ผู้เขียน หัวข้อ: ...รู้ได้ไงว่าเป็นวาฮาบีย์......โดย Wbb  (อ่าน 2116 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ เสี่ยวเอ้อ

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 59
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

ตรวจสอบจาก...

ด้านหลักการศรัทธา....

1. เปรียบเปรยว่าอัลลอฮฺ ประดุจสิ่งถูกสร้าง( ตัชบีฮฺ) และการพรรณนารูปทรงสัณฐานของอัลลอฮฺ(ตัจญซีม)

2. การให้ความหมายโองการ มูตาชาบีฮาต ที่คลาดเคลื่อน เช่น

* การให้ความหมาย “ อิสตาวา” ว่า นั่ง, ประทับ, สถิต อันหมายถึงอิริยาบถ หนึ่งซึ่งเป็นที่รับรู้กันดี

*การให้ความหมาย “ ยาดุล “ ว่ามือ อันหมายถึง อวัยวะหนึ่งแห่งเรือนร่าง

*การให้ความหมาย “ วัจญฺ “ ว่า ใบหน้า หรือ พระพักตร์ ซึ่งก็หมายถึง อวัยวะหนึ่งแห่งเรือนร่างเช่นกัน

*การให้ความหมาย “ ญัมบฺ ” ว่า สีข้าง อันเป็นส่วนหนึ่งของเรือนร่างแห่งพระองค์

*การให้ความหมาย “ นูซูล” ว่า ลงมา หรือ เสด็จลงมา อันหมายถึงการ เคลื่อนตัวจากทิศบนลงสู่ทิศล่าง

*การให้ความหมาย “ ซัคคฺ” ว่า หน้าแข้ง อันหมายถึง อวัยวะหนึ่งแห่งเรือนร่าง

*การให้ความหมาย “ อาซอบีอฺ” ว่า บรรดานิ้วมือ ซึ่ง เป็น อวัยวะปลีกย่อย ของมือ

*บอกว่าอัลลอฮฺนั้นทรงมีรูปทรงสัณฐานเหมือนเช่น นาบี อาดัม

*เติมคำว่า “ บิซาติฮี ฮะกีกอตัน”(ด้วยตัวตนแห่งพระองค์เองจริงๆ)ไว้ตอนท้ายของ โองการ ที่ส่อเค้าว่าเปรียบเปรยอัลลอฮฺดุจดังสิ่งถูกสร้าง(อายัต มูตาชาบีฮาต)

3. ชาววาฮาบีย์ มูญัซซีมะฮ์ บางท่าน ยึดถือว่า อัลลอฮฺนั้น

* ทรงมีเหงือก (اللثة)และมีฟันกราม (الأضراس)

* อัลลอฮฺนั่งพร้อมกับท่าน ศาสดา บนอารัชของพระองค์

* ทรงมีปาก (الفم)

(โปรดดูใน หนังสือ “ อิบฏอลุฏ ฏอวีลาต” ของท่าน อาบู ยะอฺลา อัล ฟัร-รออฺ)

4. การมอบหมาย(ตัฟวีด) ที่พวกเขา แอบอ้างนั้น ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับ การมอบหมายของ บรรดา ซาลาฟุตซอลิฮฺ

5 . อายะฮฺ มูตาชาบีฮะฮฺ( ที่ผิวเผินนั้น ดูเหมือนอัลลอฮฺดุจสิ่งถูกสร้าง )พวกเขาจะทำความเข้าใจกันโดยผิวเผินเท่านั้น โดยมิได้ให้ความกระจ่างดังที่บรรดาอุลามะอฺในอดีตได้อธิบายไว้

6. ต่อต้านแนว ทาง ของ อาชาอีเราะฮฺ และ มาตูรีดียะฮ์ ซึ่งนับได้ว่าเป็น แนวทางการศรัทธาที่ ปวงปราชญ์ส่วนใหญ่ทั้งอดีตและปัจจุบัน ได้ดำเนินอยู่

7. มักจะตำหนิ หลักการของ อาชาอีเราะฮ์ อยู่บ่อยๆ ซึ่งบางคนถึงกับ กล่าวหาว่า กลุ่ม อาชาอีเราะฮ์ นั้นเป็น กาฟิร(วัลอิยาซุบิลลาฮฺ)

8. เปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง อายะฮฺ มูตาชาบีฮะฮฺของ อะลุซซุนนะฮฺ อัล อาชาอีเราะฮฺ ว่าเหมือนกับ กลุ่ม มุอฺตาซีละฮฺ และ ญะฮฺมียะฮฺ
(กลุ่มชนหนึ่งที่ทำการผินความหมายของ โองการ มูตาชาบีฮะฮฺ ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธ ซีฟัตซัมอียะฮฺ(คอบารียะฮ์) หรือ กลุ่ม มูอัตตีละฮฺ (ผู้ปฏิเสธคุณลักษณะของอัลลอฮฺ)

9. ปฏิเสธการ ศึกษาเล่าเรียนคุณลักษณะของ อัลลอฮฺ 20 ประการ และถือว่า มันคือ แนวคิดหนึ่งที่มาจาก หลักปรัชญาของชาวกรีก

10. ซ่อนกายอยู่ในแนวทางของ ชาวซาลัฟ

11. อุลามะอฺ อะลิซซุนนะอฺ รู้จักชนกลุ่มนี้ ในนาม

“ อัล ฮาชาวียะฮฺ, อัลมูชับบีฮะฮฺ, อัลมูญัซซีมะฮฺ, หรือว่า อัล-ญะฮ์วียะฮฺ นั่นเอง

12. มักจะโพนทะนากันว่า ท่าน อิหม่าม อาบุลฮาซัน อัล-อัชอารีย์ ได้สำนึกตน จากแนวคิด อาชาอีเราะฮฺ และกลับคืนตนสู่แนวทางแห่ง ซาลัฟ (ตามแบบฉบับของพวกเขา)

13. มักอ้างกันว่า รูปแบบ ของ อุลามะอฺ ตามแนวทาง อาชาอีเราะฮฺในปัจจุบันนั้น ไม่ตรงต้องกับแนวทาง ของท่าน อีหม่าม อาบุล ฮาซัน อัลอัชอารีย์

14. ชอบอ้างกันว่า มุสลิมส่วนใหญ่ได้ตกสู่ห้วงเหวแห่งการตั้งภาคี

15. ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ แหล่งประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ บรรดาศาสดา,หรือปวงปราชญ์ต่างๆ ด้วยเหตุผลเพื่อที่ว่า ต้องการหลีกให้ไกลจากการตั้งภาคี

16. ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับ ชีริก จนเป็นเหตุให้ ตัดสินคนอื่น ว่ากระทำการชีริก

17. มอง ความ การอมัต และฐานันดรอันพิเศษ ของบรรดา วาลี อัลลอฮฺ อย่างดูแคลน

18. ฯลฯ

.....ด้านอุปนิสัยใจคอ.....

1. มักกล่าวหาการกระทำของ ชาวมุสลิม ว่า เป็นบิดอะฮฺ(อุตริกรรม)ในศาสนา บางทีถึงขั้น กล่าวหากันว่า กุฟุร เลย

2. ชอบแสดงตนเอง เปรียบดัง มุญตาฮิด((สามารถชี้ขาดปัญหาศาสนาได้เอง))หรือแสดงทีท่า ราวกับมุญตาฮิด(ทั้งที่ๆไม่มีความเหมาะสมเอาเสียเลย)

3. มักจะกลั่นกรอง บทบัญญัติกันเอง จาก อัล-กุรอาน และ อัล-ฮาดีษ
(แม้ว่าตนนั้นจะไม่คู่ควรสักทีก็ตาม)

4. มักมอง บรรดาอุลามะอฺ หรือ วีรชนแห่งศาสนา ที่ไม่ใช่แนวทางของตน อย่างดูแคลนและไร้ค่า

5. โองการต่างๆ ที่อัลลอฮฺ ประทานลงมาเพื่อตอบโต้ ชาวกาฟีร มักจะถูกนำ มาใช้ในการ อธิบายโดยมุ่งเป้ามาสู่ ชาวมุสลิม

6. พยายาม บีบรัดผู้อื่นให้ ยึดถือตามทรรศนะ ของตน ถึงแม้ว่า ทรรศนะที่ตนยึดถือ อยู่นั้น จะผิดแผกจาก ทรรศนะส่วนใหญ่สักทีก็ตาม

......ด้าน วิชาการ ฮาดีษ.....

1. ปฏิเสธ ที่จะยึดถือปฏิบัติตาม ฮาดีษ ที่มีสถานะ อ่อน
(เนื่องจากผู้รายงานอาจมีข้อบกพร่องบ้าง)

2. การให้น้ำหนัก ฮาดีษต่างๆ นั้น มักจะไม่ เหมือน กับ ปวงปราชญ์ ฮาดีษท่านอื่นๆ

3. ให้การเทิดทูน ท่าน นาซีรุดดีน อัล-อัลบานีย์ ในแขนงวิชาการนี้
(ถึงแม้ว่าท่าน อัลบานีย์ จะไม่มีสายรายงานบ่งชี้อยู่เลยว่าใครคือ ครูบาอาจารย์ของท่าน ในศาสตร์วิชาการฮาดีษ...ยิ่งไปกว่านั้น อุลามะอฺทั้งหลาย ต่างก็รับรู้โดยทั่วกันว่า ท่านไม่มีครูบาอาจารย์ในด้าน วิชาการฮาดีษนี้.. และท่านก็ทำการศึกษา ฮาดีษด้วยตนเอง

4. มักจะ ยึดถือว่า ฮาดีษ ดออีฟ(ฮาดีษที่มีสถานะอ่อน)นั้น เป็น ฮาดีษ เมาดุวฺ (ฮาดีษ ที่ถูกอุปโลกน์ ขึ้นมาแล้วบอกว่าเป็นของ นาบี)ซึ่งพวกเขามักจะทำเบาความ เกี่ยวกับ ฮาดีษทั้งสองประเภทนั้น ประหนึ่งว่ามันทั้งสองนั้นคือ ฮาดีษ สถานะเดียวกัน

5. การวิเคราะห์ ฮาดีษ มักจะทำกัน ในส่วน ของสายรายงาน และตัวบทฮาดีษเท่านั้น...ไม่คำนึงถึงเป้าหมายที่แท้จริงของฮาดีษต่างๆ...ดังนั้น เรามักจะพบว่า พวกเขาเหล่านี้ไม่ค่อยให้ความสำคัญ กับจุดที่ใช้เป็นหลักฐาน (มาฮัลลุชชาฮิด)

.....ด้านวิชาการ ฟิกฮ์....

1. ปฏิเสธการสังกัด มัสฮับ ต่อ อิหม่ามๆ ทั้ง สี่...และมัสฮับของพวกเขาก็คือ
“ ไม่เอามัสฮับ”

2.มักเลือกเฟ้น ทรรศนะของ มัสฮับทั้งสี่ ที่ตนเห็นชอบ จนเป็นชนวนเหตุสู่การ ปะปนทรรศนะอันเป็นที่ต้องห้าม

3. ถือ ว่าการสังกัดมัสฮับนั้น เป็น บิดอะฮฺ

4. มักขุดคุ้ย ปัญหาปลีกย่อยในศาสนามาวิพากษ์วิจารณ์ กันใหม่อย่าง
เอิกเหริกทั้งๆที่บรรดาอุลามะอฺในอดีตได้ ถกเถียงกันจนเป็นข้อยุติแล้ว

5. ในประเด็น ที่เป็นข้อเห็นต่างกันอยู่ พวกเขาก็มักอ้าง ว่า อุลามะอ์ได้ลงฉันทามติแล้ว

6. มักแหกกฏฉันทามติของบรรดาอุลามะอฺ

7.ถือกันว่า สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติกันอยู่นั้น คือ ซุนนะฮ์(แนวทางของท่านนบี)ส่วนแนวทางอื่น(จากพวกเขา)นั้น เป็น บิดอะฮ์(อุตริกรรม)

8.มักกล่าวหาว่า ผู้ที่ สังกัด มัสฮับนั้น คือ พวกสุดโต่งและยึดติดอยู่กับมัสฮับอย่างไม่ลืมหูลืมตา

9. มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ ความหมายของ บิดอะฮ์ อันเป็นเหตุให้ กล่าวหาผู้อื่นว่า กระทำบิดอะฮฺ

10. ประดิษฐ์ แนวทางด้าน ฟิกห์ขึ้นมาใหม่โดยให้ชื่อว่า“ ฟิกฮุซซุนนะฮฺ, ฟิกฮุดดาลีล, ฟิกฮุลมูซอฟฟา ฯลฯ

11. มักมีการ กล่าวกันว่า ฟิกห์ ของ 4 มัสฮับนั้น ล้าสมัย

....เรื่องของ นายิส (สิ่งที่ศาสนาถือว่าสกปรก)...

1. พวกเขาบางส่วนยังคงถกเถียงกันถึงหลักฐาน เกี่ยวกับเรื่องของ สุกร(หมู) ว่ามันเป็น นายิส หนัก(มูฆอลลาเซาะฮฺ)หรือไม่
(ทั้งๆที่อุลามะอฺได้ลงมติกันแล้ว)

2. มีทรรศนะใหม่ๆออกมาว่า ขนของ หมูนั้นไม่เป็น นายิส เนื่องจาก ไม่มีเลือดที่รินไหล

... การอาบน้ำละหมาด....

1. ไม่ยอมรับ เรื่องของ น้ำ มุสตะอฺมัล

2. กระทบกันระหว่างชายหญิงนั้น ไม่ทำให้เสียน้ำละหมาดด้วยประการทั้งปวง

3. ล้างหูทั้งสองข้าง ด้วยน้ำที่ใช้เช็ดศีรษะโดยไม่ได้ ใช้น้ำใหม่

4 ฯลฯ

...การอาซาน....

1.การอะซาน วันศุกร์ นั้น มีครั้งเดียวเท่านั้น
2. ฯลฯ

....การละหมาด....

1. ถือว่า การ กล่าว คำเนียต(อุซอลลีฯ)นั้น เป็นบิดอะฮฺอันหลงผิด
(ทั้งๆที่ปราชญ์จาก 4มัสฮับไม่มีใครที่กล่าวเช่นนั้น)

2.ถือว่าการ อ่าน บิสมิลละฮ์ ดังๆนั้น เป็น บิดอะฮฺ

3.ขณะตักบีรนั้น ยกมืกขึ้นเพียงแค่ บ่า โดยถือว่า การยกถึงติ่งหูนั้นเป็น บิดอะฮ์

4.วางมือไว้บนหน้าอกใน ขณะยืน ละหมาด และถือว่า นั่นคือ ซุนนะฮ์ท่านนบี ส่วนรูปแบบอื่นนั้น บิดอะฮฺ

5.ถือว่า การ อ่าน กูนูตในละหมาดซุบฮฺ ซึ่งเป็น อิจญตีฮาด(คำวินิจฉัยชี้ขาด)ของอีหม่ามชาฟีอีย์ ว่าเป็นบิดอะฮฺ

6. ถือว่าการ กล่าว "วาบีฮัมดิฮ" ในการอ่าน ตัสบิฮฺ ใน ขณะ รอกุวอฺและ ซูยูด นั้น ว่าเป็นบิดอะฮ์

7.ถือว่า การลูบหน้าหลังจากการ สาลามนั้น เป็นบิดอะฮ์

8. ถือกันว่า การ จับมือกัน(มูซอฟาฮะฮฺ) ภายหลังจากการละหมาดนั้น เป็น บิดอะฮ์(ที่หลงผิด)

9. ถือกันว่า การกล่าว "ซัยยีดีนา" ในการ อ่านตะชาฮุดนั้น เป็น บิดอะฮฺ(ที่หลงผิด)

10. กระดิกนิ้วขึ้นลงในการอ่านตะชาฮุด และถือว่ามันคือซุนนะฮ์ท่านนบีที่ถูกต้องที่สุด

11. ไม่ยอมรับการ ละหมาด สุนัต กอบลียะฮฺ ก่อนการละหมาดวันศุกร์

... การขอดุอา และการอ่าน อัลกุรอ่าน...

1. ถือว่าการขอดุอากันเป็นหมู่คณะภายหลังจากการละหมาดนั้น เป็นบิดอะฮฺ

2. ถือว่า การรำลึกถึงอัลลอฮฺ กันเป็นหมู่คณะภายหลังจากการละหมาดนั้นคือ บิดอะฮฺ

3. ถือว่า การอ่าน “ซอดากอลลอฮูลอาซีม” ภายหลังจาก การอ่านอัลกุรอ่านนั้นเป็น บิดอะฮฺ

4.ดุอาหรือ คำรำลึก ต่างๆ ตลอดจน การ ซอลาวาต ท่านนบี นั้น หากไม่มีระบุในอัลกุรอ่าน หรือ อัล ฮาดีษ ถือว่า เป็น บิดอะฮ์(ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึง ไม่อ่าน ซอลาวาต ต่างๆที่อุลามะอฺได้เรียบเรียงขึ้น)

5.ถือว่า การ อ่าน ซูเราะฮ์ ยาซีน ในคืนวันศุกร์นั้น เป็นสิ่งต้องห้ามและ บิดอะฮ์

6. ถือว่า การใช้ ลูกไม้ หรืออื่นๆ(ซึ่งเราเรียกกันว่า ลูกตัซบิฮฺ)ในการกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์นั้น เป็น บิดอะฮฺ

7. ถือว่า การ กล่าวซิกรุลลอฮฺ โดยกำหนดจำนวน(เช่น 1000 หรือ 10000ฯลฯ)นั้นเป็นบิดอะฮ์

8. ถือว่าการอ่าน ยาซีน ในคืนนิสฟูชะบานนั้น เป็น บิดอะฮ์ที่หลงผิด

9. มักจะปฏิเสธหรือถกเถียงกันถึงเรื่องราวความประเสริฐของเดือน รอยับ และ ชะบาน

10. ถกเถียงและโต้แย้งกันถึง สถานะ ของการ ละหมาด ตัซบีฮ์

11. ฯลฯ

... ในเรื่องราวที่เกี่ยวกับ ศพ และ สุสาน..

.1.ถือว่า การ เยี่ยม สุสาน ท่านศาสดา (ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม),บรรดา ศาสดาอื่นๆ ตลอดจนบรรดา วาลี และ อุลามะอ์ ทั้งหลายนั้นเป็น บิดอะฮฺที่ต้องห้าม และการเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวนั้น ถือว่าไม่อนุญาตให้ ละหมาดย่อ และ ละหมาดรวม (กอซอร และ ญามะอฺ)

2. ห้ามสตรีเยี่ยมสุสานโดยเด็ดขาด ไม่ว่ากรณีใดๆ

3. การอ่าน ตัลกีนนั้น เป็น บิดอะฮ์

4. การ ทำตะฮ์ลีล และ อ่าน ยาซีน ณ บ้าน ผู้ตายหรือที่ต่างๆ นั้นเป็นบิดอะฮ์

5. ไม่อ่าน ดุอากันหลังจาก ละหมาดศพเสร็จ

6. อุลามะอฺ ของพวกเขาบางท่าน ถึงขนาด เรียกร้องให้มีการ เคลื่อนย้าย หลุมศพ พระศาสดา(ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวาซัลลัม) ออกจากมัสยิดนาบาวีย์(ในเมืองมาดีนะฮฺ) เหตุผลเพียงเพื่อให้ประชาชาติอิสลามห่างไกล จากการ ตั้งภาคี

7.ถือว่า การ กำหนดสถานที่ในการ วางสุสานไว้ไกล้ๆมัสยิดนั้น เป็น บิดอะฮ์

8. การ อ่าน อัลกุรอ่าน ณ สุสานนั้น ถือ เป็นสิ่งที่ บิดอะฮ์...

....เรื่องราวเกี่ยวกับ ระเบียบการ ระหว่างคู่สมรส...

1. การ อย่ากัน คราวเดียวสามครั้ง นั้น ถือว่า ขาดเพียง ครั้งเดียว (ทั้งๆที่ ปวงปราชญ์ 4 มัสฮับนั้นมีมติเห็นพ้องกันว่า ขาด 3 ครั้ง)

2. ฯลฯ

....การชุมนุมและเฉลิมฉลอง....

1. ปฏิเสธ การเฉลิมฉลอง การประสูติขององค์ศาสดา อย่างแข็งขัน โดยกล่าวหาว่าเป็นบิดอะฮ์ที่หลงผิดและยิ่งไปกว่านั้นมีบางส่วนที่ถือว่า การเฉลิมฉลองการประสูติของบรมศาสดานั้น เปรียบเสมือน ชาวคริสต์ ที่ฉลองการประสูติของ นาบี อีซา (อ.ล)

2. การอ่านบัรซันญี นั้น เป็นที่ต้องห้าม ซึ่ง นักวิชาการ วาฮาบีย์ เมืองไทยบางคน ถือว่า ชีริกก็มีปรากฏ

3. การลุกขึ้นยืน ขณะที่ อ่าน ชีวประวัติ พระศาสดานั้น ถือว่า บิดอะฮ์

4. การเฉลิมฉลอง วันแห่งการอพยพ (ของท่านศาสดา) จากมักกะฮ์ สู่ มาดีนะฮ์ หรือ การ เฉลิมฉลอง วันแห่งการ เดินทางในยามค่ำคืน ขององค์ศาสดา(อิสรออฺ เมี้ยะรอจญ) ถือเป็นบิดอะฮ์ที่หลงผิด

5. ฯลฯ.

...เกี่ยวกับการทำฮัจญ์และ อุมเราะฮฺ....

1. ในสมัยการปกครอง ของกษัตริย์ ไฟซอล แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอารเบีย วาฮาบีย์ได้มีความพยายาม จะเคลื่อนย้าย มากอม อิบรอฮีม (แท่นศิลาที่ปรากฏรอยเท้าของท่านนาบีอิบรอฮีมซึ่งถูกครอบด้วยกรงสีทอง บริเวณ วิหารกะบะฮฺ) แต่การดังกล่าวนั้น ได้ ล้มเลิกไป เนื่องจากการ คัดค้าน ของท่าน เชค มูตาวัลลี อัช-ชารอวีย์ (ร.ฮ)ซึ่งท่านได้เดินทางไปพบกษัตริย์ไฟซอล ด้วยตัวท่านเอง

2. ขจัดเครื่องหมาย ของบ่อน้ำ ซำซำ เพื่อให้ผู้ ที่เตาวาฟนั้น เกิดความสะดวก

3. เปลี่ยนแปลง สถานที่ ซะแอ ระหว่าง หุบเขา วอฟา และ มัรวะฮฺ ซึ่งอุลามะอฺจากทั่วโลกก็ได้คัดค้าน แผนการดังกล่าว

4. ฯลฯ.

... เกี่ยวกับการเล่าเรียนศึกษา...

1.อาจารย์หลายๆท่านที่จบมาจากต่างประเทศ มักจะได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเหล่านี้ แล้วนำกลับมาฝาก คนทางบ้าน

2. นักวิชาการที่พวกเขามัก อ้างอิงอยู่เสมอคือ

* ท่าน อิบนูตัยมียะฮฺ
* ท่าน อิบนูกอยยิม
* ท่าน มูฮัมหมัด บิน อับดุลวาฮาบ (ผู้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ)
* ท่านเชค อับดุล อาซีซ บิน บาซซฺ
*ท่านนาซีรุดดีน อัล อัลบานีย์
*ท่านเชค อิบนู อุซัยมีน
*ท่านเชค ซอและฮฺ เฟาซานฯลฯ

3. มักเรียกร้องเชิญชวนผู้คน ให้กลับไปสู่ อัลกุรอ่าน และ ซุนนะฮ์(โดยไม่เอ่ยถึง อุลามะอฺเลย ทั้งๆที่อุลามะอฺ คือผู้สืบทอดเจตนารมณ์ ของอัลกุรอ่าน และ อัลฮาดีษ จากท่านศาสดา มาจนถึงพวกเรา...และอุลามะอฺเท่านั้นคือผู้ที่จะธำรง เจตนารมณ์ ของอัลกุรอ่านและ อัลฮาดีษ สำหรับ ประชาชาตินี้)

4. มักจะวิจารณ์ ท่านอิหม่าม ฆอซาลีย์ และ หนังสือ อิฮ์ ยาอูลูมิดดีน ของท่านอย่างเสียๆหาย

5. ฯลฯ.

...ความประสงค์ร้ายที่ปรากฏออกมาจากก้นบึ้งแห่งจิตใจ...

1. ร่วมมือกับ อังกฤษในการ โค่นล้ม อาณาจักรอิสลาม ออตโตมัน
(อุสมานียะฮ์)แห่งตุรกี(โปรดย้อนดูประวัติศาสตร์)

2. แก้ไข, เปลี่ยนแปลง, ต่อเติม ตำราของบรรดาอุลามะอฺในอดีต ที่พวกเขาไม่เห็นชอบด้วย

3. ขณะที่แนวคิดนี้เริ่มก่อตั้งขึ้นมา...บรรดาอุลามะอ์หลายท่านถูกฆ่าตายเป็นผักปลา

4. ทำลายสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของอิสลาม เช่น สถานประสูติ องค์ศาสดา...สุสาน อัลบากีอฺ และ อัล-มะอฺลา (ซึ่งเป็นสถานที่ ฝังศพของ บรรดาภรรยาแห่งองค์ศาสดา และเหล่า อัครสาวกหลายๆท่าน)เหตุผลเพียงเพื่อให้มนุษย์ห่างไกลจาก การชีริก

5.ในบ้านเรา มักได้ยินชื่อที่หลากหลายของชนกลุ่มนี้ ซึ่งเดิมเรียกว่าเกามูดอ หรือทางมาเลเซีย จะเรียกว่า เกามูดอ หรือ มูดอฮฺ ซึ่งบ้างก็ แปลว่าชนผู้ทำง่ายๆกับเรื่องราวศาสนา หรือ หากเป็น บ้านเราแท้ๆจะเรียกกันว่าคณะใหม่ ซึ่งหมายถึงผู้จุดประกายแนวคิดใหม่ๆขึ้นในสังคม (ส่วนคณะเก่า นั้นหมายถึง ผู้ที่ดำเนินแนวทางตามบรรดาอุลามะอฺในอดีตอันสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนาน) แต่ต่อมา ชื่อ วาฮาบีย์ นี้ได้เริ่มแพร่หลายในบ้านเรา และปัจจุบัน การใช้ชื่อซาลาฟี ดูจะเป็นที่นิยมกันมากขึ้น

...เกี่ยวกับเรื่อง ตะเซาวุฟ...

1. มักจะวิพากษ์วิจารณ์ แนวทางของ บรรดา อุลามะอฺ ผู้ขัดเกลาจิตจากอารมณ์ใฝ่ต่ำ(ซูฟี)ในทางเสียๆหาย ตลอดจน ตำราวิชาการด้าน ตะเซาวุฟอันเป็นที่ยอมรับในโลกอิสลาม ก็โดนสาดโคลนไม่เว้นแต่ละวัน

2. บรรดาชาวซูฟีย์ทั้งหลาย มักจะถูกพวกเขากล่าวหาว่า ยึดถือแนวทาง แห่งศาสนาพุทธ, พราหมณ์ หรือ คริสต์ เป็นต้น(ลองดูตัวอย่างจากช่องจานดำสิครับ)

3. ไม่สามารถแยกแยะระหว่าง การปฏิบัติของ บรรดาซูฟีย์ที่ถูกต้องและแท้จริงกับแนวทางซูฟีย์ ที่ผิดแผกและหลงผิดได้ (ก็เลยเหมารวมไปเสียทีเดียวเลย)ฯลฯ

พี่น้องครับ...

นี่คือ สิ่งบางประการที่ปรากฏให้เราเห็นอยู่เสมอ..

.ขออัลลอฮ์ทรงคุ้มครองเราทั้งหลายจากการแหวกแนวเถิด....

อามีน ยารอบบัลอาลามีน...

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ...รู้ได้ไงว่าเป็นวาฮาบีย์......โดย Wbb
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พ.ค. 09, 2014, 08:25 PM »
0
...การกระทำของมุสลิมที่แตกต่างกันไปในรายละเอียดดังกล่าว
ส่งผลให้มุสลิมใหม่หรือมุอัลลัฟเกิดคำถามและต้องการคำตอบที่ชัดเจน
เลยถามเราผู้เป็นมุสลิมมาแต่เดิม...

ซึ่งเป็นอะไรที่อธิบายได้ยากกับมุสลิมใหม่หรือผู้ที่กำลังสนใจใฝ่รู้
เกี่ยวกับอิสลาม...ว่าเหตุใด...มุสลิมเราท้ังหมด
จึงปฏิบัติในบางสิ่งบางอย่างแตกต่างกัน...

จึงอยากให้ผู้รู้ที่เชี่ยวชาญ นำเสนอหรือเผยแผ่
เกี่ยวกับหลักฐานและข้อขัดแย้งต่างๆในอิสลามให้
ผู้ไม่รู้ได้ศึกษาด้วยความจริงใจ ไม่ปกปิดข้อมูลใดๆ
ที่ผู้อื่นพึงทราบเอาไว้...ไม่ใช้อารมณ์(นัฟซู)
เข้าไปเป็นตัวปิดกั้นองค์ความรู้เหล่านั้น...

เพราะ...สิ่งที่เจอมามากเวลาพูดเรื่องศาสนากันก็คือ
เราต่างพยายามนำเรื่องข้อขัดแย้งมาถกเถียงกันอยู่เสมอ
แล้วใส่อารมณ์จนทำให้พี่น้องต้องทะเลาะกัน
คนในหมู่บ้านมองหน้ากันไม่ได้มาแล้วก็มี...
มันกลายเป็นฟิตนะฮฺอย่างมิต้องสงสัยเลย...
และดูว่าจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงขึ้นทุกพื้นที่ในบ้านเรา...

จริงๆแล้วทางออกของความวุ่นวายนี้มี
เพียงแค่เราหันหน้าเข้าหากัน พยายามทำความเข้าใจกันและกัน
ลดทิฐิลง ขออภัยกันและกัน ให้อภัยกันและกัน ยิ้มให้กันและกัน
แล้วจับมือให้สลามกันและกัน...

เพราะอย่างไรเสีย...เราก็ยังคงเป็นพี่น้องร่วมศรัทธากัน...
ความเป็นพี่น้องย่อมอยู่เหนือกว่าข้อขัดแย้งทั้งหมด...
ว่ามั้ยคะ...

ท่านศาสนทูตมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ได้กล่าวเตือนแก่ท่านเซาบานว่า
"อย่างไรกันละท่าน โอ้เซาบานเอ๋ย ครั้นเมื่อประชาชาติต่างๆ
เกือบจะรุมกินโต๊ะพวกท่านให้สูญสิ้นไป เสมือนกับอาหาร
ที่อยู่ในจานใหญ่ที่ถูกกินให้หมดไป (หมายถึงประชาชาติมุสลิม
ถูกรุมกินโต๊ะ) มีผู้ถามว่า "โอ้ท่านศานทูต ซอลลัลลอฮุอะลัย
ฮิวะซัลลัม เนื่องจากพวกเรามีจำนวนน้อยใช่ไหม"
ท่านกล่าวตอบว่า "ไม่ใช่หรอก แต่พวกท่านเป็นเสมือนฟองน้ำ
ในแม่น้ำ(ในจำนวนที่มาก)โดยที่ความหวาดกลัวจะถูกถอด
จากหัวใจศัตรูของพวกท่าน และความอ่อนแอจะถูกนำมาวางไว้
ในหัวใจของพวกท่านแทน" พวกเขา(เหล่าสาวก)กล่าวถามว่า
"โอ้ท่านศาสนทูตฯ อะไรเล่าคือความอ่อนแอ "
ท่านกล่าวตอบว่า "คือความรักในชีวิตการเป็นอยู่ในโลกนี้
และการรังเกียจการต่อสู้"

(บันทึกโดย อิหม่ามอะห์หมัด)

และ

อัลลอฮฺทรงตรัสว่า

"และฟิตนะฮฺ (ความวุ่นวาย) มันร้ายแรงยิ่งกว่าการฆ่า"
(อัลบากอเราะฮฺ : 191)

วัสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ sidsid

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 41
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: ...รู้ได้ไงว่าเป็นวาฮาบีย์......โดย Wbb
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เม.ย. 04, 2015, 11:04 AM »
0
ไม่ชอบ วะฮาบี ตรงที่ 1 นบีบอกว่าอิสลามสมบูรณ์แล้ว มัซฮับทัั้ง4 ก็ได้ข้อยุติแล้ว มีแค่4มัซฮับ แต่ เขาว่าไม่ 2 นบีบอกใช้เชื่อซอฮาบัสและตาบีอีน แต่เขาว่าไม่ 3 เขาสนิดและคบเป็นเพื่อนกับ อังกฤษและสหรัสอเมริกา ซึ้งมุสลิมห้าม แต่ซาอุดี ยอมยิวทุกอย่างมากๆ 4 หลง คำว่าบิดะอะ บอกว่า สิ่งดีๆทีไม่ค้านกับกุรอ่านและฮาดิส ก็ทำไม่ได้ ต้องให้นบีทำให้เห็นก่อน ถึงทำได้ 5 ไม่สงเสริมให้ขอพรจากอัลเลาะห์ ทั้งที่ไมีมีหลักฐานห้าม6 ไม่สงเสริมให้สรรเสริญท่านนบี ทำเมาลิด7 ไม่ให้ออกฝีกหรือเรียนศาสนาตอนแก่ และเชื้อมโยงระหว่างพี่น้องมุสลิมด้วยกัน หรือเรียกว่าออกดะวะห์ 8 เป็นแนวคิดใหม่บอกว่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 22, 2016, 08:25 AM โดย sidsid »

ออฟไลน์ Hanata'

  • awan-pelangi (◕‿◕✿)
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 146
  • เพศ: หญิง
  • Respect: +5
    • ดูรายละเอียด
Re: ...รู้ได้ไงว่าเป็นวาฮาบีย์......โดย Wbb
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: เม.ย. 09, 2015, 03:15 PM »
0
8 เป็นแนวคิดใหม่บอกว่า .... 

มันยังไม่จบใช่ไม ???
جاواهكن بالا       تتفكن ايمان      مورهكن رزقي

 

GoogleTagged