยิดไม่ได้ใช้การกดดันใดใดทั้งสิ้นเพื่อให้นักศึกษาคงอยู่ภายในบริเวณที่ถูกปิดล้อม และไม่มีใครถูกจับเป็นตัวประกันแม้แต่คนเดียว
อะมามะฮฺบอกว่ามุสลิมะฮฺทุกคนในนั้นมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นชะฮีด
และทุกคนก็หวังว่าร่างของตนจะถูกฝังไว้ในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ ไม่มีใครเต็มใจจะละทิ้งที่นั่นออกมา อุมมุฮัซซานผู้เป็นครูใหญ่สั่งให้พวกเธอออกมาจากที่นั่น แต่ทุกคนก็ปฏิเสธที่จะทำตาม
อะมามะฮฺเล่าต่อไปว่า “เรายอมออกจากบริเวณมัสยิดมาก็เมื่ออุมมุฮัซซานบอกกับเราว่าให้พวกเราออกมาก่อน แล้วเธอจะตามออกมาทีหลัง…แต่เมื่อเราออกมาแล้ว ก็พบว่าทั้งอุมมุฮัซซานและครอบครัวของเธอไม่ได้ตามเราออกมา…นี่คือสิ่งที่เราทุกคนรู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก”
หลังจากการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้จบลง หน่วยข่าวกรองของรัฐบาลนอกศาสนาก็เข้ามาควบคุมความเคลื่อนไหวของบรรดามุสลิมะฮฺที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์มัสยิดแดงอย่างใกล้ชิด ทำให้สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นอื่น ๆ ยกเลิกแผนที่จะสัมภาษณ์พวกเธอไป
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ อะมามะฮฺได้เปิดเผยว่า
“ในวันที่หกของการปิดล้อมซึ่งพวกเราจำต้องยอมจำนนออกมานั้น มีพี่น้องมุสลิมะฮฺของเราประมาณ 100 คน
และพี่น้องมุสลิมีนอีกราว ๆ 200 คน ตายชะฮีดไปแล้วภายในบริเวณที่ถูกปิดล้อม
ห้องเรียนของเราเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณของบรรดาชุฮะดาอฺทั้งมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺ…
บรรดามุสลิมีนพยายามต่อต้านกองกำลังของมารร้ายด้วยปืน เอ.เค.47 ที่มีอยู่เพียง 15 กระบอก พวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการยืนหยัดเพื่อสัจธรรมนั้นต้องการเพียงความเชื่อมั่นและความศรัทธาที่มั่นคง
ไม่ใช่อาวุธยุทโธปกรณ์หรือกำลังพล”อะมามะฮฺยังได้ปฏิเสธคำโฆษณาชวนเชื่ออันตลบตะแลงของรัฐบาลมุชาราฟที่กล่าวหาผู้คนในมัสยิดแดงเป็นพวกผู้ก่อการร้ายด้วยว่า
“นักสู้ทุกคนในมัสยิดแดงคือนักศึกษามุสลิมีนของพวกเรา และถ้าข้อกล่าวหาของรัฐบาลเป็นความจริงแล้ว ทำไมถึงไม่ยอมให้บรรดาสื่อมวลชนเข้ามาทำข่าวภายในบริเวณที่ถูกปิดล้อมล่ะ?”
อะมามะฮฺได้ร้องไห้ขณะกล่าวต่อไปว่า
“ขณะที่พี่น้องมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺของเราอ้าแขนรับการตายชะฮีดนั้น
ขวัญและกำลังใจของเราได้เพิ่มพูนขึ้น เราไม่หวั่นเกรงเลยต่อลูกปืน และความเสียหายที่มันได้สร้างขึ้น”
สำหรับข้อกล่าวหาที่ว่ามีแหล่งที่ซ่อนอาวุธหนักอยู่ภายในมัสยิดแดงนั้น เธอกล่าวว่า
“มันเป็นการกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงอย่างสิ้นเชิง รัฐบาลได้ปล่อยข่าวว่าถ้าเราไม่มีคลังแสงเก็บอาวุธอยู่ภายในแล้ว เราจะต่อต้านกองกำลังของพวกเขาอย่างรุนแรงแข็งขันเช่นนี้ได้อย่างไร?…
ความจริงก็คือพวกเราได้รับความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ พระองค์ได้ทำให้สัญญาของพระองค์เป็นความจริง…สัญญาที่ว่า ผู้ใดที่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺนั้น อัลลอฮฺจะประทานความช่วยเหลือลงมาให้กับเขา แม้ว่ามันจะเป็นความช่วยเหลือที่มองไม่เห็นก็ตาม…อัลลอฮฺได้ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับสงครามบัดรฺและอุฮุดกลับคืนมา บรรดากองกำลังทรราชย์เหล่านั้นไม่ได้ถูกฆ่าโดยอาวุธของพี่น้องมุสลิมีนของเรา…อัลลอฮฺต่างหากที่ฆ่าพวกเขา!”
ฟาติมะฮฺ, นักศึกษามุสลิมะฮฺอีกคนหนึ่งที่ให้สัมภาษณ์ร่วมกับอะมามะฮฺเล่าว่า
“พี่น้องมุสลิมะฮฺของเราได้ตายชะฮีดไปราว ๆ 1,500 คน แต่รัฐบาลรายงานว่าพวกเขาตายเพียง 200 คน ครอบครัวของเพื่อนรักคนหนึ่งของเราได้ถามถึงลูกสาวของเขา เราไม่รู้จะบอกพวกเขาอย่างไร…อันที่จริงแล้วมีทารกและเด็กหลายคนรวมอยู่ในบรรดาชุฮะดาอฺด้วย…
เด็ก ๆ เหล่านั้นอายุประมาน 2-8 ขวบเท่านั้น”
ฟาติมะฮฺยังได้โจมตีรัฐบาลนอกศาสนาด้วยว่า
“ร่างของนักศึกษาผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นชะฮีดนั้นถูกดูหมิ่น
พวกเขาพยายามซ่อนเร้นร่างเหล่านั้นเพื่ออำพรางอาชญากรรมที่พวกเขาได้ก่อขึ้น ฉันขอเรียกร้องไปยังศาลพิจารณาคดีสูงสุดให้เปิดเผยอาชญากรรมอันโหดเหี้ยมป่าเถื่อนครั้งนี้ออกมา…
ประเทศปากีสถานถูกสถาปนาขึ้นในนามของกะลีมะฮฺอันสูงส่ง นั่นคือคำปฏิญาณว่า “
ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ” แต่หกสิบปีที่ผ่านมา กะลีมะฮฺนี้ถูกล่วงละเมิดครั้งแล้วครั้งเล่า…
การปฏิวัติด้วยกำลังเลือดเนื้อจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการประกาศใช้กฎหมายของอัลลอฮฺในประเทศนี้…
เลือดของบรรดานักศึกษาทั้งมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺที่นี่ต้องไม่สูญเปล่า”
“ที่จริงแล้ว…รัฐบาลมุชาราฟสังหารหมู่นักศึกษาที่นี่ก็เพื่อจะปกป้องตัวเอง และเพื่อเอาความดีความชอบจากสหรัฐอเมริกา หลักฐานในเรื่องนี้ก็คือการที่อเมริกาได้จัดเตรียมเครื่องบิน เอฟ16 ไว้ให้รัฐบาลปากีสถานแล้วถึง 2 ลำ” ฟาติมะฮฺตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติม
อะมีนะฮฺ เป็นนักศึกษามุสลิมะฮอีกคนหนึ่งซึ่งถูกแยกมาให้มาให้สัมภาษณ์ต่างหาก
เธอได้ยืนหยัดต่อสู้อยู่ในญามิอะฮฺฮัฟเซาฮฺจนกระทั่งถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2007 ก่อนจะจำยอมออกมาจากบริเวณที่ถูกปิดล้อม ด้วยคำสั่งเด็ดขาดของอุมมุฮัซซานผู้เป็นครูใหญ่ เธอได้บอกเล่าช่วงเวลาอันเป็นเสมือนประสบการณ์อันแสนสาหัสของชีวิตเธอ
และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในมัสยิดแดง…มีน้ำตาไหลเอ่ออกมาจากดวงตาของเธอเกือบตลอดการให้สัมภาษณ์ โดยชื่อจริงของอะมีนะฮฺจะถูกปิดบังไว้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย และนี่คือประสบการณ์จากคำบอกเล่าของเธอ :
ผู้สัมภาษณ์ : คุณอายุเท่าไหร่ และเรียนอะไรบ้างในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ?
อะมีนะฮฺ : ฉันอายุ 17 ปี เรียนเกี่ยวกับอัล-กุรอาน, อัล-หะดีษ และวิชาอื่น ๆ ในญามิอะฮฺฮัฟเซาฮฺมาได้ 3 ปีแล้ว
ผู้สัมภาษณ์ : ขอถามตรง ๆ ว่า คุณยืนยันจะอยู่ภายในโรงเรียนของคุณด้วยความสมัครใจ หรือว่าคุณถูกบังคับ?
อะมีนะฮฺ : ไม่เลย! ไม่มีใครบังคับฉัน ฉันยืนยันจะยู่ในนั้นด้วยความเต็มใจของฉันเอง ฉันต้องการจะอยู่สู้ต่อไปด้วยซ้ำ แต่อุมมุฮัซซานใช้อุบายหลอกให้ฉันออกมาในวันที่สามของการปิดล้อม พี่น้องมุสลิมะฮฺของเราราว ๆ 95 คน และมุสลิมีนอีก 75 คน เป็นชะฮีดไปแล้วขณะที่ทำการต่อสู้ พวกเราทุกคนช่วยกันเก็บร่างของบรรดาชุฮะดาอฺเหล่านี้ มือของฉันกลายเป็นสีแดงด้วยเลือดของพวกเขา และในขณะที่เรากำลังเก็บร่างผู้เป็นชะฮีดไปแล้วนั้น ก็จะมีพี่น้องมุสลิมะฮฺของเราเป็นชะฮีดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กุรอานที่พวกเรามีอยู่ถูกเปิดทิ้งไว้โดยไม่รู้ว่าจะมีใครได้ปิดมันหรือไม่ เราไม่มีอาวุธอะไรเลยนอกจากจำนวนเล็กน้อยที่บรรดามุสลิมีนใช้ พวกเราทำหน้าที่ขนส่งน้ำไปให้บรรดามุญาฮิดีนมุสลิมีนของเรา
กิจวัตรของเราดำเนินไปเช่นนี้เป็นเวลาประมาน 3 วัน อุมมุฮัซซานก็แจ้งให้เราทราบว่า
ขณะนี้มีพี่น้องมุสลิมะฮฺอยู่ร่วมกันที่นี่ประมาน 1,500 คน และไม่มีอาหารเพียงพอสำหรับจะรับประทาน
อุมมุฮัซซานเรียกพวกเราไป และขอร้องให้เราออกไปจากที่นี่ เธอยังได้ขอร้องให้รุ่นพี่มุสลิมะฮฺส่วนหนึ่งรับผิดชอบดูแลให้รุ่นน้องไปถึงบ้านโดยปลอดภัย
แต่มุสลิมะฮฺทุกคนรวมทั้งฉันปฏิเสธที่จะออกไปจากที่นี่
อุมมุฮัซซานจึงบอกว่าให้พวกเราออกไปก่อน แล้วเธอจะตามออกไป
เมื่อเธอยืนยันเช่นนี้อีกครั้ง พวกเราจึงยอมออกมา แต่แล้วเธอก็ไม่ได้ตามเราออกมา (เช็ดน้ำตา) พวกเราทุกคนไม่มีใครอยากออกมาจากที่นั่น…ทุกคนได้เขียนความปรารถนาสุดท้ายของตนเอาไว้แล้ว นั่นคือการเป็นชะฮีด และทุกคนก็หวังว่าร่างของตนจะถูกฝังเอาไว้ในญามิอะฮฺฮัฟเซาะฮฺ
มีต่อ